กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี
ตอน: ตอนที่ 15 แล้วใครเล่าคือเจ้าของที่แท้จริง
15
ดวงตาสีเข้มหลุบลงต่ำเมื่อกวาดสายตาไปตามตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เพียงไม่กี่บรรทัด คิ้วเข้มของหนุ่มใหญ่วัยกว่าสี่สิบก็มีอันขมวดหมุน เขาละสายตาจากหน้ากระดาษฉบับนั้น ก้มลงไปดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานแล้วหยิบซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่พอบรรจุเอกสารได้พอดีออกมา เขมขวัญมองการกระทำของชายตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเขาดึงกระดาษภายในซองออกมาวางเทียบ
“มีอะไรหรือคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถาม
“ครับ...มีเยอะเชียวล่ะ” บรรณาธิการหนุ่มตอบ ทว่าสายตาไม่ได้ละไปจากกระดาษทั้งสองแผ่นเลยสักวินาที “ไม่ทราบว่าพล็อตเรื่องนี้เป็นของใคร”
“เธอไม่ได้ระบุนามปากกาเอาไว้หรือไงครับ” กริชนะที่เงียบฟังอยู่ ถามกลับ
ดูเหมือนการเจรจาทั้งสองฝ่ายจะมีคำถามมากกว่าคำตอบ ทว่าก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้อีกฝ่ายแต่อย่างใด นอกจากรอลุ้นความคิดเห็นในแต่ละฝ่ายว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
วินิจพลิกกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นดู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายทั้งสอง “ทิพย์ราตรี...ในนี้ระบุนามปากกาว่าทิพย์ราตรี”
“ว่าไงนะ!” กริชนะหันขวับมามองเลขานุการของเขาด้วยสายตาแสดงคำถาม
“อย่ามองฉันอย่างนั้นสิคะ...”เขมขวัญทำหน้าแหย
“ไม่ทราบว่าคุณได้พล็อตเรื่องนี้มายังไง”
“คุณป้าคุณวานให้ฉันนำพล็อตเรื่องนี้มาส่งให้คุณ บ.ก. ค่ะ” เขมขวัญตอบตามจริง แต่เท่าที่วิเคราะห์สายตาทั้งสองคู่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย
“ก่อนที่ท่านจะได้รับอุบัติเหตุเหรอครับ”
“เอ่อ...” คนถูกถามถึงกับอึ้ง จนด้วยคำอธิบาย จะบอกไปว่าเป็นผีคุณป้ามาเข้าฝัน คนพวกนี้คงหาว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“จะได้มาด้วยวิธีไหนผมคงไม่สนใจ เพราะยังไงคงรับพล็อตเรื่องนี้มาพิจารณาไม่ได้”
“ทำไมคะ”
สีหน้าแสดงออกว่าผิดหวังอย่างชัดเจนของเขมขวัญทำให้อีกฝ่ายแปลความหมายไปว่า เธอผิดหวังที่ไม่อาจสวมรอยนักเขียนชื่อดังได้ ทั้งที่จริงแล้วเขมขวัญผิดหวังแทนความพยายามครั้งสุดท้ายของทิพย์ราตรีต่างหาก
“คุณดูพล็อตเรื่องฉบับนี้สิ พล็อตนี้เป็นของนักเขียนนามปากกาอัสนียา” วินิจส่งกระดาษที่เขาหยิบออกจากลิ้นชักมาเทียบเคียงพล็อตที่ได้รับใหม่ให้ “เหมือนกันมาก เหมือนทุกตัวอักษร...อย่างนี้จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงกันครับ”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาของเธอไล่ไปทุกอักษร ไม่พอ...เธอยังคว้าพล็อตเรื่องอีกฉบับมาเทียบเคียง มันเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน...โธ่คุณป้า...จะหาคุกให้หนูซะแล้ว...
วินิจรับพล็อตทั้งสองฉบับกลับมาวางบนโต๊ะ “ผมยอมรับนะว่าสำนวนการเขียนนั้นคล้ายพี่ทิพย์มากจนแทบจะเชื่อได้ว่าคนเขียนเป็นคน คนเดียวกัน...แต่การลอกพล็อตกันมาแบบนี้ แถมยังแอบอ้างนักเขียนมีชื่อเพื่อผลประโยชน์ ผมยอมรับไม่ได้จริง ๆ เชิญพวกคุณกลับไปได้แล้ว”
เขมขวัญหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ เธอจึงมิได้เตรียมใจยอมรับ และดูเหมือนคนข้าง ๆ จะรู้ มืออบอุ่นเอื้อมมากุมมือเย็นเฉียบที่วางอยู่หน้าตักหลัง ถ่ายทอดความเชื่อมั่นและกำลังใจให้รวมไปถึงคำพูดที่ทำเอาเขมขวัญถึงกับน้ำตาคลอ
“ขอโทษครับคุณวินิจ ผมเชื่อคนของผม ผมเชื่อว่าเธอไม่ทำเรื่องที่น่าละอายอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลอกพล็อต หรือแอบอ้างชื่อนักเขียน”
ผมเชื่อคนของผม...ประโยคนี้สร้างความอบอุ่นปลอดภัยให้หัวใจดวงน้อย ๆ ที่กำลังรู้สึกเคว้งคว้างได้ไม่ยาก เขมขวัญหันไปมองเสี้ยวหน้าคมคาย จริงจัง แม้ไม่เห็นดวงตาคมกล้าคู่นั้นตรง ๆ แต่เธอก็เชื่อว่าหากใครได้สบตาเขาเวลานี้คงยากจะไม่รู้สึกไหวหวั่น
“คุณมีอะไรมาแก้ต่างครับ หลักฐานมีให้เห็นชัดแบบนี้...ผมว่าพวกคุณกลับไปเถอะ อย่าเอาพล็อตมั่ว ๆ อันนี้ไปส่งที่อื่น ไม่งั้นผมจะแจ้งความจับ เพราะพล็อตเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาที่สำนักพิมพ์ของเราแล้ว”
โป๊ก!...
