ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 1 : ชั่วพริบตา


"...คนบางคนพยายามจะหนีให้พ้น คนบางคนพยายามจะหยุดนิ่งเพื่อให้เรื่องราวร้ายๆ ผ่านเลยตัวเองไป แต่ใครจะคิด...บางทีคนสองคนที่ว่านั้นอาจจะชนกันเข้าสักวันก็ได้..."



อากาศร้อนอบอ้าวบวกกลิ่นไอชื้นๆ ยามสายของจังหวัดนครปฐม ทำให้คนทำมาค้าขายบนท้องถนนในตัวเมืองเริ่มออกอาการหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจราจรบนถนนแคบๆ ข้างโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งที่ใกล้จะแปรสภาพจากการ ‘จราจร’ เป็น ‘จลาจล’ ได้อยู่แล้ว


ถนนที่ดูเหมือนจะกว้างพอให้รถวิ่งสองเลนได้กลับดูไม่ต่างจากตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้วยรถเข็นขายของริมฟุตบาทกับคนที่มาต่อแถวซื้อจับจองพื้นที่ไปกว่าครึ่งถนนแล้ว ยังไม่รวมพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของถนนซึ่งถูกยึดครองในลักษณะเดียวกันอีก ทำเอาคนร่างบางแทบถูกลากไปพร้อมกับกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันมาอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ไหนจะคนขับขี่ยวดยานเลือดร้อนบางคนที่ไม่อาจรอคอยใครข้ามถนนได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ต้องบีบแตรรถกวดขันกันให้สะเทือนเลือนลั่น


แต่ถึงสภาพแวดล้อมมันจะชวนให้อารมณ์คนปะทุอยู่สักหน่อย ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าหากไร้ซึ่งสีสีนจากรื่องพวกนี้ ท้องถนนก็ดูจะไม่เป็นท้องถนนเอาเสียเลย


ร่างบางกวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบตลาดไปเรื่อยเปื่อย พร้อมกันนั้นก็ชะโงกหน้าไปดูอาหารตามรถเข็นข้างทางอย่างสนอกสนใจ ชายกระโปรงชุดเดรสแขนกุดสีชมพูอ่อนแต่งลายจุดสีดำทับด้วยผ้าเนื้อโปร่งบางสีขาวพลิ้วไหวเป็นระลอกเบาๆ ยามที่เจ้าตัวเคลื่อนไหว เมื่อพินิจพิศรวมกับรองเท้าส้นสูงสีขาวมุกที่ช่วยยกร่างอรชรนั้นให้สูงขึ้นเล็กน้อยนั้นแล้ว ร่างบางระหงก็ยิ่งดูไม่ต่างจากภาพฝันจางๆ ที่สะท้อนผ่านแสงแดดอ่อนๆ ในยามสายเลยสักนิด ดวงตากลมโตสีดำขลับดุจมณีนิลกับจมูกโด่งได้รูปเชิดรั้นตรงปลายเล็กน้อย รับกับริมฝีปากแดงระเรื่อได้อย่างเหมาะเจาะ เรือนผมสีดำสนิทเหยียดตรงยาวสลวยจนถึงช่วงเอว ช่วยขับให้เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบราวกับภาพวาดและผิวพรรณที่ขาวละเอียดผุดผาดไปทั้งตัว ดูมีสง่าราศีราวกับนางหงส์สาวที่ถูกสลักเสลาด้วยไข่มุกน้ำดีก็ไม่ปาน


ครืดดดด...ครืดดดดด...


เสียงวัตถุบางอย่างสั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋าถือหนังสีดำ เรียกความสนใจจากหญิงสาวผู้กำลังเพลิดเพลินกับการมองสินค้าข้างทางให้เอื้อมมือลงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะกดรับสายแล้วเอ่ยทักทายคนปลายสายอย่างอ่อนหวาน


“ค่ะพี่อิฐ...”


