โซ่รักไฟปรารถนา
“เป็นเพียงแค่เงา... ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไร้ตัวตน แต่มันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องรู้ซึ้งกับความทรมานที่เสียดแทงหัวใจผมอยู่ทุกวินาที”
บ่อยครั้งที่ ‘เชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ’ ส่ายหน้าและทอดถอนใจให้กับความ(ร้าย)เดียงสาของเด็กแก่แดดวัยเจ็ดขวบ
ซึ่งมักจ้องมองตนด้วยสายตาชื่นชม คำพูดฉอเลาะที่ได้ยินทำให้เขานึกอยากจับมาพาดตักแล้วหวดก้นสั่งสอนแทนผู้เป็นพ่อแม่นัก
‘เขาคือพ่อของลูก’ เป็นความความลับที่ ‘นราวิกา’ เคยคิดว่าจะฝังกลบมันลงในก้นบึ้งของหัวใจ กลับต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยคำขู่บังคับอันหนักหน่วงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เมื่อเธอปล้นความเป็นพ่อจากเขาไปถึงเจ็ดปี เขาก็จะช่วงชิงตัวลูกสาวให้หนีหายไปอีกเจ็ดปีเช่นกัน
เธอทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ในมุมมืด ซ่อนเร้นความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายให้รอดพ้นจากสายตาคนทั้งโลกไม่ต่างจากพวกมีปัญหาทางจิต
น้ำตาและความชอกช้ำใจของเธอจึงเป็น ‘หนทางบำบัดความทรมาน’ ที่คาดว่าจะทำให้บาดแผลในหัวใจของเขานั้นตื้นเขินขึ้น
ทว่าสถานภาพใหม่กลับผลักดันให้เขาอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนของของครอบครัวเล็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแม่ของลูกยังทำให้เขาต้องยิ้มตามอย่างมีความสุข
ทุกอย่างจึงดูสับสนและสวนทางกับความผิดพลาดในอดีตที่เต็มไปด้วยคำโป้ปดมดเท็จ
หนทางที่จะใช้น้ำตาและความเจ็บปวดเอาชนะเธอจึงดูริบหรี่จนแทบไม่เห็นแสงสว่าง
ทว่า ‘ไฟปรารถนาที่ยังคุโชน’ ในสายตาของเธอนั้น กลับทำให้เชเชนนอฟมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวที่อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนพ่อของลูกก็จะให้เธอ ‘อุ้มท้องไปจนกว่าเขาจะพอใจ’ คือเหตุผลที่นราวิกากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซ้ำร้ายเขาคิดจะใช้เหตุผลนี้ทรมานเธอให้สาสม!
บ่อยครั้งที่ ‘เชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ’ ส่ายหน้าและทอดถอนใจให้กับความ(ร้าย)เดียงสาของเด็กแก่แดดวัยเจ็ดขวบ
ซึ่งมักจ้องมองตนด้วยสายตาชื่นชม คำพูดฉอเลาะที่ได้ยินทำให้เขานึกอยากจับมาพาดตักแล้วหวดก้นสั่งสอนแทนผู้เป็นพ่อแม่นัก
‘เขาคือพ่อของลูก’ เป็นความความลับที่ ‘นราวิกา’ เคยคิดว่าจะฝังกลบมันลงในก้นบึ้งของหัวใจ กลับต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยคำขู่บังคับอันหนักหน่วงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เมื่อเธอปล้นความเป็นพ่อจากเขาไปถึงเจ็ดปี เขาก็จะช่วงชิงตัวลูกสาวให้หนีหายไปอีกเจ็ดปีเช่นกัน
เธอทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ในมุมมืด ซ่อนเร้นความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายให้รอดพ้นจากสายตาคนทั้งโลกไม่ต่างจากพวกมีปัญหาทางจิต
น้ำตาและความชอกช้ำใจของเธอจึงเป็น ‘หนทางบำบัดความทรมาน’ ที่คาดว่าจะทำให้บาดแผลในหัวใจของเขานั้นตื้นเขินขึ้น
ทว่าสถานภาพใหม่กลับผลักดันให้เขาอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนของของครอบครัวเล็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแม่ของลูกยังทำให้เขาต้องยิ้มตามอย่างมีความสุข
ทุกอย่างจึงดูสับสนและสวนทางกับความผิดพลาดในอดีตที่เต็มไปด้วยคำโป้ปดมดเท็จ
หนทางที่จะใช้น้ำตาและความเจ็บปวดเอาชนะเธอจึงดูริบหรี่จนแทบไม่เห็นแสงสว่าง
ทว่า ‘ไฟปรารถนาที่ยังคุโชน’ ในสายตาของเธอนั้น กลับทำให้เชเชนนอฟมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวที่อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนพ่อของลูกก็จะให้เธอ ‘อุ้มท้องไปจนกว่าเขาจะพอใจ’ คือเหตุผลที่นราวิกากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซ้ำร้ายเขาคิดจะใช้เหตุผลนี้ทรมานเธอให้สาสม!
Tags: เชเชน พ่อค้าอาวุธสงคราม พีด้า เด็กอายุ7ขวบ น่ารัก ฟินว่อร์
ตอน: บทนำ
ต้นปี ค.ศ. 2007
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, สหพันธรัฐรัสเซีย
ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ามาจากด้านหลังแล้วดึงร่างของเธอให้แนบชิดกับเรือนกายแกร่ง กกกอดเอาไว้อย่างแนบแน่นบ่งบอกความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจได้เป็นอย่างดี
“คิดถึง...” ลากเสียงยาวบอกที่ข้างใบหูบางแล้วก้มลงสูดความหอมจากแก้มนุ่มไว้เต็มความคิดถึง
นราวิกายิ้มพร้อมเหล่มองแฟนหนุ่มที่ยังจรดปลายจมูกอยู่กับแก้มของตน ในขณะที่เริ่มก้าวเดินออกไปด้านหน้าทั้งที่ยังกอดกันอยู่เช่นนั้น จังหวะการก้าวขาสอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ “อย่ามามั่วเลย ห่างกันแค่ครึ่งวันเนี่ยนะ”
“อื้อ...”
เสียงห้าวที่ครางรับในทันทีทำให้นราวิกายิ้มอย่างมีความสุข ทว่าประโยคต่อมายิ่งทำให้โลกของเธอกลายเป็นสีชมพู
“อากาศยิ่งหนาว ยิ่งคิดถึง” หนุ่มวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ทั้งรักทั้งคิดถึงนั่นเป็นความจริงทุกประการ ไม่มีความจำเป็นที่คนอย่างเชเชนนอฟจะทรยศหัวใจและความรู้สึกของตนเอง
สาวเอเชียตากลม ผมดำ รูปหน้าทรงไข่ที่อยู่ในชุดฟอร์มของบาริสต้า ทำให้หนุ่มเพิ่งเต็มตัวอย่างเขานึกอยากกระชากเธอเข้ามาตีก้นงอนๆ แล้วกอดรัดให้สมกับความรู้สึกมันเขี้ยวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล หากความรู้สึกที่ดูผิดแปลกไปนี้กระมังที่ทำให้การเข้าหา อยากทำความรู้จักต้องใช้เวลานานกว่าสาวคนอื่นๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเขาต้องใช้เวลาตามจีบเธอนานถึงสองเดือนกว่าจะเข้าใจกันและได้ควงเป็นแฟนสาวเช่นนี้
สีหน้าราบเรียบ เย็นชาและความหยิ่งทะนงตนอาจจะเป็นคุณสมบัติโดยทั่วไปของหนุ่มรัสเซีย แต่นราวิกากลับรู้สึกหวั่นไหวในสายตาที่เขาจ้องมองทุกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าเฉดที่ใกล้เคียงกับสีน้ำทะเลมากที่สุดนั้นทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาว เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเปิดเผยความปรารถนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
สาวอายุสิบแปดปีในสังคมไทยอาจจะเป็นแค่เด็กสาวที่ต้องประพฤติตัวให้อยู่ในกรอบ มีหน้าที่หลักคือเรียนหนังสือ การคบหาเพื่อนต่างเพศคงจะยังไม่ได้จริงจังนัก แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคงจะผิดแปลกไปจากความคิดและการปฏิบัติตัวของนราวิกาอยู่มากนัก
‘เธอรักผู้ชายที่โอบกอดอยู่นี้ รักจนมอบให้เขาทั้งตัวและหัวใจ’
ทว่าในสังคมที่นราวิกาใช้ชีวิตอยู่นี้ กลับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งหนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างเปิดเผย บางคู่ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน ทำงานหาเงินใช้เอง ส่งตัวเองเรียน รับผิดชอบชีวิตของตนเอง
“คืนนี้ไปค้างที่เพนต์เฮาส์ด้วยกันนะ” เสียงห้าวพร่าจัดกระซิบข้างใบหูบาง ทั้งยังคลอเคลียสูดดมไม่หยุดหย่อน เพียงเท่านั้นหัวใจสาวก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“ก็ไหนว่าจะกลับบ้าน”
“ไม่กลับ อยากอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืนเลย ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะแนซ...” เชเชนนอฟบอกแฟนสาวด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ยิ่งเดินใกล้จะถึงเพนต์เฮาส์มากเท่าไหร่ ความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายหนุ่มก็เพิ่มมากขึ้นจนเก็บเอาไว้ไม่มิด
ความเคียดขึงที่ดุนดันกับบั้นท้ายงอนงามทำให้พวงแก้มเธอกลายเป็นสีระเรื่อ “ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าจะทำอีก”
“จริงเหรอ?...” ลากเสียงยาวถามอย่างไม่เชื่อ และเมื่อถึงบันไดด้านหน้าเพนต์เฮาส์ เชเชนนอฟก็ออกแรงรัดร่างของแฟนสาวจนปลายเท้าเธอลอยเหนือพื้น พาเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจนเข้ามาอยู่หลังประตูไม้บานใหญ่ภายในเพนต์เฮาส์สุดหรู “จะคลั่งตายแล้วนะแนซ รู้ไหมว่าฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย ในหัวมีแต่ภาพเธอ ภาพเมื่อคืนนี้”
นราวิกายิ้มอย่างมีความสุขกับคำพูดนั้น เธอสอดฝ่ามือเข้ากับลำคอแกร่งแล้วทิ้งตัวพิงกับร่างสูงใหญ่ที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลัง “อ่อ... รู้แล้วว่าทำไมถึงคิดถึงฉัน มันแปลว่าคุณคิดถึงเซ็กซ์สินะ”
“ไม่ผิดเลย ฉันคิดถึงมันจริงๆ” ตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วหมุนร่างอ้อนแอ้นให้กลับมาเผชิญหน้า พร้อมเลิกคิ้วถาม “หรือคุณไม่คิดถึงผม”
ไม่ถามเปล่าแต่ดันเธอให้ชิดกับประตูแล้วบดสะโพกเข้าหา แสดงตัวให้ได้เห็นว่าเขาฮึกเหิมและคิดถึงเธอมากสักแค่ไหน
“ไม่ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ สมองก็ต้องคิดเรื่องอื่นบ้าง” โต้กลับทันควันและมันออกจะสวนทางกับความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะทุกการก้าวเดินย้ำเตือนให้ได้รู้ว่า เธอมีเขาเป็นผู้ชายคนแรกของชีวิต
ทว่าคำปฏิเสธที่ไร้น้ำหนักนั้นย่อมไม่อาจสั่นคลอนความคิดของผู้ชายอย่างเชเชนนอฟได้เลย “โกหกได้แย่มาก”
“หลงตัวเอง ว้าย...” นราวิกาหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อ สัมผัสกับเนื้อแท้ตรงช่วงเอวและสีข้าง
“เหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฉันหลงตัวเอง เข้าใจมาตลอดว่าหลงเสน่ห์เธอ รู้ไหม” ถามพร้อมก้มลงไปหาริมฝีปากจิ้มลิ้ม ตั้งใจจะจูบแต่เมื่อเธอเผยอปากขึ้นกลับถอยออกมาอย่างหยอกเย้า
นราวิกาหัวเราะเสียงใส “ไม่รู้...”
“เดี๋ยวจะทำให้รู้ เวลาอยู่กับฉันต้องพูดตามที่หัวใจสั่ง อย่าพูดในสิ่งที่ผ่านกระบวนการความคิดมาแล้ว เพราะ...” ยังไม่ได้อธิบายต่อแต่ก้มลงจูบซับริมฝีปากที่เผยอขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ดูดดึงริมฝีปากล่างค้างเอาไว้ชั่วครู่ก่อนจะปล่อยแล้วเลื่อนมือขึ้นปลดตะขอบราเซียร์ “เพราะนั่นมันบิดเบือนความจริงไปกว่าครึ่ง อย่างตอนนี้ บอกสิว่าอยากให้ฉันทำอะไร”
“ฉันไม่ปลื้มผู้ชายที่ชอบออกคำสั่งตลอดเวลา ว้าย... ตกใจหมดเลย” นราวิกาหวีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อถูกเขาอุ้มขึ้นแล้วยังสอดฝ่ามืออีกข้างเข้าไปทาบทับไว้กับทรวงอกอวบอิ่ม เรียวขาคู่งามต้องรีบเกี่ยวรัดสะโพกสอบตามสัญชาตญาณ
“แต่ฉันปลื้มผู้หญิงที่ชอบออกคำสั่ง ยิ่งดุยิ่งชอบ” ไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงฟอนเฟ้นทรวงอกอิ่มแล้วก้มลงครอบครองยอดทรวงผ่านเสื้อยืดตัวหนา ก้าวเดินไปยังหน้าเตาผิงไฟฟ้าซึ่งมีพรมนุ่มปูเอาไว้
เพียงแค่แผ่นหลังบางแตะพื้น เชเชนนอฟก็มุดทั้งศีรษะเข้าไปอยู่ในเสื้อยืด ปลายคางคร้ามคมที่มีหนวดเส้นสั้นผุดขึ้นเสียดสีกับผิวเนื้อละเอียดอ่อน จนเจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
“ไม่เล่นแบบนี้นะเชเชน มันจั๊กจี้ หยุด! พอแล้ว ใจจะขาด” นราวิกาบอกและพยายามดันศีรษะของเขาออกจากช่วงอก แต่มันดูไร้ผลเพราะแฟนหนุ่มของเธอมุดหัวเข้ามาอยู่ในเสื้อ การผลักไสและเสียงหัวเราะจึงเกิดขึ้นตามประสาหนุ่มสาวหยอกล้อกัน
เมื่อเธอดึงชายเสื้อยืดให้พ้นออกจากศีรษะของคนที่คลุกเคล้าทรวงอกไม่ห่าง นั่นเป็นโอกาสให้เชเชนนอฟเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับข้อมือเล็กเอาไว้แล้วผงกศีรษะขึ้น ทรวงอกนุ่มหยุ่นทั้งสองข้างจึงปรากฏแก่สายตา
“อู๊ว... ถอดเสื้อเองด้วย ไม่ชอบให้ฉันออกคำสั่งจริงๆ สินะ”
“เชเชน...” ลากเสียงเรียกชื่อแฟนหนุ่มอย่างเว้าวอน ความอายที่ต้องเปิดเปลือยเนื้อตัวต่อหน้าเขายังน้อยกว่าความกังวลกับอาการร้าวระบมของร่างกาย “อย่าเพิ่งได้ไหม ฉันยังเจ็บอยู่จริงๆ นะ”
ฮอร์โมนในร่างกายของผู้ชายอายุยี่สิบปีกำลังพลุ่งพล่าน มันทำหน้าที่ดีเกินไปด้วยซ้ำเมื่อภาพตรงหน้ากระตุ้นอารมณ์หนุ่มราวกับจุ่มปรอทลงในน้ำเดือด ความต้องการก็พวยพุ่งขึ้นจนแทบจะทะลุองศา แม้เสียงหวานที่ขอร้องนั้นเต็มไปด้วยความกังวลแต่ยอดทรวงสีหวานที่ล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้านี้ก็ทำให้ใจหนุ่มไม่ได้กังวลในสิ่งอื่นใดเลย
“สาบานเลยแนซ ครั้งนี้มันจะไม่เจ็บอีกแล้ว”
“ก็พูดแบบนี้ทุกที” นราวิกาโต้กลับและตวัดเสียงดุๆ แต่คนฟังรู้ว่าเธอไม่ได้ดุจริงจังเท่าไรนัก “เชเชน ฟังฉัน มองหน้าฉันก่อนได้ไหม”
เชเชนนอฟหัวเราะร่วน “อันที่จริงก็อยากมองเธอทั้งตัวนั่นแหละ มอง... จูบ... แล้วก็...”
จบคำพูดก็ก้มลงครอบครองยอดทรวงสีหวานที่หดตัวรับสัมผัสเร่าร้อน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดเร่งเร้าตามอารมณ์หนุ่ม โดยไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ
วัยรุ่นที่ทำทุกอย่างตามความรู้สึก ปราศจากการไตร่ตรอง ความเสน่หาที่แสดงออกต่อกันจึงเร่าร้อนเกินกว่าจะตรึกตรองถึงความถูกผิด ทุกสัมผัสบ่งบอกถึงแรงปรารถนาที่คุโชนในอารมณ์ เสียงห้าวพร่าจัดกับเสียงหวานครางกระเส่า ดังแข่งกับเสียงจังหวะรักอันทรงพลัง กระตุ้นทุกอณูความรู้สึกของหนุ่มสาว
เวลาที่ออกเดตกันมาสองเดือนนั้นทำให้ทั้งคู่มั่นใจว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี บ่อยครั้งที่นราวิกาได้ยินเพื่อนๆ เล่าว่าขึ้นเตียงกับหนุ่มที่เพิ่งออกเดตกันครั้งแรก ถ้าชอบถูกใจก็คบกันต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็แยกย้ายแสวงหาคนที่ใช่ต่อไป
ร่างกาย ความรู้สึก การตัดสินใจและการรับผิดชอบชีวิตนั้นเป็นของตนเองโดยแท้จริง นี่คือความแตกต่างของสังคมที่นราวิกาสัมผัสมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี เมื่อเธอเดินทางจากกรุงเทพมหานครตามผู้เป็นแม่มาอาศัยกับสามีใหม่ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
การร่วมรักกับแฟนหนุ่มจึงถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้สร้างความกระอักกระอ่วนใจใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเชเชนนอฟก็เป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดใจซึ่งยากจะต้านทาน เขาแสดงความสนใจในตัวเธอตั้งแต่ตอนแรก อาจจะโจ่งแจ้งและตรงไปตรงมาเกินไปเสียด้วยซ้ำ ครั้งแรกในการพบหน้ากันจึงไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจสักเท่าไรนัก
อันที่จริงแล้วนราวิกาไม่ได้ชอบให้ผู้ชายมาตามตื๊อนัก แต่ยอมรับกับตัวเองว่าเขามีคำพูดที่ทำให้เธอต้องอมยิ้มและมีวิธีตามตื๊อที่ปราศจากความน่ารำคาญใจ
เชเชนนอฟเป็นผู้ชายที่สมาร์ตทุกมุมมองในสายตาของนราวิกา ความฉลาดนั้นแสดงออกมาให้เห็นได้ด้วยคำพูดและการกระทำ
ในครั้งแรกที่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของบริษัทผลิตอาวุธสงครามที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียนั้น สร้างความประหลาดใจให้เธอไม่น้อย ด้วยฐานะที่แตกต่างเหลือเกินทำให้เธอนิ่งงันและวางตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน แต่ที่ทำให้คลายความอึดอัดใจลงก็น่าจะเป็นเพราะการปฏิบัติตัวของเขานั้นยังกลมกลืนกับเธอ
ขึ้นรถไฟใต้ดินไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่งกินฟาสต์ฟู้ดในสวนสาธารณะ ที่น่าประทับใจที่สุดก็คงเรื่องที่เขาให้เธอขี่คอเป็นชั่วโมงๆ เพราะตัวเล็ก ยิ่งตอนที่ทุกคนกระโดดโลดเต้นก็แทบจะไม่ได้เห็นอะไรเลย ตอนที่ไปดูคอนเสิร์ตวงดนตรีร็อกวงหนึ่งในเรดสแควร์
เชเชนนอฟไม่ได้ทรีตเธอเหมือนเจ้าหญิง ไม่ได้เอาใจใส่เสียจนทำให้รู้สึกว่าง่อยเปลี้ยเสียขาหรือกลายเป็นคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่เขามีความเป็นลูกผู้ชายอย่างเต็มเปี่ยมและการเดินทางไปมอสโคด้วยกันนั้น เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เธอเริ่มเชื่อมั่นว่าตนเองอยู่ข้างเขาในสถานะคนรัก
หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะขอร่วมรักกับเธอในตอนนั้น แต่เชื่อเถอะว่าเขาแค่จูบแล้วนอนกอดกันจนถึงเช้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือความมั่นคงในสัมพันธภาพในความคิดของผู้หญิงอายุสิบแปดปี
สัมผัสแผ่วเบาที่คลอเคลียอยู่ลาดไหล่และลำคอ อาจจะปลุกให้นราวิกาตื่นจากความอ่อนเพลีย ทว่าสิ่งแปลกปลอมที่สอดประสานเข้ามาในร่างกายจากด้านหลังต่างหากที่ทำให้เธอตื่นเต็มตา
“โอ... เชเชน อื้อ...”
“โทษทีที่ปลุกให้ตื่น แต่ฉันไม่ไหวแล้ว” เชเชนนอฟโผนตัวเข้าไปซุกซบในแอ่งเนื้อหวานฉ่ำ ครางกระหึ่มเพราะความรัดรึงที่บีบคั้นราวกับไม่อยากให้เขาถอยห่างไปไกล
มือหนาเลื่อนขึ้นเคล้นคลึงยอดทรวงเข้ากับกลางฝ่ามือ อีกข้างเลื่อนต่ำลงบดคลึงจุดศูนย์รวมความรู้สึกกลางกายสาว ไม่ปรารถนาให้เธอได้รับความเจ็บปวดแต่ก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเขาใหญ่โต ฮึกเหิมจนถึงที่สุดแต่เธอกลับสดใหม่แล้วยังมีเขาเป็นผู้ชายคนแรก
เชเชนนอฟไม่ใช่พวกคลั่งไคล้หรือรังเกียจสาวพรหมจรรย์แต่เขาไม่ชอบและหงุดหงิดใจ หากได้เห็นน้ำใสๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย การเมกเลิฟต้องเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจและพร้อมที่จะปล่อยอารมณ์อย่างเต็มความรู้สึก ในตอนนี้เขาต้องขับไล่ความเจ็บปวดให้ห่างไกลเธอ ทุกการโจนจ้วงเริ่มจะควบคุมความเร็ว แรงไม่ได้ จึงต้องเร่งเร้าให้เธอเหยียดขยายตอบรับอย่างเต็มอารมณ์ที่สุด
“ฉันต้องกลับบ้านแล้วนะ อื้อ... เชเชน” นราวิกาบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เมื่อถูกฝ่ามือหนาดึงขึ้นจนมานอนทับอยู่บนตัวเขา แผ่นหลังถูกดันขึ้นจนได้นั่งทับอยู่บนหน้าท้องแกร่ง
แน่นอนว่าเขากำลังจะสอนให้เธอเป็นฝ่ายแสวงหาความสุขด้วยตัวเอง “อย่างนั้น ช่าย... โอว”
ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่เคยอิ่มในรสเสน่หาของกันและกัน หนุ่มสาววัยฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน แม้รู้แก่ใจดีว่าเซฟเซ็กซ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่ก็ไม่อาจต้านทานความปรารถนา ตัณหาราคะได้
เกือบสิบวันแล้วที่นราวิกาย้ายเข้ามาอยู่เพนต์เฮาส์ของแฟนหนุ่ม ชีวิตเธอดูดี มีความสุข มองโลกเป็นสีชมพูเพราะดูเหมือนว่าเชเชนนอฟจะไม่ได้ให้เพียงความรักและปรารถนา แต่ยังมีความเข้าใจ ไถ่ถามถึงความรู้สึกซึ่งเธอไม่ค่อยจะได้รับสิ่งเหล่านี้จากครอบครัวสักเท่าไรนัก
ความจริงแล้วเธออยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเลย แต่ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนที่คำนวณดูนั้นเกินความสามารถที่จะส่งเสียตัวเองเรียนอยู่มากโข จึงต้องตัดสินใจทำงานเก็บเงินให้ได้สักก้อนหนึ่ง และเงินก้อนนั้นก็เริ่มงอกเงยเมื่อเธอเข้าไปสมัครงานในร้านกาแฟสัญชาติอังกฤษที่มีอยู่หลายสาขาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
กลิ่นกาแฟคั่วบดอย่างพิถีพิถันถูกกลั่นออกมาเป็นกาแฟเข้มข้น หอมกรุ่น นั่นทำให้นราวิกามองเห็นภาพแห่งความฝันอย่างชัดเจน จากพนักงานทำความสะอาดเลื่อนขึ้นไปเทกคอร์สของร้านจนได้เป็นบาริสต้าที่สามารถสร้างสรรค์ลาเต้อาร์ตได้เป็นรูปร่างที่สวยงาม
เสียงชมจากลูกค้าประจำและผู้จัดการร้านสร้างความมั่นใจให้กับเธอมากขึ้น จนตัดสินใจเข้าเรียนบาริสต้าอย่างจริงจัง แน่นอนว่าแชมป์บาริสต้าโลกคือความใฝ่ฝันที่บอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งจะคว้าตำแหน่งนั้นมาเชยชมให้ได้
นราวิกาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา แล้วสอดมือโอบกอดเธอจากด้านหลัง นั่นทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ไม่ใช่แค่เขาที่ชอบกอดเธอจากด้านหลัง เธอเองก็ชอบและอยากให้เขากอดแบบนี้ไปเรื่อยๆ
...เหมือนว่าชีวิตพบหลักพักพิงใจอันมั่นคง ให้ความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
“เธอใจลอย เอาแต่คิดถึงฉันแบบนี้ ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นจะป้องกันตัวเองได้ยังไง หืม?” เชเชนนอฟถามพร้อมทั้งกดริมฝีปากทาบลำคอระหง ทั้งมันเขี้ยว คิดถึง โหยหาชนิดที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เขาไม่มีสมาธิในการเรียน ดูหงุดหงิดงุ่นง่านราวกับคนติดยา จบชั่วโมงเรียนก็ไม่เสวนากับเพื่อนๆ แต่มุ่งหน้ากลับมาหาเธอ และเพิ่งรู้กับตัวเองว่ากลิ่นสาบสาวที่สูดดมอยู่นี้ทำให้อารมณ์ดีขึ้น อาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง
นั่นหมายความว่า... เขาเสพติดเธอเข้าไปแล้ว!
