โซ่รักไฟปรารถนา
“เป็นเพียงแค่เงา... ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไร้ตัวตน แต่มันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องรู้ซึ้งกับความทรมานที่เสียดแทงหัวใจผมอยู่ทุกวินาที”
บ่อยครั้งที่ ‘เชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ’ ส่ายหน้าและทอดถอนใจให้กับความ(ร้าย)เดียงสาของเด็กแก่แดดวัยเจ็ดขวบ
ซึ่งมักจ้องมองตนด้วยสายตาชื่นชม คำพูดฉอเลาะที่ได้ยินทำให้เขานึกอยากจับมาพาดตักแล้วหวดก้นสั่งสอนแทนผู้เป็นพ่อแม่นัก
‘เขาคือพ่อของลูก’ เป็นความความลับที่ ‘นราวิกา’ เคยคิดว่าจะฝังกลบมันลงในก้นบึ้งของหัวใจ กลับต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยคำขู่บังคับอันหนักหน่วงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เมื่อเธอปล้นความเป็นพ่อจากเขาไปถึงเจ็ดปี เขาก็จะช่วงชิงตัวลูกสาวให้หนีหายไปอีกเจ็ดปีเช่นกัน
เธอทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ในมุมมืด ซ่อนเร้นความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายให้รอดพ้นจากสายตาคนทั้งโลกไม่ต่างจากพวกมีปัญหาทางจิต
น้ำตาและความชอกช้ำใจของเธอจึงเป็น ‘หนทางบำบัดความทรมาน’ ที่คาดว่าจะทำให้บาดแผลในหัวใจของเขานั้นตื้นเขินขึ้น
ทว่าสถานภาพใหม่กลับผลักดันให้เขาอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนของของครอบครัวเล็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแม่ของลูกยังทำให้เขาต้องยิ้มตามอย่างมีความสุข
ทุกอย่างจึงดูสับสนและสวนทางกับความผิดพลาดในอดีตที่เต็มไปด้วยคำโป้ปดมดเท็จ
หนทางที่จะใช้น้ำตาและความเจ็บปวดเอาชนะเธอจึงดูริบหรี่จนแทบไม่เห็นแสงสว่าง
ทว่า ‘ไฟปรารถนาที่ยังคุโชน’ ในสายตาของเธอนั้น กลับทำให้เชเชนนอฟมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวที่อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนพ่อของลูกก็จะให้เธอ ‘อุ้มท้องไปจนกว่าเขาจะพอใจ’ คือเหตุผลที่นราวิกากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซ้ำร้ายเขาคิดจะใช้เหตุผลนี้ทรมานเธอให้สาสม!
บ่อยครั้งที่ ‘เชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ’ ส่ายหน้าและทอดถอนใจให้กับความ(ร้าย)เดียงสาของเด็กแก่แดดวัยเจ็ดขวบ
ซึ่งมักจ้องมองตนด้วยสายตาชื่นชม คำพูดฉอเลาะที่ได้ยินทำให้เขานึกอยากจับมาพาดตักแล้วหวดก้นสั่งสอนแทนผู้เป็นพ่อแม่นัก
‘เขาคือพ่อของลูก’ เป็นความความลับที่ ‘นราวิกา’ เคยคิดว่าจะฝังกลบมันลงในก้นบึ้งของหัวใจ กลับต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยคำขู่บังคับอันหนักหน่วงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เมื่อเธอปล้นความเป็นพ่อจากเขาไปถึงเจ็ดปี เขาก็จะช่วงชิงตัวลูกสาวให้หนีหายไปอีกเจ็ดปีเช่นกัน
เธอทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ในมุมมืด ซ่อนเร้นความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายให้รอดพ้นจากสายตาคนทั้งโลกไม่ต่างจากพวกมีปัญหาทางจิต
น้ำตาและความชอกช้ำใจของเธอจึงเป็น ‘หนทางบำบัดความทรมาน’ ที่คาดว่าจะทำให้บาดแผลในหัวใจของเขานั้นตื้นเขินขึ้น
ทว่าสถานภาพใหม่กลับผลักดันให้เขาอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนของของครอบครัวเล็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแม่ของลูกยังทำให้เขาต้องยิ้มตามอย่างมีความสุข
ทุกอย่างจึงดูสับสนและสวนทางกับความผิดพลาดในอดีตที่เต็มไปด้วยคำโป้ปดมดเท็จ
หนทางที่จะใช้น้ำตาและความเจ็บปวดเอาชนะเธอจึงดูริบหรี่จนแทบไม่เห็นแสงสว่าง
ทว่า ‘ไฟปรารถนาที่ยังคุโชน’ ในสายตาของเธอนั้น กลับทำให้เชเชนนอฟมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวที่อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนพ่อของลูกก็จะให้เธอ ‘อุ้มท้องไปจนกว่าเขาจะพอใจ’ คือเหตุผลที่นราวิกากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซ้ำร้ายเขาคิดจะใช้เหตุผลนี้ทรมานเธอให้สาสม!
Tags: เชเชน พ่อค้าอาวุธสงคราม พีด้า เด็กอายุ7ขวบ น่ารัก ฟินว่อร์
ตอน: ตอนที่ 1 100%
ตุลาคม ค.ศ. 2016
ประเทศแอลเมเรีย1
การสาธิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของไอจีโอ ซิสเทม บริษัทผลิตอาวุธสงครามซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอับดับหนึ่งในห้าของโลกจบลงอย่างยอดเยี่ยมเต็มประสิทธิภาพเช่นทุกครั้ง ทว่าการมาประเทศแอลเมเรียครั้งนี้ซีอีโอหนุ่มแห่งไอจีโอ ซิสเทม กลับให้ความสนใจอยู่ที่รัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรียซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นน้องเขยของตน
ไม่หรอก!
เชเชนนอฟไม่ได้เชื่อคำโอ้อวดของตาทาเนีย น้องสาวที่คลานตามกันออกมาเลยสักนิด ดูเหมือนว่าอาการความจำเสื่อมของรัฐมนตรีหนุ่มนั้นจะเป็นเรื่องลวงโลก อีกทั้งเมื่อครู่นี้สาวเอเชียหน้าตาสะสวยที่เพิ่งมาขอความช่วยเหลือจากตนก็บ่งบอกให้รู้แน่ชัดแล้วว่า...