“โทษทีค่ะน้ำพลอย พี่คงไปถึงช้ากว่ากำหนดนิดหน่อยนะ พอดีงานสัมมนาเลิกเลทน่ะ เราอยู่ที่ไหนแล้วคะ” ‘อธิษฐ์’ หรือ ‘อิฐ’ นายทหารยศพันตรีชิงอธิบายกับแฟนสาวทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยทักทาย ก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าครั้งนี้เป็นความผิดของตัวเองเต็มประตูที่ปล่อยให้เธอเดินทางไปโรงพยาบาลคนเดียว ซ้ำยังต้องให้เธอรออยู่ที่นั่นคนเดียวอีก ทั้งที่คนป่วยที่เธอกับเขาตั้งใจมาเยี่ยมนั้นก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเขาแท้ๆ


“น้ำพลอยถึงที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่พี่อิฐไม่ต้องรีบมากก็ได้นะคะ น้ำพลอยอยากเดินเล่นแถวนี้สักหน่อย ตอนพี่อิฐมาถึงน้ำพลอยก็คงเล่นจนหนำใจพอดี” เพียงน้ำพลอยตอบกลับคนปลายสายอย่างอารมณ์ดี เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกผิดที่ปล่อยให้ตัวเองรออยู่ที่นี่คนเดียว เธอโตพอจะอยู่คนเดียวได้ และโตพอที่จะเข้าใจเหตุผลเขาแล้วด้วย


“รอไว้ให้พี่ไปเดินด้วยคนไม่ได้เหรอคะ” อธิษฐ์ถามกลับด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม


“ไม่ได้ค่ะ มันเป็นเวลาส่วนตัวของผู้หญิงเขา”


“แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนพี่แล้วนี่นา” นายพันหนุ่มแสร้งคุยโวอย่างภาคภูมิ


“ไว้ค่อยมาอ้างสิทธิ์ตอนที่มาถึงแล้วกันนะคะ” ริมฝีปากบางตอบพลางหยักยิ้มขึ้นอย่างเขินอาย เมื่อคิดย้อนไปถึงว่าชายหนุ่มปลายสายเพียรพยายามมากเท่าไหร่กว่าจะช่วยเยียวยาบาดแผลฉกรรจ์ในใจเธอได้ จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วนี้เองที่เขาตัดสินใจเอ่ยขอเลื่อนสถานะกับเธอจากพี่น้องไปเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น


“เอางั้นก็ได้ค่ะ แต่ระวังด้วยแล้วกันนะคะ พี่เป็นห่วง” เสียงทุ้มนุ่มกำชับแฟนสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกที


“เข้าใจแล้วค่ะผู้พัน” เพียงน้ำพลอยรับคำอย่างแข็งขันราวกับตัวเองเป็นทหารในบังคับบัญชาของเขา ทำเอาคนปลายสายอดหัวเราะให้กับอารมณ์ขันยามสายของแฟนสาวผู้เรียบร้อยไม่ได้


เมื่อทำความเข้าใจกันเสร็จสรรพ เพียงน้ำพลอยก็เป็นอันได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเธอมีเวลาเดินเล่นที่ตลาดข้างโรงพยาบาลอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ซึ่งก็ไม่นับว่าน้อยหรือมากจนเกินไปสำหรับคนที่ต้องการเดินทอดน่องเที่ยวไปเรื่อย


ใครต่อใครมักจะคิดว่าเธอยึดติดยี่ห้อหรือข้าวของแบรนด์เนมเสียจนไม่แยแสข้าวของราคาถูกตามท้องตลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครต่อใครที่ว่านั้นเอาข้อมูลมาจากไหน หารู้ไม่ว่าชีวิตนี้เธอชอบเดินเที่ยวตลาดที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัด ตลาดสด หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีของให้เลือกหลายแบบและหลายราคา ของดีกับของแพงมันเป็นเรื่องเดียวกันเสียที่ไหน ยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องอาหารการกินล่ะก็ หากเลือกร้านดีๆ ตามข้างทางที่ดูเข้าทีหน่อย รสชาติสำเร็จรูปอย่างพวกอาหารในห้างไม่มีวันเทียบชั้นได้ติดแน่


เพียงน้ำพลอยตั้งใจหลีกให้ห่างจากฝูงชนที่แออัดจนเกินไป แล้วถอยออกมาเดินในทางโล่งๆ ของตัวเองซึ่งมีอยู่ทั้งหมดไม่เกินหนึ่งตารางเมตรถ้วน ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันราวกับมีอัคคีภัยอยู่เบื้องหน้าด้วยความสนใจ ทั้งเด็กตัวเล็กๆ วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ตัวโตหลายคนก็ต่างพากันก้มหน้าก้มตามองเจ้าเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่ในมืออย่างไม่แยแสโลก แม้แต่แม่ค้าแม่ขายบางคนที่ควรจะง่วนอยู่กับขายของบนรถเข็นริมฟุตบาทของตัวเอง ก็เอาแต่ก้มหน้ายิ้มหัวเราะคิกคักอยู่กับนวัตกรรมบางเฉียบในมือราวกับตัวเองไม่ได้มาที่นี่เพื่อขายของอย่างนั้นแหละ


ไม่ว่าจะทำอย่างไร...เธอก็ไม่เคยทำใจให้ชินกับภาพเหล่านี้ได้เลยสักที...

