สีคิริยา...มนตราแห่งรัก
ณ ดินแดนแห่งความฝัน และอารยธรรมรุ่งเรืองยาวนานกว่าหนึ่งพันปี

ไอรดาละทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ หวังเติมเต็มความฝันที่ขาดหาย

ทว่า ใคร...จะคาดคิดว่า ภายใต้ซากมหานครเก่าแก่สลักเสลาด้วยภาพนางอัปสรงามวิจิตร

จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชักนำไปสู่การพบกัน ระหว่างหญิงสาวผู้ข้ามผ่านห้วงอนาคต...และหัวหน้าโจรกบฏ ผู้ไม่เชื่อในบัญชาสวรรค์

โชคชะตากำหนดให้ทั้งคู่ ร่วมถักทอที่เคยขาดหาย ไกลจรดเส้นขอบฟ้า

พันธนาการหัวใจ มิให้พรากจาก...ดุจดังเช่นคำสัญญา
‘เราจะอยู่ร่วมกัน...นิรันดร'

Tags: นิยายรัก โรแมนติก ตบจูบ เจ้าชาย เจ้าหญิง รักหวานซึ้ง กินใจ

ตอน: หญิงสาวผู้มาพร้อมกับความฝัน

สีคิริยา มนตราแห่งรัก
บทที่ 1
หญิงสาวผู้มาพร้อมกับความฝัน

เมืองอนุราชปุระ

ประเทศศรีลังกา

หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางกว่าสิบสองชั่วโมง ไอรดาก็ได้มีโอกาสมาเยือนนครหลวงแห่งแรกของศรีลังกาที่รุ่งเรืองต่อเนื่องมาประมาณ 1,400 ปี และยังเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาในศรีลังกาแผ่นดินที่ได้รับขนามนามว่าไข่มุกแห่งเอเชีย
ท่ามกลางภูมิประเทศที่แวดล้อมไปด้วยหุบเขาและผู้คนแต่งกายด้วยชุดพื้นบ้านเดินสวนกันไปมา
หญิงสาวสะพายกระเป๋าเดินทางลงจากรถ ร่างเพรียวระหงแลดูโดดเด่นด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินสดใสเข้ากับกางเกงยีนส์รัดรูปทะมัดทะแมง ดวงหน้างามแต่งแต้มด้วยขนตาหนา ปลายจมูกโด่งเชิดรั้น และริมฝีปากสีชมพูเอิบอิ่มเป็นธรรมชาติ

ไอรดายกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปลิวไสวเพราะแรงลมออกจากใบหน้า ก่อนจะหยิบแผนที่ขึ้นมากางหาเส้นทางเพื่อที่จะขึ้นรถต่อไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ในตัวเมือง หญิงสาวไล่สายตาไปตามแผนที่ที่สลับซับซ้อนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินตรงไปถามพ่อค้าขายของที่ตั้งโต๊ะรอลูกค้าบริเวณริมถนน

“Excuse me” เธอเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ “ไม่ทราบว่าคุณรู้จักทางไปโรงแรมนี้หรือเปล่าคะ”

ชายผิวคล้ำคนดังกล่าวหันมามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางตอบโต้เป็นภาษาพื้นเมืองเร็วปร๋อซะจนไอรดาจับสำเนียงแทบไม่ทัน

หลังจากพยายามสื่อสารกันอยู่นานกระทั่งแน่ใจว่าไม่รู้เรื่องหญิงสาวจึงขอตัวเลี่ยงไปทางพลางค้อมศีรษะให้น้อย ๆ

“เอ่อ..ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”

ร่างบางระหงภายใต้เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์รัดรูปตัดสินใจสะพายกระเป๋าเดินทางเดินข้ามไปยังอีกฟากฝั่งของถนนเพื่อมองหาป้าย ก่อนที่เธอจะได้พบกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินสวนมาจึงเดินเข้าไปถามทางและได้รับความช่วยเหลืออย่างมีมิตรไมตรี

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำแล้วไอรดาก็เดินเลียบริมฝั่งถนนก่อนจะโบกรถสามล้อแบบมีที่นั่งให้ไปส่งยังโรงแรมต่อไป

“ไปที่ไหนครับคุณผู้หญิง” คนขับรถสามล้อวัยกลางคนถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปล่ง ๆ

“ไปโรงแรมสุรางค์นครจ๊ะ”

หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วไอรดาก็ถือโอกาสชื่นชมความงามของทิวทัศน์และวิถีชาวเมืองริมข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้มีโอกาสมาเยือนประเทศศรีลังกา โลกที่ยังไม่ถูกอารยธรรมตะวันตกเบียดบังและยังคงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองมานานหลายร้อยปี

หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วโมงในที่สุดไอรดาก็มาถึงอาคารโรงแรมสี่ชั้นรูปทรงภายนอกคล้ายกับภัตตาคารอาหาร ตกแต่งประตูด้วยโคมไฟและต้นไม้เขียวชอุ่มสบายตา

“ยินดีต้อนรับครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” ชายผิวคล้ำอายุราวยี่สิบปีกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมกับอวดยิ้มจนเห็นฟันขาว

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อไอรดาเป็นแขกที่จองห้องพักที่โรงแรมนี้เอาไว้ รบกวนช่วยพาไปเช็คที่เคาเตอร์หน่อยได้ไหมคะ”

“ขอเชิญทางด้านในเลยครับ”

พนักงานต้อนรับกุลีกุจอเข้ามาช่วยหิ้วกระเป๋าสะพายและเดินนำทางเธอเข้าไปที่เคาเตอร์ ภายในโรงแรมสุรางค์นครตกแต่งด้วยงานไม้ฝีมือประณีต ไมว่าจะเป็นเก้าอี้สำหรับแขกที่แกะสลักลวดลายเถาวัลย์อ่อนช้อย

ภาพแกะสลักที่ประดับอยู่ข้างกำแพง รวมไปจนถึงหน้าเคาเตอร์ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งทาสีน้ำตาล ที่ช่วยให้ภายในโรงแรมแลดูเป็นเอกลักษณ์ สวยงามและกลมกลืน

“ยินดีต้อนรับค่ะคุณไอรดา ศิริโสภาวัฒนะ ใช่ไหมคะ”

พนักงานต้อนรับหญิงสวมชุดผ้าส่าหรีพื้นเมืองกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากที่ค้นดูทะเบียนลูกค้าที่จองชื่อไว้กับทางโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ค่ะ”

“ห้องของคุณอยู่บนชั้นสี่ห้องซ้ายมือสุดนะคะ” อีกฝ่ายยิ้มให้พร้อมกับยื่นส่งกุญแจห้องเบอร์ 401 ให้กับลูกค้า

“เชิญพักผ่อนตามสบายนะคะ เดี๋ยวเราจะให้พนักงานยกกระเป๋าเดินทำทางขึ้นไปให้”

“ขอบคุณมากค่ะ”

ไอรดายื่นมือไปหยิบป้ายกุญแจและเดินตามพนักงานยกกระเป๋าท่าทางทะมัดทะแมงตรงไปยังประตูลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักชั้นสี่ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็พาเธอส่งที่หน้าประตูห้อง 401 ไอรดาไขประตูเปิดเข้าไปในห้องและพบว่าภายในสะอาดสะอ้านน่าอยู่กว่าที่คิด

หลังจากที่ปิดประตูล็อกกลอนแล้ว หญิงสาวก็ลากกระเป๋าเข้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้าและหงายหลังลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า เจ้าของดวงหน้างามมองดูฝ้าเพดานสีขาวสะอาดอย่างพึงพอใจ ภายหลังจากที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางยาวนายกว่าสิบสองชั่วโมง

“เฮ้อ..ในที่สุดก็ถึงจนได้”

ไอรดาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาเยือนประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาอย่างเช่นศรีลังกาได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ที่กรุงเทพ และยังได้ทำงานที่ตัวเองรักด้วยการร่วมเข้าเป็นหุ้นส่วนเปิดหอแสดงศิลปะและมีโอกาสแสดงผลงานของตัวเองพร้อมศิลปินมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ มากมายมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น ทำให้ไอรดาต้องรีบลุกขึ้นมาควานหากระเป๋าถือและล้วงมือเข้าไปหยิบออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าทันทีที่เห็นรายชื่อที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ สีหน้าของหญิงสาวก็พลันเปลี่ยนไปทันที

ตู้ด ตู้ด

เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงดังต่อเนื่องแต่ไอรดากลับมีท่าทีลังเลใจอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวชั่งใจอยู่นานระหว่างการกดรับสายและการปิดโทรศัพท์อย่างถาวร กระทั่งเมื่อความรู้สึกส่วนลึกบังคับให้เธอต้องเลือกอย่างหลัง

“ระหว่างเรายังต้องมีอะไรพูดกันอีกเหรอคะคุณชยุต” เธอกดรับโทรศัพท์และกรอกเสียงลงไปอย่างเย็นชา

