ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา
และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ
ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน
ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา
และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ
ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน
ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๖ สิงห์คู่บัลลังค์ (50%)
บทที่ ๖ สิงห์คู่บัลลังค์
กระบวนม้าสีดำฝ่าความมืดในยามราตรีออกจากเขตพระนครไปอย่างรวดเร็ว โดยมีกองทหารม้าของฝ่ายอยุธยาไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด แต่ด้วยฝีเท้าที่ปราดเปรียวว่องไวของม้าศึกสายพันธุ์ดีจากลุ่มน้ำสินธุ กองทหารของอองเทียนจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องสูญเสียทหารผู้ติดตามไปหนึ่งนายจากหอกซัดเข้าที่เบื้องหลัง
ข้ามผ่านเทือกเขาตะนาวศรีอันสลับซับซ้อน ลงสู่ที่ราบเจ๊าเซสีน้ำตาลอันแห้งแล้งในหน้าหนาว โดยมีจุดหมายคือกรุงอังวะที่ตั้งอยู่ริมฝั่งอิระวดี
กระทั่งแผนที่เกาะอยุธยาก็ถูกนำมากางในที่ประชุมในสภาฮลุตตอร์เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการวางแผนการรบในเบื้องต้น
จนเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว อองเทียนจึงจะออกมารอด้านนอกกับสหายสนิทอีกสามนาย คือ ลวิน นันทะ และเซน ระหว่างที่เมียวมินท์ยังต้องคุยข้อราชการต่อด้านใน
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวผ่านซุ้มประตูก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมา
“กลับมาแล้วหรืออูอองเทียน เห็นเขาพูดกันว่าท่านเสียทหารไปหนึ่งนาย เพราะทำเกินคำสั่งท่านมหาสีหะสุระใช่หรือไม่”
เมื่อมองไปตามเสียง จึงเห็นว่าเมงจี คู่อริเก่าที่มายืนรออยู่ที่ฐานรูปปั้นนรสิงห์หน้าประตูทางเข้า
“ท่านแค่สั่งให้ไปปราบปรามกบฏสมิงพระเธียร แต่ท่านกลับสวมรอยเข้าลึกไปถึงกลางกรุงโยเดีย ท่านจะรับผิดชอบชีวิตทหารนายนั้นอย่างไรเล่า เอ...หรือว่าที่ท่านไปโยเดียครั้งนี้ ก็เพื่อไปรายงานข่าวของเราให้ทางนั้นทราบ ก็อย่างว่า สายเลือดของท่านมันครึ่งๆกลางๆอย่างไรพิกล พ่อเป็นอังวะ แม่เป็นล้านนา ก็ไม่รู้ว่าจะภักดีต่อฝ่ายไหนกันแน่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อองเทียนจึงกระตุกยิ้ม พลางแสร้งเลิกคิ้วหันไปถามเพื่อนทหารที่เดินมาด้วยกันอย่างสีหน้าแปลกอกแปลกใจ
“ลวิน อูเมงจีเขาย้ายตำแหน่งมาเป็นหน่วยตรวจการณ์แทนกระผมตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ จึงได้ขยันขันแข็งในหน้าที่ คอยกล่าวหาผู้นั้นผู้นี้ไปทั่วว่าเป็นกบฏ ราวกับมีตาทิพย์”
อองเทียนหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน จนเพื่อนต้องปรามก่อนจะเกิดการปะทะคารมกันขึ้นในเขตพระราชฐานให้ได้โดนลงโทษกันถ้วนหน้า
“อูเมงจี แม้แต่เสนาบดีบางท่านในสภาก็เป็นเลือดมอญ ทหารองครักษ์ประจำประตูวังก็เป็นโยเดียตั้งหลายนาย หากท่านกล่าวหาลอยๆโดยไม่มีหลักฐาน ก็เท่ากับกล่าวหาข้าราชบริพารท่านอื่นๆไปด้วยนะท่าน”
นันทะ สหายอีกคนหนึ่งของอองเทียนกล่าวตักเตือน แม้จะไม่ชอบหน้านายทหารผู้นี้ก็ตามที เหตุเพราะการชิงดีชิงเด่นกับอองเทียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทั้งบู้และบุ๋น จึงได้คิดอาฆาตแค้นกันมาจนถึงตอนนี้
