สีคิริยา...มนตราแห่งรัก
ณ ดินแดนแห่งความฝัน และอารยธรรมรุ่งเรืองยาวนานกว่าหนึ่งพันปี

ไอรดาละทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ หวังเติมเต็มความฝันที่ขาดหาย

ทว่า ใคร...จะคาดคิดว่า ภายใต้ซากมหานครเก่าแก่สลักเสลาด้วยภาพนางอัปสรงามวิจิตร

จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชักนำไปสู่การพบกัน ระหว่างหญิงสาวผู้ข้ามผ่านห้วงอนาคต...และหัวหน้าโจรกบฏ ผู้ไม่เชื่อในบัญชาสวรรค์

โชคชะตากำหนดให้ทั้งคู่ ร่วมถักทอที่เคยขาดหาย ไกลจรดเส้นขอบฟ้า

พันธนาการหัวใจ มิให้พรากจาก...ดุจดังเช่นคำสัญญา
‘เราจะอยู่ร่วมกัน...นิรันดร'

Tags: นิยายรัก โรแมนติก ตบจูบ เจ้าชาย เจ้าหญิง รักหวานซึ้ง กินใจ

ตอน: ดั่งภาพเนรมิต

บทที่ 2
สีหคีรันคะ

หลังจากที่กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมและรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ไอรดาก็เตรียมตัวอาบน้ำและจัดกระเป๋าเดินทางต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของประเทศศรีลังกาตามที่วางแผนเอาไว้

“โชคดีจังเลยที่หนังสือเดินทางกับกระเป๋าเงินอยู่ครบ”

ไอรดาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าของสำคัญในกระเป๋ายังอยู่ครบหมดทุกอย่าง “ดีนะที่ได้คุณซาบารัตมาช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่”

พูดไปแล้วไอรดาก็อดที่หวนนึกไปถึงชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีนิลไม่ได้ ในความรู้สึกของเธอนับตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกับซาบารัตมันเขาทั้งกล้าหาญและดูเป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้วจนทำให้หญิงสาวเผลอใจนึกถึงเขาโดยไม่รู้ตัว…

“บ้าจริง มัวคิดอะไรอยู่ได้นะเรา”

เธอพึมพำเบา ๆ ขณะเทของในกระเป๋าออกมาทั้งหมดเพื่อตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาจะสะดุดเข้ากับแหวนทองคำขาววงเล็ก ๆ ที่เธอเคยสวมใส่เป็นเจ้าของเมื่อหลายเดือนก่อน

“แหวนหมั้น..”

หลายเดือนก่อนมันเป็นของขวัญล้ำค่าที่ชยุตมอบให้กับเธอในวันครบรอบวันเกิดที่ผ่านมา ก่อนที่เขาจะทรยศหักหลังด้วยการคว้าเอาเพื่อนสนิทของเธอมาเป็นเมีย จนเป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจถอนหมั้น รวมไปจนถึงการถอดแหวนอันมีค่าทิ้งอย่างไม่ใยดี

“จนป่านนี้แล้วยังคิดเสียดายอยู่อีก” เธอยิ้มเยาะกับตัวเอง “ของแบบนี้เก็บไปก็รังแต่จะทำให้เจ็บปวดใจเปล่า ๆ”

พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังถังขยะมุมห้องก่อนจะหย่อนมันทิ้งลงไปในนั้นอย่างไม่คิดเสียดาย

“รู้อย่างนี้ทิ้งไปซะตั้งแต่แรกก็ดี”

หญิงสาวถอนหายใจยาวหมุนตัวเดินกลับไปหน้าต่างสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด สายลมเย็นปะทะใบหน้าและเส้นผมจนสะบัดไหวพลางทอดสายตามองไปยังภาพบ้านเรือนและทิวทัศน์จนสุดลูกหูลูกตา

“เอ๊ะ”

ขณะที่กำลังปล่อยใจคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้น คิ้วงามก็มีอันต้องขมวดเข้าหากัน เมื่อภาพปราสาทบนภูเขาสีเขียวที่เห็นเมื่อเช้าวานนี้ ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว

“เป็นไปได้ยังไงกันเมื่อเช้านี้ยังเห็นอยู่เลยนี่นา”

ไอรดาอุทานด้วยแปลกใจ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าส่งผลให้ไอรดาถึงกับยืนอึ้งไปนานหลายนาที กระทั่งหวนนึกไปถึงคำพูดของพนักงานโรงแรมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

คุณคงจะตาฝาดกระมังครับ

ไอรดาจัดการรูดม่านเข้าหากันเพื่อตัดปัญหาความฟุ้งซ่าน และเดินกลับไปนั่งบนเตียงด้วยความรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก

“สงสัยว่าเราคงจะเหนื่อยมาก จนถึงขั้นตาฝาดอย่างที่ตาคนนั้นบอกแล้วแน่ ๆ”

หญิงสาวสลัดความคิดแปลก ๆ ออกไปจากศีรษะ พลางดึงเอาแผนที่ที่นำติดตัวมาด้วยกางลงบนเตียงเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อกระทั่งไล่สายตาขึ้นไปทางทิศเหนือที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองอนุราธปุระมากนัก

“จุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี่มันอะไรกันนะ”

ไอรดามองดูจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ในแผนที่ที่ซึ่งดูคล้ายกับโบราณสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่ง

“สิคิ..ริ..ยา” หญิงสาวสะกดตัวอักษรภาษาอังกฤษ “ตรงนี้เขียนว่าภูเขาสิคิริยางั้นเหรอ”

ไอรดาหยิบหนังสือท่องเที่ยวที่รวมเอาสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในประเทศศรีลังกาขึ้นเปิดดูก็พบว่าในนั้นมีรูปภาพและข้อความเขียนถึงภูเขาสิคิริยาอยู่ด้วย

เธอจ้องมองดูภาพถ่ายภูผาหินขนาดใหญ่ อันเป็นที่ตั้งของซากพระราชวังกับป้อมปราการ ภูเขาหิน อันเป็นสถานที่ตั้งของซากปราสาทโบราณ ที่ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี

“ภูเขาสิคิริยา...ซากพระราชวังที่ประทับของอดีตพระเจ้ากัสสัปปะ”

ไอรดาหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจ ในนั้นยังมีอีกหลายภาพรวมไปจนถึงภาพผนังรูปนางอัปสรอันอ่อนช้อยงดงาม

“น่าสนใจดีแฮะ วันพรุ่งนี้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองสิคิริยาเลยดีกว่า”

ไอรดาบอกกับตัวเองหลังจากที่ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน หญิงสาวใช้ปากกาทำเครื่องหมายบนแผนที่ และทำท่าจะพับเก็บมันไว้ในกระเป๋าอย่างเดิม จู่ ๆ บางอย่างก็แวบขึ้นมาในสมองโดยไม่รู้ตัว

“แปลกจัง...รู้สึกคุ้นตายังไงชอบกล”

ร่างบางหยิบเอาหนังสือรวมแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาเปิดดูภาพภูเขาสิคิริยาอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่พิจารณาภาพถ่ายอยู่นาน ไอรดาก็พลอยอดคิดไม่ได้ว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิคิริยาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับปราสาทปริศนาที่เธอเคยเห็นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

มีทั้งพระราชวัง...และภูเขาหิน

ต่างกันเพียงเวลาและสถานที่เท่านั้น

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วเราเมืองสีคิริยาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ไอรดาปิดหนังสือและยัดมันเก็บเข้าไปในกระเป๋าเดินทางอย่างเดิม ก่อนเอนกายนอนลงบนเตียงปล่อยอารมณ์และความคิดเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเป็นสุข...

