The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 5 : || ผู้ร่วมทางคนที่สอง ||


EPISODE 5

ผู้ร่วมทางคนที่สอง





สีหน้าของวอลบิดเบี้ยวเหยเก แต่คนบ้าก็ยังเป็นคนบ้าอยู่วันยังค่ำ ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มจางๆ เขาใช้ความพยายามอย่างสูงในการควบคุมสติของตัวเองให้คงอยู่ แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนรางมองไม่ชัด มือทั้งสองข้างกุมแผลเหวอะที่ช่องท้องก่อนร่างของเขาจะค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น



“เจ้า!” มิเวลรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดกระชากไหล่ของคนที่กำลังยืนเฉยมองร่างตรงหน้านอนแน่นิ่งให้หันมามองเธอ ในมือยังคงกำดาบอาบเลือดสีแดงสดไว้แน่น



“มันเป็นมนุษย์ธรรมดา ทำไมเจ้าต้องไปใส่ใจพวกมันด้วย” เสียงเย็นชาเอ่ยเรียบๆ พลางใช้สายตาเหยียดมองคนเจ็บอย่างรังเกียจ



คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เด็กสาวชะงักไป มิเวลหันไปมองวอลด้วยความสับสน ทุกอย่างจริงตามนั้น วอลเป็นเพียงคนธรรมดาไร้เวทมนตร์ เป็นศัตรูของผู้ใช้เวทอย่างเธอ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสงครามเท่าไรนัก แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าคนธรรมดาและผู้ใช้เวทจะสามารถไว้ใจซึ่งกันและกันได้



วอลเป็นคนธรรมดา...จริงหรือเปล่า?



ภาพทหารนับร้อยไร้สติตกอยู่ใต้การควบคุมของเด็กหนุ่มเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ แม้จะหาคำตอบไม่ได้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมบอกอะไรเพิ่มเติม แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่คนไม่มีพลังเวทแต่กลับมีพลังจิตแข็งแกร่งจะสามารถควบคุมอะไรบางอย่างได้ด้วยจิต เธอเองก็เคยอ่านเรื่องการสะกดจิตมาบ้างจากในหนังสือ แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือวอลสามารถควบคุมคนได้เป็นร้อยๆ เลยต่างหาก แม้จะบอกว่าควบคุมผ่านตุ๊กตาก็เถอะ



มิเวลสะบัดหน้าไล่ความคิดในหัวออก เพียงแค่เรื่องที่วอลไม่มีไอเวทเลยแม้แต่นิดเดียวนั้นก็ช่วยยืนยันได้มากพอแล้ว แม้จะชักสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าเองก็ไม่มีไอเวทแต่กลับใช้เวทมนตร์ได้ขึ้นมาก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้เธอต้องช่วยเจ้าบ้าก่อน



เด็กสาวรีบวิ่งเข้าไปหาคนเจ็บเพื่อสำรวจบาดแผล เลือดข้นไหลทะลักออกมาจากปากแผลไม่หยุด ใบหน้าซีดขาวยิ่งซีดหนักจนไร้สีเลือด ลำตัวร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ที่เกิดจากบาดแผล มิเวลจัดการฉีกชายเสื้อของตัวเองแล้วเอามาใช้พันแผลห้ามเลือดด้วยความร้อนรน



ปล่อยไว้แบบนี้แย่แน่ จะทำยังไงดีล่ะ แล้วยังจะเรื่องแผนที่ต้องคำสาปอีก แต่ถ้าไม่รีบเข้าเมืองล่ะก็...



“เจ้าน่ะ! จะเอาของของข้าไปทำอะไร” เด็กสาวตะโกนถาม เห็นทีเธอคงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น



“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องตอบเจ้า” เสียงเย็นชาตอบแทบจะในทันที



“ตอบมา! ถือว่า...ข้าขอร้อง”



เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างแปลกใจก่อนจะหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยยอมเอ่ยตอบไปตามตรง



“ไปยังที่แห่งหนึ่ง”



“งั้นข้าจะให้เจ้าไปกับข้าด้วย ข้าเองก็ต้องการไปยังที่แห่งหนึ่งในแผนที่เช่นกัน” มิเวลรีบพูดต่อด้วยความยินดีเมื่ออีกฝ่ายมีจุดหมายเดียวกัน ทีแรกเธอนึกว่าเขาเป็นพวกหัวขโมยของไปขายเสียอีก แม้จะไม่อยากได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มแต่ตอนนี้คงไม่มีทางอื่นแล้วเพราะเธอต้องพาวอลไปรักษา ส่วนแผนที่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากในการเดินทาง



“ไม่ ข้าไม่ต้องการร่วมทางกับคนธรรมดา” คำปฏิเสธพังทลายความหวังทั้งหมด มิเวลกำมือแน่นกัดฟันมองแผ่นหลังของคนที่กำลังเดินจากไปอย่างเย็นชา พยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างสุดความสามารถ



“...แม้เจ้าบ้านี่จะเป็นคนธรรมดาเป็นศัตรูแต่ก็เป็นชีวิตหนึ่ง ส่วนเจ้าก็เป็นฆาตกรไม่ต่างจากพวกปีศาจที่พวกคนธรรมดาเขาใช้เรียกผู้ใช้เวท ถ้าเกลียดคำว่าปีศาจนักแล้วจะกระทำตัวเหมือนพวกมันทำไมกัน!” ร่างสูงหยุดชะงัก นัยน์ตาสีอ่อนตวัดกลับมาจ้องเขม็ง รู้สึกได้ถึงอารมณ์เดือดกำลังปะทุขึ้น “มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม ที่ข้าพูดมันจริงล่ะสิ เสียดแทงใจเจ้าล่ะสิ เจ้ามันก็แค่ปีศาจชั้นต่ำที่รู้จักแต่การเข่นฆ่าเท่านั้น!”