นราวิกาหัวเราะเสียงใส ไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือปฏิเสธคำพูดโอ่ตัวของเขา “บ้านคุณมีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้นขนาดนี้ ทั้งสแกนนิ้วมือ ต้องมีรหัสผ่านอีก โจรที่ไหนจะเข้ามาได้ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นโจรหื่นกามที่วุ่นวายกับเนื้อตัวฉันเหลือเกิน”
“ฉันเนี่ยนะโจร”
“คิดว่างั้น” นราวิกาตอบกลับอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ดูเอาก็แล้วกัน โจรแบบไหนจะรู้อกรู้ใจเธอแบบนี้” พูดพร้อมยื่นซองเอกสารมาไว้ตรงหน้าเธอ
นราวิกาเบี่ยงตัวแล้วเอี้ยวใบหน้าหันกลับไปเลิกคิ้วมองเขาอย่างตั้งคำถาม
เชเชนนอฟโคลงศีรษะแล้ววางซองเอกสารลงบนฝ่ามือบาง “เปิดดูสิ”
เอกสารการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เขากำลังเรียนอยู่และสมุดบัญชีธนาคารซึ่งมีชื่อเธอเป็นเจ้าของบัญชี มือเรียวเปิดดูการอัปเดตสมุดหน้าล่าสุดซึ่งมีเงินสดอยู่จำนวนมากโข นั่นอาจจะพอจ่ายค่าเทอมสักสองปีกระมัง
“รีบไปสมัครเรียนซะ จะได้ไม่เสียเวลา” บอกพร้อมจะก้มลงหอมแก้มนุ่มอีกครั้ง แต่ร่างนุ่มนิ่มกลับเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด เดินไปไม่กี่ก้าวแล้วหมุนตัวกลับมามองด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
“ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ได้คบคุณที่ฐานะ ฉันทำงานหาเงินรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้” นราวิกาบอกและทิ้งเอกสารทุกอย่างในมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ
เชเชนนอฟขมวดคิ้วแทบเป็นเส้นตรง มองตามเอกสารที่ตั้งใจทำให้เธอด้วยความหวังดีแต่กลับถูกทิ้งไว้อย่างไม่แยแส จากนั้นจึงหันมาจ้องหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ “อะไร แล้วฉันไปห้ามเธอไม่ให้ทำงานตอนไหนกัน”
“ก็ทำแบบนี้มันเหมือนดูถูกฉัน ถึงฉันจะจนต้องหยุดเรื่องเรียนไว้ชั่วคราวแล้วทำงานหาเงินสักก้อน ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากใช้เงินของคุณนะเชเชน” นราวิกาเบื่อหน่ายกับการกระทำเช่นนี้นัก ยิ่งเขาเอาแต่นิ่งนั่นยิ่งทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่เธอคิดถูกต้อง “ช่างเถอะ ไม่อยากจะหาเรื่องทะเลาะกับคุณ”
ผู้หญิงบ้าอะไรอย่างนี้วะ!
เปิดประเด็นแล้วเดินหนีเนี่ยนะ ไม่อยากหาเรื่องชวนทะเลาะ เชเชนนอฟคิดในใจแล้วสาวเท้าตามร่างนุ่มนิ่มที่เดินไปยังประตูห้อง
ทันทีที่มือบางจับที่คันโยกของประตู ฝ่ามือหนาก็เอื้อมไปดันประตูห้องเอาไว้ไม่ให้เธอเปิดได้ทั้งยังตั้งใจดันร่างเธอให้ชิดกับประตูบานใหญ่ ค้ำฝ่ามืออีกข้างกักตัวเธอไว้ในอ้อมแขน “แค่พูดว่าไม่อยากชวนทะเลาะแล้วเดินหนีเนี่ยนะ วิธีการแก้ปัญหาของเธอ”
“เลิกกันเลยก็ได้” เหตุผลไม่เคยอยู่เหนืออารมณ์ของสาวอายุสิบแปดปีที่กำลังคิดว่าแฟนหนุ่มดูถูก
“โอ้โห... ท้าทายมาก เธอคิดว่าฉันหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นใช่ไหม ถึงได้ท้าเลิกแบบนี้”
“ก็คิดน่ะสิ ถ้าไม่หลงฉันมากจะชวนมาอยู่ที่นี่แล้วโยนเงินให้เยอะๆ แบบนี้เหรอ ปล่อยนะ” มือสองคู่เริ่มต่อสู้กันเป็นพัลวัน
“ปล่อยได้ไง เธอก็หลงฉันเหมือนกันนั่นแหละน่า... ไม่งั้นจะย้ายมาอยู่ด้วยกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ” ยั่วโมโหต่อแล้วสอดมือเข้าเอวคอดกิ่ว อุ้มเธอขึ้นจนปลายเท้าลอยเหนือพื้น ไม่สนใจกับเสียงโวยวายและการดิ้นรนของเธอสักนิด “ถ้าฉันปล่อยให้กลับบ้าน แล้วคืนนี้เธอจะนอนกอดใคร”
“แยะเยอะไป ผู้ชายที่มาจีบฉันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้หญิงที่มาจีบคุณหรอก กรี๊ด... ปล่อยนะ” นราวิกาดิ้นและต้องครางออกมาด้วยความเจ็บจุกเมื่อเขาโยนเธอลงบนโซฟา ที่น่าโมโหไปกว่านั้นคือไม่ได้เห็นความรู้สึกผิดสักนิด มีแต่รอยยิ้มอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
“ก็จริง แต่จะบอกให้ว่าไม่มีใครเด็ดเท่าเธอ” ไม่พูดเปล่าแต่ทาบทับตัวลงกับร่างนุ่มนิ่ม ใช้สองมือกดข้อมือเล็กเอาไว้ข้างศีรษะ
“ไปตายซะเชเชน ฉันเกลียดคุณจริงๆ เลย” นราวิกาโกรธจัดและไม่มีทางต่อสู้กับผู้ชายร่างกายใหญ่โตกว่าตนได้เลย
ตุบ!
“อา... แม่ตัวดี ทำบ้าอะไรเนี่ย” เชเชนนอฟครางออกมาด้วยเจ็บ เมื่อเธอกระแทกศีรษะเข้ากับปลายจมูก สะบัดหน้าขับไล่ความมึนงงแล้วลืมตาขึ้นมองคนใต้ร่าง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าภาพที่เธอมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ประทุษร้ายร่างกายตนแล้วทิ้งศีรษะลงอย่างไม่กลัวเจ็บ จนผมเผ้าสยายอยู่บนโซฟานั้น ช่างเร้าอารมณ์หนุ่มนัก คนสวยเจ้าอารมณ์ เหวี่ยงสะบัด แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่นั่นทำให้เขาประหลาดใจตัวเองเสียมากกว่าที่ไม่โกรธเคืองเธอเลยสักนิด
“สมน้ำหน้า อยากมายุ่งกับฉันดีนัก ทีนี้ปล่อยแล้วอยากจะไปเรียกผู้หญิงที่ไหนมานอนด้วยก็ตามสบาย”
เชเชนนอฟเบ้ปาก คำพูดร้ายๆ ในประโยคต่อไปก็ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาก่อนเช่นกัน “อย่าบอกนะว่าเธอก็จะไปนอนกับผู้ชายอื่นเหมือนกัน”
ทว่าคนที่น้อยใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลับโมโหจนน้ำตาร่วง “เออ! ก็นี่มันร่างกายฉัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องมายุ่ง”
โอ... เธอร้องไห้!
เชเชนนอฟก้มต่ำลงจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่สนใจว่าเธอจะเบือนหน้าหนีหลบสัมผัส เชื่อเถอะว่าการกระทำดังกล่าวช่วยบรรเทาเบาบางความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอได้เป็นอย่างดี จากที่กำลังทะเลาะกันกลับกลายเป็นจูบปลอบใจ
นราวิกาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนเช่นเคยอีกแล้ว แต่ความน้อยใจยังคงไม่จางหายจึงหลบจุมพิตที่ปากและมองตาขวางอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ
“มาจูบฉันทำไมล่ะ ถอยไปสิ”
“ถอยไปไหนล่ะ ยังไม่ได้เข้าไปเลยนี่นา”
เรื่องลามกคงไม่มีใครเกิน นราวิกาคิดในใจ แต่นิ่งไม่ยอมตอบโต้สุดท้ายไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงเพราะก้มลงจูบหน้าผากบริเวณไรผมที่เธอเพิ่งใช้ทำร้ายเขาไปไม่นาน
“จะปูดขึ้นมาไหมเนี่ย หมดสวยกันพอดี คราวนี้”
ไม่ใช่คำปลอบใจที่คาดหวังแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเขากำลังง้องอนขอคืนดี “ถ้าไม่สวยก็คงไม่ได้มาอยู่แบบนี้หรอก ใช่ไหม”
คราวนี้เป็นเชเชนนอฟที่รู้สึกว่าถูกหมิ่นน้ำใจ ดวงตาสีฟ้าเข้มหรี่แคบลงมองเธออย่างประเมิน “ถ้าไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเองกำลังหมิ่นน้ำใจฉัน ก็จงรู้เอาไว้ซะ”
“ก็เหมือนกับที่คุณฟาดเงินใส่หัวฉันไง ฉันไม่รู้เจตนาของคุณหรอกนะ แต่ถ้าจะคบกันต่อไปก็ขอให้รู้เอาไว้ว่าอย่าทำแบบนั้นอีก”
ได้ยินอย่างนี้แล้วเชเชนนอฟก็เข้าใจความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี แม้ใจจริงแล้วจะไม่มีเจตนาดูหมิ่นดูแคลนเลย เขามองแค่ว่าอยากให้เธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีนี้เท่านั้น
ท้ายที่สุดเชเชนนอฟก็เป็นฝ่ายถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับกับคำพูดของเธอ
“ปล่อยได้แล้ว จะกลับบ้าน” ความจริงแล้ววันนี้นราวิกาตั้งใจจะกลับบ้าน เพราะถึงเวลาที่แม่จะกลับบ้านแล้วในวันพรุ่งนี้ วันนี้เธอจึงต้องกลับบ้านเพื่อไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่ทันที่จะได้บอกเขาก็มาเกิดเรื่องทะเลาะกันเสียก่อน
“อ้าว! ก็ไหนว่าไม่โกรธแล้วจะให้ปล่อยอีกทำไม” โวยวายเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการสานต่อ
“ก็ต้องกลับไปทำความสะอาดบ้าน แม่ฉันจะกลับพรุ่งนี้” นราวิกาบอกพร้อมทั้งยกมือขึ้นผลักใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง “เชเชน ไม่ได้นะ”
มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ความอลังการที่ดิ้นขยับอยู่กับหน้าท้องแบนราบนี้บ่งบอกความต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม
“น่า... นะ ฉันจะคลั่งตายแล้ว รู้บ้างไหม”
“ก็ตายไปเลยสิ ทำไมถึงได้มักมากแบบนี้นะ เชเชน หยุด” ห้ามได้แต่เขาไม่หยุด อีกทั้งเธอก็ไม่อาจจะต่อกรกับฝ่ามือหนาที่เริ่มดึงชายเสื้อสูงขึ้น ตลบมันออกทางศีรษะอย่างคล่องแคล่ว “ไปเรียกอีหนูของคุณมาสิ มายุ่งกับฉันทำไม”
“ฉันไม่เคยซื้อกินเลยนะ อย่ามาใส่ความกัน” ตอบและกางฝ่ามือเคล้นคลึงทรวงอกนุ่มหยุ่นทั้งที่ยังมีบราเซียร์ลูกไม้ขวางกั้น เขารู้ดีเชียวล่ะว่าจะแตะต้องเธอตรงไหนให้คุโชนไปด้วยไฟปรารถนา “แม่คนขี้หึง”
“หรือฉันหึงไม่ได้” ถามกลับทันควัน
“เต็มที่เลยแนซ แล้วตอนนี้ฉันก็ต้องการคำปลอบใจที่เธอพูดว่าจะไปนอนกับไอ้เลวคนไหนนั่น” ไม่พูดเปล่าแต่สะบัดหน้าหนีจากฝ่ามือนุ่ม ซุกทั้งปากและจมูกลงกับหว่างอกอิ่ม พึมพำความรู้สึกของตน “คิดถึงตรงนี้ อยากอยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืน”
“อื้อ... เชเชน ก็บอกว่าต้องกลับบ้าน”
“ขอชั่วโมงเดียวแล้วจะไปส่ง”
“ไม่ได้” เสียงตอบดุๆ นั้นทำให้สายตาละจากทรวงอกขึ้นจ้องมองเธออย่างไม่เชื่อหู
“เธอไม่อยากได้ฉันเหรอ?”
คนละเรื่องเดียวกันเลย แต่คนถามก็ปั้นหน้าตาย เลื่อนมือขึ้นดันบราเซียร์ตัวบางให้พ้นจากก้อนเนื้ออวบอิ่ม เพียงแค่ยอดทรวงสีหวานปรากฏแก่สายตา ความอดทนอดกลั้นที่มีน้อยนิดอยู่แล้วก็พังทลาย เชเชนนอฟรวบเอายอดทรวงไว้ในปาก ตวัดปลายลิ้นเร่งเร้า ปลุกอารมณ์สาวให้โอนอ่อนผ่อนตาม
“อื้อ... เชเชน หยุดนะ คุณก็ยังไม่ขอโทษฉันเหมือนกัน” ร่างกายของเธอเสียวสะท้านเพราะริมฝีปากอุ่นจัด “แล้ว... จะมาเรียกร้อง คำปลอบใจอะไรอีก”
ใช่ว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจห้ามใจจากความหวานที่ปลายลิ้น อารมณ์หนุ่มสาวกำลังเตลิดเพียงเพราะการปลุกเร้าอันน้อยนิด ต่างฝ่ายต่างมีความรักและปรารถนาต่อกันอยู่แล้ว เพียงแค่แตะเนื้อต้องตัวกันก็ไม่อาจจะยับยั้งความต้องการตามธรรมชาติได้เลย
เนิ่นนานกว่าที่เชเชนนอฟจะตัดใจละริมฝีปากจากทรวงอกทั้งสองข้าง เนินเนื้ออวบอิ่มถูกจูบซับหนักบ้าง เบาบ้างตามแรงอารมณ์ เรื่อยสูงขึ้นไปยังลำคอ ใบหูบางและหยุดอยู่ที่ริมฝีปากจิ้มลิ้ม
“ขอโทษ... ฉันขอโทษนะแนซ” บอกแล้วจุมพิตครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวคำขอลุแก่โทษซ้ำอีกครั้ง “ขอโทษอีกครั้ง แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเธอ ฉันแค่อยากให้เธอได้เข้าเรียนปีนี้ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ฉันคิด”
นราวิกายังนิ่งเงียบมองริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง อธิบายในความคิดของเขาไปเรื่อยๆ หากเธอพบความจริงที่ว่า... ไม่ได้โกรธเขาตั้งแต่ตอนที่เขาจูบซับน้ำตาให้แล้ว แต่คนที่ยังไม่รู้ว่าได้รับการให้อภัยแล้วยังพูดไม่หยุด
“ฉันแค่อยากให้เธอได้เรียน ได้เป็นบาริสต้า ได้ทุกอย่างตามที่เธอคิด รู้ไหมว่าฉันไม่เคยต้องนั่งจมอยู่กับภาพของผู้หญิงคนไหน ในหัวฉันมีแต่ภาพเธอ ฉันเหมือนไก่อ่อนที่เพิ่งมีเซ็กซ์ครั้งแรก คิดถึงแต่ตอนที่เราเมกเลิฟกัน คิดแต่อยากจะอยู่ใกล้ๆ เธอ อยู่ในตัวเธอ” เชเชนนอฟส่ายหน้าให้กับตัวเอง มันน่าอายไม่น้อยที่จะเปิดเผยตัวเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกอายเลยที่ได้บอกกับเธอ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำพูดราวกับผู้ชายหื่นกามจะอุ่นซ่านหัวใจจนลืมเลือนความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดขึ้นเป็นปลิดทิ้ง นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของนราวิกา
“ไม่รู้สิ คือ” เชเชนนอฟส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่ความสับสนแต่มันชัดเจนมากในความรู้สึก “ฉันคิดว่า... ฉันคงรักเธอนะแนซ”
สารภาพรักกับผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิตแต่เธอกลับจ้องตานิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ แล้วจะให้เขาทำอะไรได้นอกเสียจากอธิบายต่อไปเรื่อยๆ
“เฮ้... อย่าเงียบสิ ผมทำตัวไม่ถูกนะ คือผมไม่ได้พูดเพราะแค่อยากจะเมกเลิฟกับคุณนะ ผม...”
ไม่ทันได้พูดจบ ฝ่ามือบางก็สอดเข้าไปรั้งลำคอหนาลงมาในจังหวะเดียวกันกับที่เธอผงกศีรษะขึ้นไปจุมพิตเขาเสียเอง จูบแผ่วเบาให้ความรู้สึกเหมือนความรักอันสวยงามกำลังแผ่ตัวปกคลุมทั้งคู่เอาไว้
“ไม่อยากแล้วจริงๆ เหรอ” จบคำถามก็จูบเขาอีกครั้งแล้วยิ้มชิดริมฝีปากที่เผยอตอบรับสัมผัสของตน
เธอรุก เขานิ่ง เมื่อเธอถอยเขากลับตามลงมาจุมพิตเสียเอง ไม่ใช่แค่เพิ่งสารภาพรัก งอนง้อ ขอลุแก่โทษแต่เป็นการหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข
นราวิกายังยกเรื่องเดิมขึ้นมาพูด ทั้งที่โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูเพราะคำสารภาพรักดิบๆ นั่น “ไม่อยากก็ปล่อย จะกลับบ้านเสียที”
รอยยิ้มของเธอช่างสดใส และเขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะปล่อยเธอไปจริงๆ แต่กลับสอดมือเข้าใต้แผ่นหลังบอบบางแล้วพลิกตัวอย่างคล่องแคล่วจนเธอขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าตัก
“อยาก... มากแค่ไหน ยังต้องให้อธิบายอยู่ไหม” เชเชนนอฟบอกด้วยน้ำเสียงพร่า ทั้งยังดันความอยากที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดเข้ากับกลางกายเธอ
นราวิกายิ้มซุกซน สอดมือเข้าประคองใบหน้าคร้ามคม หนวดเส้นสั้นที่ผุดขึ้นเสียดสีกับฝ่ามือ ให้ความรู้สึกหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก “ก็ไม่รู้ อีกชั่วโมงฉันต้องกลับบ้านแต่ตอนนี้คุณเหลือเวลาไม่ถึงสี่สิบห้านาที ผู้ชายปากร้าย”
“ร้ายแล้วรักไหม อืม...” เชเชนนอฟไม่ได้คำตอบแต่จุมพิตที่เธอมอบให้ก็ทำให้เขาลืมเลือนทุกสิ่ง ในสมองมีแต่เธอ มีเพียงภาพเปลือยเปล่าที่เป็นสีชมพูจัด ซึ่งเขารู้วิธีดีเหลือเกินว่าจะทำให้เธออ่อนเปลี้ยไปด้วยพิศวาสได้อย่างไร
ผู้ชายอายุยี่สิบปีก็เป็นหนุ่มวัยคะนอง มีวิธีแสดงความรัก โลภ โกรธ หลงอย่างเต็มที่ ด้วยฐานะอันมั่งคั่ง ไม่เคยพบเจอกับความอดอยากยากจน เชเชนนอฟจึงไม่เคยคิดว่าการรักผู้หญิงสักคนจะเกิดปัญหาใดๆ ในชีวิต
นราวิกาเองก็เช่นกัน แม้ฐานะทางครอบครัวจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยึดถือศักดิ์ศรีและทำงานรับผิดชอบชีวิตของตัวเองมาโดยตลอด นั่นเป็นการรักษาเกียรติอย่างยิ่งยวดแล้วในความคิดของสาวอายุสิบแปดปี
ถ้าเปรียบเขาเป็นไฟ เธอก็คงเป็นน้ำมัน!
เวลาที่ตั้งเอาไว้ไม่ถึงสี่สิบห้านาทีจึงยืดออกไปอย่างยาวนานตลอดทั้งคืน ต่างฝ่ายต่างวุ่นวายอยู่กับเนื้อตัวของกันและกัน โดยที่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า…
มีใครบางคนไม่พอใจอย่างยิ่งกับสัมพันธภาพของเขาและเธอ!
