โซ่รักไฟปรารถนา
“เป็นเพียงแค่เงา... ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไร้ตัวตน แต่มันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องรู้ซึ้งกับความทรมานที่เสียดแทงหัวใจผมอยู่ทุกวินาที”

บ่อยครั้งที่ ‘เชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ’ ส่ายหน้าและทอดถอนใจให้กับความ(ร้าย)เดียงสาของเด็กแก่แดดวัยเจ็ดขวบ
ซึ่งมักจ้องมองตนด้วยสายตาชื่นชม คำพูดฉอเลาะที่ได้ยินทำให้เขานึกอยากจับมาพาดตักแล้วหวดก้นสั่งสอนแทนผู้เป็นพ่อแม่นัก
‘เขาคือพ่อของลูก’ เป็นความความลับที่ ‘นราวิกา’ เคยคิดว่าจะฝังกลบมันลงในก้นบึ้งของหัวใจ กลับต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยคำขู่บังคับอันหนักหน่วงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เมื่อเธอปล้นความเป็นพ่อจากเขาไปถึงเจ็ดปี เขาก็จะช่วงชิงตัวลูกสาวให้หนีหายไปอีกเจ็ดปีเช่นกัน
เธอทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ในมุมมืด ซ่อนเร้นความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในกายให้รอดพ้นจากสายตาคนทั้งโลกไม่ต่างจากพวกมีปัญหาทางจิต
น้ำตาและความชอกช้ำใจของเธอจึงเป็น ‘หนทางบำบัดความทรมาน’ ที่คาดว่าจะทำให้บาดแผลในหัวใจของเขานั้นตื้นเขินขึ้น

ทว่าสถานภาพใหม่กลับผลักดันให้เขาอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนของของครอบครัวเล็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแม่ของลูกยังทำให้เขาต้องยิ้มตามอย่างมีความสุข
ทุกอย่างจึงดูสับสนและสวนทางกับความผิดพลาดในอดีตที่เต็มไปด้วยคำโป้ปดมดเท็จ
หนทางที่จะใช้น้ำตาและความเจ็บปวดเอาชนะเธอจึงดูริบหรี่จนแทบไม่เห็นแสงสว่าง

ทว่า ‘ไฟปรารถนาที่ยังคุโชน’ ในสายตาของเธอนั้น กลับทำให้เชเชนนอฟมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวที่อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนพ่อของลูกก็จะให้เธอ ‘อุ้มท้องไปจนกว่าเขาจะพอใจ’ คือเหตุผลที่นราวิกากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซ้ำร้ายเขาคิดจะใช้เหตุผลนี้ทรมานเธอให้สาสม!

Tags: เชเชน พ่อค้าอาวุธสงคราม พีด้า เด็กอายุ7ขวบ น่ารัก ฟินว่อร์

ตอน: ตอนที่ 6 100%

สภาพของอันเดรที่เห็นในครั้งแรกนั้นทำให้พีด้าตกใจถึงกับเกาะกระจกใสซึ่งกั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องปลอดเชื้อแล้วร้องไห้จนคนเป็นแม่ต้องเข้ามากอดปลอบ แล้วรั้งลูกสาวให้นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งไว้ใกล้กับประตูห้องซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ จากนั้นนราวิกาจึงเข้าไปพูดคุยกับพยาบาล สอบถามถึงอาการและเรื่องราวที่เกิดขึ้น
การที่ได้เห็นภาพห้องที่อันเดรนอนอยู่ข้างในนั้น ทำให้เชเชนนอฟรู้ว่านราวิกาต้องหันหน้าจ้องมองแต่ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย แล้วหันหลังให้กับประตูที่เปิดออกกว้าง
