กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 19 อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้

19


ไม่น่าเชื่อ...ในป่าลึกเช่นนี้จะมีกระท่อมให้ได้หลบพายุฝน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อสิ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าคือกระท่อมจริงๆ เป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงหญ้า มีชายคายื่นออกมาเป็นเพิง ด้านในถูกกั้นเป็นห้องด้วยฝาไม้ไผ่สานเป็นลายขัด ดูทนทาน แม้จะผุเก่าอยู่สกหน่อย

“เข้าไปหลบฝนตรงนั้นเถอะ” เขมขวัญเอ่ย ทั้งตั้งท่าจะวิ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่คิดที่จะรอคำตอบรับของเพื่อนร่วมชะตากรรมเลยแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวสิเขมขวัญ...” กริชนะคว้าข้อมือนุ่มเอาไว้ก่อน เขาไม่ค่อยวางใจที่จะเข้าพักในสถานที่ที่อาจดูเหมือนจะดีที่สุด แต่มันค่อนข้างเสี่ยงหากคนร้ายบังเอิญผ่านมาเห็นและเข้าหลบฝนที่นี่เช่นกัน

“อะไรล่ะคะ...ฝนเริ่มหนาเม็ดแล้วนะ ถ้าขืนยังยืนอยู่ตรงนี้มีหวังปอดบวมเล่นงานกันพอดี” เขมขวัญหันมามองเจ้านายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ

“ถ้าเราเข้าไปพักในนั้น คุณแน่ใจได้ยังไงว่าพวกมันจะไม่ตามมาพักกะเราด้วย”

“คุณก็เห็นไม่ใช่เหรอ พวกนั้นวิ่งไปทางด้านโน้น ฝนตกหนักอย่างนี้ มันคงไม่เสียเวลาย้อนกลับมาที่เดิมหรอก” เขมขวัญให้เหตุผล

“แต่...”

“ไม่ต้องแต่แล้ว ฝนตกหนักขนาดนี้ ฉันยังไม่อยากเป็นปอดบวมตายนะคะเจ้านาย...รีบไปกันดีกว่า” เขมขวัญบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นผู้จับจูงชายหนุ่มให้วิ่งตามเธอไปยังกระท่อมเล็ก ๆ ตรงหน้า

กริชนะมองนิ้วเรียวเรียวที่โอบกระชับรอบข้อมือของเขาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แม้ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่เขาก็จำต้องวิ่งตามเจ้าถิ่นไปยังกระท่อมที่พักตรงหน้าอันเป็นสถานที่เดียวที่พอจะใช้เป็นที่หลบพายุฝนฟ้าที่เริ่มจะตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ก็คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ชายหนุ่มคิดอย่างคนยอมรับความจริง แม้ความรู้สึกของเขาไม่สู้จะดีสักเท่าไหร่...เป็นผู้ชายซะเปล่า ในยามคับขันเช่นนี้ ไม่อาจทำตัวเป็นผู้นำหรือปกป้องใครได้ ซ้ำร้ายยังต้องยกหน้าที่นั้นให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าซะได้

แต่กว่าจะวิ่งเข้าหลบในชายคาได้ เนื้อตัวก็เปียกบอนไม่ต่างกับการกระโดดลงแช่น้ำทั้งตัว อากาศที่ร้อนชื้ออบอ้าวเวลาที่ผ่านมา ก็ค่อย ๆ ลดระดับอุณหภูมิลงเรื่อย ๆ จากร้อนกลายกลับเป็นเย็นจัด ในช่วงเวลาที่ต่างกันไม่ถึงชั่วโมง รวมไปถึงเสื้อผ้าที่เปียกปอน ทำเอาคนทั้งคู่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว

กริชนะมองหาที่นั่ง ในขณะที่เขมขวัญสำรวจพื้นที่ไปโดยรอบ กระท่อมแห่งนี้แม้ไม่มีใครอาศัยอยู่ในขณะนั้น แต่เท่าที่เห็นน่าจะไม่ใช่กระท่อมร้าง...ภายในกระท่อมดูสะอาดสะอ้าน ยังมีข้าวของบางอย่างเกี่ยวกับการดำรงชีวิตหลงเหลืออยู่ ถ้าให้เดา ที่นี่น่าจะถูกสร้างโดยชาวบ้านที่ เข้ามาพักดักสัตว์ หรือไม่ก็เพื่อหาของป่านำไปขายในเมือง