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นถี่ๆ นั้น ทำให้เชเชนนอฟผงกศีรษะขึ้นจากที่นอนนุ่มอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเพิ่งได้หลับไปจริงๆ ไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็ต้องรีบชันตัวลุกขึ้นด้วยกลัวว่าเสียงกริ่งที่ดังไม่หยุดหย่อนนี้จะรบกวนเวลานอนของคนข้างๆ
ทว่ากลับไม่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าที่ทำให้ตนแทบสำลักความสุขอยู่บนเตียง แต่เสียงน้ำที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเธออยู่ในห้องน้ำ จึงเดินออกจากห้องนอนไปยังประตูหน้าเพนต์เฮาส์
เชเชนนอฟส่ายหน้าให้กับแขกไม่ได้รับเชิญที่ยืนฉีกยิ้ม โบกมือทักทายอยู่ในจอมอนิเตอร์ “มาทำอะไรตอนนี้วะ”
อันเดรยังฉีกยิ้มให้เพื่อนแล้วฉวยโอกาสก้าวเข้ามาในเพนต์เฮาส์สุดหรูก่อนที่เจ้าของห้องจะทันได้เอ่ยอะไร
“เป็นเพื่อนก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะโยนเรื่องมารยาททิ้งไป”
ดูเหมือนคำต่อว่าของเชเชนนอฟจะไม่ได้สะท้านสะเทือนความตั้งใจของอันเดร แต่แขกไม่ได้รับเชิญกลับถือวิสาสะ เดินลึกเข้าไปด้านในแล้วประตูห้องนอนที่ถูกเปิดทิ้งไว้เช่นนั้นก็เผยให้เห็นเตียงนอนอันยุ่งเหยิง “ถึงนายจะตัดความเป็นเพื่อนออกไป แต่ฉันก็ยังเป็นญาติซึ่งคงไม่ได้เสียมารยาทอะไรมากนัก ถ้าญาติจะมาเยี่ยมเยียน”
เชเชนนอฟหัวเราะพรืดออกมากับญาติห่างๆ ฝ่ายแม่ ความจริงแล้วแม่ไม่เคยสนใจอธิบายให้ฟังด้วยซ้ำว่าครอบครัวของอันเดร เกี่ยวพันกับครอบครัวตนอย่างไร แต่พ่อแม่พี่น้องของอันเดรนั้นต่างก็ทำงานในไอจีโอ ซิสเทม ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธสงครามของครอบครัวตน
“แต่ดูเหมือนนายมี...” อันเดรพูดไม่ทันจบประโยค เสียงหวานก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เชเชน... ฉันจะกลับบ้านสักสามสี่วันนะ คุณ เอ่อ” นราวิกาชะงักทั้งคำพูดและการก้าวเดิน เมื่อเห็นว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
สาวสวยหุ่นดีอยู่ในคลุมสีขาวสะอาด เธอผูกเชือกที่เอวอย่างลวกๆ ทำให้สาบเสื้อแยกออกจากกัน เปิดเผยเนินเนื้อนุ่มหยุ่นวับๆ แวมๆ ทว่าก่อนที่จะเป็นอาหารตาของอันเดรไปมากกว่านี้ เชเชนนอฟก็รีบก้าวเข้ามาประชิดแล้วดันร่างของแฟนสาวให้เข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนปิดประตูยังต้องก้มลงไปจูบปากนุ่มอย่างคาดโทษและห้ามใจตัวเองไม่ได้
“ไปแต่งตัวซะ คราวหลังถ้าโป๊ออกมาแบบนี้อีกล่ะก็ ฉันเอาเธอตายแน่ แนซ”
หวงสุดเหวี่ยงและทำให้อันเดรเลิกคิ้วมองตามด้วยความประหลาดใจสุดขีด “นี่ถึงขั้นย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว”
“ทำอย่างกับนายไม่เคย”
“ฉันกับนายเหมือนกันที่ไหน” อันเดรตอบแล้วก้าวเข้าไปยืนขวางทางเพื่อน กระซิบกระซาบถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เป็นไงมั่งวะ เด็ดเลยสิ”
เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็พนันว่าเขาจะควงสาวเอเชียก้นงอนขึ้นเตียงได้ภายในเวลากี่วัน แน่นอนว่าเชเชนนอฟต้องควักเงินเลี้ยงเพื่อนทั้งกลุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาแพ้พนัน
แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องไปอธิบายให้คนอื่นได้รู้ว่าเธอยอดเยี่ยมสักแค่ไหน ทั้งที่ปกติแล้วการพูดถึงลีลาของผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องปกติในกลุ่มหนุ่มๆ แต่เมื่อคิดว่าจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับนราวิกาแล้ว เขากลับรู้สึกว่าควรเก็บเธอเอาไว้ให้มิดชิดจากวงสนทนาของหนุ่มวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
“นายคงไม่ได้มาเพียงเพราะอยากคุยกับฉันเรื่องเธอหรอก” ถามในขณะที่เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ออกมาดื่ม
การตอบคำถามแบบเลี่ยงๆ นั้นก็ทำให้อันเดรรับรู้ได้ถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้น “จริงจังหรือไงวะคนนี้”
ใบหน้าหล่อเหลาที่ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าเก็บความรู้สึกเก่งที่สุด แม้ตอนนี้จะไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากแต่สีหน้ารื่นรมย์ตามประสาหนุ่มวัยคะนองที่อิ่มเอมในรสเสน่หานั้นก็เป็นคำตอบให้อันเดรได้ดี
“ก็...” พูดไม่ออก อธิบายไม่ถูก ได้แต่ไหวหัวไหล่แล้วผายมือทั้งสองข้างออก “มันจะประหลาดตรงไหน ก็แค่จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน”
“จุ... จุ... จุ...” อันเดรส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกันข้ามซึ่งมีโต๊ะอาหารกั้นกลาง “หมายถึงนายต้องนอนกับผู้หญิงคนเดิม คนเดียว”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“งั้นกี่เดือน” อันเดรถามต่อพร้อมเดินตามร่างสูงใหญ่ของเพื่อนซึ่งตรงไปยังประตูห้อง “แต่ฉันว่าสักสิบห้าวันเป็นไง”
“ไสหัวไปไกลๆ ถ้าจะมาแค่สอดแนม แล้วเอาฉันไปเป็นเรื่องโจ๊กในกลุ่ม” เชเชนนอฟบอกทั้งเปิดประตูออกกว้าง ไล่ตรงๆ
“แปลว่ารับพนัน” ยกนิ้วชี้หมุนอยู่กลางอากาศราวกับให้โอกาสเพื่อนได้คิดทบทวน แน่ล่ะว่าเดิมพันในหัวข้อนี้ก็ต้องสูงขึ้นอีกเท่าตัว แม้เจ้าของเพนต์เฮาส์จะยกมือขึ้นชี้นิ้วไล่อย่างตรงไปตรงมา แต่อันเดรยังคงพูดถึงเดิมพันไม่หยุด “อะไรดีล่ะคราวนี้ ปิดผับเลี้ยงเลยเป็นไง”
“ถ้ายังไม่ไปคงต้องปิดโรงพยาบาล”
“อู๊ว... แค่มีอีหนูสวยๆ ให้อึ๊บ ไม่เห็นต้องโหดแบบนี้”
จบคำพูดเชเชนนอฟก็เริ่มขยับขาราวกับว่าจะสั่งสอนเพื่อนปากมอม หากอันเดรเดินลิ่วๆ ออกไปจากห้อง แต่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมายักคิ้วหลิ่วตา พร้อมกับคำถามที่ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งยืนยาวเอาเสียเลย
“เปลี่ยนหัวข้อเป็น... นายหรือแม่คนสวยนั่น จะเป็นฝ่ายบอกเลิก น่าจะสนุกกว่า” จบคำพูดก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้คนที่กำลังมีความรักนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเพียงคนเดียว
ภายในสิบห้าวันงั้นเหรอที่เขาจะเบื่อนราวิกา?!
โอ... ถ้ารับพนันกันในกลุ่มจริงๆ มีหวังบัตรแพลทินัมสักใบวงเงินคงเต็มอย่างแน่นอน ก็เขาจะเบื่อผู้หญิงที่อยากคลุกเคล้าอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืนภายในเวลาไม่ถึงเดือนนี้ได้อย่างไร
เชเชนนอฟคิดในใจพร้อมเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีกลับเข้าไปในห้องนอน โดยไม่รู้เลยว่าหน่วยสอดแนมที่ถูกใครบางคนส่งมานั้นรีบเร่งฝีเท้าไปยังรถยนต์คันยาวที่จอดอยู่ตรงหัวมุมถนน
“เชเชนอยู่กับหล่อนจริงๆ ครับ น่าจะตกลงอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว” อันเดรรายงานคนที่นั่งหน้าตึงอยู่ในรถ
“กำจัดหล่อนออกไปจากชีวิตของเชเชนซะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็รีบทำ”
“ครับ” อันเดรรับคำและยื่นมือไปรับเช็คอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้มีเงินไปใช้ในกาสิโน
“อีกสามวันฉันจะกลับมา ถึงตอนนั้นคงไม่ได้เห็นหล่อนให้รำคาญสายตา ออกรถ” บอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วหันไปสั่งคนขับรถ
เป็นไปไม่ได้ที่ลูกชายคนโตและเป็นลูกชายคนเดียวของไอจีโอ ซิสเทม จะใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าให้เปล่าประโยชน์ ที่ผ่านมาเชเชนนอฟใช้ชีวิตหนุ่มอย่างเต็มที่ แต่ก็อยู่ในสายตามาตลอดเมื่อทุกอย่างดูผิดแปลกออกไปจากเดิม จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่พึงกระทำ
ตำแหน่งซีอีโอของไอจีโอ ซิสเทม ควรมีคู่ชีวิตที่สามารถผลักดันให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง ถึงไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลแต่ก็ควรจะเป็นลูกสาวของนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลต่อสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีเฉพาะความสวยเพียงอย่างเดียว
ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านชุมชนอยู่อาศัยของคนทำงานซึ่งมีรายได้น้อย ตึกสูงดูทรุดโทรม แน่นอนว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์นี้ก็มีทั้งคนหาเช้ากินค่ำไล่ไปจนถึงคนติดยา ซึ่งดูยังไงแล้วก็น่าเป็นห่วงความปลอดภัยของแฟนสาวในความคิดของเชเชนนอฟ
หากเขายังไม่อาจที่จะพูดอะไรออกไปได้มากนักเพราะรู้ว่าต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่เชเชนนอฟและนราวิกากำลังเดินเข้ามาในซอยซึ่งมีห้องเช่าของอพาร์ตเมนต์เป็นจุดหมาย
เช็คสั่งจ่ายในชื่อของนราวิกากำลังถูกยื่นให้ผู้เป็นแม่ ตัวเลขจำนวนมากโขทำให้ราณีเบิกตากว้างและเอื้อมมือไปตีมือของสามีที่กำลังจะรับเช็คใบนั้นเอาไว้
“หยุด ต้องถามให้รู้เรื่องก่อนสิ จู่ๆ คนสติดีคงไม่เอาเงินมาให้เราใช้มากมายแบบนี้” ราณีดุสามี
“ช่าย... แล้วก็มีแต่คนสติดีๆ ที่จะไม่โง่ปฏิเสธเงินก้อนโตนี่ รู้ใช่ไหมว่าเงินก้อนนี้เอาไปต่อทุนได้อีกเป็นปี” อันเดรกล่อมทั้งคู่ แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นสามีจะเชื่อในคำพูดของตนมากกว่าจึงหันไปสบสายตาและพยักหน้าเป็นเชิงให้รับเช็คเอาไว้
“เดี๋ยว พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า เอาเงินมากมายแบบนี้มาให้เรา ต้องการอะไร” ราณีถาม
อันเดรปั้นหน้าหน่ายใจ เพราะรู้ว่าสามีของราณียังไม่ได้ปริปากอะไรให้ได้รับรู้เลย จึงไม่รีรอที่จะบอกความต้องการออกไป “รับเงินก้อนนี้ไปแล้วห้ามแนซไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเชเชนอีก”
ราณีส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับจ้องมองไม่กะพริบตา จริงจังในทุกคำพูด “คงกลัวว่าลูกสาวฉันจะไปปอกลอกสินะ”
ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้นราวิกานั้นคบหาอยู่กับลูกชายเพียงคนเดียวของบริษัทผลิตอาวุธสงครามที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย อันที่จริงแล้วเธอเองก็อยากให้ทั้งคู่คบหากันไปนานๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ามันคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะทั้งนราวิกาและเชเชนนอฟก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น รักแรง เกลียดแรงกันทั้งคู่
“คำสั่งจากเบื้องบน ใครจะกล้าขัด” อันเดรตัดบทเอาดื้อๆ “แต่ถ้าอยากจะขัดใจท่าน ก็คงต้องให้ท่านลงมาจัดการด้วยตัวเอง รู้ใช่ไหมว่าตัวตนที่แท้จริงของท่านไม่ได้ใจดีเหมือนบุคลิกที่แสดงให้คนภายนอกเห็น”
“รู้แล้วๆ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง เอาเช็คมาก็พอ” กล่าวอ้างถึงเบื้องบน ดานิลก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความกลัวประกอบกับหิวเงินอยู่แล้ว ทำให้รีบดึงเช็คจากมือของชายหนุ่มมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว
“รับเงินแล้วต้องทำงานให้สำเร็จด้วย” อันเดรย้ำ
“อย่าห่วงเลย ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ รับรองว่าผมไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ลองดีกับท่านแน่ๆ” ดานิลรับคำอย่างหนักแน่นพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่ออันเดรยอมเดินออกไปจากห้องแต่สายตาเอาเรื่องของภรรยานั้นก็ทำให้เขาต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจโดยเร็ว “มานั่งก่อน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ไปรับเงินเขามาได้ยังไง แล้ววางแผนอะไร ทำไมไม่บอกฉัน” ราณีโวยวายไม่สนใจว่าใครจะได้ยิน
“เบาๆ สิ เงินนะ ไม่อยากได้หรือไง...”
อันเดรซึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องยังได้ยินเสียงของสองสามีภรรยาโต้เถียงกันไม่หยุด ทว่าสายตากลับปะทะเข้าที่ร่างของเชเชนนอฟซึ่งเดินจับมือมากับนราวิกาอยู่ถนนด้านหน้าของอพาร์ตเมนต์ ทำไมจะไม่เข้าใจความรู้สึกเวลารักใครหรือจริงจังกับผู้หญิงสักคน แล้วท่าทาง สายตาที่ทั้งคู่จ้องมองกันนั้น ยิ่งทำให้มั่นใจว่าหากไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น บางทีความรักครั้งนี้อาจจะไปไกลเกินกว่าที่หลายคนคิดนัก
อันเดรส่ายหน้าให้กับความจำเป็นที่เกิดขึ้น เขาเองก็ไม่ได้อยากหักหลังเพื่อน ไม่ได้อยากเป็นบ่อนทำลายความรักของทั้งคู่แต่จำเป็นต้องใช้เงิน!
“โทษทีนะเชเชน ฉันจำเป็นจริงๆ” คิดแล้วหมุนตัวกลับเดินไปใช้บันไดอีกด้านหนึ่งของอพาร์ตเมนต์ หากอีกใจก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า...
ถึงจะเจ็บ ผิดหวังจากความรักครั้งนี้แต่ด้วยคุณสมบัติที่เชเชนนอฟมีอยู่อย่างครบถ้วนก็คงจะหาผู้หญิงมาปลอบใจได้ไม่ยาก ตราบใดที่ยังไม่คิดจะจริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีกก็จะไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรคในเงามืดเช่นนี้
ถ้าจะผิดก็คงผิดที่เชเชนนอฟคือความหวังเดียวของคุสโตดิเยฟ ชีวิตทุกอย่างจึงต้องดำเนินไปตามแบบแผนที่พ่อแม่วางเอาไว้
ตลอดระยะทางจากเพนต์เฮาส์สุดหรู มาถึงอพาร์ตเมนต์โทรมๆ นี้ นราวิกาอยากจะถามแฟนหนุ่มเกี่ยวกับคำพูดของอันเดรที่เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำนัก แต่อีกใจก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องโจ๊กในหมู่หนุ่มๆ เหมือนกับที่เพื่อนชอบเล่าเรื่องร้ายๆ ของคนรักให้ฟัง
อีกทั้งคำสารภาพรักที่เขาพร่ำบอกตลอดทั้งคืนก็ยังกึกก้องในหัวใจและทำให้เธอมองทุกอย่างเป็นสีชมพู ทั้งหมดนั้นทำให้นราวิกาเลือกที่จะเงียบ ใช้วิธีสังเกตพฤติกรรมของเขาไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการโต้แย้งที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
ระหว่างที่เอ่ยคำล่ำลากับแฟนหนุ่มจนเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องเช่า ดานิลก็เกลี้ยกล่อมราณีให้ทำตามแผนด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องกลับเห็นแม่และดานิลเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าด้วยความเร่งรีบ
“แม่จะไปไหน เก็บเสื้อผ้าทำไมคะ” นราวิกาเดินเข้าไปใกล้และรู้ว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติเพราะแม่และดานิลเก็บเสื้อผ้าไปทั้งหมดที่มีอยู่ในตู้ “แม่คะ เกิดอะไรขึ้น”
“อยู่ไม่ได้แล้ว ดานิลกับแม่ติดหนี้พนันในบ่อน ไม่มีเงินจ่าย พวกมาเฟียคุมบ่อนกำลังตามล่าเรา” ราณีบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไม่ทันขาดคำประตูห้องก็เปิดออกด้วยแรงถีบของชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ทุกการก้าวเดินเข้ามานั้นคุกคามความรู้สึกอย่างยิ่ง
“จะหนีอย่างนั้นเหรอ” หนึ่งในชายสามคนที่บุกเข้ามาในห้องอย่างอุกอาจนั้น ตรงเข้ามากระชากร่างของดานิลไปต่อยเข้าที่ท้องสองครั้ง
เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังสลับกับเสียงร้องขอความเมตตาของราณี “พอแล้วๆ อย่าทำอะไรเราเลย ขอร้อง”
“ไม่สั่งสอนได้ยังไง ก็พวกแกคิดจะเบี้ยวหนี้”
“ไม่ๆ มะ...ไม่หนี” ราณียังปฏิเสธด้วยน้ำเสียงและท่าทางหวาดกลัว
“หลักฐานตำตา ยังจะโกหก” จบคำพูดก็ต่อยซ้ำที่เดิมอีกสองครั้ง
เสียงโอดครวญของดานิลนั้นทำให้นราวิกาไม่อาจอยู่เฉย จึงก้าวเข้ามาขวางหน้าผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางปกป้อง “พวกแกเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำร้ายคนอื่นแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ แล้วถ้ายังไม่ปล่อยเขา ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
“เจ้านายฉันคือกฎหมาย แล้วฉันก็คือผู้ถือกฎ สองคนนี้ติดหนี้เจ้านายฉันแล้วกำลังจะหนี ถ้าเธอไม่มีเงินมาใช้หนี้แทนก็ไสหัวไปไกลๆ” โต้กลับอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
“ติดหนี้ก็ทวงดีๆ สิ ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย”
“หยุดพล่ามเสียที” หนึ่งในสามคนตวาดเสียงดุแล้วสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ จนนราวิกาต้องถอยหลังกรูด “ฉันให้เวลาอีกสองชั่วโมง ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ฉันก็จะเอาแกสองคนไปขายซ่อง คนแม่ก็ขายถูกหน่อย ส่วนแกยังสาวก็น่าจะถอนทุนได้อยู่มั้ง”
จบคำพูดร่างของดานิลก็ทรุดกองอยู่กับพื้น ชายอีกคนหนึ่งจึงกล่าวสำทับขึ้น “ส่วนไอ้นี่ ตาย!”
เพียงเท่านั้นคนที่ขู่ว่าจะเอานราวิกาไปขายซ่องก็เดินออกไปจากห้อง หากมีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน “เราไม่เฝ้าพวกมันอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“หึ ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่พ้นหรอก หรือถ้ามันคิดจะหนีอีก รับรองว่าได้ตายหนีหนี้แทนแน่”
เมื่อชายทั้งสามคนเดินไปพ้นประตูห้อง ราณีก็รีบวิ่งไปปิดประตู ลงกลอนล็อกห้องอย่างรวดเร็ว นราวิกาจึงก้มลงประคองร่างของดานิลให้ลุกขึ้น
“ตกลงว่าแม่กับดานิลติดการพนันหนัก เป็นหนี้จนเขาต้องตามฆ่าเลยเหรอคะ” นราวิกาถาม ความจริงก็รู้ว่าดานิลชอบชวนแม่ไปเสี่ยงโชคอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะติดงอมแงมจนถึงขั้นนี้
“อย่ามาซักไซ้เอาตอนนี้ได้ไหม พวกมันให้เวลาแค่สองชั่วโมง ถ้าไม่มีเงินมาใช้หนี้ต้องตายแน่ๆ” ดานิลตวาดทั้งยังงอตัวด้วยความเจ็บจุก
คำถามนั้นทำให้นราวิกานิ่งงันไปครู่หนึ่งจึงไม่ได้เห็นว่าดานิลหันไปสบสายตากับผู้เป็นแม่
“แนซ” เสียงเรียกและการคว้าเข้าที่ต้นแขนนั้นทำให้นราวิกาหันไปสบสายตากับผู้เป็นแม่ “แกคบอยู่กับเศรษฐีไม่ใช่เหรอ ขอยืมเงินจากเขาก็ได้นี่”
“แม่ ทำไมพูดแบบนั้น เขาเป็นเศรษฐีแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา” นราวิกาแย้งทันควัน
“หรือแกจะปล่อยให้ดานิลตาย แล้วให้พวกมันจับฉันกับแกไปเป็นอีตัวข้างถนน” ราณีก็สวนกลับด้วยอารมณ์ที่ดุกร้าว “ขอยืมเงินเขามาช่วยชีวิตเรานะ ถ้าเขาไม่ให้ก็แปลว่าไม่ได้รักแกจริงน่ะสิ”
“หึ ก็ให้เขานอนด้วยแล้วนี่” ดานิลกล่าวเสริม
นราวิกาถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับคำกระทบกระเทียบของดานิลที่มีให้อยู่เสมอมา กระทั่งเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เธอยังต้องทำเป็นไม่สนใจกับคำดูแคลนนั้น “แต่หนูว่าเราน่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น อย่าง...”
“แจ้งตำรวจน่ะเหรอ” ดานิลพูดโพล่งขึ้นมาก่อนที่ลูกเลี้ยงจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ “พูดอย่างกับไม่รู้ว่านี่มันถิ่นใคร ตำรวจสักคนจะเข้ามาในพื้นที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว คิดอะไรโง่ๆ”
“ถ้าฉลาดนักก็หาทางแก้ปัญหาเองสิ” นราวิกาตอกกลับอย่างเหลืออด
ราณีจึงถลึงตาใส่ผู้เป็นสามีแล้วหันไปเกลี้ยกล่อมลูกสาวเสียเอง “ลองขอยืมเขาก่อนไม่ได้เหรอ เรามีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ แล้วค่อยหามาใช้คืนทีหลังก็ได้ ความจริงแม่ก็ไม่อยากจะให้แกต้องไปออกปากหยิบยืมเขาหรอก แต่แม่ก็กลัว ไม่อยากจะไปเร่ขายตัวให้ใครก็ไม่รู้”
ไม้ตายที่ราณีใช้นั้นทำให้นราวิกานิ่งงัน ยิ่งได้ยินจำนวนเงินที่ต้องหามาให้ได้ภายในสองชั่วโมงนี้แล้ว ยิ่งมองไม่เห็นหนทางอื่นเลย มีเพียงเชเชนนอฟคนเดียวที่จะช่วยเหลือเธอและครอบครัวให้พ้นจากวิกฤตนี้
เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง นราวิกาถึงได้เดินออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมมานั่งอยู่ในสนามกีฬาของชุมชนพอให้คลายความอึดอัดใจลงบ้าง หลังทำใจแล้วโทรศัพท์ไปขอหยิบยืมเงินจำนวนมากกับเชเชนนอฟและเขาก็โอนเงินเข้าบัญชีเดียวกันกับที่ตั้งใจให้เธอเอาไปเป็นค่าเทอม
เธอและผู้เป็นแม่ไปรออยู่หน้าธนาคาร เมื่อถึงเวลานัดหมายที่เชเชนนอฟจะโอนเงินเข้าบัญชี เงินจำนวนนั้นก็ถูกถอนออกไปจ่ายหนี้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้หนี้พนันให้กับชายกลุ่มนั้นไม่ได้สร้างความโล่งอกให้กับนราวิกาแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเพียงหนี้ก้อนแรกเท่านั้น ยังเหลือหนี้อีกก้อนหนึ่งที่จะถึงกำหนดชำระในอีกสองวันข้างหน้า
ปัญหาคือ... จะไปหาเงินจำนวนมากนั้นมาจากไหน?
‘ก็ขอแฟนแกมาอีกสิ จะไปยากอะไร’ คำพูดของดานิลที่โยนความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้ลูกเลี้ยงอย่างเธอ
‘ลองคุยกับแฟนแกดูอีกทีได้ไหม เราเดือดร้อนจริงๆ บอกไปสิว่าแม่ไม่สบายมาก เป็นโรคร้ายแรงอะไรก็ได้ ต้องใช้เงินมารักษา’ แม้ผู้เป็นแม่จะตะล่อมด้วยน้ำเสียงประนีประนอม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความกลุ้มใจของนราวิกาลดลงสักนิด
แน่ล่ะว่าเธอไม่กล้าที่จะเล่าให้เขาฟังตรงๆ ว่าแม่กับพ่อเลี้ยงเอาเงินไปใช้หนี้การพนัน นราวิกานั่งคิดอยู่เพียงลำพัง อากาศที่หนาวเหน็บยังดับความร้อนรุ่มใจที่เกิดขึ้นไม่ได้ หากปลายรองเท้าหนังสีน้ำตาลที่เดินมาหยุดในระยะสายตาก็ทำให้เธอต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนค้ำศีรษะ
“อันเดร...”