รัฐมนตรีหนุ่มมีเจ้าของหัวใจที่แท้จริงแล้ว ถ้าเทียบความสะสวย หน้าตา รูปร่างของสาวเอเชียคนเมื่อครู่กับตาทาเนียแล้วก็สวยกันไปคนละแบบตามแต่ละชาติพันธุ์ ส่วนใครจะเลือกแบบไหนมันก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล
ทว่าสาวเอเชียรูปร่างอ้อนแอ้น ผิวพรรณผุดผ่องคนเมื่อครู่นั้นกระตุกหัวใจซีอีโอหนุ่มยิ่งนัก รูปร่างหน้าตาของเธอดูใกล้เคียงกับผู้หญิงหิวเงินคนหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต อดีตที่ไม่น่าพิสมัยซึ่งเขาลืมเลือนมันไปแล้ว
“ท่านครับ ดูเหมือนว่าแอลเมเรียจะไม่มีร้านกาแฟประจำที่ท่านชอบ” ปาเวล ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับรถรายงานเจ้านายที่นั่งนิ่งอยู่เบาะหลัง บอดีการ์ดหนุ่มหันไปสบสายตากับมิเตีย ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ไม่บ่อยนักที่ซีอีโอแห่งไอจีโอ ซิสเทม จะใจลอยจนไม่ได้ยินคำพูดประโยคยาวๆ เช่นนี้ เมื่อปล่อยเวลาให้ผ่านไปชั่วครู่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองว่าอย่างไร ปาเวลจึงต้องแสร้งกระแอมแล้วแจ้งให้เจ้านายทราบอีกครั้ง
“เอ่อ... ท่านครับ” ปาเวลตั้งใจจะถามซ้ำอีกครั้ง แต่เสียงห้าวที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องเงียบกริบในทันที
“ก็เอาที่มีสิ หรือถ้าหาร้านคอฟฟี่ช็อปทั้งแอลเมเรียนี่ไม่ได้ ก็ลงไป ฉันจะขับเอง”
ไม่ได้ตวาด ตะคอก แต่ดุกร้าว ทรงพลัง แสดงให้คนสนิททั้งสองได้รู้ว่าอารมณ์ของเจ้านายนั้นกำลังคุกรุ่น ซึ่งปาเวลและมิเตียนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเจ้านายหงุดหงิดใจด้วยเรื่องใด เมื่อไม่มีเรื่องใดผิดเป้าหมายที่พ่อค้าอาวุธสงครามวางแผนเอาไว้สักนิด
ไม่นานนักมิเตียก็จอดรถยนต์คันหรูอยู่ข้างถนน เมื่อเห็นคอฟฟี่ช็อปเป็นร้านแรกซึ่งตั้งอยู่ในเขตธุรกิจของเมืองหลวงในประเทศเล็กๆ นี้
ปาเวลจึงก้าวลงจากรถแล้วเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรู้หน้าที่ โดยมีสายตาคู่คมของเชเชนนอฟมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก ความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เขายังควบคุมมันได้มักเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้ดื่มกาแฟตามเวลาที่ร่างกายเคยได้รับ จากแรกที่ดื่มวันละแก้วแต่งานยิ่งหนัก ความรับผิดชอบมากขึ้น ร่างกายเขาก็เหมือนต้องการคาเฟอีนในกาแฟมากขึ้น
ไม่นานนักปาเวลก็เดินออกมาจากคอฟฟี่ช็อปพร้อมกับเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเชเชนนอฟเข้าใจได้ในทันทีว่า... เด็กหญิงคนนี้เดินออกมาส่งกาแฟที่มีอยู่สามแก้ว เกินกว่าที่ปาเวลจะถือมาคนเดียว คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมต้องให้เด็กเดินข้ามถนนมาส่งด้วย ใส่ถุงแล้วถือมาอย่างที่เคยทำก็ได้
คำถามนั้นถูกลบเลือนไปด้วยรอยยิ้มของเด็กหญิงซึ่งเดินใกล้เข้ามาให้เชเชนนอฟได้มองเห็นใบหน้าอย่างชัดเจนขึ้น
ผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังถูกแบ่งออกเป็นสองข้าง มัดแกละอย่างน่ารัก ใบหน้ารูปหัวใจ คางแหลมๆ รับกับริมฝีปากสีสดฉ่ำราวกับลูกเชอร์รี่กำลังขยับขึ้นลง พูดบางอย่างกับคนสนิทของตนนั้นช่างน่ารัก น่าเอ็นดูนัก
“หนูโตแล้ว รู้จักระวังรถตอนข้ามถนน คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
แม้จะอยู่ในระยะที่ไม่ได้ยินเสียงพูดนั้นแต่เชเชนนอฟก็สามารถอ่านริมฝีปากของเด็กหญิงได้เป็นอย่างดี ทว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มยิ่งทำให้เขานิ่งงัน สีฟ้าเฉดเดียวกันกับนัยน์ตาของตนทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองกระจกเงา
ในขณะที่เชเชนนอฟจ้องเด็กหญิงนิ่ง มิเตียก็ลดกระจกลงแล้วเอื้อมมือออกไปรับแก้วกาแฟจากคู่หู เพราะรู้ดีว่าปาเวลต้องเป็นคนเสิร์ฟกาแฟให้เจ้านายอยู่แล้ว แต่ไม่ทันที่ปาเวลจะทำเช่นนั้น ลูกสาวเจ้าของคอฟฟี่ช็อปก็ยื่นแก้วกาแฟให้กับเจ้านายเสียเอง
เด็กหญิงยิ้มสดใส เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ยื่นมือออกมารับแก้วกาแฟ ท่าทางที่เด็กหญิงห่อปาก ทำตาโตราวกับว่าเพิ่งเห็นเจ้าชายนั้นเรียกรอยยิ้มจากเชเชนนอฟได้เป็นอย่างดี
“ว้าว... คุณหล่อจังค่ะ”
โชคยังดีที่เชเชนนอฟเพิ่งจะยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้สำลักมันออกมาเมื่อได้ยินคำชมของเด็กร้ายเดียงสา
“เธอก็สวยหนูน้อย ตาโตมากแล้วก็น่ารักมากๆ รู้ตัวไหม” เชเชนนอฟชมกลับด้วยความสัตย์จริง
“รู้ค่ะ ใครๆ ก็ชอบชมหนูแบบนี้” ตอบตามความจริง ไม่ได้มีความเขินอาย ออกจะดูมั่นใจจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ “คุณไม่ใช่ลูกค้าประจำของร้านเรานี่คะ”
อีกครั้งที่เชเชนนอฟยังไม่ได้ลิ้มรสกาแฟร้อนฉ่า หอมกรุ่น เพราะเสียงเจื้อยแจ้วนั้นชวนคุย “ไม่น่าจะใช่นะ ฉันเกือบจะได้ชิมกาแฟของร้านเธออยู่แล้วแม่หนูน้อย แต่ติดที่คุยกับเธอเพลินไปหน่อย”
แม่หนูน้อยถอนหายใจใหญ่ซึ่งท่าทางที่แสดงออกมานั้น ไม่ได้ทำให้คู่สนทนาเข้าใจความรู้สึกแท้จริงนัก “คุณต้องชอบค่ะ หนูมั่นใจ เพราะบาริสต้าของร้านเราได้รางวัลมาเยอะเลย”
เชเชนนอฟโคลงศีรษะรับกับคำโอ้อวดนั้น “อย่างงั้นเชียว”
“ค่ะ” ตอบรับโดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว
“เอาล่ะ คราวนี้ฉันขอชิมกาแฟของร้านเธอบ้าง เดี๋ยวจะให้ปาเวลเดินไปส่งนะ”
“หนูโตแล้ว ข้ามถนนเองได้”
คำตอบนั้นทำให้เชเชนนอฟต้องลดแก้วกาแฟลงจากริมฝีปากเป็นครั้งที่สาม “ให้ปาเวลไปส่งเถอะคนสวย”
กลายเป็นคนว่าง่ายไปโดยปริยายเมื่อถูกเจ้าชายรูปหล่อชม คนสวยยิ้มจนตาหยีพลางพยักหน้ารับเร็วๆ แม้จะไม่เห็นด้วยกับทุกคนที่ชอบมองว่าตนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“คุณก็จะดูหล่อมากกว่านี้ ถ้าเลิกมองว่าหนูเป็นเด็ก” จบคำพูดก็โบกมือลาแล้วยื่นไปจับฝ่ามือของปาเวลไว้เสียเอง ก่อนเดินจากไปจริงๆ ยังหันกลับไปพูดกับเจ้าชายสุดหล่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “มาอีกนะคะ เดี๋ยวหนูจะชงโกโก้ร้อนให้ดื่ม”
เด็กร้ายเดียงสาอายุไม่น่าจะเกินเจ็ดแปดขวบเดินห่างออกไปพร้อมๆ กับกระจกรถยนต์ที่เลื่อนสูงขึ้น เชเชนนอฟหัวเราะร่วนจนคนสนิทที่ทำหน้าที่ขับรถก็พลอยยิ้มตาม
“เธอน่ารักนะครับ คงจะลูกครึ่งเอเชีย” ไม่ผิดไปจากที่คิดแน่ มิเตียบอก
“ถ้าลดๆ ความแก่แดดลงบ้างน่ะนะ” พูดแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ นึกอยากรู้ว่าจะรสชาติดีเลิศเหมือนที่เด็กแก่แดดโฆษณาชวนเชื่อไว้หรือไม่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปาเวลเดินกลับมาขึ้นรถ จากนั้นมิเตียก็ออกรถโดยที่ไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาของเจ้านายซึ่งนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง
รสชาติที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยแต่มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว นานเสียจนพ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มคิดว่าปุ่มรับรสบนลิ้นของตนคงจะมีบางอย่างผิดพลาด!