จนในที่สุดก็ได้ลากกันออกไปให้พ้นจากตรงนั้น ปล่อยให้เมงจีหน้าดำหน้าแดงกับคำประชดประชันของเจ้าอองเทียนตัวแสบ
“หายไปตั้งนาน แล้วไม่มีสาวงามชาวโยเดียติดสอยห้อยตามมาด้วยหรอกรึ”
เซนถามเพื่อนพลางหัวเราะเยาะคนที่ยังหน้าตึง เพราะถูกอูเมงจีจี้ใจดำเรื่องนายทหารที่เขาเสียไปในแดนของอยุธยา
“ก็เกือบจะมี แต่โชคดีที่ตามมาไม่ทัน”
อองเทียนตอบห้วนๆ นั่นไม่ใช่การประชดแต่อย่างใด เพราะตอนแรกเขาก็ว่าจะกบดานต่ออยู่ที่กระท่อม แต่ไม่รู้ว่าทหารอยุธยาตามมาถูกได้อย่างไร หรือจะเป็นเพราะเวทมนตร์ประหลาดนั่น ที่ทำให้ทหารเหล่านั้นตามหาเขาจนเจอ
จนเมื่อเมียวมินท์ตามออกมาจากสภา ทุกคนที่นั่งสนทนากันที่ศาลาจึงพร้อมจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับก็ยังอดล้อเลียนคนพี่ไม่ได้
“อูเมียวมินท์ นี่ก็เดือนสิบสองแล้ว ท่านอย่ารอให้หมดหน้าหนาวซะก่อนล่ะ รีบตบรีบแต่งเสียเถิด เจ้าสาวก็พามาอยู่ร่วมเรือนด้วยกันแล้ว”
เมียวมินท์แกล้งมองไปเสียทางอื่น เมื่อเห็นว่าน้องชายหันมามองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“เดี๋ยวกลับบ้านค่อยเล่าให้ฟัง” ผู้เป็นพี่รีบบอกปัด เพราะขุนนางอื่นๆที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างก็มองเขาด้วยความขบขัน ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลกที่เขาพยายามเลี่ยงพิธีประสานมือ บ้างก็แกล้งพูดลอยๆให้ได้ยินว่า จะนำไปทูลฟ้องเรื่องที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงรับสั่งเรื่องการสมรส
“รีบกลับบ้านกัน แม่รออยู่” เมียวมินท์เร่ง เพื่อออกให้พ้นจากเขตราชสำนัก ก่อนที่จะตกเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้
ทั้งคู่จึงเดินออกไปยังโรงม้าที่ผูกเอาไว้ โดยมีสายตาเฉียบคมมองออกมาจากสภาฮลุตตอร์ มหาสีหะสุระ มหาเสนาบดีใหญ่ฝ่ายการทหารในวัยล่วงห้าสิบปีมองหน่วยก้านของสองพี่น้องทหารเอกอย่างพิจารณา บิดาของทั้งคู่เป็นสิงห์คู่พระทัยของพระเจ้าอลองพญาที่พากันไปพิชิตหงสาวดีได้สำเร็จในรัชกาลก่อน ส่วนในรัชกาลนี้
‘นี่ก็คงจะเป็นสิงห์คู่ ที่สามารถช่วยอังวะในการพิชิตอโยธาเช่นเดียวกัน’
เจ้านางอู่คำนั่งรออยู่บนตั่งชิดผนังบนเรือนไม้สักหลังใหญ่ตั้งแต่บ่ายคล้อย เมื่อมีทหารมารายงานว่า ลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปเป็นเดือนกลับมาถึงอังวะแล้วแต่เลยเข้าไปยังพระราชสำนักก่อนเพราะมีราชการด่วน จนกระทั่งพลบค่ำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเข้ามาในเขตบ้าน
เมื่อเยี่ยมหน้าออกไปดูจึงเห็นว่าเป็นทั้งสองคนที่กลับมาพร้อมกัน โดยมีบ่าวไพร่ในบ้านวิ่งเข้าไปรับ
ผู้เป็นแม่สูดลมหายใจเข้าไปในอกที่ใกล้จะระเบิด จนเมื่อลูกชายทั้งสองโผล่ขึ้นมาจากบันได
“กลับมาแล้วรึ พ่อตัวดี”
เจ้านางอู่คำเอ่ยด้วยความโมโห ทั้งสายตาก็สำรวจไปตามเนื้อตัวว่าลูกชายยังมีอวัยวะอยู่ครบสามสิบสองหรือไม่ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกรับราชการทหารเช่นเดียวพ่อ และต้องออกตระเวนดูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆนึกจะหายก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว!
