ใต้รอยสวาท
เมื่อเรื่องราวในอดีต..ยังโลดแล่นลงทัณฑ์หัวใจทุกดวง
ความผิดพลาดใต้รอยสวาทนี้ จะมีบทลงเอยอย่างไร
..........................................................................
คนในอดีตย้อนกลับเข้ามาในชีวิต และหวังช่วงชิงแก้วตาดวงใจ เพื่อแก้แค้นเอาคืน
ลลนาจะทำเช่นไร เมื่อหล่อนไม่เคยรักพ่อของลูก แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นความรักปนแค้นที่เขาหยิบยื่นให้ หล่อนต้องสู้เพื่อลูก และผู้ชายอีกคนที่เข้ามาสอนให้หล่อนรู้จักความหมายของคำว่า 'รัก'
ความผิดพลาดใต้รอยสวาทนี้ จะมีบทลงเอยอย่างไร
..........................................................................
คนในอดีตย้อนกลับเข้ามาในชีวิต และหวังช่วงชิงแก้วตาดวงใจ เพื่อแก้แค้นเอาคืน
ลลนาจะทำเช่นไร เมื่อหล่อนไม่เคยรักพ่อของลูก แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นความรักปนแค้นที่เขาหยิบยื่นให้ หล่อนต้องสู้เพื่อลูก และผู้ชายอีกคนที่เข้ามาสอนให้หล่อนรู้จักความหมายของคำว่า 'รัก'
Tags: สวาท,รักร้าย,ซิงเกิ้ลมัม,ริษยา,นิยายรัก,ดราม่า
ตอน: บทที่ 4 ภรรยาอีกคน
บทที่ 4 ภรรยาอีกคน
ผลการตรวจเลือดของเลศยาไม่พบเชื้อไข้เลือดออก หนูน้อยเป็นไข้หวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เช้านี้อาการของเลศยาดีขึ้นมากจนแม่รันโล่งใจ คัมภันได้เห็นรอยยิ้มสดใสของลลนาอีกครั้ง หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยเล่านิทานเรื่องลูกหมูสามตัวให้ลูกสาวฟัง เป็นภาพน่ารักที่คัมภันต้องเผลอยิ้มตาม
“หมาป่ามาแล้วค่ะ”
เลศยายิ้มกว้างเมื่อคัมภันเดินเข้าไปใกล้ เขาจึงต้องสวมบทหมาป่าใจร้ายตามจินตนาการของหนูน้อยไปโดยปริยาย
“เดี๋ยวข้าจะพังบ้านของเจ้า จะกินคุณยายของเจ้าด้วย”
คัมภันทำเสียงใหญ่ กางนิ้วมือทั้งสิบราวอสูรร้าย เขาปั้นหน้าให้โหดสมกับบทหมาป่า แต่ลลนากลับหัวเราะลั่น
“ผิดเรื่องแล้วคุณ หมาป่ากินคุณยายนั่นมันหนูน้อยหมวกแดงนะคะ”
เขาปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ แต่กลับรู้สึกดีที่ต้องกลายเป็นตัวตลกของลลนา เขาอยากให้หล่อนยิ้มให้มาก หัวเราะให้มาก เพราะโลกใบนี้ดูสดใสขึ้นมากเหลือเกิน
“เอาใหม่ค่ะ แอ็คชั่น”
ผู้กำกับสาวบอกบทเรียบร้อย นักแสดงจำเป็นจึงต้องแสดงฝีมือ เลศยาซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา สมมติว่ามันคือบ้านอิฐแข็งแรงของลูกหมูตัวที่สาม ที่หมาป่าใจร้ายไม่อาจพังทลายเข้าไปได้ แต่คัมภันเล่นนอกบท เขาเปิดผ้าห่มให้เลศยากรีดร้อง เสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อหมาป่ามุดเข้าใต้ผ้าห่มแล้วขยำพุงหนูน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว
“บ้านเจ้าพังหมดแล้ว มาให้ข้ากินซะดีๆ”
หมาป่าอุ้มลูกหมูตัวที่สามออกมาจากบ้านแล้วยกชูขึ้นไปสุดแขน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของทุกคนกระจายเกลื่อนห้อง ก่อนทุกอย่างจะชะงักเมื่อประตูเปิดและผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัว
“พ่อจ๋า”
เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนคัมภันแล้ววิ่งไปต้อนรับบดินทร์ฉัตรด้วยรอยยิ้มกว้าง เขามาพร้อมตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่นุ่งชุดกระโปรงบานลายสก็อตสีแดง และดูเหมือนเลศยาจะดีใจเมื่อเห็นตุ๊กตามากกว่า เด็กหญิงกอดเจ้าหมีที่ตัวสูงเกือบเท่ากันเอาไว้แน่นเมื่อพ่อของหล่อนช้อนอุ้ม
“มาหาแม่ค่ะน้องไลท์ เราต้องเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว”