ร่างสูงพุ่งตัวเข้าหาเด็กสาวด้วยแรงโทสะ ดาบยาวทั้งสองปะทะกันเกิดเสียงดังสนั่น สายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายทำให้มิเวลรู้สึกเสียววาบไปทั่วร่างชั่วขณะหนึ่ง



แต่ทันทีที่ตั้งสติได้ก็รีบยกดาบป้องกันการโจมตีแบบต่อเนื่องจากเด็กหนุ่ม ดาบเงินจู่โจมเข้ามาแบบไม่ยั้ง แต่ยิ่งนานเข้าเธอก็ยิ่งจับความรู้สึกและมองการเคลื่อนไหวของเขาออก มิเวลต้านพลังดาบเงินเอาไว้ได้อย่างสบาย ก่อนดาบแห่งไฟจะตวัดฟาดอีกครั้งอย่างรวดเร็วจนทำให้ร่างสูงต้องถอยหนี



“อย่านึกว่าที่สู้กันก่อนหน้าคือฝีมือทั้งหมดของข้า”



เด็กหนุ่มไม่สนคำผยองของอีกฝ่าย สายตาไม่เข้าใจมองร่างเล็กอย่างสับสน



“...ทำไม ทำไมต้องปกป้องเจ้ามนุษย์ธรรมดานั่น!? พวกมันเป็นศัตรู เจ้ากับข้าต่างหากที่ต้องร่วมมือกันกำจัดเจ้านั่น!”



“ข้าเป็นพวกบ้านนอก ไม่สนใจเรื่องชาวเมือง ก็แค่น่ารำคาญที่ต้องมาคอยระวังเรื่องการใช้เวทเพื่อเลี่ยงเรื่องยุ่งยากนอกจากจะจำเป็นจริงๆ แต่ดีหน่อยที่ข้ามีพลังเวทน้อยเลยไม่เกิดเรื่องยุ่งเท่าไหร่ ส่วนเรื่องแยกเผ่าพันธุ์ ใครดีกับข้ามาข้าก็ดีตอบด้วย ใครร้ายใส่ข้า ข้าก็เอาคืน ข้าไม่สนว่าใครเป็นเผ่าพันธุ์ใด สิ่งสำคัญมันอยู่ที่จิตใจของคนคนนั้นต่างหาก ...ส่วนเจ้านี่...ข้าเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำ ก็แค่ทำตามข้อตกลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้เจ้าบ้านี่ก็คือสัมภาระชนิดหนึ่งที่ต้องเอาไปส่งให้ถึงที่หมาย”



“...จิตใจ...” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ใบหน้าโกรธขึงมีสีหน้าอ่อนลง



มิเวลมองอาการเหม่อลอยของเขาแล้วก็คิดได้ว่าบางทีคนคนนี้อาจจะไม่ใช่คนไม่ดีอย่างที่คิดก็เป็นได้ แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับมามีสีหน้าเฉยเมยอีกครั้ง แม้จะไม่เย็นชาเท่าเก่าก็ตามที



“จะทำอะไรน่ะ!?” เสียงเอาเรื่องร้องลั่นเมื่อเห็นว่าอยู่ๆ ร่างสูงก็เข้ามาประชิดตัวแล้วใช้เวทเคลื่อนย้ายร่างของวอลให้ลอยอยู่เหนือพื้นพร้อมกับมีก้อนอะไรบางอย่างสีเงินจางๆ วางอยู่บนบาดแผลของเขา



“พากลับไปที่รถม้าของพวกเจ้า ข้าห้ามเลือดให้แล้ว คงไม่ตายก็จริง แต่ข้าใช้เวทรักษาไม่ได้ ยังไงก็ต้องพาไปรักษา”



มิเวลมีสีหน้าแปลกใจเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนท่าทีเอาเสียดื้อๆ พอจะหันไปมองวอลเธอก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างถูกยัดเข้ามาในมือขวา เด็กสาวก้มมองของในมือแล้วหันขวับกลับไปมองร่างสูงทันที



“ทำไมเจ้าถึงคืนแผนที่ให้ข้า”



“ตามข้อตกลง ข้าจะเดินทางไปกับพวกเจ้า แล้ว...” คนถูกถามเว้นช่วงก่อนจะหันมามองแล้วลดเสียงต่ำลงพูดเสริมด้วยเสียงเบาราวกระซิบ บรรยากาศเย็นยะเยือกทันควันพร้อมด้วยจิตสังหารอ่อนๆ แผ่กระจายไปทั่ว “ถ้าเจ้าตุกติก เจ้าและสัมภาระชั่วคราวนั่นไม่อยู่รอดจนข้อตกลงระหว่างเจ้ากับมันจบแน่”