ผู้เป็นแม่จึงต้องนั่งใจหายใจคว่ำ ไม่เป็นอันกินอันนอน เมื่อทหารมาบอกว่าลูกจะยังไม่กลับบ้านตามกำหนด
“ขอรับ” อองเทียนตอบเนือยๆ ส่วนเมียวมินท์นั้นแยกตัวไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย
“ขอรับแล้วอย่างไร” เจ้างนางอู่คำนึกอยากจะหยิกแขนให้เนื้อหลุด ไม่ว่าเธอจะดีใจ เสียใจ โมโห หรือเบื่อหน่าย ลูกชายก็ทำเป็นอยู่อย่างเดียว คือทำหน้าตายใส่เธอ!
ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยนี้มาจากไหน จะว่าตอนเด็กมีพี่เลี้ยงเป็นท่อนไม้รึก็ไม่ใช่
“ขอรับ กระผมเหนื่อยมาก” เจ้าของร่างสูงที่อยู่ในชุดทหารเอ่ย
เขาเหนื่อยจริงๆอย่างว่า เพราะเส้นทางจากอยุธยากลับมาอังวะนั้นแสนไกล ต้องรอนแรมข้ามน้ำข้ามภูเขามาหลายวันกว่าจะถึงบ้าน
ทำเอาคนเป็นแม่ที่รอชำระความต้องยอมใจอ่อนชั่วคราว และรีบไปหาน้ำหาท่ามาให้ดื่ม พร้อมจัดการให้ไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อจะได้รีบไปพักผ่อน
“วันๆเอาแต่ตะลอนไปตะลอนมา เมื่อไหร่จะมีเหย้ามีเรือนเสียทีก็ไม่รู้ นี่พี่เจ้าเขาก็เตรียมจะ
ออกเรือนแล้ว รู้หรือไม่”
เจ้านางอู่คำพร่ำบ่นอยู่ในห้องนอนลูกชายที่ถูกเจ้าของทิ้งร้างไปนานร่วมเดือน ระหว่างที่บ่นมือก็ตระเตรียมชุดลองยีสีอ่อนสำหรับให้ลูกชายสวมใส่หลังชำระล้างร่างกาย บ่าวไพร่ที่อยู่นอกห้องก็วิ่งวุ่นตักน้ำตักท่ามาเตรียมไว้รอ
แม้ปากจะบ่นว่า แต่ในใจก็ตื้นตันที่ลูกกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย และทันเทศกาลก่อเจดีย์ทราย และงานบูชาเจดีย์ชเวดากองพอดี จะได้พากันไปทำบุญ ทั้งพระทั้งนัตท่านจะได้คุ้มครองให้ลูกของเธอทั้งคู่อยู่รอดปลอดภัยในทุกหน้าที่
อองเทียนรับฟังไป ขณะมือก็แกะปลอกแขนและกรองคอออกวางไว้บนตั่ง ในใจก็นึกสงสัย เขาไม่เห็นว่าเมียวมินท์จะมีใจภักดิ์ให้กับสตรีนางใดในอังวะ วันๆเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำรับตำราโบราณราวกับปลวกแทะใบลาน
แล้วจู่ๆทำไมถึงมีสตรีมาร่วมเรือนได
“เป็นใครหรือขอรับ”
“ท่านหญิงพญาจี เชื้อพระวงศ์ตองอู”
เมื่อฟังชื่อแล้วไม่รู้จัก ก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป และรีบอาบน้ำเข้านอนอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทน
จนวันรุ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นมา สิ่งแรกที่อองเทียนเอ่ย เมื่อเห็นท่านหญิงพญาจี ศิษย์ร่วมสำนักท่านสิริอุชนะในวัยเด็กมาอยู่ในบ้านของตน ทั้งยังอยู่ในชุดผ้าซิ่นลุนตยาลายคลื่นอันปราณีต และประดับมวยผมด้วยพวงดอกไม้สีขาวถักร้อยลงมาเป็นสายเคลียไหล่งดงาม
