ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทนำ
กล่าวกันว่ากิจการร้านค้ามักจะมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง บางช่วงกำรี้กำไรที่คาดหวังก็พุ่งพรวดให้กอบโกยกันเป็นเทน้ำเทท่า แต่บางช่วงก็ช่วงเงียบเหงาเสียจนน่าท้อแท้ใจเหลือเกิน ทว่าทฤษฎีการค้าทำนองนั้นคงใช้ไม่ได้กับร้านอาหารพ่วงเบเกอรี่ที่มีหุ้นส่วนสาวสามคนดูแลกิจการอยู่แน่ ไม่ว่าจะเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์นี้จะผันผวนยิ่งกว่าน้ำขึ้นน้ำลงสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีผลให้จำนวนลูกค้าที่เดินเข้าออกในร้านลดลงเลยสักนิด มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ
หากก็เป็นที่รู้กันว่านอกจากรสชาติที่สมน้ำสมเนื้อกับราคาแล้ว ปัจจัยหลักที่ทำให้ใครต่อใครแวะเวียนเข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสายก็คือ หุ้นส่วนสาวทั้งสามคนของร้าน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมธุรกิจอย่างมหาศาลนั่นเอง คนหนึ่งคือ ‘น้ำผึ้งพระจันทร์ อัศวพาธากุล’ บุตรสาวคนเดียวของเจ้าสัวเฉียน พ่อค้าอัญมณีรายใหญ่ของเอเชีย ยิ่งในตอนหลังที่เธอขยายอิทธิพลทางธุรกิจของตัวเอง ไปดูแลอุตสาหกรรมครอบจักรวาลในฐานะราชินีมังกรมุกของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งของฮ่องกง อิทธิพลที่ว่ามากอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีขึ้นไปอีก
ส่วนอีกคนก็คือ ‘ทิพย์น้ำปรุง ดิเรกเวชวณิชย์’ ว่าที่ผู้สืบทอดกิจการเครื่องสำอางค์อันดับต้นๆ ของเอเชีย ที่แม้ว่าเจ้าตัวจะหัวรั้นอยากทำงานตรงกับสายที่เรียนมา จนสามารถเปิดบริษัทสถาปนิกเป็นของตัวเองได้ในที่สุด ทว่าแม้แต่เด็กแรกเกิดก็ยังรู้ว่า สุดท้ายแล้วทรัพย์ศฤงคารทั้งหมดของตระกูลดิเรกเวชวณิชย์ก็ต้องตกเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอยู่วันยังค่ำ
และหุ้นส่วนคนสุดท้าย ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ บุตรสาวคนรองของอาณาจักรรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของภาคพื้นทวีปเอเชีย ซึ่งความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์นั้น อาจนิยามได้ด้วยคำกล่าวที่ว่า ‘เป็นสัมปทานใดๆ ที่มีตัวเงินมากกว่าแปดหลักขึ้นไป สัมปทานนั้นย่อมมีคนของตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์เอี่ยวอยู่ด้วย’
จึงอาจกล่าวได้ว่า ร้านอาหารพ่วงเบเกอรี่ที่โด่งดังตามกระแสนิยมนี้ นอกจากจะเป็นที่พบปะสังสรรค์ของคนวัยทำงานที่พอมีอันจะกินแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าอภิชาตบุตรที่หวังจะเสาะหาสะใภ้ผู้เพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ให้กับบิดามารดาอีกด้วย
“ลูกค้าจะล้นร้านอยู่แล้ว แกยังมามัวเล่นอะไรอยู่ได้” ‘เพียงน้ำพลอย’ เอ็ดเพื่อนสาวคนสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ติดร้านเสียงเขียว เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อะไรอยู่ได้ทั้งวี่วัน ในขณะที่เธอนั้น เพื่อที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แทบจะแยกร่างตัวเองเป็นสิบร่างได้อยู่แล้ว ถ้า ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ เพื่อนสนิทอีกคนของเธออยู่ด้วยก็คงดี อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายคอยเอ็ดคนโน้นไล่กวดคนนี้เป็นครูแก่ๆ ฝ่ายปกครองอย่างนี้
