ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ทิพย์อสงไขย (The guardians)

ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา


และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ


ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน


ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ยุวนารีแห่งสยาม 100%

บทที่ ๕ ยุวนารีแห่งสยาม


กาเบรียลแหงนหน้าชะเง้อมองประตูเมืองยอดเป็นมณฑปแหลมสูงทาด้วยสีสีแดง ขณะที่ขบวนของเขานั่งเรือข้ามแม่น้ำมายังประตูเมือง เพื่อเข้าไปในพระนครหลวงอันล้อมรอบไปด้วยกำแพงใหญ่ ด้านบนสุดของกำแพงเรียงรายไปด้วยใบเสมาโค้งมนปลายแหลม ที่ดูคล้ายรูปใบไม้ มากกว่าจะเอาไว้เป็นโล่กำบังของทหารรบบนกำแพงเมื่อข้าศึกโจมตี
และเมื่อผ่านเข้าประตูมา ภาพชีวิตของผู้คนในกำแพงพระนครก็ยิ่งทำให้ต้องประหลาดใจ

“เหมือนกับเมืองเวนิซที่อิตาลี” เขาไม่เคยนึกจินตานาการออกเลยว่า ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ จะมีหน้าตาเป็นแบบไหน จนเมื่อได้มาเห็นกับตา

ภายนอกกำแพงพระนครนั้นล้อมรอบไปด้วยสายน้ำ ภายในคือเมืองแห่งน้ำที่มีคูครองน้อยใหญ่ตัดไปมาอย่างเป็นระเบียบราวกับตารางหมากรุก มีถนนขนาบไปกับคลอง และมีสะพานน้อยใหญ่ทอดข้ามคลอง มีเรือลำเล็กพายสัญจรไปมาอย่างคึกคัก โดยเฉพาะบริเวณที่น่าจะเป็นตลาด เพราะมีผู้คนพลุกพล่านทั้งทางบกทางน้ำ

“ใช่แล้วล่ะ ใครๆที่มาเห็นก็เรียกกันทั้งนั้น ว่าที่แห่งนี้คือเวนิซตะวันออก” ลุงของเขาสำทับ นึกขำกับท่าทางตื่นเต้นของหลานชายเมื่อได้มาเห็นดินแดนที่งดงามประหลาดล้ำแห่งนี้

ขบวนของเขาเดินทางไปตามถนนเส้นใหญ่ตามผู้ที่นำเส้นทาง ยอดปราสาทราชวังแหลมสูงขึ้นไปบนฟ้าซึ่งโผล่พ้นยอดปลายไปก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผู้นำทางพามาถึงบ้านหลังคาแหลมสูง ที่คล้ายคลึงกับบ้านผู้คนชาวสยามอื่นๆ เพียงแต่มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่า และมีเรือนเล็กเรือนใหญ่เชื่อมต่อกันหลายหลังด้วยชานเรือน และมีศาลากลางเรือนตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง

แต่เขาเพียงแต่ได้ชะเง้อมองดูเท่านั้น เพราะคณะของเขาถูกเชิญมาที่ศาลาริมน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีบุคคลสำคัญที่รอพวกเขาอยู่คือ เสนาบดีกรมพระคลัง ‘พระยาโกษาธิบดี’ ทำหน้าที่คอยดูแลพระคลังหลวง การค้าขายและรับรองทูตต่างประเทศ ทั้งยังมีหน้าที่ตัดสินคดีความของคนต่างชาติ

อีกท่านที่มาด้วยคือ พระจุฬาราชมนตรี กรมท่าขวา ผู้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลการค้าขายกับทุกชาติที่ล่องมาจากฝั่งอันดามัน และเขาได้ยินว่า อีกฝั่งทะเลที่ค้าขายกับจีน มีเจ้ากรมท่าซ้ายเป็นผู้ดูแล แต่คงไม่ได้ด้วยในวันนี้

การเจรจาดำเนินไประหว่างเพื่อหาข้อตกลงในการทำการค้า เขาเองซึ่งเป็นเพียงผู้ติดตามก็หาจังหวะหลบออกมาดูบริเวณรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรมบ้านเรือนชาวสยาม