โลกเรากำลังก้าวไปข้างหน้า ความเจริญทางด้านวัตถุทำให้มนุษย์เราสะดวกสบายเสียจนเคยชินที่จะเดินไปข้างหน้าให้ทันโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน เรื่องราวที่เคยยากเย็นกลับสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้เพียงแค่นิ้วสัมผัสเดียว ฟังดูแล้วผลดีของมันช่างเหลือคณานับเสียจริงๆ แต่เธอกลับอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า มนุษย์เราโหยหาความสะดวกสบายจนเกินพอดีนั้น ถึงขนาดต้องสงวนรอยยิ้มสำหรับคนรอบข้างไว้ให้พวกมันเชียวหรือ...


มีคนเป็นๆ นั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่กลับยิ้มให้โทรศัพท์ พิลึกคนจริง...


หากพูดออกไป ใครเขาก็จะหาว่าเธอเป็นพวกหัวอนุรักษ์นิยมหรืออะไรทำนองนั้น ทว่ากล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นถึงขนาดนั้น ไอ้พวกเทคโนโลยีหรือความล้ำสมัยในมือเด็กวัยรุ่นพวกนั้น เธอก็เองก็ซื้อหามาใช้เหมือนกันและไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายอะไรเลยด้วย เพียงแต่บางทีก็รู้สึกว่าอาการเสพติดเทคโนโลยีของคนบางคนนั้นออกจะมากเกินไปหน่อยเท่านั้น เธอมีเพื่อนคนนึงเป็นครูสอนเด็กอนุบาลในโรงเรียนรัฐ เพื่อนคนนั้นเล่าให้เธอฟังว่าเด็กบางคนสมาธิสั้นถึงขั้นร้องไห้กระจองงอแงจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต้องให้ผู้ปกครองเอาเจ้ากระดานชนวนล้ำสมัย หรือที่ใครต่อใครเรียกกันว่าแท็บเล็ตหรือไอแพดตามแต่ชื่อยี่ห้อสินค้ามาให้เล่นถึงที่โรงเรียน เธอจำได้ว่าตอนที่ฟังครั้งแรกนั้นตัวเองต้องถอนหายใจออกมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง หากก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นไปด้วยความรู้สึกอะไร เศร้าสลดใจ สะท้อนใจ หรือปลงตกกันแน่


หากเหนือสิ่งอื่นใดแล้วมันก็เป็นเรื่องของคนอื่นเขา คงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอที่ต้องเข้าไปสั่งสอนลูกคนอื่นให้ถูกด่ากราดกลับมากลางตลาดว่าเป็น ‘มนุษย์ป้าคร่ำครึ’


ถึงแม้เธอจะรู้ตัวดีว่าตัวเองออกจะคร่ำครึอยู่สักหน่อยก็เถอะ...


ชั่วเสี้ยววินาทีที่เธอกำลังหาจุดวางสายตาไม่ได้นั้นเอง วัตถุประหลาดชิ้นใหญ่ก็พุ่งเข้ามาชนเธออย่างรุนแรงจนเธอแทบประคองตัวเองไว้บนรองเท้าส้นสูงไม่อยู่ เกือบจะหมุนเคว้งอยู่กลางอากาศจวนครบรอบได้อยู่แล้ว แต่โชคยังดีที่มีหญิงสาวร่างท้วมอีกคนเดินเบียดเข้ามาชนเธออีกด้านหนึ่งพอดี คนโดนชนจนเซถลาจึงถูกรองรับไว้ด้วยแรงกระแทกจากอีกฝั่ง จนยกตัวเองขึ้นมายืนอยู่บนส้นรองเท้าได้ในที่สุด