ภายหลังจากที่ใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินนานเกือบครึ่งชั่วโมง ไอรดาก็มาถึงสนามบินเมืองสิคิริยาหรือ สีหคีรันคะ หญิงสาวใช้เวลาไม่มากในการหารถที่พาเธอไปยังโรงแรม ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองสิคิริยาที่ปัจจุบันถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับของศรีลังกา

“คุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือครับมาดาม” คนขับรถร่างท้วมผิวคล้ำเอ่ยถามเธอตามประสาคนมีอัธยาศัย

“ค่ะ” ไอรดาตอบยิ้ม “ฉันเพิ่งเคยมาเที่ยวที่ประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก”

“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ประทับใจกับบ้านเมืองของที่นี่หรือเปล่า”

“ฉันชอบไปยังประเทศที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณค่ะ มันมีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูกและศรีลังกาก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยจริง ๆ”

คำตอบของเธอทำให้คนขับรถอวดยิ้มฟันขาวพร้อมกับหัวเราะเสียงดังอย่างภาคภูมิใจ

“คุณมาถูกที่แล้วล่ะครับมาดาม เพราะในศรีลังกาคุณจะได้พบกับทุกสิ่งที่คุณต้องการ”

ไอรดาเพียงแต่ยิ้มบาง ๆ และไม่ตอบว่าอย่างไร หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพื่อเก็บความประทับใจตลอดการเดินทาง กระทั่งมองเห็นผาหินสูงตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือโดยมีระยะห่างจากเส้นทางที่รถกำลังแล่นอยู่

หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าที่นั่นคือบริเวณที่ตั้งของเมืองโบราณสิคิริยา…

ไม่ช้าไอรดาก็มาถึงโรงแรมที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในสิคิริยา ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองมาตาเลที่ขึ้นชื่อเรื่องสวนสมุนไพรและแหล่งรวมเศรษฐกิจจากประเทศญี่ปุ่นแตกต่างไปจากพื้นที่ราบและปกคลุมไปด้วยผืนป่าอย่างสีคิริยา

เจ้าของร่างบางลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอินในโรงแรมนำของขึ้นไปเก็บไว้บนห้องพักชั้นสาม ไอรดาใช้เวลาพักผ่อนไปกับการอาบน้ำและรับประทานอาหารไม่นานก่อนเดินกลับลงมาที่ชั้นล่างโดยไม่ลืมที่จะนำกระเป๋าสะพายกล้องติดตัวไปด้วย

“ขอโทษค่ะฉันต้องการไปเมืองโบราณสีคิริยา ไม่ทราบว่าทางโรงแรมพอจะมีบริการรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวหรือเปล่าคะ”

ไอรดาเดินตรงไปหาพนักงานโรงแรมหลังเคาท์เตอร์เพื่อสอบถามข้อมูล

“มีค่ะกรุณานั่งรอสักพักนะคะ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงรถช่วงบ่ายก็จะออกวิ่งแล้ว” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้นตอบ

“หนึ่งชั่วโมงเลยเหรอคะ” ไอรดาถึงกับอุทาน

“ใช่ค่ะ”

คำตอบของพนักงานโรงแรมส่งผลให้หญิงสาวคิดหนัก เนื่องจากโดยนิสัยส่วนตัวแล้วเธอไม่ชอบการรอคอยมากนัก

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ฉันจะลองออกไปหารถรับ-ส่ง เอาเองก็แล้วกัน”

พูดจบร่างบางก็เดินออกไปทางประตูโรงแรม พร้อมกับมองหารถรับ-ส่งนักท่องเที่ยว กระทั่งชาวพื้นเมืองแนะนำให้ไปขึ้นรถโดยสาร

เพียงช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถคันดังกล่าวก็นำผู้โดยสารมาส่งยังบริเวณปากทางเข้า ไอรดากับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ จึงทยอยกันลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปยังเมืองโบราณที่มีศูนย์กลางของเมืองอยู่ที่ภูผาหินขนาดยักษ์ อันเป็นที่ตั้งของซากพระราชวังกับป้อมปราการที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี

ไอรดาแหงนหน้ามองยอดภูเขาหินอย่างอัศจรรย์ใจ บริเวณลานข้างล่างประกอบไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน และสระน้ำขนาดใหญ่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐหลายชั้น

โดยในตำนานกล่าวเอาไว้ว่าเป็นสถานที่ที่พระเจ้ากัสสปะทรงสร้างเอาไว้ให้เหล่านางสนมลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน สมดังตำนานที่เคยเปรียบไว้ว่าเป็นดั่งเมืองของชาวสวรรค์

“นี่น่ะเหรอ...เมืองสีคิริยา”


หลังจากที่ใช้เวลาเดินชมเมืองด้านล่างจนพอใจไอรดาก็เลือกที่จะไต่บันไดขึ้นไปชมซากพระราชวังโบราณบนยอดเขาสิคิริยาที่มีความสูงพอสมควร

หญิงสาวเดินชั้นสูงขึ้นไปเกือบกลางภูเขาเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคนอื่น และพยายามเดินชิดด้านในให้มากที่สุดเนื่องจากสายลมที่พัดแรง จนหญิงสาวต้องหยุดพักหายใจอยู่หลายครั้ง

“อุ้ย”

ไอรดาอุทานด้วยความตกใจ หลังจากที่จู่ ๆ ก็มีชายชาวพื้นเมืองรูปร่างกำยำคนหนึ่งถือวิสาสะเดินตรงเข้ามาจับแขนของเธอ และอาสาช่วยจูงขึ้นไปข้างบน

“ให้ผมช่วยพาขึ้นไปนะครับคุณผู้หญิง”

เจ้าของใบหน้าหวานงุนงงเล็กน้อย แต่หลังจากที่สื่อสารกันครู่หนึ่ง จึงทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นชาวเมืองที่รับจ้างอาสาช่วยจูงหรือพยุงนักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนนั่นเอง แต่เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างแพง จึงทำให้ไอรดาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไรค่ะฉันเดินขึ้นไปเองได้”

ร่างบางดึงแขนออกก่อนตั้งหน้าตั้งตาเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ขึ้นไปอย่างไม่ใยดี และสังเกตเห็นด้วยว่านักท่องเที่ยวบางคนก็เจอปัญหาแบบเดียวกันกับเธอเช่นกัน

ไอรดาเดินขึ้นไปถึงบันไดเวียนทำจากแผ่นเหล็กทอดเป็นสะพาน ชมภาพภาพวาดของนางอัปสรอายุนานนับพันปี ที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะลบเลือนไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังคงมีสีสันสวยงาม หญิงสาวหยุดถ่ายภาพเก็บความงามเป็นระยะ

หลังจากที่อดทนไต่ระดับขึ้นไปประมาณกึ่งกลางของความสูงของภูเขาหิน หญิงสาวก็ได้มีโอกาสมายืนอยู่บริเวณ ‘ลานสิงหบาท’ ที่สลักจากก้อนหินขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นรูปเท้าสิงห์ เล็บยาวถึง 7-8 ฟุต ระหว่างเท้าสิงห์ทั้งสองตรงกลางเจาะทำเป็นบันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขา ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันไม่แพ้กัน

“นั่งพักสักเดี๋ยวดีกว่า”

ไอรดายืนหายใจหอบก่อนเดินไปนั่งพักบริเวณขอบลานสิงห์ หญิงสาวมองไปรอบ ๆ สลับกับการถ่ายภาพ และเริ่มจินตนาการถึงเหล่าบริวารและนางข้าหลวงของพระราชา หมอบกราบอยู่บนลานแห่งนี้ในยามค่ำคืนเพื่อคอยรับใช้พระเจ้ากัสสปะกับพระมเหสีที่เสด็จขึ้นไปประทับบนปราสาทตามลำพังบนยอดเขา

ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของอารยธรรม และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งในอดีตพระเจ้ากัสสปะเคยรับสั่งให้คนงานเนรมิตภูเขาหินให้กลายเป็นพระราชวังอันวิจิตร โดยใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 7 ปี

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนโบราณจะสามารถเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นสวนสวรรค์ได้”

ไอรดารำพึงกับตัวเองขณะแหงนหน้ามองดูบันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังอันเป็นที่ประทับของอดีตกษัตริย์ผู้รุ่งเรืองเมื่อเกือบหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน

ทันทีที่หายเหนื่อย ร่างบางก็ลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ขึ้นไปยังบันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขา ซึ่งเป็นหน้าผาที่ค่อนข้างชัน

หญิงสาวใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะเดินขึ้นไปถึง ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวข้ามพ้นบันไดขั้นสุดท้ายสายลมแรงก็พัดกรรโชกปลิวเข้าใส่เธออย่างรุนแรง

วิ้ววว

“ว้าย”

สายลมที่พุ่งเข้าปะทะใบหน้าตลอดจนลำตัวของเธอ ส่งผลให้ไอรดาต้องหลับตาจนเกือบเสียหลักพลัดหล่นจากบันได ทว่าโชคยังดีที่เธอมีสติยื่นมือออกไปยึดกับราวเหล็กเอาไว้มั่น พร้อมทั้งรีบพยุงตัวก้าวเท้าข้ามบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นไปยืนอยู่บนลานหินผาอย่างรวดเร็ว

วินาทีนั้นเองไอรดาก็สึกราวกับว่าตัวเองถูกดูดเข้ามาในช่องว่างของอากาศ อันเป็นจุดกึ่งกลางของกาลเวลาในอดีตและปัจจุบัน

กระทั่งเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหญิงสาวก็ต้องพบกับภาพที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดในชีวิต เนื่องจากสถานที่ที่เธอยืนอยู่นั้นแตกต่างไปจากภาพของพระราชวังโบราณอย่างที่เคยคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

“นี่มันอะไรกัน”

ไอรดากระซิบเสียงแผ่วจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงของมนต์สะกด เมื่อพระราชวังล้วนถูกสร้างขึ้นและตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม และเต็มไปด้วยสิ่งน่ารื่นรมย์มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นสวนพฤกษชาติที่กำลังออกดอกสีสันสวยงามหรือกระทั่งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยน้ำพุอยู่บริเวณใจกลาง โดยมีฝูงนกยูงกำลังร่ายรำอวดขนหางอยู่บนลานระบำหินอ่อนราวกับปักษาสวรรค์

ความงามที่ดูไม่เหมือนกับที่สถานที่ใดบนโลกส่งผลให้ไอรดาถึงกับยืนตะลึงพูดไม่ออกนานหลายนาที

ไม่ช้าเธอก็ได้ยินเสียงดนตรีคล้ายพิณดังมาแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงของมันดังกังวาน ราวกับระฆัง ผสมผสานกับเสียงหัวเราะต่อกระซิกของพวกผู้หญิงที่ดูเหมือนว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเล่นอย่างสนุกสนาน

“ไม่อยากจะเชื่อเลยก็ไหนหนังสือเขียนเอาไว้ว่าเหลือแต่ซากพระราชวังนี่นา” หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง

ไอรดาเริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดแผกไปจากเดิม ขณะที่เสียงดนตรีเสียงหัวเราะยังคงดังแว่วมาให้ได้ยิน ทำให้หญิงสาวตัดสินใจเดินตามเสียงเหล่านั้นไปยังบริเวณด้านหลังสวนพฤกษชาติด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ หายไปไหนกันหมดนะ”

‘อย่าไปทางนั้น’

ขณะที่ร่างบางกำลังจะเดินอ้อมไปยังด้านหลังของสวนพฤกชาติ จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน กระแสความอบอุ่นที่คุ้นเคยนั้นส่งผลให้ไอรดาหันควับไปมองยังบริเวณริมสระน้ำฝั่งซ้ายมือทันที

วินาทีที่หญิงสาวมองเห็นร่างสูงสง่าภายใต้ชุดสีดำตลอดทั้งลำตัว ไอรดาก็ถึงกับอุทานเสียงดังด้วยความดีใจ

“ซาบารัตมัน”

เจ้าของใบหน้าคมคายจ้องตรงมาที่เธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีนิลดำขลับราวกับอัญมณีกลมกลืนกับชุดสีดำและผ้าโพกศีรษะราวกับท้องฟ้ายามราตรี ไอรดาจึงเปลี่ยนทิศทางและวิ่งตรงไปหาเขาด้วยความดีใจ โดยแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่สีคิริยาละคะ” เธอเอ่ยถามดวงตาเป็นประกายยินดี “ดีใจจังก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเราไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วซะอีก”

เพียงช่วงวินาทีก่อนหน้าที่ไอรดาจะทันได้เข้าถึงตัว ซาบารัตมันก็หมุนตัวกลับพร้อมทั้งเดินตรงไปยังลานหน้าน้ำพุใกล้กับบริเวณทางลงบันได ด้วยความเร็วที่เธอไม่อาจตามได้ทัน

“เดี๋ยวก่อน ทำไมต้องเดินหนีด้วยล่ะ”

หญิงสาวตะโกนถามด้วยความแปลกใจแต่ไม่ว่าเธอจะพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าไหร่ ซาบารัตมันก็ดูเหมือนจะยิ่งทิ้งห่างไกลออกจากเธอมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งร่างบางเดินทะลุสวนดอกไม้ออกมายืนอยู่บริเวณลานหน้าสระน้ำพุขนาดใหญ่ อันเป็นบริเวณที่เธอเหยียบย่างขึ้นมาเป็นก้าวแรก

“ซาบารัตมัน”

ไอรดาทำท่าจะก้าวเข้าไปหาเขา ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ยอมพูดอะไรและเพียงแต่ยกมือขึ้นชี้นิ้วตรงไปยังประตูทางลงบันไดสู่ลานสิงหบาทเบื้องล่าง ทำเอาเธอถึงกับงงจนทำอะไรไม่ถูก

‘กลับไปเถอะ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาที่นี่’ ซาบารัตมันเอื้อนเอ่ยโดยที่ไอรดาแทบมองไม่เห็นริมฝีปากได้รูปขยับเลยแม้แต่น้อย

การกระทำของเขาตลอดจนพระราชวังอันรโหฐานของที่นี่ ล้วนแต่สร้างความประหลาดใจให้กับไอรดาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน และเหตุใดซาบารัตมันที่ควรจะอยู่ในเมืองอนุราธปุระถึงมาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาสีคิริยาได้

ในหัวสมองของเธอ

จึงมีแต่คำว่า ‘ทำไม’ และ ‘ทำไม’ อยู่เต็มไปหมด

“นี่มันเรื่องอะไรกัน จู่ ๆ ก็จะไล่ฉันให้กลับลงไปเลยเหรอ”

เธอถามเสียงกระด้าง ทว่าอีกฝ่ายได้แต่นิ่งเฉยไม่ยอมตอบโต้ ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของหญิงสาวในเชิงลบขึ้นมาทันที

“ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะ โบราณสถานประเภทไหนกันถึงได้มีการบูรณะซะจนใหม่เอี่ยมขนาดนี้”

หญิงสาวประชดประชันก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังบริเวณประตูทางลงบันไดกลับไปยังชั้นล่าง โดยทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนเรียวปากได้รูปนั้น

ทว่าก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวข้ามพ้นขอบประตูไอรดาก็ดูคล้ายกับว่ายังลังเลสงสัยในบางสิ่งบางอย่าง เกี่ยวกับคำพูดของเขาจึงได้เหลียวกลับไปถามเป็นครั้งสุดท้าย

“ว่าแต่คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่..”

ท้ายประโยคขาดหายไปทันทีเพราะทันทีที่เธอหันกลับมาทางเขา ซาบารัตมันก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่บริเวณริมขอบสระน้ำอีกแล้ว

“ซาบารัตมัน” ไอรดาเรียกชื่อเขาหากแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบ “หายไปไหนนะ เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนั้นเลยนี่นา”

เจ้าของใบหน้าหวานเหลียวมองไปรอบกายเพื่อหาตัวซาบารัตมัน ทว่าสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงสระน้ำและสวนอุทยานอันงามวิจิตรเท่านั้น ไม่มีแม้แต่เงาหรือรอยเท้าของเขาปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

ราวกับว่าชายหนุ่มหายตัวไปจากโลกนี้เลยแล้ว

“ซาบารัต..”

วิ้ววว

“อ๊ะ”

ยังไม่ทันที่ไอรดาจะทันได้ตะโกนเรียกเป็นครั้งที่สอง จู่ ๆ ก็บังเกิดสายลมพัดปลิวปะทะเข้าใส่ไอรดาอย่างรุนแรง แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

เธอยกมือขึ้นบังตาพร้อมกับใช้มือยึดเกาะขอบประตูเอาไว้แน่น หากแต่ลมพายุก็ดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงพัดโหมเข้าใส่เธอราวกับกำลังต้อนหญิงสาวให้ออกไปจากเขตประตูอย่างบ้าคลั่ง

ไอรดาก้าวถอยหลังด้วยความตกใจกระทั่งถูกผลักออกมาจากเขตประตูลงมาเหยียบยืนอยู่บนชั้นบันไดขั้นแรก ซึ่งวินาทีต่อมาพายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ก็พลันสลายตัวลงทันที

เจ้าของดวงหน้างามถึงกับยืนตะลึงพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่เพียงแต่สายลมจะส่งเธอกลับออกมาจากประตูเท่านั้น หากแต่บรรยากาศภายนอกยอดเขาสีคิริยายังกลับกลายเป็นเวลาแห่งความมืดอีกด้วย

“หมายความยังไงกัน”

ไอรดาเหลียวมองไปรอบกายเพื่อมองหานักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากเธอเพียงคนเดียว อีกทั้งบนท้องฟ้าก็ยังมืดมิดและเต็มไปด้วยหมู่ดาว อันบ่งบอกถึงเวลายามค่ำคืนอีกด้วย

“ทำไมข้างนอกถึงกลายเป็นกลางคืนไปได้ล่ะ”

แวบแรกในความคิดของหญิงสาว คือการหลงว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในความฝัน แต่เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู และมองเห็นเวลาที่ปรากฏชัด ๆ ไอรดาก็มีอันต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจ

“สองทุ่ม นี่เราใช้เวลาอยู่บนนี้เกือบค่อนวันเชียวเหรอ”

ไอรดาไม่รอช้ารีบไต่ลงบันไดจากยอดเขาสิคิริยาลงมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเวลาที่มัวมาสนใจต่อเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ โชคยังดีที่ในบางจุดมีการติดตั้งหลอดไฟส่องสว่างพอที่จะมองเห็นทางเดินที่ลาดชัน

หลังจากที่ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีไอรดาก็ลงมาถึงบันไดชั้นล่าง ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังทางออกเพื่อมองหารถโดยสารทันที ทว่าที่นั่นไม่เหลือรถรับส่งจอดรออยู่เลยแม้แต่คันเดียว

“แย่แล้วจะทำยังไงกันดีละทีนี้” ไอรดาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างวิตกกังวล

ด้วยหากว่าเธอไม่สามารถหารถไปส่งที่โรงแรมได้ มีหวังคืนนี้คงต้องถูกทิ้งให้นอนกลางซากโบราณสถานอย่างไม่ต้องสงสัย

หากแต่นับว่าโชคยังเข้าข้างเธอ เนื่องจากบนท้องถนนได้มีรถยนต์แล่นผ่านมาพอดี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรถรับส่งเที่ยวสุดท้ายที่เพิ่งจะกลับมาจากการส่งผู้โดยสารไปยังเมืองถัดไป

ไอรดาจึงไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปโบกรถเพื่อขออาศัยร่วมทางกลับไปยังโรงแรมได้อย่างปลอดภัย...






เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 17:26:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 17:26:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1699





<< หญิงสาวผู้มาพร้อมกับความฝัน   มายามหานคร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account