‘ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าจะให้ฉันชิมกาแฟทุกแก้วที่เธอกลั่นออกมาแบบนี้’ เชเชนนอฟเริ่มโอดครวญ เมื่อแฟนสาวไฟแรงเพิ่งเทกคอร์สการกลั่นกาแฟให้ได้ตามเวลามาตรฐาน กาแฟในแก้วช็อตใบเล็กๆ แต่เข้มข้นและทำให้คนที่เพิ่งเริ่มดื่มกาแฟลิ้นชา ไม่อาจจะแยกแยะอย่างที่เธออยากทดสอบ
‘ก็ให้จิบ... จิบไปเรื่อยๆ คุณจะรู้ว่ากาแฟขมเพราะโอเวอร์ฮีต หรือขมแค่ปลายลิ้นเพียงเสี้ยวนาทีจะเกิดความหวานลึกล้ำอยู่ในคอ’ ไม่ได้พูดเปล่าแต่วางแก้วช็อตอีกใบไว้ตรงหน้าแฟนหนุ่ม
‘ถ้าให้ชิมหมดทุกแก้วนี่ อาทิตย์หน้าล่ะมั้ง ฉันถึงจะนอนหลับ’
นราวิกาหัวเราะเสียงสดใสแล้วเดินอ้อมไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ คนขี้บ่น ‘งั้นฉันจะถ่างตาเป็นเพื่อนคุณ’
เชเชนนอฟหรี่ตาแคบ มองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ‘งั้นต้องจิบตามวิธีของฉัน ถึงจะได้คำตอบเร็วๆ’
นราวิกาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองตามฝ่ามือหนาที่เอื้อมไปหยิบแก้วช็อตขึ้นดื่มจากนั้นก็สอดฝ่ามือเข้าตรึงท้ายทอยเธอ บังคับให้แหงนหน้ารับเอาทั้งจุมพิตและเอสเพรสโซ่ในคราวเดียวกัน
เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากและเธอก็ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง หวามไหวไปกับจุมพิตลึกล้ำที่ทำให้รสชาติของกาแฟดีขึ้นจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด ได้แต่มองตามใบหน้าคร้ามคมถอยห่างออกไปเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้างอย่างพอใจ
‘คราวนี้ต่อให้กาแฟโอเวอร์ฮีตจริงๆ ไหม้จนขมปี๋ก็แยกไม่ออกแล้วล่ะคนสวย ต่อให้ขมแค่ไหนมันก็หวานถ้าอยู่ในปากเธอ’
...รสชาติมันเลิศเลอไม่ต่างจากการที่เคยชิมผ่านริมฝีปากนุ่มละมุน
กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องขึ้นนั้นดึงความคิดของเชเชนนอฟให้หลุดออกมาจากอดีต เหมือนว่าจะละล้าละลังวางแก้วกาแฟที่ทำให้ไพล่นึกไปถึงความหลังนั้นลงตรงช่องวางแก้วแล้วเลื่อนมือไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“ครับ” ตอบรับสั้นๆ ตามที่เคยทำมาเมื่อเห็นหน้าจอโชว์เบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นแม่
“เชเชน... ลูกจะบินกลับเลยใช่ไหม แม่จะสั่งให้แม่ครัวทำอาหารเย็นไว้รอ” ดูเหมือนจะเป็นคำถามแต่อันที่จริงแล้วมันคือคำสั่งกลายๆ ที่โปลิน่าใช้กับทุกคนรอบตัวจนเคยชิน
“คงต้องอยู่ที่แอลเมเรียอีกสักสองสามคืน ผมมีบางอย่างต้องจัดการ” ก็เขาเพิ่งรับปากที่จะให้ความช่วยเหลือรัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรีย เพราะมองเห็นผลประโยชน์บางอย่างซึ่งมั่นใจว่าผู้เป็นแม่ต้องพอใจอย่างยิ่ง
หากลูกชายไม่ได้เดินทางไปแอลเมเรียแล้วละก็ โปลิน่าจะไม่ทำตัวเช่นนี้เลย ทั้งหมดนั่นก็เพราะรู้ดีว่า หากเชเชนนอฟต้องมีเหตุให้อยู่ต่อก็คงต้องไปค้างที่บ้านของอดีตสามี “อะไรกัน แม่ว่า...”
“ผมต้องค้างกับพ่อเพราะรับปากเอาไว้แล้ว แต่แม่ไว้ใจผมใช่ไหม” ดักคอโดยละมุนละม่อม
ถ้าโปลิน่าคือนางพญาผู้เกิดมาในตระกูลขุนนางเก่าแก่ เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง ทุกคนรอบตัวต่างยอมก้มหัวและไม่เคยโต้แย้งต่อคำสั่ง เห็นจะมีเพียงเชเชนนอฟคนเดียวกระมังที่กล้าปฏิเสธและมีวิธีต่อรองกับผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล
“ถามอะไรอย่างนั้น ไม่ให้แม่ไว้ใจลูกแล้วในโลกนี้จะมีใครจริงใจกับแม่หลงเหลืออีก” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนลูกชายหัวเราะร่วน
“แม่ก็รู้ว่าผมไม่เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ แน่ ถ้าไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรบางอย่างตอบแทน”
“ลูกกำลังทำให้แม่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ” โปลิน่าวางแก้วชาซึ่งจิบในยามบ่ายลงบนโต๊ะ เมื่อคำพูดของลูกชายนั้นน่าสนใจยิ่งนัก
“ครับ... แค่ค้างบ้านพ่อสักคืนสองคืน รับรองว่าผมไม่ติดเชื้องี่เง่ามาจากตาทาเนียแน่ๆ” เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนเป็นแม่รอคอยอย่างสงบและเขาก็สามารถวางสายโทรศัพท์ในขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวมาจอดสนิทอยู่หน้าคฤหาสน์ซียานอฟ
แม้แอลเมเรียจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่กลับเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถปกครองตนในระบบประชาธิปไตยเพราะนโยบายของประธานาธิบดีนั้นเข้มแข็งและสามารถครองใจประชาชนให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ซึ่งอิกอร์ ซียานอฟ รั้งตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว
แม้อิกอร์ ชียานอฟจะแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากการทำงานให้รัฐบาลแอลเมเรีย นอกเสียจากค่าตอบแทนรายเดือน แต่เชเชนนอฟก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดของพ่อ
นักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตอาวุธสงคราม ที่ปรึกษาด้านการเมือง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในแอลเมเรียจะเปลืองสมอง เปลืองเวลาให้กับนโยบายความมั่นคงของประเทศหนึ่งไปเพื่ออะไร ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ ได้รับการยอมรับจากคนในวงสังคมนั้นเป็นสิ่งที่พ่อมีอย่างครบถ้วนแล้ว
ปัญหาคือ เพียงพอกับสิ่งที่มีแล้วหรือไม่?