สิ้นประโยคคำพูดอันยืดยาว กรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นหนังสือก็มีอันร่วงหล่นกระแทกพื้น ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องปราศจากลม
เอาล่ะสิ...คุณป้าส่งสัญญาณให้แล้ว... คิดพลางขนลุกเกรียว แต่จะดีกว่านี้ถ้าคุณป้าจะปรากฏตัวออกมายืนยันความจริงนะคะ...เธอยังคิดต่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“คุณไม่คิดว่าเรื่องมีเงื่อนงำบางอย่างเหรอครับ” กริชนะเอ่ย
“เงื่อนงำอะไรกันคุณ...เรื่องการลอกพล็อต มีให้เห็นการดาษดื่น โดยเฉพาะนักเขียนใหม่ไร้ความสามารถบางคนที่นึกอยากดังชั่วข้ามคืน” วินิจเอ่ยอย่างไม่คิดเกรงใจ
“คนนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอนค่ะ เพราะฉันไม่เคยคิดที่จะยึดอาชีพนักเขียนเลยสักครั้ง” เขมขวัญยืนยันเสียงสั่นเครือ
“แต่คุณกลับเอาพล็อตฉบับนี้มาส่ง พล็อตที่ไม่น่าจะเหมือนใคร แต่มันก็เหมือนยิ่งกว่าคู่แฝด”
“คุณอัสนียาเขียนนิยายเรื่องนี้ออกมาเป็นรูปเล่มหรือยังครับ”
“ผมเพิ่งได้รับพล็อตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เธอรับปากกว่าจะส่งต้นฉบับบางส่วนให้ผมภายในสิ้นเดือนนี้” วินิจบอก
“งั้นก็น่าแปลก...นิยายเรื่องนี้ คุณป้าของผม...เอ่อ...ผมหมายถึงคุณทิพย์ราตรี เธอเขียนเรื่องนี้ไปได้กว่าครึ่งเรื่องแล้วนะครับ นี่อาจพอสรุปได้หรือเปล่าว่าใครลอกใครกันแน่” กริชนะเอ่ย เมื่อนึกไปถึงแผ่นกระดาษที่ค้างคาอยู่ในพิมพ์ดีดบนโต๊ะทำงานของคุณป้า เขาไม่รู้หรอกว่านั่นใช่เรื่องเดียวกันกับพล็อตเรื่องนี้หรือไม่ แต่คงไม่มีเรื่องไหนอ้างได้ฟังขึ้นเท่านี้อีกแล้ว “ผมกริชนะ ทรัพย์บริบูรณ์ ในฐานะที่เป็นทายาทคนเดียวของคุณป้าทิพย์ราตรี ทรัพย์บริบูรณ์ขอยืนยัน เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง ผมจะสืบให้แน่ชัด” กริชนะเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ เขากำมือนุ่ม บีบเบา ๆ อย่างปลอบโยนก่อนจะดึงให้เธอลุกตาม “เห็นทีจะขอรบกวนคุณแค่นี้นะครับ...กลับกันเถอะขวัญ”
“ดะ...เดี๋ยวค่ะ” เขมขวัญรีบคว้าพล็อตนิยายฉบับนั้นกลับคืน เมื่อบก.มีอีกฉบับที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งฉบับนี้ไว้ที่นี่อีก
“เดี๋ยวครับคุณ...” บรรณาธิการหนุ่มใหญ่ห้ามไว้ ก่อนผู้มาเยือนจะพ้นไปจากห้อง “ไหนๆ พล็อตนิยายซองนั้นก็จ่าหน้าถึงผมแล้ว ก็ให้ผมเก็บไว้เถอะ...เอาไว้ คุณเขียนต้นฉบับจบบริบูรณ์ทั้งเล่มแล้วค่อยเอามาส่งให้ผมพิจารณาอีกที...นะครับ”
“คือ...ดิฉันไม่ใช่นักเขียน”
“ครับ...ผมหมายถึงคนที่จะสานต่อนิยายเรื่องนี้นะครับ”
“อ๋อ...ได้ค่ะ...ดิฉันส่งถึงมือ บ.ก. แล้วก็ถือว่าดิฉันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของพล็อตได้ครบถ้วน...นี่ค่ะ...” เขมขวัญยื่นซองสีน้ำตาลฉบับนั้นกลับไปวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม
“ไปเถอะ...อย่ามัวโอ้เอ้” กริชนะกระตุกแขนนุ่มให้เดินตาม
“ดิฉันลาล่ะค่ะ” แม้จะถูกดึงออกไป หญิงสาวก็ไม่วายจะหันมากล่าวลาอย่างเร่งรีบ
วินิจมองตามหลังชายหญิงที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกไป ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมรับว่าคำพูดของชายหนุ่มผู้อ้างตัวว่าเป็นหลานชายนักเขียนชื่อดังคนนั้นทำให้เขาหวั่นไหว หากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีเงื่อนงำจริง ๆ และเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ คงเป็นเรื่องผิดพลาดไม่น้อย
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อการตัดสินใจที่เด็ดขาดเกิดขึ้น ...เพื่อทิพย์ราตรี นักเขียนที่เขาเคารพรักอย่างสุดซึ้ง นิยายเรื่องนี้จะถูกระงับเอาไว้ก่อนจนกว่าต้นฉบับทั้งสองฝ่ายจะแล้วเสร็จ เขาเชื่อว่าแม้พล็อตเรื่องจะเหมือนกันสักแค่ไหน แต่การถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวย่อมแตกต่างตามสำนวนและมุมมองของนักเขียน ไว้ถึงครานั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร
รถคันหรูแล่นฝ่าการจราจรอันติดขัดในแทบทุกเส้นทางของเมืองกรุงแม้ยามนี้จะเป็นช่วงย่ำค่ำ ภายในห้องโดยสารเงียบกริบ ไร้ซึ่งเสียงสนทนาแม้จะบรรจุผู้ขับขี่และผู้โดยสารถึงสามคน ดูเหมือนแต่ละคนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ทว่าจะคิดในเรื่องเดียวกันหรือไม่ คงยากที่จะรู้ได้
“เจ้านายคะ...” เขมขวัญเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“หือ...”
คำตอบรับเป็นเพียงเสียงที่ส่งผ่านลำคอ นั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายใจเลยสักนิด มันกลับทำให้อึดอัดไม่น้อยกับความเงียบ นิ่ง เฉยชาของชายหนุ่ม ให้เขาโวยวายกับเธอบ้างคงทำให้รู้สึกดีกว่านี้
“ขอโทษนะคะ ที่ทำชื่อเสียงของคุณป้าเจ้านายมัวหมอง” ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำเหมือนสำนึกผิด
“ไม่นี่...นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงของป้าทิพย์มัวหมอง แต่มันเป็นเรื่องน่าแปลกต่างหาก” กริชนะเอ่ยในสิ่งที่เขากำลังคิด
“ยังไงคะ...” ดวงตาที่มีแววหม่นพลันเจิดจ้าขึ้น เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเธอ ทว่าไม่นานความสงสัยฉายแววมาให้เห็น
“ผมถามคุณตรง ๆ พล็อตเรื่องฉบับนี้คุณได้มาจากไหน แล้วนึกยังไงถึงเอาไปส่งสำนักพิมพ์” กริชนะหันมาถามจริงจัง
“เอ่อ...” จะต้องตอบยังไงให้คนถามได้รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น
“ว่าไง...เล่ามา...”น้ำเสียงคาดคั้นให้อีกฝ่ายตอบตามจริง
“ฉันกลัวว่าคุณจะหาว่าฉันบ้า”
“เล่ามาก่อน...ผมจะเป็นคนตัดสินเองว่าคุณบ้าหรือเปล่า”
เขมขวัญเหลือบตามองไปแทบจะทั่วรถ แววตาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะขยับเข้าใกล้เจ้านายหนุ่มอย่างไม่เคยคิดที่จะทำ อากัปกิริยานั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“คุณป้าบอกให้ฉันเอาพล็อตฉบับนั้นไปส่งสำนักพิมพ์จริง ๆ”
“คุณฝันเหรอ”
“มันก็มีบ้าง...ทั้งฝัน...แล้วก็...” พอนึกถึงเหตุการณ์สัมผัสวิญญาณที่ผ่านมา ขนแขนของเธอก็ลุกเกรียว “มีปรากฏตัวให้เห็นบ้าง” เขมขวัญมองอีกฝ่าย สายตาอ้อนวอนให้เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“เมื่อไหร่?”