เมื่อไม่มีคนเดินพลุกพล่าน เขาจึงแอบมายืนดูเรือนไม้หลังใหญ่อยู่ใกล้ๆอย่างสนอกสนใจ เพราะตัวเรือนนั้นไม่ได้เป็นตึกมิดชิดอย่างบ้านเมืองของเขา แต่กลับเปิดโล่งรับลมจากด้านนอกอย่างเต็มที่ มีแยกเรือนเป็นหลายหลังทั้งหลังเล็กหลังใหญ่ใต้หลังคาแหลมสูง โดยทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนเสายกสูงจากพื้นขึ้นไป เป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่ซับซ้อนและมีความสวยงามน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน

แต่ระหว่างที่มองเพลินๆอยู่นั้น เขาก็เหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ

ชั่งใจอยู่สักครู่ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปดู จึงเห็นสาวน้อยผมจุกที่นั่งซุกตัวหลบอยู่ ในมือมีถาดใส่ดอกไม้เล็กๆสีขาวคล้ายดอกจัสมินที่ใกล้จะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่ เพราะมือที่ถืออยู่นั้นสั่นเทิ้มไปหมด

กาเบรียลส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอคลายความหวาดกลัว แต่อย่างใด

เขาจึงลองเอ่ยทักทายเป็นภาษาสยามที่ท่องจำมา

“ทำอะไร” แต่เขากลับได้รับคำตอบที่ต้องประหลาดใจ

“เด เตโม เด เค เอจา โน ปวยดา” ‘ฉันเกรงว่าเธอคงตอบคำถามของท่านไม่ได้’
เสียงนั้นเอ่ยขึ้นมาจากเบื้องหลัง

กาเบรียลหันหลังกลับไปอย่างฉับพลัน จึงเห็นว่าเป็นสตรีชาวสยามมายืนอยู่เบื้องหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ โดยที่เขามั่นใจว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างแน่นอน

“อาบลา อุสเตส เอสปันญอน” ‘ท่านพูดภาษาสเปนได้”

สาวน้อยชาวสยามยิ้มให้เขา ก่อนจะมองไปยังเมย

“เอจา ปวยเด เอกูชาเล เปโร โน ปวยเด อาบลา” ‘นางได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถพูดจาได้’

“โปรเก?” ‘ทำไม?’

“อัลเกียง ดีโค เก กวันโต เอจา เอรา โฮเบนฟวย อาซุสตาดา ปอร์เอล เอสเตรนโด เดอุง คายอง เดสเด เอนตองเฟส นุงกา อา บวยโต อา อาบลา” ‘มีคนบอกว่า เมื่อตอนที่นางยังเล็ก นางตกใจเสียงปืนใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา นางก็ไม่เคยพูดอะไรอีกเลย’

“งานรับรองมิตรจากอีสปันญอณอยู่ทางนั้น แล้วเหตุใดท่านจึงพลัดหลงมาทางนี้เล่า” สาวน้อยชาวสยามยิ้มโดยไม่ได้มีสีหน้าตำหนิแต่อย่างใด

“เอ่อ...เห็นว่าบ้านเรือนชาวสยามสวยแปลกตาดี จึงอยากมาดูใกล้ๆ ต้องขออภัยที่เสียมารยาท บ้านของท่านอาณาเขตกว้างขวางยิ่งนัก สงสัยจะหลงทางเสียแล้ว”

“ไม่เป็นไร” เจ้าของเรือนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น ผู้รับใช้ในเรือนนี้ก็ถือเอกสารสัญญาการค้าขายที่ท่านลุงของเขาได้เตรียมมาให้พระยาโกษาธิบดี แล้วมานั่งคุกเข่ายื่นให้กับสุภาพสตรีผู้นี้ เธอเหลียวมองเอกสารเหล่านั้น พลางหันมาพูดกับเขา

“ถ้าท่านหลงทาง เดี๋ยวจะพาไปส่ง”

ลุงมองหาหลานอยู่เพียงครู่ แล้วก็เจอมาเดินกลับมาจากอีกทางแต่เพียงผู้เดียว

“กาเบรียล หายไปไหนมา”

“กระผมเดินหลงขอรับ”

“ท่านลุง กระผมเจอสุภาพสตรีท่านหนึ่ง พูดภาษาของเราได้”

“แม่หญิงทิพย์น่ะหรือ”