รอยยิ้มน่ามองเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว ลลนาสั่งลูกสาวเสียงเข้ม พ่อแม่กำลังฟาดฟันสายตาดุดันใส่กันแต่หนูน้อยกลับส่งเสียงสดใสคุยกับตุ๊กตาหมีแจ้วๆ
“ไปกับพ่อก็ได้เนอะน้องไลท์ เดี๋ยวพ่อไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ เรามีรถมา”
ลลนาปฏิเสธเสียงแข็ง หักความหวังดีที่บดินทร์ฉัตรหยิบยื่น คัมภันทำแค่เมียงมองอยู่ห่างๆ คนนอกเช่นเขาไม่ควรก้าวก่าย เว้นแต่มีคนจงใจดึงให้เข้าไปเกี่ยว
“เปลี่ยนหน้าไม่เคยซ้ำเลยนะ”
สายตาดูแคลนมองตรงมา บดินทร์ฉัตรจำคัมภันไม่ได้ แต่ยังปากเสียและไม่ให้เกียรติลลนาเช่นเดิม คัมภันพยายามข่มใจให้นิ่ง เขาเชื่อว่าลลนากำลังทำเช่นนั้น ลูกสาวไม่ยอมห่างจากอกพ่อหล่อนก็ไม่เซ้าซี้ต่อ แต่หันไปสนใจข้าวของในห้องที่ต้องเก็บลงกระเป๋าของตัวเองแทน วันนี้คุณหมออนุญาตให้เลศยาออกจากโรงพยาบาล และลลนาคงไม่ต้องการเสียเวลาเผชิญหน้ากับบดินทร์ฉัตรสักวินาทีเดียว
เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนของพ่อแล้วลากพี่หมีตัวใหญ่เดินกลับมาหาแม่รันที่กำลังคุยกับพยาบาลสาว คัมภันหลบตาบดินทร์ฉัตรที่ยังจ้องมาอย่างสงสัย คงเริ่มคุ้นตาบ้างแล้วว่าเคยเจอกันมาก่อน
คัมภัณเกลียดสายตาดูแคลนคู่นั้น เขาแสร้งเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินไปช่วยลลนาหิ้วกระเป๋า แต่เด็กหญิงเลศยากลับโถมตัวเข้ามากอดขาแล้วร้องขอให้เขาอุ้ม
“นายไม่มีสิทธิ์มาอุ้มลูกฉัน วางลงเดี๋ยวนี้!”
ตุ๊กตาหมีหล่นลงพื้นเพราะเลศยาตกใจเสียงดังของบดินทร์ฉัตร ลลนาหน้าเสียรีบเข้ามาขวางเมื่อผู้ชายใจหยาบตั้งท่าระราน หล่อนดึงตัวลูกสาวไปอุ้มแทนแล้วบอกให้คัมภันรีบหิ้วกระเป๋าเดินตามออกไป
“พี่หมีของน้องไลท์”
เลศยายังไม่ลืมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ คัมภันเห็นบดินทร์ฉัตรคว้าขึ้นจากพื้นแล้วเดินตามมาห่างๆ ลลนาไม่พูดอะไรอีกเลยเมื่อกลับขึ้นรถ หล่อนกำลังข่มอารมณ์ที่น่าจะร้อนเหลือทน มีแต่เสียงของเลศยาเจื้อยแจ้วไปตามประสาอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์
“คุณพ่อจะเอาพี่หมีมาให้น้องไลท์ไหมคะ”
“คงมาค่ะ”
เสียงนั้นแผ่วเบา หัวใจลลนาคงร้าวเจ็บน่าดู คัมภันแอบมองหน้าหมองของหล่อนผ่านกระจกมองหลัง น้องไลท์ยังเด็กเกินจะเข้าใจได้ จึงตั้งคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับบดินทร์ฉัตรจนลลนาเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
“น้องไลท์เคยเห็นปูเสฉวนไหม อยากเห็นรึเปล่า”
“ไม่เคยเห็นค่ะ บ้านคุณลุงมีเหรอคะ”
คัมภันดึงความสนใจของเลศยาได้สำเร็จ หนูน้อยรีบลุกจากตักแม่รันแล้วมองมาที่เขา
“มีสิคะ เย็นนี้ลุงจะพาไปดู”
ลลนาสบตากับคัมภันเมื่อลูกสาวสนใจเรื่องปูเสฉวนมากกว่า หล่อนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หลับตาลงแล้วเอนหลังพิงเบาะ เขาจึงต้องปดเลศยาว่าแม่รันเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อน เพราะเฝ้าไข้ลูกสาวมาตลอดทั้งคืน เลศยานั่งลงแล้วยกมือป้อมขึ้นแตะหน้าผากลลนา ก่อนจะหันมากระซิบข้างหูคัมภันว่าแม่รันตัวร้อนนิดหน่อย ต้องให้กินยาแบบน้องไลท์จะได้หายดี มีลูกสาวน่ารักเปรียบดังแก้วตาดวงใจ เวลานี้ลลนาคงทุกข์หนักหนาเมื่อใครอีกคนคิดกลับมาช่วงชิง
คัมภันเข้าใจบดินทร์ฉัตรในฐานะพ่อที่ต้องการทวงสิทธิ์ในตัวลูก แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ดูเหมือนจงใจระรานมากกว่าปรองดองกัน เรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัวถ้าไม่หันหน้าเจรจาก็คงแตกหักเพราะต่างฝ่ายต่างห้ำหั่นหาผู้แพ้ชนะ คัมภันเข้าใจลึกซึ้งในฐานะผู้แพ้ ที่ทุกวันนี้ยังถูกเงาอดีตกรีดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการให้ลลนาตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา แต่ก็ไม่ต้องการให้บดินทร์ฉัตรเป็นผู้ชนะในเกมชีวิตครั้งนี้