คาดิลแลคคันยาวยังจอดสนิทอยู่ที่หน้าเพนต์เฮาส์สุดหรู ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ของหนุ่มวัยยี่สิบปีซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติก็ก้าวเข้าไปในรถด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก
“มีธุระอะไรกับผม” เชเชนนอฟถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจและรถยนต์ก็เคลื่อนที่ออกไปโดยที่เขาไม่รู้จุดหมายเลยสักนิด ยิ่งคำถามไม่ได้รับการตอบสนองเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น
ความเงียบงันที่เกิดขึ้นภายในรถสร้างความอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ เสียงดุวางอำนาจก็ดังขึ้น “ใช้เงินซื้อความสุขน่ะ เป็นเรื่องที่ทำได้แล้วก็ไม่มีใครห้าม แต่มันต่างกันนะกับถูกผู้หญิงหลอกใช้เงิน”
คำเย้ยหยันนั้นทำให้เชเชนนอฟมองผู้เป็นพ่อด้วยความไม่พอใจ “ดูเหมือนว่ารายจ่ายของผม ไม่ได้เกี่ยวกับเงินในบัญชีของพ่อ”
“ก็รายจ่ายมันดูผิดปกติ”
แน่ล่ะว่าแม่เป็นคนเลี้ยงเขามา ความทรงจำในเรื่องดีๆ เกี่ยวกับพ่อนั้นแทบจะไม่หลงเหลือ มีเพียงแค่เสียงตวาดดุ การทะเลาะเบาะแว้งด้วยความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันจนบางครั้งคนที่เป็นลูกอย่างเขา ก็นึกไม่ออกว่าพ่อกับแม่เคยมีช่วงเวลาที่รักใคร่กันบ้างหรือไม่
คำตอบที่ได้คือ ไม่! และเขากับน้องสาวก็คงจะเกิดขึ้นเพราะเหตุผลอื่นใดไม่ได้นอกเสียจากหน้าที่
ทว่าไม่ทันได้ตอบโต้ว่าอย่างไร เชเชนนอฟก็ต้องมองตามมือของพ่อที่ชี้นิ้วออกไปยังหญิง-ชายคู่หนึ่งที่กอดกันกลมในสนามกีฬาของชุมชนอยู่อาศัยแห่งหนึ่ง
“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสินะ ญาติของแม่แกนี่มันช่างซื่อสัตย์จริงๆ” อิกอร์ ซียานอฟ บอกทั้งแสยะยิ้มเมื่อเห็นลูกชายจ้องมองภาพดังกล่าวไม่กะพริบตา
“ก็แค่กอดกัน” เสียงห้าวของเชเชนนอฟบางเบา
“ก็แล้วทำไมต้องกอด”
เงียบกริบเพราะดวงตาสีฟ้ากำลังจดจ้องภาพของอันเดรที่ขยับตัวนั่งลงข้างๆ นราวิกา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังนั่นคือการที่เธอวางศีรษะลงบนหัวไหล่ของอันเดรอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
“แบ่งของใช้กับเพื่อนนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกหน่อยแกคงต้องแบ่งเงินให้อันเดรใช้ด้วย” อิกอร์ถามและก็ก้าวนำลูกชายวัยรุ่นไปไกลนัก เมื่อแสร้งทำเป็นว่าลูกชายได้โอนเงินให้หล่อนแล้ว “หรือที่เงียบนี่เพราะโอนเงินให้หล่อนกับอันเดรไปถลุงใช้ในกาสิโนแล้ว”
เชเชนนอฟรู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความจริงกับภาพที่เห็น เขารู้ล่ะว่าน้ำเสียงของเธอที่ได้ยินในโทรศัพท์นั้นฟังดูแล้วมีเรื่องกลัดกลุ้มใจ แต่ก็ไม่อยากจะซักไซ้อะไรนัก ด้วยความไว้ใจและไม่อยากเห็นเธอต้องร้อนใจ ถึงเงินนั้นจะจำนวนไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเขา และรู้ดีว่าเมื่อเธอสบายใจขึ้นคงจะยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยตนเอง
อิกอร์ฉวยโอกาสที่ลูกชายตกอยู่ในภวังค์ความคิด ส่งสัญญาณให้คนขับรถเคลื่อนรถออกไปจากบริเวณดังกล่าว รู้ดีว่าวัยรุ่นนั้นอารมณ์ร้อน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นย่อมต้องรีบหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว ซึ่งอาจจะทำให้แผนการผิดพลาด แน่นอนว่าอิกอร์มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของลูกชายที่กำลังคุกรุ่น
“ฉันไม่ได้เป็นพ่อที่ประเสริฐหรอกนะเชเชน แต่จำใส่ใจไว้ว่าไม่ได้คิดร้ายกับแกเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างที่แม่แกพยายามฝังหัวให้มันก็ไม่ได้ดีเลิศไปหมด” อิกอร์บอกด้วยความสัตย์จริงแม้วิธีการจะผิดมหันต์ก็ตามที แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้เชเชนนอฟจะไม่มีทางเชื่อเลยว่าครอบครัวของอันเดร ไม่ได้ซื่อสัตย์ภักดีต่อไอจีโอ ซิสเทม อย่างที่ทุกคนเข้าใจ “แต่... ถ้าแกชอบหล่อนมาก ก็ปล่อยไป”
คำพูดนั้นจี้ใจดำจนอยากจะเข้าไปถามทั้งคู่ให้รู้ชัด แต่เมื่อมองรอบตัวแล้วรถยนต์ได้เคลื่อนที่ออกมาไกลโขจึงได้แต่นั่งนิ่งต่อไป
“แม่แกถือหุ้นเยอะกว่าฉันสินะ เศษเงินที่หล่อนมาปอกลอกไปให้อันเดร มันเลยเป็นเรื่องขี้ผง” อิกอร์ยั่วยุ
เงินนั่นเป็นเรื่องขี้ผงของเขาจริงๆ เพราะตอนนี้ในใจนั้นคิดหาเหตุผลให้กับภาพของนราวิกาที่สวมกอดและวางศีรษะลงบนหัวไหล่ของอันเดรอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
ทำไมอันเดรไม่เคยบอกตนว่ารู้จักสนิทสนมกับนราวิกาเลย?
ถ้าบอกเขาสักนิดว่ารู้จักกันมาก่อนไม่ว่าจะด้วยสถานะใด เขาก็สามารถทำความเข้าใจกับภาพที่เห็นได้มากกว่าตอนนี้
“เอาล่ะ ถ้าคิดว่าแค่ผู้หญิงคนเดียว ไม่ได้จริงจังกับหล่อนนักก็ถือซะว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” อิกอร์สรุปสั้นๆ เมื่อรถเคลื่อนตัวมาจอดสนิทหน้าเพนต์เฮาส์ของลูกชาย “บางทีแค่อยากนอนกับผู้หญิงที่ถูกใจสักคนก็ต้องทำเป็นตาบอดบ้าง ลองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปเรื่อยๆ เอาเงินฟาดหัวหล่อนไปก็จะรู้ว่าการระบายอารมณ์กับของที่ซื้อมาก็สะใจไปอีกแบบ”
“เก็บคำที่พ่อใช้ปั่นหัวผมเล่นไว้เถอะ แล้วคอยดูต่อไปก็แล้วกัน” เชเชนนอฟบอกพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเปิดประตู แต่เสียงของผู้เป็นพ่อก็ทำให้ท่อนขายาวต้องหยุดชะงัก
“แล้วฉันจะคอยดู คอยดูแกใช้วิธีการอย่างคนฉลาดจัดการกับอันเดรและแม่นั่น หวังว่าคงไม่เห็นข่าวว่าคนฉลาดจะปรี่เข้าไปต่อยกับอันเดรเพื่อจัดการปัญหาเหมือนคนไร้วุฒิภาวะหรอกนะ” นี่ต่างหากล่ะคือคำพูดที่จะค้ำคอให้เชเชนนอฟเดินตามหมากที่ตนวางเอาไว้
ยิ้มเย็นของอิกอร์นั้นเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับเสียงปิดประตูรถ “อีกสองปีข้างหน้าถ้าคนสนิทข้างกายแกไม่ใช่อันเดร นั่นก็ถือว่าสิ่งที่ฉันทำไปไม่เสียเปล่า”
อันเดรและนราวิกาก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในกระดานที่ถูกวางเอาไว้ จะใช้ให้เดินไปจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามต่อหรือให้อยู่นิ่งๆ ราวกับว่าไร้ประโยชน์นั่นก็ขึ้นอยู่กับตนเพียงผู้เดียว ลูกผู้ชายต้องซึมซับเอาความคิดของพ่อเอาไว้ ไม่ใช่ทั้งชีวิตอยู่กับแม่ รับเอาแต่ความรู้สึกนึกคิดแบบผู้หญิงที่ต้องอาศัยพวกพ้องญาติพี่น้องคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ตลอดเวลา
ในขณะที่เชเชนนอฟนั่งจมอยู่กับความคิดอันสับสนของตนนั้น เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอื้อมมือไปยกเอากระบอกโทรศัพท์ขึ้นแนบกับหู
“เชเชน...”
เสียงหวานเรียกอย่างออดอ้อนทำให้เขาต้องหลับตาลงอย่างหงุดหงิดใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังข่มใจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนให้โอกาสเธออีกครั้ง “ว่าไง”
“วันนี้คุณอยู่ที่เพนต์เฮาส์ทั้งวันใช่ไหม ฉันมี... เรื่องจะคุยกับคุณ” นราวิกาเกริ่นเพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเล่าความจำเป็นที่ต้องใช้เงินให้เขาได้รู้
“เรื่องอะไร พูดมาตอนนี้ก็ได้ ฉันฟังอยู่”
นราวิกาไม่ได้ฉุกใจคิดกับน้ำเสียงห้วนจัดนั้น เพราะความกังวลใจไปอยู่ที่เหตุผลซึ่งเธอทำใจลำบากเหลือเกินที่จะขอหยิบยืมเงินทองเขาอีกครั้งในช่วงเวลาติดๆ กันเช่นนี้
“คะ...คือ ฉัน...” จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไป
“จะยืมเงินอีก” เชเชนนอฟต่อให้ในทันที
นราวิกาอึ้งไปชั่วครู่แต่ประตูห้องที่ถูกแม่และดานิลเปิดเข้ามานั้นก็ทำให้เธอคุยได้ไม่สะดวกนัก จึงรีบตัดบทเพราะอยากจะอธิบายให้เขาได้ฟังต่อหน้าเสียมากกว่า “อีกสักชั่วโมงจะไปหานะคะ แค่นี้ก่อน”
“เดี๋ยวสิ บอกฉันมาว่าเธอต้องการเงินอีกเท่าไหร่” เชเชนนอฟรู้สึกเจ็บร้าวในอกแต่ก็ต้องข่มใจ ถามออกไป “ฉันจะได้เตรียมไว้ให้”
เชเชนนอฟได้ยินเสียงหวานบอกจำนวนเงินที่มากกว่าเดิมแล้วเธอก็วางสายไปได้สักครู่หนึ่ง ซึ่งเขาได้แต่นั่งนิ่งแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาให้กับความโง่งมของตัวเอง นี่ใช่ไหมคือมารยาหญิงที่ใช้ปอกลอกผู้ชายสักคน ที่น่าเจ็บใจคือเพื่อนที่คิดว่าไว้ใจได้มากที่สุดและผู้หญิงที่เพิ่งสารภาพว่ารักเธอร่วมมือกันหักหลังตน
วอดก้าพรีเมียมแบรนด์ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกรินใส่แก้วช็อต แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันใจชายหนุ่มผู้เยือกเย็นแต่ในใจร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุม เขายกขวดวอดก้าขึ้นดื่ม หวังลึกๆ ในใจว่าความมึนเมาจะทำให้ลืมอาการเจ็บร้าวของหัวใจลงได้บ้าง
ถ้าความรักทำให้คนตาบอด ความโกรธก็คงบั่นทอนสติ ทว่าตอนนี้สติของเชเชนนอฟที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธนั้นยังถูกลดทอนให้น้อยลงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดจากวอดก้าที่พร่องไปกว่าครึ่งขวดแล้ว
เสียงซูดปากครางที่ดังลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่นั้น ทำให้นราวิกาชะงักการก้าวเดินไปชั่วครู่แต่เสียงพร่าจัดอันคุ้นหูนั้นก็ผลักดันให้เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนที่เปิดแง้มเอาไว้
“ช่าย... ทำดีๆ เดี๋ยวจะแจกเงิน ผู้หญิงนี่หิวเงินกันทุกคน”
“เชเชน... คุณทำอะไร” นราวิกาแทบสิ้นสติกับภาพที่เห็นบนเตียงกว้าง ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอยู่กลางหว่างขาของเขา แน่นอนว่าทั้งคู่จ้องมองยังเธอแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด!
เชเชนนอฟหัวเราะร่วนชี้นิ้วไปยังร่างของนราวิกาที่ยืนจังงังอยู่ตรงประตูห้องนอน “นี่งาย... มาแล้ว ผู้หญิงหิวเงินอีกคน เล่นตัวจนตุ๋นฉันซะเปื่อย สุดท้ายก็หิวเงินเหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ งั้นฉันต้องเล่นตัวให้หนักสินะ ถึงจะได้เงินจากคุณเยอะๆ” คู่ขาที่ถูกเรียกใช้บริการอย่างเร่งด่วนละฝ่ามือจากตัวตนอันอลังการซึ่งสวมครอบเครื่องป้องกันไว้อย่างเรียบร้อย “แต่ที่จะเล่นคือเล่นตัวคุณให้ร้องครางไม่หยุดนะคะ รูปหล่อ”
แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้นนราวิกาก็ปรี่เข้าไปผลักหน้าอกเธอจนล้มหงายหลังไม่เป็นท่า แล้วกำปั้นน้อยๆ ก็ระดมทุบเข้าที่ร่างแกร่งซึ่งเปลือยเปล่านอนเอนตัวพิงหัวเตียง เล็บคมๆ จิกข่วนอย่างสุดกำลัง
“คนน่ารังเกียจ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณนอนกับหล่อนแต่บอกว่ารักฉัน จะมีฉันคนเดียว ฮือ... เชเชน ไอ้คนบ้า” นราวิกาลืมเรื่องเงินที่จะมาพูดกับเขาไปในทันที ตอนนี้ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
อันเดรซึ่งตามมาเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อที่จะไปรายงานผลต่ออิกอร์ เดินเข้ามารับร่างของนราวิกาเอาไว้ทันเมื่อเชเชนนอฟปัดป้องและผลักเธอออกไม่ให้ทำร้ายร่างกายตนเองได้อีก
“อ่อ... มาด้วยกันสินะ” เชเชนนอฟทรงตัวขึ้นอย่างไม่มั่นคงนัก แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นเย้ยหยันจนนราวิการ้องไห้ไม่หยุด “มาสิ จะร่วมวงด้วยกันไหม ทรีซัมยังไม่เคยลอง ข้ามขั้นเป็นโฟร์ซัมเลยก็คงดี”
“กรี๊ด... คุณมันเลว เชเชนนอฟ” นราวิกาอดรนทนไม่ได้ปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายของเขาอีกครั้ง
เพียะ!... เพียะ!...
ใบหน้าคร้ามคมหันตามแรงฝ่ามือบาง เหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่านราวิกาจะกล้าตบหน้าลูกชายคนเดียวของบริษัทผลิตอาวุธสงคราม ดวงตาสีฟ้าจัดนั้นดูเกรี้ยวกราดไม่ต่างจากท้องฟ้าที่ส่อเค้าว่าจะเกิดพายุอารมณ์ลูกใหญ่
“เธอจะโกรธทำไมแนซ ฉันจ่ายค่าตัวหล่อนไปแล้วก็ต้องนอนกับหล่อนสิ เหมือนตอนที่ทำกับเธอไง” เชเชนนอฟโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ความเจ็บที่แก้มยังไม่เท่าเจ็บใจที่ได้เห็นฝ่ามือของอันเดรเกาะกุมร่างกายของเธอ
ความร้ายกาจที่เขาส่งผ่านมานั้นมีมากเท่าไหร่ นราวิกาก็รับรู้ได้มากเท่านั้น หากอารมณ์ชั่ววูบทำให้เธอตัดสินใจหันกลับไปรั้งใบหน้าของอันเดรเข้ามาใกล้แล้วบดจูบลงไปด้วยอารมณ์โกรธระคนประชดประชัน
เชเชนนอฟอาจจะทำร้ายเธอด้วยคำพูดร้ายกาจแต่เธอก็โต้กลับเขา หยามหน้า หยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างเจ็บแสบนัก ไม่ต้องรอให้ทั้งคู่ผละออกจากกัน เขาก็ไม่อาจทนเห็นภาพบาดตานั้นได้ ฝ่ามือหนาจึงผลักไปที่หน้าอกของอันเดรแล้วซัดหมัดเข้าปลายคางจนร่างของอันเดรซวนเซไปกระแทกกับผนังห้อง
“เอาชู้มาหยามฉันถึงที่ ฉันจะฆ่ามันให้ตายคามือวันนี้เลย” เชเชนนอฟบอกและดึงร่างของอันเดรขึ้นมารับอีกหมัด
“หยุดนะเชเชน คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย” นราวิกาพยายามเข้าไปห้าม ส่วนอันเดรก็พยายามต่อยกลับเพื่อป้องกันตัวเอง
ทว่าคนที่ทั้งโกรธและโมโหจนขาดสติ เสียงห้ามปรามใดๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้ ยิ่งอันเดรสู้ เชเชนนอฟก็ยิ่งสวนหมัดโต้แรงขึ้น ทางเดียวที่อันเดรจะรอดคือต้องพาตัวเองออกจากเพนต์เฮาส์นี้ให้เร็วที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันเดรจึงฉวยโอกาสที่ตนล้มลงแล้วคลานบนพื้นออกไปยังประตูด้านหน้า เขารีบสะบัดหน้าขับไล่ความมึนงง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นราวิกาก้าวมาดักหน้าเชเชนนอฟเอาไว้พอดิบพอดี
“ทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง” นราวิกายังใช้คำถามโง่ๆ กับคนที่บอกว่ารักตนแต่การกระทำกลับสวนทาง “คุณเรียกหล่อนมาทั้งที่รู้ว่าฉันจะมาหา คุณเคยแคร์ฉันบ้างไหมเชเชน คุณรักฉันเหมือนที่พูดออกมาบ้างรึเปล่า”
ถ้าตอนนี้จะมีนักแสดงนำฝ่ายหญิงที่ควรต้องได้รางวัลออสการ์ เขาก็เห็นว่าจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากผู้หญิงแพศยาที่ยืนตะโกนใส่หน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
“แล้วเธอล่ะ ที่แคร์ฉัน ที่นอนกับฉันเพราะอยากได้เงินของฉันใช่ไหม” ถามพร้อมชี้นิ้วไปยังเช็คเงินสดที่วางอยู่บนโต๊ะ “แต่คราวนี้คงต้องโชว์ลีลาให้ฉันเห็นก่อน ใครถึงใจฉันมากกว่าก็เอาเช็คไปได้เลย”
“เชเชน” นราวิกาตวาดออกมาอย่างเหลืออด ฝ่ามือที่เงื้อขึ้นหมายจะทำร้ายร่างกายเขาอีกนั้นถูกคว้าเอาไว้และกำจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
เชเชนนอฟบีบข้อมือเล็กแน่นแล้วสะบัดออกอย่างรังเกียจ “จะตบฉันเหรอ ไม่มีวันอีกแล้ว”
“เชเชน... คุณ” พูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ กับสายตาที่ไร้ซึ่งความเสน่หา ทว่าคำบอกรักที่เขาเคยพูดซ้ำไปซ้ำมายังก้องอยู่ในหู เธออาจจะดูโง่งมหากทวงถามคำรักแต่เวลานี้นราวิกาก็ยอมเป็นผู้หญิงโง่ๆ “ก็คุณเคยบอกว่ารักฉัน”
“ตอนนี้เบื่อ ไม่ได้เหรอ”
เย็นชา ไร้ความรักโดยสิ้นเชิง มีเพียงความเฉยเมยจนทำให้คนมองไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทรงตัว น้ำตายังไหลรินออกมาราวเขื่อนทำนบพัง หากเสียงห้าวที่ตะโกนใส่หน้าเธอหลังจากที่ทั้งห้องมีความเงียบงันเข้าครอบคลุมก็ทำให้นราวิกาต้องกัดฟัน ก้าวออกมาจากเพนต์เฮาส์ด้วยหัวใจแหลกสลาย
“ไม่ได้เบื่อธรรมดานะ แต่เกลียด ไม่อยากเห็นหน้า ได้ยินไหมนราวิกา ฉันเกลียดเธอ”
ความสัมพันธ์ตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่เธอก้าวพ้นประตูเสียงปิดอย่างกระแทกกระทั้นตามแรงโทสะก็ดังขึ้นจนน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย เขาทำราวกับประกาศให้เข้าใจว่าขับไล่เธอไปไกลๆ ให้สาสมกับความเบื่อหน่าย เกลียดชังที่มีต่อเธอ
ค่ำวันเดียวกันนั้นอิกอร์ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อได้รับรายงานจากคนของตนที่เฝ้าสังเกตการณ์ว่าทุกอย่างสำเร็จลุล่วงอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแอลเมเรียย่อมมีแผนการอันแยบยลที่จะใช้ใครสักคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันเดรนั้นไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าในเวลาที่ตนทำตามแผนการของอิกอร์นั้น ยังมีแผนซ้อนให้เดินเข้าไปติดกับดักอีกขั้นหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปรายงานให้อิกอร์ได้รับรู้ก็ได้รับค่าจ้างจำนวนมากโข และเข้าใจว่าที่เชเชนนอฟตัดตนออกจากวงโคจรนั้นเป็นเพราะเรื่องที่นราวิกาจูบประชด
การบาดหมางกับเชเชนนอฟนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย เขาถูกพ่อแม่ตำหนิจนแทบจะตัดขาดออกจากครอบครัวเพราะนั่นหมายความว่าตำแหน่งคนสนิทที่คาดหวังมาตลอดนั้นได้หลุดลอยไปแล้ว ชีวิตของอันเดรยุ่งเหยิง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สามารถบอกใครได้ว่ารับเงินมาจากอิกอร์และเชเชนนอฟก็เข้าใจผิดเพราะตนไม่เคยคิดเกินเลยกับนราวิกาเลยสักครั้ง
...แต่เรื่องน่าเหลือเชื่อและทำให้อันเดรเริ่มลังเลใจว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้น เป็นแค่การกำจัดผู้หญิงคนหนึ่งออกจากชีวิตของเจ้านายในอนาคต หรือทำให้ชีวิตของนราวิกาซวนเซ
ในวันที่ถูกต่อยจนแทบคลานออกมาจากเพนต์เฮาส์นั้น เขาต้องนั่งอยู่ริมฟุตปาธเพราะในหัวยังอื้ออึง มึนงงกับหมัดที่ระรัวใส่ไม่ยั้ง ไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน เสียงเรียกของนราวิกาทำให้เขาเริ่มได้สติกลับคืนมา เธอพร่ำขอโทษทั้งน้ำตาและยังมีน้ำใจพยุงไปนั่งหน้าร้านสะดวกซื้อแล้วยังเป็นธุระหายามาทำแผลให้อยู่นาน
หลายวันต่อมาเมื่อถูกกดดันจากทางบ้าน เพื่อนในกลุ่มต่างใช้สายตามองอย่างน่ารังเกียจนั่นทำให้อัดอึดใจ เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมายและไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เดินไปถึงสนามกีฬาซึ่งได้เห็นว่ามีร่างบอบบางของนราวิกานั่งอยู่ที่เดิม คนอกหักกับคนกลุ้มใจมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างย่อมต้องมีเรื่องอัดอั้นตันใจที่ระบายออกมามากมายนัก
อันเดรไม่เคยคิดมาก่อนว่าการพูดคุยกับนราวิกาจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เรื่องราวในชีวิตของเธอก็น่าเห็นใจ มีปูมหลังที่ไม่น่าพิสมัยนักแต่เธอยังคิดบวก รู้จักสร้างกำลังใจดีๆ ให้ตนเอง สิ่งเหล่านั้นที่สัมผัสได้ทำให้รู้ว่านราวิกาเป็นคนที่น่าคบหา ไม่ใช่ในฐานะคนรักแต่เป็นเพื่อนที่คอยพูดคุยให้กำลังใจ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นมิตรภาพที่อันเดรอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แน่นอนว่าอิทธิพลของอิกอร์ทำให้เขาต้องซ่อนความชั่วร้ายของตัวเองเอาไว้
เมื่อนราวิกาหยิบยื่นความจริงใจให้มากเท่าไร เขายิ่งละอายแก่ใจมากเท่านั้น!