“หมายถึงอะไรคะ”
“ที่คุณป้าปรากฏตัวให้เห็น”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบจนยากจะฟังออกว่าเชื่อในสิ่งที่เธอพุดหรือไม่ “หลายครั้ง วันแรกก็ตอนที่ฉันเข้ามาเก็บของในบ้านคุณ คุณป้าเป็นคนชี้บอกทางเข้าประตูเล็กนั่น...แล้วก็ตอนที่คุณว่าฉันเมาหมดสติจนต้องนอนค้างที่บ้านครั้งนั้น...จะว่าไปแล้วฉันไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากมายถึงขนาดฟังแล้วจดตามได้ จะเรียกว่าฟังหูไม่กระดิกซะด้วยซ้ำ ตอนไปเจรจากับลูกค้าครั้งนั้น ทำไมฉันถึงทำงานที่คุณสั่งได้สำเร็จ นั่นก็เพราะคุณป้าคุณท่านช่วย”
“คะ...คุณผู้หญิงเหรอครับคุณขวัญ” ถึงพยายามไม่คิดจะยุ่งเรื่องเจ้านาย แต่ลุงชูก็อดไม่ได้
“ใช่ค่ะลุง”
“จะบอกว่าป้าเป็นคนกระซิบบอกให้คุณจดรายละเอียดพวกนั้นเหรอ” กริชนะถามขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ...คุณป้าไม่ได้กระซิบบอก แต่ท่านเข้ามาซ้อนทับในร่างของฉัน”
“เข้าสิง!” ลุงชูโพล่งขึ้น ขนลุกเกรียวเมื่อคิดเห็นสีหน้า แววตา และท่าทางของเขมขวัญในวันนั้น มันช่างเหมือนคุณผู้หญิงไม่มีผิด
“เหลวไหลที่สุด!”
นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่ได้จากชายหนุ่ม เขาไม่เชื่อเลยสักนิดในสิ่งที่เขมขวัญพูด ดีไม่ดีตอนนี้เขาคงคิดว่าเธอกำลังบ้า...และถ้าหากเธอยังอธิบายต่อไป...ปลายทางสุดท้ายคงไม่พ้นโรงพยาบาลจิตเวชที่ไหนสักแห่ง
“นึกแล้วว่าคุณต้องไม่เชื่อ ฉันก็ไม่น่าเล่าให้เมื่อยปาก” ว่าพลางเมินมองไปนอกหน้าต่าง
“ช่างเถอะ...จะอะไรก็แล้วแต่ผมไม่สนใจเรื่องผีสางหรือเรื่องที่คุณจะเอาพล็อตนิยายไปส่งสำนักพิมพ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้มันทำให้ผมได้เบาะแสบางอย่าง”
“ยังไงคะ” เขมขวัญหันมาถามสีหน้าแสดงอาการสนใจ จนลืมความน้อยใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อย่าเพิ่งรู้เลย...เอาเป็นว่า คุณเตรียมเดินทางไว้ก็แล้วกัน ผมจะพาคุณไปดูงานที่ต่างจังหวัด... งานนี้คุณน่าจะช่วยเหลือผมได้ดี เพราะเท่าที่ดูจากประวัติ คุณเป็นคนในพื้นที่นั้น”
“คะ?”
ไม่มีคำตอบ มีเพียงความเงียบนับแต่นั้นจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตคฤหาสน์หลังงามบนพื้นที่กว้างใจกลางเมืองหลวงอันยากที่จะหาพื้นที่อาศัยขนาดใหญ่เพียงนี้หากไม่มีทรัพย์สินศฤงคารแต่เก่าก่อน
หลังรับประทานอาหารค่ำร่วมกันกับเจ้านาย เขมขวัญก็ขอตัวกลับมาบ้านพักหลังเล็กของเธอด้วยข้ออ้างว่าจะตรวจสอบบัญชีการเงินของบริษัทให้เสร็จ จะว่านั่นเป็นข้ออ้างก็ไม่เชิง เพราะเมื่อมาถึงเธอก็เข้าห้องทำงาน รวบรวมสมาธิไว้ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า ด้วยหวังว่ามันจะทำให้เธอไม่ต้องฝักใฝ่คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงกลางวัน
เข็มนาฬิกาบนผนังหมุนไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น ความคิดกลัวว่าวิญญาณดวงนั้นจะปรากฏหมดไป ทว่าเธอกลับอยากให้มันเกิดขึ้น...แม้จะตั้งใจทำงาน แต่ความหงุดหงิดนั้นเพิ่มทวีจนทนไม่ไหว
พรึบ!
เสียงปิดแฟ้มแรงตามอารมณ์ของคนที่กำลังสะกดอารมณ์โกรธ...ไม่รู้หรอกว่ากำลังโกรธอะไร โกรธผีหรือโกรธตัวเองที่บ้าบอเชื่อและทำตามผีบอก
“คุณป้า...อยู่ที่ไหน...ทำไมไม่ปรากฏตัวออกมาช่วยกัน...คุณป้ารู้มั๊ยว่า เกือบจะทำให้หนูติดคุก” เขมขวัญเริ่มโวย สายตากวาดมองไปรอบห้องที่เงียบกริบอย่างเอาเรื่อง โดยเฉพาะโต๊ะทำงานใหญ่ที่ยังคงไว้ด้วยพิมพ์ดีดและกระดาษปึกหนึ่ง ซึ่งเขมขวัญพอรู้ว่าเป็นสิ่งที่ที่เจ้าของห้องใช้งานมากที่สุด เพราะถูกห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง เขมขวัญจึงขอโต๊ะทำงานชุดเล็กเข้ามาวางไว้ในมุมหนึ่ง
“ว่าไงคะ...หรือต้องให้หนูจุดธูปเชิญ”
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบ ไร้คำตอบ แม้กระแสลมอ่อน ๆที่เคยพัดเป็นสัญญาณก็ไม่ปรากฏ...แล้วหญิงสาวก็เข้าใจในบัดดล “เฮ้อ...ที่แท้ฉันก็บ้าไปเอง คิดเป็นตุเป็นตะว่าติดต่อวิญญาณได้”
ใบหน้างดงามหมองลงกับความเข้าใจอันนั้น เสียงถอนหายใจดังติด ๆกัน กระนั้นก็ไม่ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้น หมดอารมณ์จะเจรจากับผี พอ ๆ กับเบื่อที่จะตาลายกับตัวเลขในแฟ้มงานที่ไม่รู้ว่าคำตอบสุดท้ายมันคืออะไร
เหลือบตามองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าดึกพอสมควรจะเข้านอน เอกสารต่าง ๆ จึงถูกรวบรวมเอาไว้มุมโต๊ะ ไฟทุกดวงในห้องทำงานปิดเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้อง ประตูหน้าต่างถูกตรวจสอบว่าปิดลงกลอนในทุกที่ เพื่อความสบายใจ
ที่นอนแม้ปราศจากเตียงแต่ก็นุ่มสบายสำหรับหญิงสาวที่เคยชินกับการนอนแบบนี้ เพราะเมื่อหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิทโดยไม่ต้องเสียเวลานับแกะ เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์ ความมืดมิดที่มีอยู่รอบตัวก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นจากแสงนวลที่มองเห็นเป็นลำคล้ายเบื้องหน้าคือทางออก...