“เจ้านายหนาวไหมคะ” เขมขวัญเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาจนฟันกระทบกัน เธอหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังถลกเสื้อดึงออกผ่านทางศีรษะ เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวผ่อง กล้ามเนื้อตึงเครียดได้รูปพองาม แค่เท่านั้นก็ทำให้หัวใจเต้นตึ๊กตั๊กใบหน้าร้อนผ่าว จนต้องเมินมองไปทางอื่น


จริงอยู่ว่าประเทศที่เขาเพิ่งจากมาหลังจากไปใช้ชีวิตอยู่นานนับปีจะเป็นประเทศมีมีอุณหภูมิอากาศที่บางฤดูเย็นจัดจนหิมะตก ทว่าเมื่อต้องมาเจอสภาพอากาศร้อนชื้น สลับเย็นเฉอะแฉะแบบนี้ร่างกายก็ใช่ว่าจะปรับตัวทัน แต่เพื่อว่าเขาจะได้ไม่เป็นตัวปัญหาให้ใครต้องห่วงกังวล ก็จำต้องตอบให้อีกฝ่ายสบายใจ

“อากาศเย็นแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ว่าแต่คุณเถอะมานั่งพักตรงนี้เถอะ ดูสิปากเขียวหมดแล้ว” ชายหนุ่มตบมือลงตรงที่ว่างข้างๆ บนแคร่ที่วางอยู่ชิดผนังด้านปลอดภัยไร้กระแสลมและไอฝนเล็ดลอดเข้ามาระคายผิว หลังจากที่เขาปลดเสื้อผ้าเปียกๆออกจากตัวมาบิดๆ สะบัดๆ ให้หมาด นำมาตากไว้ยังราวไม้ไผ่ที่ถูกทำขึ้นอย่างง่าย ๆ

“ฉันกำลังหาวิธีก่อไฟ... แต่ที่นี่มีเตาอังโล่ไม่ยักกะมีไม้ขีด...” เขมขวัญบอกน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอแค่เหลือบตากลับมามองเล็กน้อย แล้วก็รีบเมินหน้าหลบ แต่กระนั้นภาพร่ายกายที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ผิวเนื้อขาวละเอียดก็ยังติดตาไม่จางไม่จางไปง่ายๆ

“ไม่มีไม้ขีดแล้วจะก่อไปยังไง”

“ก็กำลังหาวิธีอยู่นี่ไง”

ชายหนุ่มมองหญิงสาวจอมดื้อ ก็พอจะประเมินสภาพอาการของเธอได้จากอาการสั่นสะท้านเป็นระยะ แถมน้ำเสียงที่เอ่ยออกมายังสั่นเครือจนแทบจะจับความเข้าใจในประโยคคำพูดไม่ได้ “มานั่งตรงนี้เถอะ...ตรงนั้นไอฝนผ่านเข้ามาได้ ผมไม่อยากให้คุณมาเป็นปอดบวมก่อนจะพาผมออกไปจากป่านี้ได้” ชายหนุ่มเลือกใช้คำพูดที่หญิงสาวเคยใช้ให้เหตุผลของการเข้ามาพักในกระท่อมแห่งนี้

“แต่...อุ้ย!” เขมขวัญถึงกับสะดุ้ง เมื่อข้อมือของเธอถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่เย็นเฉียบ ทั้งดึงให้เธอไปนั่งแทนที่เขา บนแคร่ไม้ไผ่

“เรื่องก่อไฟ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ ถึงจะไม่มีไม้ขีด แต่ถ้ายังมีเศษไม้แห้งๆ ฟางข้าว หรือหญ้าแห้งก็น่าจะพอมีหวัง”

“คุณจะทำยังไง ไม้ขีดก็ไม่มี” คิวเรียวขมวดหมุนด้วยความสงสัย

“วิชาลูกเสือไง...จะได้ใช้ประโยชน์ก็คราวนี้แหละ” กริชนะตอบ ทั้งหันไปส่งยิ้มให้หญิงสาวที่เผลอมองรอยยิ้มนั้นจนตาค้าง นึกดีใจที่อย่างน้อยเขาก็สามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ได้

เขมขวัญมองร่างเปลือยครึ่งตัวที่กำลังขยับไปขยับมาตรงหน้า อย่างไม่คิดเชื่อว่าคนอย่างเขาจะสามารถความรู้เสริมที่เคยเรียนเมื่อครั้งยังเด็กออกมาใช้ได้จริง ยิ่งสมัยนี้แล้ว การก่อไฟด้วยวิธีดังกล่าว แทบไม่มีบรรจุในหลักสูตรให้ได้เรียนรู้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ยามฉุกเฉินเช่นนี้ด้วยซ้ำ

“ตอนเด็กๆ คุณได้เรียนลูกเสือหรือเปล่า” ชายหนุ่มชวนคุย สายตากวาดมองจนทั่วบริเวณที่เจ้าของกระท่อมน่าจะใช้เป็นครัว มีมีดพร้าสนิมเคอะเหน็บอยู่ข้างฝา ท่อนไม้ขนาดเท่าแขนยาวประมาณหนึ่งฟุตวางอยู่ข้างเตาพอหยิบขึ้นมาดูเขาก็ยิ้มเมื่อรู้ว่ามันคือไม้มวลเบาที่เขาอยากได้อยู่พอดี ใกล้ๆกันนั้นมีถังพลาสติกเก่าๆ บรรจุถ่านและกาบมะพร้าวไม่มากนัก แต่ก็พอใช้ประโยชน์ได้

“ฉันเรียนเนตรนารี” เขมขวัญตอบ อ้อมแขนของเธอกอดกระชับรัดเข่าเอาไว้แน่น เพื่อสร้างความอบอุ่นให้เพิ่มขึ้น

“เนตรนารีสอนการก่อไฟโดยไม่ใช้ไม้ขีดมั๊ย”ชายหนุ่มหยิบโน่นจับนี่มาวางกองรวมกัน แถมยังลุกเดินไปเลือกกิ่งไม้แห้งขนาดเท่านิ้วมือยาวประมาณฟุตกว่าๆ มาจากกองฟืนใกล้ๆ

“ตอนฉันเรียน มีเฉพาะการใช้เชือกผูกเงื่อนต่างๆ”

“เข้าใจสอนนะ ให้ผู้หญิงเรียนผูกเงื่อน”

“ผูกเงื่อนมันเกี่ยวอะไรกับเพศ” น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจขึ้นมานิดๆ

“เรียนไว้ผูกสามีไม่ให้หนีไปซนนอกบ้านมั๊ง”ว่าแล้วก็หัวเราะเหมือนไม่ได้อยู่ในสภาวะคับขัน“ก็ถือว่ามีประโยชน์เหมือนกัน...ว่าแต่มีเชือกสักเส้นมั๊ย”

“ไม่มีค่ะ...” คนตอบค้อนขวับ “จะเอาเชือกมาทำอะไร”

“ทำเครื่องทุนแรง”

“จะได้ผลเหรอ” เขมขวัญเริ่มงงกับวิธีก่อไปของเขา

“ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้” ไม่พูดเปล่าเขายังลุกเดินหายออกไปทางประตูพร้อมมีดพร้า ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย

ไม่นานกริชนะก็กลับเข้ามาพร้อมเถาวัลย์เส้นเล็กๆ เหนียวๆ หลายเส้น มาวางรวมกับอุปกรณ์อื่นๆที่เขาหามาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วขั้นตอนการก่อไฟก็ได้เริ่มต้นขึ้น จากหลักการเสียดสีระหว่างไม้กับไม้จนเกิดความร้อนเผาให้ไม้มวลเบาเกิดผงถ่านชิ้นเล็กๆ หลุดออกมา กริชนะเขี่ยถ่านไฟพวกนั้นใส่ลงในกาบมะพร้าวแห้ง เป่าลมสี่ห้าครั้งก็เกิดควันโขมง

“ไฟติดแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าคุณจะทำได้” เขมขวัญเอ่ยด้วยความดีใจ

“ผมทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ยังมีเวลาที่คุณจะทำความรู้จักผมอีกชั่วชีวิต”

“ใครจะอยู่กับคุณนานขนาดนั้น” ว่าแล้วก็ค้อนให้เขาอีก แม้จะรู้สึกดีที่เขาหิ้วเตาอังโล่ที่มีถ่านไฟ ให้ความอบอุ่นมาวางไว้ใกล้แคร่ที่เธอนั่ง ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย

“ผมจะผึ่งเสื้อไว้ให้คุณเปลี่ยน ทนเอาหน่อยนะ อย่างเพิ่งเป็นอะไรไปซะก่อน” ขยับมานั่งบนแคร่แทบชิดร่างบางที่นั่งอยู่ก่อน ใช้ไม้ขนาดยาวสอดเข้าไปในเสื้อของเขาที่เปียก ปิ้งเหนือไอร้อนจากเตา

“บอกตัวเองเถอะค่ะเจ้านาย อากาศแบบนี้ ฉันเจอบ่อย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันแน่นอน” เขมขวัญขยับออกห่างให้ได้ระยะที่พอเหมาะ ทั้งเชิดหน้าโอ้อวด

“ถ้าผมจะเป็นอะไร คงไม่ใช่เรื่องของอากาศ ผมกลัวไอ้พวกนั้นมันจะวกกลับมาหาเราเจอทางนี้มากกว่า อยู่กันแบบนี้ ไม่ต่างกับการที่เราอยู่ในที่แจ้ง”

แม้เขมขวัญจะเคยให้เหตุผลที่พอจะทำให้สบายได้บ้างว่าพวกนั้นมุ่งหน้าไปอีกเส้นทาง คงไม่ย้อนกลับมา แต่ใครรับประกันได้ว่ามันจะไม่วกกลับมาดั่งที่เจ้านายหนุ่มนึกกลัว

“พึ่งใครไม่ได้ ก็เห็นจะต้องผึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

“หมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มหันมามองคนข้างๆ

“ขอให้คุณป้าคุณช่วย” เธอบอก ก่อนจะลุกไปหากิ่งไม้เล็กๆ มาจ่อที่ถ่านไฟ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยมากขึ้นไปอีก

“คุณลืมไปแล้วหรือ...ป้าผมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะมาช่วยเราได้ยังไง”

“ก็เพราะอย่างงั้น ฉันถึงต้องใช้กิ่งไม้แทนธูป”

“ไร้สาระ...” กริชนะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะ สำหรับเขาแล้ว คนที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหลงงมงายไร้แก่นสารทั้งสิ้น

“ไม่เชื่อก็อยู่เฉยๆ เถอะค่ะ เคยได้ยินหรือเปล่าที่เขาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หันมาเอ่ยด้วยสีหน้าดุ ก่อนจะพนมมือที่มีกิ่งไม้จุดไฟต่างธูปยกขึ้นเหนือหัว ตั้งจิตรำลึกถึงสัมภเวสีที่มีดวงจิตผูกพันกันอย่างที่เธอไม่เคยคิดหวังจะให้เป็น ตนนั้น


ฝนกระหน่ำให้ทั่วทุกแห่งชุ่มชื่นเฉอะแฉะ เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงในการเดินทาง เพื่อค้นหาเป้าหมายที่ยังไม่พบวี่แววว่าจะเจอ จึงพวกเขาจำต้องหาที่หลบตามเพิงหินที่พอจะซุกตัวเข้าไปได้

“เอาไงล่ะลูกพี่ ฝนหนักอย่างนี้ ไม่รู้จะตกนานแค่ไหน เรากลับไปก่อนดีมั๊ย ไปสมทบกับไอ้หมีที่ดักรออยู่ที่รถ เชื่อเถอะยังไงมันก็ต้องย้อนกลับไปเอา...ทั้งหรูทั้งแพงอย่างนั้น” ผู้เป็นลูกสมุนเสนอความคิดเห็น

“จะไปทั้งแบบนี้เหรอ” คนเป็นหัวหน้าถาม ทั้งมองสายฝนที่กำลังโปรยปรายไม่ขาดเม็ด

“คงรอให้ฝนซาก่อนสิครับลูกพี่ ไม่น่าโง่เลยนี่...” พูดจบก็ตบปากตัวเองฉับ

“เอ็งว่าใครโง่วะ...เรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะคิดไม่ได้” ลูกพี่ทำตาดุ ทั้งเงื้อไม้เงื้อมือ กะจะทุบไอ้ปากปีจอให้เลือดกบ

“แหะๆๆๆ ฉันเองจ้ะลูกพี่ที่โง่ ฉันน่าจะรู้ว่าลูกพี่คิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว ใช่ป่าว”

“เออ...ข้ากำลังคิด แต่เอ็งดันพูดออกมาก่อน” ไหนๆก็เงื้อมือแล้ว เลยตบฉาดลงกลางศีรษะไอ้ลูกน้องเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว

“โอ๊ย!” คนถูกตบลูบหัวปอยๆ

“ฝนเริ่มจะซาเม็ดแล้ว ไปกันเถอะ ย้อนกลับไปทางเดิม”

“ไม่รอให้ซากว่านี้เหรอลูกพี่”

“รอหาพ่อมึงเหรอ...ฟ้าใกล้มืดแล้ว เดี๋ยวก็หลงเข้าไปลึก หาทางออกไม่เจอหรอก” ว่าแล้วก็มุดออกจากเพิงหินเดินย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม

“เดี๋ยวสิพี่...รอด้วย” อีกคนรีบสาวเท้าตาม

บรรยากาศยามโพล้เพล้ในป่าทึบ ท่ามกลางม่านฝน ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยให้เข้ามาเดินเลยจริงๆ มันทั้งเงียบ วังเวงทั้งหนาวเย็น ชวนให้นึกถึงสิ่งที่มองไม่เห็น

“ลูกพี่...” คนที่พยายามสาวก้าวขึ้นมาเดินเคียงร้องเรียก สายตากวาดมอง ซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง “พี่เบิ้ม...”

“อะไรวะ...เรียกอยู่ได้” น้ำเสียงลูกพี่ฟังดูหงุดหงิดนัก

“พี่ว่าตอนนี้ผีมันจะออกมาได้หรือเปล่า” คนถามถามเสียงสั่น

“ไอ้นี่...ท่าจะบ้า จู่ๆ ก็ถามหาผี”

“ก็ฉันกลัวนี่...ในป่าในเขาแบบนี้ วังเวงสิ้นดี” ว่าแล้วก็ขยับเข้าแซะลูกพี่

“ถอยไปห่างๆ โว้ย ยิ่งเดินลำบากๆ อยู่...”ร่างที่เพิ่งเข้ามากระแซะถูกผลักออกห่างในทันทีด้วยความรำคาญ “เอ็งจะกลัวทำไม เอ็งเคยเห็นเหรอ”

“ถึงไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี...ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

“เอ็งอยากเชื่อก็เชื่อไปคนเดียวเถอะ...หุบปากซะไม่ต้องพูดมาก ข้ารำคาญ” คนสั่งสั่งเสียงเข้ม ทำให้คนตามหุบปากเงียบไปได้สักพัก

“ลูกพี่...”

“อะไรของเอ็งอีกวะ” คนเดินนำหันกลับมาหาลูกน้อง สายตาเอาเรื่องเต็มที่ แต่เมื่อเห็นอาการยืนนิ่งมองไปอีกทิศทาง คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน ทั้งมองตาม “เอ็งมองอะไร”

“พี่ว่านั่นใช่กระท่อมมั้ย”

“ไหน...” ลูกพี่เบิ้มพยายามเพ่งมองผ่านความสลัวไปยังจุดที่ลูกน้องชี้มือ “อืม...ใช่กระท่อมจริงๆด้วย...น่าแปลก ทำไมตอนแรกที่ผ่านมาถึงไม่เห็น”

“หรือจะเป็นกระท่อมผี...ปรื๋อ...” คนคาดการถึงกับสลัดตัวขนลุกซู่

“ผีบ้าผีบออะไร...พูดเพ้อเจ้อ” ลูกพี่เบิ้มหันมาดุ “เร็วไอ้ทัด...รีบไปดูกัน เพื่อเหยื่อจะหลบซ่อนที่นั่น”

“จะไปดูจริงๆ เหรอลูกพี่...ฉันว่ามันแปลกๆอยู่นะ”

“ไอ้นี่กลัวไม่เข้าเรื่อง...เอ็งจะไปดีๆ หรือจะให้ข้าลากศพเอ็งไปเก็บไว้ในกระท่อมนั้น...เลือกเอา” คำขู่ถูกเอ่ยขึ้นเมื่อต้องเจอสิ่งที่ไม่สบอารมณ์

“ไปจ้ะไป...เอาวะผีก็ผีเถอะ คนอย่างไอ้แฉะ ไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว” พูดจบก็ทำท่าขึงขังก้าวตรงไปยังกระท่อมที่มองเห็นอยู่ลิบๆ อย่างองอาจ ทว่า...

“ตายห่า...ลูกพี่ช่วยด้วย...” ไอ้แฉะร้องเสียงหลง

“เป็นอะไรของเอ็งอีกวะ” ไอ้ลูกพี่เบิ้ม บ่นด้วยอาการหงุดหงิดแกมโมโห ทั้งรีบสาวเท้าตามลูกน้องที่เพิ่งจะเดินลับพุ่มไม้ไปได้ไม่เท่าไหร่

“ลูกพี่...คะ...คะ...โคลน”

“อะไรของเอ็งวะ...มันก็แค่โคลน ทำตัวเป็นเด็กอนามัยไปได้”

“แค่โคลนฉันไม่กลัวหรอก แต่นี่มันไม่ใช่โคลนธรรมดาน่ะสิ”

“ไม่ใช่แล้วอะไร มันเป็นโคลนดูดหรือไง ดูสิข้ายังเดินย่ำเท้าไปมาได้ ไม่เห็นจะเดือดร้อน” ไอ้พี่เบิ้ม ขยับเท้าขึ้นลงอวดลูกน้อง โดยไม่ทันสังเกตว่า ขาของเขาเริ่มจมต่ำลงไปทุกที

“มันเป็นโคลนดูด...จริงๆ...ช่วยผมด้วย จะจมมิดหัวอยู่แล้ว” ไอ้แฉะร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเขาไม่สามารถตะกายออกจากบ่อโคลนไปได้

“เฮ้ย...ตายห่าอย่างที่เอ็งว่าจริงๆ ขาข้าติดอะไรไม่รู้ดึงไม่ออก”

“นั่นพวกพี่ทำอะไรกันอยู่ล่ะ...แล้วลงไปทำอะไรในบ่อนั้น”

เสียงที่ดังอยู่ไม่ไกล ดั่งเสียงสวรรค์ที่ทำให้ชายเคราะห์ร้ายทั้งสองหันมามองด้วยความหวัง...

“ไอ้ทัด...” ต่างเรียกชื่อของผู้มาใหม่ออกมาพร้อมกัน

“ไอ้ทัดมึงมาช่วยดึงกูขึ้นไปจากไอ้บ่อบ้าๆนี้ที ขากูติด” เบิ้มรีบบอก...

“ไอ้ทัดมึงมาช่วยกูก่อน...กูจมเยอะกว่าพี่เบิ้มอีก

“เอ้อ ๆ เดี๋ยวกูช่วย”

“ไอ้ทัด มาช่วยกู”

“ไอ้ทัดช่วยกูก่อน...กูเป็นพี่เมียมึงนะ”

สองเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือทำเอาไอ้ทัดขยับไปขยับมาด้วยความลังเล ไม่รู้จะเริ่มช่วยใครก่อนดี สุดท้ายขาของมันก็สะดุดเข้ากับรากไม้ถลาร่วงลงไปในบ่อโคลนนั้นด้วยกัน

“โอ๊ะ...” ทัดร้องเสียงหลงเมื่อไม่คิดว่าตัวเองจะต้องตกมาอยู่สภาพเดียวกับเพื่อน

“ตายห่า...ไอ้โง่เอ๊ย...อย่างนี้ใครจะมาช่วยเราล่ะ” ไอ้เบิ้มก่นด่าอย่างหัวเสีย นี่ถ้าเขาสามารถขยับเข้าไปใกล้ไอ้ทัดได้ เขาคงทุบกะโหลกมันให้เป็นรางวัล

