The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 6 : || เฟรเนร่า ||
EPISODE 6
เฟรเนร่า
“อัลเคอร์ของเจ้าบอกว่าให้นอนอยู่ในแคปซูลนี่สามวัน” มิเวลเอ่ยสรุปกับเจ้าตัวยุ่ง วอลยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อมีคนบอกให้นอนนิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรตั้งสามวัน และในแคปซูลใสๆ นี่ก็มีกลิ่นหอมๆ สูดแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย คงเป็นยาอะไรสักอย่างล่ะมั้ง
แล้วเด็กหนุ่มก็ล้มตัวนอนแผ่ลงบนเตียงอีกรอบ แต่พอแอบเหลือบสายตามองมิเวลก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าบูด เดาว่าเด็กสาวคงกำลังอิจฉาเขา
“ไม่ต้องมายิ้มเลย ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่หลับ” เสียงไม่พอใจดังขึ้นพร้อมด้วยฝ่ามือพิฆาตตบป้าบลงบนฝาแคปซูล มิเวลได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากเจ้าบ้า
“ทำไมถึงรู้ว่าข้ายังไม่หลับล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางหัวเราะหึๆ ส่วนคนถูกถามขมวดคิ้วอย่างรำคาญ
ก็เพราะเสียงหัวเราะเจ้าไงล่ะ
มิเวลตอบในใจ ชักรู้สึกหมั่นไส้เจ้าบ้าที่ได้นอนสบายยาว แล้วยังมาหัวเราะเยาะใส่เธออีก เพราะนิสัยกวนประสาทนี่ด้วยล่ะมั้งที่ทำให้เอเวนทนอยู่ร่วมห้องกับคนพูดมากไม่ได้จนต้องระเห็จออกไปยืนรอข้างนอก
‘วอล...ข้าหิว’ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัว วอลสะดุ้งน้อยๆ แม้จะคุ้นเคยแต่เขาก็ยังคงตั้งสติไม่ทันกับการสื่อสารทางจิตอยู่ดี
“อ้อ จริงสิ” เด็กหนุ่มร้องออกมาพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง มิเวลมองเขาอย่างสงสัย เห็นวอลนั่งหลับตาเหมือนกำลังทำสมาธิกับอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นเอง ตรงพื้นว่างๆ ข้างตัวเธอก็ปรากฏเงาบางอย่างขึ้นจางๆ มิเวลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ อะไรบางอย่างนั้นค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่างคล้ายสุนัข แต่มีดวงตาที่สามบนหน้าผาก มีสองหาง และมีขนยาวสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วร่างกาย ดวงตาสีฟ้าใสทั้งสามจ้องมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยน เด็กสาวบอกได้ทันทีว่าตุ๊กตาสัตว์เวทที่วอลประดิษฐ์ขึ้นในเบอริลนั้นมีรูปร่างเหมือนกับสัตว์เวทตรงหน้าเธอเปี๊ยบ ยังสงสัยอยู่เชียวว่าวอลไปรู้จักสัตว์เวทจนถึงขนาดประดิษฐ์ตุ๊กตาขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อกระทั่งเวทมนตร์เขาก็ยังไม่รู้จัก
ไม่สิ ตอนนี้เธอยิ่งงงกว่าเดิมเข้าไปอีกว่านี่มันอะไรกัน!?
“ทำไมเจ้าถึงมีสัตว์เวทไว้ในครอบครองได้” เสียงเย็นชาพร้อมด้วยเสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกัน เอเวนตรงปรี่เข้ามาที่แคปซูลด้วยความเร็วสูง สายตาแข็งกร้าวราวน้ำแข็งจ้องคนถูกถามโดยไม่ปิดบังความเกลียดชังในแววตาแม้แต่น้อย
วอลยิ้มร่าเริงไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น เด็กหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ยิ่งเรียกแววตาดุจากเอเวนมากกว่าเดิม แม้จะเริ่มรู้สึกชินกับอารมณ์ขี้เล่นของอีกฝ่ายบ้างแล้ว แต่มิเวลก็ต้องยอมรับว่าวอลกวนประสาทคนได้เก่งจริงๆ
“ข้าก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมคนที่จะฆ่าข้าอย่างเจ้าถึงมาโผล่อยู่นี่ได้ แต่คำถามเจ้ามันก็ฟังดูเข้าท่าน่าตอบอยู่ คำตอบก็คือเพราะว่ามันตามมาอยู่กับข้าไง” เสียงสดใสตอบอย่างสบายอารมณ์ เอเวนตัดสินใจเรียกดาบเงินออกมาพร้อมกับตั้งท่าเตรียมฟันแคปซูลตรงหน้าออกเป็นสองท่อน
“ถ้าเจ้าไม่ตอบดีๆ ข้าฟันทิ้งแน่” เสียงเย็นเฉียบเอ่ยขู่
“ใจเย็นสิ ก็แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง” วอลทำท่ากลัวดาบของเอเวนซึ่งดูเสแสร้งสุดๆ แต่ไม่นานเขาก็กลับมายิ้มแฉ่งอย่างเดิม
ตอนนั้นเองที่เอเวนรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกเวียนหัว แถมภาพตรงหน้าเริ่มเบลอแม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่อยู่ๆ ดาบในมือขวาก็ถูกปล่อยทิ้งลงกับพื้น เอเวนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับว่าเขาบังคับร่างกายของตัวเองไม่ได้เลย พยายามประคองสติของตนเองเอาไว้พร้อมกับคิดหาสาเหตุ
หรือว่า...