“พยู นี่เจ้าเป็น...” อองเทียนมองเพื่อนในวัยเยาว์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“เป็นอะไร” พญาจียอกย้อนด้วยความหงุดหงิดใส่คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาขาประจำกับเธอ ซึ่งกำลังจ้องมองมาอย่างไร้มารยาท เมื่อได้รู้เพศที่แท้จริงของเธอ
“เป็น...พวกลักเพศหรอกรึ”
“อองเทียน!” พญาจีแทบจะพุ่งเข้าไปหักคอผู้ซึ่งไม่เคยตาถึงในการมองความงามของสตรีแม้แต่น้อย!
********* ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาชมนะคะ ^_^ **************
กระบวนม้าสีดำฝ่าความมืดในยามราตรีออกจากเขตพระนครไปอย่างรวดเร็ว โดยมีกองทหารม้าของฝ่ายอยุธยาไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด แต่ด้วยฝีเท้าที่ปราดเปรียวว่องไวของม้าศึกสายพันธุ์ดีจากลุ่มน้ำสินธุ กองทหารของอองเทียนจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องสูญเสียทหารผู้ติดตามไปหนึ่งนายจากหอกซัดเข้าที่เบื้องหลัง
ข้ามผ่านเทือกเขาตะนาวศรีอันสลับซับซ้อน ลงสู่ที่ราบเจ๊าเซสีน้ำตาลอันแห้งแล้งในหน้าหนาว โดยมีจุดหมายคือกรุงอังวะที่ตั้งอยู่ริมฝั่งอิระวดี
กระทั่งแผนที่เกาะอยุธยาก็ถูกนำมากางในที่ประชุมในสภาฮลุตตอร์เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการวางแผนการรบในเบื้องต้น
จนเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว อองเทียนจึงจะออกมารอด้านนอกกับสหายสนิทอีกสามนาย คือ ลวิน นันทะ และเซน ระหว่างที่เมียวมินท์ยังต้องคุยข้อราชการต่อด้านใน
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวผ่านซุ้มประตูก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมา
“กลับมาแล้วหรืออูอองเทียน เห็นเขาพูดกันว่าท่านเสียทหารไปหนึ่งนาย เพราะทำเกินคำสั่งท่านมหาสีหะสุระใช่หรือไม่”
เมื่อมองไปตามเสียง จึงเห็นว่าเมงจี คู่อริเก่าที่มายืนรออยู่ที่ฐานรูปปั้นนรสิงห์หน้าประตูทางเข้า
“ท่านแค่สั่งให้ไปปราบปรามกบฏสมิงพระเธียร แต่ท่านกลับสวมรอยเข้าลึกไปถึงกลางกรุงโยเดีย ท่านจะรับผิดชอบชีวิตทหารนายนั้นอย่างไรเล่า เอ...หรือว่าที่ท่านไปโยเดียครั้งนี้ ก็เพื่อไปรายงานข่าวของเราให้ทางนั้นทราบ ก็อย่างว่า สายเลือดของท่านมันครึ่งๆกลางๆอย่างไรพิกล พ่อเป็นอังวะ แม่เป็นล้านนา ก็ไม่รู้ว่าจะภักดีต่อฝ่ายไหนกันแน่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อองเทียนจึงกระตุกยิ้ม พลางแสร้งเลิกคิ้วหันไปถามเพื่อนทหารที่เดินมาด้วยกันอย่างสีหน้าแปลกอกแปลกใจ
“ลวิน อูเมงจีเขาย้ายตำแหน่งมาเป็นหน่วยตรวจการณ์แทนกระผมตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ จึงได้ขยันขันแข็งในหน้าที่ คอยกล่าวหาผู้นั้นผู้นี้ไปทั่วว่าเป็นกบฏ ราวกับมีตาทิพย์”
อองเทียนหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน จนเพื่อนต้องปรามก่อนจะเกิดการปะทะคารมกันขึ้นในเขตพระราชฐานให้ได้โดนลงโทษกันถ้วนหน้า
“อูเมงจี แม้แต่เสนาบดีบางท่านในสภาก็เป็นเลือดมอญ ทหารองครักษ์ประจำประตูวังก็เป็นโยเดียตั้งหลายนาย หากท่านกล่าวหาลอยๆโดยไม่มีหลักฐาน ก็เท่ากับกล่าวหาข้าราชบริพารท่านอื่นๆไปด้วยนะท่าน”
นันทะ สหายอีกคนหนึ่งของอองเทียนกล่าวตักเตือน แม้จะไม่ชอบหน้านายทหารผู้นี้ก็ตามที เหตุเพราะการชิงดีชิงเด่นกับอองเทียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทั้งบู้และบุ๋น จึงได้คิดอาฆาตแค้นกันมาจนถึงตอนนี้
จนในที่สุดก็ได้ลากกันออกไปให้พ้นจากตรงนั้น ปล่อยให้เมงจีหน้าดำหน้าแดงกับคำประชดประชันของเจ้าอองเทียนตัวแสบ
“หายไปตั้งนาน แล้วไม่มีสาวงามชาวโยเดียติดสอยห้อยตามมาด้วยหรอกรึ”
เซนถามเพื่อนพลางหัวเราะเยาะคนที่ยังหน้าตึง เพราะถูกอูเมงจีจี้ใจดำเรื่องนายทหารที่เขาเสียไปในแดนของอยุธยา
“ก็เกือบจะมี แต่โชคดีที่ตามมาไม่ทัน”
อองเทียนตอบห้วนๆ นั่นไม่ใช่การประชดแต่อย่างใด เพราะตอนแรกเขาก็ว่าจะกบดานต่ออยู่ที่กระท่อม แต่ไม่รู้ว่าทหารอยุธยาตามมาถูกได้อย่างไร หรือจะเป็นเพราะเวทมนตร์ประหลาดนั่น ที่ทำให้ทหารเหล่านั้นตามหาเขาจนเจอ
จนเมื่อเมียวมินท์ตามออกมาจากสภา ทุกคนที่นั่งสนทนากันที่ศาลาจึงพร้อมจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับก็ยังอดล้อเลียนคนพี่ไม่ได้
“อูเมียวมินท์ นี่ก็เดือนสิบสองแล้ว ท่านอย่ารอให้หมดหน้าหนาวซะก่อนล่ะ รีบตบรีบแต่งเสียเถิด เจ้าสาวก็พามาอยู่ร่วมเรือนด้วยกันแล้ว”
เมียวมินท์แกล้งมองไปเสียทางอื่น เมื่อเห็นว่าน้องชายหันมามองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“เดี๋ยวกลับบ้านค่อยเล่าให้ฟัง” ผู้เป็นพี่รีบบอกปัด เพราะขุนนางอื่นๆที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างก็มองเขาด้วยความขบขัน ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลกที่เขาพยายามเลี่ยงพิธีประสานมือ บ้างก็แกล้งพูดลอยๆให้ได้ยินว่า จะนำไปทูลฟ้องเรื่องที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงรับสั่งเรื่องการสมรส
“รีบกลับบ้านกัน แม่รออยู่” เมียวมินท์เร่ง เพื่อออกให้พ้นจากเขตราชสำนัก ก่อนที่จะตกเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้
ทั้งคู่จึงเดินออกไปยังโรงม้าที่ผูกเอาไว้ โดยมีสายตาเฉียบคมมองออกมาจากสภาฮลุตตอร์ มหาสีหะสุระ มหาเสนาบดีใหญ่ฝ่ายการทหารในวัยล่วงห้าสิบปีมองหน่วยก้านของสองพี่น้องทหารเอกอย่างพิจารณา บิดาของทั้งคู่เป็นสิงห์คู่พระทัยของพระเจ้าอลองพญาที่พากันไปพิชิตหงสาวดีได้สำเร็จในรัชกาลก่อน ส่วนในรัชกาลนี้