‘ไม่น่ะสิ’ นั่นคือคำตอบที่เชเชนนอฟสามารถตอบตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด แต่หมากเกมนี้กำลังจะมีสักคนที่คิดล้างกระดาน เพราะการร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐมนตรีหนุ่มเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ ทำให้เชเชนนอฟมั่นใจเช่นนั้น
มันช่างน่าขบขันเสียจริงที่คนเหลี่ยมจัดอย่างพ่อและท่านประธานาธิบดีแห่งแอลเมเรียมองไม่ออกว่า... รัฐมนตรีกลาโหม ผู้ชายที่พ่อหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอามาทำลูกเขยกำลังแกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อม!
เชเชนนอฟนั่งนิ่งคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ในรถครู่ใหญ่จนเหลือบสายตาไปเห็นร่างท้วมของพ่อ จึงได้ก้าวลงจากรถแล้วเดินขึ้นบันไดไปเผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้า
“นึกว่าจะให้พ่ออย่างฉันเดินไปเชิญซีอีโอไอจีโอ ซิสเทม ด้วยตัวเองเสียอีก ถึงจะยอมลงมาจากรถ”
ตำแหน่งสูงสุดที่เชเชนนอฟนั่งมาห้าปีเต็มนั้นดูเหมือนว่าพ่อจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากเมื่อเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอดีตภรรยาที่มีโบรกเกอร์มันสมองอัจฉริยะเป็นทีมที่ปรึกษา ใช้เวลาราวห้าเดือนหุ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์ของไอจีโอ ซิสเทมก็ถูกช้อนซื้อจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เมื่อรวบกับหุ้นที่โปลิน่ามีอยู่ในมือ อิกอร์จึงต้องเสียเก้าอี้ซีอีโอให้กับอดีตภรรยาในทันที
“อันที่จริงถ้าผมทำให้พ่อกระอักกระอ่วนใจนัก ในแอลเมเรียก็มีโรงแรมอยู่มากมาย”
“ฉันแก่แล้วนะเชเชน จะลงให้พ่อสักหน่อยไม่ได้หรือยังไง” สุดท้ายอิกอร์ก็เป็นฝ่ายยอมถอยให้ลูกชายอีกก้าว
เชเชนนอฟโคลงศีรษะแล้วเดินตามหลังพ่อเข้าไปด้านในจึงได้เห็นความวุ่นวายของคนกลุ่มหนึ่ง บนโต๊ะมีทั้งการ์ดและของชำร่วยมากมาย นี่สินะคือคำตอบที่ตาทาเนียเชิดหน้าราวกับคอจะเคล็ด มั่นใจหนักหนาว่าจะเป็นภรรยาของลาโคลอฟ
“ไม่เห็นตาเนียบอกผมว่าจะสละโสด” เชเชนนอฟถามขึ้น
“แล้วแกคุยกับน้องดีๆ บ้างรึเปล่าล่ะ” อิกอร์ไม่ตอบแต่ถามกลับเพราะรู้ดีว่า เชเชนนอฟไม่เคยพูดจาดีๆ กับน้องสาว ไม่ต่างจากที่พูดกับตน
บทสนทนาของพ่อลูกทำให้หลายคนที่ได้ยินนึกประหลาดใจนัก ไม่มีประโยคคำตอบ ต่างฝ่ายต่างถามกลับนั่นบ่งบอกได้ถึงความไม่ลงรอยและขัดแย้งกันอย่างหนัก
“ถามจริงๆ เถอะ พ่อคิดดีแล้วเหรอที่จะเอาหุ่นยนต์มาทำลูกเขย” คำว่า ‘หุ่นยนต์’ ที่หลุดออกจากปากนั้นน่าจะทำให้พ่อนึกเอะใจขึ้นมาบ้าง
คงเป็นเพราะการทดสอบสีหน้าท่าทางของว่าที่ลูกเขยมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง ถึงได้ทำให้เสือเฒ่ามากเล่ห์อย่างอิกอร์ วางใจนัก
“เอาอะไรมาพูด... หุ่นยนต์ที่ไหนจะได้เป็นถึงรัฐมนตรีกลาโหมที่สามารถสั่งซื้ออาวุธจากไอจีโอ ซิสเทม แถมเป็นหนึ่งในคนลงนามสั่งจ่ายเช็คจำนวนมหาศาลนั่นให้บริษัทของเราด้วย” อิกอร์บอกด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์และเดินนำหน้าลูกชายเข้าไปในห้องอาหาร “อีกอย่าง ฉันยังมองไม่เห็นว่าใครจะมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของแอลเมเรียต่อจากแอนทอนได้ นอกเสียจาก...”