อกหักครั้งแรกในชีวิตนั้นไม่ได้ทำให้ขาดใจตายหรือคิดสั้นอยากจบชีวิตของตัวเองลง แต่อกหักครั้งแรกทำให้เธอหัวใจแหลกสลายและเจ็บเจียนตาย รวดร้าวหัวใจมากขึ้นเมื่อได้เห็น ได้ยินว่าเชเชนนอฟใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง คั่วผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ไม่มีวี่แววว่าจะเสียใจกับการเลิกราครั้งนี้เลย
เมื่อร้องไห้จนปวดร้าวกระบอกตานั่นทำให้นราวิกาต้องสั่งตัวเองให้หยุด ปิดหูกับข่าวสารของคนเคยรัก ปิดตาจากภาพบาดใจของผู้ชายใจร้ายที่รักเขาอยู่เต็มหัวใจ แล้วหันมาทำงานหนักเพื่อให้ลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าลืมได้จริงๆ หรือเจ็บจนชินชา แต่นราวิกาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้มแข็งขึ้นเมื่อมุ่งมั่นที่จะเป็นบาริสต้า แล้วเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ตกแต่งให้ดูอบอุ่นคงเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เธอต้องทำให้สำเร็จ
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่รู้ว่าเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเกินไปหรือมุ่งมั่นที่จะเก็บเงินให้ได้สักก้อน หญิงสาวรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวจนวันหนึ่งไม่อาจทานทนกับอาการวิงเวียนศีรษะได้ จึงเข้าไปตรวจร่างกายในโรงพยาบาล
ยี่สิบนาทีหลังจากคุณหมอแจ้งผลการตรวจร่างกายให้ทราบแล้ว นราวิกาไม่อาจจะทรงตัวยืนด้วยสองขาอันสั่นไหวได้อีกต่อไป เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกายและไม่รู้ว่าจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับใคร นอกเสียจากอันเดรซึ่งกลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในเวลานี้
เสียงหวานสั่นเครือเมื่อเอื้อนเอ่ยลงไปในกระบอกโทรศัพท์ “อันเดร... ฉันท้อง!”
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, สหพันธรัฐรัสเซีย
ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ามาจากด้านหลังแล้วดึงร่างของเธอให้แนบชิดกับเรือนกายแกร่ง กกกอดเอาไว้อย่างแนบแน่นบ่งบอกความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจได้เป็นอย่างดี
“คิดถึง...” ลากเสียงยาวบอกที่ข้างใบหูบางแล้วก้มลงสูดความหอมจากแก้มนุ่มไว้เต็มความคิดถึง
นราวิกายิ้มพร้อมเหล่มองแฟนหนุ่มที่ยังจรดปลายจมูกอยู่กับแก้มของตน ในขณะที่เริ่มก้าวเดินออกไปด้านหน้าทั้งที่ยังกอดกันอยู่เช่นนั้น จังหวะการก้าวขาสอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ “อย่ามามั่วเลย ห่างกันแค่ครึ่งวันเนี่ยนะ”
“อื้อ...”
เสียงห้าวที่ครางรับในทันทีทำให้นราวิกายิ้มอย่างมีความสุข ทว่าประโยคต่อมายิ่งทำให้โลกของเธอกลายเป็นสีชมพู
“อากาศยิ่งหนาว ยิ่งคิดถึง” หนุ่มวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ทั้งรักทั้งคิดถึงนั่นเป็นความจริงทุกประการ ไม่มีความจำเป็นที่คนอย่างเชเชนนอฟจะทรยศหัวใจและความรู้สึกของตนเอง
สาวเอเชียตากลม ผมดำ รูปหน้าทรงไข่ที่อยู่ในชุดฟอร์มของบาริสต้า ทำให้หนุ่มเพิ่งเต็มตัวอย่างเขานึกอยากกระชากเธอเข้ามาตีก้นงอนๆ แล้วกอดรัดให้สมกับความรู้สึกมันเขี้ยวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล หากความรู้สึกที่ดูผิดแปลกไปนี้กระมังที่ทำให้การเข้าหา อยากทำความรู้จักต้องใช้เวลานานกว่าสาวคนอื่นๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเขาต้องใช้เวลาตามจีบเธอนานถึงสองเดือนกว่าจะเข้าใจกันและได้ควงเป็นแฟนสาวเช่นนี้
สีหน้าราบเรียบ เย็นชาและความหยิ่งทะนงตนอาจจะเป็นคุณสมบัติโดยทั่วไปของหนุ่มรัสเซีย แต่นราวิกากลับรู้สึกหวั่นไหวในสายตาที่เขาจ้องมองทุกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าเฉดที่ใกล้เคียงกับสีน้ำทะเลมากที่สุดนั้นทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาว เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเปิดเผยความปรารถนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
สาวอายุสิบแปดปีในสังคมไทยอาจจะเป็นแค่เด็กสาวที่ต้องประพฤติตัวให้อยู่ในกรอบ มีหน้าที่หลักคือเรียนหนังสือ การคบหาเพื่อนต่างเพศคงจะยังไม่ได้จริงจังนัก แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคงจะผิดแปลกไปจากความคิดและการปฏิบัติตัวของนราวิกาอยู่มากนัก
‘เธอรักผู้ชายที่โอบกอดอยู่นี้ รักจนมอบให้เขาทั้งตัวและหัวใจ’
ทว่าในสังคมที่นราวิกาใช้ชีวิตอยู่นี้ กลับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งหนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างเปิดเผย บางคู่ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน ทำงานหาเงินใช้เอง ส่งตัวเองเรียน รับผิดชอบชีวิตของตนเอง
“คืนนี้ไปค้างที่เพนต์เฮาส์ด้วยกันนะ” เสียงห้าวพร่าจัดกระซิบข้างใบหูบาง ทั้งยังคลอเคลียสูดดมไม่หยุดหย่อน เพียงเท่านั้นหัวใจสาวก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“ก็ไหนว่าจะกลับบ้าน”
“ไม่กลับ อยากอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืนเลย ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะแนซ...” เชเชนนอฟบอกแฟนสาวด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ยิ่งเดินใกล้จะถึงเพนต์เฮาส์มากเท่าไหร่ ความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายหนุ่มก็เพิ่มมากขึ้นจนเก็บเอาไว้ไม่มิด
ความเคียดขึงที่ดุนดันกับบั้นท้ายงอนงามทำให้พวงแก้มเธอกลายเป็นสีระเรื่อ “ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าจะทำอีก”
“จริงเหรอ?...” ลากเสียงยาวถามอย่างไม่เชื่อ และเมื่อถึงบันไดด้านหน้าเพนต์เฮาส์ เชเชนนอฟก็ออกแรงรัดร่างของแฟนสาวจนปลายเท้าเธอลอยเหนือพื้น พาเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจนเข้ามาอยู่หลังประตูไม้บานใหญ่ภายในเพนต์เฮาส์สุดหรู “จะคลั่งตายแล้วนะแนซ รู้ไหมว่าฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย ในหัวมีแต่ภาพเธอ ภาพเมื่อคืนนี้”
นราวิกายิ้มอย่างมีความสุขกับคำพูดนั้น เธอสอดฝ่ามือเข้ากับลำคอแกร่งแล้วทิ้งตัวพิงกับร่างสูงใหญ่ที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลัง “อ่อ... รู้แล้วว่าทำไมถึงคิดถึงฉัน มันแปลว่าคุณคิดถึงเซ็กซ์สินะ”
“ไม่ผิดเลย ฉันคิดถึงมันจริงๆ” ตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วหมุนร่างอ้อนแอ้นให้กลับมาเผชิญหน้า พร้อมเลิกคิ้วถาม “หรือคุณไม่คิดถึงผม”
ไม่ถามเปล่าแต่ดันเธอให้ชิดกับประตูแล้วบดสะโพกเข้าหา แสดงตัวให้ได้เห็นว่าเขาฮึกเหิมและคิดถึงเธอมากสักแค่ไหน
“ไม่ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ สมองก็ต้องคิดเรื่องอื่นบ้าง” โต้กลับทันควันและมันออกจะสวนทางกับความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะทุกการก้าวเดินย้ำเตือนให้ได้รู้ว่า เธอมีเขาเป็นผู้ชายคนแรกของชีวิต
ทว่าคำปฏิเสธที่ไร้น้ำหนักนั้นย่อมไม่อาจสั่นคลอนความคิดของผู้ชายอย่างเชเชนนอฟได้เลย “โกหกได้แย่มาก”
“หลงตัวเอง ว้าย...” นราวิกาหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อ สัมผัสกับเนื้อแท้ตรงช่วงเอวและสีข้าง
“เหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฉันหลงตัวเอง เข้าใจมาตลอดว่าหลงเสน่ห์เธอ รู้ไหม” ถามพร้อมก้มลงไปหาริมฝีปากจิ้มลิ้ม ตั้งใจจะจูบแต่เมื่อเธอเผยอปากขึ้นกลับถอยออกมาอย่างหยอกเย้า
นราวิกาหัวเราะเสียงใส “ไม่รู้...”
“เดี๋ยวจะทำให้รู้ เวลาอยู่กับฉันต้องพูดตามที่หัวใจสั่ง อย่าพูดในสิ่งที่ผ่านกระบวนการความคิดมาแล้ว เพราะ...” ยังไม่ได้อธิบายต่อแต่ก้มลงจูบซับริมฝีปากที่เผยอขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ดูดดึงริมฝีปากล่างค้างเอาไว้ชั่วครู่ก่อนจะปล่อยแล้วเลื่อนมือขึ้นปลดตะขอบราเซียร์ “เพราะนั่นมันบิดเบือนความจริงไปกว่าครึ่ง อย่างตอนนี้ บอกสิว่าอยากให้ฉันทำอะไร”
“ฉันไม่ปลื้มผู้ชายที่ชอบออกคำสั่งตลอดเวลา ว้าย... ตกใจหมดเลย” นราวิกาหวีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อถูกเขาอุ้มขึ้นแล้วยังสอดฝ่ามืออีกข้างเข้าไปทาบทับไว้กับทรวงอกอวบอิ่ม เรียวขาคู่งามต้องรีบเกี่ยวรัดสะโพกสอบตามสัญชาตญาณ
“แต่ฉันปลื้มผู้หญิงที่ชอบออกคำสั่ง ยิ่งดุยิ่งชอบ” ไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงฟอนเฟ้นทรวงอกอิ่มแล้วก้มลงครอบครองยอดทรวงผ่านเสื้อยืดตัวหนา ก้าวเดินไปยังหน้าเตาผิงไฟฟ้าซึ่งมีพรมนุ่มปูเอาไว้
เพียงแค่แผ่นหลังบางแตะพื้น เชเชนนอฟก็มุดทั้งศีรษะเข้าไปอยู่ในเสื้อยืด ปลายคางคร้ามคมที่มีหนวดเส้นสั้นผุดขึ้นเสียดสีกับผิวเนื้อละเอียดอ่อน จนเจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
“ไม่เล่นแบบนี้นะเชเชน มันจั๊กจี้ หยุด! พอแล้ว ใจจะขาด” นราวิกาบอกและพยายามดันศีรษะของเขาออกจากช่วงอก แต่มันดูไร้ผลเพราะแฟนหนุ่มของเธอมุดหัวเข้ามาอยู่ในเสื้อ การผลักไสและเสียงหัวเราะจึงเกิดขึ้นตามประสาหนุ่มสาวหยอกล้อกัน
เมื่อเธอดึงชายเสื้อยืดให้พ้นออกจากศีรษะของคนที่คลุกเคล้าทรวงอกไม่ห่าง นั่นเป็นโอกาสให้เชเชนนอฟเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับข้อมือเล็กเอาไว้แล้วผงกศีรษะขึ้น ทรวงอกนุ่มหยุ่นทั้งสองข้างจึงปรากฏแก่สายตา
“อู๊ว... ถอดเสื้อเองด้วย ไม่ชอบให้ฉันออกคำสั่งจริงๆ สินะ”
“เชเชน...” ลากเสียงเรียกชื่อแฟนหนุ่มอย่างเว้าวอน ความอายที่ต้องเปิดเปลือยเนื้อตัวต่อหน้าเขายังน้อยกว่าความกังวลกับอาการร้าวระบมของร่างกาย “อย่าเพิ่งได้ไหม ฉันยังเจ็บอยู่จริงๆ นะ”
ฮอร์โมนในร่างกายของผู้ชายอายุยี่สิบปีกำลังพลุ่งพล่าน มันทำหน้าที่ดีเกินไปด้วยซ้ำเมื่อภาพตรงหน้ากระตุ้นอารมณ์หนุ่มราวกับจุ่มปรอทลงในน้ำเดือด ความต้องการก็พวยพุ่งขึ้นจนแทบจะทะลุองศา แม้เสียงหวานที่ขอร้องนั้นเต็มไปด้วยความกังวลแต่ยอดทรวงสีหวานที่ล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้านี้ก็ทำให้ใจหนุ่มไม่ได้กังวลในสิ่งอื่นใดเลย
“สาบานเลยแนซ ครั้งนี้มันจะไม่เจ็บอีกแล้ว”
“ก็พูดแบบนี้ทุกที” นราวิกาโต้กลับและตวัดเสียงดุๆ แต่คนฟังรู้ว่าเธอไม่ได้ดุจริงจังเท่าไรนัก “เชเชน ฟังฉัน มองหน้าฉันก่อนได้ไหม”
เชเชนนอฟหัวเราะร่วน “อันที่จริงก็อยากมองเธอทั้งตัวนั่นแหละ มอง... จูบ... แล้วก็...”
จบคำพูดก็ก้มลงครอบครองยอดทรวงสีหวานที่หดตัวรับสัมผัสเร่าร้อน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดเร่งเร้าตามอารมณ์หนุ่ม โดยไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ
วัยรุ่นที่ทำทุกอย่างตามความรู้สึก ปราศจากการไตร่ตรอง ความเสน่หาที่แสดงออกต่อกันจึงเร่าร้อนเกินกว่าจะตรึกตรองถึงความถูกผิด ทุกสัมผัสบ่งบอกถึงแรงปรารถนาที่คุโชนในอารมณ์ เสียงห้าวพร่าจัดกับเสียงหวานครางกระเส่า ดังแข่งกับเสียงจังหวะรักอันทรงพลัง กระตุ้นทุกอณูความรู้สึกของหนุ่มสาว
เวลาที่ออกเดตกันมาสองเดือนนั้นทำให้ทั้งคู่มั่นใจว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี บ่อยครั้งที่นราวิกาได้ยินเพื่อนๆ เล่าว่าขึ้นเตียงกับหนุ่มที่เพิ่งออกเดตกันครั้งแรก ถ้าชอบถูกใจก็คบกันต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็แยกย้ายแสวงหาคนที่ใช่ต่อไป
ร่างกาย ความรู้สึก การตัดสินใจและการรับผิดชอบชีวิตนั้นเป็นของตนเองโดยแท้จริง นี่คือความแตกต่างของสังคมที่นราวิกาสัมผัสมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี เมื่อเธอเดินทางจากกรุงเทพมหานครตามผู้เป็นแม่มาอาศัยกับสามีใหม่ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
การร่วมรักกับแฟนหนุ่มจึงถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้สร้างความกระอักกระอ่วนใจใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเชเชนนอฟก็เป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดใจซึ่งยากจะต้านทาน เขาแสดงความสนใจในตัวเธอตั้งแต่ตอนแรก อาจจะโจ่งแจ้งและตรงไปตรงมาเกินไปเสียด้วยซ้ำ ครั้งแรกในการพบหน้ากันจึงไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจสักเท่าไรนัก
อันที่จริงแล้วนราวิกาไม่ได้ชอบให้ผู้ชายมาตามตื๊อนัก แต่ยอมรับกับตัวเองว่าเขามีคำพูดที่ทำให้เธอต้องอมยิ้มและมีวิธีตามตื๊อที่ปราศจากความน่ารำคาญใจ
เชเชนนอฟเป็นผู้ชายที่สมาร์ตทุกมุมมองในสายตาของนราวิกา ความฉลาดนั้นแสดงออกมาให้เห็นได้ด้วยคำพูดและการกระทำ
ในครั้งแรกที่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของบริษัทผลิตอาวุธสงครามที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียนั้น สร้างความประหลาดใจให้เธอไม่น้อย ด้วยฐานะที่แตกต่างเหลือเกินทำให้เธอนิ่งงันและวางตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน แต่ที่ทำให้คลายความอึดอัดใจลงก็น่าจะเป็นเพราะการปฏิบัติตัวของเขานั้นยังกลมกลืนกับเธอ
ขึ้นรถไฟใต้ดินไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่งกินฟาสต์ฟู้ดในสวนสาธารณะ ที่น่าประทับใจที่สุดก็คงเรื่องที่เขาให้เธอขี่คอเป็นชั่วโมงๆ เพราะตัวเล็ก ยิ่งตอนที่ทุกคนกระโดดโลดเต้นก็แทบจะไม่ได้เห็นอะไรเลย ตอนที่ไปดูคอนเสิร์ตวงดนตรีร็อกวงหนึ่งในเรดสแควร์
เชเชนนอฟไม่ได้ทรีตเธอเหมือนเจ้าหญิง ไม่ได้เอาใจใส่เสียจนทำให้รู้สึกว่าง่อยเปลี้ยเสียขาหรือกลายเป็นคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่เขามีความเป็นลูกผู้ชายอย่างเต็มเปี่ยมและการเดินทางไปมอสโคด้วยกันนั้น เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เธอเริ่มเชื่อมั่นว่าตนเองอยู่ข้างเขาในสถานะคนรัก
หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะขอร่วมรักกับเธอในตอนนั้น แต่เชื่อเถอะว่าเขาแค่จูบแล้วนอนกอดกันจนถึงเช้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือความมั่นคงในสัมพันธภาพในความคิดของผู้หญิงอายุสิบแปดปี
สัมผัสแผ่วเบาที่คลอเคลียอยู่ลาดไหล่และลำคอ อาจจะปลุกให้นราวิกาตื่นจากความอ่อนเพลีย ทว่าสิ่งแปลกปลอมที่สอดประสานเข้ามาในร่างกายจากด้านหลังต่างหากที่ทำให้เธอตื่นเต็มตา
“โอ... เชเชน อื้อ...”
“โทษทีที่ปลุกให้ตื่น แต่ฉันไม่ไหวแล้ว” เชเชนนอฟโผนตัวเข้าไปซุกซบในแอ่งเนื้อหวานฉ่ำ ครางกระหึ่มเพราะความรัดรึงที่บีบคั้นราวกับไม่อยากให้เขาถอยห่างไปไกล
มือหนาเลื่อนขึ้นเคล้นคลึงยอดทรวงเข้ากับกลางฝ่ามือ อีกข้างเลื่อนต่ำลงบดคลึงจุดศูนย์รวมความรู้สึกกลางกายสาว ไม่ปรารถนาให้เธอได้รับความเจ็บปวดแต่ก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเขาใหญ่โต ฮึกเหิมจนถึงที่สุดแต่เธอกลับสดใหม่แล้วยังมีเขาเป็นผู้ชายคนแรก
เชเชนนอฟไม่ใช่พวกคลั่งไคล้หรือรังเกียจสาวพรหมจรรย์แต่เขาไม่ชอบและหงุดหงิดใจ หากได้เห็นน้ำใสๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย การเมกเลิฟต้องเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจและพร้อมที่จะปล่อยอารมณ์อย่างเต็มความรู้สึก ในตอนนี้เขาต้องขับไล่ความเจ็บปวดให้ห่างไกลเธอ ทุกการโจนจ้วงเริ่มจะควบคุมความเร็ว แรงไม่ได้ จึงต้องเร่งเร้าให้เธอเหยียดขยายตอบรับอย่างเต็มอารมณ์ที่สุด
“ฉันต้องกลับบ้านแล้วนะ อื้อ... เชเชน” นราวิกาบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เมื่อถูกฝ่ามือหนาดึงขึ้นจนมานอนทับอยู่บนตัวเขา แผ่นหลังถูกดันขึ้นจนได้นั่งทับอยู่บนหน้าท้องแกร่ง
แน่นอนว่าเขากำลังจะสอนให้เธอเป็นฝ่ายแสวงหาความสุขด้วยตัวเอง “อย่างนั้น ช่าย... โอว”
ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่เคยอิ่มในรสเสน่หาของกันและกัน หนุ่มสาววัยฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน แม้รู้แก่ใจดีว่าเซฟเซ็กซ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่ก็ไม่อาจต้านทานความปรารถนา ตัณหาราคะได้
เกือบสิบวันแล้วที่นราวิกาย้ายเข้ามาอยู่เพนต์เฮาส์ของแฟนหนุ่ม ชีวิตเธอดูดี มีความสุข มองโลกเป็นสีชมพูเพราะดูเหมือนว่าเชเชนนอฟจะไม่ได้ให้เพียงความรักและปรารถนา แต่ยังมีความเข้าใจ ไถ่ถามถึงความรู้สึกซึ่งเธอไม่ค่อยจะได้รับสิ่งเหล่านี้จากครอบครัวสักเท่าไรนัก
ความจริงแล้วเธออยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเลย แต่ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนที่คำนวณดูนั้นเกินความสามารถที่จะส่งเสียตัวเองเรียนอยู่มากโข จึงต้องตัดสินใจทำงานเก็บเงินให้ได้สักก้อนหนึ่ง และเงินก้อนนั้นก็เริ่มงอกเงยเมื่อเธอเข้าไปสมัครงานในร้านกาแฟสัญชาติอังกฤษที่มีอยู่หลายสาขาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
กลิ่นกาแฟคั่วบดอย่างพิถีพิถันถูกกลั่นออกมาเป็นกาแฟเข้มข้น หอมกรุ่น นั่นทำให้นราวิกามองเห็นภาพแห่งความฝันอย่างชัดเจน จากพนักงานทำความสะอาดเลื่อนขึ้นไปเทกคอร์สของร้านจนได้เป็นบาริสต้าที่สามารถสร้างสรรค์ลาเต้อาร์ตได้เป็นรูปร่างที่สวยงาม
เสียงชมจากลูกค้าประจำและผู้จัดการร้านสร้างความมั่นใจให้กับเธอมากขึ้น จนตัดสินใจเข้าเรียนบาริสต้าอย่างจริงจัง แน่นอนว่าแชมป์บาริสต้าโลกคือความใฝ่ฝันที่บอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งจะคว้าตำแหน่งนั้นมาเชยชมให้ได้
นราวิกาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา แล้วสอดมือโอบกอดเธอจากด้านหลัง นั่นทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ไม่ใช่แค่เขาที่ชอบกอดเธอจากด้านหลัง เธอเองก็ชอบและอยากให้เขากอดแบบนี้ไปเรื่อยๆ
...เหมือนว่าชีวิตพบหลักพักพิงใจอันมั่นคง ให้ความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
“เธอใจลอย เอาแต่คิดถึงฉันแบบนี้ ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นจะป้องกันตัวเองได้ยังไง หืม?” เชเชนนอฟถามพร้อมทั้งกดริมฝีปากทาบลำคอระหง ทั้งมันเขี้ยว คิดถึง โหยหาชนิดที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เขาไม่มีสมาธิในการเรียน ดูหงุดหงิดงุ่นง่านราวกับคนติดยา จบชั่วโมงเรียนก็ไม่เสวนากับเพื่อนๆ แต่มุ่งหน้ากลับมาหาเธอ และเพิ่งรู้กับตัวเองว่ากลิ่นสาบสาวที่สูดดมอยู่นี้ทำให้อารมณ์ดีขึ้น อาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง
นั่นหมายความว่า... เขาเสพติดเธอเข้าไปแล้ว!