พัทนีต้องเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างลลนาและบดินทร์ฉัตร หลานสาวร้องขอเอาไว้ เพราะกลัวอารมณ์ของบดินทร์ฉัตรจะทำให้เรื่องบานปลาย คัมภันจึงอาสาดูแลเลศยาระหว่างที่พ่อแม่ยังหาข้อตกลงกันไม่ได้ ในห้องรับแขกของบ้านบรรยากาศอึมครึม ชั่วโมงหนึ่งแล้วที่ยังไม่มีข้อยุติ และพัทนีลำบากใจที่จะช่วยตัดสินเรื่องระหว่างคนสองคน
“คุณพัดเองก็เห็น ว่าหลานคุณยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลย มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดแบบนี้ ลูกสาวผมจะปลอดภัยได้จริงๆ รึเปล่า”
ต่อหน้าผู้ใหญ่บดินทร์ฉัตรยังไม่ลดลาวาศอก เขาตอกหน้าลลนาแรงๆ ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล คงเพราะเข้าใจลลนากับคัมภันผิดไป
“ถ้าคุณหมายถึงผู้ชายที่ต่อยหน้าคุณวันก่อน คุณเข้าใจผิดแล้วละ เขาเป็นพนักงานที่นี่ และคงตกใจที่คุณทำร้ายเจ้านายของเขา”
พัทนีเห็นว่าบดินทร์ฉัตรยั้งคำที่กำลังจะพูดต่อ เขามองหน้าลลนา ด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง
“ผมก็แค่ห่วงลูกผม”
“ยายไลท์อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรต้องห่วง ฉันเคยบอกคุณแล้วว่ารันเลี้ยงลูกได้ดีแน่ๆ คุณควรจะวางใจ
แวะมาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นที่คุณต้องพาแกไปอยู่ด้วยกัน”
“ลูกอยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด คุณคิดว่าแกจะมีความสุขเหรอคะ ถ้าต้องห่างแม่ไปแบบนั้น คุณควรจะคิดถึงใจลูกให้มากกว่านี้”
“พูดเหมือนลูกอยู่กับผมแล้วจะไม่มีความสุขงั้นละ”
ยอมรับว่าลลนาคุมอารมณ์ได้ดีกว่า พยายามต่อรองกันด้วยเหตุผล แม้บางคำบดินทร์ฉัตรดูไม่ให้เกียรติ แต่หลานสาวยังนิ่งได้จนพัทนีแปลกใจ
“ฉันแค่อยากให้คุณคิดให้มากกว่าแค่เอาชนะฉัน คุณไม่พอใจฉัน โกรธฉัน เกลียดฉัน คุณควรลงที่ฉัน มันไม่ถูกถ้าคุณจะดึงลูกเข้าไปเกี่ยว”
พัทนีพูดไม่ออก นางเห็นด้วยกับลลนา เลศยายังเด็ก ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องต่อรอง ถ้าบดินทร์ฉัตรรักลูกสาวของเขาจริง การพรากลูกไปจากแม่ ไม่ใช่วิธีที่ควรกระทำ
“ลูกสาวผม ผมควรได้ทำหน้าที่พ่อบ้าง ไม่ใช่หรือครับคุณพัด”
บดินทร์ฉัตรไม่ตอบโต้ลลนาแต่หันมาถามความเห็นจากคนนอกที่ลำบากใจจะพูดอยู่เหมือนกัน พัทนี
อยากลุกหนีไปก็ทำไม่ได้ จึงต้องแสดงความคิดเห็นอย่างรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย
“มันก็ถูกค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณเสมอ รันก็ไม่ได้กีดกันคุณกับลูก ขออย่างเดียวแค่อย่าคิดพรากลูกไปจากเขา เรื่องในอดีตก็ให้มันจบกันไป แล้วเริ่มต้นกันใหม่ คิดซะว่าเพื่อยายไลท์ก็แล้วกันนะคุณฉัตร”
“พูดง่ายนะครับ ผมควรจะมีสิทธิ์ในตัวลูกผมมากกว่านี้”
“คุณแน่ใจเหรอว่าสิทธิ์ที่คุณร้องขอนั่นเพราะคุณแค่ห่วงลูกสาว”
บดินทร์ฉัตรเงียบ ไม่ตอบคำถาม อีกทั้งยังก้มหลบตา เท่านั้นก็เผยความในใจให้พัทนีรู้แจ้งแล้วว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของบดินทร์ฉัตรคืออะไร
“ฉันไม่อยากให้เรื่องในอดีตที่ผู้ใหญ่เคลียร์กันไม่ลง ส่งผลกระทบกับเด็กที่ไม่รู้อะไร ถ้าคุณรักลูกของคุณ คุณก็ควรจะมองที่ความสุขของลูกมากกว่าความสุขของตัวเองนะคุณฉัตร”
“ผมจะลองกลับไปคิดดูก็แล้วกัน ลาละครับ”