“หุ่นยนต์” เชเชนนอฟต่อคำพูดนั้นเสียเอง
อิกอร์หัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ ผายมือเชื้อเชิญให้ลูกชายนั่งหลังจากที่ตนทรุดตัวลงบนเก้าอี้ประจำ “หวังว่าวันนี้คงเป็นมื้อเย็นตามประสาพ่อลูก ตัดเรื่องงานและความขุ่นข้องหมองใจออกไป”
เชเชนนอฟเบ้ปาก ก้มศีรษะลงเล็กน้อยรับกับคำพูดนั้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านซ้ายมือของพ่อ มื้อค่ำสุดหรูพร้อมด้วยแชมเปญทำให้สีหน้าของพ่อค้าอาวุธสงครามดูผ่อนคลายขึ้น
“ว้าว...” ครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบแก้วแชมเปญไว้ในมือ “ถ้าวันนี้ไม่มีความขัดแย้ง อีกไม่นานผมก็คงได้เป็นพี่ภรรยาของท่านประธานาธิบดีในอนาคต”
“เห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้” อิกอร์รับคำในทันที ก่อนจะชนแก้วแชมเปญฉลองให้กับเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าสองพ่อลูกต่างก็ซ่อนแผนการอันแยบยลไว้ในใจ หากตัดสินตอนนี้ก็คงจะรวดเร็วเกินไปนัก มันเหมือนกับว่าต่างคนต่างมีไพ่แต้มที่ดีที่สุดซ่อนเอาไว้
ตอนนี้คงต้องใช้เพียงจิตวิทยาในการข่มขวัญคู่ต่อสู้ให้เกิดความหวาดหวั่นเพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ได้ว่าไพ่ที่ซ่อนเอาไว้นั้นแต้มของใครจะสูงกว่า เหมือนที่พ่อลูกยังไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการที่ต่างคนต่างซ่อนเอาไว้นั่นเอง
เชเชนนอฟใช้เวลาบนโต๊ะอาหารราวหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นเขาก็ถูกนำทางมายังห้องรับรองแขกที่อยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกของคฤหาสน์ พ่อค้าอาวุธสงครามปฏิเสธสาวสวยหุ่นสะบึมที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ตามประสาหนุ่มๆ
มากกว่าสี่สิบชั่วโมงที่ไม่ได้เข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริงทำให้เขาไร้อารมณ์ที่จะคิดเรื่องอื่น นอกเสียจากเตียงนุ่มๆ หรือถ้าจะมีผู้หญิงคนไหนดึงความสนใจให้อยู่ที่เรื่องตัณหาราคะ ผู้หญิงคนนั้นก็คงต้องมีแรงดึงดูดต่อเขามากกว่าหน้าอกใหญ่ที่กดไม่ลงเพราะสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนไว้ใต้ผิวหนัง
ตั้งแต่กำจัดผู้หญิงคนแรกที่เชเชนนอฟเคยให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ในเพนต์เฮาส์เมื่อหลายปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวหรือเห็นว่าจะคบหากับใครจริงจังสักคน บางครั้งตาทาเนียยังกล่าวหาว่าพี่ชายอาจจะเปลี่ยนรสนิยมมาชอบไม้ป่าเดียวกันเพราะคนรอบกายนั้นมีแต่หนุ่มๆ กล้ามใหญ่ หล่อล่ำทั้งนั้น
แม้อิกอร์จะนึกแย้งในใจว่าการเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามไม่ใช่อาชีพที่จะเดินไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า นอกจากคนที่อยู่ในทีมแล้วจะไม่อาจเปิดเผยการการเดินทางให้คนอื่นได้ล่วงรู้ นั่นทำให้เชเชนนอฟต้องมีบอดีการ์ดรายล้อมรอบกาย
...ภาพที่เห็นในกล้องวงจรปิดซึ่งลูกชายได้ทดสอบผู้หญิงที่ส่งไปให้ด้วยการเคล้นคลึงหน้าอกอวบใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้า สะบัดมือไล่ให้ออกจากห้องก็ทำให้อิกอร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
อย่างน้อยมันก็ช่างเลือกเหมือนพ่อ
ประเทศแอลเมเรีย1
การสาธิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของไอจีโอ ซิสเทม บริษัทผลิตอาวุธสงครามซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอับดับหนึ่งในห้าของโลกจบลงอย่างยอดเยี่ยมเต็มประสิทธิภาพเช่นทุกครั้ง ทว่าการมาประเทศแอลเมเรียครั้งนี้ซีอีโอหนุ่มแห่งไอจีโอ ซิสเทม กลับให้ความสนใจอยู่ที่รัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรียซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นน้องเขยของตน
ไม่หรอก!
เชเชนนอฟไม่ได้เชื่อคำโอ้อวดของตาทาเนีย น้องสาวที่คลานตามกันออกมาเลยสักนิด ดูเหมือนว่าอาการความจำเสื่อมของรัฐมนตรีหนุ่มนั้นจะเป็นเรื่องลวงโลก อีกทั้งเมื่อครู่นี้สาวเอเชียหน้าตาสะสวยที่เพิ่งมาขอความช่วยเหลือจากตนก็บ่งบอกให้รู้แน่ชัดแล้วว่า...
รัฐมนตรีหนุ่มมีเจ้าของหัวใจที่แท้จริงแล้ว ถ้าเทียบความสะสวย หน้าตา รูปร่างของสาวเอเชียคนเมื่อครู่กับตาทาเนียแล้วก็สวยกันไปคนละแบบตามแต่ละชาติพันธุ์ ส่วนใครจะเลือกแบบไหนมันก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล
ทว่าสาวเอเชียรูปร่างอ้อนแอ้น ผิวพรรณผุดผ่องคนเมื่อครู่นั้นกระตุกหัวใจซีอีโอหนุ่มยิ่งนัก รูปร่างหน้าตาของเธอดูใกล้เคียงกับผู้หญิงหิวเงินคนหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต อดีตที่ไม่น่าพิสมัยซึ่งเขาลืมเลือนมันไปแล้ว
“ท่านครับ ดูเหมือนว่าแอลเมเรียจะไม่มีร้านกาแฟประจำที่ท่านชอบ” ปาเวล ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับรถรายงานเจ้านายที่นั่งนิ่งอยู่เบาะหลัง บอดีการ์ดหนุ่มหันไปสบสายตากับมิเตีย ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ไม่บ่อยนักที่ซีอีโอแห่งไอจีโอ ซิสเทม จะใจลอยจนไม่ได้ยินคำพูดประโยคยาวๆ เช่นนี้ เมื่อปล่อยเวลาให้ผ่านไปชั่วครู่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองว่าอย่างไร ปาเวลจึงต้องแสร้งกระแอมแล้วแจ้งให้เจ้านายทราบอีกครั้ง
“เอ่อ... ท่านครับ” ปาเวลตั้งใจจะถามซ้ำอีกครั้ง แต่เสียงห้าวที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องเงียบกริบในทันที
“ก็เอาที่มีสิ หรือถ้าหาร้านคอฟฟี่ช็อปทั้งแอลเมเรียนี่ไม่ได้ ก็ลงไป ฉันจะขับเอง”