ฝันอีกแล้ว...เขมขวัญบอกตัวเอง...เพราะหากมันคือความเป็นจริงก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะหลงอยู่ในอุโมงค์อันดำมืดเช่นนี้...แสงสว่างนำทางให้เธอเดินออกมายังดินแดนใหม่ แปลกตา ทว่าก่อให้เกิดความอ้างว้างอย่างประหลาด ความกลัวถูกระงับลงเมื่อเข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริง ในความฝันสิ่งอันตรายใด ๆ ที่ปรากฏก็หาได้มีอันตรายในความเป็นจริง แล้วใยเธอต้องกลัว...
“เก่งมาก...ที่หนูยอมรับกับสิ่งที่บังเกิดอยู่เบื้องหน้านี้ได้อย่างกล้าหาญ...”
เขมขวัญหันไปมองตามเสียง...ตรงหน้าปรากฏร่างของบุคคลที่เธอเพิ่งจะต่อว่าต่อขานไปเมื่อช่วงดึก ใบหน้านางยังดูงดงาม อ่อนเยาว์จนไม่อาจบอกได้ว่าหญิงผู้นี้ลาจากโลกไปเมื่ออายุเกือบหกสิบ
“คุณมาแล้วเหรอ...ทำไมคุณเพิ่งปรากฏตัวตอนนี้”
เขมขวัญถามขึ้น น้ำเสียงแสดงอาการไม่พอใจออกมาชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายหาได้ตอบคำถาม นางเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ดั่งมิเคยทำสิ่งใดผิด หรือ สร้างความเดือดร้อนแก่ใคร
“หนูอุตส่าห์ทำตามที่คุณขอร้อง แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือความผิด มันสร้างความอับอายให้หนูมากมายแค่ไหนคุณรู้หรือเปล่า...แถมเจ้านายยังไม่เชื่อเรื่องที่หนูเล่า ตอนนี้เจ้านายคงคิดว่าหนูบ้า” เธอบ่นทั้งตัดพ้อ
“สิ่งที่หนูกลัวที่สุดคืออะไรจ๊ะ...กลัวที่วินิจกล่าวหาว่าหนูลอกพล็อตนิยาย และใช้ประโยชน์จากนามปากกาฉันเหรอ...” ร่างโปร่งแสง ที่เพียงยืนยิ้ม เอ่ยถามอย่างเอ็นดู
“มันก็...ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะเรื่องนั้น เขาไม่ได้แจ้งตำรวจจับก็บุญโข...ต่อไปหนูคงไม่ไปพบเขาอีก”
“งั้นก็แสดงว่าหนูแคร์ความรู้สึกของหลานชายฉัน”
“เอ่อ...มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว หนูต้องทำงานกับเจ้านาย ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน หนูคงทำตัวไม่ถูกหากในสายตาเจ้านายมองหนูสติไม่สมประกอบ ดีไม่ดีเขาอาจไล่หนูออกจากงาน คราวนี้ครอบครัวหนูคงแย่” ว่าพรางทำหน้าสลด
“ไม่ต้องกลัว...กริชไม่มีวันไล่หนูออก”
“ถึงคุณจะบอกอย่างนั้น แต่หนูก็ไม่อยากเสี่ยง”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เขาฟังเอง หนูจะอนุญาตให้ฉันทำอย่างนั้นไหม” เสียงเยือกเย็นเอ่ยขอเบา ๆ ทั้งมองนิ่งมายังหญิงสาวตรงหน้าอย่างรอคำตอบ
“ถ้าเขาจะเชื่อ...หนูก็ไม่มีอะไรขัดข้อง”
สภาวะจิตในตอนนั้นสร้างความคิดความเข้าใจขึ้นเอง สิ่งที่วิญญาณสามารถทำได้ก็คงไม่พ้นการเข้าฝันอย่างที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร หากป้าของเขาจะไปเข้าฝันหลานชาย ทว่า...การเข้าฝันนั้น จำเป็นด้วยหรือที่วิญญาณตนนี้จะเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอ ใกล้มาก ใกล้จนไม่อาจหลบพ้น ความรู้สึกหนักอึ้งของร่างกายที่ถูกกดทับจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อเกิดขึ้น ก่อนที่การรับรู้แม้เป็นเพียงภาพฝันจะค่อย ๆ ดับมืดลงในที่สุด
***************
เพิ่งกลับจากทัวร์เติมพลังค่ะ...เลยเข้ามาอัพช้า หวังว่ายังรอกันอยู่พร้อมหน้านะคะ...