“ท่านลุงรู้จักนางหรือขอรับ”

“ก็นางคือบุตรีของเจ้าของเรือนนี้ พระยาโกษาธิบดี ผู้ถือตราบัวแก้วอย่างไรล่ะ”

ลุงของเขาเอ่ยถึงตราสำคัญที่จะคอยประทับเพื่ออนุญาตให้ดำเนินการค้าขายในราชอาณาจักรแห่งนี้

“นางคือสตรีผู้เดียวที่ได้รับข้อยกเว้นพิเศษ ให้สามารถรับใช้แผ่นดินในฝ่ายผู้ชำนาญการพิเศษด้านภาษา ร่วมกับพวกแขกมัวร์ เอกสารที่เรานำมาวันนี้ ก็คงจะถูกนำขึ้นไปให้นางแปลอยู่บนเรือน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้ลงมานั่งเป็นล่ามเจรจาให้ฝั่งสยามด้วย”

“เหตุใดนางจึงพูดภาษาของเราได้”

“นางเป็นลูกหลานสายสกุลที่ดูแลเรื่องการค้าขายกับต่างชาติ รับใช้แผ่นดินมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เห็นว่ารับราชการมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ทั้งตระกูลนี้ยังมีเชื้อสายหลายชาติปะปนทั้งฝั่งตะวันออก ตะวันตก ก็คงไม่แปลกที่จะพูดภาษาเราได้ เพราะคงฝึกฝันกันมาตั้งแต่เด็ก”

“นางงดงามเหลือเกิน” กาเบรียลยังคงนึกถึงใบหน้านวลกระจ่าง อันเป็นความเป็นความงดงามในแบบตะวันออกอันมีเอกลักษณ์

“เจ้าอย่าหวังสิ่งใดเลยกาเบรียล ลุงได้ยินมาว่า นางไม่สามารถสมรสกับชายใดได้ ต้องถือพรหมจรรย์ไปชั่วชีวิต”

ชายหนุ่มมองลุงด้วยความสงสัย ในใจนั้นห่อเหี่ยวลงอย่างฉับพลัน

“ทำไมล่ะท่านลุง”

เมยยังตกใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวโพ้นทะเล เธอไม่เคยเห็นพวกเขาเหล่านั้นใกล้ถึงเพียงนี้มาก่อน ทั้งสีตา สีผมและผิวพรรณก็ดูผิดแผกไปจากคนทั่วไป และมาเข้ามาพูดคุยกับเธอด้วยภาษาประหลาดหูอีก

แต่ในความกลัวนั้น น้ำเสียงกระจ่างใสก็คอยปลอบประโลม

“อย่ากลัวไปเลยเมย”

“เจ้าจงจำไว้ ความกลัวมีประโยชน์เพียงน้อย แต่มีโทษมหาศาล และอีกไม่นาน เจ้าจะต้องเผชิญกับความหวาดกลัวอีกนับไม่ถ้วน ในยามที่บ้านเมืองนี้คับขัน”

น้ำเสียงตอนท้ายนั้นจริงจัง เสียจนดวงตาใสคู่นั้นต้องเงยหน้าขึ้นมองนายหญิงของตน เมื่อรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จนแม่หญิงทิพย์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และหันมายิ้มละไมให้กับเธอ แต่สิ่งที่เอ่ยนั้น ทำให้หัวใจของสาวน้อยชาวมอญผู้เป็นใบ้นั้นหล่นวูบลงไปอย่างเฉียบพลัน

“เมย...ไม่แน่ว่า อยุธยาอาจจะไม่สามารถเป็นเกราะกำบังภัยให้เจ้าตลอดไป ดังนั้นเจ้าจะต้องเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดให้มากที่สุด ก่อนจะถึงวันนั้น”

...เพราะผู้ที่จะทำให้ราชอาณาจักรอยุธยาสั่นคลอนนั้น เดินทางมาถึงแล้ว เพียงแค่ว่าเธอยังควานหาตัวไม่เจอเท่านั้นเอง !