“น่า... แป๊บเดียว...” ทิพย์น้ำปรุงตอบอย่างขอไปที หากก็ยังไม่วายก้มมองโทรศัพท์มือถือในมือราวกับจะผลุบหายเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น
“เล่นเป็นเด็กๆ อยู่ได้ เอามานี่!” เพียงน้ำพลอยดุเสียงดัง ก่อนจะเอื้อมไปแย่งโทรศัพท์เครื่องบางมาไว้ในมือเสียเอง
“แกคราวนี้มันเรื่องใหญ่ เอาคืนมาก่อน” ทิพย์น้ำปรุงให้เหตุผลเสียงอ่อน พลางยื่นมือไปขอโทรศัพท์คืน
“มันจะใหญ่อะไรนักหนา”
“ก็ฉันกำลังดูว่าคนในรูปนั่นใช่คุณฟรานรึเปล่าน่ะสิ” ทิพย์น้ำปรุงตอบอย่างออกรสออกชาติ ทำเอาคนฉุนเฉียวเมื่อครู่อดยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูบ้างไม่ได้
‘เห็นแล้วใจไม่ดีเลย แม่จะว่ามั้ยนะถ้าพ่อของลูกเป็นคนแปลกหน้า’
พาดหัวข่าวในเฟซบุ๊กพร้อมกับรูปที่แนบมาทำเอาเพียงน้ำพลอยผู้สงบนิ่งในทุกสถานการณ์ยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองแทบไม่ทัน เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่เธอเคยปรามาสไว้ว่าห่างไกลจากคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ จะกลายมาเป็นกระแสร้อนในโลกโซเชียลได้ นั่นยังไม่นับบรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ล้วนหันเหไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวชวนสยิวซ่านทรวง หรือแนวแทะโลมอย่างลืมอาย และอีกมากมายหลายหลากที่ทำเอาดวงหน้าสวยหวานต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกกว่าจะอ่านได้จบประโยค
‘ถ้าได้อย่างนี้นะ แม่จะเลียตั้งแต่หน้าประตูเข้าไปเลย’
‘เห็นแล้วน้ำเดินค่ะ!’
‘สถานีปลายทางคือที่ไหนคะพี่ ไปที่ห้องน้องมั้ยคะ รับรองจะร้องให้ฟังทั้งคืนเลย!’
‘คนถ่ายนี่ตายรึยัง’
เธอไม่คิดเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นพวกหน้าบางถึงขนาดเสพข่าวสองสามง่ามพรรค์นี้ไม่ได้ ยิ่งในยุคสมัยที่สื่อมาไวยิ่งกว่าแสงแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกี่แง่กี่ง่ามก็พบเห็นกันให้เกลื่อนทั้งนั้น แต่พอคิดว่าคนในภาพที่ถูกแอบถ่ายมาบนรถไฟฟ้านั้นเป็นคนที่ตัวเองรู้จัก เธอก็รู้สึกเหมือนกับมีคนเอาไฟมาลนสองข้างแก้มตัวเองอย่างนั้นแหละ
“หน้าแดงขนาดนี้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผู้หญิงพวกนั้นกันแน่” ทิพย์น้ำปรุงฉวยโอกาสที่คนตรงหน้ากำลังจมอยู่ในภวังค์ เอื้อมมือไปฉวยโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายนึกสนุกเหน็บเพื่อนสาวผู้เรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าพับไว้เล่น เพราะจำได้ว่าเคยได้ยินเพื่อนสนิทอีกคนออกตัวอาสาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้คนตรงหน้ากับชายหนุ่มรูปงามในรูปอยู่บ่อยๆ
“ไร้สาระ” เพียงน้ำพลอยสวนกลับเสียงเรียบตามแบบฉบับของตัวเอง หากน้ำแข็งที่ฉาบเคลือบใบหน้าสวยหวานนั้นกลับไม่สามารถหลอกคนคุ้นเคยกันดีอย่างทิพย์น้ำปรุงได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางเรียบเฉยเกินพอดีแบบนั้น...มันก็แค่วิธีแก้เก้อของคนปากแข็งเท่านั้นเอง...