มองก็รู้ว่าบดินทร์ฉัตรยังไม่พอใจกับข้อสรุปในวันนี้ เขาเดินหน้าเครียดออกไปจากบ้าน ส่วนลลนา สีหน้ากังวลนั่นปิดไม่มิด พัทนีกอดหลานสาวเอาไว้ ลลนาแข็งเข้มเสมอมา หล่อนไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่ซบหน้าลงบนบ่าของป้าแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น
“รันทำดีแล้ว ป้าเชื่อว่าทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี”
ลลนาวางทุกข์ไว้ที่รีสอร์ทแล้วข้ามถนนลงมาที่ชายหาด หล่อนยืนมองลูกสาววิ่งไล่จับกับคัมภันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะกังวานของผู้ชายสูงล่ำสะกดให้ต้องยิ้มตาม เขาคว้าตัวเลศยาไปกอดแล้วยกชูสูงขึ้นสุดแขนก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ ให้หนูน้อยได้กางแขนราวกางปีกท้าลม
“แม่รัน”
ลูกสาวหันมาเห็นจึงร้องเรียก ครั้นคัมภันปล่อยลงพื้น หนูน้อยก็วิ่งเข้ามากอด แล้วเล่าเรื่องปูเสฉวนให้ฟังอย่างตื่นเต้น
“แม่รันไปดูสิคะ มีปูในเปลือกหอย”
เลศยาจับแขนแล้วลากไปดู มีปูเสฉวนสองตัวในแก้วพลาสติกที่คัมภัณยื่นมาให้ ลลนามองเจ้าปูตัวนิ่มที่โผล่แค่หัวและขาสองคู่ออกมาจากเปลือกหอย ไม่ต้องดึงออกมาดูก็รู้ว่าปูเสฉวนอ่อนแอเพียงใด พวกมันก็เหมือนหล่อนในตอนนี้ ที่ต้องสวมเปลือกแข็งแกร่งซ่อนความเปราะบางเอาไว้อย่าให้ใครได้เห็น
“ลุงภันบอกว่าเปลือกหอยคือบ้านของมัน”
หนูน้อยอธิบาย แล้วชี้ให้แม่รันมองไปที่หาด ยังมีปูเสฉวนหลายตัวเดินอยู่ที่นั่น แบกบ้านน้อยใหญ่ของพวกมันไปอย่างไม่อ่อนล้า หญิงสาวคิดถึงปัญหาหนักที่ยังวางลงไม่ได้เหมือนเปลือกหอยที่ปูเสฉวนแบกไว้ ถ้าตอนนี้หล่อนอ่อนแอ หล่อนคงแพ้...เท่านั้นเอง
ลลนาย่อตัวลงนั่ง ปล่อยปูเสฉวนในแก้วลงพื้น มองพวกมันวิ่งจากหาดลงไปที่น้ำตื้นๆ เลศยายังตามไปดูอย่างสนใจเรียนรู้ และไล่จับปูเสฉวนที่เดินบนหาดไปปล่อยลงน้ำ คัมภันเดินไปเล่นกับเลศยาอีกสักพัก ก่อนจะกลับมาย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผ้าใบตัวข้างๆ ลลนา
“น้องไลท์ยังเด็กเกินจะเข้าใจ แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าเมื่อโตขึ้น แกจะเข้าใจเอง”
ลลนามองหน้าเกลี้ยงเกลาของเขาแล้วปล่อยสายตาไว้กับธรรมชาติรอบตัว หัวใจหล่อนล้า ดุจดวงอาทิตย์อ่อนแสงที่อีกไม่นานต้องเลื่อนจมลงใต้ผืนน้ำ
“ฉันเคยคิดว่าเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ แต่พอเขากลับมา ฉันไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ”
“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“คุณเองก็เห็น ยายไลท์ดูดีใจ ดูมีความสุขเวลาที่ได้เจอพ่อ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องผูกพันกับเขา”
“ดูนั่นสิครับ”
คัมภันชี้ให้หล่อนมองไป เลศยายังสนุกกับบรรดาปูเสฉวนและเปลือกหอยที่ริมหาด ลูกสาวยิ้มกว้าง โบกมือทักทายคนรู้จักที่เดินเข้ามาใกล้ พูดคุยเสียงแจ้วๆ ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“น้องไลท์ดูมีความสุขดี แล้วพ่อเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ความผูกพันเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายหรอกครับ ก็คงจะมีบ้างที่จะถามจะคุยถึงพ่อ เพราะวัยกำลังช่างคิดช่างถาม ผมเชื่อว่าคุณเติมเต็มความสุขให้ลูกได้ อย่ากังวลไปเลยนะครับ คุณต้องเข้มแข็งเข้าไว้”
แววตาของคัมภันอบอุ่นนัก เขามองหล่อนแล้วยิ้มอ่อนโยน แม้จะทำให้ความกลัวในใจลดลงได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า หล่อนยังมีเขาเป็นที่ปรึกษาที่ดีอีกคน
....................................................