'*****************
กาเบรียลดีใจจนแทบเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อท่านลุงของเขาร้องขอให้พระยาโกษาธิบดีอนุญาตให้เขาได้มาสนทนากับบุตรีของท่านได้สำเร็จ เพื่อจดบันทึกเรื่องราวของชาวสยาม

ผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขานั้นงดงามจนเขาประหม่าที่จะสบตา เจ้าของผมดำขลับยามประบ่าล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่นั้นยิ้มละไมให้กับเขา โดยด้านข้างมีสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่เขาเจอในวันก่อนนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แต่ความงดงามของผู้เป็นนายทำให้เขาไม่สนใจเธอมากนัก แต่ก็พอจะสังเกตได้ว่า สาวน้อยผู้นั้นไม่ได้ตกใจกลัวเขาอีกต่อไปแล้ว

และยิ่งสนทนากันมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทำให้กาเบรียลรู้สึกประหลาดใจต่อสุภาพสตรีผู้นี้มากยิ่งขึ้น

แม่หญิงเล่าไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กาเบรียลจดบันทึก

“ผู้คนชาวสยามหลงใหลชื่นชอบในวรรณคดีเสียมาก ปรัชญาและองค์ความรู้ต่างๆจึงแอบแฝงอยู่ในวรรณคดีเล่านั้น ทั้งด้านอภิปรัชญา จริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์ เป็นเรื่องของผู้ศึกษาที่ต้องกรั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง น้อยนักที่จะเขียนเป็นตำราเพื่อศึกษาอย่างจริงจัง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ก็พอมีบ้าง อย่างพระไตรปิฎกว่าด้วยเรื่องพระพุทธศาสนา จินดามณีว่าด้วยเรื่องอักษรศาสตร์ พิชัยสงครามว่าด้วยเรื่องการสงคราม คำภีร์ฉันทศาสตร์ว่าด้วยเรื่องตำรายา คชศาสตร์ว่าด้วยเรื่องช้าง”

“น่าเสียดายนัก ที่ดินแดนสุวรรณภูมินี้ ผู้คนไม่ได้ให้ความสนใจที่จะศึกษาด้านปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่าใดนัก แต่มุ่งไปทางด้านจิตวิญญาณเสียมาก แต่เรายังพอมีหอดูดาวที่เมืองละโว้ ที่พอจะเทียบเคียงได้กับหอดูดาวที่ปารีส และเมืองกรีนิช สร้างไว้เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว เพื่อศึกษาทางด้านดาราศาสตร์ และยังมีการศึกษาเรื่องแร่ แต่ก็ไม่ได้เผยแพร่ความรู้จากราชสำนักไปสู่ราษฏร ทุกอย่างมาขาดตอนไปเมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์”

“นั่นก็แปลว่าในยามนี้ชาวสยามเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ มากกว่าการสนใจใคร่รู้ทางด้านศาสตร์แขนงอื่นๆที่สามารถพิสูจน์ได้จริง” กาเบรียลตั้งคำถาม

“นั่นเป็นเพราะว่า ที่สำหรับให้เด็กๆศึกษาเล่าเรียนคือวัด ครูคือพระนักบวช ที่มีเป้าหมายคือการฝึกจิตสมาธิ ในการค้นพบสัจธรรมของชีวิตเพื่อการหลุดพ้น การเรียนรู้ในศาสตร์ใหม่ๆจึงค่อนข้างจำกัด เพราะสอนเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ และสอนด้านศีลธรรมจรรยา” แม่หญิงยิ้มพร้อมอธิบายในวิธีชีวิตของชาวอยุธยา

“แล้วท่านล่ะ ให้ความสำคัญทางด้านใดมากกว่ากัน”

“ศาสตร์แห่งความรู้เอาไว้ดำเนินชีวิต ศาสตร์แห่งธรรมเอาไว้ดำเนินจิตวิญญาณ สองสิ่งต้องมีควบคู่กัน” แม่หญิงตอบ
“แต่ก็มีชาวสยามไม่น้อยเชื่อในเรื่องโชคชะตา ภูติผีปีศาจ และเวทย์มนตร์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แล้วตัวท่านล่ะ เชื่อด้วยหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง”

กาเบรียลยิ้มขำ เมื่อถามแม่หญิงทิพย์ผู้ที่มีความรู้ทั้งทางโลกตะวันตกและตะวันออกมากมายก่ายกอง ว่าจะตอบว่าอย่างไร
แม่หญิงทิพย์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ได้ตอบอะไร