ไม่ได้ตวาด ตะคอก แต่ดุกร้าว ทรงพลัง แสดงให้คนสนิททั้งสองได้รู้ว่าอารมณ์ของเจ้านายนั้นกำลังคุกรุ่น ซึ่งปาเวลและมิเตียนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเจ้านายหงุดหงิดใจด้วยเรื่องใด เมื่อไม่มีเรื่องใดผิดเป้าหมายที่พ่อค้าอาวุธสงครามวางแผนเอาไว้สักนิด
ไม่นานนักมิเตียก็จอดรถยนต์คันหรูอยู่ข้างถนน เมื่อเห็นคอฟฟี่ช็อปเป็นร้านแรกซึ่งตั้งอยู่ในเขตธุรกิจของเมืองหลวงในประเทศเล็กๆ นี้
ปาเวลจึงก้าวลงจากรถแล้วเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรู้หน้าที่ โดยมีสายตาคู่คมของเชเชนนอฟมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก ความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เขายังควบคุมมันได้มักเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้ดื่มกาแฟตามเวลาที่ร่างกายเคยได้รับ จากแรกที่ดื่มวันละแก้วแต่งานยิ่งหนัก ความรับผิดชอบมากขึ้น ร่างกายเขาก็เหมือนต้องการคาเฟอีนในกาแฟมากขึ้น
ไม่นานนักปาเวลก็เดินออกมาจากคอฟฟี่ช็อปพร้อมกับเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเชเชนนอฟเข้าใจได้ในทันทีว่า... เด็กหญิงคนนี้เดินออกมาส่งกาแฟที่มีอยู่สามแก้ว เกินกว่าที่ปาเวลจะถือมาคนเดียว คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมต้องให้เด็กเดินข้ามถนนมาส่งด้วย ใส่ถุงแล้วถือมาอย่างที่เคยทำก็ได้
คำถามนั้นถูกลบเลือนไปด้วยรอยยิ้มของเด็กหญิงซึ่งเดินใกล้เข้ามาให้เชเชนนอฟได้มองเห็นใบหน้าอย่างชัดเจนขึ้น
ผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังถูกแบ่งออกเป็นสองข้าง มัดแกละอย่างน่ารัก ใบหน้ารูปหัวใจ คางแหลมๆ รับกับริมฝีปากสีสดฉ่ำราวกับลูกเชอร์รี่กำลังขยับขึ้นลง พูดบางอย่างกับคนสนิทของตนนั้นช่างน่ารัก น่าเอ็นดูนัก
“หนูโตแล้ว รู้จักระวังรถตอนข้ามถนน คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
แม้จะอยู่ในระยะที่ไม่ได้ยินเสียงพูดนั้นแต่เชเชนนอฟก็สามารถอ่านริมฝีปากของเด็กหญิงได้เป็นอย่างดี ทว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มยิ่งทำให้เขานิ่งงัน สีฟ้าเฉดเดียวกันกับนัยน์ตาของตนทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองกระจกเงา
ในขณะที่เชเชนนอฟจ้องเด็กหญิงนิ่ง มิเตียก็ลดกระจกลงแล้วเอื้อมมือออกไปรับแก้วกาแฟจากคู่หู เพราะรู้ดีว่าปาเวลต้องเป็นคนเสิร์ฟกาแฟให้เจ้านายอยู่แล้ว แต่ไม่ทันที่ปาเวลจะทำเช่นนั้น ลูกสาวเจ้าของคอฟฟี่ช็อปก็ยื่นแก้วกาแฟให้กับเจ้านายเสียเอง
เด็กหญิงยิ้มสดใส เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ยื่นมือออกมารับแก้วกาแฟ ท่าทางที่เด็กหญิงห่อปาก ทำตาโตราวกับว่าเพิ่งเห็นเจ้าชายนั้นเรียกรอยยิ้มจากเชเชนนอฟได้เป็นอย่างดี
“ว้าว... คุณหล่อจังค่ะ”
โชคยังดีที่เชเชนนอฟเพิ่งจะยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้สำลักมันออกมาเมื่อได้ยินคำชมของเด็กร้ายเดียงสา
“เธอก็สวยหนูน้อย ตาโตมากแล้วก็น่ารักมากๆ รู้ตัวไหม” เชเชนนอฟชมกลับด้วยความสัตย์จริง
“รู้ค่ะ ใครๆ ก็ชอบชมหนูแบบนี้” ตอบตามความจริง ไม่ได้มีความเขินอาย ออกจะดูมั่นใจจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ “คุณไม่ใช่ลูกค้าประจำของร้านเรานี่คะ”
อีกครั้งที่เชเชนนอฟยังไม่ได้ลิ้มรสกาแฟร้อนฉ่า หอมกรุ่น เพราะเสียงเจื้อยแจ้วนั้นชวนคุย “ไม่น่าจะใช่นะ ฉันเกือบจะได้ชิมกาแฟของร้านเธออยู่แล้วแม่หนูน้อย แต่ติดที่คุยกับเธอเพลินไปหน่อย”
แม่หนูน้อยถอนหายใจใหญ่ซึ่งท่าทางที่แสดงออกมานั้น ไม่ได้ทำให้คู่สนทนาเข้าใจความรู้สึกแท้จริงนัก “คุณต้องชอบค่ะ หนูมั่นใจ เพราะบาริสต้าของร้านเราได้รางวัลมาเยอะเลย”
เชเชนนอฟโคลงศีรษะรับกับคำโอ้อวดนั้น “อย่างงั้นเชียว”
“ค่ะ” ตอบรับโดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว
“เอาล่ะ คราวนี้ฉันขอชิมกาแฟของร้านเธอบ้าง เดี๋ยวจะให้ปาเวลเดินไปส่งนะ”
“หนูโตแล้ว ข้ามถนนเองได้”
คำตอบนั้นทำให้เชเชนนอฟต้องลดแก้วกาแฟลงจากริมฝีปากเป็นครั้งที่สาม “ให้ปาเวลไปส่งเถอะคนสวย”
กลายเป็นคนว่าง่ายไปโดยปริยายเมื่อถูกเจ้าชายรูปหล่อชม คนสวยยิ้มจนตาหยีพลางพยักหน้ารับเร็วๆ แม้จะไม่เห็นด้วยกับทุกคนที่ชอบมองว่าตนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“คุณก็จะดูหล่อมากกว่านี้ ถ้าเลิกมองว่าหนูเป็นเด็ก” จบคำพูดก็โบกมือลาแล้วยื่นไปจับฝ่ามือของปาเวลไว้เสียเอง ก่อนเดินจากไปจริงๆ ยังหันกลับไปพูดกับเจ้าชายสุดหล่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “มาอีกนะคะ เดี๋ยวหนูจะชงโกโก้ร้อนให้ดื่ม”
เด็กร้ายเดียงสาอายุไม่น่าจะเกินเจ็ดแปดขวบเดินห่างออกไปพร้อมๆ กับกระจกรถยนต์ที่เลื่อนสูงขึ้น เชเชนนอฟหัวเราะร่วนจนคนสนิทที่ทำหน้าที่ขับรถก็พลอยยิ้มตาม
“เธอน่ารักนะครับ คงจะลูกครึ่งเอเชีย” ไม่ผิดไปจากที่คิดแน่ มิเตียบอก
“ถ้าลดๆ ความแก่แดดลงบ้างน่ะนะ” พูดแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ นึกอยากรู้ว่าจะรสชาติดีเลิศเหมือนที่เด็กแก่แดดโฆษณาชวนเชื่อไว้หรือไม่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปาเวลเดินกลับมาขึ้นรถ จากนั้นมิเตียก็ออกรถโดยที่ไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาของเจ้านายซึ่งนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง
รสชาติที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยแต่มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว นานเสียจนพ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มคิดว่าปุ่มรับรสบนลิ้นของตนคงจะมีบางอย่างผิดพลาด!