ความใกล้ชิด จะก่อให้เกิดความผูกพันได้หรือไม่ วันนี้ไรท์รีบมาอัพให้ก่อนเพราะอาทิตย์หน้าจะไม่ว่างจ้า เจอบทหน้ากันอีกครั้งวันพุธเลยนะคะ ทักทายพูดคุยกันบ้างน้า ไรท์จะได้รู้ว่ามีคนติดตามอยู่จ้า ขอบคุณมากๆ จ้า
ฝากนิยายเรื่องล่าสุดของเนตรนทีด้วยนะคะ ใครอยากรู้ว่า บดินทร์ฉัตรและลลนาเขาพบเจอกันยังไงและเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง ติดตามได้ใน สวมรอยปรารถนาจ้า โหลด E-book ได้เลยจ้า
https://www.mebmarket.com/?action=BookDetails&book_id=39186
ผลการตรวจเลือดของเลศยาไม่พบเชื้อไข้เลือดออก หนูน้อยเป็นไข้หวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เช้านี้อาการของเลศยาดีขึ้นมากจนแม่รันโล่งใจ คัมภันได้เห็นรอยยิ้มสดใสของลลนาอีกครั้ง หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยเล่านิทานเรื่องลูกหมูสามตัวให้ลูกสาวฟัง เป็นภาพน่ารักที่คัมภันต้องเผลอยิ้มตาม
“หมาป่ามาแล้วค่ะ”
เลศยายิ้มกว้างเมื่อคัมภันเดินเข้าไปใกล้ เขาจึงต้องสวมบทหมาป่าใจร้ายตามจินตนาการของหนูน้อยไปโดยปริยาย
“เดี๋ยวข้าจะพังบ้านของเจ้า จะกินคุณยายของเจ้าด้วย”
คัมภันทำเสียงใหญ่ กางนิ้วมือทั้งสิบราวอสูรร้าย เขาปั้นหน้าให้โหดสมกับบทหมาป่า แต่ลลนากลับหัวเราะลั่น
“ผิดเรื่องแล้วคุณ หมาป่ากินคุณยายนั่นมันหนูน้อยหมวกแดงนะคะ”
เขาปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ แต่กลับรู้สึกดีที่ต้องกลายเป็นตัวตลกของลลนา เขาอยากให้หล่อนยิ้มให้มาก หัวเราะให้มาก เพราะโลกใบนี้ดูสดใสขึ้นมากเหลือเกิน
“เอาใหม่ค่ะ แอ็คชั่น”
ผู้กำกับสาวบอกบทเรียบร้อย นักแสดงจำเป็นจึงต้องแสดงฝีมือ เลศยาซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา สมมติว่ามันคือบ้านอิฐแข็งแรงของลูกหมูตัวที่สาม ที่หมาป่าใจร้ายไม่อาจพังทลายเข้าไปได้ แต่คัมภันเล่นนอกบท เขาเปิดผ้าห่มให้เลศยากรีดร้อง เสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อหมาป่ามุดเข้าใต้ผ้าห่มแล้วขยำพุงหนูน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว
“บ้านเจ้าพังหมดแล้ว มาให้ข้ากินซะดีๆ”
หมาป่าอุ้มลูกหมูตัวที่สามออกมาจากบ้านแล้วยกชูขึ้นไปสุดแขน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของทุกคนกระจายเกลื่อนห้อง ก่อนทุกอย่างจะชะงักเมื่อประตูเปิดและผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัว
“พ่อจ๋า”
เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนคัมภันแล้ววิ่งไปต้อนรับบดินทร์ฉัตรด้วยรอยยิ้มกว้าง เขามาพร้อมตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่นุ่งชุดกระโปรงบานลายสก็อตสีแดง และดูเหมือนเลศยาจะดีใจเมื่อเห็นตุ๊กตามากกว่า เด็กหญิงกอดเจ้าหมีที่ตัวสูงเกือบเท่ากันเอาไว้แน่นเมื่อพ่อของหล่อนช้อนอุ้ม
“มาหาแม่ค่ะน้องไลท์ เราต้องเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว”
รอยยิ้มน่ามองเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว ลลนาสั่งลูกสาวเสียงเข้ม พ่อแม่กำลังฟาดฟันสายตาดุดันใส่กันแต่หนูน้อยกลับส่งเสียงสดใสคุยกับตุ๊กตาหมีแจ้วๆ
“ไปกับพ่อก็ได้เนอะน้องไลท์ เดี๋ยวพ่อไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ เรามีรถมา”
ลลนาปฏิเสธเสียงแข็ง หักความหวังดีที่บดินทร์ฉัตรหยิบยื่น คัมภันทำแค่เมียงมองอยู่ห่างๆ คนนอกเช่นเขาไม่ควรก้าวก่าย เว้นแต่มีคนจงใจดึงให้เข้าไปเกี่ยว
“เปลี่ยนหน้าไม่เคยซ้ำเลยนะ”
สายตาดูแคลนมองตรงมา บดินทร์ฉัตรจำคัมภันไม่ได้ แต่ยังปากเสียและไม่ให้เกียรติลลนาเช่นเดิม คัมภันพยายามข่มใจให้นิ่ง เขาเชื่อว่าลลนากำลังทำเช่นนั้น ลูกสาวไม่ยอมห่างจากอกพ่อหล่อนก็ไม่เซ้าซี้ต่อ แต่หันไปสนใจข้าวของในห้องที่ต้องเก็บลงกระเป๋าของตัวเองแทน วันนี้คุณหมออนุญาตให้เลศยาออกจากโรงพยาบาล และลลนาคงไม่ต้องการเสียเวลาเผชิญหน้ากับบดินทร์ฉัตรสักวินาทีเดียว
เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนของพ่อแล้วลากพี่หมีตัวใหญ่เดินกลับมาหาแม่รันที่กำลังคุยกับพยาบาลสาว คัมภันหลบตาบดินทร์ฉัตรที่ยังจ้องมาอย่างสงสัย คงเริ่มคุ้นตาบ้างแล้วว่าเคยเจอกันมาก่อน
คัมภัณเกลียดสายตาดูแคลนคู่นั้น เขาแสร้งเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินไปช่วยลลนาหิ้วกระเป๋า แต่เด็กหญิงเลศยากลับโถมตัวเข้ามากอดขาแล้วร้องขอให้เขาอุ้ม
“นายไม่มีสิทธิ์มาอุ้มลูกฉัน วางลงเดี๋ยวนี้!”