‘ไอรดาดีใจจังที่คุณยอมรับสาย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนน่ะรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน ได้โปรดกลับมาเถอะ ผมยินดีที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้คุณฟังนะไอรดา’

น้ำเสียงปลายสายเต็มไปด้วยความห่วงใยและวิตกกังวล ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนไอรดาคงดีใจจนเก็บเอาไปฝัน

หากแต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่

“ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละค่ะคุณชยุต เพราะฉันได้รู้ได้เห็นความจริงด้วยตาของตัวเองมามากเกินพอแล้ว”

‘มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ผมกับฝ้ายไม่ได้มีอะไรกันคุณเองก็รู้นี่ว่าพวกเราสามคนสนิทกันแค่ไหน แล้วผมจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง’

ไอรดากลืนก้อนแข็ง ๆ ลงไปในอกอย่างขมขื่น

ใช่สิถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน เธอคงไม่ต้องเจ็บช้ำจนต้องระหกระเหินมารักษาแผลใจถึงประเทศศรีลังกาแบบนี้หรอก

“คุณพูดจริงเหรอคะคุณชยุต” เธอถามเสียงแผ่ว

‘เชื่อผมสิไอรดา ผมมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นเราสองคนกำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะ อย่ายอมให้เหตุผลไร้สาระพวกนี้มาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเราสิ’

“เหตุผลไร้สาระ” หญิงสาวทวนประโยค “หมายถึงเรื่องที่คุณแอบมีอะไรกับฝ้ายตอนที่ฉันไปดูงานที่อเมริกาน่ะเหรอคะ”

‘..ไอรดา’

“ยังไม่หมดนะคะ ไหนจะยังมีเรื่องที่คุณแอบไปซื้อคอนโดฯแถว ๆ รังสิตและพาเพื่อนสนิทของฉันไปเสวยสุขอยู่ที่นั่นนานหลายเดือนโดยที่ฉันไม่รู้อีกด้วย”

น้ำเสียงของไอรดากระด้างขึ้นตามสภาวะอารมณ์ ถึงตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ชายเลว ๆ พรรค์นี้อีกแล้ว

“ขอโทษนะคะคุณชยุต แต่เรื่องทั้งหมดนี้ฉันรู้มาจากปากของฝ้ายหมดแล้ว ทางที่ดีคุณควรเลิกยุ่งกับฉันและกลับไปดูแลฝ้ายให้มีความสุขจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยความผิดที่คุณทำเอาไว้กับฉันจะได้ทุเลาเบาบางลงบ้าง เรื่องหอแสดงศิลปะฉันส่งคนไปจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปทั้งคุณและฉันต่างก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น”

‘ดะ..เดี๋ยวก่อนสิไอรดาคุณจะจบเรื่องระหว่างเราแบบนี้ไม่ได้นะ ผมรักคุณได้ยินไหม ! ผมรักคุณ’

คำพูดของชยุตที่ดังมาตามสายซ้ำไปซ้ำมา เกือบจะทำให้หัวใจที่แข็งกระด้างของหญิงสาวอ่อนไหวลงอีกครั้ง

‘ใครโทรมาเหรอคะชยุต คุยกันนานจังฝ้ายอาบน้ำเสร็จตั้งนานแล้วนะคะ’

เสียงหวาน ๆ ที่ดังแทรกเข้ามาในสายส่งผลให้มือที่กำโทรศัพท์ของไอรดาเกร็งแข็งขึ้นมาทันที ดวงหน้างามซีดเผือดขณะที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดเป็นรอยลึก

‘เอ่อ..ผมกำลังคุยเรื่องงานอยู่อย่าเพิ่งกวนใจได้ไหม เฮ้ ! ทำอะไรน่ะเอาโทรศัพท์คืนมานะ’

‘นี่มันเบอร์โทรศัพท์ยัยดานี่คะ ! คุณชยุตนี่คุณยังติดต่อกับมันอีกเหรอฝ้ายไม่ยอมนะ’

เสียงตะโกนของฝ้ายดังแทรกเข้ามาในสายก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุบตีและเสียงร้องโวยวายด้วยความโกรธ

‘โอ้ย ! หยุดนะฝ้ายคุณจะบ้ารึไง’

‘ฝ้ายไม่หยุด กรี้ดด’

เสียงกรีดร้องดังขาดหายไปหลังจากที่ไอรดากดปิดโทรศัพท์เนื่องจากทนฟังต่อไปไม่ไหว เจ้าของดวงหน้างามเม้มปากเข้าหากันแน่นพลางรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมาถึงขอบตา

ดูเอาเถิดกระทั่งถึงตอนนี้ ชยุตก็ยังไม่คิดที่จะพูดความจริงกับเธอสักครั้งตรงกันข้ามเขาเอาแต่ปฏิเสธและหาทางใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเธอเรื่อยมา โดยไม่คำนึงถึงสักนิดเลยว่าการกระทำของตัวเองส่งผลร้ายต่อหัวใจของอดีตคู่หมั้นอย่างเธอแค่ไหน

นับตั้งแต่ตอนที่เธอคบกับชยุตและพาไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอย่างฝ้าย เธอก็ไม่เคยนึกเอะใจหรือระแวงสงสัยพฤติกรรมระหว่างคู่หมั้นและเพื่อนสาวคนสนิทเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามเธอยังอุตส่าห์เสนอชายหนุ่มให้รับฝ้ายเข้ามาทำงานในฐานะผู้ประสานงานภาพศิลป์ ด้วยความที่ฝ้ายเป็นคนน่ารักและอัธยาศัยดี จึงทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว

และนั่นถือเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิตของไอรดา

“บ้าจริงเชียว” ไอรดายกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางกล้ำกลืนความขมขื่นลงไปใต้อก

ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งฟูมฟายเพราะหญิงร้ายชายเลวทั้งสอง หญิงสาวตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ในศรีลังกาสักระยะหนึ่งจนกว่าจะสบายใจและกลับไปเริ่มต้นทำงานใหม่อีกครั้ง

เจ้าของร่างบางตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่บานหน้าต่างพร้อมกับเปิดมันออกกว้าง รับเอาแสงสว่างและอากาศบริสุทธิ์เข้ามาช่วยชำระล้างความเศร้าภายในใจ ที่นั่นเองที่ไอรดาได้เห็นมนต์เสน่ห์ของประเทศศรีลังกา ท่ามกลางวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเมือง
สายลมที่พัดโบกผสมผสานกับเสียงจอแจของผู้คนที่ยืนจับจ่ายซื้อของอยู่เบื้องล่าง แลดูมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก ชุดส่าหรีของหญิงสาวชาวมุสลิมกับสิ่งปลูกสร้างที่แฝงไว้ด้วยศิลปวัฒนธรรม ช่วยกระตุ้นความเป็นศิลปะในตัวของไอรดาขึ้นมาราวกับอยู่ท่ามกลางความฝันและจินตนาการ

“สวยจริง ๆ” หญิงสาวรำพึงแผ่วพลางสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าไปเต็มปอด

ความที่เธอชอบศึกษาด้านศิลปะวัฒนะธรรมเก่าแก่ทำให้ไอรดาเลือกมาเที่ยวที่นี่โดยถือโอกาสลาพักร้อนเรื่องงานไปในตัว

ไอรดาทอดสายตามองดูทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา ก่อนสะดุดเข้ากับภาพราง ๆ คล้ายกับปราสาทหลังงามที่สร้างอยู่บนภูเขารายล้อมไปด้วยป่าทึบสีเขียวดูราวกับภาพเนรมิต

“ที่ไหนกันนะสวยจัง” ไอรดาเขม้นมองด้วยความสงสัย

หญิงสาวพยายามมองอยู่นานทว่าปราสาทดังกล่าวก็ดูเหมือนจะยิ่งเลือนรางลงราวกับมีหมอกเคลื่อนมาบดบัง

“หรือจะเป็นมัสยิดกันนะ ไม่สิ ดู ๆ ไปคล้ายกับพระราชวังสมัยโบราณมากกว่า”

สิ่งที่หญิงสาวคาดเดานับว่ายังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก เนื่องจากระยะห่างที่เธอยืนอยู่ไกลจากภาพที่เห็นมาก จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน ไอรดาจึงเลิกใส่ใจและผละออกจากบานหน้าต่างเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า ลงมือค้นสัมภาระออกมาจากกระเป๋าเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว จึงทำให้เธอไม่มีโอกาสล่วงรู้ว่า

ปราสาทหลังงามดังกล่าวกำลังเลือนหายเข้าไปในผืนหมอกช้า ๆ ประดุจภาพมายาแห่งความฝัน..


