ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 1



ดอกอัญชันสีน้ำเงินเหลื่อมม่วงเข้มขึ้นปกคลุมรั้วไม้ระแนงสีขาวที่สูงประมาณอกอยู่เต็มเป็นแนวยาว ยกเว้นส่วนที่เป็นประตูไม้สีขาว เบื้องหลังประตูเป็นถนนปูด้วยอิฐสีแดงทอดไปสู่บ้านไม้สีขาวชั้นเดียวยกพื้นเตี้ยๆ ภายในบริเวณบ้านกว้างขวางพอประมาณ ทางปีกบ้านด้านขวาทำเป็นเรือนกล้วยไม้ขนาดย่อม แต่เต็มไปด้วยกระถางกล้วยไม้หลากหลายพันธุ์ทั้งที่แขวนอยู่และวางตามพื้น บ้างก็ออกดอก บ้างก็ยังอยู่ระหว่างกำลังเติบโตฯ ส่วนทางซ้ายเป็นโรงรถมีรถยนต์จอดอยู่สองคัน และกี่ทอผ้าเก่าแก่ถูกเก็บไว้ที่นั่นเช่นกัน

บ้านไม้ชั้นเดียวสีขาวยกพื้นเตี้ยหลังนั้น มีบันไดสามขั้นขึ้นไปสู่เฉลียงด้านหน้าที่เปิดโล่งกั้นด้วยไม้ซี่ห่างๆ และมีกระถางไม้ดอก ไม้ประดับวางอยู่ด้านบน ริมชายคาแขวนกระถางกล้วยไม้ระโยงระยางเต็มไปหมด ด้านหนึ่งบนเฉลียงวางม้านั่งตัวยาว เช่นกันกับอีกด้านที่ได้แขวนเปลญวนเอาไว้

ถัดจากนั้นเข้าไปเป็นพื้นยกระดับ ประตูบานใหญ่เปิดเข้าไปสู่ห้องโถงที่ใช้เป็นห้องรับแขกและห้องพักผ่อนไปในตัว โซฟาทำจากไม้วางติดผนังด้านหนึ่ง ที่สามารถดูทีวีที่วางอยู่ตรงข้ามได้ด้วย ตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง วางประดับด้วยของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วมกับกรอบรูปของสมาชิกในบ้านในอิริยาบถต่างๆ เต็มไปหมด แถมยังลามไปแขวนโชว์อยู่ตามข้างฝารอบบ้านอีกไม่น้อย เหมือนเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของสมาชิกทุกคนในบ้านกระนั้น

ทางขวามือแบ่งเป็นห้องสองห้อง ด้านหลังติดโซฟารับแขกมีอีกหนึ่งห้อง ทั้งสามห้องล้วนแล้วแต่ใช้เป็นห้องนอน ระหว่างห้องนอนทั้งสองฟากมีทางเดินไปสู่ห้องครัวหลังบ้าน ที่ถูกออกแบบพื้นให้ลดระดับต่ำลงมา มีประตูและบันไดสำหรับหลังบ้านโดยเฉพาะ ห้องครัวด้านหนึ่งเปิดโล่งเหมือนเฉลียงหน้าบ้าน ส่วนอีกด้านกั้นข้างฝาด้วยไม้แผ่นเล็กๆ เว้นระยะห่างเล็กน้อยระหว่างแผ่นไม้ให้โปร่งโล่งระบายอากาศ

และภายในห้องนอนห้องหนึ่งตรงกันข้ามกับพื้นที่รับแขก แสงแดดอุ่นยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ห้องนอนที่สลัวเมื่อครู่เริ่มสว่างขึ้นมา แสงจ้านั้นแยงตาเจ้าของร่างบางที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงจนต้องควานหาผ้าห่มมาคลุมโปง ทั้งที่ตายังปิดอยู่ แต่เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกเสียงตึงตังก็ดังใกล้เข้ามา...