เขาเดินผ่านหน้าห้อง เหลือบสายตามองและภาพที่เห็นก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ทว่าเด็กหญิงที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมยกมือทั้งสองข้างป้ายน้ำตาออกจากแก้มก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะจดจำเขาได้ด้วย
เชเชนนอฟเดินผ่านหน้าห้องไปสักสี่ก้าวแล้วตัดสินใจหมุนตัวกลับไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มที่มองทีไรก็เหมือนกำลังส่องกระจกเงานั้นกระตุกหัวใจทุกครั้ง แต่ความจริงที่ว่าประชากรเกินร้อยละห้าสิบห้าของรัสเซียมีดวงตาสีฟ้า ไม่ว่าจะเฉดไหนก็เรียกรวมๆ ว่าสีฟ้า รวมไปถึงแอลเมเรียซึ่งเป็นคอเคซอยด์เช่นกัน
พีด้าส่ายหน้าเมื่อเห็นเจ้าชายพยักหน้าเรียกให้เดินออกไปหา แต่ก็ยังจำจดคำเตือนที่แม่และลุงย้ำเป็นหนักหนา
เชเชนนอฟจึงใช้วิธีชี้นิ้วเป็นเชิงว่าให้เด็กหญิงเดินออกมาใกล้ๆ ตรงประตู เมื่อเห็นว่าร่างเล็กเลื่อนตัวลงมาจากเก้าอี้และก้าวออกมายืนชิดกรอบประตู
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไงคะ” พีด้าถาม
ทว่าคนฟังกลับยิ้มที่มุมปากเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับเด็กหญิงด้วยความรู้สึกเช่นไร ยอมรับว่ามีทั้งความโกรธผสมรวมกับอคติ “เธอล่ะ มาทำอะไร”
“หนูกับแม่มาเยี่ยมอันเดรค่ะ ถูกทำร้ายร่างกาย อาการหนักมาก” ตอบตามที่จับใจความจากที่แม่คุยกับนางพยาบาล
“แนซ... เอ่อ ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่เธอเหรอ” เขาต้องบ้าไปแล้วที่ย้ำถามออกมาอย่างนั้นทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก
“ค่ะ แม่เป็นห่วง...” พีด้าตอบไม่ทันจบประโยค เสียงเรียกของแม่ก็ดังขึ้นและทำให้เด็กหญิงหมุนตัวกลับไปหาแม่
“พีด้า... ทำอะไรลูก” นราวิกาเรียกและเดินเข้ามาหาลูกสาวเสียเอง
ในจังหวะนั้นเชเชนนอฟก็รีบเดินเข้าไปหลบอยู่ตรงมุมของตึก แน่นอนว่าสายตาคู่คมของเขายังจดจ้องใบหน้าของเธออยู่เช่นเดิม
...เวลาแปดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลย เธอเปลี่ยนไปจากเดิมอยู่มาก ทั้งรูปร่างที่ดูเจ้าเนื้อขึ้นแต่ก็ไม่ได้กลายเป็นสาวอวบจนท้วมเหมือนคนปล่อยตัวหลังคลอดลูก ใบหน้ารูปไข่ คางแหลมๆ รับกับริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ขยับขึ้นลงพูดจากับลูกสาว ช่างดูรักใคร่ มีความเป็นแม่อย่างเต็มเปี่ยม
“หนูคุยกับเจ้าชาย อ้าว... หายไปไหนแล้ว” พีด้าตอบแล้วหมุนตัวกลับมาอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า นั่นทำให้คนเป็นแม่จิตใจไม่ดีนัก
“เจ้าชายที่ไหนลูก...” ถามอย่างคนเหนื่อยใจ
“ก็เจ้าชายคนที่เคยไปซื้อกาแฟที่ร้านเราไงคะ เมื่อกี้นี้เขายืนอยู่ตรงนี้”
ไม่รู้ว่าจริงเท็จสักแค่ไหน แต่นราวิกาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับและจับมือของลูกสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะหันกลับไปพูดคุยกับนางพยาบาลซึ่งแนะนำให้เธอติดต่อญาติสายตรงของคนป่วยให้ได้รับรู้
ครืด... ครืด...