จากปัญหาที่พานพบในครั้งที่แล้ว...ทองหลางได้ตัดสินใจแล้วว่า จะยังคงอัพไปจนจบ เช่นเดิม...ในเมื่อความสุขของคนเขียนคือการได้เขียนให้คนอ่าน ได้อ่านอย่างมีความสุข...ถ้าหยุดอัพกลางครันก็กระไรอยู่...สรุปว่า...หลังเขียนจบ งานจะขายได้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ ขอให้คนอ่านที่ติดตามผลงานของทองหลางทุกคน มีความสุขกับผลงานของทองหลางก็พอ นะคะ ^_^
ดวงตาสีเข้มหลุบลงต่ำเมื่อกวาดสายตาไปตามตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เพียงไม่กี่บรรทัด คิ้วเข้มของหนุ่มใหญ่วัยกว่าสี่สิบก็มีอันขมวดหมุน เขาละสายตาจากหน้ากระดาษฉบับนั้น ก้มลงไปดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานแล้วหยิบซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่พอบรรจุเอกสารได้พอดีออกมา เขมขวัญมองการกระทำของชายตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเขาดึงกระดาษภายในซองออกมาวางเทียบ
“มีอะไรหรือคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถาม
“ครับ...มีเยอะเชียวล่ะ” บรรณาธิการหนุ่มตอบ ทว่าสายตาไม่ได้ละไปจากกระดาษทั้งสองแผ่นเลยสักวินาที “ไม่ทราบว่าพล็อตเรื่องนี้เป็นของใคร”
“เธอไม่ได้ระบุนามปากกาเอาไว้หรือไงครับ” กริชนะที่เงียบฟังอยู่ ถามกลับ
ดูเหมือนการเจรจาทั้งสองฝ่ายจะมีคำถามมากกว่าคำตอบ ทว่าก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้อีกฝ่ายแต่อย่างใด นอกจากรอลุ้นความคิดเห็นในแต่ละฝ่ายว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
วินิจพลิกกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นดู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายทั้งสอง “ทิพย์ราตรี...ในนี้ระบุนามปากกาว่าทิพย์ราตรี”
“ว่าไงนะ!” กริชนะหันขวับมามองเลขานุการของเขาด้วยสายตาแสดงคำถาม
“อย่ามองฉันอย่างนั้นสิคะ...”เขมขวัญทำหน้าแหย
“ไม่ทราบว่าคุณได้พล็อตเรื่องนี้มายังไง”
“คุณป้าคุณวานให้ฉันนำพล็อตเรื่องนี้มาส่งให้คุณ บ.ก. ค่ะ” เขมขวัญตอบตามจริง แต่เท่าที่วิเคราะห์สายตาทั้งสองคู่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย
“ก่อนที่ท่านจะได้รับอุบัติเหตุเหรอครับ”
“เอ่อ...” คนถูกถามถึงกับอึ้ง จนด้วยคำอธิบาย จะบอกไปว่าเป็นผีคุณป้ามาเข้าฝัน คนพวกนี้คงหาว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“จะได้มาด้วยวิธีไหนผมคงไม่สนใจ เพราะยังไงคงรับพล็อตเรื่องนี้มาพิจารณาไม่ได้”
“ทำไมคะ”
สีหน้าแสดงออกว่าผิดหวังอย่างชัดเจนของเขมขวัญทำให้อีกฝ่ายแปลความหมายไปว่า เธอผิดหวังที่ไม่อาจสวมรอยนักเขียนชื่อดังได้ ทั้งที่จริงแล้วเขมขวัญผิดหวังแทนความพยายามครั้งสุดท้ายของทิพย์ราตรีต่างหาก
“คุณดูพล็อตเรื่องฉบับนี้สิ พล็อตนี้เป็นของนักเขียนนามปากกาอัสนียา” วินิจส่งกระดาษที่เขาหยิบออกจากลิ้นชักมาเทียบเคียงพล็อตที่ได้รับใหม่ให้ “เหมือนกันมาก เหมือนทุกตัวอักษร...อย่างนี้จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงกันครับ”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาของเธอไล่ไปทุกอักษร ไม่พอ...เธอยังคว้าพล็อตเรื่องอีกฉบับมาเทียบเคียง มันเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน...โธ่คุณป้า...จะหาคุกให้หนูซะแล้ว...
วินิจรับพล็อตทั้งสองฉบับกลับมาวางบนโต๊ะ “ผมยอมรับนะว่าสำนวนการเขียนนั้นคล้ายพี่ทิพย์มากจนแทบจะเชื่อได้ว่าคนเขียนเป็นคน คนเดียวกัน...แต่การลอกพล็อตกันมาแบบนี้ แถมยังแอบอ้างนักเขียนมีชื่อเพื่อผลประโยชน์ ผมยอมรับไม่ได้จริง ๆ เชิญพวกคุณกลับไปได้แล้ว”
เขมขวัญหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ เธอจึงมิได้เตรียมใจยอมรับ และดูเหมือนคนข้าง ๆ จะรู้ มืออบอุ่นเอื้อมมากุมมือเย็นเฉียบที่วางอยู่หน้าตักหลัง ถ่ายทอดความเชื่อมั่นและกำลังใจให้รวมไปถึงคำพูดที่ทำเอาเขมขวัญถึงกับน้ำตาคลอ
“ขอโทษครับคุณวินิจ ผมเชื่อคนของผม ผมเชื่อว่าเธอไม่ทำเรื่องที่น่าละอายอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลอกพล็อต หรือแอบอ้างชื่อนักเขียน”
ผมเชื่อคนของผม...ประโยคนี้สร้างความอบอุ่นปลอดภัยให้หัวใจดวงน้อย ๆ ที่กำลังรู้สึกเคว้งคว้างได้ไม่ยาก เขมขวัญหันไปมองเสี้ยวหน้าคมคาย จริงจัง แม้ไม่เห็นดวงตาคมกล้าคู่นั้นตรง ๆ แต่เธอก็เชื่อว่าหากใครได้สบตาเขาเวลานี้คงยากจะไม่รู้สึกไหวหวั่น
“คุณมีอะไรมาแก้ต่างครับ หลักฐานมีให้เห็นชัดแบบนี้...ผมว่าพวกคุณกลับไปเถอะ อย่าเอาพล็อตมั่ว ๆ อันนี้ไปส่งที่อื่น ไม่งั้นผมจะแจ้งความจับ เพราะพล็อตเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาที่สำนักพิมพ์ของเราแล้ว”
โป๊ก!...