เด็กหนุ่มหันไปสังเกตสัตว์เวทข้างกายให้ชัดๆ แล้วเขาก็รู้ว่าสาเหตุว่ามาจากไหนในที่สุด ดวงตากลมโตสีฟ้าใสกำลังจ้องตรงมาที่เขา
อาการหนักอึ้งไปทั่วร่างหายไป กลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ยังคงรู้สึกมึนหัวอยู่นิดๆ เขาจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มหน้าหวานด้วยสายตาโกรธจัด แต่ผู้ถูกจ้องก็ยังคงนั่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
มิเวลยืนมองสัตว์เวทด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นสัตว์เวทชนิดนี้ที่ไหนมาก่อน แล้วเด็กสาวก็ร้องอ้อในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเปิดดูภาพสัตว์เวทหายากในหนังสือ
“เฟรเนร่า สัตว์เวทชั้นสูง นับว่าหายากเป็นอันดับสามรองจากยูนิคอร์นหิมะและงูบาดาล” สายตาสงสัยหันไปมองเจ้าบ้าที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ในแคปซูลก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนมายิ้มแหยๆ แทน “ทำไมมันถึงมาอยู่กับเจ้าได้”
มิเวลเบือนสายตาหันกลับมามองที่เฟรเนร่าอีกครั้ง ทีนี้เธอก็หายข้องใจแล้วว่าทำไมวอลถึงใช้พลังจิตได้
สัตว์เวทมักจะติดตามเฉพาะผู้มีพลังเวทเท่านั้นเพราะสามารถแบ่งพลังเวทให้มันได้ พวกมันไม่ชอบมนุษย์ธรรมดาเพราะมนุษย์ธรรมดาเกลียดเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นจึงเกลียดสัตว์เวทที่สามารถใช้พลังต่างๆ ตามแต่ละชนิดกันไปได้ด้วย อีกทั้งยังหาประโยชน์จากพวกมัน คอยเข่นฆ่าพวกสัตว์เวทเพื่อนำมาปรุงเป็นยา
แต่ก็มีสัตว์เวทที่เลือกติดตามเจ้าของเพราะความชอบด้วยเช่นกัน หากสัตว์เวทตนใดเลือกติดตามผู้ใช้เวทหรือมนุษย์ธรรมดาด้วยความชอบแล้ว มันจะเป็นฝ่ายแบ่งพลังพิเศษของตนให้แทน
พลังพิเศษของเฟรเนร่าก็คือพลังจิต ในเมื่อวอลไม่มีพลังเวท เฟรเนร่าตัวนี้ก็คงตามวอลเพราะความชอบ? แล้วก็แบ่งพลังพิเศษให้เจ้าของ เพราะเหตุนี้วอลถึงใช้พลังจิตควบคุมทหารในเมืองเบอริลได้ เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องสัตว์เวทเท่าไหร่จึงรู้แค่รายละเอียดคร่าวๆ เท่านั้น
แต่คำถามในตอนนี้ก็คือทำไมสัตว์เวทหายากอย่างเฟรเนร่าถึงมาอยู่กับวอลได้
“ข้าเจอมันนอนบาดเจ็บอยู่ ก็เลยพาไปรักษา แล้วหลังจากนั้นมันก็ตามข้าตลอดเลย ข้าก็เลยตั้งชื่อให้มันว่าควินัว” วอลเริ่มต้นเล่าเรื่องพร้อมด้วยรอยยิ้มแฉ่ง มิเวลชักหนักใจเมื่อเจ้าบ้าดันเอาชื่ออาหารไปตั้ง หวังว่าเจ้านี่คงไม่ได้ตั้งใจจะให้เฟรเนร่าตัวนี้เป็นอาหารยามขัดสนหรอกนะ
“ตกใจแทบแย่ที่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงควินัวพูดในใจข้า นึกว่ามันเป็นผีเสียอีก แล้วก็มีคนมองมันแปลกๆ ข้าก็เลยเสนอให้ควินัวเข้ามาอยู่ในร่างข้าแทน แต่เรื่องพลังจิตเมื่อกี้ข้าไม่ได้ทำนะ” วอลหันไปยิ้มแหยๆ อย่างคนรู้สึกผิดให้กับเอเวน สายตานิ่งๆ จ้องตอบกลับมา ใบหน้าเย็นชาไม่แสดงอารมณ์อะไรเพราะเขาพอจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาหงุดหงิดก็เพราะว่าสัตว์เวทที่ควรจะภักดีต่อผู้ใช้เวทกลับหันไปรับใช้มนุษย์ธรรมดาต่างหาก
“เรื่องที่เจ้าเล่าจะจริงหรือไม่ข้าไม่สน แต่ข้าสงสัยว่าเจ้าแสดงสัตว์เลี้ยงของเจ้าให้ดูทำไมตอนนี้”
“อ๋อ ควินัวบอกว่าหิว ข้าขอร้องมันไว้ว่าให้บอกก่อนจะปรากฏตัวขึ้นน่ะ ไม่รู้ว่ามีวิธีการอะไรหรอก แต่ลองจินตนาการท่านั่งหลับตาแล้วอยู่ๆ ก็มีตัวอะไรไม่รู้โผล่มาคงจะเท่ดี” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างไม่สนใจสายตาประหลาดจากอีกสองคน
“ควินัวบอกว่าหิว...” มิเวลสรุปข้อมูลอันน้อยนิดที่ได้ เธอเริ่มรู้สึกอยากให้เฟรเนร่าตัวนี้พูดได้ขึ้นมา แต่น่าเสียดายเพราะเฟรเนร่าเด่นเรื่องพลังจิต คงได้แต่สื่อสารทางจิตเท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกินอะไร ข้าให้ควินัวออกมาแล้วมันก็วิ่งหายไปหาของกินเอาเอง เคยเห็นมันกินดินอยู่ แต่ไม่แน่ใจ” วอลทำท่านึกพลางเล่าเรื่องในความทรงจำ เขาเคยเห็นควินัวกำลังกินดินอยู่จริงๆ แต่ดินกลับไม่พร่องเลยสักนิด เขาจึงไม่แน่ใจว่ามันกินอากาศหรือดินกันแน่ “ควินัวหิวไม่บ่อยหรอก แค่อาทิตย์ล่ะครั้งเอง แต่ต้องให้เวลามันหาอาหารนานหน่อย”
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในแคปซูล แล้วจะพามันไปหาอาหารได้ยังไง” เอเวนถามก่อนจะหันไปมองควินัวด้วยสายตาเย็นชา เขายังคงรู้สึกเคืองที่มันใช้อำนาจทางจิตควบคุมร่างกายของเขาเมื่อครู่ แม้จะเข้าใจว่ามันต้องการปกป้องเจ้านายก็ตาม
ยังดีที่เฟรเนร่าใช้พลังจิตได้ก็ต่อเมื่อปรากฏร่างขึ้นมาแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาใช้ดาบแทงวอลคงโดนพลังจิตของเจ้าเฟรเนร่าตัวนี้จัดการแน่
เอเวนหันกลับไปมองวอล นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มแฉ่ง ทำตาเป็นประกายจ้องเขากับมิเวลอยู่อย่างนั้น แล้วอยู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ แต่เขาชักจะสังหรณ์ใจไม่ดี
คงไม่ใช่ว่าจะ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเฟรเนร่ากินพลังวิญญาณของต้นไม้” เสียงสดใสพูดกับตัวเองพลางยืนมองควินัวในสภาพเป็นแค่ลูกสุนัขธรรมดายืนกินอาหารจากโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
เพราะรูปร่างสะดุดตาของมัน มิเวลจึงต้องบอกวอลให้เขาสั่งควินัวให้ใช้พลังจิตแปลงกายหยาบให้เหมือนหมาธรรมดาทั่วไป แต่ทำไมถึงกลายเป็นลูกหมาตัวน้อยเธอก็ไม่แน่ใจ จะว่าไปแล้ว โชคดีจริงๆ ที่เฟรเนร่าใช้พลังจิตจึงไม่มีผลต่อเครื่องตรวจสอบพลังเวท
ร่างกายอ่อนแอของวอลทำให้เขาออกจากแคปซูลไม่ได้ ส่วนเอเวนก็ปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีทางพาควินัวไปหาอาการกินแน่ เธอจึงต้องเป็นคนรับหน้าที่นี้แทน นึกแล้วก็ชักหงุดหงิดที่เอเวนแสดงท่าทางเกลียดควินัวขนาดนั้น แม้จะโดนมันใช้พลังจิตใส่ แต่ควินัวต้องการปกป้องวอลซึ่งเป็นเจ้าของและเจ้านาย เธอคิดว่าเอเวนก็คงรู้แต่กลับหงุดหงิดไร้สาระมากกว่า ในเมื่อเขามีอารมณ์อยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไม่โกรธก็ดุ ไม่เย็นชาก็นิ่งเฉย
เชอะ คิดว่าเท่นักเหรอไง โกรธได้แม้กระทั่งสัตว์เวท
สงสัยจริงๆ ว่าเอเวนจะหายโกรธได้ยังไง หรือว่าจะรอให้ควินัวขอโทษ...