มิเวลจ้องอีกฝ่ายกลับอย่างไม่เกรงกลัว พยายามระงับอารมณ์โกรธที่คุกรุ่น ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาข่มขู่เธอมาก่อน เจ้านี่หยิ่งยโสดีนักถึงกับกล้าขู่ว่าจะฆ่าเธอ ใบหน้าสวยแย้มรอยยิ้มอย่างเยือกเย็น



“งั้นคงยากหน่อยเพราะข้ามันพวกนอกคอกของเผ่ามายา ส่วนดาบของเจ้าก็ไม่ระคายผิวข้าสักนิด” มิเวลโกหกคำโต เธอมั่นใจว่าถึงเรื่องฝีมือการใช้ดาบของเธอจะเหนือกว่า แต่เจ้านี่ยังมีพลังเวทที่เธอมั่นใจอีกเช่นกันว่าไม่มีทางสู้ได้แน่เพราะเธอห่วยเรื่องเวทมนตร์เข้าขั้นวิกฤต แต่ถ้าดวลกันแค่ดาบยังไงเธอก็ยังคงมั่นใจว่าไม่แพ้แน่นอน



ใช่



เธอไม่เคยแพ้ใคร



ทั้งสองจ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนเด็กหนุ่มจะเบือนสายตาไปทางอื่น มิเวลตัดสินใจเดินนำไปที่รถม้า แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเลย



“จริงสิ เจ้าชื่ออะไร”



คนถูกถามไม่ตอบในทันที สายตานิ่งๆ ตวัดมามองที่เธอพักหนึ่งก่อนจะหลุบต่ำลงก้มมองพื้น มิเวลมองตามว่าเขามองอะไร จึงเห็นว่าเป็นก้อนหินขนาดเท่ากำมือก้อนหนึ่ง เด็กสาวแปลกใจที่เห็นเขาเก็บก้อนหินธรรมดาขึ้นมา หลังจากก้มมองก้อนหินในมืออยู่สักพักเขาก็หันมามองเธออีกครั้ง



“เอเวน” น้ำเสียงนิ่งกล่าว



“ข้าชื่อมิเวล ส่วนเจ้าบ้านั่นชื่อวอล ยินดีที่ได้เจ้ามาร่วมเดินทาง” เสียงเย็นชาประชดใส่ แต่เอเวนกลับหันไปมองทางอื่นอย่างไม่สนใจ มิเวลถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อได้เพื่อนร่วมทางที่ไม่ต้องการเพิ่มมาอีกหนึ่ง เท้าสองข้างทำหน้าที่เดินไปยังรถม้าพลางเหล่สายตามองมือขวาของเอเวนซึ่งกำลังกำก้อนหินอยู่



ก้อนหินในมือร่วงลงกับพื้น มือที่เคยกำก้อนหินเคลื่อนไปวางทาบบนก้อนสีเงินบนบาดแผลตรงท้องของวอล มิเวลอยากหยุดเดินแล้วหันไปถามว่าเขากำลังทำอะไร แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้อย่างนั้น



จริงๆ แล้วการปล่อยให้เอเวนคอยดูแลวอลนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยสักนิด ถ้าเขาจะฆ่าวอลเมื่อไหร่ก็ทำได้ หรือแม้แต่จะค่อยๆ ถ่ายพลังเวทให้วอลตายอย่างช้าๆ ก็ยังทำได้เลยด้วยซ้ำ แต่มิเวลไม่คัดค้านเพราะเธอไม่มีความรู้เรื่องบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว



ทั้งสามมาถึงรถม้าโดยใช้เวลาไม่นานนัก มิเวลเหล่มองเอเวนอยู่เป็นพักๆ สังเกตเห็นสีหน้าของวอลเริ่มมีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว แสดงว่าเอเวนคงไม่ได้คิดจะฆ่าเขา



เด็กสาวตัดสินใจเป็นคนบังคับรถม้าเองโดยให้เอเวนดูแลวอลต่อไป เมืองที่ใกล้ที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นแคว้นยูรา หนึ่งในสองแคว้นใหญ่ทิศตะวันออก เธอกำลังลังเลอยู่พอดีเลยว่าจะแวะที่เมืองนี้ดีมั้ยเพราะเรื่องการดูตัวนั้นขอซื้อข่าวจากเมืองอื่นเอาก็ได้ แต่ถ้าแวะก็จะได้พักพร้อมกับหาข่าวคราวเรื่องการเมืองจากเมืองใหญ่ได้



เหตุการณ์ช่างเป็นใจเสียจริง



แต่ว่ามีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง แม้ว่ามันคงไม่มีผลกระทบกับเธอมากเท่าไหร่ แต่สำหรับเอเวนนั้นเธอไม่แน่ใจ เพราะเธอไม่มีพลังมากพอที่จะตรวจสอบดูว่าเขามีพลังเวทมากแค่ไหน



มิเวลเหลือบมองเข้าไปในรถม้า เห็นสีหน้าของเอเวนยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิมหลังจากเธอบอกเขาไปแล้วว่ากำลังมุ่งหน้าไปยังแคว้นยูรา



คงไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



“ขอตรวจสัมภาระทั้งหมดด้วยขอรับ”



มิเวลเบ้ปากอย่างขัดใจ



“จำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ”



“ขอรับ ด่านตรวจเข้าเมืองต้องตรวจของทั้งหมดพร้อมกับยานพาหนะทุกชนิดขอรับ” พูดจบทหารหนุ่มก็เดินไปแหวกผ้าม่านหลังรถม้าเปิดดู เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางลึกลับแต่งกายด้วยผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ ด้านข้างมีเด็กหนุ่มอีกคนนอนเหยียดตรงโดยมีผ้าพันแผลพันอยู่ที่ท้อง



ทหารหนุ่มวิ่งพรวดพราดกลับไปหาคนขับรถม้าทันที สีหน้าตกใจเอ่ยปากถามอีกฝ่าย “สองคนนั้น...คนที่นอนอยู่นั่น...”



“เพื่อนของข้าเอง เขาบาดเจ็บ พวกข้าก็เลยขอแวะให้เขารักษาตัวที่เมืองนี้” มิเวลตอบเสียงราบเรียบ



“ข้าก็อยากอนุญาตให้เข้าเมืองทันทีนะขอรับ แต่ตามกฎแล้วมีเรื่องยุ่งยากที่พวกท่านต้องจัดการก่อน” ทหารหนุ่มบอกตรงไปตรงมา สีหน้ากังวลออกอาการเป็นห่วงคนเจ็บอย่างเห็นได้ชัด



“เรื่องยุ่งยากที่ว่านี่ใช้เวลานานแค่ไหนกันล่ะ”



“ไม่นานมากหรอกขอรับ แต่...” คนถูกถามชี้ไปยังด่านตรวจด้านหลังซึ่งพวกมิเวลต้องไปเจอต่อหลังจากผ่านด่านนี้ไป



สายตาของมิเวลมองตามมือที่ชี้ไป แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นจำนวนคนยืนรอรับการตรวจเข้าเมือง



เยอะขนาดนี้...อีกกี่วันถึงจะเสร็จล่ะเนี่ย!?



“อย่างที่เห็นล่ะรับ เพราะข่าวเรื่องการดูตัวของเจ้าหญิง ช่วงนี้จึงมีคนเดินทางมาที่นี่เยอะเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยจึงต้องให้พวกท่านรับการบรรจุค่าซีพร้อมกับฝากสิ่งมีค่าที่สุดเอาไว้ เมื่อออกจากเมืองถึงมารับคืนได้”



ค่าซี? มิเวลนึกสงสัย จ้องอีกฝ่ายอย่างฉงน แต่พอจะถามทหารหนุ่มก็ร้องเสียงดังออกมาเหมือนนึกอะไรได้



“พวกท่านคนใดคนหนึ่งอยู่ที่นี่เพื่อจัดการเรื่องพวกนี้ก็ได้นะขอรับ หรือไม่ก็เข้าเมืองไปก่อนแล้วค่อยมาทำ แต่ต้องกลับมาภายในสามชั่วโมงเท่านั้น”



คนใดคนหนึ่ง...



เอเวน...ไม่มีทาง เจ้านี่คงเชิดหนีไปพร้อมกับแผนที่แน่



วอล...เจ้าบ้านี่เป็นคนเจ็บแล้วจะทิ้งไว้ได้ยังไงกัน



ตัวเธอเอง...ไม่ ไม่ เธอไม่ชอบยืนรอทำเรื่องอะไรจุกจิกแบบนี้



มิเวลสะบัดหน้าไล่ความคิดทั้งหมดออกไปแล้วหันไปยิ้มหวานให้กับทหารหนุ่มหน้าใส เห็นรอยยิ้มของสาวน้อยแล้วใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มก็ปรากฏเลือดฝาดด้วยความเขิน เมื่อมองดีๆ แล้วสาวน้อยตรงหน้านั้นสวยน่ารักเหมือนเจ้าหญิงจากเมืองใดเมืองหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าไม่ได้สวมชุดคลุมสีน้ำตาลประหลาดเขาคงจะคิดว่าเธอเป็นเจ้าหญิงคนงามออกมาเที่ยวเล่นเป็นแน่



“งั้นพวกข้าขอเข้าเมืองไปก่อนแล้วค่อยมาจัดการเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน”



“ขะ...ขอรับ” ทหารหนุ่มขานรับ อาการเขินยังคงไม่หมดไปแต่กลับมีมากกว่าเก่าเมื่อได้รับรอยยิ้มหวานจากสาวน้อยอีกครั้ง เขารีบวิ่งไปเปิดทางให้รถม้าเคลื่อนผ่านด่านตรวจเข้าเมืองไปได้ สายตาเคลิ้มมองตามรถม้าผ่านไปพลางคิดฝันหวานอยู่คนเดียว