ทว่าในวินาทีที่เธอคิดจะเปิดปากตวาดวัตถุไร้มารยาทนั้นเอง วัตถุที่ว่านั้นกลับอันตรธานหายไปในชั่วพริบตาราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ทำเอาดวงตากลมโตสีดำสนิทเบิกกว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตา หากก็ยังไม่วายชะเง้อหาตัวการที่ทำให้เธอเกือบต้องขายหน้ากลางตลาดรอบทิศ แต่สุดท้ายก็ได้แต่โมโหฟึดฟัดกับตัวเองเพราะนอกจากความโกลาหลกับเสียงดังอื้ออึงเช่นเดิมแล้ว เธอก็ไม่เห็นอะไรที่ใกล้เคียงกับวัตถุอันตรายนั้นเลยแม้แต่เงา


และขณะเดียวกันนั้นเอง ที่เจ้าตัวกำลังหาข้อสรุปให้กับตัวเองว่าสิ่งที่พุ่งมาชนเมื่อครู่เป็นคนหรือผีกันแน่ เสียงโครกครากในกระเพาะก็กู่ร้องตะโกนเรียกความสนใจเสียจนแทบลั่นตลาด ทำเอามือบางเผลอยกมือขึ้นกุมหน้าท้องตัวเองเอาไว้ราวกับมันจะช่วยกลบเสียงโครกครากชวนปวดแสบได้ ความเดือดดาลเมื่อครู่จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นการใคร่ครวญกับตัวเองแทน


พอมาคิดๆ ดู ตั้งแต่เช้ามาเธอก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ ในเมื่อเธอจะต้องรอแฟนหนุ่มของตัวเองอีกเป็นชั่วโมง หาอะไรกินรองท้องแถวนี้ก่อนก็น่าจะเป็นความคิดที่ไม่เลว อีกอย่างถ้าหิ้วท้องรอกินมื้อเที่ยงกับเขา มีหวังเขาได้รู้ความลับเธอกันพอดีว่ามื้อๆ นึงเธอกินจุขนาดไหน... เธอสู้อุตส่าห์รักษาภาพลักษณ์ตัวเองมาเป็นปี จะปล่อยให้มันมาทำขายหน้าเอาวันนี้ได้ยังไงกัน


ทันใดนั้นเอง ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นร้านขายโรตีร้านหนึ่ง ซึ่งดูจากสภาพร้านกับเจ้าของร้านแล้วน่าจะสะอาดสะอ้านพอใช้ ที่สำคัญไม่มีลูกค้ารอต่อคิวให้ต้องเบียดเสียดใครเข้าไปซื้ออีกด้วย


ร่างบางระหงเดินตรงเข้าไปหารถเข็นขายโรตีอย่างไม่รอช้า ในใจพลางคิดถึงว่าครั้งสุดท้ายที่ตัวเองได้กินโรตีนั่นมันนานเท่าไหร่แล้ว และสำหรับการห่างหายจากของอร่อยไปนานแสนนานขนาดนี้ เธอควรจะกินมันสักเท่าไหร่ดี โรตีใส่ไข่แล้วก็ใส่กล้วยหอมราดนมข้นหวานมันสักสองชุด แบบธรรมดาไม่ใส่น้ำตาลอีกสักสามชุด ใส่แยมสตรอเบอร์รี่อีกชุดจะพอมั้ยนะ ไม่สิ...เธอยังมีเวลาเหลือเฟือให้กินของทั้งตลาด จะมาตัดกำลังตัวเองด้วยโรตีร้านเดียวได้ยังไง


“เอาโรตีใส่กล้วยหอมสองชุด กับธรรมดาไม่ใส่น้ำตาลสามชุดค่ะ”


“ได้จ้ะ นายจ๋า” สิ้นเสียงตอบรับของอาบังหนุ่ม เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบชอบมาพากลบางอย่าง จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองอาบังหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านในทันที หากยิ่งได้เห็นอากัปกิริยาแปลกๆ บวกกับสำเนียงภาษาไทยแปร่งๆ และถ้อยคำที่แปลกพอกันเมื่อครู่ เธอก็ยิ่งแทบอยากจะยื่นหน้าเข้าไปสังเกตกิริยาอาการของอีกฝ่ายใกล้ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะยังต้องรักษามารยาทอยู่ ดวงหน้าสวยหวานจึงทำได้แค่ยืดหดคอตัวเองในระยะสั้นๆ เพื่อเพ่งมองซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น