ตุ๊กตาหมีหล่นลงพื้นเพราะเลศยาตกใจเสียงดังของบดินทร์ฉัตร ลลนาหน้าเสียรีบเข้ามาขวางเมื่อผู้ชายใจหยาบตั้งท่าระราน หล่อนดึงตัวลูกสาวไปอุ้มแทนแล้วบอกให้คัมภันรีบหิ้วกระเป๋าเดินตามออกไป
“พี่หมีของน้องไลท์”
เลศยายังไม่ลืมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ คัมภันเห็นบดินทร์ฉัตรคว้าขึ้นจากพื้นแล้วเดินตามมาห่างๆ ลลนาไม่พูดอะไรอีกเลยเมื่อกลับขึ้นรถ หล่อนกำลังข่มอารมณ์ที่น่าจะร้อนเหลือทน มีแต่เสียงของเลศยาเจื้อยแจ้วไปตามประสาอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์
“คุณพ่อจะเอาพี่หมีมาให้น้องไลท์ไหมคะ”
“คงมาค่ะ”
เสียงนั้นแผ่วเบา หัวใจลลนาคงร้าวเจ็บน่าดู คัมภันแอบมองหน้าหมองของหล่อนผ่านกระจกมองหลัง น้องไลท์ยังเด็กเกินจะเข้าใจได้ จึงตั้งคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับบดินทร์ฉัตรจนลลนาเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
“น้องไลท์เคยเห็นปูเสฉวนไหม อยากเห็นรึเปล่า”
“ไม่เคยเห็นค่ะ บ้านคุณลุงมีเหรอคะ”
คัมภันดึงความสนใจของเลศยาได้สำเร็จ หนูน้อยรีบลุกจากตักแม่รันแล้วมองมาที่เขา
“มีสิคะ เย็นนี้ลุงจะพาไปดู”
ลลนาสบตากับคัมภันเมื่อลูกสาวสนใจเรื่องปูเสฉวนมากกว่า หล่อนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หลับตาลงแล้วเอนหลังพิงเบาะ เขาจึงต้องปดเลศยาว่าแม่รันเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อน เพราะเฝ้าไข้ลูกสาวมาตลอดทั้งคืน เลศยานั่งลงแล้วยกมือป้อมขึ้นแตะหน้าผากลลนา ก่อนจะหันมากระซิบข้างหูคัมภันว่าแม่รันตัวร้อนนิดหน่อย ต้องให้กินยาแบบน้องไลท์จะได้หายดี มีลูกสาวน่ารักเปรียบดังแก้วตาดวงใจ เวลานี้ลลนาคงทุกข์หนักหนาเมื่อใครอีกคนคิดกลับมาช่วงชิง
คัมภันเข้าใจบดินทร์ฉัตรในฐานะพ่อที่ต้องการทวงสิทธิ์ในตัวลูก แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ดูเหมือนจงใจระรานมากกว่าปรองดองกัน เรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัวถ้าไม่หันหน้าเจรจาก็คงแตกหักเพราะต่างฝ่ายต่างห้ำหั่นหาผู้แพ้ชนะ คัมภันเข้าใจลึกซึ้งในฐานะผู้แพ้ ที่ทุกวันนี้ยังถูกเงาอดีตกรีดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการให้ลลนาตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา แต่ก็ไม่ต้องการให้บดินทร์ฉัตรเป็นผู้ชนะในเกมชีวิตครั้งนี้
พัทนีต้องเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างลลนาและบดินทร์ฉัตร หลานสาวร้องขอเอาไว้ เพราะกลัวอารมณ์ของบดินทร์ฉัตรจะทำให้เรื่องบานปลาย คัมภันจึงอาสาดูแลเลศยาระหว่างที่พ่อแม่ยังหาข้อตกลงกันไม่ได้ ในห้องรับแขกของบ้านบรรยากาศอึมครึม ชั่วโมงหนึ่งแล้วที่ยังไม่มีข้อยุติ และพัทนีลำบากใจที่จะช่วยตัดสินเรื่องระหว่างคนสองคน
“คุณพัดเองก็เห็น ว่าหลานคุณยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลย มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดแบบนี้ ลูกสาวผมจะปลอดภัยได้จริงๆ รึเปล่า”
ต่อหน้าผู้ใหญ่บดินทร์ฉัตรยังไม่ลดลาวาศอก เขาตอกหน้าลลนาแรงๆ ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล คงเพราะเข้าใจลลนากับคัมภันผิดไป
“ถ้าคุณหมายถึงผู้ชายที่ต่อยหน้าคุณวันก่อน คุณเข้าใจผิดแล้วละ เขาเป็นพนักงานที่นี่ และคงตกใจที่คุณทำร้ายเจ้านายของเขา”