เสียงโทรศัพท์ของคนที่แอบมองอยู่ตรงมุมตึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้พ่อค้าอาวุธสงครามต้องละสายตาจากร่างของสองแม่ลูกและเดินกลับมายังรถยนต์ที่จอดรออยู่ด้านหน้าของโรงพยาบาล เมื่อคนสนิทมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องรายงานให้เขารับรู้

ปาเวลรายงานเรื่องที่สืบรู้มาให้เจ้านายได้รับฟังอย่างละเอียด นั่นเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ชาวแอลเมเรียทั้งประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะตื่นตะลึงกับข่าวรับวันใหม่ที่ผู้นำของประเทศอัตวินิบาตกรรมเมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา ด้วยการใช้ปืนยิงตัวตายในทำเนียบรัฐบาล
ความจริงแล้วเหตุเกิดราวตีสามแต่ถูกปิดข่าวเงียบจนโฆษกรัฐบาลออกมาแถลงการณ์เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา นั่นทำให้รถยนต์ของเชเชนนอฟมุ่งหน้าจากโรงพยาบาลไปยังคฤหาสน์ซียานอฟด้วยความเร็วสูงสุด แน่แล้วว่าการขนย้ายของสำคัญจากกาสิโนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้นำแอลเมเรีย เพราะคำนวณเวลาดูแล้วคำสั่งขนย้ายนั้นน่าจะเกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของผู้นำประเทศไม่นาน
พ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์คันหรูเข้าไปในคฤหาสน์ซียานอฟในเวลาที่แสงแดดของเช้าวันใหม่ส่องสว่าง ทว่าเสียงคุ้นหูของใครบางคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ต่อว่าต่อขานนั้นดังลอดออกมาจากห้องรับแขก
“ทำไมพ่อถึงได้ใจร้ายแบบนี้ หนูไม่คิดเลยว่าพ่อจะ...” ตาทาเนียไม่อาจจะพูดตามที่ใจคิด เพราะยังมีความยำเกรงและเคารพ แต่ทว่าเรื่องในอดีตที่เปิดเผยออกมาเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานั้น มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเสียจนไม่น่าให้อภัย
แน่นอนว่าอิกอร์ได้แต่นั่งนิ่งคอตก สีหน้าซีดเผือด หัวไหล่ที่เคยผึ่งผายอย่างภาคภูมิ ตอนนี้กลับห่อเหี่ยวราวกับไม่ใช่ที่ปรึกษาความมั่นคงของแอลเมเรียผู้น่าเกรงขาม
“ถึงพ่อจะไม่แก้ตัว และยอมรับผิดตลอดเวลาแต่หนูก็ไม่รู้ว่าจะยกโทษให้พ่อได้ไหม” ตาทาเนียยังต่อว่าต่อขานไม่หยุด
“เฮ้... มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” คงเป็นครั้งแรกกระมังที่เชเชนนอฟไถ่ถามพ่อและน้องสาวด้วยน้ำเสียงของคนในครอบครัวเดียวกัน นั่นก็เป็นเพราะไม่เคยเห็นว่าน้องสาวจะเสียใจเช่นนี้และที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่เคยเห็นสีหน้าของพ่อเศร้าสลดใจเช่นนี้มาก่อนแต่กลับไม่มีใครตอบคำถามเลย
ตาทาเนียไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตของตัวเองเช่นไร ตอนนี้เธอขอหลบไปให้ไกลจากความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นและเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะตามมา “หนูไม่ไหวแล้ว หนูไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเวลาพบเจอผู้คน ที่สำคัญหนูอยู่กับคนใจร้ายไม่ได้”
จบคำพูดก็ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่แล้วเดินออกมาราวกับว่าทนมองหน้าพ่ออีกต่อไปไม่ได้ แต่ก็ต้องชะงักการก้าวเดินเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของพี่ชายยืนขวางทาง