รูปร่างสูงโปร่งกว่า 183 เซนติเมตร ทว่ากลับไม่ได้ดูผอมแห้งแรงน้อยหรือให้ความรู้สึกอมโรค มือไม้ที่ลอดผ่านแขนเสื้อมานั้นเผยให้เห็นความแข็งแรงบึกบึนของเจ้าตัวผ่านเส้นเลือดที่นูนขึ้นมาตามหลังมือ ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวรับกับทรงคิ้วรูปดาบนักรบได้อย่างพอเหมาะ และแม้ว่าหนวดเคราเฟิ้มแสนยุ่งเหยิงจะบดบังใบหน้าเจ้าตัวไปกว่าครึ่ง แต่ก็พอจะเดาได้เลาๆ ว่าเจ้าของรูปหน้านั้นคงหล่อเหลาเอาการไม่น้อย


หากสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบมาพากลนั้นไม่ใช่หน้าตาที่คาดว่าจะหล่อเหลาอะไรนั่นหรอก แต่เป็นความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดต่างหาก เธอรู้สึกว่าตัวเองจะต้องเคยเห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่ราวกับเสาไฟฟ้าเดินได้นี่ที่ไหนสักที่


ไม่สิ...บางทีมันอาจจะมากกว่าเคยเห็น...


“ขอโทษนะคะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า” เพียงน้ำพลอยกลั้นใจถามออกไปในที่สุด เพราะไม่รู้จะเก็บความสงสัยไว้กับตัวทำไม ถ้าเขาตอบว่าไม่เคย อย่างดีเธอก็แค่ทักคนผิดเท่านั้น


“เห้ย!!!” เสียงร้องทักที่ไร้ซึ่งวี่แววของความปรารถนาดีเรียกให้เพียงน้ำพลอยเผลอหันกลับไปมองอย่างลืมตัว แต่ก่อนที่เธอจะได้เห็นว่าใครเป็นใคร ภายในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง ก็มีมือประหลาดเข้ามากระชากข้อมือเธอให้ออกวิ่งตามไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอาข้อเท้าบางบนรองเท้าส้นสูงเหยียบ 6 เซนติเมตรเกือบพลิกลงตรงนั้น ทว่ายังไม่ทันที่เสียงอันเดือดดาลของคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะได้ตวาดลั่นขึ้น ร่างกายบางระหงก็ลอยโผไปตามแรงกระชากที่ข้อมืออย่างไม่มีทางเลือกเสียแล้ว


หิวก็หิว! สั่งโรตีก็ไม่ได้กิน! เจ้าของร้านที่ว่าน่าสงสัยก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร!


มีแค่ชายเสื้อตัวยาวด้านหลังของอาบังหนุ่มเท่านั้นที่ปลิวไสวสวยงามสง่าอยู่ตรงหน้าเธอ


ใช่... คนที่ฉุดกระชากลากดึงเธออยู่ตอนนี้ก็คืออาบังหนวดเฟิ้มคนเมื่อกี้นั่นแหละ!!


“นี่!!!!! จะลากฉันไปไหนเล่า!! ปล่อยนะ!!!” เมื่อเริ่มตั้งสติได้ ร่างบางก็ทั้งร้องตะโกนทั้งสะบัดแขนอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการของคนแปลกหน้าให้ได้ แต่เรี่ยวแรงที่จับข้อมือเธอลากไปด้วยนั้นช่างมหาศาลเสียจนเธอคิดว่าแขนตัวเองจะหลุดติดมือเขาไปด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าสมองในที่บรรจุอยู่ภายใต้ผ้าโพกหัวหนาๆ นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ เธอทั้งขัดขืนทั้งร้องตะโกนเสียจนลั่นตลาดขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมปล่อยเธออีก ไม่รู้หรือไงว่าการวิ่งเร็วๆ บนส้นสูงเหยียบหกเซนแบบนี้มันยากยิ่งกว่าการขับมอเตอร์ไซด์ไต่ถังเสียอีก