พัทนีเห็นว่าบดินทร์ฉัตรยั้งคำที่กำลังจะพูดต่อ เขามองหน้าลลนา ด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง
“ผมก็แค่ห่วงลูกผม”
“ยายไลท์อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรต้องห่วง ฉันเคยบอกคุณแล้วว่ารันเลี้ยงลูกได้ดีแน่ๆ คุณควรจะวางใจ
แวะมาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นที่คุณต้องพาแกไปอยู่ด้วยกัน”
“ลูกอยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด คุณคิดว่าแกจะมีความสุขเหรอคะ ถ้าต้องห่างแม่ไปแบบนั้น คุณควรจะคิดถึงใจลูกให้มากกว่านี้”
“พูดเหมือนลูกอยู่กับผมแล้วจะไม่มีความสุขงั้นละ”
ยอมรับว่าลลนาคุมอารมณ์ได้ดีกว่า พยายามต่อรองกันด้วยเหตุผล แม้บางคำบดินทร์ฉัตรดูไม่ให้เกียรติ แต่หลานสาวยังนิ่งได้จนพัทนีแปลกใจ
“ฉันแค่อยากให้คุณคิดให้มากกว่าแค่เอาชนะฉัน คุณไม่พอใจฉัน โกรธฉัน เกลียดฉัน คุณควรลงที่ฉัน มันไม่ถูกถ้าคุณจะดึงลูกเข้าไปเกี่ยว”
พัทนีพูดไม่ออก นางเห็นด้วยกับลลนา เลศยายังเด็ก ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องต่อรอง ถ้าบดินทร์ฉัตรรักลูกสาวของเขาจริง การพรากลูกไปจากแม่ ไม่ใช่วิธีที่ควรกระทำ
“ลูกสาวผม ผมควรได้ทำหน้าที่พ่อบ้าง ไม่ใช่หรือครับคุณพัด”
บดินทร์ฉัตรไม่ตอบโต้ลลนาแต่หันมาถามความเห็นจากคนนอกที่ลำบากใจจะพูดอยู่เหมือนกัน พัทนี
อยากลุกหนีไปก็ทำไม่ได้ จึงต้องแสดงความคิดเห็นอย่างรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย
“มันก็ถูกค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณเสมอ รันก็ไม่ได้กีดกันคุณกับลูก ขออย่างเดียวแค่อย่าคิดพรากลูกไปจากเขา เรื่องในอดีตก็ให้มันจบกันไป แล้วเริ่มต้นกันใหม่ คิดซะว่าเพื่อยายไลท์ก็แล้วกันนะคุณฉัตร”
“พูดง่ายนะครับ ผมควรจะมีสิทธิ์ในตัวลูกผมมากกว่านี้”
“คุณแน่ใจเหรอว่าสิทธิ์ที่คุณร้องขอนั่นเพราะคุณแค่ห่วงลูกสาว”
บดินทร์ฉัตรเงียบ ไม่ตอบคำถาม อีกทั้งยังก้มหลบตา เท่านั้นก็เผยความในใจให้พัทนีรู้แจ้งแล้วว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของบดินทร์ฉัตรคืออะไร
“ฉันไม่อยากให้เรื่องในอดีตที่ผู้ใหญ่เคลียร์กันไม่ลง ส่งผลกระทบกับเด็กที่ไม่รู้อะไร ถ้าคุณรักลูกของคุณ คุณก็ควรจะมองที่ความสุขของลูกมากกว่าความสุขของตัวเองนะคุณฉัตร”
“ผมจะลองกลับไปคิดดูก็แล้วกัน ลาละครับ”
มองก็รู้ว่าบดินทร์ฉัตรยังไม่พอใจกับข้อสรุปในวันนี้ เขาเดินหน้าเครียดออกไปจากบ้าน ส่วนลลนา สีหน้ากังวลนั่นปิดไม่มิด พัทนีกอดหลานสาวเอาไว้ ลลนาแข็งเข้มเสมอมา หล่อนไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่ซบหน้าลงบนบ่าของป้าแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น
“รันทำดีแล้ว ป้าเชื่อว่าทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี”
ลลนาวางทุกข์ไว้ที่รีสอร์ทแล้วข้ามถนนลงมาที่ชายหาด หล่อนยืนมองลูกสาววิ่งไล่จับกับคัมภันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะกังวานของผู้ชายสูงล่ำสะกดให้ต้องยิ้มตาม เขาคว้าตัวเลศยาไปกอดแล้วยกชูสูงขึ้นสุดแขนก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ ให้หนูน้อยได้กางแขนราวกางปีกท้าลม
“แม่รัน”
ลูกสาวหันมาเห็นจึงร้องเรียก ครั้นคัมภันปล่อยลงพื้น หนูน้อยก็วิ่งเข้ามากอด แล้วเล่าเรื่องปูเสฉวนให้ฟังอย่างตื่นเต้น
“แม่รันไปดูสิคะ มีปูในเปลือกหอย”