“เป็นอะไร ตาเนีย”
เงยหน้ามองพี่ชายทั้งที่น้ำตานองหน้า นี่ก็คงเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ได้ยินได้เห็นว่าพี่ชายไถ่ถามด้วยความห่วงใย “ฉันอยู่ไม่ได้ เพราะอะไรก็ไปถามพ่อเอาเอง”
เชเชนนอฟขมวดคิ้วจรดกันแทบเป็นเส้นตรง ไม่เข้าใจหนักขึ้นไปอีก “แล้วจะไปไหน อีกไม่กี่วันก็ต้องแต่งงานไม่ใช่เหรอ”
ตาทาเนียหัวเราะพรืดออกมากับเรื่องสะเทือนใจที่เกิดขึ้นและตอบคำถามอย่างอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันตัวเอง “ฉันจะแต่งงานกับเจ้าบ่าวที่เป็นพี่ชายพ่อเดียวกันได้ยังไง”
“อะไรนะ?” คงเป็นน้ำเสียงโทนที่สูงที่สุดในชีวิตของพ่อค้าอาวุธสงครามที่ถามออกมาอย่างไม่เชื่อหู ทั้งที่จริงแล้วชัดเจนทุกถ้อยคำ
ตาทาเนียพยักหน้าเร็วๆ และพูดโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “พ่อกับท่านประธานาธิบดีเห็นแก่ผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน พี่เชื่อไหมล่ะว่าพวกเขาสองคนวางแผนชั่วร้ายใช้ความภักดีของผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเครื่องมือได้อย่างเลือดเย็น แอนทอนอยากให้พ่อสนับสนุนถึงกับวางแผนให้พ่อขืนใจเมียตัวเอง สุดท้ายทำไม่รู้ไม่ชี้ จนเธอตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาถึงได้รู้ความจริงว่าเป็นแผนการของผู้ชายสองคนนี้”
“พอแล้วตาเนีย หยุดพูด ฉันไม่อยากฟัง” อิกอร์ห้ามและหลั่งน้ำตาออกมา แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวเพราะความชั่วร้ายในอดีตที่เคยทำเอาไว้กำลังตามหลอกหลอนความรู้สึก
“พ่อจะกลัวมันทำไม พ่อเกือบทำชีวิตหนูพัง เกือบให้หนูแต่งงานกับพี่ชายตัวเอง”
“หมายความว่าท่านรัฐมนตรีกลาโหมเป็น...” เชเชนนอฟครางออกมาด้วยน้ำเสียงเบาโหวง จนท้ายประโยคแทบจะไม่ได้ยิน และตาทาเนียก็เป็นคนต่อคำพูดนั้นเสียเอง
“เป็นลูกพ่ออิกอร์ ซียานอฟ กับภรรยาของท่านประธานาธิบดีที่เข้าใจกันว่าตายไปตั้งแต่ตอนคลอดลูก แต่ความจริงแล้วเธอหนีผู้ชายไม่มีหัวใจสองคนนี้ไปต่างหาก ตอนนี้เธอเปลี่ยนชื่อเป็นมิลล่า กลับมาเปิดเผยความชั่วร้ายและช่วยฉันเอาไว้ไม่ให้แต่งงานกับพี่ชายตัวเอง ฮือ...” ตาทาเนียยังร้องไห้ไม่หยุด
โอ... พระเจ้า!
เชเชนนอฟครางในอกเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ “ไม่เอาน่า ตาเนีย เธอจะหนีไปทำไม”
“พี่ก็เหมือนกัน รู้อยู่เต็มอกใช่ไหมว่าลุคแกล้งความจำเสื่อม แล้วทำไมไม่บอกฉัน” เสียงตวาดแวดๆ ดังขึ้นพร้อมกับกำปั้นที่ระรัวเข้าใส่แผงอกของพี่ชาย “ฮือ... ทำไมทุกคนหลอกฉัน”
เชเชนนอฟไม่ได้ปัดป้องกับการประทุษร้ายร่างกายนั้น แต่กลับยกฝ่ามือลูบแผ่นหลังของน้องสาวด้วยความเห็นใจในขณะที่จ้องมองปฏิกิริยาของพ่อไม่กะพริบตา แต่จู่ๆ ร่างของน้องสาวก็ทรุดลงกับพื้น นั่นยิ่งทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจ “ตาเนีย... เธอไม่ได้รักลาโคลอฟหรอก เธอแค่รู้สึกเสียหน้า ลุกขึ้นเถอะ”
ตาทาเนียส่ายหน้า ไม่อยากจะฟังคำพูดของใครอีกจึงชันตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากคฤหาสน์หลังใหญ่ทันที เสียงซูเปอร์คาร์ที่แล่นออกไปตามแรงอารมณ์ของคนขับทำให้เชเชนนอฟได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ดีไปกว่าปล่อยให้น้องสาวได้สงบสติอารมณ์ แล้วคิดทบทวนในคำพูดของตน