“ตื่น ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนกันนะลูกคนนี้” เสียงบ่นดังขึ้นพร้อมกับที่ผ้าห่มถูกดึงออกไปจากตัว

“โอ๊ย! แม่จ๋า เกี้ยวพึ่งได้นอนก่อนไก่โห่นี่เองนะจ๊ะ ง่วงจะตายอยู่แล้วเนี่ย” เสียงใสติดงุ่นง่วงบ่นทั้งที่ไม่ลืมตาขึ้นมองด้วยซ้ำ และมือข้างหนึ่งพยายามยึดชายผ้าห่มที่คว้าได้อย่างหมิ่นเหม่ไว้มั่น

“ง่วงไม่ง่วงไม่รู้แหล่ะ ลุกขึ้นมาคุยกันบ้างซิ อะไรกันนักกันหนากลับจากกรุงเทพฯ แทนที่จะอยู่ติดบ้านให้ชื่นใจบ้าง...ไม่มี ไปขลุกอยู่กับเพื่อนทั้งคืนทั้งวันกลับมาทีใกล้สว่าง นี่ฉันมีลูกสาวหรือลูกชายกันแน่นะ” เสียงบ่นดังกรอกหูอยู่โครมๆ ทำให้หญิงสาวไม่อาจข่มตาหลับลงได้อย่างที่ตั้งใจ แม้ง่วงแสนง่วง

“แหม...แม่จ๋า นานๆ เจอกันทีขอฉลองกันจี๊ดเดียวเอง” เกี้ยวเกล้าลุกขึ้นนั่งตาปรือ ทำเสียงออดอ้อนแม่อ่อนแก้ว

“ไม่จี๊ดไม่แจ๊ดแล้ว ตั้ง 2-3 วัน ชักจะเกินไปแล้วนะ หรือว่าจะย้ายไปอยู่กับเจ้าเจนมันเสียเลยจะได้ให้พ่อช่วยขนของ” ผู้เป็นแม่ยังประชดลูกสาวไม่เลิก เกี้ยวเกล้าที่ตาเริ่มสว่างแล้วในตอนนี้จึงรีบยิ้มประจบ

“เอาน่า แม่มันก็...” เสียงทุ้มดังขัดขึ้น ทำให้แม่อ่อนแก้วที่อารมณ์กำลังกรุ่นๆ ได้ที่ เปลี่ยนเป้าหมายของการจู่โจมในทันที

“ไม่ต้องมาเข้าข้างกันเลยนะพ่อ ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้ลูกสาวตัวดีออกไปเที่ยวอีกล่ะก็...น่าดู! ” ขู่ฟ่อเข้าให้ ก่อนจะเดินสะบัดก้นงอนๆ ออกจากห้องไป ทิ้งให้สองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง เกี้ยวเกล้าจึงแกล้งกระซิบดังๆ กับผู้เป็นพ่อ

“พ่อจ๋า ถามจริงๆ เหอะ พ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง ไม่มีปรึกษาลูกเต้ามั่งเลย ขี้บ่นก็ปานนั้น ขี้งอนก็ปานนี้ เกี้ยวว่าหย่าไปเลยดีกว่าพ่อ” พ่อวิกรณ์ได้แต่มองลูกสาวคนเล็กพลางส่ายหน้ายิ้มใจดี พอดีกับที่กอแก้วผู้เป็นพี่สาวเยี่ยมหน้ามาให้เห็นตรงประตู

“ไม่ต้องมาทำตลกเลยยัยเกี้ยว พี่ไม่ตลกด้วยหรอกนะจะบอกให้ กับการกินน้ำพริกหนุ่มแคบหมูอยู่ทุกวันตั้งแต่เรากลับมาเนี่ย” เล่นเอาน้องสาวที่ยังนั่งหย่อนขา ทำหน้าเหวออยู่บนเตียง

“เกี่ยวอะไรกับน้ำพริกหนุ่ม แคบหมูอะพี่แก้ว? ”

“ก็แม่เค้าทำไว้ให้หนูไงลูก เห็นบ่นอยากกินไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่วันที่หนูกลับมาโยนกระเป๋าไว้ที่บ้านแล้วออกไปตะลอนกับเพื่อนๆ แม่ก็ทำไว้รอทุกวัน แต่หนูไม่เคยกลับมากินข้าวที่บ้านเลยนี่นา จะไม่ให้แม่เค้าน้อยใจได้ยังไงล่ะ” พ่อวิกรณ์เฉลยยิ้มๆ ทำเอาตัวต้นเหตุขำไม่ออก หน้าจืดเจื่อนลงด้วยความรู้สึกผิด