สิ้นประโยคคำพูดอันยืดยาว กรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นหนังสือก็มีอันร่วงหล่นกระแทกพื้น ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องปราศจากลม
เอาล่ะสิ...คุณป้าส่งสัญญาณให้แล้ว... คิดพลางขนลุกเกรียว แต่จะดีกว่านี้ถ้าคุณป้าจะปรากฏตัวออกมายืนยันความจริงนะคะ...เธอยังคิดต่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“คุณไม่คิดว่าเรื่องมีเงื่อนงำบางอย่างเหรอครับ” กริชนะเอ่ย
“เงื่อนงำอะไรกันคุณ...เรื่องการลอกพล็อต มีให้เห็นการดาษดื่น โดยเฉพาะนักเขียนใหม่ไร้ความสามารถบางคนที่นึกอยากดังชั่วข้ามคืน” วินิจเอ่ยอย่างไม่คิดเกรงใจ
“คนนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอนค่ะ เพราะฉันไม่เคยคิดที่จะยึดอาชีพนักเขียนเลยสักครั้ง” เขมขวัญยืนยันเสียงสั่นเครือ
“แต่คุณกลับเอาพล็อตฉบับนี้มาส่ง พล็อตที่ไม่น่าจะเหมือนใคร แต่มันก็เหมือนยิ่งกว่าคู่แฝด”
“คุณอัสนียาเขียนนิยายเรื่องนี้ออกมาเป็นรูปเล่มหรือยังครับ”
“ผมเพิ่งได้รับพล็อตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เธอรับปากกว่าจะส่งต้นฉบับบางส่วนให้ผมภายในสิ้นเดือนนี้” วินิจบอก
“งั้นก็น่าแปลก...นิยายเรื่องนี้ คุณป้าของผม...เอ่อ...ผมหมายถึงคุณทิพย์ราตรี เธอเขียนเรื่องนี้ไปได้กว่าครึ่งเรื่องแล้วนะครับ นี่อาจพอสรุปได้หรือเปล่าว่าใครลอกใครกันแน่” กริชนะเอ่ย เมื่อนึกไปถึงแผ่นกระดาษที่ค้างคาอยู่ในพิมพ์ดีดบนโต๊ะทำงานของคุณป้า เขาไม่รู้หรอกว่านั่นใช่เรื่องเดียวกันกับพล็อตเรื่องนี้หรือไม่ แต่คงไม่มีเรื่องไหนอ้างได้ฟังขึ้นเท่านี้อีกแล้ว “ผมกริชนะ ทรัพย์บริบูรณ์ ในฐานะที่เป็นทายาทคนเดียวของคุณป้าทิพย์ราตรี ทรัพย์บริบูรณ์ขอยืนยัน เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง ผมจะสืบให้แน่ชัด” กริชนะเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ เขากำมือนุ่ม บีบเบา ๆ อย่างปลอบโยนก่อนจะดึงให้เธอลุกตาม “เห็นทีจะขอรบกวนคุณแค่นี้นะครับ...กลับกันเถอะขวัญ”
“ดะ...เดี๋ยวค่ะ” เขมขวัญรีบคว้าพล็อตนิยายฉบับนั้นกลับคืน เมื่อบก.มีอีกฉบับที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งฉบับนี้ไว้ที่นี่อีก
“เดี๋ยวครับคุณ...” บรรณาธิการหนุ่มใหญ่ห้ามไว้ ก่อนผู้มาเยือนจะพ้นไปจากห้อง “ไหนๆ พล็อตนิยายซองนั้นก็จ่าหน้าถึงผมแล้ว ก็ให้ผมเก็บไว้เถอะ...เอาไว้ คุณเขียนต้นฉบับจบบริบูรณ์ทั้งเล่มแล้วค่อยเอามาส่งให้ผมพิจารณาอีกที...นะครับ”
“คือ...ดิฉันไม่ใช่นักเขียน”
“ครับ...ผมหมายถึงคนที่จะสานต่อนิยายเรื่องนี้นะครับ”
“อ๋อ...ได้ค่ะ...ดิฉันส่งถึงมือ บ.ก. แล้วก็ถือว่าดิฉันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของพล็อตได้ครบถ้วน...นี่ค่ะ...” เขมขวัญยื่นซองสีน้ำตาลฉบับนั้นกลับไปวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม
“ไปเถอะ...อย่ามัวโอ้เอ้” กริชนะกระตุกแขนนุ่มให้เดินตาม
“ดิฉันลาล่ะค่ะ” แม้จะถูกดึงออกไป หญิงสาวก็ไม่วายจะหันมากล่าวลาอย่างเร่งรีบ
วินิจมองตามหลังชายหญิงที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกไป ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมรับว่าคำพูดของชายหนุ่มผู้อ้างตัวว่าเป็นหลานชายนักเขียนชื่อดังคนนั้นทำให้เขาหวั่นไหว หากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีเงื่อนงำจริง ๆ และเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ คงเป็นเรื่องผิดพลาดไม่น้อย
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อการตัดสินใจที่เด็ดขาดเกิดขึ้น ...เพื่อทิพย์ราตรี นักเขียนที่เขาเคารพรักอย่างสุดซึ้ง นิยายเรื่องนี้จะถูกระงับเอาไว้ก่อนจนกว่าต้นฉบับทั้งสองฝ่ายจะแล้วเสร็จ เขาเชื่อว่าแม้พล็อตเรื่องจะเหมือนกันสักแค่ไหน แต่การถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวย่อมแตกต่างตามสำนวนและมุมมองของนักเขียน ไว้ถึงครานั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร
รถคันหรูแล่นฝ่าการจราจรอันติดขัดในแทบทุกเส้นทางของเมืองกรุงแม้ยามนี้จะเป็นช่วงย่ำค่ำ ภายในห้องโดยสารเงียบกริบ ไร้ซึ่งเสียงสนทนาแม้จะบรรจุผู้ขับขี่และผู้โดยสารถึงสามคน ดูเหมือนแต่ละคนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ทว่าจะคิดในเรื่องเดียวกันหรือไม่ คงยากที่จะรู้ได้
“เจ้านายคะ...” เขมขวัญเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“หือ...”
คำตอบรับเป็นเพียงเสียงที่ส่งผ่านลำคอ นั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายใจเลยสักนิด มันกลับทำให้อึดอัดไม่น้อยกับความเงียบ นิ่ง เฉยชาของชายหนุ่ม ให้เขาโวยวายกับเธอบ้างคงทำให้รู้สึกดีกว่านี้
“ขอโทษนะคะ ที่ทำชื่อเสียงของคุณป้าเจ้านายมัวหมอง” ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำเหมือนสำนึกผิด
“ไม่นี่...นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงของป้าทิพย์มัวหมอง แต่มันเป็นเรื่องน่าแปลกต่างหาก” กริชนะเอ่ยในสิ่งที่เขากำลังคิด
“ยังไงคะ...” ดวงตาที่มีแววหม่นพลันเจิดจ้าขึ้น เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเธอ ทว่าไม่นานความสงสัยฉายแววมาให้เห็น
“ผมถามคุณตรง ๆ พล็อตเรื่องฉบับนี้คุณได้มาจากไหน แล้วนึกยังไงถึงเอาไปส่งสำนักพิมพ์” กริชนะหันมาถามจริงจัง
“เอ่อ...” จะต้องตอบยังไงให้คนถามได้รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น
“ว่าไง...เล่ามา...”น้ำเสียงคาดคั้นให้อีกฝ่ายตอบตามจริง
“ฉันกลัวว่าคุณจะหาว่าฉันบ้า”
“เล่ามาก่อน...ผมจะเป็นคนตัดสินเองว่าคุณบ้าหรือเปล่า”
เขมขวัญเหลือบตามองไปแทบจะทั่วรถ แววตาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะขยับเข้าใกล้เจ้านายหนุ่มอย่างไม่เคยคิดที่จะทำ อากัปกิริยานั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“คุณป้าบอกให้ฉันเอาพล็อตฉบับนั้นไปส่งสำนักพิมพ์จริง ๆ”
“คุณฝันเหรอ”
“มันก็มีบ้าง...ทั้งฝัน...แล้วก็...” พอนึกถึงเหตุการณ์สัมผัสวิญญาณที่ผ่านมา ขนแขนของเธอก็ลุกเกรียว “มีปรากฏตัวให้เห็นบ้าง” เขมขวัญมองอีกฝ่าย สายตาอ้อนวอนให้เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“เมื่อไหร่?”