ความเงียบงันเข้าครอบคลุมและบรรยากาศของพ่อลูกก็ไม่สู้ดีนัก สายตาของลูกที่มองมายังเต็มไปด้วยคำถามซึ่งตอนนี้อิกอร์ยังไม่พร้อมที่จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
ส่วนคนเป็นลูกก็เห็นได้แต่เพียงความเจ็บช้ำ รู้สึกผิดจากแววตาของพ่อ
“ออกไป ฉันอยากอยู่คนเดียว” อิกอร์บอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก ทว่าแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด
“ทางออกยังมีอีกมากมาย ผมหวังว่าพ่อจะไม่แก้ปัญหาอย่างคนขี้ขลาด”
ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงพูดดักคอ เพราะยังเชื่อว่าคนที่มีอิทธิพล อำนาจ และเป็นบุคคลที่สาธารณชนให้ความสนใจ ย่อมรู้สึกอับอายและจิตใจเปราะบางกับเสียงนินทาและคำกล่าวร้ายมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว พวกเขาต้องไม่มีข้อเสียให้สาธารณชนได้รู้ ได้เห็น ยิ่งไม่มีทางรับได้กับสายตาที่มองอย่างประณามหยามเหยียด
ไม่เช่นนั้นผู้นำแห่งแอลเมเรียจะตัดสินใจจบชีวิตของตนไว้ก่อนที่จะได้เห็น ได้ยินความรู้สึกในแง่ลบเช่นนั้นหรือ ทว่านักการเมืองที่ยึดถืออำนาจและความเคารพเป็นใหญ่ ย่อมต้องมีความแตกต่างกับนักธุรกิจอย่างพ่อของตน คิดมาถึงตรงนี้เชเชนนอฟก็ได้แต่เดินขึ้นไปยังชั้นบน เพราะเขาเองก็เพิ่งพบเจอเรื่องที่ทำให้หัวใจสั่นไหวเช่นกัน
ทว่าการก้าวเดินต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมาอย่างกึกก้อง ซึ่งเป็นการยากนักที่เขาจะคาดเดาอารมณ์และความรู้สึกได้ หวังว่าการอยู่คนเดียวจะช่วยให้พ่อคิดหาทางออกให้กับตัวเอง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาก็ต้องการแช่น้ำอุ่นจัด หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาเบาบางความเคียดแค้นที่คิดว่าฝังมันเอาไว้ลึก ทิ้งมันไปกับอดีตที่ไม่น่าพิสมัย ทว่าจริงๆ แล้วความเจ็บแค้นที่ถูกคนเคยรักและเพื่อนสนิทหักหลังนั้น เป็นเหมือนเข็มแหลมนับพันคอยทิ่มแทงหัวใจเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความทรมานนั้น... มันไม่ได้จางหายไปไหน แต่มันทำร้ายเขาอยู่ทุกวินาทีให้เจ็บจนชาชิน นานวันก็เข้าใจผิดไปเองว่าการทรยศนั้นไม่สามารถทำร้ายตนเองได้ แต่ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องหลอกลวง ได้รู้ว่าเป็นคนหลอกตัวเองก็ตอนที่ได้เห็นใบหน้าของเธอ ได้เห็นว่าคนทรยศสร้างครอบครัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
เชเชนนอฟค่อยๆ ลดตัวให้ต่ำลงจนน้ำในอ่างท่วมศีรษะ หวังว่าเมื่อโผล่ขึ้นมารับเอาออกซิเจนเข้าเต็มปอดอีกครั้งแล้ว เขาจะหาหนทางบำบัดความทรมานนี้ให้หมดสิ้นไปจริงๆ เสียที

สี่วันแล้วที่อันเดรยังนอนนิ่ง ไม่รู้สึกตัวและยังเป็นผู้ป่วยอาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียู เธอเป็นคนแจ้งข่าวนี้ให้กับครอบครัวของอันเดรได้รับทราบ ซึ่งแม่ของอันเดรยังต่อว่าเธอว่าเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายกล้าตัดขาดกับครอบครัวและทำให้ต้องมาล้มเจ็บเช่นนี้
นราวิกาไม่ได้โต้เถียงเพราะเข้าใจดีว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร และก็ไม่ใช่เรื่องสมควรนักหากเธอจะต่อปากต่อคำกับบุพการีของเพื่อน