“ไปง้อคุณนายเค้าซะ งอนตุ๊บป่องไปโน่นแล้ว” กอแก้วว่าพลางเดินนำไปยังห้องครัว

ร่างอวบของหญิงวัยใกล้ 60 สวมผ้าถุงและเสื้อแขนสั้นที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายทอมือเรียบง่าย กำลังก้มง่วนอยู่กับการเตรียมกับข้าวใส่จาน แต่ทันทีที่เห็นหน้าลูกสาวคนเล็กผมเผ้ากระเซิงโผล่เข้ามาในครัวก็สะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ เกี้ยวเกล้าไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปสวมกอดร่างอวบนั้นจากทางด้านหลัง ประจบสุดชีวิต

“แม่จ๋าๆ เกี้ยวขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้น้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูของแม่เป็นหมันทุกวัน ต่อไปนี้เกี้ยวขอรับรองว่าจะไม่เที่ยวจนลืมบ้านอีก แม่อย่างอนเกี้ยวเลยนะจ๊ะ นะ...นะ แล้ววันนี้เกี้ยวจะขอกินกับข้าวฝีมือแม่ให้ฉ่ำใจ ให้พุงแตกไปเลยเอ๊า! ”

“ไม่ต้องมาประจบแม่เลย ไม่ใจอ่อนหรอกเฮอะ! ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่กลับยิ้มทั้งปากและตา ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากมนที่คลอเคลียไม่ห่างให้หงายเล่นด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู โดยมีผู้เป็นพ่อที่กำลังเดินตามมาที่โต๊ะกินข้าวมองยิ้มๆ แต่พี่สาวมองอย่างนึกหมั่นไส้เล็กๆ

“มากินข้าวกันเหอะสายแล้ว อ้าว... นี่แล้วพ่อทศไปไหนเสียล่ะยายแก้ว” พ่อวิกรณ์ถามถึงลูกเขยคนโตที่รับราชการครูเช่นเดียวกันกับกอแก้วภรรยา และตัวพ่อวิกรณ์เองที่พึ่งปลดเกษียณไปเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง

“ออกไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วจ้ะพ่อ วันนี้พี่ทศต้องไปเตรียมการประชุมผู้ปกครองน่ะจ้ะ” กอแก้วตอบ “ว่าแต่เราเหอะยัยเกี้ยว ตกลงจะมาอยู่บ้านเราไม่กลับกรุงเทพฯ จริงๆ แล้วใช่ไหม” ก่อนจะหันมาถามน้องสาว เพราะตั้งแต่กลับมาบ้าน นี่เป็นการกินข้าวร่วมกันครั้งแรกรวมทั้งพูดคุยเป็นกิจลักษณะเช่นนี้ด้วย

“อืมม์...ก็ว่างั้นนะพี่แก้ว เกี้ยวเบื่อๆ กรุงเทพฯ แล้ว อยากพักมั่งแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ยังไม่ได้วางแพลนไว้เลย” เกี้ยวเกล้าพูดและเริ่มทยอยลำเลียงกับข้าวมาวางที่โต๊ะ ในขณะที่กอแก้วตักข้าวใส่จานเตรียมไว้

“เรื่องนั้นค่อยคิดค่อยว่ากันทีหลังเถอะลูก ดีเสียอีกมาอยู่บ้านแม่เค้าจะได้หายห่วงเสียที ตั้งแต่เรียนจบหนูก็ไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านเลย อยู่ที่โน่นจนจะเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แล้วนะนั่น”

“แหม...พ่อก็พูดเกินไป เกี้ยวจะไปเป็นคนที่ไหนได้ล่ะจ๊ะ ก็ในเมื่อบ้านเกี้ยวอยู่ที่นี่นี่จ๊ะ”

“ก็ไม่แน่ เรียนที่โน่น ทำงานที่โน่น ก๊อ...อาจจะมีแฟนที่โน่นก็เป็นได้ใครจะไปรู้ เห็นบ้านเราเป็นแบบนั้นกันออกเยอะแยะไป” กอแก้วดักคอน้อง

“นั่นมันคนอื่นน่าพี่แก้ว เกี้ยวเคยพาใครมาไหมล่ะ”

“คนไม่แน่จริงก็งี้แหล่ะ เห็นทีแม่ต้องหาลูกเขยไว้ให้สักคนแล้วนะ ลูกสาวคนเล็กของแม่ไร้ความสามารถขนาดนี้” กอแก้วแกล้งทำท่าหนักใจ