“อาหารว่างมาแล้ว เชิญท่านพักทานขนมกับน้ำชาก่อนเถิด หลังจากนั้นแล้ว ท่านพอจะเล่าเรื่องราวของบ้านเมืองท่านที่คาบสมุทรไอบีเรียบ้างได้หรือไม่” ดวงตาสวยเปล่งประกายอย่างใคร่รู้ในความเป็นไปของโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

“ได้สิ” กาเบรียลรับคำ

แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เขาจึงลืมที่จะซักไซ้เอาคำตอบของคำถามสุดท้ายนั้นไปอย่างง่ายดาย จนเมื่อเขาก้าวพ้นเขตบ้านของพระยาโกษาธิบดีในตอนบ่ายคล้อย จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม่หญิงยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น

พลบค่ำของเย็นวันเดียวกัน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังประชุมหารือกันอย่างวิตกที่เรือนของพระโกษาธิบดี โดยมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้นเรือนยกชั้นเป็นที่ปรึกษา ผู้ซี่งเป็นอดีตโหรหลวงที่ได้ลาออกจากราชการเนื่องจากอยู่ในวัยชราเต็มที และผู้เป็นบิดาของพระโกษาธิบดี

“พระเจ้ามังระมุ่งหวังอย่างแรงกล้าว่าจะโค่นล้มอยุธยาให้ได้ ตามประสงค์ของพระบิดาที่มาสิ้นพระชนม์ในแผ่นดินของเราเมื่อศึกคราวที่แล้ว เห็นว่ากำลังคัดเลือกนายทหารเพื่อจัดเตรียมทัพใหญ่อีกครั้งแล้ว”

“เราเหลือเวลาอีกนานเท่าใด เจ้ารู้หรือไม่” ท่านเจ้าคุณทหารถาม

“คาดว่าอีกราวสองถึงสามปีขอรับ” สายสืบที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอังวะรายงาน

โดยที่ทั้งหมดนั้น ไม่รู้เลยว่ามีกลุ่มคนที่ลอบฟังอยู่บนต้นไม้ใกล้กับศาลาริมน้ำในยามค่ำคืน เมื่ออูอองเทียนและพวกพ้องสะกดรอยตามสายสืบผู้นั้นมาตั้งแต่ต้น ทั้งหมดอยู่ในชุดดำแอบแฝงตัวอยู่ในความมืด นิ่งฟังทุกถ้อยคำที่สายสืบของฝั่งอยุธยากลับมารายงานความเคลื่อนไหวภายในของอังวะ

“หากกำจัดขุนพลเอกได้เสียแต่เนิ่นๆระหว่างที่ยกทัพมา ก็จะได้เลิกทัพไป ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อทหารทั้งฝ่ายเราฝ่ายเขา”
เจ้าคุณฝ่ายทหารเอ่ย เพราะรู้ดีว่า กำลังพลส่วนใหญ่ก็มาจากไพร่ฟ้าราษฏรที่ถูกเกณฑ์มารบ แต่ละนายก็ล้วนแล้วแต่ต้องจากลูกเมียและครอบครัวมาสู้รบกัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก หรือโกรธเคืองบาดหมางกันมาก่อน รบก็ตาย ไม่รบก็ถูกนายฆ่าตาย ทุกชีวิตล้วนต้องเข้าสู่สนามรบอย่างไม่มีทางเลือก เพียงเพราะวิถีแห่งสงครามและการแย่งชิงความเป็นใหญ่

“ก็พอจะเป็นไปได้หลายทาง แต่มีทางหนึ่งที่มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับพวกเจ้า” อดีตโหรหลวงเอ่ยขึ้น

“....ตามชะตาทัพแล้ว ผู้ที่มีนามว่า อูอองเทียน นั้นจะเป็นจุดอ่อนและจุดแข็งที่สุดของทัพอังวะ”

ผู้ที่ฟังอยู่บนต้นไม้นิ่งไปชั่วขณะ เมื่อมีชื่อของตนเข้าไปอยู่ในวงสนทนาอย่างไม่คาดคิด

“บุรุษผู้นี้มีดวงจะเป็นผู้ผู้พิชิตกรุงศรี แต่ว่าเขาผู้นี้ก็ดวงชะตาที่จะต้องผูกใจรัก และเป็นคู่ครองของหลานข้าเช่นเดียวกัน”