ดูเหมือนว่าสี่วันมานี้ชาวแอลเมเรียจะให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวอัตวินิบาตกรรมของผู้นำประเทศ ยังมีเรื่องคอร์รัปชั่น ซ่องสุมกองกำลังเถื่อนแดงขึ้นมาให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด บุคคลสำคัญและมีตำแหน่งสูงในประเทศหลายต่อหลายคน ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทั้งทางวินัยและจริยธรรม
ในภาวะที่ความรู้สึกของคนทั้งประเทศยังไม่เป็นปกติเช่นนี้ พวกแก๊งลักเด็กยิ่งเหิมเกริมหนักข้อขึ้นเพราะในสี่วันที่ผ่านมายังมีเด็กอายุหกขวบ ไล่ไปจนถึงสิบสองขวบ หายตัวไปแล้วถึงห้าคนในทั่วทุกเขตของแอลเมเรีย แต่ทางการยังไม่สามารถทำลายล้างแก๊งลักพาตัวเด็กได้เลย ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนอย่างมืออาชีพไม่ใช่แค่พวกโจรกระจอกแต่อย่างใด
สนามเด็กเล่นซึ่งมีอยู่หลายแห่งดูเงียบเหงาไปถนัดตาเพราะเป็นจุดสุดท้ายที่เด็กๆ นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นั่นยิ่งทำให้นราวิการู้สึกหวาดผวากับเรื่องดังกล่าว เธอไปรับ-ส่งลูกสาวด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้บาริสต้าอีกคนที่ทำงานในร้านไปรับเช่นเคย
หลังปิดร้านสองแม่ลูกยังต้องเดินทางไปเยี่ยมอันเดรที่โรงพยาบาล แม้ว่าสองวันให้หลังนี้จะพบกับแม่ของอันเดร ซึ่งเข้าใจไปว่าเธอเป็นภรรยาและพีด้าก็เป็นลูกสาวของอันเดร ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง นั่นทำให้นราวิกาจนใจที่จะอธิบาย
โชคยังดีที่อยู่ในห้องไอซียูมีเจ้าหน้าที่พยาบาลอยู่หลายคน แม่ของอันเดรจึงไม่อาจไล่ตะเพิดหรือโวยวายได้มากไปกว่านี้ นราวิกาและพีด้าจึงมีสิทธิ์เยี่ยมเยียนอันเดรได้อย่างเท่าเทียมกับญาติคนอื่นๆ แล้วยังต้องรีบกลับบ้านเพราะตั้งแต่ที่อันเดรเข้าโรงพยาบาล อาริน่าก็ต้องอยู่ดูแลแม่ให้ถึงดึกดื่นทุกวัน
กว่าจะทำกิจวัตรประจำวันเรียบร้อย ส่งแม่เข้านอน ตามด้วยลูกสาวพอถึงคราวตัวเองบ้างแทบจะไม่ต้องพึ่งยานอนหลับเหมือนคนอื่น
“อื้อ... อย่าเล่นแบบนี้น่า...”
สาวน้อยยกมือปิดปากไม่อยากให้เสียงหัวเราะคิกคัก ปลุกคนเป็นแม่ให้รู้สึกตัว แต่ตั้งใจจะแกล้งให้ตื่นด้วยปลายเส้นผมที่ใช้เขี่ยไปมาอยู่ตรงปลายจมูก
นราวิกาหรี่ตาขึ้นมามองเห็นลูกสาวยกมือปิดปากหัวเราะตัวเองแล้วแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นหลับต่อไป แล้วยกมือขึ้นปัดตรงจมูกแสร้งพลิกตัวนอนหงายอย่างรำคาญ “อื้อ...”
ลูกสาวจอมซนยังนั่งลงข้างเตียง หัวเราะชอบใจที่แกล้งแม่ได้ และนราวิกาก็รู้ว่าถ้าลูกสาวลุกขึ้นมาอีกครั้งจะต้องมาจั๊กจี้เอวเธอเป็นการปลุกให้ตื่นเต็มตาอย่างแน่นอน นั่นทำให้เธอหรี่ตาขึ้นตั้งใจว่าถ้าพีด้าลุกขึ้นมายืนข้างๆ จะเอาคืนให้ตกใจจนร้องเสียงหลง แต่เพียงแค่หรี่ตาขึ้นมาอีกครั้ง หน้าต่างที่เปิดผ้าม่านเอาไว้ครึ่งหนึ่งและเงาสะท้อนจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็ทำให้เธอหวีดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ด... นั่นใคร!” นราวิกาดีดตัวขึ้นมาจากที่นอนนุ่มแล้วผุดลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าต่างเหนือเตียงนอน สอดส่องสายตามองออกไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใครหรือสิ่งใดผิดปกติ “โอ...”