นราวิกาหัวเราะเสียงใส ไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือปฏิเสธคำพูดโอ่ตัวของเขา “บ้านคุณมีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้นขนาดนี้ ทั้งสแกนนิ้วมือ ต้องมีรหัสผ่านอีก โจรที่ไหนจะเข้ามาได้ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นโจรหื่นกามที่วุ่นวายกับเนื้อตัวฉันเหลือเกิน”
“ฉันเนี่ยนะโจร”
“คิดว่างั้น” นราวิกาตอบกลับอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ดูเอาก็แล้วกัน โจรแบบไหนจะรู้อกรู้ใจเธอแบบนี้” พูดพร้อมยื่นซองเอกสารมาไว้ตรงหน้าเธอ
นราวิกาเบี่ยงตัวแล้วเอี้ยวใบหน้าหันกลับไปเลิกคิ้วมองเขาอย่างตั้งคำถาม
เชเชนนอฟโคลงศีรษะแล้ววางซองเอกสารลงบนฝ่ามือบาง “เปิดดูสิ”
เอกสารการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เขากำลังเรียนอยู่และสมุดบัญชีธนาคารซึ่งมีชื่อเธอเป็นเจ้าของบัญชี มือเรียวเปิดดูการอัปเดตสมุดหน้าล่าสุดซึ่งมีเงินสดอยู่จำนวนมากโข นั่นอาจจะพอจ่ายค่าเทอมสักสองปีกระมัง
“รีบไปสมัครเรียนซะ จะได้ไม่เสียเวลา” บอกพร้อมจะก้มลงหอมแก้มนุ่มอีกครั้ง แต่ร่างนุ่มนิ่มกลับเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด เดินไปไม่กี่ก้าวแล้วหมุนตัวกลับมามองด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
“ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ได้คบคุณที่ฐานะ ฉันทำงานหาเงินรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้” นราวิกาบอกและทิ้งเอกสารทุกอย่างในมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ
เชเชนนอฟขมวดคิ้วแทบเป็นเส้นตรง มองตามเอกสารที่ตั้งใจทำให้เธอด้วยความหวังดีแต่กลับถูกทิ้งไว้อย่างไม่แยแส จากนั้นจึงหันมาจ้องหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ “อะไร แล้วฉันไปห้ามเธอไม่ให้ทำงานตอนไหนกัน”
“ก็ทำแบบนี้มันเหมือนดูถูกฉัน ถึงฉันจะจนต้องหยุดเรื่องเรียนไว้ชั่วคราวแล้วทำงานหาเงินสักก้อน ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากใช้เงินของคุณนะเชเชน” นราวิกาเบื่อหน่ายกับการกระทำเช่นนี้นัก ยิ่งเขาเอาแต่นิ่งนั่นยิ่งทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่เธอคิดถูกต้อง “ช่างเถอะ ไม่อยากจะหาเรื่องทะเลาะกับคุณ”
ผู้หญิงบ้าอะไรอย่างนี้วะ!
เปิดประเด็นแล้วเดินหนีเนี่ยนะ ไม่อยากหาเรื่องชวนทะเลาะ เชเชนนอฟคิดในใจแล้วสาวเท้าตามร่างนุ่มนิ่มที่เดินไปยังประตูห้อง
ทันทีที่มือบางจับที่คันโยกของประตู ฝ่ามือหนาก็เอื้อมไปดันประตูห้องเอาไว้ไม่ให้เธอเปิดได้ทั้งยังตั้งใจดันร่างเธอให้ชิดกับประตูบานใหญ่ ค้ำฝ่ามืออีกข้างกักตัวเธอไว้ในอ้อมแขน “แค่พูดว่าไม่อยากชวนทะเลาะแล้วเดินหนีเนี่ยนะ วิธีการแก้ปัญหาของเธอ”
“เลิกกันเลยก็ได้” เหตุผลไม่เคยอยู่เหนืออารมณ์ของสาวอายุสิบแปดปีที่กำลังคิดว่าแฟนหนุ่มดูถูก
“โอ้โห... ท้าทายมาก เธอคิดว่าฉันหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นใช่ไหม ถึงได้ท้าเลิกแบบนี้”
“ก็คิดน่ะสิ ถ้าไม่หลงฉันมากจะชวนมาอยู่ที่นี่แล้วโยนเงินให้เยอะๆ แบบนี้เหรอ ปล่อยนะ” มือสองคู่เริ่มต่อสู้กันเป็นพัลวัน
“ปล่อยได้ไง เธอก็หลงฉันเหมือนกันนั่นแหละน่า... ไม่งั้นจะย้ายมาอยู่ด้วยกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ” ยั่วโมโหต่อแล้วสอดมือเข้าเอวคอดกิ่ว อุ้มเธอขึ้นจนปลายเท้าลอยเหนือพื้น ไม่สนใจกับเสียงโวยวายและการดิ้นรนของเธอสักนิด “ถ้าฉันปล่อยให้กลับบ้าน แล้วคืนนี้เธอจะนอนกอดใคร”
“แยะเยอะไป ผู้ชายที่มาจีบฉันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้หญิงที่มาจีบคุณหรอก กรี๊ด... ปล่อยนะ” นราวิกาดิ้นและต้องครางออกมาด้วยความเจ็บจุกเมื่อเขาโยนเธอลงบนโซฟา ที่น่าโมโหไปกว่านั้นคือไม่ได้เห็นความรู้สึกผิดสักนิด มีแต่รอยยิ้มอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
“ก็จริง แต่จะบอกให้ว่าไม่มีใครเด็ดเท่าเธอ” ไม่พูดเปล่าแต่ทาบทับตัวลงกับร่างนุ่มนิ่ม ใช้สองมือกดข้อมือเล็กเอาไว้ข้างศีรษะ
“ไปตายซะเชเชน ฉันเกลียดคุณจริงๆ เลย” นราวิกาโกรธจัดและไม่มีทางต่อสู้กับผู้ชายร่างกายใหญ่โตกว่าตนได้เลย
ตุบ!
“อา... แม่ตัวดี ทำบ้าอะไรเนี่ย” เชเชนนอฟครางออกมาด้วยเจ็บ เมื่อเธอกระแทกศีรษะเข้ากับปลายจมูก สะบัดหน้าขับไล่ความมึนงงแล้วลืมตาขึ้นมองคนใต้ร่าง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าภาพที่เธอมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ประทุษร้ายร่างกายตนแล้วทิ้งศีรษะลงอย่างไม่กลัวเจ็บ จนผมเผ้าสยายอยู่บนโซฟานั้น ช่างเร้าอารมณ์หนุ่มนัก คนสวยเจ้าอารมณ์ เหวี่ยงสะบัด แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่นั่นทำให้เขาประหลาดใจตัวเองเสียมากกว่าที่ไม่โกรธเคืองเธอเลยสักนิด
“สมน้ำหน้า อยากมายุ่งกับฉันดีนัก ทีนี้ปล่อยแล้วอยากจะไปเรียกผู้หญิงที่ไหนมานอนด้วยก็ตามสบาย”
เชเชนนอฟเบ้ปาก คำพูดร้ายๆ ในประโยคต่อไปก็ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาก่อนเช่นกัน “อย่าบอกนะว่าเธอก็จะไปนอนกับผู้ชายอื่นเหมือนกัน”
ทว่าคนที่น้อยใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลับโมโหจนน้ำตาร่วง “เออ! ก็นี่มันร่างกายฉัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องมายุ่ง”
โอ... เธอร้องไห้!
เชเชนนอฟก้มต่ำลงจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่สนใจว่าเธอจะเบือนหน้าหนีหลบสัมผัส เชื่อเถอะว่าการกระทำดังกล่าวช่วยบรรเทาเบาบางความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอได้เป็นอย่างดี จากที่กำลังทะเลาะกันกลับกลายเป็นจูบปลอบใจ
นราวิกาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนเช่นเคยอีกแล้ว แต่ความน้อยใจยังคงไม่จางหายจึงหลบจุมพิตที่ปากและมองตาขวางอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ
“มาจูบฉันทำไมล่ะ ถอยไปสิ”
“ถอยไปไหนล่ะ ยังไม่ได้เข้าไปเลยนี่นา”
เรื่องลามกคงไม่มีใครเกิน นราวิกาคิดในใจ แต่นิ่งไม่ยอมตอบโต้สุดท้ายไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงเพราะก้มลงจูบหน้าผากบริเวณไรผมที่เธอเพิ่งใช้ทำร้ายเขาไปไม่นาน
“จะปูดขึ้นมาไหมเนี่ย หมดสวยกันพอดี คราวนี้”
ไม่ใช่คำปลอบใจที่คาดหวังแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเขากำลังง้องอนขอคืนดี “ถ้าไม่สวยก็คงไม่ได้มาอยู่แบบนี้หรอก ใช่ไหม”
คราวนี้เป็นเชเชนนอฟที่รู้สึกว่าถูกหมิ่นน้ำใจ ดวงตาสีฟ้าเข้มหรี่แคบลงมองเธออย่างประเมิน “ถ้าไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเองกำลังหมิ่นน้ำใจฉัน ก็จงรู้เอาไว้ซะ”
“ก็เหมือนกับที่คุณฟาดเงินใส่หัวฉันไง ฉันไม่รู้เจตนาของคุณหรอกนะ แต่ถ้าจะคบกันต่อไปก็ขอให้รู้เอาไว้ว่าอย่าทำแบบนั้นอีก”
ได้ยินอย่างนี้แล้วเชเชนนอฟก็เข้าใจความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี แม้ใจจริงแล้วจะไม่มีเจตนาดูหมิ่นดูแคลนเลย เขามองแค่ว่าอยากให้เธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีนี้เท่านั้น
ท้ายที่สุดเชเชนนอฟก็เป็นฝ่ายถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับกับคำพูดของเธอ
“ปล่อยได้แล้ว จะกลับบ้าน” ความจริงแล้ววันนี้นราวิกาตั้งใจจะกลับบ้าน เพราะถึงเวลาที่แม่จะกลับบ้านแล้วในวันพรุ่งนี้ วันนี้เธอจึงต้องกลับบ้านเพื่อไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่ทันที่จะได้บอกเขาก็มาเกิดเรื่องทะเลาะกันเสียก่อน
“อ้าว! ก็ไหนว่าไม่โกรธแล้วจะให้ปล่อยอีกทำไม” โวยวายเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการสานต่อ
“ก็ต้องกลับไปทำความสะอาดบ้าน แม่ฉันจะกลับพรุ่งนี้” นราวิกาบอกพร้อมทั้งยกมือขึ้นผลักใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง “เชเชน ไม่ได้นะ”
มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ความอลังการที่ดิ้นขยับอยู่กับหน้าท้องแบนราบนี้บ่งบอกความต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม
“น่า... นะ ฉันจะคลั่งตายแล้ว รู้บ้างไหม”
“ก็ตายไปเลยสิ ทำไมถึงได้มักมากแบบนี้นะ เชเชน หยุด” ห้ามได้แต่เขาไม่หยุด อีกทั้งเธอก็ไม่อาจจะต่อกรกับฝ่ามือหนาที่เริ่มดึงชายเสื้อสูงขึ้น ตลบมันออกทางศีรษะอย่างคล่องแคล่ว “ไปเรียกอีหนูของคุณมาสิ มายุ่งกับฉันทำไม”
“ฉันไม่เคยซื้อกินเลยนะ อย่ามาใส่ความกัน” ตอบและกางฝ่ามือเคล้นคลึงทรวงอกนุ่มหยุ่นทั้งที่ยังมีบราเซียร์ลูกไม้ขวางกั้น เขารู้ดีเชียวล่ะว่าจะแตะต้องเธอตรงไหนให้คุโชนไปด้วยไฟปรารถนา “แม่คนขี้หึง”
“หรือฉันหึงไม่ได้” ถามกลับทันควัน
“เต็มที่เลยแนซ แล้วตอนนี้ฉันก็ต้องการคำปลอบใจที่เธอพูดว่าจะไปนอนกับไอ้เลวคนไหนนั่น” ไม่พูดเปล่าแต่สะบัดหน้าหนีจากฝ่ามือนุ่ม ซุกทั้งปากและจมูกลงกับหว่างอกอิ่ม พึมพำความรู้สึกของตน “คิดถึงตรงนี้ อยากอยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืน”
“อื้อ... เชเชน ก็บอกว่าต้องกลับบ้าน”
“ขอชั่วโมงเดียวแล้วจะไปส่ง”
“ไม่ได้” เสียงตอบดุๆ นั้นทำให้สายตาละจากทรวงอกขึ้นจ้องมองเธออย่างไม่เชื่อหู
“เธอไม่อยากได้ฉันเหรอ?”
คนละเรื่องเดียวกันเลย แต่คนถามก็ปั้นหน้าตาย เลื่อนมือขึ้นดันบราเซียร์ตัวบางให้พ้นจากก้อนเนื้ออวบอิ่ม เพียงแค่ยอดทรวงสีหวานปรากฏแก่สายตา ความอดทนอดกลั้นที่มีน้อยนิดอยู่แล้วก็พังทลาย เชเชนนอฟรวบเอายอดทรวงไว้ในปาก ตวัดปลายลิ้นเร่งเร้า ปลุกอารมณ์สาวให้โอนอ่อนผ่อนตาม
“อื้อ... เชเชน หยุดนะ คุณก็ยังไม่ขอโทษฉันเหมือนกัน” ร่างกายของเธอเสียวสะท้านเพราะริมฝีปากอุ่นจัด “แล้ว... จะมาเรียกร้อง คำปลอบใจอะไรอีก”
ใช่ว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจห้ามใจจากความหวานที่ปลายลิ้น อารมณ์หนุ่มสาวกำลังเตลิดเพียงเพราะการปลุกเร้าอันน้อยนิด ต่างฝ่ายต่างมีความรักและปรารถนาต่อกันอยู่แล้ว เพียงแค่แตะเนื้อต้องตัวกันก็ไม่อาจจะยับยั้งความต้องการตามธรรมชาติได้เลย
เนิ่นนานกว่าที่เชเชนนอฟจะตัดใจละริมฝีปากจากทรวงอกทั้งสองข้าง เนินเนื้ออวบอิ่มถูกจูบซับหนักบ้าง เบาบ้างตามแรงอารมณ์ เรื่อยสูงขึ้นไปยังลำคอ ใบหูบางและหยุดอยู่ที่ริมฝีปากจิ้มลิ้ม
“ขอโทษ... ฉันขอโทษนะแนซ” บอกแล้วจุมพิตครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวคำขอลุแก่โทษซ้ำอีกครั้ง “ขอโทษอีกครั้ง แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเธอ ฉันแค่อยากให้เธอได้เข้าเรียนปีนี้ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ฉันคิด”
นราวิกายังนิ่งเงียบมองริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง อธิบายในความคิดของเขาไปเรื่อยๆ หากเธอพบความจริงที่ว่า... ไม่ได้โกรธเขาตั้งแต่ตอนที่เขาจูบซับน้ำตาให้แล้ว แต่คนที่ยังไม่รู้ว่าได้รับการให้อภัยแล้วยังพูดไม่หยุด
“ฉันแค่อยากให้เธอได้เรียน ได้เป็นบาริสต้า ได้ทุกอย่างตามที่เธอคิด รู้ไหมว่าฉันไม่เคยต้องนั่งจมอยู่กับภาพของผู้หญิงคนไหน ในหัวฉันมีแต่ภาพเธอ ฉันเหมือนไก่อ่อนที่เพิ่งมีเซ็กซ์ครั้งแรก คิดถึงแต่ตอนที่เราเมกเลิฟกัน คิดแต่อยากจะอยู่ใกล้ๆ เธอ อยู่ในตัวเธอ” เชเชนนอฟส่ายหน้าให้กับตัวเอง มันน่าอายไม่น้อยที่จะเปิดเผยตัวเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกอายเลยที่ได้บอกกับเธอ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำพูดราวกับผู้ชายหื่นกามจะอุ่นซ่านหัวใจจนลืมเลือนความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดขึ้นเป็นปลิดทิ้ง นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของนราวิกา
“ไม่รู้สิ คือ” เชเชนนอฟส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่ความสับสนแต่มันชัดเจนมากในความรู้สึก “ฉันคิดว่า... ฉันคงรักเธอนะแนซ”
สารภาพรักกับผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิตแต่เธอกลับจ้องตานิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ แล้วจะให้เขาทำอะไรได้นอกเสียจากอธิบายต่อไปเรื่อยๆ
“เฮ้... อย่าเงียบสิ ผมทำตัวไม่ถูกนะ คือผมไม่ได้พูดเพราะแค่อยากจะเมกเลิฟกับคุณนะ ผม...”
ไม่ทันได้พูดจบ ฝ่ามือบางก็สอดเข้าไปรั้งลำคอหนาลงมาในจังหวะเดียวกันกับที่เธอผงกศีรษะขึ้นไปจุมพิตเขาเสียเอง จูบแผ่วเบาให้ความรู้สึกเหมือนความรักอันสวยงามกำลังแผ่ตัวปกคลุมทั้งคู่เอาไว้
“ไม่อยากแล้วจริงๆ เหรอ” จบคำถามก็จูบเขาอีกครั้งแล้วยิ้มชิดริมฝีปากที่เผยอตอบรับสัมผัสของตน
เธอรุก เขานิ่ง เมื่อเธอถอยเขากลับตามลงมาจุมพิตเสียเอง ไม่ใช่แค่เพิ่งสารภาพรัก งอนง้อ ขอลุแก่โทษแต่เป็นการหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข
นราวิกายังยกเรื่องเดิมขึ้นมาพูด ทั้งที่โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูเพราะคำสารภาพรักดิบๆ นั่น “ไม่อยากก็ปล่อย จะกลับบ้านเสียที”
รอยยิ้มของเธอช่างสดใส และเขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะปล่อยเธอไปจริงๆ แต่กลับสอดมือเข้าใต้แผ่นหลังบอบบางแล้วพลิกตัวอย่างคล่องแคล่วจนเธอขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าตัก
“อยาก... มากแค่ไหน ยังต้องให้อธิบายอยู่ไหม” เชเชนนอฟบอกด้วยน้ำเสียงพร่า ทั้งยังดันความอยากที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดเข้ากับกลางกายเธอ
นราวิกายิ้มซุกซน สอดมือเข้าประคองใบหน้าคร้ามคม หนวดเส้นสั้นที่ผุดขึ้นเสียดสีกับฝ่ามือ ให้ความรู้สึกหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก “ก็ไม่รู้ อีกชั่วโมงฉันต้องกลับบ้านแต่ตอนนี้คุณเหลือเวลาไม่ถึงสี่สิบห้านาที ผู้ชายปากร้าย”
“ร้ายแล้วรักไหม อืม...” เชเชนนอฟไม่ได้คำตอบแต่จุมพิตที่เธอมอบให้ก็ทำให้เขาลืมเลือนทุกสิ่ง ในสมองมีแต่เธอ มีเพียงภาพเปลือยเปล่าที่เป็นสีชมพูจัด ซึ่งเขารู้วิธีดีเหลือเกินว่าจะทำให้เธออ่อนเปลี้ยไปด้วยพิศวาสได้อย่างไร
ผู้ชายอายุยี่สิบปีก็เป็นหนุ่มวัยคะนอง มีวิธีแสดงความรัก โลภ โกรธ หลงอย่างเต็มที่ ด้วยฐานะอันมั่งคั่ง ไม่เคยพบเจอกับความอดอยากยากจน เชเชนนอฟจึงไม่เคยคิดว่าการรักผู้หญิงสักคนจะเกิดปัญหาใดๆ ในชีวิต
นราวิกาเองก็เช่นกัน แม้ฐานะทางครอบครัวจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยึดถือศักดิ์ศรีและทำงานรับผิดชอบชีวิตของตัวเองมาโดยตลอด นั่นเป็นการรักษาเกียรติอย่างยิ่งยวดแล้วในความคิดของสาวอายุสิบแปดปี
ถ้าเปรียบเขาเป็นไฟ เธอก็คงเป็นน้ำมัน!
เวลาที่ตั้งเอาไว้ไม่ถึงสี่สิบห้านาทีจึงยืดออกไปอย่างยาวนานตลอดทั้งคืน ต่างฝ่ายต่างวุ่นวายอยู่กับเนื้อตัวของกันและกัน โดยที่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า…
มีใครบางคนไม่พอใจอย่างยิ่งกับสัมพันธภาพของเขาและเธอ!
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นถี่ๆ นั้น ทำให้เชเชนนอฟผงกศีรษะขึ้นจากที่นอนนุ่มอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเพิ่งได้หลับไปจริงๆ ไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็ต้องรีบชันตัวลุกขึ้นด้วยกลัวว่าเสียงกริ่งที่ดังไม่หยุดหย่อนนี้จะรบกวนเวลานอนของคนข้างๆ
ทว่ากลับไม่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าที่ทำให้ตนแทบสำลักความสุขอยู่บนเตียง แต่เสียงน้ำที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเธออยู่ในห้องน้ำ จึงเดินออกจากห้องนอนไปยังประตูหน้าเพนต์เฮาส์
เชเชนนอฟส่ายหน้าให้กับแขกไม่ได้รับเชิญที่ยืนฉีกยิ้ม โบกมือทักทายอยู่ในจอมอนิเตอร์ “มาทำอะไรตอนนี้วะ”
อันเดรยังฉีกยิ้มให้เพื่อนแล้วฉวยโอกาสก้าวเข้ามาในเพนต์เฮาส์สุดหรูก่อนที่เจ้าของห้องจะทันได้เอ่ยอะไร
“เป็นเพื่อนก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะโยนเรื่องมารยาททิ้งไป”
ดูเหมือนคำต่อว่าของเชเชนนอฟจะไม่ได้สะท้านสะเทือนความตั้งใจของอันเดร แต่แขกไม่ได้รับเชิญกลับถือวิสาสะ เดินลึกเข้าไปด้านในแล้วประตูห้องนอนที่ถูกเปิดทิ้งไว้เช่นนั้นก็เผยให้เห็นเตียงนอนอันยุ่งเหยิง “ถึงนายจะตัดความเป็นเพื่อนออกไป แต่ฉันก็ยังเป็นญาติซึ่งคงไม่ได้เสียมารยาทอะไรมากนัก ถ้าญาติจะมาเยี่ยมเยียน”
เชเชนนอฟหัวเราะพรืดออกมากับญาติห่างๆ ฝ่ายแม่ ความจริงแล้วแม่ไม่เคยสนใจอธิบายให้ฟังด้วยซ้ำว่าครอบครัวของอันเดร เกี่ยวพันกับครอบครัวตนอย่างไร แต่พ่อแม่พี่น้องของอันเดรนั้นต่างก็ทำงานในไอจีโอ ซิสเทม ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธสงครามของครอบครัวตน
“แต่ดูเหมือนนายมี...” อันเดรพูดไม่ทันจบประโยค เสียงหวานก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เชเชน... ฉันจะกลับบ้านสักสามสี่วันนะ คุณ เอ่อ” นราวิกาชะงักทั้งคำพูดและการก้าวเดิน เมื่อเห็นว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
สาวสวยหุ่นดีอยู่ในคลุมสีขาวสะอาด เธอผูกเชือกที่เอวอย่างลวกๆ ทำให้สาบเสื้อแยกออกจากกัน เปิดเผยเนินเนื้อนุ่มหยุ่นวับๆ แวมๆ ทว่าก่อนที่จะเป็นอาหารตาของอันเดรไปมากกว่านี้ เชเชนนอฟก็รีบก้าวเข้ามาประชิดแล้วดันร่างของแฟนสาวให้เข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนปิดประตูยังต้องก้มลงไปจูบปากนุ่มอย่างคาดโทษและห้ามใจตัวเองไม่ได้
“ไปแต่งตัวซะ คราวหลังถ้าโป๊ออกมาแบบนี้อีกล่ะก็ ฉันเอาเธอตายแน่ แนซ”
หวงสุดเหวี่ยงและทำให้อันเดรเลิกคิ้วมองตามด้วยความประหลาดใจสุดขีด “นี่ถึงขั้นย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว”
“ทำอย่างกับนายไม่เคย”
“ฉันกับนายเหมือนกันที่ไหน” อันเดรตอบแล้วก้าวเข้าไปยืนขวางทางเพื่อน กระซิบกระซาบถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เป็นไงมั่งวะ เด็ดเลยสิ”
เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็พนันว่าเขาจะควงสาวเอเชียก้นงอนขึ้นเตียงได้ภายในเวลากี่วัน แน่นอนว่าเชเชนนอฟต้องควักเงินเลี้ยงเพื่อนทั้งกลุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาแพ้พนัน
แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องไปอธิบายให้คนอื่นได้รู้ว่าเธอยอดเยี่ยมสักแค่ไหน ทั้งที่ปกติแล้วการพูดถึงลีลาของผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องปกติในกลุ่มหนุ่มๆ แต่เมื่อคิดว่าจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับนราวิกาแล้ว เขากลับรู้สึกว่าควรเก็บเธอเอาไว้ให้มิดชิดจากวงสนทนาของหนุ่มวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
“นายคงไม่ได้มาเพียงเพราะอยากคุยกับฉันเรื่องเธอหรอก” ถามในขณะที่เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ออกมาดื่ม
การตอบคำถามแบบเลี่ยงๆ นั้นก็ทำให้อันเดรรับรู้ได้ถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้น “จริงจังหรือไงวะคนนี้”
ใบหน้าหล่อเหลาที่ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าเก็บความรู้สึกเก่งที่สุด แม้ตอนนี้จะไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากแต่สีหน้ารื่นรมย์ตามประสาหนุ่มวัยคะนองที่อิ่มเอมในรสเสน่หานั้นก็เป็นคำตอบให้อันเดรได้ดี
“ก็...” พูดไม่ออก อธิบายไม่ถูก ได้แต่ไหวหัวไหล่แล้วผายมือทั้งสองข้างออก “มันจะประหลาดตรงไหน ก็แค่จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน”
“จุ... จุ... จุ...” อันเดรส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกันข้ามซึ่งมีโต๊ะอาหารกั้นกลาง “หมายถึงนายต้องนอนกับผู้หญิงคนเดิม คนเดียว”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“งั้นกี่เดือน” อันเดรถามต่อพร้อมเดินตามร่างสูงใหญ่ของเพื่อนซึ่งตรงไปยังประตูห้อง “แต่ฉันว่าสักสิบห้าวันเป็นไง”
“ไสหัวไปไกลๆ ถ้าจะมาแค่สอดแนม แล้วเอาฉันไปเป็นเรื่องโจ๊กในกลุ่ม” เชเชนนอฟบอกทั้งเปิดประตูออกกว้าง ไล่ตรงๆ
“แปลว่ารับพนัน” ยกนิ้วชี้หมุนอยู่กลางอากาศราวกับให้โอกาสเพื่อนได้คิดทบทวน แน่ล่ะว่าเดิมพันในหัวข้อนี้ก็ต้องสูงขึ้นอีกเท่าตัว แม้เจ้าของเพนต์เฮาส์จะยกมือขึ้นชี้นิ้วไล่อย่างตรงไปตรงมา แต่อันเดรยังคงพูดถึงเดิมพันไม่หยุด “อะไรดีล่ะคราวนี้ ปิดผับเลี้ยงเลยเป็นไง”
“ถ้ายังไม่ไปคงต้องปิดโรงพยาบาล”
“อู๊ว... แค่มีอีหนูสวยๆ ให้อึ๊บ ไม่เห็นต้องโหดแบบนี้”
จบคำพูดเชเชนนอฟก็เริ่มขยับขาราวกับว่าจะสั่งสอนเพื่อนปากมอม หากอันเดรเดินลิ่วๆ ออกไปจากห้อง แต่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมายักคิ้วหลิ่วตา พร้อมกับคำถามที่ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งยืนยาวเอาเสียเลย
“เปลี่ยนหัวข้อเป็น... นายหรือแม่คนสวยนั่น จะเป็นฝ่ายบอกเลิก น่าจะสนุกกว่า” จบคำพูดก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้คนที่กำลังมีความรักนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเพียงคนเดียว
ภายในสิบห้าวันงั้นเหรอที่เขาจะเบื่อนราวิกา?!