“แม่หญิงทิยพ์น่ะรึขอรับ”

“อย่างนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะหาทางให้หลานท่านไปผูกมัดใจนายทหารผู้นั้น จนเขายอมมาอยู่ฝ่ายเรา”

“ไม่มีทางหรอก เขาเป็นนายทหารชั้นนายทัพผู้รับใช้ใกล้ชิดบัลลังค์ ย่อมจงรักภักดีพระเจ้ามังระเท่าชีวิต”

“หากเป็นเช่นนั้น ก็จงให้หลานท่านทำให้อูอองเทียนลุ่มหลงจนเสียการทัพ”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็พอจะเป็นไปได้” ผู้เฒ่าในวัยชราถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เมื่อต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำ “ไปเรียกแม่หญิงทิพย์หลานข้ามา” ประโยคสุดท้ายหันไปสั่งข้ารับใช้ในเรือน

เมื่อได้ยินอย่างนั้น พระยาโกษาธิบดีก็รีบทัดทาน

“แต่ว่าแม่ทิพย์อุทิศตนให้กับการบำเพ็ญเพียร และจะถือพรมจรรย์ตลอดชีวิต ย่อมต้องละกิเลสนะขอรับ” เพราะเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียว ที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับข้าศึกศัตรู

“พ่อรู้ หลานพ่อมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ แต่ด้วยกรรมนำพา ทั้งเกิดมาในกลียุคที่บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ ย่อมยากที่จะถึงมรรคผล การศึกครั้งนี้หนักหนาเหลือเกินนะลูกเอ๋ย แม้แต่สมณะก็จะต้องสึกออกมาเพื่อปกป้องบ้านเมือง”

บิดาบอกพระโกษาธิบดีถึงวันข้างหน้า ภาพที่เห็นนั้นช่างเจ็บปวดเหลือแสน ไฟจะลุกไหม้แผดเผาไปทั่ว เลือดจะนองทั้งแผ่นดิน แม้แต่แม่ทิพย์ก็ทราบเรื่องนี้ดี

“ตามนรลักษณ์แล้ว บุรุษผู้ที่จะมาพิชิตอยุธยานั้น จะสูงใหญ่ ผิวเผือด ดูผิดแผกจากคนทั่วไปนัก พวกเจ้าสั่งให้คนไปค้นหามาให้ได้”

อูอองเทียนก้มมองตัวเอง ว่าตรงกับที่ผู้เฒ่าผู้นั้นเอ่ยหรือไม่ พลางกระตุกยิ้มที่มุมปากในความแม่นยำ

“แต่หากแม้นรอดไปได้ ข้าจึงจะส่งหลานข้าไปหามัน”

ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น อูอองเทียนก็เห็นว่ามีสตรีสองนางเดินมาจากอีกทางฝั่งหนึ่งของชานเรือน แต่ภายใต้แสงเทียนอันเลือนลาง เขาจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่จะมาทำให้เขาลุ่มหลงได้ชัดนัก

เแม่หญิงทิพย์เมื่อถูกเรียกออกมา จึงพาเมยออกมาเป็นเพื่อนด้วย และขณะที่เดินผ่านชานเรือนก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง จึงเข้าไปนั่งและกระซิบบอกผู้เป็นพ่อ

“มีคนลอบฟังที่ต้นไม้ค่ะ”

ฝั่งอูอองเทียนขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย เมื่อจู่ๆทหารที่เฝ้าอยู่ตรงบันไดขึ้นเรือนจึงต่างพุ่งมาที่ต้นไม้ที่เขาปีนอยู่อย่างทันควัน
และเมื่อแน่ใจว่าตนคือเป้าหมาย จึงกระโจนลงจากต้นไม้พร้อมด้วยพรรคพวก พร้อมชักดาบออกมาฟาดฟันกับทหารที่เข้ามาโจมตี!