‘นี่ก็คงจะเป็นสิงห์คู่ ที่สามารถช่วยอังวะในการพิชิตอโยธาเช่นเดียวกัน’
เจ้านางอู่คำนั่งรออยู่บนตั่งชิดผนังบนเรือนไม้สักหลังใหญ่ตั้งแต่บ่ายคล้อย เมื่อมีทหารมารายงานว่า ลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปเป็นเดือนกลับมาถึงอังวะแล้วแต่เลยเข้าไปยังพระราชสำนักก่อนเพราะมีราชการด่วน จนกระทั่งพลบค่ำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเข้ามาในเขตบ้าน
เมื่อเยี่ยมหน้าออกไปดูจึงเห็นว่าเป็นทั้งสองคนที่กลับมาพร้อมกัน โดยมีบ่าวไพร่ในบ้านวิ่งเข้าไปรับ
ผู้เป็นแม่สูดลมหายใจเข้าไปในอกที่ใกล้จะระเบิด จนเมื่อลูกชายทั้งสองโผล่ขึ้นมาจากบันได
“กลับมาแล้วรึ พ่อตัวดี”
เจ้านางอู่คำเอ่ยด้วยความโมโห ทั้งสายตาก็สำรวจไปตามเนื้อตัวว่าลูกชายยังมีอวัยวะอยู่ครบสามสิบสองหรือไม่ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกรับราชการทหารเช่นเดียวพ่อ และต้องออกตระเวนดูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆนึกจะหายก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว!
ผู้เป็นแม่จึงต้องนั่งใจหายใจคว่ำ ไม่เป็นอันกินอันนอน เมื่อทหารมาบอกว่าลูกจะยังไม่กลับบ้านตามกำหนด
“ขอรับ” อองเทียนตอบเนือยๆ ส่วนเมียวมินท์นั้นแยกตัวไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย
“ขอรับแล้วอย่างไร” เจ้างนางอู่คำนึกอยากจะหยิกแขนให้เนื้อหลุด ไม่ว่าเธอจะดีใจ เสียใจ โมโห หรือเบื่อหน่าย ลูกชายก็ทำเป็นอยู่อย่างเดียว คือทำหน้าตายใส่เธอ!
ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยนี้มาจากไหน จะว่าตอนเด็กมีพี่เลี้ยงเป็นท่อนไม้รึก็ไม่ใช่
“ขอรับ กระผมเหนื่อยมาก” เจ้าของร่างสูงที่อยู่ในชุดทหารเอ่ย
เขาเหนื่อยจริงๆอย่างว่า เพราะเส้นทางจากอยุธยากลับมาอังวะนั้นแสนไกล ต้องรอนแรมข้ามน้ำข้ามภูเขามาหลายวันกว่าจะถึงบ้าน
ทำเอาคนเป็นแม่ที่รอชำระความต้องยอมใจอ่อนชั่วคราว และรีบไปหาน้ำหาท่ามาให้ดื่ม พร้อมจัดการให้ไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อจะได้รีบไปพักผ่อน
“วันๆเอาแต่ตะลอนไปตะลอนมา เมื่อไหร่จะมีเหย้ามีเรือนเสียทีก็ไม่รู้ นี่พี่เจ้าเขาก็เตรียมจะ
ออกเรือนแล้ว รู้หรือไม่”
เจ้านางอู่คำพร่ำบ่นอยู่ในห้องนอนลูกชายที่ถูกเจ้าของทิ้งร้างไปนานร่วมเดือน ระหว่างที่บ่นมือก็ตระเตรียมชุดลองยีสีอ่อนสำหรับให้ลูกชายสวมใส่หลังชำระล้างร่างกาย บ่าวไพร่ที่อยู่นอกห้องก็วิ่งวุ่นตักน้ำตักท่ามาเตรียมไว้รอ
แม้ปากจะบ่นว่า แต่ในใจก็ตื้นตันที่ลูกกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย และทันเทศกาลก่อเจดีย์ทราย และงานบูชาเจดีย์ชเวดากองพอดี จะได้พากันไปทำบุญ ทั้งพระทั้งนัตท่านจะได้คุ้มครองให้ลูกของเธอทั้งคู่อยู่รอดปลอดภัยในทุกหน้าที่