โอ... ถ้ารับพนันกันในกลุ่มจริงๆ มีหวังบัตรแพลทินัมสักใบวงเงินคงเต็มอย่างแน่นอน ก็เขาจะเบื่อผู้หญิงที่อยากคลุกเคล้าอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืนภายในเวลาไม่ถึงเดือนนี้ได้อย่างไร
เชเชนนอฟคิดในใจพร้อมเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีกลับเข้าไปในห้องนอน โดยไม่รู้เลยว่าหน่วยสอดแนมที่ถูกใครบางคนส่งมานั้นรีบเร่งฝีเท้าไปยังรถยนต์คันยาวที่จอดอยู่ตรงหัวมุมถนน
“เชเชนอยู่กับหล่อนจริงๆ ครับ น่าจะตกลงอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว” อันเดรรายงานคนที่นั่งหน้าตึงอยู่ในรถ
“กำจัดหล่อนออกไปจากชีวิตของเชเชนซะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็รีบทำ”
“ครับ” อันเดรรับคำและยื่นมือไปรับเช็คอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้มีเงินไปใช้ในกาสิโน
“อีกสามวันฉันจะกลับมา ถึงตอนนั้นคงไม่ได้เห็นหล่อนให้รำคาญสายตา ออกรถ” บอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วหันไปสั่งคนขับรถ
เป็นไปไม่ได้ที่ลูกชายคนโตและเป็นลูกชายคนเดียวของไอจีโอ ซิสเทม จะใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าให้เปล่าประโยชน์ ที่ผ่านมาเชเชนนอฟใช้ชีวิตหนุ่มอย่างเต็มที่ แต่ก็อยู่ในสายตามาตลอดเมื่อทุกอย่างดูผิดแปลกออกไปจากเดิม จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่พึงกระทำ
ตำแหน่งซีอีโอของไอจีโอ ซิสเทม ควรมีคู่ชีวิตที่สามารถผลักดันให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง ถึงไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลแต่ก็ควรจะเป็นลูกสาวของนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลต่อสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีเฉพาะความสวยเพียงอย่างเดียว
ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านชุมชนอยู่อาศัยของคนทำงานซึ่งมีรายได้น้อย ตึกสูงดูทรุดโทรม แน่นอนว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์นี้ก็มีทั้งคนหาเช้ากินค่ำไล่ไปจนถึงคนติดยา ซึ่งดูยังไงแล้วก็น่าเป็นห่วงความปลอดภัยของแฟนสาวในความคิดของเชเชนนอฟ
หากเขายังไม่อาจที่จะพูดอะไรออกไปได้มากนักเพราะรู้ว่าต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่เชเชนนอฟและนราวิกากำลังเดินเข้ามาในซอยซึ่งมีห้องเช่าของอพาร์ตเมนต์เป็นจุดหมาย
เช็คสั่งจ่ายในชื่อของนราวิกากำลังถูกยื่นให้ผู้เป็นแม่ ตัวเลขจำนวนมากโขทำให้ราณีเบิกตากว้างและเอื้อมมือไปตีมือของสามีที่กำลังจะรับเช็คใบนั้นเอาไว้
“หยุด ต้องถามให้รู้เรื่องก่อนสิ จู่ๆ คนสติดีคงไม่เอาเงินมาให้เราใช้มากมายแบบนี้” ราณีดุสามี
“ช่าย... แล้วก็มีแต่คนสติดีๆ ที่จะไม่โง่ปฏิเสธเงินก้อนโตนี่ รู้ใช่ไหมว่าเงินก้อนนี้เอาไปต่อทุนได้อีกเป็นปี” อันเดรกล่อมทั้งคู่ แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นสามีจะเชื่อในคำพูดของตนมากกว่าจึงหันไปสบสายตาและพยักหน้าเป็นเชิงให้รับเช็คเอาไว้
“เดี๋ยว พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า เอาเงินมากมายแบบนี้มาให้เรา ต้องการอะไร” ราณีถาม
อันเดรปั้นหน้าหน่ายใจ เพราะรู้ว่าสามีของราณียังไม่ได้ปริปากอะไรให้ได้รับรู้เลย จึงไม่รีรอที่จะบอกความต้องการออกไป “รับเงินก้อนนี้ไปแล้วห้ามแนซไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเชเชนอีก”
ราณีส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับจ้องมองไม่กะพริบตา จริงจังในทุกคำพูด “คงกลัวว่าลูกสาวฉันจะไปปอกลอกสินะ”
ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้นราวิกานั้นคบหาอยู่กับลูกชายเพียงคนเดียวของบริษัทผลิตอาวุธสงครามที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย อันที่จริงแล้วเธอเองก็อยากให้ทั้งคู่คบหากันไปนานๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ามันคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะทั้งนราวิกาและเชเชนนอฟก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น รักแรง เกลียดแรงกันทั้งคู่
“คำสั่งจากเบื้องบน ใครจะกล้าขัด” อันเดรตัดบทเอาดื้อๆ “แต่ถ้าอยากจะขัดใจท่าน ก็คงต้องให้ท่านลงมาจัดการด้วยตัวเอง รู้ใช่ไหมว่าตัวตนที่แท้จริงของท่านไม่ได้ใจดีเหมือนบุคลิกที่แสดงให้คนภายนอกเห็น”
“รู้แล้วๆ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง เอาเช็คมาก็พอ” กล่าวอ้างถึงเบื้องบน ดานิลก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความกลัวประกอบกับหิวเงินอยู่แล้ว ทำให้รีบดึงเช็คจากมือของชายหนุ่มมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว
“รับเงินแล้วต้องทำงานให้สำเร็จด้วย” อันเดรย้ำ
“อย่าห่วงเลย ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ รับรองว่าผมไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ลองดีกับท่านแน่ๆ” ดานิลรับคำอย่างหนักแน่นพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่ออันเดรยอมเดินออกไปจากห้องแต่สายตาเอาเรื่องของภรรยานั้นก็ทำให้เขาต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจโดยเร็ว “มานั่งก่อน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ไปรับเงินเขามาได้ยังไง แล้ววางแผนอะไร ทำไมไม่บอกฉัน” ราณีโวยวายไม่สนใจว่าใครจะได้ยิน
“เบาๆ สิ เงินนะ ไม่อยากได้หรือไง...”
อันเดรซึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องยังได้ยินเสียงของสองสามีภรรยาโต้เถียงกันไม่หยุด ทว่าสายตากลับปะทะเข้าที่ร่างของเชเชนนอฟซึ่งเดินจับมือมากับนราวิกาอยู่ถนนด้านหน้าของอพาร์ตเมนต์ ทำไมจะไม่เข้าใจความรู้สึกเวลารักใครหรือจริงจังกับผู้หญิงสักคน แล้วท่าทาง สายตาที่ทั้งคู่จ้องมองกันนั้น ยิ่งทำให้มั่นใจว่าหากไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น บางทีความรักครั้งนี้อาจจะไปไกลเกินกว่าที่หลายคนคิดนัก
อันเดรส่ายหน้าให้กับความจำเป็นที่เกิดขึ้น เขาเองก็ไม่ได้อยากหักหลังเพื่อน ไม่ได้อยากเป็นบ่อนทำลายความรักของทั้งคู่แต่จำเป็นต้องใช้เงิน!
“โทษทีนะเชเชน ฉันจำเป็นจริงๆ” คิดแล้วหมุนตัวกลับเดินไปใช้บันไดอีกด้านหนึ่งของอพาร์ตเมนต์ หากอีกใจก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า...
ถึงจะเจ็บ ผิดหวังจากความรักครั้งนี้แต่ด้วยคุณสมบัติที่เชเชนนอฟมีอยู่อย่างครบถ้วนก็คงจะหาผู้หญิงมาปลอบใจได้ไม่ยาก ตราบใดที่ยังไม่คิดจะจริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีกก็จะไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรคในเงามืดเช่นนี้
ถ้าจะผิดก็คงผิดที่เชเชนนอฟคือความหวังเดียวของคุสโตดิเยฟ ชีวิตทุกอย่างจึงต้องดำเนินไปตามแบบแผนที่พ่อแม่วางเอาไว้
ตลอดระยะทางจากเพนต์เฮาส์สุดหรู มาถึงอพาร์ตเมนต์โทรมๆ นี้ นราวิกาอยากจะถามแฟนหนุ่มเกี่ยวกับคำพูดของอันเดรที่เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำนัก แต่อีกใจก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องโจ๊กในหมู่หนุ่มๆ เหมือนกับที่เพื่อนชอบเล่าเรื่องร้ายๆ ของคนรักให้ฟัง
อีกทั้งคำสารภาพรักที่เขาพร่ำบอกตลอดทั้งคืนก็ยังกึกก้องในหัวใจและทำให้เธอมองทุกอย่างเป็นสีชมพู ทั้งหมดนั้นทำให้นราวิกาเลือกที่จะเงียบ ใช้วิธีสังเกตพฤติกรรมของเขาไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการโต้แย้งที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
ระหว่างที่เอ่ยคำล่ำลากับแฟนหนุ่มจนเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องเช่า ดานิลก็เกลี้ยกล่อมราณีให้ทำตามแผนด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องกลับเห็นแม่และดานิลเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าด้วยความเร่งรีบ
“แม่จะไปไหน เก็บเสื้อผ้าทำไมคะ” นราวิกาเดินเข้าไปใกล้และรู้ว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติเพราะแม่และดานิลเก็บเสื้อผ้าไปทั้งหมดที่มีอยู่ในตู้ “แม่คะ เกิดอะไรขึ้น”
“อยู่ไม่ได้แล้ว ดานิลกับแม่ติดหนี้พนันในบ่อน ไม่มีเงินจ่าย พวกมาเฟียคุมบ่อนกำลังตามล่าเรา” ราณีบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไม่ทันขาดคำประตูห้องก็เปิดออกด้วยแรงถีบของชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ทุกการก้าวเดินเข้ามานั้นคุกคามความรู้สึกอย่างยิ่ง
“จะหนีอย่างนั้นเหรอ” หนึ่งในชายสามคนที่บุกเข้ามาในห้องอย่างอุกอาจนั้น ตรงเข้ามากระชากร่างของดานิลไปต่อยเข้าที่ท้องสองครั้ง
เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังสลับกับเสียงร้องขอความเมตตาของราณี “พอแล้วๆ อย่าทำอะไรเราเลย ขอร้อง”
“ไม่สั่งสอนได้ยังไง ก็พวกแกคิดจะเบี้ยวหนี้”
“ไม่ๆ มะ...ไม่หนี” ราณียังปฏิเสธด้วยน้ำเสียงและท่าทางหวาดกลัว
“หลักฐานตำตา ยังจะโกหก” จบคำพูดก็ต่อยซ้ำที่เดิมอีกสองครั้ง
เสียงโอดครวญของดานิลนั้นทำให้นราวิกาไม่อาจอยู่เฉย จึงก้าวเข้ามาขวางหน้าผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางปกป้อง “พวกแกเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำร้ายคนอื่นแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ แล้วถ้ายังไม่ปล่อยเขา ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
“เจ้านายฉันคือกฎหมาย แล้วฉันก็คือผู้ถือกฎ สองคนนี้ติดหนี้เจ้านายฉันแล้วกำลังจะหนี ถ้าเธอไม่มีเงินมาใช้หนี้แทนก็ไสหัวไปไกลๆ” โต้กลับอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
“ติดหนี้ก็ทวงดีๆ สิ ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย”
“หยุดพล่ามเสียที” หนึ่งในสามคนตวาดเสียงดุแล้วสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ จนนราวิกาต้องถอยหลังกรูด “ฉันให้เวลาอีกสองชั่วโมง ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ฉันก็จะเอาแกสองคนไปขายซ่อง คนแม่ก็ขายถูกหน่อย ส่วนแกยังสาวก็น่าจะถอนทุนได้อยู่มั้ง”
จบคำพูดร่างของดานิลก็ทรุดกองอยู่กับพื้น ชายอีกคนหนึ่งจึงกล่าวสำทับขึ้น “ส่วนไอ้นี่ ตาย!”
เพียงเท่านั้นคนที่ขู่ว่าจะเอานราวิกาไปขายซ่องก็เดินออกไปจากห้อง หากมีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน “เราไม่เฝ้าพวกมันอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“หึ ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่พ้นหรอก หรือถ้ามันคิดจะหนีอีก รับรองว่าได้ตายหนีหนี้แทนแน่”
เมื่อชายทั้งสามคนเดินไปพ้นประตูห้อง ราณีก็รีบวิ่งไปปิดประตู ลงกลอนล็อกห้องอย่างรวดเร็ว นราวิกาจึงก้มลงประคองร่างของดานิลให้ลุกขึ้น
“ตกลงว่าแม่กับดานิลติดการพนันหนัก เป็นหนี้จนเขาต้องตามฆ่าเลยเหรอคะ” นราวิกาถาม ความจริงก็รู้ว่าดานิลชอบชวนแม่ไปเสี่ยงโชคอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะติดงอมแงมจนถึงขั้นนี้
“อย่ามาซักไซ้เอาตอนนี้ได้ไหม พวกมันให้เวลาแค่สองชั่วโมง ถ้าไม่มีเงินมาใช้หนี้ต้องตายแน่ๆ” ดานิลตวาดทั้งยังงอตัวด้วยความเจ็บจุก
คำถามนั้นทำให้นราวิกานิ่งงันไปครู่หนึ่งจึงไม่ได้เห็นว่าดานิลหันไปสบสายตากับผู้เป็นแม่
“แนซ” เสียงเรียกและการคว้าเข้าที่ต้นแขนนั้นทำให้นราวิกาหันไปสบสายตากับผู้เป็นแม่ “แกคบอยู่กับเศรษฐีไม่ใช่เหรอ ขอยืมเงินจากเขาก็ได้นี่”
“แม่ ทำไมพูดแบบนั้น เขาเป็นเศรษฐีแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา” นราวิกาแย้งทันควัน
“หรือแกจะปล่อยให้ดานิลตาย แล้วให้พวกมันจับฉันกับแกไปเป็นอีตัวข้างถนน” ราณีก็สวนกลับด้วยอารมณ์ที่ดุกร้าว “ขอยืมเงินเขามาช่วยชีวิตเรานะ ถ้าเขาไม่ให้ก็แปลว่าไม่ได้รักแกจริงน่ะสิ”
“หึ ก็ให้เขานอนด้วยแล้วนี่” ดานิลกล่าวเสริม
นราวิกาถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับคำกระทบกระเทียบของดานิลที่มีให้อยู่เสมอมา กระทั่งเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เธอยังต้องทำเป็นไม่สนใจกับคำดูแคลนนั้น “แต่หนูว่าเราน่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น อย่าง...”
“แจ้งตำรวจน่ะเหรอ” ดานิลพูดโพล่งขึ้นมาก่อนที่ลูกเลี้ยงจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ “พูดอย่างกับไม่รู้ว่านี่มันถิ่นใคร ตำรวจสักคนจะเข้ามาในพื้นที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว คิดอะไรโง่ๆ”
“ถ้าฉลาดนักก็หาทางแก้ปัญหาเองสิ” นราวิกาตอกกลับอย่างเหลืออด
ราณีจึงถลึงตาใส่ผู้เป็นสามีแล้วหันไปเกลี้ยกล่อมลูกสาวเสียเอง “ลองขอยืมเขาก่อนไม่ได้เหรอ เรามีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ แล้วค่อยหามาใช้คืนทีหลังก็ได้ ความจริงแม่ก็ไม่อยากจะให้แกต้องไปออกปากหยิบยืมเขาหรอก แต่แม่ก็กลัว ไม่อยากจะไปเร่ขายตัวให้ใครก็ไม่รู้”
ไม้ตายที่ราณีใช้นั้นทำให้นราวิกานิ่งงัน ยิ่งได้ยินจำนวนเงินที่ต้องหามาให้ได้ภายในสองชั่วโมงนี้แล้ว ยิ่งมองไม่เห็นหนทางอื่นเลย มีเพียงเชเชนนอฟคนเดียวที่จะช่วยเหลือเธอและครอบครัวให้พ้นจากวิกฤตนี้
เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง นราวิกาถึงได้เดินออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมมานั่งอยู่ในสนามกีฬาของชุมชนพอให้คลายความอึดอัดใจลงบ้าง หลังทำใจแล้วโทรศัพท์ไปขอหยิบยืมเงินจำนวนมากกับเชเชนนอฟและเขาก็โอนเงินเข้าบัญชีเดียวกันกับที่ตั้งใจให้เธอเอาไปเป็นค่าเทอม
เธอและผู้เป็นแม่ไปรออยู่หน้าธนาคาร เมื่อถึงเวลานัดหมายที่เชเชนนอฟจะโอนเงินเข้าบัญชี เงินจำนวนนั้นก็ถูกถอนออกไปจ่ายหนี้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้หนี้พนันให้กับชายกลุ่มนั้นไม่ได้สร้างความโล่งอกให้กับนราวิกาแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเพียงหนี้ก้อนแรกเท่านั้น ยังเหลือหนี้อีกก้อนหนึ่งที่จะถึงกำหนดชำระในอีกสองวันข้างหน้า
ปัญหาคือ... จะไปหาเงินจำนวนมากนั้นมาจากไหน?
‘ก็ขอแฟนแกมาอีกสิ จะไปยากอะไร’ คำพูดของดานิลที่โยนความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้ลูกเลี้ยงอย่างเธอ
‘ลองคุยกับแฟนแกดูอีกทีได้ไหม เราเดือดร้อนจริงๆ บอกไปสิว่าแม่ไม่สบายมาก เป็นโรคร้ายแรงอะไรก็ได้ ต้องใช้เงินมารักษา’ แม้ผู้เป็นแม่จะตะล่อมด้วยน้ำเสียงประนีประนอม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความกลุ้มใจของนราวิกาลดลงสักนิด
แน่ล่ะว่าเธอไม่กล้าที่จะเล่าให้เขาฟังตรงๆ ว่าแม่กับพ่อเลี้ยงเอาเงินไปใช้หนี้การพนัน นราวิกานั่งคิดอยู่เพียงลำพัง อากาศที่หนาวเหน็บยังดับความร้อนรุ่มใจที่เกิดขึ้นไม่ได้ หากปลายรองเท้าหนังสีน้ำตาลที่เดินมาหยุดในระยะสายตาก็ทำให้เธอต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนค้ำศีรษะ
“อันเดร...”