หลังจากยืนมองควินัวกินอาหารได้สักพัก มิเวลก็นึกเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นได้ เด็กสาวรีบคว้าตัวควินัวแล้ววิ่งกลับไปยังห้องพักของวอลทันที ระหว่างทางเห็นเอเวนยืนพิงกำแพงทำหน้าตายอยู่ เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเข้าไปดึงเสื้อคลุมของอีกฝ่ายให้ไปด้วยกัน เอเวนไม่ร้องโวยวายก็จริงแต่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตของเขากำลังจ้องเขม็งอยู่ข้างหลัง
วอลอ้าปากตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีเด็กสาวผมแดงโผล่พรวดเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน มือขวาอุ้มลูกหมาตัวน้อย ส่วนมือซ้ายกำชายเสื้อคลุมสีดำของเด็กหนุ่มหน้ามุ่ยอีกคนไว้แน่น หรือว่าสองคนนี้กำลังจะไปเล่นกายกรรม ไหนๆ ก็มีสัตว์เวทอยู่ อาจจะเปลี่ยนใจเอาไปโชว์เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า
“...ข้าไม่ร่วมแสดงด้วยนะ” วอลปฏิเสธไว้ก่อน มิเวลทำหน้างงว่าเขาพูดเรื่องอะไร
ควินัวรีบวิ่งตรงไปหาผู้เป็นเจ้าของทันทีที่รอดพ้นจากพันธนาการ มันกระโจนเข้าใส่แคปซูลใสอย่างไม่ลังเล มิเวลร้องตกใจเพราะเห็นร่างน้อยๆ กำลังจะกระแทกกับกระจก แต่เธอก็ต้องตะลึงงันเมื่อร่างเล็กทะลุผ่านกระจกหายเข้าไปในกลางอกของเด็กหนุ่มหน้าหวาน
ร่างของวอลค่อยๆ ล้มไปด้านหลังช้าๆ ดูแล้วเหมือนล้มตามแรงของควินัวเมื่อครู่ นัยน์ตาสีเงินปรือลงแล้วหลับสนิทไปเหมือนคนหมดสติ
เอเวนยืนมองเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขาไม่รู้สึกตกใจอะไรเพราะรู้อยู่แล้ว แม้จะแปลกใจนิดหน่อยก็ตาม เป็นเรื่องปกติที่สัตว์เวทจะขออาศัยอยู่ในร่างของผู้เป็นเจ้าของ และเพราะอยู่ๆ ก็มีดวงวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างเพิ่มขึ้นอีกดวงจึงทำให้ร่างกายต้องปรับให้เข้ากับวิญญาณดวงใหม่ด้วย แต่ธรรมดาแล้วก็แค่ทำให้รู้สึกเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงกับหมดสติไปแบบนี้
“ร่างกายกำลังปรับสภาพให้เข้ากับวิญญาณของเฟรเนร่า เดี๋ยวก็ตื่นเอง” เอเวนอธิบายให้กับคนข้างกายที่กำลังจะหันมาถามเขาพอดี “แล้วเมื่อกี้เจ้าลากข้ามาทำไม”
มิเวลมีสีหน้าสบายใจขึ้น แต่พอได้ยินคำถามจากคนตัวสูงกว่าแล้วความสบายใจทั้งหลายก็หายวับไปในพริบตา
“จริงสิ! เรื่องเข้าเมืองนั่นไง เจ้ากับข้าต้องไปทำเรื่องขอเข้าเมือง” พูดจบก็รีบคว้าเสื้อคลุมของอีกฝ่ายวิ่งออกนอกประตูให้ไปด้วยกันโดยไม่รอฟังคำโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารหน้าประตูนั่นบอกว่าให้กลับมาจัดการให้เรียบร้อยภายในสามชั่วโมง แต่นี่ผ่านมาร่วมครึ่งวัน หวังว่าคงไม่เป็นไร
ตอนแรกมิเวลตั้งใจจะมาเข็นแคปซูลของวอลให้ไปด้วยกัน เธอสังเกตเห็นล้อสี่ล้ออยู่ใต้แคปซูลและนั่นหมายความว่ามันเคลื่อนที่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าบ้าดันนอนหลับ เธอก็คงต้องทิ้งเอาไว้ ยังไงวอลก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาไม่ใช่ผู้ใช้เวท
ทั้งสองคนรีบวิ่งไปขึ้นรถม้าที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าตึก มิเวลออกคำสั่งให้เอเวนเป็นคนขับเพราะเธอชักกลัวๆ หลังจากบังคับรถม้าเกือบชนร้านค้าเมื่อตอนเช้า เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันคู่สวยหันมาทำหน้าหงิกใส่แต่ก็ยอมไปนั่งประจำที่คนบังคับรถม้าตามคำสั่ง
บรรยากาศภายในเมืองต่างจากก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นเช้าตรู่อันแสนเงียบสงบ มีเครื่องประดับตกแต่งตามร้านค้าต่างๆ มากมายจนดูเหมือนทั้งเมืองกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง เสียงเครื่องดนตรีดังสนั่นกึกก้องพร้อมด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งถนนเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่จนทำให้ขับเคลื่อนรถม้าได้ลำบาก
มิเวลรู้สึกแปลกใจที่เอเวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไร้ความรู้สึก ถ้าเธอเป็นคนบังคับรถม้าล่ะก็ เธอไม่มานั่งใจเย็นค่อยๆ กระดึ๊บไปข้างหน้าทีละนิดแบบนี้แน่
เด็กสาวตัดสินใจกระโดดลงจากหลังรถก่อนจะถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชาวเมือง ใช้สองมือแหวกทางไปยังร้านค้าใกล้สุดซึ่งไม่ค่อยมีคนอยู่สักเท่าไหร่เพราะส่วนมากยืนอัดกันอยู่บนถนน
ใช้เวลาพอสมควรกว่ามิเวลจะเบียดตัวเองผ่านฝูงคนมายังบริเวณที่ต้องการได้ เด็กสาวหยุดยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากรู้สึกเหมือนผ่านสมรภูมิแย่งอากาศหายใจกันมาเมื่อครู่
นัยน์ตาสีเพลิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน เห็นพวกกระป๋องขวดต่างๆ วางขายอยู่ นึกถึงอาหารกระป๋องสำหรับนักเดินทางแล้วเธอจึงฟันธงเอาเองว่าร้านนี้คงขายของกิน
มีคนยืนอยู่หน้าร้านเล็กๆ นี้แค่ห้าคน รวมเธอด้วยก็เป็นหกคน เด็กสาวรู้สึกแปลกใจพอเห็นสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความยินดีร่วมไปกับชาวเมืองคนอื่นๆ ของทั้งห้าคน มองดูแล้วก็ชักนึกถึงสีหน้าเรียบสนิทเหมือนไร้ความรู้สึกของเอเวนขึ้นมา แต่ต่างกันตรงที่แววตา แม้ว่าเอเวนจะเย็นชาแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังคงสัมผัสความรู้สึกได้จากเขา แต่แววตาของทั้งห้าคนนี้กลับดูเลื่อนลอยไร้ชีวิต
“ขอถามอะไรหน่อย ตอนนี้มีงานฉลองอะไรกันเหรอ” มิเวลเอ่ยถามเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งดูๆ แล้วน่าจะอายุพอๆ กันกับเธอ
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย มิเวลจึงไล่ถามอีกสี่คนที่เหลือ แต่เธอก็ได้รับคำตอบอย่างเดียวกันซึ่งก็คือความเงียบ
แปลก...