‘ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าจะให้ฉันชิมกาแฟทุกแก้วที่เธอกลั่นออกมาแบบนี้’ เชเชนนอฟเริ่มโอดครวญ เมื่อแฟนสาวไฟแรงเพิ่งเทกคอร์สการกลั่นกาแฟให้ได้ตามเวลามาตรฐาน กาแฟในแก้วช็อตใบเล็กๆ แต่เข้มข้นและทำให้คนที่เพิ่งเริ่มดื่มกาแฟลิ้นชา ไม่อาจจะแยกแยะอย่างที่เธออยากทดสอบ
‘ก็ให้จิบ... จิบไปเรื่อยๆ คุณจะรู้ว่ากาแฟขมเพราะโอเวอร์ฮีต หรือขมแค่ปลายลิ้นเพียงเสี้ยวนาทีจะเกิดความหวานลึกล้ำอยู่ในคอ’ ไม่ได้พูดเปล่าแต่วางแก้วช็อตอีกใบไว้ตรงหน้าแฟนหนุ่ม
‘ถ้าให้ชิมหมดทุกแก้วนี่ อาทิตย์หน้าล่ะมั้ง ฉันถึงจะนอนหลับ’
นราวิกาหัวเราะเสียงสดใสแล้วเดินอ้อมไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ คนขี้บ่น ‘งั้นฉันจะถ่างตาเป็นเพื่อนคุณ’
เชเชนนอฟหรี่ตาแคบ มองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ‘งั้นต้องจิบตามวิธีของฉัน ถึงจะได้คำตอบเร็วๆ’
นราวิกาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองตามฝ่ามือหนาที่เอื้อมไปหยิบแก้วช็อตขึ้นดื่มจากนั้นก็สอดฝ่ามือเข้าตรึงท้ายทอยเธอ บังคับให้แหงนหน้ารับเอาทั้งจุมพิตและเอสเพรสโซ่ในคราวเดียวกัน
เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากและเธอก็ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง หวามไหวไปกับจุมพิตลึกล้ำที่ทำให้รสชาติของกาแฟดีขึ้นจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด ได้แต่มองตามใบหน้าคร้ามคมถอยห่างออกไปเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้างอย่างพอใจ
‘คราวนี้ต่อให้กาแฟโอเวอร์ฮีตจริงๆ ไหม้จนขมปี๋ก็แยกไม่ออกแล้วล่ะคนสวย ต่อให้ขมแค่ไหนมันก็หวานถ้าอยู่ในปากเธอ’
...รสชาติมันเลิศเลอไม่ต่างจากการที่เคยชิมผ่านริมฝีปากนุ่มละมุน
กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องขึ้นนั้นดึงความคิดของเชเชนนอฟให้หลุดออกมาจากอดีต เหมือนว่าจะละล้าละลังวางแก้วกาแฟที่ทำให้ไพล่นึกไปถึงความหลังนั้นลงตรงช่องวางแก้วแล้วเลื่อนมือไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“ครับ” ตอบรับสั้นๆ ตามที่เคยทำมาเมื่อเห็นหน้าจอโชว์เบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นแม่
“เชเชน... ลูกจะบินกลับเลยใช่ไหม แม่จะสั่งให้แม่ครัวทำอาหารเย็นไว้รอ” ดูเหมือนจะเป็นคำถามแต่อันที่จริงแล้วมันคือคำสั่งกลายๆ ที่โปลิน่าใช้กับทุกคนรอบตัวจนเคยชิน
“คงต้องอยู่ที่แอลเมเรียอีกสักสองสามคืน ผมมีบางอย่างต้องจัดการ” ก็เขาเพิ่งรับปากที่จะให้ความช่วยเหลือรัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรีย เพราะมองเห็นผลประโยชน์บางอย่างซึ่งมั่นใจว่าผู้เป็นแม่ต้องพอใจอย่างยิ่ง
หากลูกชายไม่ได้เดินทางไปแอลเมเรียแล้วละก็ โปลิน่าจะไม่ทำตัวเช่นนี้เลย ทั้งหมดนั่นก็เพราะรู้ดีว่า หากเชเชนนอฟต้องมีเหตุให้อยู่ต่อก็คงต้องไปค้างที่บ้านของอดีตสามี “อะไรกัน แม่ว่า...”
“ผมต้องค้างกับพ่อเพราะรับปากเอาไว้แล้ว แต่แม่ไว้ใจผมใช่ไหม” ดักคอโดยละมุนละม่อม
ถ้าโปลิน่าคือนางพญาผู้เกิดมาในตระกูลขุนนางเก่าแก่ เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง ทุกคนรอบตัวต่างยอมก้มหัวและไม่เคยโต้แย้งต่อคำสั่ง เห็นจะมีเพียงเชเชนนอฟคนเดียวกระมังที่กล้าปฏิเสธและมีวิธีต่อรองกับผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล
“ถามอะไรอย่างนั้น ไม่ให้แม่ไว้ใจลูกแล้วในโลกนี้จะมีใครจริงใจกับแม่หลงเหลืออีก” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนลูกชายหัวเราะร่วน
“แม่ก็รู้ว่าผมไม่เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ แน่ ถ้าไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรบางอย่างตอบแทน”
“ลูกกำลังทำให้แม่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ” โปลิน่าวางแก้วชาซึ่งจิบในยามบ่ายลงบนโต๊ะ เมื่อคำพูดของลูกชายนั้นน่าสนใจยิ่งนัก
“ครับ... แค่ค้างบ้านพ่อสักคืนสองคืน รับรองว่าผมไม่ติดเชื้องี่เง่ามาจากตาทาเนียแน่ๆ” เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนเป็นแม่รอคอยอย่างสงบและเขาก็สามารถวางสายโทรศัพท์ในขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวมาจอดสนิทอยู่หน้าคฤหาสน์ซียานอฟ
แม้แอลเมเรียจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่กลับเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถปกครองตนในระบบประชาธิปไตยเพราะนโยบายของประธานาธิบดีนั้นเข้มแข็งและสามารถครองใจประชาชนให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ซึ่งอิกอร์ ซียานอฟ รั้งตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว
แม้อิกอร์ ชียานอฟจะแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากการทำงานให้รัฐบาลแอลเมเรีย นอกเสียจากค่าตอบแทนรายเดือน แต่เชเชนนอฟก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดของพ่อ
นักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตอาวุธสงคราม ที่ปรึกษาด้านการเมือง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในแอลเมเรียจะเปลืองสมอง เปลืองเวลาให้กับนโยบายความมั่นคงของประเทศหนึ่งไปเพื่ออะไร ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ ได้รับการยอมรับจากคนในวงสังคมนั้นเป็นสิ่งที่พ่อมีอย่างครบถ้วนแล้ว
ปัญหาคือ เพียงพอกับสิ่งที่มีแล้วหรือไม่?
‘ไม่น่ะสิ’ นั่นคือคำตอบที่เชเชนนอฟสามารถตอบตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด แต่หมากเกมนี้กำลังจะมีสักคนที่คิดล้างกระดาน เพราะการร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐมนตรีหนุ่มเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ ทำให้เชเชนนอฟมั่นใจเช่นนั้น
มันช่างน่าขบขันเสียจริงที่คนเหลี่ยมจัดอย่างพ่อและท่านประธานาธิบดีแห่งแอลเมเรียมองไม่ออกว่า... รัฐมนตรีกลาโหม ผู้ชายที่พ่อหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอามาทำลูกเขยกำลังแกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อม!