เสียงหวีดร้องและการผลุนผลันไปยังหน้าต่างนั้นทำให้พีด้าอ้าปากค้าง มองตามคนเป็นแม่ที่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับ “แม่เป็นไรคะ”
นราวิกาส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินมาทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงก่อนจะตอบลูกสาว “แม่คงตาฝาด ไม่มีอะไรหรอกลูก”
“อื้ม... ตาฝาดจริงๆ หนูก็อยู่ตรงนี้ไม่เห็นจะมีใคร” พีด้าแต่งตัวเรียบร้อย เหลือเพียงแค่ให้แม่มัดผมก็จะพร้อมไปโรงเรียน “แล้วแม่เห็นอะไรคะ”
“เอ่อ... ไม่รู้สิ แม่” ชะงักคำพูดเพราะถ้าอธิบายไปมากกว่านี้ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกสาวกลัว อีกอย่างจินตนาการของเด็กไม่ได้กลัวโจรขโมยเหมือนผู้ใหญ่แต่กลับกลัวภูตผีวิญญาณเสียมากกว่า เลยตัดปัญหาด้วยการเดินไปหาตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งลูกสาวเดินไปนั่งประจำที่แล้วยื่นหวีให้เช่นเคย “วันนี้จะให้แม่มัดแบบไหน”
พีด้าทำปากจู๋ หน้านิ่วคิ้วขมวด มองแม่ราวกับว่าเป็นผู้ใหญ่กำลังจับผิดเด็ก “แม่ขี้เกียจอธิบายอีกแล้ว”
เฮ้อ... มีลูกฉลาดเนี่ย หมายความว่าเธอต้องคิดหาวิธีการหลีกเลี่ยงแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาสินะ
“เปล๊า...” ปฏิเสธเสียงสูง ในขณะที่สองมือเริ่มถักเปียอย่างคล่องแคล่ว “หาเรื่องนะเรา”
“ก็เวลาทำผม แม่เคยถามหนูที่ไหนว่าจะเอาทรงอะไร”
เมื่อจนต่อแต้มนราวิกาก็ต้องก้มหน้าก้มตาถักเปียต่อไป แน่ล่ะว่าเธอเคยอ่านหนังสือคู่มือการเลี้ยงลูกดูแลเด็กมาหลายต่อหลายเล่ม นั่นเป็นเพราะไม่มีใครให้ปรึกษา หนังสือเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด และเธอก็เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเด็กตั้งแต่เกิดจนถึงเจ็ดแปดขวบจะซึมซับเอาความรักและติดพ่อแม่มากที่สุด
หากอยากให้เขาแต่งตัวอย่างไร ใส่ชุดไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจของคนเป็นพ่อแม่แต่เมื่ออายุมากกว่านี้ คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของลูกด้วยเช่นกัน
การกอด จูบ หอมและแสดงความรักควรทำให้เป็นเรื่องปกติ เด็กจะไม่ได้รู้สึกเคอะเขินและคิดว่าการแสดงความรักต่อพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องน่าอาย หรือเป็นเรื่องที่เด็กๆ ทำกันเท่านั้น
ในขณะที่เธอคิดและถักเปียให้ลูกสาวก็รู้สึกว่าขนอ่อนบริเวณต้นคอลุกชัน เหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตน นั่นทำให้นราวิกาชะงักมือแล้วหันขวับไปยังหน้าต่างเหนือหัวเตียงอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีใครเดินผ่านหรือจ้องมองเธอเลย
มันช่างน่าอึดอัดใจนักและแสนเกลียดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยเช่นนี้เหลือเกิน!