*******


หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ไอรดาก็ออกมาจากห้องและลงลิฟต์มายังห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรม ที่ซึ่งจัดวางโต๊ะเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ขกของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติแถบเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็มีไม่น้อยที่พื้นเพเป็นชาวศรีลังกาที่ซึ่งมาจากต่างเมือง

ไอรดาเลือกเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างต้องการ เช้านี้เธอเลือกสวมเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายแขนกระบอกสีฟ้าอ่อน เข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนส์สีเข้มที่ช่วยเน้นช่วงขายาวเรียว อีกทั้งยังมิดชิดไม่ขัดกับวัฒนธรรมท้องถิ่น

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง” บริกรโรงแรมผิวคล้ำเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

“ไม่ทราบว่าคุณจะรับอาหารเช้าแบบไหนดีครับ” อีกฝ่ายถามเป็นธรรมเนียมพลางยื่นเมนูอาหารสีสันสดใสมาให้ แต่เธอเลือกรับประทานอาหารเช้าเบา ๆ มากกว่า

“ขอกาแฟกับเบคอนที่นึงค่ะ”

อีกฝ่ายเดินไปจัดอาหารเช้าตามที่เธอต้องการ ไอรดาได้กลิ่นอาหารและเครื่องเทศลอยมาแตะปลายจมูก ที่ซึ่งมีที่มาจากแกงสีสันจัดจ้านที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารด้านข้าง

ที่ประเทศศรีลังกาอาหารจัดได้ว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุนและรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่คล้าย ๆ กับอาหารทางใต้ของประเทศไทยไม่กี่นาทีต่อมากาแฟหอมกรุ่นกับจานเบคอนก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ

“กาแฟครับคุณผู้หญิง”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้และดูเหมือนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อนค่ะ”

“มีอะไรหรือครับ”

“เอ่อ..คือว่า” เธอทวนความจำเล็กน้อย “เมื่อเช้านี้ตอนที่ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นภูเขาไกลออกไปจากที่นี่ทางทิศเหนือที่นั่นมีสิ่งปลูกสร้างคล้าย ๆ กับปราสาทราชวังตั้งอยู่ด้วย ไม่ทราบว่ามันคือที่ไหนเหรอคะ”

“ปราสาทราชวัง ?” บริกรทวนคำถามราวกับไม่แน่ใจ “คุณคงหมายถึงนครศักดิ์สิทธิ์อนุราธปุระสินะครับ”

“เปล่าค่ะ” เธอตอบ “ฉันแน่ใจว่าไม่ใช่ที่นั่น”

“ไม่มีนี่ครับ ที่เมืองนี้นอกจากนครศักดิ์สิทธิอนุราธปุระแล้วก็ไม่มีที่ไหนอีกเลย”

ไอรดาทำหน้าประหลาดใจ

“แต่ว่าฉันเห็นจริง ๆ นะคะ” ไอรดายืนยันหนักแน่น “เมื่อวานตอนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างฉันยังเห็นพระราชวังตั้งอยู่บนภูเขาไกลออกไปทางทิศเหนืออยู่เลย”

คราวนี้บริกรหนุ่มผิวคล้ำเป็นฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ

“เสียใจครับคุณผู้หญิง แต่ผมบอกคุณได้แค่ที่เมืองนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือพระราชวังตามที่คุณบอกจริง ๆ คุณคงจะตาฝาดเสียแล้วล่ะครับ”

พูดจบอีกฝ่ายก็ขอตัวไปบริการแขกโต๊ะอื่น ๆ ปล่อยให้ไอรดานั่งงุนงงอยู่ตามลำพัง

หลังจากที่ออกมาจากโรงแรมในช่วงเช้า ตลอดวันนั้นไอรดาก็เดินสะพายกระเป๋าแบกกล้องถ่ายรูปตระเวนไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งโบราณสถานสำคัญ ๆ ของเมืองอนุราธปุระ อาณาบริเวณกว้างขวางมีซากปรักหักพังซึ่งบางแห่งมีการบูรณะอนุรักษ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์ คล้ายกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยศรีสัชนาลัยของประเทศไทย

ไอรดาเลือกที่จะเข้าไปสักการะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งถือเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุกว่า 2,500 ปี

ศิลปะแบบอนุราธปุระได้รับอิทธิพลทางศิลปะมาจากประเทศอินเดียที่เข้ามาเผยแพร่ในศรีลังกา จนทำให้เกิดแนวความคิดการเคารพบูชาสถูปในฐานะสัญลักษณ์สำคัญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาที่น้อยคนนักจะได้เห็น

เจ้าของร่างบางสวมหมวกสีขาวบังแดดตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปเก็บความงามของโบราณสถานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนถึงขนาดลืมระมัดระวังกระเป๋าสะพายของตน

ขณะที่หญิงสาวกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการถ่ายภาพนั้น จู่ ๆ ก็มีชายชาวพื้นเมืองผิวคล้ำแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายสีสกปรกคนหนึ่งทำทีเดินเข้ามาใกล้และเมื่อสบโอกาส ชายคนดังกล่าวก็วิ่งเข้ามากระชากกระเป๋าไปจากเธอทันที

“ว้าย !!”

ไอรดาอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ กระเป๋าสะพายถูกชายแปลกหน้ากระชากไปจากไหล่ข้างขวา พร้อมกับผลักเธอให้ล้มลงกับพื้นโดยแรง ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นชายคนดังกล่าวก็วิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ช่วยด้วยค่ะ ! โจรวิ่งราวกระเป๋า ใครก็ได้ช่วยที”

ไอรดาร้องตะโกนด้วยความตกใจเนื่องจากกระเป๋าใบนั้นล้วนแต่มีเอกสารสำคัญรวมทั้งหนังสือเดินทางอยู่ด้วย ทว่าโจรกระชากกระเป๋าวิ่งเร็วมาก อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าวิ่งไล่ตามไปช่วยชิงกระเป๋าคืนมาให้กับเธอเลยสักคน

“บ้าจริง”

เจ้าของใบหน้าหวานกัดฟันช่วยตัวเองด้วยการยันตัวลุกขึ้นวิ่งไล่ตามโจรกระชากกระเป๋าไปจนสุดฝีเท้า

“หยุดนะ บอกให้หยุด”

ไอรดาตะโกนสุดเสียงแต่ก็ไร้ผล เพราะนอกจากโจรคนดังกล่าวจะไม่ยอมหยุดฟังเสียงของเธอ ยังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งทิ้งห่างไกลออกไปอีกด้วย ไอรดาแทบหมดแรงนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยขณะมองดูโจรกระชากกระเป๋าวิ่งห่างออกไปทุกขณะ

โครมม

ทันใดนั้นเองสวรรค์ก็ได้ส่งพลเมืองดีเข้ามาช่วยหญิงสาว เมื่อวินาทีที่โจรผิวคล้ำกำลังจะวิ่งหนีเข้าไปภายในซอกตึก ก็มีชายคนหนึ่งขัดขาเอาไว้จนโจรกระชากกระเป๋าสะดุดเซถลาล้มคว่ำลงกับพื้นท่ามกลางเศษฝุ่น เนื้อตัวถลอกปอกเปิกร้องโอดโอย

“บัดซบ..อูย” โจรผิวคล้ำด่าทอเป็นภาษาพื้นเมืองด้วยความโกรธ และรีบยันกายลุกขึ้นตั้งท่าถลาเข้าเล่นงานผู้ที่เข้ามาขัดขวาง

ทว่ายังไม่ทันได้เข้าถึงตัวจู่ ๆ ก็สะดุดคว่ำหน้าลงกับพื้นดินราวกับมีอะไรบางอย่างตรงเข้ากระแทกและกดทับอยู่บนหลัง ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้แม้แต่ปลายเล็บ

“อะ..อะ”
ไม่เพียงแต่ขยับตัวไม่ได้เท่านั้น แต่โจรผิวคล้ำยังไม่อาจเปล่งเสียงออกมาราวกับเป็นใบ้ มันพยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาขัดขวาง กระทั่งตาเหลือกลานเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีนิลเป็นประกายวาวราวกับดวงตาของสัตว์ยามต้องแสงไฟ

“..ไปซะ”

เจ้าของร่างสูงกล่าวเสียงเย็นเฉียบ ก่อนที่อำนาจบางอย่างที่กดทับร่างของชายผิวคล้ำจะคลายลง ซึ่งทันทีที่โจรกระชากกระเป๋าขยับตัวได้ มันก็รีบตะลีตะลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปจากบริเวณซอกตึกด้วยความกลัวสุดขีด

ในที่สุดไอรดาก็วิ่งตามมาจนทัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายพื้นเมืองผิวคล้ำวิ่งสวนมาทางเธอพอดี หญิงสาวรีบก้าวเท้าเข้าขวางพร้อมกับตะโกนสั่งให้หยุด

“เอากระเป๋าฉันคืนมานะ”

แต่อีกฝ่ายยังคงวิ่งตะบึงมาทางเธอ โดยแทบจะมองไม่เห็นเจ้าของทรัพย์ที่ตัวเองเพิ่งจะฉกเอามาเลยด้วยซ้ำไป ก่อนจะเบี่ยงหลบไปทางขวาและกระแทกเอาไหล่บางจนไอรดาถึงกับเซล้มก้นกระแทกกับพื้นเป็นครั้งที่สอง

“ว้าย !?”

หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บระคนตกใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ปรากฏว่าชายพื้นเมืองคนดังกล่าววิ่งเตลิดไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

“เดี๋ยวก่อนแล้วกระเป๋าของฉันล่ะ ในนั้นมีพาสสปอร์ตอยู่ด้วยนะ” ไอรดาร้องโวยวาย ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นวิ่งตามไปก็เหลือบไปเห็นพลเมืองดีก้าวออกมาจากบริเวณซอกตึกพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบใหญ่เสียก่อน

“ขอโทษนะครับ กระเป๋านี่เป็นของ ๆ คุณหรือเปล่า”

น้ำเสียงทุ้มลึกชวนฟังเอ่ยถามขึ้น ซึ่งทันทีที่ไอรดามองเห็นใบหน้าของคนพูดชัด ๆ เธอก็ถึงกับลืมตัวจ้องมองเขานานหลายวินาที ด้วยว่าพลเมืองดีที่ช่วยเธอเอาไว้หาได้มีลักษณะแบบเดียวกับชาวพื้นเมืองที่หาคุ้นตาไม่ แต่กลับมีใบหน้าและรูปร่างสูงสง่าแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ดวงตาดำขลับเหนือจมูกโด่งเป็นสันดูราวกับนิลเนื้อดีที่ไร้ตำหนิ ใบหน้าคมคายและผิวที่ค่อนข้างขาวตัดกับสีผมสีดำสลวยเป็นเงางามระต้นคอ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เข้ากันได้ดีกับผ้าฝ้ายสีดำที่ตัดอย่างประณีตตลอดทั้งลำตัว ส่งผลเขาดูราวกับเจ้าชายที่ออกมาจากบทกวี

วินาทีแรกที่ไอรดาสบเข้ากับดวงตาสีนิลลึกล้ำ ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นดูราวกับว่ากำลังตกอยู่ภายในห้วงแห่งฝันและมนต์สะกด ทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ จนกระทั่งเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองของเธอจึงได้เอ่ยเบา ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้ม

“คุณครับ”

“อุ้ย” ไอรดาสะดุ้งโหยง ลืมตาตื่นขึ้นจากความฝันแทบไม่ทัน

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้ ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้คุณช่วยแย่งกระเป๋าคืนมาล่ะก็ฉันคงแย่แน่ ๆ”

ไอรดาก็รีบกล่าวคำขอบคุณอีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย ซึ่งจากสายตาของหญิงสาวเธออดคิดไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเขาช่างอบอุ่นดีเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรครับ มาเถอะให้ผมช่วยประคองคุณลุกขึ้นดีกว่า”

เขาเอ่ยพร้อมกับเอื้อมมือไปกระชับต้นแขนเรียวบางและออกแรงดึงเธอให้ลุกขึ้นอย่างง่ายดายด้วยกำลังแขนขวาเพียงข้างเดียว เมื่อช่วยเธอตั้งหลักได้แล้วเจ้าของร่างสูงก็ยื่นส่งกระเป๋าสะพายใบใหญ่กลับคืนให้กับไอรดา

“นี่ครับกระเป๋าของคุณ” เขาเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ

ไอรดารับมากอดไว้แนบอก พลางยิ้มเจื่อน ๆ และขอบคุณเขาอีกครั้ง

“ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ เอ่อ..”

“ซาบารัตมันครับ”

“เอ๋ ?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัย เขาจึงต่อให้พร้อมกับรอยยิ้ม

“คุณไม่อยากรู้ชื่อผมหรือครับ”

“ปะ เปล่าค่ะ” ไอรดารีบปฏิเสธทันควัน

เมื่อครู่ ดูราวกับว่าเขากำลังอ่านใจเธออย่างนั้นแหละ

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณซาบารัตมัน ดิฉันไอรดาเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาเยือนประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก แล้วก็ขอขอบคุณคุณอีกครั้งที่ช่วยฉันเอาไว้”

เจ้าของดวงหน้างามยิ้มให้กับเขาพร้อมกับยื่นมือออกไปตรงหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะสัมผัสมือเธอและออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับผมเองในฐานะชาวสิงหลคนหนึ่งย่อมไม่ต้องการให้ประเทศถูกมองในแง่เสียหายเช่นกัน”

“ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดีนั่นแหละค่ะ” ไอรดาเอ่ยอย่างเกรงใจ ขณะลอบมองเขาอย่างอดพินิจพิจารณาไม่ได้ กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิม

“สงสัยอะไรในตัวผมหรือครับ”

“คะ เอ่อ..” ไอรดาลังเลที่จะถามเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ถ้าเป็นเรื่องที่พอจะตอบคุณได้ผมก็ยินดี”

ดังนั้นหญิงสาวจึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ อย่างระมัดระวัง

“ขอโทษนะคะ คุณซาบารัตมันมีพื้นเพเป็นชาวศรีลังกาเลยหรือคะ”

ดวงตาสีนิลเป็นประกายเล็กน้อย หลังจากที่สัมผัสได้ถึงความสงสัยที่เจือปนอยู่ในคำถามดังกล่าว หากแต่เขาก็ยังเลือกที่จะยิ้มและตอบเธออย่างเป็นมิตร

“ใช่ครับ ผมเกิดที่ประเทศนี้และเป็นชาวศรีลังกาตั้งแต่กำเนิด”

“งั้นเหรอคะ”

“ทำไมหรือครับ”

“เปล่าค่ะ...คือฉันเพียงแต่คิดว่าคุณซาบารัตมันดูไม่เหมือนกับชาวพื้นเมืองทั่วไปเท่านั้น ขอโทษนะคะฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณเลย เพียงแต่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้น โปรดอย่าถือสาเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ซาบารัตมันยิ้มให้กับเธอ

ความใจดีของเขาทำให้ไอรดารู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลังจากเผลอตัวทำเรื่องเสียมารยาทกับซาบารัตมันทำให้หญิงสาวแทบไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตรง ๆ จนทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นความอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในดวงตาสีดำเป็นประกายคู่นั้น

“ตายจริง”
ไอรดาอุทานแผ่วหลังจากที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา

“ขอโทษนะคะ ฉันนัดกับคนขับรถส่งผู้โดยสารเอาไว้ตอนบ่ายสามโมงเพื่อรับกลับโรงแรม นี่ก็เลยเวลาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วขอตัวก่อนนะคะ”

เจ้าของใบหน้าคมคายชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือของหญิงสาวเล็กน้อย และเมื่อเห็นจริงตามนั้นเขาจึงไม่รั้งเธอไว้ให้เสียเวลา

“เชิญคุณเถอะครับ ผมเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน” เขายิ้มให้เธอ “เจอกันครั้งหน้า หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากกว่านี้นะครับ...คุณไอรดา”
ไอรดากระพริบตาถี่ ๆ “คุณรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอคะ”

“เปล่าครับ” เขากล่าว “เพียงแต่ตอนที่จับโจรวิ่งราวเมื่อกี้นามบัตรของคุณร่วงตกลงมาด้วย ผมจึงเดาเอาว่าเป็นชื่อคุณ”

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มีน้ำใจ แต่ฉันวางแผนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปที่เมืองอื่น ๆ การพบกันระหว่างเราคงเป็นไปได้ยากเต็มที”

หากแต่ซาบารัตมันไม่มีทีท่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเพียงแต่จ้องมองเธอด้วยนัยน์ตาเป็นประกายโดยที่ไม่ตอบว่าอย่างไร เมื่อเห็นดังนั้นไอรดาจึงยกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่และขอตัวเดินกลับไปยังจุดนัดพบ

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอกล่าวคำอำลาตามมารยาท “หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

“เช่นกันครับ”

“ลาก่อนค่ะ คุณซาบารัตมัน”

พูดจบหญิงสาวก็ผละเดินไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินกันพลุกพล่าน โดยมีเจ้าของร่างสูงมองตามเนิ่นนาน และมองเห็นเธอได้แม้กระทั่งยามที่ร่างบางเดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร

“ผมรู้...ว่าเราจะต้องได้พบกันอีก ไอรดา”

ซาบารัตมันกระซิบแผ่ว ดวงตาเป็นประกายล้ำลึก...





เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 17:24:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 17:25:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1991





   ดั่งภาพเนรมิต >>
เบลินญา 6 เม.ย. 2554, 17:29:21 น.
เอานิยายจากบอร์ดสิรินดาเวอร์ชั่นเก่า มาลงใหม่ค่ะ
ขออนุญาติเอามาลง 5 ตอน
ตอนสุดท้าย จะเป็นการเล่นเกมชิงหนังสือค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจนะคะ





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account