ห้าคนนี้ไม่ได้หันมามองเธอด้วยซ้ำ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
มิเวลลังเลว่าจะเลือกกลับไปที่รถม้าเพื่อปรึกษาเอเวนหรือจะถามคนอื่นเพิ่มเติมดี เมื่อตัดสินใจได้เธอก็รีบวิ่งไปหาคนหนึ่งในกลุ่มฝูงคน บางทีถ้าถามพวกชาวเมืองบนถนนอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้
“...ถ้าแตกตื่น เป้าหมายข้าจะหนีได้ง่าย ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่”
เสียงแหบแห้งกระซิบที่ข้างหูทำให้มิเวลหันขวับไปมองด้วยความตกใจ
ชายคนหนึ่งในสภาพผอมแห้งไร้ดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก มีของเหลวสีแดงสดไหลเป็นทางยาวออกมาจากช่องโหว่ที่ควรจะมีลูกตาอยู่ มือกระดูกคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้พร้อมกับออกแรงบีบอย่างแรง มิเวลมองภาพตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึงสุดขีด เธอไม่แน่ใจว่าเขาเป็น ‘มนุษย์’ หรือเปล่าด้วยซ้ำ
เป้าหมาย?
หมายความว่ายังไง?
‘ทุกท่านโปรดต้อนรับเจ้าหญิงเรเน่แห่งแคว้นยูรา และขอองค์ราชาเพอราลแห่งยูรากล่าวเปิดงานเลี้ยงฉลองการส่งตัวเจ้าหญิงไปยังเมืองเบอริลเพื่อเป็นการสมานฉันท์ของทั้งสองเมือง’
ในขณะที่มิเวลยังตะลึงงันและงุนงงอยู่ เสียงประกาศก้องพร้อมคำเฉลยของคำถามเรื่องงานเลี้ยงฉลองจากลำโพงก็ดังก้องทั่วทั้งแคว้น ก่อนเสียงปรบมือพร้อมเสียงเฮลั่นจะดังสนั่น
งานเลี้ยง...
เจ้าหญิง...
“...เริ่มแล้ว...” เสียงแหบแห้งกล่าวอีกครั้ง แล้วร่างผอมแห้งก็กระโดดหายขึ้นไปเกาะอยู่บนเสาไฟฟ้าด้านบน เพราะการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบจึงไม่มีใครสังเกตเห็นมันนอกจากมิเวล
‘ข้ายินดีที่เห็นชาวเมืองทุกท่านมาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงฉลองวันนี้ ข้าซาบซึ้งในความกรุณาของทุกท่านมาก และข้ามั่นใจว่าการรวมเมืองเบอริลเข้ากับแคว้นของเราจะนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้’
กษัตริย์เพอราลเริ่มต้นเกริ่นนำก่อนกล่าวเปิดงาน แต่มิเวลไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น ร่างเล็กวิ่งกลับไปยังรถม้าให้เร็วที่สุด พร้อมกับตะโกนร้องเรียกเอเวนสุดเสียงแม้จะมั่นใจว่าเขาไม่มีทางได้ยินเพราะถูกเสียงประกาศจากลำโพงกลบก็ตาม
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชาจนเป็นลักษณะประจำตัวเขานั่งมองฝูงคนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านหน้าด้วยความเบื่อหน่าย นึกแปลกใจว่าทำไมคนขี้รำคาญอย่างมิเวลถึงนั่งเงียบสงบมาได้ตลอดทาง
แต่อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นวูบพร้อมทั้งสัมผัสจิตสังหารรุนแรงได้จากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้ สัญชาตญาณบอกให้เขาระวังตัว มือขวารีบจับด้ามดาบเตรียมพร้อม
ไอเวท...มากเสียด้วย
แปลก...เครื่องตรวจพลังเวทพวกนั้นหมดอายุการใช้งานหรือไง
“เอเวน!” เสียงตะโกนเรียกพร้อมๆ กับที่เด็กหนุ่มชักดาบยาวออกมา
พอเห็นว่าเป็นมิเวล ดวงตากร้าวก็ฉายแววอ่อนลง แต่มือขวาก็ยังคงถือดาบค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้น
“มีอะไร” เสียงเรียบเฉยถามเพราะพอเดาออกว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายบางอย่างเกิดขึ้นแน่
“...ตัวอะไรก็ไม่รู้...เมื่อกี้...เมื่อกี้ข้าเจอตัวอะไรสักอย่าง...คล้ายคนก็จริง แต่...แต่ข้าว่าไม่ใช่” เสียงอ่อนแรงพยายามอธิบายพร้อมกับหายใจหอบอย่างอ่อนเพลีย
เอเวนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
หมายความว่ายังไง คล้ายคน แต่ไม่ใช่คน
หรือว่าจะเป็น...
“ขึ้นมาก่อน”
“...ไม่ ข้าจะไปหยุดมัน!” มิเวลปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับวิ่งหายกลับเข้าไปในฝูงชน เธอไม่ต้องการร่วมมือกับเอเวน แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่บอกให้เขาระวังตัว เผื่อมันหันไปเล่นงานรถม้าซึ่งเด่นเป็นสง่ากลางฝูงชาวเมืองบนถนน ที่ผ่านมาเธอก็เอาตัวรอดด้วยตัวเองมาโดยตลอด เมื่อครู่ก็แค่ตกใจเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอตั้งสติได้แล้ว กับอีแค่ตัวประหลาดตัวเดียว เธอจัดการเองได้!
ยังคงไม่มีใครสังเกตเห็นร่างกึ่งมนุษย์กึ่งกระดูกบนเสาไฟฟ้า แม้ร่างนั้นจะไร้ดวงตาแต่ริมฝีปากกว้างกลับทำหน้าที่ยิ้มแสยะได้อย่างยอดเยี่ยม
มิเวลวิ่งไปยังใต้เสาไฟฟ้าใต้เจ้าตัวประหลาดพอดิบพอดี เด็กสาวแหงนหน้ามองร่างผอมแห้งด้านบนพลางนึกหาวิธีสอยมันลงมาก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ในระหว่างนั้นคำกล่าวเปิดงานเลี้ยงของกษัตริย์แห่งยูราก็ดังขึ้นพอดี ตามด้วยเสียงจุดพลุดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ พร้อมกับปรากฏรูปภาพต่างๆ นานาขึ้นบนท้องฟ้าอย่างสวยงาม
เธอได้ยินเสียงมันหัวเราะเสียงพร่า
“...งานเลี้ยงเริ่มแล้ว...”
ฉึก!