การปะทะกันเกิดขึ้นอย่างชุลมุนวุ่นวาย จนทหารนายหนึ่งเกิดเสียท่าให้กับทหารผู้ติดตามของอูอองเทียนที่กำลังจะเงื้อดาบฟัน แต่ก่อนที่จะถูกปลิดลมหายใจ เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท

‘สักกัสสะ วชิราวุธา’

จู่ๆดาบในมือที่กำลังจะฟาดเข้าที่ลำคอของทหารนายนั้น ก็กระดอนกลับอย่างรุนแรง ราวกับปะทะเข้ากับวัตถุแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น จนดาบในมือนั้นกระเด็นกระดอนไปไกล

ก่อนที่ทุกอย่างก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มบุรุษในชุดดำหายไปในความมืดราวกับเงา ทิ้งเอาไว้เพียงดาบที่หล่นปักอยู่ที่พื้นดิน

ท่านเจ้าคุณทหารที่วิ่งลงมาดู จึงเก็บดาบเล่มนั้นขึ้นมาดูอย่างพิจารณาแล้วจึงเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

“ดาบอิระวดี”

นางมอญน้อยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ เมื่อรู้แล้วว่าบุรุษชุดดำเหล่านั้นที่เคยไล่ล่าเธอที่เทือกเขาตะนาวศรี บัดนี้ได้แฝงตัวเข้ามาถึงอยุธยาแล้ว

“พวกอังวะอยู่รอบกายเรา และคงรู้เท่าทันแผนการเมื่อสักครู่แล้ว ให้คนอื่นไปแทนแม่ทิพย์ได้หรือไม่ขอรับ” พระโกษาธิบดีขอร้องผู้เป็นพ่อ

แม่หญิงทิพย์ที่ยังคงนั่งสงบนิ่งคิดทบทวนอยู่ในใจ เมื่อก่อนเธอเองก็ยังไม่รู้อย่างแน่ชัด ว่าเหตุใดจึงต้องดั้นด้นไปถึงด่านสิงขรเพื่อไปช่วยเมย แต่วันนี้เธอเข้าใจในสิ่งที่โชคชะตาชี้นำเธอแล้ว

“นี่คงคือเหตุผล ว่าทำไมเราถึงต้องเจอกัน เมย” แม่หญิงทิยพ์หันไปหานางมอญน้อย

“ต่อจากนี้ไป เราคงต้องพึ่งเจ้าอีกมากเลยเชียวล่ะ” ดวงตากลมใสมองนายหญิงอย่างไม่เข้าใจในความหมาย
ขณะเดียวกันนั้น อูอองเทียนและทหารผู้ติดตามก็มุ่งหน้าออกจากอยุธยาในค่ำคืนนั้น พร้อมจดจำชื่อที่ต้องระวังเอาไว้เป็นอย่างดี

‘แม่หญิงทิพย์’

และที่สำคัญ น้ำเสียงซึ่งดังก้องอยู่ในหูขณะที่ปะทะกันกับทหารนั้น เพราะมันคือเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินในป่าที่ด่านสิงขร!

***********


หมายเหตุ : แขกมัวร์ หมายถึงแขกอาหรับที่อพยพมาจากแอฟริกา เข้ามาในสเปน แล้วถูกชาวสเปนขับไล่ จึงอพยพเข้ามาอยู่ในอยุธยาและรับราชการแผ่นดิน แขกมัวร์ หมายรวมถึงพวกปอร์เซีย อาหรับ อาณาจักรออตโตมาน และอินเดียด้วย แขกเหล่านี้คอยเป็นล่ามให้ราชสำนัก เมื่อมีต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขาย และดูแลเรื่องการคลัง


ขอบคุณสำหรับทุกเม้นท์นะคะ (^_^)



นาวาร้อยกวี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2560, 19:15:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2560, 17:59:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1747





<< บทที่ ๔ ศิษย์รักกับศิษย์เอก (100%)   บทที่ ๖ สิงห์คู่บัลลังค์ (50%) >>
แว่นใส 17 ม.ค. 2560, 23:04:12 น.
กาเบรียลหรือเปล่า หรือว่าใครกันนะ ลุ้นอยู่จ้า


คิมหันตุ์ 19 ม.ค. 2560, 17:05:07 น.
โอ่ยยยยย รอค่ะรอ มาอัพอีกไวไวนะจ๊ะ


goldensun 19 ม.ค. 2560, 21:01:34 น.
เมยมาแล้วววว ไม่ยอมพูดซะด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account