“วิ่งจ้ะนายจ๋า วิ่ง!!!!” อาบังหนุ่มเอ่ยด้วยสำเนียงไทยแปร่งๆ ปนเสียงกระหืดกระหอบ


“จะให้วิ่งทำไม! ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบห้ะ!! ปล่อยสิโว้ย!!!!” เพียงน้ำพลอยแทบหลุดคำสบถออกมาอย่างเหลืออด จนถึงวินาทีนี้เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะวิ่งไปไหน ไม่สิ...เธอกำลังวิ่งหนีอะไรกันแน่ต่างหาก ใครจะตามฆ่าใคร หรือจะเก็บหนี้นอกระบบอะไรกับใครเธอก็ไม่เห็นเกี่ยวด้วยสักหน่อย หรือการซื้อโรตีกับอาบังติดหนี้ก็ถือว่าเป็นลูกหนี้ไปด้วยหรือไง


“ปล่อยไม่ได้จ้ะนายจ๋า!! วิ่งจ้ะ!!” เสียงภาษาไทยที่แสนขัดใจคนฟังกับลมหายใจที่ดูจะผ่านเข้าออกได้น้อยลงทุกที ทำเอาเพียงน้ำพลอยแทบอยากจะตะโกนถามให้รู้แล้วรู้รอดว่าอาบังตรงหน้านี้ไปดูหนังอินเดียพากย์ไทยที่ไหนมา สมัยนี้ยังมีแขกที่พูดจาอย่างนี้ด้วยหรือไง คนที่ตลาดนี่ก็เหมือนกัน เห็นเธอกำลังออกโรงเล่นลิเกหรือไงถึงได้แค่เงยหน้าขึ้นมามองเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก้มลงไปเล่นโทรศัพท์ในมือต่อด้วยสีหน้าขบขันอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องชวนหัว


ไม่เห็นหรือไงว่าเธอกำลังถูกลักพาตัวตอนกลางวันแสกๆ!


“มันต้องได้!! ปล่อยยยย!!!” เธอไม่สนอีกแล้วว่าใครปล่อยได้หรือไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ถูกลากมาเป็นเธอมันต้องปล่อยได้! เพราะเธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยสักนิด และที่สำคัญเธอหอบเสียจนซี่โครงบานแล้ว ถ้าคนตรงหน้ายังไม่ยอมหยุด เขาก็คงได้ลากศพแทนคนไปด้วยแน่


“ไม่ได้จ้ะนาย วิ่งจ้ะ!!!”


“ก็บอกว่าต้องได้!! ปล่อยยยย!!!” เพียงน้ำพลอยตะโกนลั่นจนสุดเสียง ก่อนจะออกแรงสะบัดข้อมือตัวเองให้หลุดจากพันธนาการอย่างเต็มแรงเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าชั่ววินาทีเดียวกันนั้นเอง ใบหน้ารกเคราเฟิ้มก็หันมาจ้องเธอตาขวางอย่างกับจะพุ่งเข้ามาหักคอเธอให้ได้ ทว่าจู่ๆ สายตาขวางๆ นั้นก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตระหนก แล้วออกแรงผลักร่างเธอออกไปให้พ้นตัวอย่างสุดแรง ก่อนจะพาตัวเองกระโดดหนีไปอีกทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!”


ร่างบางทั้งร่างลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศอยู่เกือบสามวินาทีด้วยแรงมหาศาลที่ผลักเธอออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หากความตกใจเสียขวัญก็สั่งให้เธอทำได้แค่กรีดร้องอย่างสุดเสียงพร้อมกับหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว ทว่าเสียงกรีดร้องที่ควรจะดังขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง กลับละลายหายไปแทบไม่ทัน เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าความเจ็บปวดที่ควรจะถาโถมเข้ามาจนน้ำตาเล็ดนั้นไม่ได้ต่างจากตอนที่เธอเผลอกัดลิ้นตัวเองเลยสักนิดเดียว


แต่ว่า...


กลิ่นมันช่างเหลือจะรับจริงๆ...


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”


เพียงน้ำพลอยหลับตากรีดร้องระบายความเดือดดาลออกมาอย่างสุดจะกลั้น ใครจะคิดว่าเวลาไม่กี่วินาทีที่เธอวุ่นวายอยู่กับดึงมือไม้ตัวเองกลับมา หมอนั่นจะลากเธอมาถึงป่ารกร้างที่ไหนก็ไม่รู้ นอกจากฝุ่นดินคละคลุ้งกับป่ารกชัฏข้างทางแล้วไม่มีอะไรให้เห็นทั้งนั้น ไม่มีทั้งถนนลาดยาง หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเธอเองที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจาก ‘กองขยะเปียก!!’


เธอตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดีที่สุด ทั้งยังใช้เวลาตั้งสองสามชั่วโมงเพื่อขับรถมาที่นี่ คิดว่าเธอแค่มาเที่ยวเล่นหรือมาออกเดทหรือไงกัน เธอเตรียมตัวมาเป็นอาทิตย์เพื่อมาพบญาติผู้ใหญ่คนสำคัญของแฟนหนุ่ม แต่ดูสภาพเธอตอนนี้สิ...อย่าว่าแต่กลิ่นน้ำหอมเลยที่หายไปไม่เหลือหลอ แม้แต่สภาพที่ใกล้เคียงกับคนมีสติเธอยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ!


ร่างบางรีบหยัดยืนขึ้นจากกองขยะกลิ่นชวนแหวะ ก่อนจะรีบถลาออกไปตามหาตัวการสำคัญที่ทำลายวันสำคัญเธอลงภายในเวลาไม่ถึงสองนาที แต่ความเจ็บปวดจากข้อเท้าเจ้ากรรมที่พลิกลงไม่รู้กี่ครั้งตอนที่วิ่งมานั้นร้องตะโกนให้เธอก้มลงไปสนใจมันเสียก่อน ร่างบางระหงจึงค่อยๆ ก้าวไปหาจุดที่อาชญากรรมในคราบอาบังขายโรตีกระโดดหนีไปอย่างช้าๆ ขณะที่ดวงตาคมกริบทั้งสองข้างก็ยังจ้องอยู่ที่จุดนั้นไม่ละสายตา แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่เห็นหมอนั่นเลยแม้แต่เงา


ครืดดดดดดดดดดดด...ครืดดดดดดดดดด...


เสียงสั่นสะเทือนในกระเป๋าหนังสีดำซึ่งยังคงอยู่ติดข้อมือไม่ได้หายไปไหน เรียกให้สติที่ขาดผึ่งไปด้วยความเดือดพล่านพุ่งทะยานขึ้นจนถึงขีดสุด ร่างบางสะดุ้งโหยงขึ้นจนสุดตัว ก่อนจะต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าเจ้าของสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาคงไม่พ้นเป็นอธิษฐ์ แฟนหนุ่มของเธอที่รับปากว่าจะรีบบึ่งมาทันทีและจะโทรหาเธอทันทีที่มาถึง


ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอจะต้องไปพบผู้ใหญ่ในไม่กี่วินาทีนี้แล้ว!


สภาพชวนอ้วกขนาดนี้ อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลยที่จะรับไม่ได้ ขนาดแมลงในกองขยะนี้ก็เกรงจะรับเธอไม่ไหว...


ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เธอขอสาบานด้วยเกียรติของ ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ ว่า หากเขาเก่งกล้าสามารถถึงขนาดรอดพ้นหูตาของเธอได้ก็นับว่าโชคดีไป แต่ถ้าเขาหนีไม่พ้นล่ะก็...


เธอจะแล่เนื้อเถือเขาด้วยมือเปล่าให้ดู!





3 วันต่อมา, ประเทศฮ่องกง


ณ คฤหาสน์มังกรมุกอันโอ่โถง ภายในตกแต่งด้วยวัสดุราคาแพงระยับด้วยรูปแบบที่ดูเรียบง่ายและหรูหราในเวลาเดียวกัน หากแต่เวลานี้เพียงน้ำพลอยไม่มีเวลามาชื่นชมศิลปะการตกแต่งบ้านของคนเป็นประมุขมาเฟียอีกแล้ว เธอรู้แค่ว่าตัวเองต้องรีบขึ้นไปให้ถึงห้องนอนของราชินีมังกรมุกผู้เป็นเพื่อนให้เร็วที่สุดเท่านั้น เธอแทบอดใจเห็นหน้าหลานคนแรกไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ติดว่าทิพย์น้ำปรุงเพื่อนสาวอีกคนเบี้ยวนัดกะทันหันล่ะก็ เธอคงมาทันตอนที่เพื่อนคลอดไปแล้ว แต่ก็เอาเถอะ… แค่ได้ยินว่าทั้งแม่ทั้งลูกปลอดภัยเธอก็ไม่คิดวอนขออะไรจากสวรรค์อีกแล้ว