มิเวลบังคับรถม้าให้เคลื่อนเอื่อยๆ ไปตามถนน สายตากวาดมองไปรอบๆ เมืองอย่างสนใจและรู้สึกทึ่งกับความเจริญของเมืองนี้ มีทั้งเครื่องประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ดูสวยงาม เธอสนใจเศษเหล็กแบกของที่วิ่งเองได้เป็นพิเศษ รูปร่างของมันคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนมีพื้นผิวเรียบขนาดยาวเอาไว้วางของ ด้านล่างมีล้อติดอยู่หกตัว แถมยังมีเครื่องกลประหลาดที่เธอไม่เคยมาก่อน ที่ผ่านมาเธอมักจะเลี่ยงเมืองใหญ่แบบนี้เพื่อหลีกหนีเรื่องยุ่งยาก เมืองใหญ่มักจะมีการป้องกันเข้มงวด สำหรับผู้มีพลังเวทแล้ว แม้จะผ่านประตูเมืองมาได้ก็ใช่ว่าภายในเมืองจะปลอดภัย ตามที่เคยได้ข่าวมา เมืองที่ต่อต้านเวทมนตร์นั้นจะมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจสอบพลังเวทไว้ตามจุดต่างๆ ภายในเมือง



แต่สำหรับเมืองเบอริลแล้ว เธอไม่คิดว่าเมืองเล็กๆ อย่างเบอริลจะมีเครื่องมือตรวจสอบพลังเวท และที่น่าตกใจก็คือ เธอไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่ากษัตริย์เซนเธเป็นผู้ใช้เวท เธอได้ข่าวเรื่องการดูตัวกับแคว้นยูรามาก่อนจึงคิดว่าเบอริลเองก็คงจะเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงน่าสงสัยและน่าเป็นห่วงในเวลาเดียวกันที่เบอริลและแคว้นยูรากำลังจะรวมเป็นปึกแผ่น แม้จะเป็นแค่การดูตัวก็ตาม แต่ก็ถือว่าเสี่ยงมากว่าจะเกิดสงครามในเมื่อทั้งสองเมืองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันแบบนี้



ในอดีตนั้น พวกคนธรรมดาทั้งเกลียดชัง เหยียดหยามและเป็นศัตรูกับผู้ใช้เวทมาโดยตลอด แล้วในที่สุดทางรัฐบาลซึ่งเป็นพวกคนธรรมดาก็ตัดสินใจประกาศสงครามอย่างเป็นทางการเมื่อครึ่งปีก่อน แคว้นใหญ่อุดมสมบูรณ์และเจริญก้าวหน้าอย่างยูรารีบตกลงเข้าร่วมสงครามเป็นอันดับแรกๆ ส่วนแคว้นใหญ่อื่นๆ ไม่ว่าจะทางทิศใต้หรือตะวันตกก็ค่อยๆ พากันร่วมสงครามมากขึ้นทุกที ในขณะเดียวกันเมืองเล็กหลายเมืองก็ค่อยๆ ทยอยเข้าร่วมสงครามเพราะเกรงกลัวอำนาจของเมืองใหญ่ เมื่อประกาศร่วมสงครามแล้ว ผู้ใช้เวทในเมืองต่างๆ จึงถูกกำจัด หรือไม่ก็ถูกขับไล่อย่างโหดร้าย



บางคนเกิดมาพร้อมพลังเวทถึงกับโดนพ่อแม่แท้ๆ ฆ่าหรือไม่ก็นำไปปล่อยทิ้งให้อดตายไปเอง เป็นเพราะว่าเด็กๆ ผู้มีพลังเวทไม่กล้าแกร่งพอจะป้องกันตัวเองได้จนถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก จึงทำให้จำนวนผู้ใช้เวทเหลือเพียงแค่หยิบมือเมื่อเทียบกับจำนวนคนธรรมดา ก่อนจะประกาศสงคราม ผู้ใช้เวทก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว หลังประกาศสงคราม เมืองใหญ่ต่างๆ จึงแทบกลายเป็นนรกสำหรับพวกเขา



เป็นโชคดีของเธอที่เกิดมาในชนเผ่ามายาซึ่งแยกตัวไปอยู่รวมกลุ่มกันตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน แม้เผ่ามายาจะโดดเด่นเรื่องการใช้เวทมนตร์ลวงตาและคาถาเขตอาคม แต่เธอต้องยอมรับว่าตัวเองคือพวกนอกคอกแห่งเผ่ามายาโดยแท้จริง เพราะเธอใช้เวทลวงตาและเขตอาคมไม่เป็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอใช้เวทความฝันได้บ้าง เธอจึงใช้เวทนี้ทำเป็นอาชีพหาเงินชั่วคราวเสียเลย



เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยมิเวลจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ารถม้าที่ตนเป็นคนบังคับนั้นกำลังจะพุ่งชนร้านค้าตรงหน้า



เด็กสาวสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ สายบังเหียนในมือก็ถูกดึงกระชากไปอีกทาง รถม้าเลี้ยวหลบได้ทันฉิวเฉียดก่อนจะค่อยๆ ลดความเร็วจนนิ่งสนิทในที่สุด ชาวเมืองหลายคนหันมองมายังรถม้าที่เกือบจะก่อเหตุกลางตลาดด้วยความสนใจ แต่พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็หันกลับไปทำธุระของตัวเองกันต่อ



“เมื่อกี้...” มิเวลเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา แรงเหวี่ยงเมื่อครู่ทำให้เธอตกใจ พอหันไปมองด้านข้างก็เห็นเอเวนนั่งอยู่ เขามองเธอด้วยสายตาตำหนิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้วงหยิบอะไรบางอย่างในเสื้อคลุมแล้วยื่นให้เธอ