“นี่จะว่าไปคุณฟรานเขาก็หล่อดีนะ รูปหน้าก็ดี หุ่นก็ดี ไหล่กว๊างกว้าง น่าซบชะมัดเลยอะ” ทิพย์น้ำปรุงหลับตาพริ้มลงอย่างเพ้อฝัน พร้อมกับเอียงแก้มซบลงกับมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นประกบกัน
“แกจะเพ้อเจ้อไปถึงไหน คิดจะมาทำงานหรือจะมาฝันกลางวันกันแน่” เสียงเย็นเยียบของคนเฉยชาไม่ต่างจากน้ำเย็นๆ ที่สาดเข้าดับรอยยิ้มเพ้อฝันของทิพย์น้ำปรุงให้มลายหายไปในชั่วพริบตา แต่ใครไม่เคยหลับฝันกลางวันก็คงไม่เข้าใจ ว่ามันช่างหอมหวานเกินกว่าจะตื่นเต็มตาได้ง่ายๆ นัก
“แกว่าไม่จริงรึไงล่ะ ลองคิดดูนะ คุณฟรานน่ะ หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดี การศึกษาก็ดี หน้าที่การงานก็ดี ที่สำคัญ...” ทิพย์น้ำปรุงทำท่าเอียงคอคิด พร้อมกับร่ายยาวถึงคุณสมบัติที่ถูกตาต้องใจของชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นเพื่อนรักของสามีเพื่อนสนิทอีกคนออกมาอย่างไม่ขาดปาก ก่อนจะละคำสุดท้ายเอาไว้ให้คนฟังคิดต่อ
“อะไร” เพียงน้ำพลอยถามจี้เสียงเขียว
“หุ่นแซ่บมาก...” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานกับเปลือกตาที่หลับลงราวกับกำลังห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดอะไรบางอย่าง ทำเอาเพียงน้ำพลอยได้แต่หลับตาเบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา
“แกรู้รึไงเขาเรียนจบอะไรมา ถึงได้บอกว่าเขาการศึกษาดี” เพียงน้ำพลอยถามกลับบ้าง เพราะอยากจะรู้นักว่าพวกคนที่เอาแต่สรรเสริญเยินยอผู้ชายคนนั้นอย่างกับเขาไม่ใช่คนนั้น แท้จริงแล้วรู้จักเขาดีสักแค่ไหนกัน
“เออนั่นสิ เขาเรียนอะไรมานะ” ทิพย์น้ำปรุงคิดตามพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะโยนคำถามกลับมาให้อีกฝ่าย เพราะตนก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาคนนั้นร่ำเรียนอะไรมา แต่นึกไปนึกมาเธอก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ตัวเองจะต้องไปรู้เรื่องส่วนตัวอะไรของเขาถึงปานนั้นด้วย
แค่รู้ว่าเขาหล่อไม่พอรึไง...
“แล้วแกรู้รึไงเขาทำงานอะไร ถึงบอกเขาหน้าที่การงานดี” เพียงน้ำพลอยไม่ตอบแต่ถามต่ออย่างเอาเรื่อง
“แล้วเขาไม่ได้เป็นนักธุรกิจเหมือนคุณหยางหลงหรอกเหรอ” ทิพย์น้ำปรุงตอบอึกอักด้วยความสับสนงุนงง
“แล้วไอ้นิสัยดีเนี่ย แกรู้จักเขามานานเท่าไหร่ถึงพูดได้เต็มปากว่าเขาดี”
สิ้นเสียงคำถามของตัวเองเพียงน้ำพลอยก็โน้มตัวไปหยิบเมนูอาหารที่อยู่อีกฝากหนึ่งของเคาน์เตอร์ไปต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทันที โดยไม่สนใจจะกวดขันคนติดข่าวสารไร้การกรองให้ทำงานอีกต่อไป
เธอออกจะไม่เข้าใจสังคมบิดๆ เบี้ยวๆ นี้เลยจริงๆ ซ้ำเพื่อนสนิทของเธอก็ยังพลอยเป็นไปกับเขาด้วย รู้จักคนแค่ผิวเผินก็ตีค่าราคาเขาสูงระยับราวกับรู้จักเขามาแรมปี ไอ้ที่ว่าดีก็แค่ได้ยินคนอื่นเขาว่ากันมาอย่างนั้น แท้จริงแล้วรู้จักตัวตนเขาสักแค่ไหนกัน
สำหรับเธอแล้ว ความประทับใจตอนที่เจอกับหมอนั่นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนนับได้ว่าเท่ากับศูนย์ ไม่สิ...เรียกว่าติดลบเลยจะดีกว่า ผู้ชายอะไรพ่นคำกวนโอ๊ยออกมาได้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ไหนจะเรื่องมารยาทที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่เศษเสี้ยวอีก ใครจะเห็นว่าดีก็ตามแต่ใจเถอะ แต่เธอคนหนึ่งล่ะที่จะไม่มีทางเห็นความดีเขาง่ายๆ แน่
ต่อให้หุ่นองค์โครงสร้างเขาจะดีอย่างที่ว่าจริงๆ ก็เถอะ...
#บทนำมาแย้ววว แล้วจะรีบเอาบทที่หนึ่งมาเสิร์ฟน้าาา^^
ใครเห็นด้วยว่าเฮียฟรานเราแซ่บจริง
อย่าลืมเม้นท์ + จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา
หากก็เป็นที่รู้กันว่านอกจากรสชาติที่สมน้ำสมเนื้อกับราคาแล้ว ปัจจัยหลักที่ทำให้ใครต่อใครแวะเวียนเข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสายก็คือ หุ้นส่วนสาวทั้งสามคนของร้าน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมธุรกิจอย่างมหาศาลนั่นเอง คนหนึ่งคือ ‘น้ำผึ้งพระจันทร์ อัศวพาธากุล’ บุตรสาวคนเดียวของเจ้าสัวเฉียน พ่อค้าอัญมณีรายใหญ่ของเอเชีย ยิ่งในตอนหลังที่เธอขยายอิทธิพลทางธุรกิจของตัวเอง ไปดูแลอุตสาหกรรมครอบจักรวาลในฐานะราชินีมังกรมุกของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งของฮ่องกง อิทธิพลที่ว่ามากอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีขึ้นไปอีก
ส่วนอีกคนก็คือ ‘ทิพย์น้ำปรุง ดิเรกเวชวณิชย์’ ว่าที่ผู้สืบทอดกิจการเครื่องสำอางค์อันดับต้นๆ ของเอเชีย ที่แม้ว่าเจ้าตัวจะหัวรั้นอยากทำงานตรงกับสายที่เรียนมา จนสามารถเปิดบริษัทสถาปนิกเป็นของตัวเองได้ในที่สุด ทว่าแม้แต่เด็กแรกเกิดก็ยังรู้ว่า สุดท้ายแล้วทรัพย์ศฤงคารทั้งหมดของตระกูลดิเรกเวชวณิชย์ก็ต้องตกเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอยู่วันยังค่ำ
และหุ้นส่วนคนสุดท้าย ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ บุตรสาวคนรองของอาณาจักรรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของภาคพื้นทวีปเอเชีย ซึ่งความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์นั้น อาจนิยามได้ด้วยคำกล่าวที่ว่า ‘เป็นสัมปทานใดๆ ที่มีตัวเงินมากกว่าแปดหลักขึ้นไป สัมปทานนั้นย่อมมีคนของตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์เอี่ยวอยู่ด้วย’
จึงอาจกล่าวได้ว่า ร้านอาหารพ่วงเบเกอรี่ที่โด่งดังตามกระแสนิยมนี้ นอกจากจะเป็นที่พบปะสังสรรค์ของคนวัยทำงานที่พอมีอันจะกินแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าอภิชาตบุตรที่หวังจะเสาะหาสะใภ้ผู้เพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ให้กับบิดามารดาอีกด้วย
“ลูกค้าจะล้นร้านอยู่แล้ว แกยังมามัวเล่นอะไรอยู่ได้” ‘เพียงน้ำพลอย’ เอ็ดเพื่อนสาวคนสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ติดร้านเสียงเขียว เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อะไรอยู่ได้ทั้งวี่วัน ในขณะที่เธอนั้น เพื่อที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แทบจะแยกร่างตัวเองเป็นสิบร่างได้อยู่แล้ว ถ้า ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ เพื่อนสนิทอีกคนของเธออยู่ด้วยก็คงดี อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายคอยเอ็ดคนโน้นไล่กวดคนนี้เป็นครูแก่ๆ ฝ่ายปกครองอย่างนี้