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะ พอมีก็ว่าจะลืมบ้าน พอไม่มีก็หาว่าเราไร้ความสามารถ เกี้ยวไม่อยากคุยกับพี่แก้วแล้ว กินข้าวดีกว่า” เกี้ยวเกล้าทำหน้าง้ำเดินมานั่งข้างพ่อที่โต๊ะกินข้าว แต่พี่สาวหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งกัด พ่อกับแม่ได้แต่สบตากันแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ กับความไม่ยอมโตของลูกสาวทั้งสอง ที่ยังไม่วายจะแกล้งแหย่กันเหมือนตอนเด็กอยู่ร่ำไป แม้วันนี้จะเติบโตทั้งตัวและหน้าที่การงานแล้วก็ตาม

ระหว่างที่กินข้าวกันอยู่ ต่างก็ได้พูดคุยสัพเพเหระตามประสาคนในครอบครัว จนกระทั่งแม่อ่อนแก้วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“เออ...จริงสิลูก เรื่องบ้านของยายที่ยกให้เกี้ยวแล้วมีคนขอซื้อน่ะ จะเอายังไงลูก” จึงหันมาถามเกี้ยวเกล้า ทำให้มือเรียวที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากต้องชะงักกึก

“เกี้ยวยังไม่ได้คิดเลยจ้ะแม่ แต่ใจจริงแล้วเกี้ยวไม่อยากขายเลย” ก่อนตอบ

“เขาให้ราคาดีเชียวล่ะ ก็บ้านไม้สักทั้งหลังนี่ ขนาดว่าที่ดินตรงนั้นทำเลรีสอร์ทไม่เวิร์คเท่าไหร่ เขายังให้ป้าอิ่นสูงเกินไปด้วยซ้ำท่าทางอยากได้มาก พี่ว่าเราน่าจะลองคุยกับเขาดูนะยัยเกี้ยว นี่นะถ้ายายยกบ้านหลังนี้ให้พี่นะ พี่ขายไปแล้ว” กอแก้วพูดตามความคิดเห็นของตนเอง

“เกี้ยวไม่อยากขายนี่ เกี้ยวไม่อยากขายของที่ยายให้” แต่เกี้ยวเกล้ากลับรู้สึกเหมือนถูกขัดใจ

“เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ตอนนี้คงผุพังไปเยอะแล้วด้วย ตั้ง 20-30 ปี ถ้าเขาให้ราคาดีๆ ก็ขายมันไปเถอะ ถึงเราไม่ขายยังไงก็ต้องรื้อถอนมันออกมาอยู่ดี เพราะตอนนี้ที่ดินนั่นก็ไม่ใช่ของป้าอิ่นแล้ว” ที่กอแก้วพูดเป็นความจริงทุกอย่าง และเป็นเรื่องที่เกี้ยวเกล้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่การจะให้เธอตัดใจขายบ้านเรือนที่เธอเคยอยู่กินมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้น มันเป็นเรื่องฝืนความรู้สึกเหลือเกินสำหรับเธอ

“พ่อว่าหากเรารื้อถอนจริงๆ ก็คงเหลืออะไรไม่มากแล้ว แต่ถ้าขายให้พ่อไตร เขาคงซ่อมแซมให้มันดีและใช้ประโยชน์ได้เยอะกว่านะลูก เห็นเขาบอกไว้อย่างนั้น อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ดีกว่าขายให้คนอื่นนะ” พ่อวิกรณ์ออกความคิดเห็นบ้าง

“แต่ทุกคนก็รู้นี่คะว่าเป็นบ้านที่ยายรัก และเกี้ยวเองก็รักมากด้วย พ่อ แม่กับพี่แก้วไม่เคยอยู่ที่นั่นนานเหมือนเกี้ยว คงไม่เข้าใจหรอกค่ะว่าเกี้ยวรู้สึกยังไง” เธอตัดพ้อด้วยความน้อยใจ

“บ้านที่ชำรุดทรุดโทรมและตั้งอยู่บนที่ดินของคนอื่นน่ะนะยัยเกี้ยว แต่เอาเหอะ...พี่แค่แนะนำเราเท่านั้นเองแหล่ะ ยายนี่ก็ยังไงนะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องแยกบ้านกับที่ดินออกจากกันด้วย แทนที่จะยกให้ป้าอิ่นทั้งหมด ไม่ก็ยกให้เราทั้งหมด ไม่เข้าใจยายเลยจริง จริ๊ง!” กอแก้วอดบ่นถึงยายผู้ล่วงลับในท้ายประโยคไม่ได้ เกี้ยวเกล้าเงียบเสียงไม่ต่อคำพี่สาว

ด้วยเธอเองเข้าใจดีว่านั่นเป็นการแสดงความรักของยายที่มีต่อเธอแม้ได้จากไปแล้ว การที่ยายแยกบ้านกับที่ดินออกจากกันนั้น อาจเป็นเพราะยายไม่ได้คิดว่าที่ดินจะถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น หรือหากต้องเปลี่ยนมือไปจริงๆ อย่างเช่นตอนนี้ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะบ้านไม้สามารถรื้อถอนออกไปปลูกสร้างใหม่ได้ หรือหากขายก็ยังคงได้ราคาดีอยู่เพราะเป็นไม้สักเก่าแก่

แม้ราคาค่างวดมันจะไม่มีวันเท่ากับที่ดินแปลงนั้น แต่มันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในความรู้สึกของเธอ เป็นสิ่งที่ยังหลงเหลือให้เห็นและสัมผัสได้ นอกเหนือจากคำว่า‘สมบัติ’ หรือ ‘มรดก’ แล้ว มันคือความรัก ความผูกพัน ความทรงจำ เป็นที่ที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา บ้านไม้หลังนั้นที่ยายรัก นอกจากจะเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของยายที่มีต่อตาผู้ล่วงลับไปก่อนเกี้ยวเกล้าจะลืมตาดูโลกแล้ว เธอเกิดและใช้ชีวิตในวัยเยาว์อยู่ที่นั่นกับยาย

ในตอนนั้นพ่อวิกรณ์ที่รับราชการครูต้องไปสอนในที่ห่างไกลจากบ้าน และแม้จะเป็นครูแต่ฐานะก็ยังลำบาก อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ทำให้แม่อ่อนแก้วต้องหารายได้ช่วยครอบครัวอีกแรง ทั้งขายของในโรงเรียน รับจ้างจุกจิกฯ ซึ่งลำบากพอสมควรในการจะดูแลลูกทั้งสอง จึงเลือกกอแก้วซึ่งโตพอที่จะเข้าโรงเรียนและดูแลตัวเองได้บ้างแล้วไปอยู่ด้วย ประกอบกับยายได้ขอตัวเกี้ยวเกล้าไว้ดูแลเอง เธอจึงอยู่กับยายตั้งแต่หย่านม

กว่าพ่อแม่เธอจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นอำเภอบ้านเกิดเมืองนอนได้ เกี้ยวเกล้าก็เริ่มเข้าเรียนชั้นประถมฯ แล้ว หลังจากนั้นทั้งเธอและครอบครัวได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนั้นกับยายตลอดมา พอจบชั้นมัธยมฯ เกี้ยวเกล้าได้จากบ้านเพื่อเข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ไม่ถึง 2 ปียายก็จากไป

ครอบครัวของเธอจึงได้ตัดสินใจโยกย้ายมาอยู่ในตัวอำเภอ บ้านหลังนั้นถูกทิ้งร้างนับแต่นั้นมา ในขณะที่เธอยังใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เรียนจบแล้วก็ทำงานต่อ จะกลับมาเยี่ยมเยือนบ้านบ้างแค่ปีละครั้ง หรือบางปีก็ไม่ได้กลับมาเลยเหมือนปีที่ผ่านมานี้ ก่อนจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตในเมืองใหญ่และตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน

นานเหลือเกินแล้วที่เธอไม่ได้เห็นบ้านหลังนั้น แม้จะรู้ว่ามันคงชำรุดทรุดโทรมไปตามระยะเวลา ทั้งที่ได้ใช้งานมาและได้ละเลยมันไป แต่หากจะต้องขายมันจริงๆ เกี้ยวเกล้ารู้สึกใจหายเกินกว่าที่จะคิดถึงเรื่องเงินตามความคิดเห็นของพี่สาว

“งั้น...ตอนสายๆ เกี้ยวขอออกไปดูบ้านยายหน่อยนะจ๊ะแม่” เธอหันไปขออนุญาตแม่ด้วยสีหน้าจริงจัง






กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มี.ค. 2560, 20:46:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มี.ค. 2560, 20:46:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 967





   ตอนที่ 2 >>
แว่นใส 3 มี.ค. 2560, 06:14:01 น.
ใครมาซิ้อน๊า


กานพลู 7 มี.ค. 2560, 10:48:20 น.
นั่นจิ อิ อิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account