“นี่มันอะไร” เด็กสาวก้มมองของในมืออีกฝ่ายด้วยความสงสัย กำไลสีทองซึ่งดูสวยงามมากทีเดียวในสายตาของเธอ แต่เอเวนจะมาให้เครื่องประดับกับเธอทำไมกัน พอเงยหน้าตั้งใจจะถาม สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าที่ข้อมือขวาของเขาเองก็มีกำไลแบบเดียวกันอยู่



“เอาไปสวมซะ ถ้าเข้าเมืองไปลึกกว่านี้คงมีเครื่องมือตรวจพลังเวทแน่ๆ แม้เจ้าจะบอกว่าไม่มีพลังเวทมาก แต่พลังน้อยแค่ไหนเครื่องบ้าพวกนั้นก็คงตรวจได้หมดนั่นแหละ”



มิเวลรับกำไลมาถือไว้พลางวิเคราะห์คำพูดของอีกฝ่าย



“เจ้าหมายความว่า...กำไลนี่ช่วยปกปิดพลังเวทของผู้สวมใส่ได้งั้นเหรอ”



เอเวนไม่พูดอะไรนอกจากจะมองเธอด้วยสีหน้าเรียบๆ ซึ่งจากนิสัยเย็นชาของเขาแล้ว ถ้าเอเวนไม่แย้งอะไรนั่นหมายความว่าเธอคิดถูกแล้ว



มิน่าล่ะ เพราะแบบนี้นี่เองเธอถึงสัมผัสไอเวทจากตัวเอเวนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว



เมื่อได้ข้อสรุปเด็กสาวก็สวมกำไลทองเข้าที่ข้อมือซ้ายของตัวเองแล้วหันไปบังคับรถม้าต่อ



รถม้าเคลื่อนไปจอดตรงหน้าตึกสูงห่างจากตลาดออกมาไม่ไกลนัก มิเวลรีบหยุดรถทันทีที่เห็นป้ายรูปใบไม้ตั้งอยู่หน้าตึก รูปใบไม้นั้นมีความหมายว่าการแพทย์ซึ่งถูกกำหนดโดยทางรัฐบาล โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่หน้าสถานพยาบาลทุกแห่ง ส่วนผู้รักษาจะเรียกว่า ‘อัลเคอร์’ ในเมื่อต้องเดินทางไปตามเมืองต่างๆ มิเวลจึงต้องคอยศึกษาเรื่องทั่วๆ ไปเอาไว้เพื่อเอาตัวรอด



หลังจากลงจากรถม้าได้ไม่นาน เศษเหล็กเคลื่อนที่ได้เหมือนในตลาดแต่มีขนาดเล็กกว่าก็วิ่งออกมาจากตึก หยุดรอเหมือนต้องการให้วางคนเจ็บลงบนที่วางของของมัน เอเวนเห็นดังนั้นจึงยกร่างไม่ได้สติของวอลวางลงบน ‘เครื่องมือขนของ’ เขาไม่รู้สึกลำบากสักเท่าไหร่เพราะวอลตัวเบามากจนน่าตกใจ



เมื่อเดินเข้ามาในตึก มิเวลก็ตั้งใจจะเดินตาม ‘เครื่องมือขนของ’ เลี้ยวเข้าไปในห้องหนึ่ง แต่กลับถูกผู้ช่วยอัลเคอร์ห้ามเอาไว้ เด็กสาวชักสีหน้าอย่างไม่พอใจมองคนห้ามอย่างเอาเรื่อง ทำไมเธอจะตามวอลเข้าไปไม่ได้ เวลาใครเจ็บป่วยแล้วต้องรับการรักษา เธอก็เดินตามคนเจ็บเข้าไปยืนดูการรักษาด้วยทุกครั้ง



จริงสิ ที่นี่ไม่ใช่เผ่ามายานี่นา



เมื่อนึกขึ้นได้เด็กสาวก็รีบเดินห่างออกมา เห็นเอเวนยืนเอามือกอดอกพิงกำแพงอยู่อีกด้าน มองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเบือนไปมองทางอื่น เห็นท่าทางกวนประสาทของอีกฝ่ายแล้วเธอก็ต้องพยายามระงับอารมณ์ขุ่นที่ชักจะปะทุเดือดบ่อยขึ้นทุกที



เจ้าบ้านั่นจงใจให้เธอขายหน้าเล่นแน่ๆ



จะว่าไปเธอเพิ่งจะเห็นเอเวนชัดๆ นี่นะ



มิเวลมองสำรวจผู้ร่วมทางจำเป็นคนที่สองโดยละเอียดเป็นครั้งแรก ตอนที่เจอกันในป่าก่อนหน้านี้นั้นมองอะไรไม่ค่อยชัดเพราะเป็นตอนกลางคืน แต่ภายใต้แสงไฟสว่างเช่นนี้ทำให้เธอเห็นว่าสีผมของเขาเป็นน้ำเงินเข้ม แต่บางมุมก็เป็นสีดำสนิท ส่วนดวงตาสีสว่างนั้นเป็นสีอำพัน ผิวค่อนไปทางขาวแม้จะไม่ขาวเท่าเธอ แต่ยังดีที่ไม่ขาวซีดมากขนาดวอล รายนั้นเธอคิดว่าเขาป่วยเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าเย็นชาหล่อคมเข้มพร้อมด้วยสายตาน้ำแข็งราวกับมีมนตร์สะกด เธอมั่นใจว่าเขาต้องเนื้อหอมมากทีเดียว ดูได้จากสาวๆ ในตึกนี้ที่คอยชายตามองเด็กหนุ่มพร้อมกับแสดงท่าทางเคอะเขินกันอย่างถ้วนหน้า