โครงกระดูกร่วงหล่นจากเสาไฟฟ้าลงมากระแทกกับพื้นเบื้องล่าง แม้จะไม่มีดวงตาแต่มันก็ยังคงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาได้
กริ๊ก
“ผิด...งานเลี้ยงจบแล้ว สำหรับแก” นัยน์ตาสีแดงเพลิงราวมัจจุราชมองเขม็งในท่ายืน มือขวาจ่ออาวุธสีทองเข้ากับหน้าผากของร่างผอมแห้งกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้นราบ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เฟรเนร่า
“อัลเคอร์ของเจ้าบอกว่าให้นอนอยู่ในแคปซูลนี่สามวัน” มิเวลเอ่ยสรุปกับเจ้าตัวยุ่ง วอลยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อมีคนบอกให้นอนนิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรตั้งสามวัน และในแคปซูลใสๆ นี่ก็มีกลิ่นหอมๆ สูดแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย คงเป็นยาอะไรสักอย่างล่ะมั้ง
แล้วเด็กหนุ่มก็ล้มตัวนอนแผ่ลงบนเตียงอีกรอบ แต่พอแอบเหลือบสายตามองมิเวลก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าบูด เดาว่าเด็กสาวคงกำลังอิจฉาเขา
“ไม่ต้องมายิ้มเลย ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่หลับ” เสียงไม่พอใจดังขึ้นพร้อมด้วยฝ่ามือพิฆาตตบป้าบลงบนฝาแคปซูล มิเวลได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากเจ้าบ้า
“ทำไมถึงรู้ว่าข้ายังไม่หลับล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางหัวเราะหึๆ ส่วนคนถูกถามขมวดคิ้วอย่างรำคาญ
ก็เพราะเสียงหัวเราะเจ้าไงล่ะ
มิเวลตอบในใจ ชักรู้สึกหมั่นไส้เจ้าบ้าที่ได้นอนสบายยาว แล้วยังมาหัวเราะเยาะใส่เธออีก เพราะนิสัยกวนประสาทนี่ด้วยล่ะมั้งที่ทำให้เอเวนทนอยู่ร่วมห้องกับคนพูดมากไม่ได้จนต้องระเห็จออกไปยืนรอข้างนอก
‘วอล...ข้าหิว’ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัว วอลสะดุ้งน้อยๆ แม้จะคุ้นเคยแต่เขาก็ยังคงตั้งสติไม่ทันกับการสื่อสารทางจิตอยู่ดี
“อ้อ จริงสิ” เด็กหนุ่มร้องออกมาพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง มิเวลมองเขาอย่างสงสัย เห็นวอลนั่งหลับตาเหมือนกำลังทำสมาธิกับอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นเอง ตรงพื้นว่างๆ ข้างตัวเธอก็ปรากฏเงาบางอย่างขึ้นจางๆ มิเวลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ อะไรบางอย่างนั้นค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่างคล้ายสุนัข แต่มีดวงตาที่สามบนหน้าผาก มีสองหาง และมีขนยาวสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วร่างกาย ดวงตาสีฟ้าใสทั้งสามจ้องมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยน เด็กสาวบอกได้ทันทีว่าตุ๊กตาสัตว์เวทที่วอลประดิษฐ์ขึ้นในเบอริลนั้นมีรูปร่างเหมือนกับสัตว์เวทตรงหน้าเธอเปี๊ยบ ยังสงสัยอยู่เชียวว่าวอลไปรู้จักสัตว์เวทจนถึงขนาดประดิษฐ์ตุ๊กตาขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อกระทั่งเวทมนตร์เขาก็ยังไม่รู้จัก
ไม่สิ ตอนนี้เธอยิ่งงงกว่าเดิมเข้าไปอีกว่านี่มันอะไรกัน!?
“ทำไมเจ้าถึงมีสัตว์เวทไว้ในครอบครองได้” เสียงเย็นชาพร้อมด้วยเสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกัน เอเวนตรงปรี่เข้ามาที่แคปซูลด้วยความเร็วสูง สายตาแข็งกร้าวราวน้ำแข็งจ้องคนถูกถามโดยไม่ปิดบังความเกลียดชังในแววตาแม้แต่น้อย
วอลยิ้มร่าเริงไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น เด็กหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ยิ่งเรียกแววตาดุจากเอเวนมากกว่าเดิม แม้จะเริ่มรู้สึกชินกับอารมณ์ขี้เล่นของอีกฝ่ายบ้างแล้ว แต่มิเวลก็ต้องยอมรับว่าวอลกวนประสาทคนได้เก่งจริงๆ
“ข้าก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมคนที่จะฆ่าข้าอย่างเจ้าถึงมาโผล่อยู่นี่ได้ แต่คำถามเจ้ามันก็ฟังดูเข้าท่าน่าตอบอยู่ คำตอบก็คือเพราะว่ามันตามมาอยู่กับข้าไง” เสียงสดใสตอบอย่างสบายอารมณ์ เอเวนตัดสินใจเรียกดาบเงินออกมาพร้อมกับตั้งท่าเตรียมฟันแคปซูลตรงหน้าออกเป็นสองท่อน
“ถ้าเจ้าไม่ตอบดีๆ ข้าฟันทิ้งแน่” เสียงเย็นเฉียบเอ่ยขู่
“ใจเย็นสิ ก็แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง” วอลทำท่ากลัวดาบของเอเวนซึ่งดูเสแสร้งสุดๆ แต่ไม่นานเขาก็กลับมายิ้มแฉ่งอย่างเดิม
ตอนนั้นเองที่เอเวนรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกเวียนหัว แถมภาพตรงหน้าเริ่มเบลอแม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่อยู่ๆ ดาบในมือขวาก็ถูกปล่อยทิ้งลงกับพื้น เอเวนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับว่าเขาบังคับร่างกายของตัวเองไม่ได้เลย พยายามประคองสติของตนเองเอาไว้พร้อมกับคิดหาสาเหตุ
หรือว่า...