อองเทียนรับฟังไป ขณะมือก็แกะปลอกแขนและกรองคอออกวางไว้บนตั่ง ในใจก็นึกสงสัย เขาไม่เห็นว่าเมียวมินท์จะมีใจภักดิ์ให้กับสตรีนางใดในอังวะ วันๆเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำรับตำราโบราณราวกับปลวกแทะใบลาน
แล้วจู่ๆทำไมถึงมีสตรีมาร่วมเรือนได
“เป็นใครหรือขอรับ”
“ท่านหญิงพญาจี เชื้อพระวงศ์ตองอู”
เมื่อฟังชื่อแล้วไม่รู้จัก ก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป และรีบอาบน้ำเข้านอนอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทน
จนวันรุ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นมา สิ่งแรกที่อองเทียนเอ่ย เมื่อเห็นท่านหญิงพญาจี ศิษย์ร่วมสำนักท่านสิริอุชนะในวัยเด็กมาอยู่ในบ้านของตน ทั้งยังอยู่ในชุดผ้าซิ่นลุนตยาลายคลื่นอันปราณีต และประดับมวยผมด้วยพวงดอกไม้สีขาวถักร้อยลงมาเป็นสายเคลียไหล่งดงาม
“พยู นี่เจ้าเป็น...” อองเทียนมองเพื่อนในวัยเยาว์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“เป็นอะไร” พญาจียอกย้อนด้วยความหงุดหงิดใส่คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาขาประจำกับเธอ ซึ่งกำลังจ้องมองมาอย่างไร้มารยาท เมื่อได้รู้เพศที่แท้จริงของเธอ
“เป็น...พวกลักเพศหรอกรึ”
“อองเทียน!” พญาจีแทบจะพุ่งเข้าไปหักคอผู้ซึ่งไม่เคยตาถึงในการมองความงามของสตรีแม้แต่น้อย!
********* ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาชมนะคะ ^_^ **************
นาวาร้อยกวี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2560, 19:28:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2560, 20:32:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 3709
<< ยุวนารีแห่งสยาม 100% |
แว่นใส 30 ม.ค. 2560, 19:44:08 น.
ปากไม่ดีตลอดเลย
ปากไม่ดีตลอดเลย
goldensun 30 ม.ค. 2560, 20:10:05 น.
อย่างขำ ทักไปได้ เชื่อว่าพยูเป็นชายจริงๆ หรือเนี่ย
อย่างขำ ทักไปได้ เชื่อว่าพยูเป็นชายจริงๆ หรือเนี่ย
คิมหันตุ์ 4 ก.พ. 2560, 00:44:09 น.
ตอนแรกกดอ่านเรื่องย่อแล้ว ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ พอเริ่มอ่านตอนต่อมา ทำไมคุ้นๆ ถึงพี่เธียร 55555
มาตามย้อนดูอดีตพี่เธียรจ่ะ
ตอนแรกกดอ่านเรื่องย่อแล้ว ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ พอเริ่มอ่านตอนต่อมา ทำไมคุ้นๆ ถึงพี่เธียร 55555
มาตามย้อนดูอดีตพี่เธียรจ่ะ
สิรินดา 13 มิ.ย. 2560, 09:11:10 น.
กรี๊ดดดด คิดถึงค่าาาา
กรี๊ดดดด คิดถึงค่าาาา
แพม 15 เม.ย. 2562, 16:39:04 น.
หายไปไหนอ่ะ
หายไปไหนอ่ะ