น่าสงสารสาวๆ เหล่านั้นเสียจริง ดูเหมือนเจ้าบ้านี่จะไม่มีหัวใจแถมยังมีสีหน้าอยู่แค่โทนเดียว ไม่ดุก็เย็นชา แต่หนุ่มร้ายๆ แบบนี้ก็ดันเป็นที่ถูกใจของสาวๆ ซะอย่างนั้น พอเห็นปฏิกิริยาของสาวๆ แต่ละคนตอนที่มองเอเวนแล้วเธอก็รู้สึกขำ บางทีถ้าวอลตื่นแล้ว สาวๆ พวกนี้อาจจะหันไปสนใจเจ้านั่นด้วยก็ได้ เพราะเรื่องมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศนั้นต้องยกให้คนพูดมาก



คิดแล้วก็หัวเราะกับตัวเอง มิเวลเดินเข้าไปหาเอเวนหลังจากอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เห็นสายตาหึงหวงจากสาวคนอื่นๆ พากันมองมายังเธออย่างไม่ปิดบัง มิเวลพยายามกลั้นขำพร้อมกับทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด



เอเวนเหลือบสายตามองมายังเธออยู่พักหนึ่งแล้วเบือนกลับไปมองทางอื่น เด็กสาวไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามเรื่องสงสัยในใจ



“เจ้าได้กำไลทองมาจากไหน แถมมีตั้งสองอัน ข้าว่ามันไม่ใช่ของหาง่ายสักเท่าไหร่” นัยน์ตาสีอำพันตวัดมองคนข้างกายทันที



“ข้าคิดว่าเราแค่เดินทางด้วยกันเท่านั้น”



“ก็จริงอยู่ แต่ข้าดันมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำไลของเจ้าไปแล้ว แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ข้าไปหาข่าวเองก็ได้” น้ำเสียงเนือยๆ บอกแบบไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น ปล่อยให้คนตัวโตกว่าใช้เวลาครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง ไม่นานนักเจ้าของใบหน้าเย็นชาก็เอ่ยตอบ



“ข้าได้มาจากองค์กร ส่วนกำไลที่เจ้าใส่อยู่เป็นของเพื่อนข้า” มิเวลขมวดคิ้วด้วยความฉงน



องค์กร?



“แล้วเพื่อนเจ้าล่ะ” ทั้งที่เป็นคำถามง่ายๆ แต่เอเวนกลับเงียบไปจนทำให้มิเวลต้องหันไปมองว่าเขาเป็นอะไรไป แล้วเธอก็เห็นความเจ็บปวดในสายตาเย็นชาคู่นั้น แม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม



“ตายไปแล้ว” เสียงราบเรียบตอบเหมือนไร้ความรู้สึก แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น มิเวลเริ่มรู้สึกผิดที่ถามคำถามไม่ควรถามออกไป



“แล้ว...องค์กรอะไรนั่นล่ะ” เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง



คนถูกถามหันมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าถามมากไปแล้ว”



อารมณ์ฉุนของคนถูกว่าปะทุขึ้นทันที เนี่ยนะมาก ไม่กี่คำถามแค่เนี้ย ไม่อยากตอบบอกมาตามตรงก็ได้ แต่เจ้าบ้านี่กลับมาต่อว่าเธอ คนที่อนุญาตให้เดินทางด้วยกันก็คือเธอ แม้เธอจะเป็นฝ่ายขอเองก็เถอะ เพราะฉะนั้นเธอควรจะได้สิทธิ์รู้เรื่องอะไรสักนิดของผู้ร่วมเดินทางด้วยสิ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายอย่างเวทมนตร์



เจ้าบ้านี่มีปฏิกิริยากับคำว่าองค์กรขนาดนี้แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ



“ญาติของผู้บาดเจ็บเมื่อครู่เชิญเข้ามาด้านในได้แล้วค่ะ”



มิเวลตั้งใจจะสวนกลับแต่ก็ถูกเสียงตะโกนบอกว่าเข้าไปหาคนเจ็บได้แล้วขัดเสียก่อน เด็กสาวจึงเก็บเรื่องเอาคืนเอาไว้ทีหลังแล้วรีบตรงไปยังห้องที่เธอเคยเห็นว่าวอลถูกพาตัวเข้าไป



ภายในห้องสี่เหลี่ยมมีเครื่องมือกลไกอยู่สารพัดชนิด แต่มิเวลไม่มีอารมณ์ไปสนใจสิ่งของแปลกประหลาดเหล่านั้น เธอเห็นวอลนอนอยู่ในอะไรสักอย่างที่ดูแล้วเหมือนกับแคปซูลใสๆ