เด็กหนุ่มหันไปสังเกตสัตว์เวทข้างกายให้ชัดๆ แล้วเขาก็รู้ว่าสาเหตุว่ามาจากไหนในที่สุด ดวงตากลมโตสีฟ้าใสกำลังจ้องตรงมาที่เขา
อาการหนักอึ้งไปทั่วร่างหายไป กลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ยังคงรู้สึกมึนหัวอยู่นิดๆ เขาจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มหน้าหวานด้วยสายตาโกรธจัด แต่ผู้ถูกจ้องก็ยังคงนั่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
มิเวลยืนมองสัตว์เวทด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นสัตว์เวทชนิดนี้ที่ไหนมาก่อน แล้วเด็กสาวก็ร้องอ้อในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเปิดดูภาพสัตว์เวทหายากในหนังสือ
“เฟรเนร่า สัตว์เวทชั้นสูง นับว่าหายากเป็นอันดับสามรองจากยูนิคอร์นหิมะและงูบาดาล” สายตาสงสัยหันไปมองเจ้าบ้าที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ในแคปซูลก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนมายิ้มแหยๆ แทน “ทำไมมันถึงมาอยู่กับเจ้าได้”
มิเวลเบือนสายตาหันกลับมามองที่เฟรเนร่าอีกครั้ง ทีนี้เธอก็หายข้องใจแล้วว่าทำไมวอลถึงใช้พลังจิตได้
สัตว์เวทมักจะติดตามเฉพาะผู้มีพลังเวทเท่านั้นเพราะสามารถแบ่งพลังเวทให้มันได้ พวกมันไม่ชอบมนุษย์ธรรมดาเพราะมนุษย์ธรรมดาเกลียดเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นจึงเกลียดสัตว์เวทที่สามารถใช้พลังต่างๆ ตามแต่ละชนิดกันไปได้ด้วย อีกทั้งยังหาประโยชน์จากพวกมัน คอยเข่นฆ่าพวกสัตว์เวทเพื่อนำมาปรุงเป็นยา
แต่ก็มีสัตว์เวทที่เลือกติดตามเจ้าของเพราะความชอบด้วยเช่นกัน หากสัตว์เวทตนใดเลือกติดตามผู้ใช้เวทหรือมนุษย์ธรรมดาด้วยความชอบแล้ว มันจะเป็นฝ่ายแบ่งพลังพิเศษของตนให้แทน
พลังพิเศษของเฟรเนร่าก็คือพลังจิต ในเมื่อวอลไม่มีพลังเวท เฟรเนร่าตัวนี้ก็คงตามวอลเพราะความชอบ? แล้วก็แบ่งพลังพิเศษให้เจ้าของ เพราะเหตุนี้วอลถึงใช้พลังจิตควบคุมทหารในเมืองเบอริลได้ เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องสัตว์เวทเท่าไหร่จึงรู้แค่รายละเอียดคร่าวๆ เท่านั้น
แต่คำถามในตอนนี้ก็คือทำไมสัตว์เวทหายากอย่างเฟรเนร่าถึงมาอยู่กับวอลได้
“ข้าเจอมันนอนบาดเจ็บอยู่ ก็เลยพาไปรักษา แล้วหลังจากนั้นมันก็ตามข้าตลอดเลย ข้าก็เลยตั้งชื่อให้มันว่าควินัว” วอลเริ่มต้นเล่าเรื่องพร้อมด้วยรอยยิ้มแฉ่ง มิเวลชักหนักใจเมื่อเจ้าบ้าดันเอาชื่ออาหารไปตั้ง หวังว่าเจ้านี่คงไม่ได้ตั้งใจจะให้เฟรเนร่าตัวนี้เป็นอาหารยามขัดสนหรอกนะ
“ตกใจแทบแย่ที่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงควินัวพูดในใจข้า นึกว่ามันเป็นผีเสียอีก แล้วก็มีคนมองมันแปลกๆ ข้าก็เลยเสนอให้ควินัวเข้ามาอยู่ในร่างข้าแทน แต่เรื่องพลังจิตเมื่อกี้ข้าไม่ได้ทำนะ” วอลหันไปยิ้มแหยๆ อย่างคนรู้สึกผิดให้กับเอเวน สายตานิ่งๆ จ้องตอบกลับมา ใบหน้าเย็นชาไม่แสดงอารมณ์อะไรเพราะเขาพอจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาหงุดหงิดก็เพราะว่าสัตว์เวทที่ควรจะภักดีต่อผู้ใช้เวทกลับหันไปรับใช้มนุษย์ธรรมดาต่างหาก
“เรื่องที่เจ้าเล่าจะจริงหรือไม่ข้าไม่สน แต่ข้าสงสัยว่าเจ้าแสดงสัตว์เลี้ยงของเจ้าให้ดูทำไมตอนนี้”
“อ๋อ ควินัวบอกว่าหิว ข้าขอร้องมันไว้ว่าให้บอกก่อนจะปรากฏตัวขึ้นน่ะ ไม่รู้ว่ามีวิธีการอะไรหรอก แต่ลองจินตนาการท่านั่งหลับตาแล้วอยู่ๆ ก็มีตัวอะไรไม่รู้โผล่มาคงจะเท่ดี” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างไม่สนใจสายตาประหลาดจากอีกสองคน
“ควินัวบอกว่าหิว...” มิเวลสรุปข้อมูลอันน้อยนิดที่ได้ เธอเริ่มรู้สึกอยากให้เฟรเนร่าตัวนี้พูดได้ขึ้นมา แต่น่าเสียดายเพราะเฟรเนร่าเด่นเรื่องพลังจิต คงได้แต่สื่อสารทางจิตเท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกินอะไร ข้าให้ควินัวออกมาแล้วมันก็วิ่งหายไปหาของกินเอาเอง เคยเห็นมันกินดินอยู่ แต่ไม่แน่ใจ” วอลทำท่านึกพลางเล่าเรื่องในความทรงจำ เขาเคยเห็นควินัวกำลังกินดินอยู่จริงๆ แต่ดินกลับไม่พร่องเลยสักนิด เขาจึงไม่แน่ใจว่ามันกินอากาศหรือดินกันแน่ “ควินัวหิวไม่บ่อยหรอก แค่อาทิตย์ล่ะครั้งเอง แต่ต้องให้เวลามันหาอาหารนานหน่อย”
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในแคปซูล แล้วจะพามันไปหาอาหารได้ยังไง” เอเวนถามก่อนจะหันไปมองควินัวด้วยสายตาเย็นชา เขายังคงรู้สึกเคืองที่มันใช้อำนาจทางจิตควบคุมร่างกายของเขาเมื่อครู่ แม้จะเข้าใจว่ามันต้องการปกป้องเจ้านายก็ตาม
ยังดีที่เฟรเนร่าใช้พลังจิตได้ก็ต่อเมื่อปรากฏร่างขึ้นมาแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาใช้ดาบแทงวอลคงโดนพลังจิตของเจ้าเฟรเนร่าตัวนี้จัดการแน่
เอเวนหันกลับไปมองวอล นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มแฉ่ง ทำตาเป็นประกายจ้องเขากับมิเวลอยู่อย่างนั้น แล้วอยู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ แต่เขาชักจะสังหรณ์ใจไม่ดี
คงไม่ใช่ว่าจะ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเฟรเนร่ากินพลังวิญญาณของต้นไม้” เสียงสดใสพูดกับตัวเองพลางยืนมองควินัวในสภาพเป็นแค่ลูกสุนัขธรรมดายืนกินอาหารจากโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
เพราะรูปร่างสะดุดตาของมัน มิเวลจึงต้องบอกวอลให้เขาสั่งควินัวให้ใช้พลังจิตแปลงกายหยาบให้เหมือนหมาธรรมดาทั่วไป แต่ทำไมถึงกลายเป็นลูกหมาตัวน้อยเธอก็ไม่แน่ใจ จะว่าไปแล้ว โชคดีจริงๆ ที่เฟรเนร่าใช้พลังจิตจึงไม่มีผลต่อเครื่องตรวจสอบพลังเวท
ร่างกายอ่อนแอของวอลทำให้เขาออกจากแคปซูลไม่ได้ ส่วนเอเวนก็ปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีทางพาควินัวไปหาอาการกินแน่ เธอจึงต้องเป็นคนรับหน้าที่นี้แทน นึกแล้วก็ชักหงุดหงิดที่เอเวนแสดงท่าทางเกลียดควินัวขนาดนั้น แม้จะโดนมันใช้พลังจิตใส่ แต่ควินัวต้องการปกป้องวอลซึ่งเป็นเจ้าของและเจ้านาย เธอคิดว่าเอเวนก็คงรู้แต่กลับหงุดหงิดไร้สาระมากกว่า ในเมื่อเขามีอารมณ์อยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไม่โกรธก็ดุ ไม่เย็นชาก็นิ่งเฉย
เชอะ คิดว่าเท่นักเหรอไง โกรธได้แม้กระทั่งสัตว์เวท
สงสัยจริงๆ ว่าเอเวนจะหายโกรธได้ยังไง หรือว่าจะรอให้ควินัวขอโทษ...