“น่า... แป๊บเดียว...” ทิพย์น้ำปรุงตอบอย่างขอไปที หากก็ยังไม่วายก้มมองโทรศัพท์มือถือในมือราวกับจะผลุบหายเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น
“เล่นเป็นเด็กๆ อยู่ได้ เอามานี่!” เพียงน้ำพลอยดุเสียงดัง ก่อนจะเอื้อมไปแย่งโทรศัพท์เครื่องบางมาไว้ในมือเสียเอง
“แกคราวนี้มันเรื่องใหญ่ เอาคืนมาก่อน” ทิพย์น้ำปรุงให้เหตุผลเสียงอ่อน พลางยื่นมือไปขอโทรศัพท์คืน
“มันจะใหญ่อะไรนักหนา”
“ก็ฉันกำลังดูว่าคนในรูปนั่นใช่คุณฟรานรึเปล่าน่ะสิ” ทิพย์น้ำปรุงตอบอย่างออกรสออกชาติ ทำเอาคนฉุนเฉียวเมื่อครู่อดยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูบ้างไม่ได้
‘เห็นแล้วใจไม่ดีเลย แม่จะว่ามั้ยนะถ้าพ่อของลูกเป็นคนแปลกหน้า’
พาดหัวข่าวในเฟซบุ๊กพร้อมกับรูปที่แนบมาทำเอาเพียงน้ำพลอยผู้สงบนิ่งในทุกสถานการณ์ยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองแทบไม่ทัน เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่เธอเคยปรามาสไว้ว่าห่างไกลจากคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ จะกลายมาเป็นกระแสร้อนในโลกโซเชียลได้ นั่นยังไม่นับบรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ล้วนหันเหไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวชวนสยิวซ่านทรวง หรือแนวแทะโลมอย่างลืมอาย และอีกมากมายหลายหลากที่ทำเอาดวงหน้าสวยหวานต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกกว่าจะอ่านได้จบประโยค
‘ถ้าได้อย่างนี้นะ แม่จะเลียตั้งแต่หน้าประตูเข้าไปเลย’
‘เห็นแล้วน้ำเดินค่ะ!’
‘สถานีปลายทางคือที่ไหนคะพี่ ไปที่ห้องน้องมั้ยคะ รับรองจะร้องให้ฟังทั้งคืนเลย!’
‘คนถ่ายนี่ตายรึยัง’
เธอไม่คิดเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นพวกหน้าบางถึงขนาดเสพข่าวสองสามง่ามพรรค์นี้ไม่ได้ ยิ่งในยุคสมัยที่สื่อมาไวยิ่งกว่าแสงแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกี่แง่กี่ง่ามก็พบเห็นกันให้เกลื่อนทั้งนั้น แต่พอคิดว่าคนในภาพที่ถูกแอบถ่ายมาบนรถไฟฟ้านั้นเป็นคนที่ตัวเองรู้จัก เธอก็รู้สึกเหมือนกับมีคนเอาไฟมาลนสองข้างแก้มตัวเองอย่างนั้นแหละ
“หน้าแดงขนาดนี้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผู้หญิงพวกนั้นกันแน่” ทิพย์น้ำปรุงฉวยโอกาสที่คนตรงหน้ากำลังจมอยู่ในภวังค์ เอื้อมมือไปฉวยโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายนึกสนุกเหน็บเพื่อนสาวผู้เรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าพับไว้เล่น เพราะจำได้ว่าเคยได้ยินเพื่อนสนิทอีกคนออกตัวอาสาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้คนตรงหน้ากับชายหนุ่มรูปงามในรูปอยู่บ่อยๆ
“ไร้สาระ” เพียงน้ำพลอยสวนกลับเสียงเรียบตามแบบฉบับของตัวเอง หากน้ำแข็งที่ฉาบเคลือบใบหน้าสวยหวานนั้นกลับไม่สามารถหลอกคนคุ้นเคยกันดีอย่างทิพย์น้ำปรุงได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางเรียบเฉยเกินพอดีแบบนั้น...มันก็แค่วิธีแก้เก้อของคนปากแข็งเท่านั้นเอง...
“นี่จะว่าไปคุณฟรานเขาก็หล่อดีนะ รูปหน้าก็ดี หุ่นก็ดี ไหล่กว๊างกว้าง น่าซบชะมัดเลยอะ” ทิพย์น้ำปรุงหลับตาพริ้มลงอย่างเพ้อฝัน พร้อมกับเอียงแก้มซบลงกับมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นประกบกัน
“แกจะเพ้อเจ้อไปถึงไหน คิดจะมาทำงานหรือจะมาฝันกลางวันกันแน่” เสียงเย็นเยียบของคนเฉยชาไม่ต่างจากน้ำเย็นๆ ที่สาดเข้าดับรอยยิ้มเพ้อฝันของทิพย์น้ำปรุงให้มลายหายไปในชั่วพริบตา แต่ใครไม่เคยหลับฝันกลางวันก็คงไม่เข้าใจ ว่ามันช่างหอมหวานเกินกว่าจะตื่นเต็มตาได้ง่ายๆ นัก
“แกว่าไม่จริงรึไงล่ะ ลองคิดดูนะ คุณฟรานน่ะ หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดี การศึกษาก็ดี หน้าที่การงานก็ดี ที่สำคัญ...” ทิพย์น้ำปรุงทำท่าเอียงคอคิด พร้อมกับร่ายยาวถึงคุณสมบัติที่ถูกตาต้องใจของชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นเพื่อนรักของสามีเพื่อนสนิทอีกคนออกมาอย่างไม่ขาดปาก ก่อนจะละคำสุดท้ายเอาไว้ให้คนฟังคิดต่อ
“อะไร” เพียงน้ำพลอยถามจี้เสียงเขียว
“หุ่นแซ่บมาก...” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานกับเปลือกตาที่หลับลงราวกับกำลังห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดอะไรบางอย่าง ทำเอาเพียงน้ำพลอยได้แต่หลับตาเบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา
“แกรู้รึไงเขาเรียนจบอะไรมา ถึงได้บอกว่าเขาการศึกษาดี” เพียงน้ำพลอยถามกลับบ้าง เพราะอยากจะรู้นักว่าพวกคนที่เอาแต่สรรเสริญเยินยอผู้ชายคนนั้นอย่างกับเขาไม่ใช่คนนั้น แท้จริงแล้วรู้จักเขาดีสักแค่ไหนกัน
“เออนั่นสิ เขาเรียนอะไรมานะ” ทิพย์น้ำปรุงคิดตามพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะโยนคำถามกลับมาให้อีกฝ่าย เพราะตนก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาคนนั้นร่ำเรียนอะไรมา แต่นึกไปนึกมาเธอก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ตัวเองจะต้องไปรู้เรื่องส่วนตัวอะไรของเขาถึงปานนั้นด้วย
แค่รู้ว่าเขาหล่อไม่พอรึไง...
“แล้วแกรู้รึไงเขาทำงานอะไร ถึงบอกเขาหน้าที่การงานดี” เพียงน้ำพลอยไม่ตอบแต่ถามต่ออย่างเอาเรื่อง
“แล้วเขาไม่ได้เป็นนักธุรกิจเหมือนคุณหยางหลงหรอกเหรอ” ทิพย์น้ำปรุงตอบอึกอักด้วยความสับสนงุนงง
“แล้วไอ้นิสัยดีเนี่ย แกรู้จักเขามานานเท่าไหร่ถึงพูดได้เต็มปากว่าเขาดี”
สิ้นเสียงคำถามของตัวเองเพียงน้ำพลอยก็โน้มตัวไปหยิบเมนูอาหารที่อยู่อีกฝากหนึ่งของเคาน์เตอร์ไปต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทันที โดยไม่สนใจจะกวดขันคนติดข่าวสารไร้การกรองให้ทำงานอีกต่อไป
เธอออกจะไม่เข้าใจสังคมบิดๆ เบี้ยวๆ นี้เลยจริงๆ ซ้ำเพื่อนสนิทของเธอก็ยังพลอยเป็นไปกับเขาด้วย รู้จักคนแค่ผิวเผินก็ตีค่าราคาเขาสูงระยับราวกับรู้จักเขามาแรมปี ไอ้ที่ว่าดีก็แค่ได้ยินคนอื่นเขาว่ากันมาอย่างนั้น แท้จริงแล้วรู้จักตัวตนเขาสักแค่ไหนกัน
สำหรับเธอแล้ว ความประทับใจตอนที่เจอกับหมอนั่นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนนับได้ว่าเท่ากับศูนย์ ไม่สิ...เรียกว่าติดลบเลยจะดีกว่า ผู้ชายอะไรพ่นคำกวนโอ๊ยออกมาได้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ไหนจะเรื่องมารยาทที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่เศษเสี้ยวอีก ใครจะเห็นว่าดีก็ตามแต่ใจเถอะ แต่เธอคนหนึ่งล่ะที่จะไม่มีทางเห็นความดีเขาง่ายๆ แน่
ต่อให้หุ่นองค์โครงสร้างเขาจะดีอย่างที่ว่าจริงๆ ก็เถอะ...
#บทนำมาแย้ววว แล้วจะรีบเอาบทที่หนึ่งมาเสิร์ฟน้าาา^^
ใครเห็นด้วยว่าเฮียฟรานเราแซ่บจริง
อย่าลืมเม้นท์ + จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2560, 19:44:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2560, 19:44:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 800
Chapter 1 : ชั่วพริบตา >> |