“เชิญนั่งก่อนขอรับ” ชายหนุ่มท่าทางใจดีผายมือบอกให้นั่งอย่างสุภาพพร้อมกับยิ้มนุ่มนวล แต่เขาก็ต้องยิ้มเก้ออยู่อย่างนั้นเพราะ ‘ญาติ’ ของคนเจ็บทั้งสองกลับยืนนิ่งไม่สนใจ คนหนึ่งทำหน้านิ่งๆ ส่วนอีกคนทำหน้าบูดเหมือนกำลังอารมณ์ไม่ดีนัก



“เอ่อ...งั้น ขออธิบายคร่าวๆ เลยแล้วกัน” ชายหนุ่มกระแอมเสียงสองสามทีเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา “คนเจ็บไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ แผลค่อนข้างลึกอยู่ แต่ให้นอนพักที่นี่สักสองอาทิตย์ก็จะหายดีขอรับ”



“สองอาทิตย์!” มิเวลตะโกนเสียงลั่นด้วยความตกใจทำให้ผู้เป็น ‘อัลเคอร์’ สะดุ้งสุดตัว สักพักก็มีเสียงครางเบาๆ จากคนเจ็บตามมา เอเวนคิดอย่างมั่นใจว่าคนในแคปซูลตื่นเพราะเสียงมิเวลแน่นอน



เห็นคนเจ็บฟื้นแล้วแทนที่จะดีใจแต่เธอกลับรู้สึกอยากร้องไห้ เป็นเพราะมิเวลรู้ฤทธิ์พูดมากของเจ้าบ้านั่นดีว่ามันทำพิษขนาดไหน นึกว่าจะรีบๆ รักษาแล้วก็เผ่นกลับก่อนที่เจ้าตัวยุ่งจะฟื้น แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงได้แต่ภาวนาขอให้วอลไม่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาเท่านั้น แล้วยังจะมีเรื่องระยะเวลาที่ต้องอยู่ที่นี่อีก



“ที่นี่...”



“ฟื้นแล้วออกจากที่นี่เลยไม่ได้เหรอไง” เสียงเย็นชาเอ่ย แม้ว่าเพิ่งจะทะเลาะกันก็จริง แต่ตอนนี้เธอขอสนับสนุนเอเวนก่อนก็แล้วกัน เรื่องคิดบัญชีเอาไว้ท้ายสุดเลย



“แต่แผลยังไม่หายเลยนะขอรับ” เห็นท่าทางไม่เป็นมิตรของเด็กหนุ่มร่างสูงแล้ว คนถูกซักถามก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมายังไงชอบกล แม้เขาจะปลอบตัวเองว่าคนตรงหน้าก็แค่เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบห้าสิบหกเท่านั้นก็ตาม



“อ้าว เจ้าคนที่เป็นนักมายากลนี่นา” วอลร้องทักเสียงใสทันทีที่เห็นเอเวน ส่วนคนโดนทักกลับแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน แต่วอลก็ยังคงยิ้มแป้นไม่สนใจพร้อมกับโบกมือหยอยๆ



แต่อยู่ๆ สีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าหวานก็หายวับไปเมื่อเด็กหนุ่มจำได้ว่าถูกอีกฝ่ายเอาดาบแทง มิเวลเห็นใบหน้าเหวอของวอลเข้าพอดีจึงรีบชิงพูดแทรกขึ้นเสียงดัง



“เจ้าฆ่าข้านี่”



“แล้วถ้าเร็วสุด! ...ถ้าเร็วสุดจะออกไปจากที่ไหนได้เมื่อไหร่”



ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ด้วยความงุนงงที่อยู่ๆ สาวน้อยตรงหน้าก็ตะโกนใส่ทั้งที่ยืนห่างกันอยู่แค่เมตรกว่า



นักเดินทางคราวนี้มีแต่พวกแปลกๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ แต่ช่างเถอะ คนต่างถิ่นต่างนิสัยกันอยู่แล้วล่ะนะ



อัลเคอร์หนุ่มคิดกับตัวเองอย่างปลงๆ



“คิดว่า...น่าจะประมาณหนึ่งอาทิตย์”



“สามวัน” เอเวนต่อ



มิเวลจ้องผู้ให้คำตอบด้วยสายตาคาดหวัง คนถูกจ้องเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มีผลได้ผลเสียไปกับคนเจ็บ อาจจะมีผลกระทบกับค่ารักษาเพราะไม่ต้องนอนยาวจึงเสียค่าใช้จ่ายไม่เยอะ แต่ถ้าไม่นอนพักมันก็แย่กับคนเจ็บเอง ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงต้องมาคาดคั้นต่อรองระยะเวลาเอากับเขากันด้วยล่ะเนี่ย



“ละ...แล้วแต่เลยขอรับ”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



Edited: ลูกคนที่สามเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เอเวน ของเรานั่นเองงง เจ้าของฉายา 'น้ำแข็ง' สำหรับเอเวน หากจะต้องประมูลแผนที่ล่ะก็...รายนี้คงบอกว่า GPS ง่ายกว่าเยอะ




โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2560, 19:34:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2560, 19:34:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 656





<< Episode 4 : || หัวขโมยยามค่ำคืน ||   Episode 6 : || เฟรเนร่า || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account