“แม่... แม่คะ” พีด้าเรียกแม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ก็ยังคงนิ่งงันเช่นเดิม จึงยกมือคว้าเข้าที่ท่อนแขนแล้วเขย่าให้รู้สึกตัว “แม่คะ ใจลอยอีกแล้ว วันนี้พีด้าไปโรงเรียนสายแน่ๆ”
นราวิกาหลุดออกจากห้วงความคิดของตนแล้วมองลูกสาวที่ต่อว่าต่อขานไม่หยุด ก่อนจะเร่งมือทำผมที่ค้างไว้ให้เรียบร้อย “เสร็จแล้วแม่ตัวแสบ อย่าขู่แม่นักเลย นี่ตื่นสายเพราะพีด้าแกล้งไปปิดนาฬิกาปลุกใช่ไหม”
ได้ยินเช่นนั้นพีด้าก็แหงนหน้าหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ “หนูชอบให้แม่รีบ พอแม่รีบจะลืมนั่นลืมนี่ วิ่งวุ่น ตลกที่สุด”
“ถ้ามีเวลาเหลืออีกนิด แม่จะจับพีด้าโยนลงบนเตียงแล้วจั๊กจี้ นอนทับให้ลูกแบนแน่ๆ” ไม่ได้ทับเต็มตัวเต็มแรงหรอกแต่มันคือการหยอกล้อตามประสาแม่ลูก แต่ตอนนี้ลูกสาวที่รู้ทันความคิดแม่กลับวิ่งออกไปสองสามก้าวแล้วหยุดยืนกางขา ไขว้แขนทั้งสองข้างเป็นกากบาท
“หนูให้เวลาแม่ล้างหน้าแต่งตัวห้านาที ไม่อย่างนั้นแม่ต้องเสียช็อกโกแลตกับเนยถั่วให้หนูก่อนนอน ถ้าวันนี้หนูต้องเข้าห้องเรียนสาย ฮ่าๆ”
“ฝันไปเถอะ พีด้าจอมยุ่ง” ตอบแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำแบบด่วนจี๋ แม้ทุกวันต้องพบเจอกับเรื่องหนักๆ มาสักแค่ไหน แต่การได้ต่อล้อต่อเถียงกับพีด้าก็ทำให้เธอยิ้มได้กว้างขึ้น ถึงแม้ว่าบางครั้งหลังจากรอยยิ้มจะตามมาด้วยคำถามร้อยแปดพันประการที่ทำให้เธอเกือบหน้ามืดก็ตามที

จากบ้านหลังเล็กๆ ไปถึงโรงเรียนของพีด้าใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยรถไฟใต้ดินเพียงสองสถานี นราวิกาเปลี่ยนสายรถไฟไปยังร้านกาแฟของตนซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากทำเนียบรัฐบาล พิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมาของแอลเมเรีย และมีสวนสาธารณะที่กลายเป็นแลนด์มาร์กซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเก็บภาพความประทับใจ ร้านกาแฟของเธอจึงได้ผลพลอยนี้ไปเต็มๆ
ปลายเดือนตุลาคมเช่นนี้แอลเมเรียกำลังเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วง เข้าสู่ฤดูหนาว ลมเย็นเฉียบที่พัดมากระทบร่างทำให้คนขี้หนาวต้องกระชับสาบเสื้อโค้ตเข้าหากันพร้อมทั้งห่อไหล่ ยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปยังร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม
...อีกครั้งที่นราวิการู้สึกว่ากำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องมอง ขนอ่อนช่วงลำคอที่ลุกชันจะเป็นสัญญาณเตือนเมื่อเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้น บางครั้งมันก็น่าหงุดหงิดใจ อยากตะโกนออกไปดังๆ เพื่อระบายอารมณ์กับใครก็ตามที่ทำให้เธอรู้สึกปั่นป่วน กระวนกระวายใจ แต่กวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ได้พบเพียงผู้คนที่เดินขวักไขว่ หาได้สนใจจ้องมองเธอ
เสียงสัญญาณไฟข้ามถนนดังขึ้นนั่นทำให้นราวิกาเดินไปข้างหน้าพร้อมกับผู้คนอีกราวห้าหกคน ร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่หัวมุมของถนนคือความฝัน คือน้ำพักน้ำแรงที่เธอสร้างขึ้นด้วยความยากลำบาก ทุกครั้งที่ข้ามถนนและมองภาพรวมของร้านจะทำให้เธออมยิ้มได้อย่างภาคภูมิใจ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านและมองเห็นภาพของชายร่างสูงใหญ่ผ่านกระจกใสแจ๋วตรงหน้าก็ทำให้เธอนิ่งงันอยู่เสี้ยววินาที และรีบหันขวับกลับไปมองตรงๆ แต่กลับไม่ได้เห็นคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเมื่อครู่
นราวิกาครางออกมาและไม่อาจตอบตัวเองได้ว่า... ภาพที่เห็นนั้นเป็นเขาจริงๆ หรือเพียงแค่เธอตาฝาด!
“เชเชน”
*********************
มีให้เลือกจับจองผู้จิตๆ ทั้งแบบเล่มและอีบุ๊กนะคะ



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2560, 10:27:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2560, 10:27:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 749





<< ตอนที่ 5 100%   ตอนที่ 7 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account