“หมายถึงอะไรคะ”
“ที่คุณป้าปรากฏตัวให้เห็น”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบจนยากจะฟังออกว่าเชื่อในสิ่งที่เธอพุดหรือไม่ “หลายครั้ง วันแรกก็ตอนที่ฉันเข้ามาเก็บของในบ้านคุณ คุณป้าเป็นคนชี้บอกทางเข้าประตูเล็กนั่น...แล้วก็ตอนที่คุณว่าฉันเมาหมดสติจนต้องนอนค้างที่บ้านครั้งนั้น...จะว่าไปแล้วฉันไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากมายถึงขนาดฟังแล้วจดตามได้ จะเรียกว่าฟังหูไม่กระดิกซะด้วยซ้ำ ตอนไปเจรจากับลูกค้าครั้งนั้น ทำไมฉันถึงทำงานที่คุณสั่งได้สำเร็จ นั่นก็เพราะคุณป้าคุณท่านช่วย”
“คะ...คุณผู้หญิงเหรอครับคุณขวัญ” ถึงพยายามไม่คิดจะยุ่งเรื่องเจ้านาย แต่ลุงชูก็อดไม่ได้
“ใช่ค่ะลุง”
“จะบอกว่าป้าเป็นคนกระซิบบอกให้คุณจดรายละเอียดพวกนั้นเหรอ” กริชนะถามขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ...คุณป้าไม่ได้กระซิบบอก แต่ท่านเข้ามาซ้อนทับในร่างของฉัน”
“เข้าสิง!” ลุงชูโพล่งขึ้น ขนลุกเกรียวเมื่อคิดเห็นสีหน้า แววตา และท่าทางของเขมขวัญในวันนั้น มันช่างเหมือนคุณผู้หญิงไม่มีผิด
“เหลวไหลที่สุด!”
นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่ได้จากชายหนุ่ม เขาไม่เชื่อเลยสักนิดในสิ่งที่เขมขวัญพูด ดีไม่ดีตอนนี้เขาคงคิดว่าเธอกำลังบ้า...และถ้าหากเธอยังอธิบายต่อไป...ปลายทางสุดท้ายคงไม่พ้นโรงพยาบาลจิตเวชที่ไหนสักแห่ง
“นึกแล้วว่าคุณต้องไม่เชื่อ ฉันก็ไม่น่าเล่าให้เมื่อยปาก” ว่าพลางเมินมองไปนอกหน้าต่าง
“ช่างเถอะ...จะอะไรก็แล้วแต่ผมไม่สนใจเรื่องผีสางหรือเรื่องที่คุณจะเอาพล็อตนิยายไปส่งสำนักพิมพ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้มันทำให้ผมได้เบาะแสบางอย่าง”
“ยังไงคะ” เขมขวัญหันมาถามสีหน้าแสดงอาการสนใจ จนลืมความน้อยใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อย่าเพิ่งรู้เลย...เอาเป็นว่า คุณเตรียมเดินทางไว้ก็แล้วกัน ผมจะพาคุณไปดูงานที่ต่างจังหวัด... งานนี้คุณน่าจะช่วยเหลือผมได้ดี เพราะเท่าที่ดูจากประวัติ คุณเป็นคนในพื้นที่นั้น”
“คะ?”
ไม่มีคำตอบ มีเพียงความเงียบนับแต่นั้นจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตคฤหาสน์หลังงามบนพื้นที่กว้างใจกลางเมืองหลวงอันยากที่จะหาพื้นที่อาศัยขนาดใหญ่เพียงนี้หากไม่มีทรัพย์สินศฤงคารแต่เก่าก่อน
หลังรับประทานอาหารค่ำร่วมกันกับเจ้านาย เขมขวัญก็ขอตัวกลับมาบ้านพักหลังเล็กของเธอด้วยข้ออ้างว่าจะตรวจสอบบัญชีการเงินของบริษัทให้เสร็จ จะว่านั่นเป็นข้ออ้างก็ไม่เชิง เพราะเมื่อมาถึงเธอก็เข้าห้องทำงาน รวบรวมสมาธิไว้ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า ด้วยหวังว่ามันจะทำให้เธอไม่ต้องฝักใฝ่คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงกลางวัน
เข็มนาฬิกาบนผนังหมุนไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น ความคิดกลัวว่าวิญญาณดวงนั้นจะปรากฏหมดไป ทว่าเธอกลับอยากให้มันเกิดขึ้น...แม้จะตั้งใจทำงาน แต่ความหงุดหงิดนั้นเพิ่มทวีจนทนไม่ไหว
พรึบ!
เสียงปิดแฟ้มแรงตามอารมณ์ของคนที่กำลังสะกดอารมณ์โกรธ...ไม่รู้หรอกว่ากำลังโกรธอะไร โกรธผีหรือโกรธตัวเองที่บ้าบอเชื่อและทำตามผีบอก
“คุณป้า...อยู่ที่ไหน...ทำไมไม่ปรากฏตัวออกมาช่วยกัน...คุณป้ารู้มั๊ยว่า เกือบจะทำให้หนูติดคุก” เขมขวัญเริ่มโวย สายตากวาดมองไปรอบห้องที่เงียบกริบอย่างเอาเรื่อง โดยเฉพาะโต๊ะทำงานใหญ่ที่ยังคงไว้ด้วยพิมพ์ดีดและกระดาษปึกหนึ่ง ซึ่งเขมขวัญพอรู้ว่าเป็นสิ่งที่ที่เจ้าของห้องใช้งานมากที่สุด เพราะถูกห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง เขมขวัญจึงขอโต๊ะทำงานชุดเล็กเข้ามาวางไว้ในมุมหนึ่ง
“ว่าไงคะ...หรือต้องให้หนูจุดธูปเชิญ”
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบ ไร้คำตอบ แม้กระแสลมอ่อน ๆที่เคยพัดเป็นสัญญาณก็ไม่ปรากฏ...แล้วหญิงสาวก็เข้าใจในบัดดล “เฮ้อ...ที่แท้ฉันก็บ้าไปเอง คิดเป็นตุเป็นตะว่าติดต่อวิญญาณได้”
ใบหน้างดงามหมองลงกับความเข้าใจอันนั้น เสียงถอนหายใจดังติด ๆกัน กระนั้นก็ไม่ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้น หมดอารมณ์จะเจรจากับผี พอ ๆ กับเบื่อที่จะตาลายกับตัวเลขในแฟ้มงานที่ไม่รู้ว่าคำตอบสุดท้ายมันคืออะไร
เหลือบตามองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าดึกพอสมควรจะเข้านอน เอกสารต่าง ๆ จึงถูกรวบรวมเอาไว้มุมโต๊ะ ไฟทุกดวงในห้องทำงานปิดเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้อง ประตูหน้าต่างถูกตรวจสอบว่าปิดลงกลอนในทุกที่ เพื่อความสบายใจ
ที่นอนแม้ปราศจากเตียงแต่ก็นุ่มสบายสำหรับหญิงสาวที่เคยชินกับการนอนแบบนี้ เพราะเมื่อหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิทโดยไม่ต้องเสียเวลานับแกะ เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์ ความมืดมิดที่มีอยู่รอบตัวก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นจากแสงนวลที่มองเห็นเป็นลำคล้ายเบื้องหน้าคือทางออก...