“ลูกพี่...เราจะต้องมาจมโคลนตายแบบนี้เหรอ...บ้าแท้ๆ ไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีบ่อโคลนดูดกะเขาด้วย ฮือๆๆๆ พ่อแก้วแม่แก้ว เจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยลูกช้างที ลูกช้างยังไม่อยากตาย” ไอ้แฉะร่ำร้องน้ำตาไหลพราก เมื่อระดับโคลนสูงขึ้นมาจนถึงลำคอ

“ไอ้แฉะ มึงจะเรียกหาพ่อหาแม่มึงทำไม มาช่วยกันคิดสิว่าจะออกจากโคลนนี้ไปได้ยังไง” ไอ้เบิ้มผู้ไม่กลัวฟ้าดิน ตวาดลั่น เมื่อร่างของเขาค่อยๆ จมลงไปทีละนิดๆ กระทั่งโคลนอยู่ในระดับเอว

“ฉันกลัวนี่นา...ลูกพี่...ฉันกลัวตาย...ลูกพี่ช่วย...ด้วย” จบประโยคนั้น ร่างไอ้แฉะก็จมมิดหายไปทั้งตัว

“เฮ้ยไอ้แฉะ...เอ็งอย่าเพิ่งมุดโคลนหนีสิวะ โผล่ขึ้นมาช่วยข้าก่อน ข้ายังไม่อยากตายเหมือนกัน...ไอ้แฉะไอ้บ้าเอ้ย...ใครก็ได้ช่วยด้วย!” ทั้งด่าทอ ทั้งตะโกนร้องขอ ในป่ากว้างเช่นนี้มีหรือจะได้รับการตอบรับให้ความช่วยเหลือ

“เป็นไงล่ะ...รู้สึกยังไง ที่มีความตายรออยู่ตรงหน้า” เสียงหนึ่งดั่งแผ่ว จากที่ไกลแสนไกล ทว่าเหมือนอยู่ใกล้แค่เสียงกระซิบ

“เจ้าไม่ควรทำบาปเพิ่ม...การฆ่าทำให้เข้าไปสู่อบายภูมิ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ในสภาพเดียวกัน

“ดิฉันแค่จะสั่งสอนให้คนชั่วรู้สำนึกว่า...การตามฆ่าชีวิตคนอื่น...คนที่ถูกปองร้ายย่อมมีความกลัวไม่ต่างกัน...”

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ก่อเกิดขึ้น หาใช่ความบังเอิญ แต่ล้วนแล้วมีกรรมเป็นตัวลิขิต เช่นเรา เช่นเจ้า...อย่าได้ขัดขวาง หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนั้นเลย ให้ทุกออย่างดำเนินไปตามครรลองเถิด”

“เจ้าค่ะ...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามกรรม อย่างเช่นที่พวกมันประสบอยู่ นี่ก็ถือว่าเป็นกรรมของพวกมัน”


**************************
พรางรักวิวาห์ร้ายเคยอัพในเวปเลิฟค่ะ...เป็นเรื่องล่าสุดเมื่อประมาณ2-3 ปีมาแล้ว ระยะเวลานานพอที่จะคำให้ลืมได้ แต่ถึงยังไงก็หวังว่าจะถูกอกถูกใจแฟนๆ ที่อยากจะฟื้นความจำในเรื่องราววิวาห์วุ่นๆ ตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ ^_^



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2560, 13:27:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2560, 17:30:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1086





<< ตอนที่ 15 แล้วใครเล่าคือเจ้าของที่แท้จริง   
Kim 15 ม.ค. 2560, 14:46:15 น.
คุณป้ามาช่วยแล้ว

ไม่เคยอ่านพรางรักฯเลยค่ะ ไม่รู้พลาดได้ไง เดี๋ยวจะไปดูที่เมบนะคะ


แว่นใส 15 ม.ค. 2560, 16:19:13 น.
เอาตาย หรือว่าแกล้งคะคุณป้า


Kim 18 ม.ค. 2560, 10:28:45 น.
ไปสอยพรางรักวิวาห์ร้ายมาจากเมบแล้วค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account