หลังจากยืนมองควินัวกินอาหารได้สักพัก มิเวลก็นึกเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นได้ เด็กสาวรีบคว้าตัวควินัวแล้ววิ่งกลับไปยังห้องพักของวอลทันที ระหว่างทางเห็นเอเวนยืนพิงกำแพงทำหน้าตายอยู่ เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเข้าไปดึงเสื้อคลุมของอีกฝ่ายให้ไปด้วยกัน เอเวนไม่ร้องโวยวายก็จริงแต่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตของเขากำลังจ้องเขม็งอยู่ข้างหลัง
วอลอ้าปากตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีเด็กสาวผมแดงโผล่พรวดเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน มือขวาอุ้มลูกหมาตัวน้อย ส่วนมือซ้ายกำชายเสื้อคลุมสีดำของเด็กหนุ่มหน้ามุ่ยอีกคนไว้แน่น หรือว่าสองคนนี้กำลังจะไปเล่นกายกรรม ไหนๆ ก็มีสัตว์เวทอยู่ อาจจะเปลี่ยนใจเอาไปโชว์เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า
“...ข้าไม่ร่วมแสดงด้วยนะ” วอลปฏิเสธไว้ก่อน มิเวลทำหน้างงว่าเขาพูดเรื่องอะไร
ควินัวรีบวิ่งตรงไปหาผู้เป็นเจ้าของทันทีที่รอดพ้นจากพันธนาการ มันกระโจนเข้าใส่แคปซูลใสอย่างไม่ลังเล มิเวลร้องตกใจเพราะเห็นร่างน้อยๆ กำลังจะกระแทกกับกระจก แต่เธอก็ต้องตะลึงงันเมื่อร่างเล็กทะลุผ่านกระจกหายเข้าไปในกลางอกของเด็กหนุ่มหน้าหวาน
ร่างของวอลค่อยๆ ล้มไปด้านหลังช้าๆ ดูแล้วเหมือนล้มตามแรงของควินัวเมื่อครู่ นัยน์ตาสีเงินปรือลงแล้วหลับสนิทไปเหมือนคนหมดสติ
เอเวนยืนมองเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขาไม่รู้สึกตกใจอะไรเพราะรู้อยู่แล้ว แม้จะแปลกใจนิดหน่อยก็ตาม เป็นเรื่องปกติที่สัตว์เวทจะขออาศัยอยู่ในร่างของผู้เป็นเจ้าของ และเพราะอยู่ๆ ก็มีดวงวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างเพิ่มขึ้นอีกดวงจึงทำให้ร่างกายต้องปรับให้เข้ากับวิญญาณดวงใหม่ด้วย แต่ธรรมดาแล้วก็แค่ทำให้รู้สึกเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงกับหมดสติไปแบบนี้
“ร่างกายกำลังปรับสภาพให้เข้ากับวิญญาณของเฟรเนร่า เดี๋ยวก็ตื่นเอง” เอเวนอธิบายให้กับคนข้างกายที่กำลังจะหันมาถามเขาพอดี “แล้วเมื่อกี้เจ้าลากข้ามาทำไม”
มิเวลมีสีหน้าสบายใจขึ้น แต่พอได้ยินคำถามจากคนตัวสูงกว่าแล้วความสบายใจทั้งหลายก็หายวับไปในพริบตา
“จริงสิ! เรื่องเข้าเมืองนั่นไง เจ้ากับข้าต้องไปทำเรื่องขอเข้าเมือง” พูดจบก็รีบคว้าเสื้อคลุมของอีกฝ่ายวิ่งออกนอกประตูให้ไปด้วยกันโดยไม่รอฟังคำโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารหน้าประตูนั่นบอกว่าให้กลับมาจัดการให้เรียบร้อยภายในสามชั่วโมง แต่นี่ผ่านมาร่วมครึ่งวัน หวังว่าคงไม่เป็นไร
ตอนแรกมิเวลตั้งใจจะมาเข็นแคปซูลของวอลให้ไปด้วยกัน เธอสังเกตเห็นล้อสี่ล้ออยู่ใต้แคปซูลและนั่นหมายความว่ามันเคลื่อนที่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าบ้าดันนอนหลับ เธอก็คงต้องทิ้งเอาไว้ ยังไงวอลก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาไม่ใช่ผู้ใช้เวท
ทั้งสองคนรีบวิ่งไปขึ้นรถม้าที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าตึก มิเวลออกคำสั่งให้เอเวนเป็นคนขับเพราะเธอชักกลัวๆ หลังจากบังคับรถม้าเกือบชนร้านค้าเมื่อตอนเช้า เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันคู่สวยหันมาทำหน้าหงิกใส่แต่ก็ยอมไปนั่งประจำที่คนบังคับรถม้าตามคำสั่ง
บรรยากาศภายในเมืองต่างจากก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นเช้าตรู่อันแสนเงียบสงบ มีเครื่องประดับตกแต่งตามร้านค้าต่างๆ มากมายจนดูเหมือนทั้งเมืองกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง เสียงเครื่องดนตรีดังสนั่นกึกก้องพร้อมด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งถนนเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่จนทำให้ขับเคลื่อนรถม้าได้ลำบาก
มิเวลรู้สึกแปลกใจที่เอเวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไร้ความรู้สึก ถ้าเธอเป็นคนบังคับรถม้าล่ะก็ เธอไม่มานั่งใจเย็นค่อยๆ กระดึ๊บไปข้างหน้าทีละนิดแบบนี้แน่
เด็กสาวตัดสินใจกระโดดลงจากหลังรถก่อนจะถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชาวเมือง ใช้สองมือแหวกทางไปยังร้านค้าใกล้สุดซึ่งไม่ค่อยมีคนอยู่สักเท่าไหร่เพราะส่วนมากยืนอัดกันอยู่บนถนน
ใช้เวลาพอสมควรกว่ามิเวลจะเบียดตัวเองผ่านฝูงคนมายังบริเวณที่ต้องการได้ เด็กสาวหยุดยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากรู้สึกเหมือนผ่านสมรภูมิแย่งอากาศหายใจกันมาเมื่อครู่
นัยน์ตาสีเพลิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน เห็นพวกกระป๋องขวดต่างๆ วางขายอยู่ นึกถึงอาหารกระป๋องสำหรับนักเดินทางแล้วเธอจึงฟันธงเอาเองว่าร้านนี้คงขายของกิน
มีคนยืนอยู่หน้าร้านเล็กๆ นี้แค่ห้าคน รวมเธอด้วยก็เป็นหกคน เด็กสาวรู้สึกแปลกใจพอเห็นสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความยินดีร่วมไปกับชาวเมืองคนอื่นๆ ของทั้งห้าคน มองดูแล้วก็ชักนึกถึงสีหน้าเรียบสนิทเหมือนไร้ความรู้สึกของเอเวนขึ้นมา แต่ต่างกันตรงที่แววตา แม้ว่าเอเวนจะเย็นชาแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังคงสัมผัสความรู้สึกได้จากเขา แต่แววตาของทั้งห้าคนนี้กลับดูเลื่อนลอยไร้ชีวิต
“ขอถามอะไรหน่อย ตอนนี้มีงานฉลองอะไรกันเหรอ” มิเวลเอ่ยถามเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งดูๆ แล้วน่าจะอายุพอๆ กันกับเธอ
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย มิเวลจึงไล่ถามอีกสี่คนที่เหลือ แต่เธอก็ได้รับคำตอบอย่างเดียวกันซึ่งก็คือความเงียบ
แปลก...