คาดิลแลคคันยาวยังจอดสนิทอยู่ที่หน้าเพนต์เฮาส์สุดหรู ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ของหนุ่มวัยยี่สิบปีซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติก็ก้าวเข้าไปในรถด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก
“มีธุระอะไรกับผม” เชเชนนอฟถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจและรถยนต์ก็เคลื่อนที่ออกไปโดยที่เขาไม่รู้จุดหมายเลยสักนิด ยิ่งคำถามไม่ได้รับการตอบสนองเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น
ความเงียบงันที่เกิดขึ้นภายในรถสร้างความอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ เสียงดุวางอำนาจก็ดังขึ้น “ใช้เงินซื้อความสุขน่ะ เป็นเรื่องที่ทำได้แล้วก็ไม่มีใครห้าม แต่มันต่างกันนะกับถูกผู้หญิงหลอกใช้เงิน”
คำเย้ยหยันนั้นทำให้เชเชนนอฟมองผู้เป็นพ่อด้วยความไม่พอใจ “ดูเหมือนว่ารายจ่ายของผม ไม่ได้เกี่ยวกับเงินในบัญชีของพ่อ”
“ก็รายจ่ายมันดูผิดปกติ”
แน่ล่ะว่าแม่เป็นคนเลี้ยงเขามา ความทรงจำในเรื่องดีๆ เกี่ยวกับพ่อนั้นแทบจะไม่หลงเหลือ มีเพียงแค่เสียงตวาดดุ การทะเลาะเบาะแว้งด้วยความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันจนบางครั้งคนที่เป็นลูกอย่างเขา ก็นึกไม่ออกว่าพ่อกับแม่เคยมีช่วงเวลาที่รักใคร่กันบ้างหรือไม่
คำตอบที่ได้คือ ไม่! และเขากับน้องสาวก็คงจะเกิดขึ้นเพราะเหตุผลอื่นใดไม่ได้นอกเสียจากหน้าที่
ทว่าไม่ทันได้ตอบโต้ว่าอย่างไร เชเชนนอฟก็ต้องมองตามมือของพ่อที่ชี้นิ้วออกไปยังหญิง-ชายคู่หนึ่งที่กอดกันกลมในสนามกีฬาของชุมชนอยู่อาศัยแห่งหนึ่ง
“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสินะ ญาติของแม่แกนี่มันช่างซื่อสัตย์จริงๆ” อิกอร์ ซียานอฟ บอกทั้งแสยะยิ้มเมื่อเห็นลูกชายจ้องมองภาพดังกล่าวไม่กะพริบตา
“ก็แค่กอดกัน” เสียงห้าวของเชเชนนอฟบางเบา
“ก็แล้วทำไมต้องกอด”
เงียบกริบเพราะดวงตาสีฟ้ากำลังจดจ้องภาพของอันเดรที่ขยับตัวนั่งลงข้างๆ นราวิกา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังนั่นคือการที่เธอวางศีรษะลงบนหัวไหล่ของอันเดรอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
“แบ่งของใช้กับเพื่อนนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกหน่อยแกคงต้องแบ่งเงินให้อันเดรใช้ด้วย” อิกอร์ถามและก็ก้าวนำลูกชายวัยรุ่นไปไกลนัก เมื่อแสร้งทำเป็นว่าลูกชายได้โอนเงินให้หล่อนแล้ว “หรือที่เงียบนี่เพราะโอนเงินให้หล่อนกับอันเดรไปถลุงใช้ในกาสิโนแล้ว”
เชเชนนอฟรู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความจริงกับภาพที่เห็น เขารู้ล่ะว่าน้ำเสียงของเธอที่ได้ยินในโทรศัพท์นั้นฟังดูแล้วมีเรื่องกลัดกลุ้มใจ แต่ก็ไม่อยากจะซักไซ้อะไรนัก ด้วยความไว้ใจและไม่อยากเห็นเธอต้องร้อนใจ ถึงเงินนั้นจะจำนวนไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเขา และรู้ดีว่าเมื่อเธอสบายใจขึ้นคงจะยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยตนเอง
อิกอร์ฉวยโอกาสที่ลูกชายตกอยู่ในภวังค์ความคิด ส่งสัญญาณให้คนขับรถเคลื่อนรถออกไปจากบริเวณดังกล่าว รู้ดีว่าวัยรุ่นนั้นอารมณ์ร้อน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นย่อมต้องรีบหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว ซึ่งอาจจะทำให้แผนการผิดพลาด แน่นอนว่าอิกอร์มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของลูกชายที่กำลังคุกรุ่น
“ฉันไม่ได้เป็นพ่อที่ประเสริฐหรอกนะเชเชน แต่จำใส่ใจไว้ว่าไม่ได้คิดร้ายกับแกเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างที่แม่แกพยายามฝังหัวให้มันก็ไม่ได้ดีเลิศไปหมด” อิกอร์บอกด้วยความสัตย์จริงแม้วิธีการจะผิดมหันต์ก็ตามที แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้เชเชนนอฟจะไม่มีทางเชื่อเลยว่าครอบครัวของอันเดร ไม่ได้ซื่อสัตย์ภักดีต่อไอจีโอ ซิสเทม อย่างที่ทุกคนเข้าใจ “แต่... ถ้าแกชอบหล่อนมาก ก็ปล่อยไป”
คำพูดนั้นจี้ใจดำจนอยากจะเข้าไปถามทั้งคู่ให้รู้ชัด แต่เมื่อมองรอบตัวแล้วรถยนต์ได้เคลื่อนที่ออกมาไกลโขจึงได้แต่นั่งนิ่งต่อไป
“แม่แกถือหุ้นเยอะกว่าฉันสินะ เศษเงินที่หล่อนมาปอกลอกไปให้อันเดร มันเลยเป็นเรื่องขี้ผง” อิกอร์ยั่วยุ
เงินนั่นเป็นเรื่องขี้ผงของเขาจริงๆ เพราะตอนนี้ในใจนั้นคิดหาเหตุผลให้กับภาพของนราวิกาที่สวมกอดและวางศีรษะลงบนหัวไหล่ของอันเดรอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
ทำไมอันเดรไม่เคยบอกตนว่ารู้จักสนิทสนมกับนราวิกาเลย?
ถ้าบอกเขาสักนิดว่ารู้จักกันมาก่อนไม่ว่าจะด้วยสถานะใด เขาก็สามารถทำความเข้าใจกับภาพที่เห็นได้มากกว่าตอนนี้
“เอาล่ะ ถ้าคิดว่าแค่ผู้หญิงคนเดียว ไม่ได้จริงจังกับหล่อนนักก็ถือซะว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” อิกอร์สรุปสั้นๆ เมื่อรถเคลื่อนตัวมาจอดสนิทหน้าเพนต์เฮาส์ของลูกชาย “บางทีแค่อยากนอนกับผู้หญิงที่ถูกใจสักคนก็ต้องทำเป็นตาบอดบ้าง ลองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปเรื่อยๆ เอาเงินฟาดหัวหล่อนไปก็จะรู้ว่าการระบายอารมณ์กับของที่ซื้อมาก็สะใจไปอีกแบบ”
“เก็บคำที่พ่อใช้ปั่นหัวผมเล่นไว้เถอะ แล้วคอยดูต่อไปก็แล้วกัน” เชเชนนอฟบอกพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเปิดประตู แต่เสียงของผู้เป็นพ่อก็ทำให้ท่อนขายาวต้องหยุดชะงัก
“แล้วฉันจะคอยดู คอยดูแกใช้วิธีการอย่างคนฉลาดจัดการกับอันเดรและแม่นั่น หวังว่าคงไม่เห็นข่าวว่าคนฉลาดจะปรี่เข้าไปต่อยกับอันเดรเพื่อจัดการปัญหาเหมือนคนไร้วุฒิภาวะหรอกนะ” นี่ต่างหากล่ะคือคำพูดที่จะค้ำคอให้เชเชนนอฟเดินตามหมากที่ตนวางเอาไว้
ยิ้มเย็นของอิกอร์นั้นเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับเสียงปิดประตูรถ “อีกสองปีข้างหน้าถ้าคนสนิทข้างกายแกไม่ใช่อันเดร นั่นก็ถือว่าสิ่งที่ฉันทำไปไม่เสียเปล่า”
อันเดรและนราวิกาก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในกระดานที่ถูกวางเอาไว้ จะใช้ให้เดินไปจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามต่อหรือให้อยู่นิ่งๆ ราวกับว่าไร้ประโยชน์นั่นก็ขึ้นอยู่กับตนเพียงผู้เดียว ลูกผู้ชายต้องซึมซับเอาความคิดของพ่อเอาไว้ ไม่ใช่ทั้งชีวิตอยู่กับแม่ รับเอาแต่ความรู้สึกนึกคิดแบบผู้หญิงที่ต้องอาศัยพวกพ้องญาติพี่น้องคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ตลอดเวลา
ในขณะที่เชเชนนอฟนั่งจมอยู่กับความคิดอันสับสนของตนนั้น เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอื้อมมือไปยกเอากระบอกโทรศัพท์ขึ้นแนบกับหู
“เชเชน...”
เสียงหวานเรียกอย่างออดอ้อนทำให้เขาต้องหลับตาลงอย่างหงุดหงิดใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังข่มใจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนให้โอกาสเธออีกครั้ง “ว่าไง”
“วันนี้คุณอยู่ที่เพนต์เฮาส์ทั้งวันใช่ไหม ฉันมี... เรื่องจะคุยกับคุณ” นราวิกาเกริ่นเพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเล่าความจำเป็นที่ต้องใช้เงินให้เขาได้รู้
“เรื่องอะไร พูดมาตอนนี้ก็ได้ ฉันฟังอยู่”
นราวิกาไม่ได้ฉุกใจคิดกับน้ำเสียงห้วนจัดนั้น เพราะความกังวลใจไปอยู่ที่เหตุผลซึ่งเธอทำใจลำบากเหลือเกินที่จะขอหยิบยืมเงินทองเขาอีกครั้งในช่วงเวลาติดๆ กันเช่นนี้
“คะ...คือ ฉัน...” จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไป
“จะยืมเงินอีก” เชเชนนอฟต่อให้ในทันที
นราวิกาอึ้งไปชั่วครู่แต่ประตูห้องที่ถูกแม่และดานิลเปิดเข้ามานั้นก็ทำให้เธอคุยได้ไม่สะดวกนัก จึงรีบตัดบทเพราะอยากจะอธิบายให้เขาได้ฟังต่อหน้าเสียมากกว่า “อีกสักชั่วโมงจะไปหานะคะ แค่นี้ก่อน”
“เดี๋ยวสิ บอกฉันมาว่าเธอต้องการเงินอีกเท่าไหร่” เชเชนนอฟรู้สึกเจ็บร้าวในอกแต่ก็ต้องข่มใจ ถามออกไป “ฉันจะได้เตรียมไว้ให้”
เชเชนนอฟได้ยินเสียงหวานบอกจำนวนเงินที่มากกว่าเดิมแล้วเธอก็วางสายไปได้สักครู่หนึ่ง ซึ่งเขาได้แต่นั่งนิ่งแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาให้กับความโง่งมของตัวเอง นี่ใช่ไหมคือมารยาหญิงที่ใช้ปอกลอกผู้ชายสักคน ที่น่าเจ็บใจคือเพื่อนที่คิดว่าไว้ใจได้มากที่สุดและผู้หญิงที่เพิ่งสารภาพว่ารักเธอร่วมมือกันหักหลังตน
วอดก้าพรีเมียมแบรนด์ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกรินใส่แก้วช็อต แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันใจชายหนุ่มผู้เยือกเย็นแต่ในใจร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุม เขายกขวดวอดก้าขึ้นดื่ม หวังลึกๆ ในใจว่าความมึนเมาจะทำให้ลืมอาการเจ็บร้าวของหัวใจลงได้บ้าง
ถ้าความรักทำให้คนตาบอด ความโกรธก็คงบั่นทอนสติ ทว่าตอนนี้สติของเชเชนนอฟที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธนั้นยังถูกลดทอนให้น้อยลงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดจากวอดก้าที่พร่องไปกว่าครึ่งขวดแล้ว
เสียงซูดปากครางที่ดังลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่นั้น ทำให้นราวิกาชะงักการก้าวเดินไปชั่วครู่แต่เสียงพร่าจัดอันคุ้นหูนั้นก็ผลักดันให้เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนที่เปิดแง้มเอาไว้
“ช่าย... ทำดีๆ เดี๋ยวจะแจกเงิน ผู้หญิงนี่หิวเงินกันทุกคน”
“เชเชน... คุณทำอะไร” นราวิกาแทบสิ้นสติกับภาพที่เห็นบนเตียงกว้าง ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอยู่กลางหว่างขาของเขา แน่นอนว่าทั้งคู่จ้องมองยังเธอแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด!
เชเชนนอฟหัวเราะร่วนชี้นิ้วไปยังร่างของนราวิกาที่ยืนจังงังอยู่ตรงประตูห้องนอน “นี่งาย... มาแล้ว ผู้หญิงหิวเงินอีกคน เล่นตัวจนตุ๋นฉันซะเปื่อย สุดท้ายก็หิวเงินเหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ งั้นฉันต้องเล่นตัวให้หนักสินะ ถึงจะได้เงินจากคุณเยอะๆ” คู่ขาที่ถูกเรียกใช้บริการอย่างเร่งด่วนละฝ่ามือจากตัวตนอันอลังการซึ่งสวมครอบเครื่องป้องกันไว้อย่างเรียบร้อย “แต่ที่จะเล่นคือเล่นตัวคุณให้ร้องครางไม่หยุดนะคะ รูปหล่อ”
แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้นนราวิกาก็ปรี่เข้าไปผลักหน้าอกเธอจนล้มหงายหลังไม่เป็นท่า แล้วกำปั้นน้อยๆ ก็ระดมทุบเข้าที่ร่างแกร่งซึ่งเปลือยเปล่านอนเอนตัวพิงหัวเตียง เล็บคมๆ จิกข่วนอย่างสุดกำลัง
“คนน่ารังเกียจ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณนอนกับหล่อนแต่บอกว่ารักฉัน จะมีฉันคนเดียว ฮือ... เชเชน ไอ้คนบ้า” นราวิกาลืมเรื่องเงินที่จะมาพูดกับเขาไปในทันที ตอนนี้ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
อันเดรซึ่งตามมาเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อที่จะไปรายงานผลต่ออิกอร์ เดินเข้ามารับร่างของนราวิกาเอาไว้ทันเมื่อเชเชนนอฟปัดป้องและผลักเธอออกไม่ให้ทำร้ายร่างกายตนเองได้อีก
“อ่อ... มาด้วยกันสินะ” เชเชนนอฟทรงตัวขึ้นอย่างไม่มั่นคงนัก แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นเย้ยหยันจนนราวิการ้องไห้ไม่หยุด “มาสิ จะร่วมวงด้วยกันไหม ทรีซัมยังไม่เคยลอง ข้ามขั้นเป็นโฟร์ซัมเลยก็คงดี”
“กรี๊ด... คุณมันเลว เชเชนนอฟ” นราวิกาอดรนทนไม่ได้ปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายของเขาอีกครั้ง
เพียะ!... เพียะ!...
ใบหน้าคร้ามคมหันตามแรงฝ่ามือบาง เหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่านราวิกาจะกล้าตบหน้าลูกชายคนเดียวของบริษัทผลิตอาวุธสงคราม ดวงตาสีฟ้าจัดนั้นดูเกรี้ยวกราดไม่ต่างจากท้องฟ้าที่ส่อเค้าว่าจะเกิดพายุอารมณ์ลูกใหญ่
“เธอจะโกรธทำไมแนซ ฉันจ่ายค่าตัวหล่อนไปแล้วก็ต้องนอนกับหล่อนสิ เหมือนตอนที่ทำกับเธอไง” เชเชนนอฟโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ความเจ็บที่แก้มยังไม่เท่าเจ็บใจที่ได้เห็นฝ่ามือของอันเดรเกาะกุมร่างกายของเธอ
ความร้ายกาจที่เขาส่งผ่านมานั้นมีมากเท่าไหร่ นราวิกาก็รับรู้ได้มากเท่านั้น หากอารมณ์ชั่ววูบทำให้เธอตัดสินใจหันกลับไปรั้งใบหน้าของอันเดรเข้ามาใกล้แล้วบดจูบลงไปด้วยอารมณ์โกรธระคนประชดประชัน
เชเชนนอฟอาจจะทำร้ายเธอด้วยคำพูดร้ายกาจแต่เธอก็โต้กลับเขา หยามหน้า หยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างเจ็บแสบนัก ไม่ต้องรอให้ทั้งคู่ผละออกจากกัน เขาก็ไม่อาจทนเห็นภาพบาดตานั้นได้ ฝ่ามือหนาจึงผลักไปที่หน้าอกของอันเดรแล้วซัดหมัดเข้าปลายคางจนร่างของอันเดรซวนเซไปกระแทกกับผนังห้อง
“เอาชู้มาหยามฉันถึงที่ ฉันจะฆ่ามันให้ตายคามือวันนี้เลย” เชเชนนอฟบอกและดึงร่างของอันเดรขึ้นมารับอีกหมัด
“หยุดนะเชเชน คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย” นราวิกาพยายามเข้าไปห้าม ส่วนอันเดรก็พยายามต่อยกลับเพื่อป้องกันตัวเอง
ทว่าคนที่ทั้งโกรธและโมโหจนขาดสติ เสียงห้ามปรามใดๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้ ยิ่งอันเดรสู้ เชเชนนอฟก็ยิ่งสวนหมัดโต้แรงขึ้น ทางเดียวที่อันเดรจะรอดคือต้องพาตัวเองออกจากเพนต์เฮาส์นี้ให้เร็วที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันเดรจึงฉวยโอกาสที่ตนล้มลงแล้วคลานบนพื้นออกไปยังประตูด้านหน้า เขารีบสะบัดหน้าขับไล่ความมึนงง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นราวิกาก้าวมาดักหน้าเชเชนนอฟเอาไว้พอดิบพอดี
“ทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง” นราวิกายังใช้คำถามโง่ๆ กับคนที่บอกว่ารักตนแต่การกระทำกลับสวนทาง “คุณเรียกหล่อนมาทั้งที่รู้ว่าฉันจะมาหา คุณเคยแคร์ฉันบ้างไหมเชเชน คุณรักฉันเหมือนที่พูดออกมาบ้างรึเปล่า”
ถ้าตอนนี้จะมีนักแสดงนำฝ่ายหญิงที่ควรต้องได้รางวัลออสการ์ เขาก็เห็นว่าจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากผู้หญิงแพศยาที่ยืนตะโกนใส่หน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
“แล้วเธอล่ะ ที่แคร์ฉัน ที่นอนกับฉันเพราะอยากได้เงินของฉันใช่ไหม” ถามพร้อมชี้นิ้วไปยังเช็คเงินสดที่วางอยู่บนโต๊ะ “แต่คราวนี้คงต้องโชว์ลีลาให้ฉันเห็นก่อน ใครถึงใจฉันมากกว่าก็เอาเช็คไปได้เลย”
“เชเชน” นราวิกาตวาดออกมาอย่างเหลืออด ฝ่ามือที่เงื้อขึ้นหมายจะทำร้ายร่างกายเขาอีกนั้นถูกคว้าเอาไว้และกำจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
เชเชนนอฟบีบข้อมือเล็กแน่นแล้วสะบัดออกอย่างรังเกียจ “จะตบฉันเหรอ ไม่มีวันอีกแล้ว”
“เชเชน... คุณ” พูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ กับสายตาที่ไร้ซึ่งความเสน่หา ทว่าคำบอกรักที่เขาเคยพูดซ้ำไปซ้ำมายังก้องอยู่ในหู เธออาจจะดูโง่งมหากทวงถามคำรักแต่เวลานี้นราวิกาก็ยอมเป็นผู้หญิงโง่ๆ “ก็คุณเคยบอกว่ารักฉัน”
“ตอนนี้เบื่อ ไม่ได้เหรอ”
เย็นชา ไร้ความรักโดยสิ้นเชิง มีเพียงความเฉยเมยจนทำให้คนมองไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทรงตัว น้ำตายังไหลรินออกมาราวเขื่อนทำนบพัง หากเสียงห้าวที่ตะโกนใส่หน้าเธอหลังจากที่ทั้งห้องมีความเงียบงันเข้าครอบคลุมก็ทำให้นราวิกาต้องกัดฟัน ก้าวออกมาจากเพนต์เฮาส์ด้วยหัวใจแหลกสลาย
“ไม่ได้เบื่อธรรมดานะ แต่เกลียด ไม่อยากเห็นหน้า ได้ยินไหมนราวิกา ฉันเกลียดเธอ”
ความสัมพันธ์ตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่เธอก้าวพ้นประตูเสียงปิดอย่างกระแทกกระทั้นตามแรงโทสะก็ดังขึ้นจนน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย เขาทำราวกับประกาศให้เข้าใจว่าขับไล่เธอไปไกลๆ ให้สาสมกับความเบื่อหน่าย เกลียดชังที่มีต่อเธอ
ค่ำวันเดียวกันนั้นอิกอร์ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อได้รับรายงานจากคนของตนที่เฝ้าสังเกตการณ์ว่าทุกอย่างสำเร็จลุล่วงอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแอลเมเรียย่อมมีแผนการอันแยบยลที่จะใช้ใครสักคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันเดรนั้นไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าในเวลาที่ตนทำตามแผนการของอิกอร์นั้น ยังมีแผนซ้อนให้เดินเข้าไปติดกับดักอีกขั้นหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปรายงานให้อิกอร์ได้รับรู้ก็ได้รับค่าจ้างจำนวนมากโข และเข้าใจว่าที่เชเชนนอฟตัดตนออกจากวงโคจรนั้นเป็นเพราะเรื่องที่นราวิกาจูบประชด
การบาดหมางกับเชเชนนอฟนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย เขาถูกพ่อแม่ตำหนิจนแทบจะตัดขาดออกจากครอบครัวเพราะนั่นหมายความว่าตำแหน่งคนสนิทที่คาดหวังมาตลอดนั้นได้หลุดลอยไปแล้ว ชีวิตของอันเดรยุ่งเหยิง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สามารถบอกใครได้ว่ารับเงินมาจากอิกอร์และเชเชนนอฟก็เข้าใจผิดเพราะตนไม่เคยคิดเกินเลยกับนราวิกาเลยสักครั้ง
...แต่เรื่องน่าเหลือเชื่อและทำให้อันเดรเริ่มลังเลใจว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้น เป็นแค่การกำจัดผู้หญิงคนหนึ่งออกจากชีวิตของเจ้านายในอนาคต หรือทำให้ชีวิตของนราวิกาซวนเซ
ในวันที่ถูกต่อยจนแทบคลานออกมาจากเพนต์เฮาส์นั้น เขาต้องนั่งอยู่ริมฟุตปาธเพราะในหัวยังอื้ออึง มึนงงกับหมัดที่ระรัวใส่ไม่ยั้ง ไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน เสียงเรียกของนราวิกาทำให้เขาเริ่มได้สติกลับคืนมา เธอพร่ำขอโทษทั้งน้ำตาและยังมีน้ำใจพยุงไปนั่งหน้าร้านสะดวกซื้อแล้วยังเป็นธุระหายามาทำแผลให้อยู่นาน
หลายวันต่อมาเมื่อถูกกดดันจากทางบ้าน เพื่อนในกลุ่มต่างใช้สายตามองอย่างน่ารังเกียจนั่นทำให้อัดอึดใจ เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมายและไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เดินไปถึงสนามกีฬาซึ่งได้เห็นว่ามีร่างบอบบางของนราวิกานั่งอยู่ที่เดิม คนอกหักกับคนกลุ้มใจมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างย่อมต้องมีเรื่องอัดอั้นตันใจที่ระบายออกมามากมายนัก
อันเดรไม่เคยคิดมาก่อนว่าการพูดคุยกับนราวิกาจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เรื่องราวในชีวิตของเธอก็น่าเห็นใจ มีปูมหลังที่ไม่น่าพิสมัยนักแต่เธอยังคิดบวก รู้จักสร้างกำลังใจดีๆ ให้ตนเอง สิ่งเหล่านั้นที่สัมผัสได้ทำให้รู้ว่านราวิกาเป็นคนที่น่าคบหา ไม่ใช่ในฐานะคนรักแต่เป็นเพื่อนที่คอยพูดคุยให้กำลังใจ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นมิตรภาพที่อันเดรอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แน่นอนว่าอิทธิพลของอิกอร์ทำให้เขาต้องซ่อนความชั่วร้ายของตัวเองเอาไว้
เมื่อนราวิกาหยิบยื่นความจริงใจให้มากเท่าไร เขายิ่งละอายแก่ใจมากเท่านั้น!
อกหักครั้งแรกในชีวิตนั้นไม่ได้ทำให้ขาดใจตายหรือคิดสั้นอยากจบชีวิตของตัวเองลง แต่อกหักครั้งแรกทำให้เธอหัวใจแหลกสลายและเจ็บเจียนตาย รวดร้าวหัวใจมากขึ้นเมื่อได้เห็น ได้ยินว่าเชเชนนอฟใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง คั่วผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ไม่มีวี่แววว่าจะเสียใจกับการเลิกราครั้งนี้เลย
เมื่อร้องไห้จนปวดร้าวกระบอกตานั่นทำให้นราวิกาต้องสั่งตัวเองให้หยุด ปิดหูกับข่าวสารของคนเคยรัก ปิดตาจากภาพบาดใจของผู้ชายใจร้ายที่รักเขาอยู่เต็มหัวใจ แล้วหันมาทำงานหนักเพื่อให้ลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าลืมได้จริงๆ หรือเจ็บจนชินชา แต่นราวิกาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้มแข็งขึ้นเมื่อมุ่งมั่นที่จะเป็นบาริสต้า แล้วเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ตกแต่งให้ดูอบอุ่นคงเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เธอต้องทำให้สำเร็จ
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่รู้ว่าเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเกินไปหรือมุ่งมั่นที่จะเก็บเงินให้ได้สักก้อน หญิงสาวรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวจนวันหนึ่งไม่อาจทานทนกับอาการวิงเวียนศีรษะได้ จึงเข้าไปตรวจร่างกายในโรงพยาบาล
ยี่สิบนาทีหลังจากคุณหมอแจ้งผลการตรวจร่างกายให้ทราบแล้ว นราวิกาไม่อาจจะทรงตัวยืนด้วยสองขาอันสั่นไหวได้อีกต่อไป เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกายและไม่รู้ว่าจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับใคร นอกเสียจากอันเดรซึ่งกลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในเวลานี้
เสียงหวานสั่นเครือเมื่อเอื้อนเอ่ยลงไปในกระบอกโทรศัพท์ “อันเดร... ฉันท้อง!”
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2560, 21:56:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2560, 21:56:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 863
ตอนที่ 1 100% >> |