เลศยาจับแขนแล้วลากไปดู มีปูเสฉวนสองตัวในแก้วพลาสติกที่คัมภัณยื่นมาให้ ลลนามองเจ้าปูตัวนิ่มที่โผล่แค่หัวและขาสองคู่ออกมาจากเปลือกหอย ไม่ต้องดึงออกมาดูก็รู้ว่าปูเสฉวนอ่อนแอเพียงใด พวกมันก็เหมือนหล่อนในตอนนี้ ที่ต้องสวมเปลือกแข็งแกร่งซ่อนความเปราะบางเอาไว้อย่าให้ใครได้เห็น
“ลุงภันบอกว่าเปลือกหอยคือบ้านของมัน”
หนูน้อยอธิบาย แล้วชี้ให้แม่รันมองไปที่หาด ยังมีปูเสฉวนหลายตัวเดินอยู่ที่นั่น แบกบ้านน้อยใหญ่ของพวกมันไปอย่างไม่อ่อนล้า หญิงสาวคิดถึงปัญหาหนักที่ยังวางลงไม่ได้เหมือนเปลือกหอยที่ปูเสฉวนแบกไว้ ถ้าตอนนี้หล่อนอ่อนแอ หล่อนคงแพ้...เท่านั้นเอง
ลลนาย่อตัวลงนั่ง ปล่อยปูเสฉวนในแก้วลงพื้น มองพวกมันวิ่งจากหาดลงไปที่น้ำตื้นๆ เลศยายังตามไปดูอย่างสนใจเรียนรู้ และไล่จับปูเสฉวนที่เดินบนหาดไปปล่อยลงน้ำ คัมภันเดินไปเล่นกับเลศยาอีกสักพัก ก่อนจะกลับมาย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผ้าใบตัวข้างๆ ลลนา
“น้องไลท์ยังเด็กเกินจะเข้าใจ แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าเมื่อโตขึ้น แกจะเข้าใจเอง”
ลลนามองหน้าเกลี้ยงเกลาของเขาแล้วปล่อยสายตาไว้กับธรรมชาติรอบตัว หัวใจหล่อนล้า ดุจดวงอาทิตย์อ่อนแสงที่อีกไม่นานต้องเลื่อนจมลงใต้ผืนน้ำ
“ฉันเคยคิดว่าเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ แต่พอเขากลับมา ฉันไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ”
“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“คุณเองก็เห็น ยายไลท์ดูดีใจ ดูมีความสุขเวลาที่ได้เจอพ่อ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องผูกพันกับเขา”
“ดูนั่นสิครับ”
คัมภันชี้ให้หล่อนมองไป เลศยายังสนุกกับบรรดาปูเสฉวนและเปลือกหอยที่ริมหาด ลูกสาวยิ้มกว้าง โบกมือทักทายคนรู้จักที่เดินเข้ามาใกล้ พูดคุยเสียงแจ้วๆ ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“น้องไลท์ดูมีความสุขดี แล้วพ่อเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ความผูกพันเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายหรอกครับ ก็คงจะมีบ้างที่จะถามจะคุยถึงพ่อ เพราะวัยกำลังช่างคิดช่างถาม ผมเชื่อว่าคุณเติมเต็มความสุขให้ลูกได้ อย่ากังวลไปเลยนะครับ คุณต้องเข้มแข็งเข้าไว้”
แววตาของคัมภันอบอุ่นนัก เขามองหล่อนแล้วยิ้มอ่อนโยน แม้จะทำให้ความกลัวในใจลดลงได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า หล่อนยังมีเขาเป็นที่ปรึกษาที่ดีอีกคน
....................................................
ความใกล้ชิด จะก่อให้เกิดความผูกพันได้หรือไม่ วันนี้ไรท์รีบมาอัพให้ก่อนเพราะอาทิตย์หน้าจะไม่ว่างจ้า เจอบทหน้ากันอีกครั้งวันพุธเลยนะคะ ทักทายพูดคุยกันบ้างน้า ไรท์จะได้รู้ว่ามีคนติดตามอยู่จ้า ขอบคุณมากๆ จ้า
ฝากนิยายเรื่องล่าสุดของเนตรนทีด้วยนะคะ ใครอยากรู้ว่า บดินทร์ฉัตรและลลนาเขาพบเจอกันยังไงและเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง ติดตามได้ใน สวมรอยปรารถนาจ้า โหลด E-book ได้เลยจ้า
https://www.mebmarket.com/?action=BookDetails&book_id=39186
เนตรนที
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2560, 10:41:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2560, 10:41:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 978
<< บทที่ 3 ความเจ็บที่ไม่เคยลืม | บทที่ 5 พี่เลี้ยงลูกเป็ด >> |