ห้าคนนี้ไม่ได้หันมามองเธอด้วยซ้ำ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
มิเวลลังเลว่าจะเลือกกลับไปที่รถม้าเพื่อปรึกษาเอเวนหรือจะถามคนอื่นเพิ่มเติมดี เมื่อตัดสินใจได้เธอก็รีบวิ่งไปหาคนหนึ่งในกลุ่มฝูงคน บางทีถ้าถามพวกชาวเมืองบนถนนอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้
“...ถ้าแตกตื่น เป้าหมายข้าจะหนีได้ง่าย ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่”
เสียงแหบแห้งกระซิบที่ข้างหูทำให้มิเวลหันขวับไปมองด้วยความตกใจ
ชายคนหนึ่งในสภาพผอมแห้งไร้ดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก มีของเหลวสีแดงสดไหลเป็นทางยาวออกมาจากช่องโหว่ที่ควรจะมีลูกตาอยู่ มือกระดูกคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้พร้อมกับออกแรงบีบอย่างแรง มิเวลมองภาพตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึงสุดขีด เธอไม่แน่ใจว่าเขาเป็น ‘มนุษย์’ หรือเปล่าด้วยซ้ำ
เป้าหมาย?
หมายความว่ายังไง?
‘ทุกท่านโปรดต้อนรับเจ้าหญิงเรเน่แห่งแคว้นยูรา และขอองค์ราชาเพอราลแห่งยูรากล่าวเปิดงานเลี้ยงฉลองการส่งตัวเจ้าหญิงไปยังเมืองเบอริลเพื่อเป็นการสมานฉันท์ของทั้งสองเมือง’
ในขณะที่มิเวลยังตะลึงงันและงุนงงอยู่ เสียงประกาศก้องพร้อมคำเฉลยของคำถามเรื่องงานเลี้ยงฉลองจากลำโพงก็ดังก้องทั่วทั้งแคว้น ก่อนเสียงปรบมือพร้อมเสียงเฮลั่นจะดังสนั่น
งานเลี้ยง...
เจ้าหญิง...
“...เริ่มแล้ว...” เสียงแหบแห้งกล่าวอีกครั้ง แล้วร่างผอมแห้งก็กระโดดหายขึ้นไปเกาะอยู่บนเสาไฟฟ้าด้านบน เพราะการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบจึงไม่มีใครสังเกตเห็นมันนอกจากมิเวล
‘ข้ายินดีที่เห็นชาวเมืองทุกท่านมาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงฉลองวันนี้ ข้าซาบซึ้งในความกรุณาของทุกท่านมาก และข้ามั่นใจว่าการรวมเมืองเบอริลเข้ากับแคว้นของเราจะนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้’
กษัตริย์เพอราลเริ่มต้นเกริ่นนำก่อนกล่าวเปิดงาน แต่มิเวลไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น ร่างเล็กวิ่งกลับไปยังรถม้าให้เร็วที่สุด พร้อมกับตะโกนร้องเรียกเอเวนสุดเสียงแม้จะมั่นใจว่าเขาไม่มีทางได้ยินเพราะถูกเสียงประกาศจากลำโพงกลบก็ตาม
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชาจนเป็นลักษณะประจำตัวเขานั่งมองฝูงคนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านหน้าด้วยความเบื่อหน่าย นึกแปลกใจว่าทำไมคนขี้รำคาญอย่างมิเวลถึงนั่งเงียบสงบมาได้ตลอดทาง
แต่อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นวูบพร้อมทั้งสัมผัสจิตสังหารรุนแรงได้จากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้ สัญชาตญาณบอกให้เขาระวังตัว มือขวารีบจับด้ามดาบเตรียมพร้อม
ไอเวท...มากเสียด้วย
แปลก...เครื่องตรวจพลังเวทพวกนั้นหมดอายุการใช้งานหรือไง
“เอเวน!” เสียงตะโกนเรียกพร้อมๆ กับที่เด็กหนุ่มชักดาบยาวออกมา
พอเห็นว่าเป็นมิเวล ดวงตากร้าวก็ฉายแววอ่อนลง แต่มือขวาก็ยังคงถือดาบค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้น
“มีอะไร” เสียงเรียบเฉยถามเพราะพอเดาออกว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายบางอย่างเกิดขึ้นแน่
“...ตัวอะไรก็ไม่รู้...เมื่อกี้...เมื่อกี้ข้าเจอตัวอะไรสักอย่าง...คล้ายคนก็จริง แต่...แต่ข้าว่าไม่ใช่” เสียงอ่อนแรงพยายามอธิบายพร้อมกับหายใจหอบอย่างอ่อนเพลีย
เอเวนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
หมายความว่ายังไง คล้ายคน แต่ไม่ใช่คน
หรือว่าจะเป็น...
“ขึ้นมาก่อน”
“...ไม่ ข้าจะไปหยุดมัน!” มิเวลปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับวิ่งหายกลับเข้าไปในฝูงชน เธอไม่ต้องการร่วมมือกับเอเวน แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่บอกให้เขาระวังตัว เผื่อมันหันไปเล่นงานรถม้าซึ่งเด่นเป็นสง่ากลางฝูงชาวเมืองบนถนน ที่ผ่านมาเธอก็เอาตัวรอดด้วยตัวเองมาโดยตลอด เมื่อครู่ก็แค่ตกใจเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอตั้งสติได้แล้ว กับอีแค่ตัวประหลาดตัวเดียว เธอจัดการเองได้!
ยังคงไม่มีใครสังเกตเห็นร่างกึ่งมนุษย์กึ่งกระดูกบนเสาไฟฟ้า แม้ร่างนั้นจะไร้ดวงตาแต่ริมฝีปากกว้างกลับทำหน้าที่ยิ้มแสยะได้อย่างยอดเยี่ยม
มิเวลวิ่งไปยังใต้เสาไฟฟ้าใต้เจ้าตัวประหลาดพอดิบพอดี เด็กสาวแหงนหน้ามองร่างผอมแห้งด้านบนพลางนึกหาวิธีสอยมันลงมาก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ในระหว่างนั้นคำกล่าวเปิดงานเลี้ยงของกษัตริย์แห่งยูราก็ดังขึ้นพอดี ตามด้วยเสียงจุดพลุดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ พร้อมกับปรากฏรูปภาพต่างๆ นานาขึ้นบนท้องฟ้าอย่างสวยงาม
เธอได้ยินเสียงมันหัวเราะเสียงพร่า
“...งานเลี้ยงเริ่มแล้ว...”
ฉึก!
โครงกระดูกร่วงหล่นจากเสาไฟฟ้าลงมากระแทกกับพื้นเบื้องล่าง แม้จะไม่มีดวงตาแต่มันก็ยังคงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาได้
กริ๊ก
“ผิด...งานเลี้ยงจบแล้ว สำหรับแก” นัยน์ตาสีแดงเพลิงราวมัจจุราชมองเขม็งในท่ายืน มือขวาจ่ออาวุธสีทองเข้ากับหน้าผากของร่างผอมแห้งกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้นราบ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.พ. 2560, 13:09:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.พ. 2560, 13:09:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 739
<< Episode 5 : || ผู้ร่วมทางคนที่สอง || | Episode 7 : || งานเลี้ยงล่ม || >> |