เชเชนนอฟนั่งนิ่งคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ในรถครู่ใหญ่จนเหลือบสายตาไปเห็นร่างท้วมของพ่อ จึงได้ก้าวลงจากรถแล้วเดินขึ้นบันไดไปเผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้า
“นึกว่าจะให้พ่ออย่างฉันเดินไปเชิญซีอีโอไอจีโอ ซิสเทม ด้วยตัวเองเสียอีก ถึงจะยอมลงมาจากรถ”
ตำแหน่งสูงสุดที่เชเชนนอฟนั่งมาห้าปีเต็มนั้นดูเหมือนว่าพ่อจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากเมื่อเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอดีตภรรยาที่มีโบรกเกอร์มันสมองอัจฉริยะเป็นทีมที่ปรึกษา ใช้เวลาราวห้าเดือนหุ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์ของไอจีโอ ซิสเทมก็ถูกช้อนซื้อจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เมื่อรวบกับหุ้นที่โปลิน่ามีอยู่ในมือ อิกอร์จึงต้องเสียเก้าอี้ซีอีโอให้กับอดีตภรรยาในทันที
“อันที่จริงถ้าผมทำให้พ่อกระอักกระอ่วนใจนัก ในแอลเมเรียก็มีโรงแรมอยู่มากมาย”
“ฉันแก่แล้วนะเชเชน จะลงให้พ่อสักหน่อยไม่ได้หรือยังไง” สุดท้ายอิกอร์ก็เป็นฝ่ายยอมถอยให้ลูกชายอีกก้าว
เชเชนนอฟโคลงศีรษะแล้วเดินตามหลังพ่อเข้าไปด้านในจึงได้เห็นความวุ่นวายของคนกลุ่มหนึ่ง บนโต๊ะมีทั้งการ์ดและของชำร่วยมากมาย นี่สินะคือคำตอบที่ตาทาเนียเชิดหน้าราวกับคอจะเคล็ด มั่นใจหนักหนาว่าจะเป็นภรรยาของลาโคลอฟ
“ไม่เห็นตาเนียบอกผมว่าจะสละโสด” เชเชนนอฟถามขึ้น
“แล้วแกคุยกับน้องดีๆ บ้างรึเปล่าล่ะ” อิกอร์ไม่ตอบแต่ถามกลับเพราะรู้ดีว่า เชเชนนอฟไม่เคยพูดจาดีๆ กับน้องสาว ไม่ต่างจากที่พูดกับตน
บทสนทนาของพ่อลูกทำให้หลายคนที่ได้ยินนึกประหลาดใจนัก ไม่มีประโยคคำตอบ ต่างฝ่ายต่างถามกลับนั่นบ่งบอกได้ถึงความไม่ลงรอยและขัดแย้งกันอย่างหนัก
“ถามจริงๆ เถอะ พ่อคิดดีแล้วเหรอที่จะเอาหุ่นยนต์มาทำลูกเขย” คำว่า ‘หุ่นยนต์’ ที่หลุดออกจากปากนั้นน่าจะทำให้พ่อนึกเอะใจขึ้นมาบ้าง
คงเป็นเพราะการทดสอบสีหน้าท่าทางของว่าที่ลูกเขยมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง ถึงได้ทำให้เสือเฒ่ามากเล่ห์อย่างอิกอร์ วางใจนัก
“เอาอะไรมาพูด... หุ่นยนต์ที่ไหนจะได้เป็นถึงรัฐมนตรีกลาโหมที่สามารถสั่งซื้ออาวุธจากไอจีโอ ซิสเทม แถมเป็นหนึ่งในคนลงนามสั่งจ่ายเช็คจำนวนมหาศาลนั่นให้บริษัทของเราด้วย” อิกอร์บอกด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์และเดินนำหน้าลูกชายเข้าไปในห้องอาหาร “อีกอย่าง ฉันยังมองไม่เห็นว่าใครจะมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของแอลเมเรียต่อจากแอนทอนได้ นอกเสียจาก...”
“หุ่นยนต์” เชเชนนอฟต่อคำพูดนั้นเสียเอง
อิกอร์หัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ ผายมือเชื้อเชิญให้ลูกชายนั่งหลังจากที่ตนทรุดตัวลงบนเก้าอี้ประจำ “หวังว่าวันนี้คงเป็นมื้อเย็นตามประสาพ่อลูก ตัดเรื่องงานและความขุ่นข้องหมองใจออกไป”
เชเชนนอฟเบ้ปาก ก้มศีรษะลงเล็กน้อยรับกับคำพูดนั้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านซ้ายมือของพ่อ มื้อค่ำสุดหรูพร้อมด้วยแชมเปญทำให้สีหน้าของพ่อค้าอาวุธสงครามดูผ่อนคลายขึ้น
“ว้าว...” ครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบแก้วแชมเปญไว้ในมือ “ถ้าวันนี้ไม่มีความขัดแย้ง อีกไม่นานผมก็คงได้เป็นพี่ภรรยาของท่านประธานาธิบดีในอนาคต”
“เห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้” อิกอร์รับคำในทันที ก่อนจะชนแก้วแชมเปญฉลองให้กับเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าสองพ่อลูกต่างก็ซ่อนแผนการอันแยบยลไว้ในใจ หากตัดสินตอนนี้ก็คงจะรวดเร็วเกินไปนัก มันเหมือนกับว่าต่างคนต่างมีไพ่แต้มที่ดีที่สุดซ่อนเอาไว้
ตอนนี้คงต้องใช้เพียงจิตวิทยาในการข่มขวัญคู่ต่อสู้ให้เกิดความหวาดหวั่นเพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ได้ว่าไพ่ที่ซ่อนเอาไว้นั้นแต้มของใครจะสูงกว่า เหมือนที่พ่อลูกยังไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการที่ต่างคนต่างซ่อนเอาไว้นั่นเอง
เชเชนนอฟใช้เวลาบนโต๊ะอาหารราวหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นเขาก็ถูกนำทางมายังห้องรับรองแขกที่อยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกของคฤหาสน์ พ่อค้าอาวุธสงครามปฏิเสธสาวสวยหุ่นสะบึมที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ตามประสาหนุ่มๆ
มากกว่าสี่สิบชั่วโมงที่ไม่ได้เข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริงทำให้เขาไร้อารมณ์ที่จะคิดเรื่องอื่น นอกเสียจากเตียงนุ่มๆ หรือถ้าจะมีผู้หญิงคนไหนดึงความสนใจให้อยู่ที่เรื่องตัณหาราคะ ผู้หญิงคนนั้นก็คงต้องมีแรงดึงดูดต่อเขามากกว่าหน้าอกใหญ่ที่กดไม่ลงเพราะสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนไว้ใต้ผิวหนัง
ตั้งแต่กำจัดผู้หญิงคนแรกที่เชเชนนอฟเคยให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ในเพนต์เฮาส์เมื่อหลายปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวหรือเห็นว่าจะคบหากับใครจริงจังสักคน บางครั้งตาทาเนียยังกล่าวหาว่าพี่ชายอาจจะเปลี่ยนรสนิยมมาชอบไม้ป่าเดียวกันเพราะคนรอบกายนั้นมีแต่หนุ่มๆ กล้ามใหญ่ หล่อล่ำทั้งนั้น
แม้อิกอร์จะนึกแย้งในใจว่าการเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามไม่ใช่อาชีพที่จะเดินไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า นอกจากคนที่อยู่ในทีมแล้วจะไม่อาจเปิดเผยการการเดินทางให้คนอื่นได้ล่วงรู้ นั่นทำให้เชเชนนอฟต้องมีบอดีการ์ดรายล้อมรอบกาย
...ภาพที่เห็นในกล้องวงจรปิดซึ่งลูกชายได้ทดสอบผู้หญิงที่ส่งไปให้ด้วยการเคล้นคลึงหน้าอกอวบใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้า สะบัดมือไล่ให้ออกจากห้องก็ทำให้อิกอร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
อย่างน้อยมันก็ช่างเลือกเหมือนพ่อ
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2560, 11:16:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2560, 11:16:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 911
<< บทนำ | ตอนที่ 2 100% >> |