ฝันอีกแล้ว...เขมขวัญบอกตัวเอง...เพราะหากมันคือความเป็นจริงก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะหลงอยู่ในอุโมงค์อันดำมืดเช่นนี้...แสงสว่างนำทางให้เธอเดินออกมายังดินแดนใหม่ แปลกตา ทว่าก่อให้เกิดความอ้างว้างอย่างประหลาด ความกลัวถูกระงับลงเมื่อเข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริง ในความฝันสิ่งอันตรายใด ๆ ที่ปรากฏก็หาได้มีอันตรายในความเป็นจริง แล้วใยเธอต้องกลัว...
“เก่งมาก...ที่หนูยอมรับกับสิ่งที่บังเกิดอยู่เบื้องหน้านี้ได้อย่างกล้าหาญ...”
เขมขวัญหันไปมองตามเสียง...ตรงหน้าปรากฏร่างของบุคคลที่เธอเพิ่งจะต่อว่าต่อขานไปเมื่อช่วงดึก ใบหน้านางยังดูงดงาม อ่อนเยาว์จนไม่อาจบอกได้ว่าหญิงผู้นี้ลาจากโลกไปเมื่ออายุเกือบหกสิบ
“คุณมาแล้วเหรอ...ทำไมคุณเพิ่งปรากฏตัวตอนนี้”
เขมขวัญถามขึ้น น้ำเสียงแสดงอาการไม่พอใจออกมาชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายหาได้ตอบคำถาม นางเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ดั่งมิเคยทำสิ่งใดผิด หรือ สร้างความเดือดร้อนแก่ใคร
“หนูอุตส่าห์ทำตามที่คุณขอร้อง แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือความผิด มันสร้างความอับอายให้หนูมากมายแค่ไหนคุณรู้หรือเปล่า...แถมเจ้านายยังไม่เชื่อเรื่องที่หนูเล่า ตอนนี้เจ้านายคงคิดว่าหนูบ้า” เธอบ่นทั้งตัดพ้อ
“สิ่งที่หนูกลัวที่สุดคืออะไรจ๊ะ...กลัวที่วินิจกล่าวหาว่าหนูลอกพล็อตนิยาย และใช้ประโยชน์จากนามปากกาฉันเหรอ...” ร่างโปร่งแสง ที่เพียงยืนยิ้ม เอ่ยถามอย่างเอ็นดู
“มันก็...ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะเรื่องนั้น เขาไม่ได้แจ้งตำรวจจับก็บุญโข...ต่อไปหนูคงไม่ไปพบเขาอีก”
“งั้นก็แสดงว่าหนูแคร์ความรู้สึกของหลานชายฉัน”
“เอ่อ...มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว หนูต้องทำงานกับเจ้านาย ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน หนูคงทำตัวไม่ถูกหากในสายตาเจ้านายมองหนูสติไม่สมประกอบ ดีไม่ดีเขาอาจไล่หนูออกจากงาน คราวนี้ครอบครัวหนูคงแย่” ว่าพรางทำหน้าสลด
“ไม่ต้องกลัว...กริชไม่มีวันไล่หนูออก”
“ถึงคุณจะบอกอย่างนั้น แต่หนูก็ไม่อยากเสี่ยง”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เขาฟังเอง หนูจะอนุญาตให้ฉันทำอย่างนั้นไหม” เสียงเยือกเย็นเอ่ยขอเบา ๆ ทั้งมองนิ่งมายังหญิงสาวตรงหน้าอย่างรอคำตอบ
“ถ้าเขาจะเชื่อ...หนูก็ไม่มีอะไรขัดข้อง”
สภาวะจิตในตอนนั้นสร้างความคิดความเข้าใจขึ้นเอง สิ่งที่วิญญาณสามารถทำได้ก็คงไม่พ้นการเข้าฝันอย่างที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร หากป้าของเขาจะไปเข้าฝันหลานชาย ทว่า...การเข้าฝันนั้น จำเป็นด้วยหรือที่วิญญาณตนนี้จะเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอ ใกล้มาก ใกล้จนไม่อาจหลบพ้น ความรู้สึกหนักอึ้งของร่างกายที่ถูกกดทับจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อเกิดขึ้น ก่อนที่การรับรู้แม้เป็นเพียงภาพฝันจะค่อย ๆ ดับมืดลงในที่สุด
***************
เพิ่งกลับจากทัวร์เติมพลังค่ะ...เลยเข้ามาอัพช้า หวังว่ายังรอกันอยู่พร้อมหน้านะคะ...
จากปัญหาที่พานพบในครั้งที่แล้ว...ทองหลางได้ตัดสินใจแล้วว่า จะยังคงอัพไปจนจบ เช่นเดิม...ในเมื่อความสุขของคนเขียนคือการได้เขียนให้คนอ่าน ได้อ่านอย่างมีความสุข...ถ้าหยุดอัพกลางครันก็กระไรอยู่...สรุปว่า...หลังเขียนจบ งานจะขายได้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ ขอให้คนอ่านที่ติดตามผลงานของทองหลางทุกคน มีความสุขกับผลงานของทองหลางก็พอ นะคะ ^_^
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ธ.ค. 2559, 15:52:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ธ.ค. 2559, 06:43:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1150
<< ตอนที่ 14 เจ้าของที่แท้จริงคือใคร | ตอนที่ 19 อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ >> |
นกขมิ้น 12 ธ.ค. 2559, 19:01:38 น.
ดีใจจุงมาอัพแล้วคิดถึงจังเลย
ดีใจจุงมาอัพแล้วคิดถึงจังเลย
นกขมิ้น 12 ธ.ค. 2559, 19:28:39 น.
สู้ๆนะคะไรท์
สู้ๆนะคะไรท์
แว่นใส 13 ธ.ค. 2559, 00:10:01 น.
สิงร่างอีกแล้ว
สิงร่างอีกแล้ว
Kim 13 ธ.ค. 2559, 10:37:21 น.
อ้าวยัยขวัญโดนสิงอีกแล้ว คุณป้าเอาให้คนทั้งบ้านอ้าปากค้างกันไปเลยนะคะ
ไรเตอร์พูดซะน่าสงสาร ถ้าอัพตอนใหม่แล้วห้าวันลบเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่จะอัพให้อ่านจนจบ
ไม่ชอบพวกที่หาประโยชน์จากแรงคนอื่นเลย
อ้าวยัยขวัญโดนสิงอีกแล้ว คุณป้าเอาให้คนทั้งบ้านอ้าปากค้างกันไปเลยนะคะ
ไรเตอร์พูดซะน่าสงสาร ถ้าอัพตอนใหม่แล้วห้าวันลบเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่จะอัพให้อ่านจนจบ
ไม่ชอบพวกที่หาประโยชน์จากแรงคนอื่นเลย
wane 14 ธ.ค. 2559, 04:55:55 น.
ขอบคุณไรท์นะคะ ที่จะอัพจนจบ ส่งแรงใจมาให้นะคะ
ขอบคุณไรท์นะคะ ที่จะอัพจนจบ ส่งแรงใจมาให้นะคะ
yapapaya 16 ธ.ค. 2559, 12:04:13 น.
ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณนะคะ