ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 2



รถอีซูซุ ดีแมกซ์สีบล็อนจอดตรงหน้าประตูใหญ่สูงท่วมหัว ที่ทำจากไม้ปีกนำมาต่อกันจนหนาแน่น มีโซ่เส้นใหญ่คล้องอยู่และถูกล็อคด้วยกุญแจรูปร่างกลมเหมือนกุญแจมือ แต่ดูใหญ่และแข็งแรงแน่นหนากว่า หญิงสาวพาร่างบางลงจากรถเดินเข้าไปใกล้ประตู พยายามออกแรงดึงกุญแจนั้นสุดกำลัง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีผลอะไรสักนิด เหมือนเธอกำลังดึงมือของยักษ์ปักหลั่นก็ไม่ปาน เกี้ยวเกล้ารู้สึกหงุดหงิดเหลือกำลัง

นี่ถ้า‘ป้าอิ่นคำ’ ป้าของเธอไม่ขายที่ให้คนอื่น ป่านนี้คงเอารถเข้าไปจอดถึงตีนบันไดหรือไม่ก็ใกล้เคียงล่ะ หญิงสาวคิดไปถึงประตูไม้ขัดแตะเตี้ยๆ อันเก่าที่ไม่จำเป็นต้องคล้องโซ่ใส่กุญแจเป็นสถานที่ต้องห้ามเช่นนี้ ไหนจะดอกพวงชมพูสีอ่อนหวานที่ทอดตัวเลื้อยตามซุ้มประตูนั่นอีกเล่า แต่...จะคิดให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะยัยเกี้ยว ตอนนี้มันไม่ใช่ที่ของป้าอิ่นแล้วนี่นา... เกี้ยวเกล้าว่าตัวเองเบาๆ

สิ่งสำคัญสำหรับเธอในตอนนี้คือ...ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปในบ้านได้ หญิงสาวนิ่งคิดหาทาง จะให้ปีนประตูก็ดูสูงเกินไปน่าหวาดเสียว สายตากวาดมองไปทางรั้วที่ตอนนี้เป็นรั้วลวดหนามล้อมรอบดูแน่นหนา แต่หากว่า...มันสูงแค่ระดับไหล่เอง ที่สำคัญมันมีเสาปูนสี่เหลี่ยมยึดเส้นลวดหนามไว้อยู่เป็นระยะ เกี้ยวเกล้ามองไปทางเป้าหมาย ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพาตัวเองไปยังรถที่จอดอยู่ หญิงสาวสตาร์ทรถแล้วค่อยๆ ถอยเข้าเทียบริมรั้ว จนชิดกับรั้วลวดหนามกะให้ตอนหลังที่เป็นกระบะอยู่ระหว่างเสาปูนต้นหนึ่ง

“แค่นี้ก็สำมะเร็จ อิ อิ” ร้องอย่างดีใจพลางเปิดประตูรถออกมา จากนั้นจึงเริ่มปีนขึ้นไปบนกระบะ แล้วก้าวขึ้นไปยืนบนเสาปูนที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ขณะเตรียมตัวกระโดดข้ามไปอีกฟาก สายตาเจ้ากรรมกลับเหลือบมองลงไปข้างล่างอย่างไม่ตั้งใจ แต่เป็นผลทำให้ใจเริ่มหวิวขึ้นมาเสียนี่ ก็ความสูงนั้น มันไม่ธรรมดาเลยนะนั่น แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนะ เธอค้านตัวเอง พยายามสลัดความกลัวออกไป เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน เกี้ยวเกล้าหลับตา แล้วเริ่มนับช้าๆ...

“1 - 2- 3”

“เฮ้! หยุดนะคุณ ทำอะไรน่ะ? ”

“ว้าย! - แคว่ก! - ปึ้ก! - โอ๊ย!” ร่างบางร่วงลงไปกองกับพื้น หน้าเบ้ร้องโอดโอย

“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า” เจ้าของเสียงที่ร้องถามจนเธอตกใจนั้นวิ่งเข้ามาประคองอย่างรวดเร็ว ขณะที่คนร่วงลงไปกองกับพื้นนิ่วหน้าน้ำตาคลอเอ่อ ด้วยความจุกจากแรงกระแทก และแผลที่ได้จากรั้วลวดหนามมเกี่ยวก็เริ่มเจ็บแสบ พร้อมๆ กับที่ยังตื่นตะลึง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพราะร่างสูงนั้น “เดี๋ยวผมพาคุณไปที่บ้านก่อนดีกว่า จะได้ทำแผลให้” คนที่ประคองอยู่พูดท่าทางร้อนใจ

“หะ หา เอ่อ มะ...ไม่ต้อง” เธอร้องบอก ทั้งที่อาการจุกและตกตะลึงยังไม่หาย แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะร่างสูงนั้นตวัดร่างเธอขึ้นมาอุ้มแล้วออกเดินไปยังทางเล็กๆ ที่ทอดตัวไปสู่บ้านไม้ของยายที่ตั้งอยู่สุดปลายของที่ดินนี้ แต่ก่อนจะถึงที่หมายตามที่หญิงสาวคาด เขากลับพาเธอแวะระหว่างทางที่มีบ้านไม้ยกพื้นเตี้ยหลังเล็กซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ เกี้ยวเกล้าเริ่มได้สติ พยายามขืนตัวอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั่น

“คุณจะพาฉันไปไหน นี่มันบ้านใคร” แล้วถามด้วยน้ำเสียงตระหนก แต่คนถูกถามกลับหัวเราะน้อยๆๆอย่างนึกขันกับท่าทางของเธอ

“บ้านคนที่ดูแลที่ให้ผมน่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกผมแค่จะทำแผลให้คุณเท่านั้นเอง” เขาว่าพลางวางร่างของเธอลงบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน เกี้ยวเกล้าเห็นว่าชายหนุ่มยังกลั้นยิ้มขำ นั่นทำให้เธออดทำตาวาวใส่เขาไม่ได้

ก่อนที่ร่างสูงจะเดินหายขึ้นไปบนบ้านครู่หนึ่ง และกลับลงมาพร้อมกล่องอุปกรณ์ทำแผล เขาค่อยๆ ถลกขากางเกงยีนส์ตัวเก่งที่เธอสวมใส่ และบัดนี้มีรอยขาดเป็นทางยาวตรงน่องเพราะถูกลวดหนามเกี่ยว แถมยังเปรอะไปด้วยเลือดที่ซึมออกมาจากแผลที่แม้ไม่ลึกเท่าไหร่ แต่เมื่อสำลีชุบแอลกอฮอล์โปะลงไปบนแผลยาวและแผลถลอกรอบๆ เกี้ยวเกล้าถึงกับยกมือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงร้องด้วยความเจ็บแสบเล็ดลอดออกมา

“โชคดีที่คุณใส่กางเกงยีนส์แผลเลยไม่ลึกเท่าไหร่” คนทำแผลว่า ขณะก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อไปเรื่อยๆ หญิงสาวลอบมองหน้าคนที่ก้มๆ เงยๆ กับแผลของตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอเคยจินตนาการถึงเด็กผู้ชายตัวสูงโย่งคนหนึ่งว่าจะเติบโตมามีหน้าตาอย่างไร และก็ไม่ผิดจากที่เธอจินตนาการไว้เท่าไหร่นัก ผิวสีเข้มเมื่อผสมกับเครื่องหน้า ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่โด่งเป็นสัน คิ้วหนาดำสนิท ปากหยักได้รูป และดวงตาคู่คมนั้นทำให้ใบหน้าของเขาดูคมคาย

แต่ทว่าดวงตาคู่เดียวกันนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ เพราะมันไม่มีแววอ่อนโยน ใจดีเหมือนที่เธอเคยจินตนาการไว้เลย มีแต่ความแปลกหน้าและไม่รู้จักกันที่ฉายชัดอยู่ แล้วเธอคาดหวังอะไรล่ะเกี้ยว หญิงสาวว่าตัวเองในใจ หวังว่าเขาจะยิ้มให้ด้วยความยินดีที่ได้พบกันและรีบเข้ามาทักทาย คุยกันถึงเรื่องราวเก่าๆ อย่างนั้นหรือ? ทั้งที่ช่วงเวลาของการห่างเหินระหว่างเขาและเธอมันนานเหลือเกิน...นาน...เกินกว่าจะต่อกันติดได้

หญิงสาวลอบถอนหายใจก่อนจะปัดความรู้สึกคับข้องใจออกไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนตรงหน้าต่อ เธอไล่สายตาไปยังเส้นผมสีเข้มที่ถูกตัดสั้นรับกับใบหน้าเกลี้ยงเกลา เหมือนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขณะกำลังไล่สายตาสำรวจคนตรงข้ามอยู่เพลินๆ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนชะงักกึก เมื่อจู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ผมทำแผลให้คุณเสร็จแล้ว” และเงยหน้าเข้มขึ้นมาจ้องเธอนิ่งๆ ด้วยแววตาที่ทำให้หญิงสาวเสียวสันหลังวาบ “เอาล่ะ...มาตอนนี้คุณก็บอกผมมาได้แล้วว่าคุณบุกรุกเข้ามาในที่ของผมทำไม”

“บุกรุก!? ” เกี้ยวเกล้าทวนคำชักสีหน้าอย่างไม่พอใจเต็มที่ เขากล้าใช้คำนี้กับเธอได้อย่างไรกัน

“อื้อฮึ...หรือคุณคิดว่าการปีนข้ามรั้วแบบพิสดารๆ นี่เป็นการมาเยือนอย่างที่สุภาพชนพึงกระทำกัน และถ้าผมไม่มาเจอ ป่านนี้คุณคงทำอะไรอย่างที่ตั้งใจไว้เรียบร้อย โชคดีที่ผมมาเจอเข้าก่อน” เขาพูดเหมือนเธอเป็นขโมยก็ไม่ปาน ทำให้คนที่ถูกกล่าวหากลายๆ รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ตาวาวขึ้นมาอีกครั้ง

“โชคร้ายสำหรับฉันสิไม่ว่า ถ้าไม่มาเจอคุณ แล้วคุณไม่มาทักจนฉันตกใจก็คงไม่เจ็บตัวขนาดนี้หรอก แล้วขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าฉันไม่ได้บุกรุก และฉันก็จะไม่ยอมรับคำนั้นเด็ดขาด!! ” เกี้ยวเกล้าพูดด้วยความไม่พอใจที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา แต่อีกฝ่ายแค่จ้องหน้าเธออย่างไม่วางตา ก่อนจะพยักหน้าให้พูดต่อ

“ฉันมาบ้านยาย เอ่อ...บ้านฉัน” หญิงสาวเชิดหน้าบอกไป คราวนี้เธอหวังจะได้เห็นรอยยิ้มตื่นเต้นและเสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเขาจำได้ว่าเป็นเธอ และพร่ำขอโทษที่จำเธอไม่ได้ นั่นคงทำให้ความไม่พอใจที่

กรุ่นขึ้นมาหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่ทว่า...

“บ้านคุณ? ” เขาทวนคำเสียงสูง เป็นเหตุให้ความผิดหวังเมื่อครู่ขยายตัวใหญ่โตขึ้นมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่ได้

“ใช่...บ้านไม้สักเก่าแก่ที่อยู่ถัดไปจากนี้ไงล่ะ” เธอพยายามข่มความรู้สึกในใจ และชี้ไปยังทิศทางที่บ้านตั้งอยู่

“จะให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าเป็นบ้านคุณ ดูคุณออกจะทันสมัยไฮโซฯ ขนาดนี้ ไม่เห็นเหมาะกับบ้านโกโรโกโสพรรค์นั้นเลยสักนิดยังไงผมก็ไม่เชื่อหรอก” ไม่พูดเปล่า ตาคมของเขาจ้องเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้คนถูกจ้องไม่ร้อนแค่หน้า แต่กลับร้อนวูบวาบไปทั้งตัวด้วยความโกรธและอายผสมกับความรู้สึกผิดหวังในใจเมื่อครู่ ที่ตอกย้ำว่าเขาไม่เคยจดจำอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าจะเกี่ยวกับบ้านหลังนี้หรือแม้กระทั่ง...ตัวเธอเอง มาถึงตอนนี้ดวงตาที่วาวๆ ของหญิงสาว เปลี่ยนเป็นแล่นประกายเปรี๊ยะในทันที

“อีตาบ้า! อย่ามามองฉันแบบนี้นะ แล้วก็อย่ามาว่าบ้านฉันอย่างนี้ด้วย มีอะไรพูดมาเลยดีกว่า” และตามมาด้วยอาการปรี๊ดแตก!

“โอเคๆ. ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นจริง คุณคงพอรู้แล้วว่าเจ้าของที่ดินผืนนี้ได้ขายที่ให้ผมแล้ว แต่ไม่ได้ขายบ้านนั่นเพราะมันเป็นของคุณ แล้วบอกให้ผมรอคุยกับคุณเอง นี่มันก็เป็นปีๆ แล้วที่ผมเสียเวลา

“ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าคุณไม่กลับมาภายในเดือนสองเดือนนี้ ผมคงต้องรื้อบ้านนี่ออกจากที่ของผม แล้วค่อยจ่ายเงินให้คุณทีหลัง แต่ตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้แล้ว ขายให้ผมเลยละกันนะ” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ เหมือนซื้อผักกองละห้าบาทในตลาดสดมากกว่าเป็นการเจรจาซื้อขายบ้านกัน

“ฝันไปเหอะ! คุณกล้าดียังไงถึงมาคุยกับฉันด้วยท่าทีแบบนี้” หญิงสาวแหวใส่อย่างเหลืออด

“ท่าทีแบบนี้ แบบไหน? ” เขาหน้านิ่วด้วยความงงงัน

“ก็ ท่าทีแบบคนไร้ความรู้สึก ไม่ให้เกียรติกับบ้าน ไม่เข้าใจอะไรเลยน่ะสิ” แล้วเธอก็อธิบายไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ในใจอยากตะโกนใส่หน้านักว่าเขาน่าจะคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยซุกหัวนอนบ้านโกโรโกโสพรรค์นี้บ้าง แต่จะได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาไม่เคยจดจำอะไร และจะให้ดี...ต่อไปนี้เธอก็ไม่ควรที่จะจดจำอะไรเหมือนกัน หญิงสาวบอกตัวเองอยู่ในใจ

“แล้วคุณอยากให้ผมเข้าใจอะไรล่ะ” เขายิ่งทำท่างงเข้าไปใหญ่

“ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อยากให้คุณเข้าใจบ้าบออะไรทั้งนั้น แต่ฉันขอยืนยันว่าให้ตายฉันก็ไม่ขายให้คุณ บ้านนี้มีคุณค่าสำหรับฉันอย่างที่คนอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจได้แน่นอน หากคุณคิดว่ามันเป็นแค่เศษไม้ ซากปรักหักพัง และแม้ว่าตอนนี้มันจะตั้งอยู่บนที่ดินของคุณ แต่คุณก็จะไม่มีวันได้มันหรอก”

“ใจเย็นๆ น่าคุณ เรายังไม่ได้คุยเรื่องราคากันเลยคุณลืมไปหรือเปล่า เอางี้...คุณต้องการเท่าไหร่เรียกมาได้เลย” เขายังใจเย็น

“หยุดพูดเลยนะ แล้วอย่าได้คิดเอาเงินมาฟาดหัวคนอย่างฉันด้วย เพราะต่อให้คุณเอาเงินมากองท่วมหัวฉันก็ไม่มีวันขายให้คุณ จำเอาไว้! ” เกี้ยวเกล้าโกรธจัดและลุกขึ้นยืน ใบหน้าหวานงอง้ำนั้นเบ้ไปนิดหนึ่งเพราะ

ความเจ็บเมื่อพยายามทรงตัว

“นั่นคุณจะไปไหน” เขาร้องถามเมื่อเห็นท่าทางของเธอ

“เรื่องของฉัน! แล้วอย่าตามมานะ” เท้าสะเอวเข่นเขี้ยวตอบอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วออกเดินไปยังทิศทางที่ตั้งของบ้านเจ้าปัญหา โดยมีสายตาคมวาวมองตามร่างบางที่เดินติดกะเผลกนิดๆ นั่น ด้วยรอยยิ้มระบายบนริมฝีปากอย่างพึงพอใจ



หญิงสาวหยุดยืนตรงลานบ้านที่รกรื้นไปด้วยต้นหญ้า และใบไม้แห้งจากบริเวณรอบๆ ที่ถูกสายลมพัดพามา กาสะลองต้นใหญ่ที่เคยยืนโดดเด่นอยู่กลางลานบ้านได้ตายลงไปนานแล้ว ไม่เหลือแม้ซากให้เห็น จากลานบ้านที่เธอเคยวิ่งเล่นในตอนเป็นเด็ก มองไปตรงหน้าเป็นบ้านไม้สักเก่าแก่ปลูกยกพื้นสูงแบบล้านนาสมัยโบราณ

ตอนนั้นนอกจากลานบ้านแล้ว ใต้ถุนบ้านเป็นอีกที่หนึ่ง ที่เด็กๆ อย่างเธอชอบใช้เป็นที่วิ่งเล่นซุกซน ด้านหนึ่งมีเปลไม้ไผ่สานไว้ให้นั่งเล่น แล้วยังมีกี่ทอผ้าของยายตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน แต่บัดนี้กี่ทอผ้าของยายถูกโยกย้ายไปไว้ที่โรงรถบ้านพ่อแม่ของเธอแทน ในสายตาของเธอตอนนี้ ใต้ถุนบ้านมีเพียงหญ้ารกรื้น

บ้านหลังนี้หลังคาเป็นจั่วสองหลังเชื่อมต่อกัน แต่จะมีทางเดินตรงกลาง มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับครอบครัวใหญ่ในอดีต จึงมีพื้นที่กว้างขวางและดูใหญ่โตพอสมควร แต่วันนี้กลับดูว่างเปล่า เงียบเหงาปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ เกี้ยวเกล้าใจหาย อายุของมันเกือบ 30 กว่าปีแล้วสินะ ตัวมันเองบ่งบอกได้ดีกว่าอะไรทั้งหมด

เสาไม้สักทองต้นใหญ่แม้ยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิมแต่ก็ซีดจาง หม่นหมอง ไม่ต่างจากไม้ที่ใช้ทำฝาบ้าน 1*กาแลบนยอดจั่วหลังคาทั้งสองหลังลวดลายเถาวัลย์อ่อนช้อยบางด้านหักหายไป ตัวหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาแผ่นเล็กๆ ที่เคยเป็นสีแดงและคุ้มแดดคุ้มฝนให้คนอาศัย บัดนี้กลับกลายเป็นสีกระดำกระด่าง แตกหัก ผุกร่อน จนหลังคาเป็นช่องโหว่ให้เห็นมากมาย หากว่าตอนนี้ฝนตกและยืนอยู่ในบ้านคงมีสภาพไม่ต่างจากยืนกลางฝนกระนั้น

เกี้ยวเกล้าสาวเท้าเข้าไปใกล้บ้านจนถึงตีนบันได ตรงนั้นเคยมีดอกไม้สองชนิดปลูกอยู่ ด้านหนึ่งเป็นดอกไม้สีแดงมีลักษณะเป็นพู่ยาวเหมือนหางกระรอกทางเหนือเรียกกันว่า ‘ดอกเกี้ยวเกล้า’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเธอที่ยายตั้งให้ และก็เช่นกันกับที่มี ‘ดอกแก้ว’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘กอแก้ว’ ของพี่สาวเธอปลูกไว้อีกด้านของตีนบันได โอ่งดินเผาขนาดกลางไว้ใส่น้ำล้างเท้าก่อนขึ้นบ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ ต้นดอกแก้ว แต่ตอนนี้...ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเศษกระเบื้องดินเผาแตกหักกระจายอยู่ไม่ไกลจากที่ๆ มันเคยอยู่

ตรงบันไดไม้ก็ผุพัง หักหลุดลุ่ย เกี้ยวเกล้าพยายามหาที่ทางพอจะวางเท้าลงไปได้เพื่อขึ้นไปบนบ้าน เธอเดินเลี่ยงจุดที่ผุกร่อน ผลักประตูไม้ซี่เล็กๆ ที่เอียงกระเท่เร่จะหักแหล่มิหักแหล่นั่นไปด้านหนึ่ง ในอดีตประตูไม้นี้เคยทำหน้าที่กั้นระหว่างบันไดกับระเบียง หรือที่เรียกกันว่า‘ชาน’

แต่ตอนนี้ตัวชานบ้านที่ต้องผจญกับแดด ฝน ร้อน หนาวมานานก็หาที่ทางปลอดภัยเพื่อวางเท้าได้ยากพอๆ กัน เพราะเป็นส่วนที่เปิดโล่งรับกับทุกสภาพการณ์ เกี้ยวเกล้าคิดถึงตอนนั้น ที่พอตกตอนกลางคืนยายชอบพาเธอมานอนดูดาวตรงชาน ซึ่งก็มีกระถางดอกไม้วางเรียงรายอยู่รอบๆ ชานบ้าน ดอกไม้บางชนิดตกกลางคืนจะส่งกลิ่นหอมชื่นใจดีนัก เธอมักผล็อยหลับไปพร้อมกับกลิ่นหอมๆ นั้นเสมอ

ด้านข้างตีด้วยไม้ซี่ห่างๆ เหมือนบนพื้นชานบ้าน ริมชายคาด้านหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของซุ้มเล็กๆ หรือ ‘ฮ้านน้ำ’ วางหม้อน้ำดินเผาไว้ให้คนในบ้านและแขกเหรื่อที่มาเยือนได้ตักน้ำเย็นดื่มกินเป็นที่ชื่นใจ แต่ตอนนี้เหลือเพียงฮ้านน้ำผุพังว่างโล่ง ถัดไปด้านหลังที่เป็นห้องเล็กๆ เรียกกันว่า 2*‘เฮือนไฟ’ที่เธอเคยช่วยหยิบโน่น จับนี่ให้ยายตอนทำกับข้าวกับปลา ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากห้องที่ว่างเปล่า

ส่วนโถงกลางบ้านที่อยู่ในร่มใต้ชายคาเรียกกันว่า ‘เติ๋น’ นั้น กว้างขวางไม่น้อยไปกว่าตัวชาน เป็นศูนย์กลางของครอบครัวเอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ตั้งแต่กินข้าว ต้อนรับแขก พูดคุย ทำงานเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงเป็นที่หลับที่นอนในบางครั้ง

แผ่นไม้ปูพื้นเคยได้รับการดูแลขัดถูจนเงาวับ วันนี้เล่ากลับซีดขาวหมองหม่น ฝุ่นที่เกาะเกรอะกรังทำให้ทุกย่างก้าวของเธอทิ้งรอยเท้าเอาไว้ให้เห็นเด่นชัด ติดกับโถงกลางบ้านนั้นมีห้อง 3 ห้องติดกัน สองห้องเป็นห้องนอน ส่วนอีกห้องเล็กๆ ยายแยกไว้เป็นห้องพระ เป็นที่ตั้งหิ้งพระ และหิ้งผีปู่ย่าตามความเชื่อของชาวล้านนาโดยเฉพาะ

เกี้ยวเกล้าเดินไปหยุดหน้าประตูห้องสุดท้ายซึ่งเป็นหนึ่งในสองของห้องนอนในบ้านหลังนี้ เมื่อเธอเอื้อมมือผลักบานประตูไม้มันส่งเสียงลั่นเอี้ยดอ้าด ห้องว่างเปล่าเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นผงฟุ้งกระจายเหมือนกับทุกห้องที่ผ่านมา

แต่ทว่าห้องนี้เป็นห้องที่เธอนอนกับยายมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่ตอนที่ครอบครัวของเธอย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว เธอก็ยังนอนกับยายอยู่อย่างนั้น ที่นี่ไม่ใช้เตียงแต่ใช้ฟูกปูนอนและบรรดาข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ฟูก หมอน ผ้าห่ม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือการทอผ้าของยายแทบทั้งสิ้น

หญิงสาวมองไปตรงริมหน้าต่างที่เคยมีโต๊ะไม้เล็กๆ เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้กระจุกกระจิกของยายวางอยู่ตรงนั้น รวมทั้งกระปุกใส่น้ำมันมะพร้าวที่ยายใช้ใส่ผมอยู่เป็นประจำ กลิ่นของมันยังกรุ่นอยู่ในความรู้สึก ทั้งกลิ่นและบรรยากาศเหล่านั้นมันยังติดตรึงอยู่ในใจเธออยู่ไม่จาง แม้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว... เกี้ยวเกล้าหวั่นไหวอยู่ในอก น้ำตารื้นก่อนที่ก้อนสะอื้นจะแล่นริ้วขึ้นมาจนเธอไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ในที่สุด

“ยาย ยายจ๋า เกี้ยวคิดถึงยายเหลือเกิน...” น้ำเสียงสั่นพร่าด้วยแรงสะอื้น

“เกี้ยวจะทำยังไงดีจ๊ะ ถึงจะรักษาบ้านของเราไว้ได้ โดยไม่ต้องรื้อถอนและไม่ขายให้คนอื่น ยายบอกเกี้ยวหน่อยได้ไหมจ๊ะ เกี้ยวอยากให้บ้านอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม เหมือนที่เคยอยู่ แต่เกี้ยวไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” เธอรำพึงด้วยเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นให้สาสมกับทุกความรู้สึกที่ถาโถมกันเข้ามาในยามนี้








กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2560, 10:32:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มี.ค. 2560, 10:32:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1006





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
แว่นใส 7 มี.ค. 2560, 20:03:42 น.
ตกลงกันด้วยดีก่อนไหม


กานพลู 15 มี.ค. 2560, 11:45:06 น.
นั่นจิเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account