ทันทีที่สองเท้าเหยียบยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนบานใหญ่ มือบางที่ควรจะได้เอื้อมไปเคาะประตูกลับทำได้แค่ยกขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง เพราะชักจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะขาดใจตายเพราะหายใจไม่ทันอยู่ร่อมร่อแล้ว ร่างบางระหงหันหลังให้ประตูบานใหญ่เพื่อควานหาอากาศบริสุทธิ์ให้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าตัวเองหายใจได้เป็นปกติแล้วจึงหันไปยกมือขึ้นเตรียมเคาะประตูด้วยความตื่นเต้น


ทว่ามือที่ชะงักค้างอยู่หน้าบานประตูนั้นกลับไม่ได้มีแค่มือของเธอเท่านั้น...


“คุณ!!!” เพียงน้ำพลอยมองตามมือหนาขึ้นไปจนถึงใบหน้าของเจ้าของ ก่อนจะร้องเรียกอีกฝ่ายพลางยกมือที่เตรียมเคาะประตูขึ้นชี้หน้าผู้มาใหม่อย่างตกใจ


“มาทำอะไร” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามต่อเสียงกระด้าง


“แล้วคุณล่ะมาทำอะไร” ‘ฟราน’ ไม่ตอบแต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่ต่างกัน


“ฉันมาเยี่ยมหลาน” เพียงน้่ำพลอยตอบพลางเชิดคางขึ้นสูง ราวกับมันจะช่วยให้ส่วนสูงตัวเองมากกว่าอีกฝ่ายไปได้


“มาเยี่ยมหลานเหมือนกัน!” ฟรานตอบน้ำเสียงเย้ยหยันจนเกินพอดี ราวกับเชื่อทั่นอย่างสุดหัวใจว่าถ้อยคำที่เอ่ยออกไปนั้นจะทำให้ตัวเองตีเสมอหญิงสาวตรงหน้าได้


ทว่ายังไม่ทันที่สงครามขนาดย่อมจะได้ปะทุขึ้น ประตูบานใหญ่ที่คนทั้งคู่ยังไม่ทันได้เคาะก็เปิดออกด้วยฝีมือของคนด้านใน ฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินจึงวางนวมลงชั่วคราวแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนในห้องแทน ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของใบหน้าชื่นมื่นตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่เพิ่งได้เป็นพ่อคนวันนี้นั่นเอง


“มากันแล้วเหรอครับ เชิญครับ คุณเจ้าจันทร์กำลังบ่นถึงพอดี” ‘เหวินหยางหลง’ เอ่ยต้อนรับแขกอย่างเป็นมิตร ทั้งริมฝีปากทั้งแววตาล้วนบ่งบอกถึงความยินดีอย่างถึงที่สุด เพียงน้ำพลอยเดาว่าตอนนี้ต่อให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมา มันก็คงกลายเป็นถ้อยคำที่เป็นมิตรไปเสียทั้งนั้น ก็เจ้าตัวเล่นฉีกยิ้มเสียจนมุมปากแทบจะไปแขวนอยู่กับใบหูได้อยู่แล้ว


มือหนาของคนข้างกายที่เกือบจะยกขึ้นวางมวยกับเธอเมื่อครู่ ผายเข้าไปในห้องเป็นสัญญาณว่าตนให้เกียรติสภาพสตรีได้เดิเข้าไปในห้องก่อน ทำเอาเพียงน้ำพลอยแทบอยากจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาให้ลั่นบ้าน ถ้าคนพรรค์นี้เป็นสุภาพบุรุษโลกนี้ก็คงไม่มีคนไร้มารยาทแล้ว แต่เพราะเหนื่อยจะสู้รบกับคนเต็มทน ร่างบางจึงตัดใจสะบัดหน้าหนีแล้วพาตัวเองเข้าไปหาคุณแม่คนใหม่กับทารกอายุไม่ถึงสามชั่วโมงทันที


คุณแม่ร่างเล็กที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงยิ้มแฉ่งต้อนรับผู้มาใหม่อย่างสดใส ทำเอาเพียงน้ำพลอยอดน้ำตาซึมขึ้นมาไม่ได้ที่ได้เห็นว่าในที่สุดเพื่อนรักของเธอก็ได้เป็นแม่คนกับเขาสักที เธอบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าตัวเองยินดีกับเพื่อนแค่ไหน ความผูกพันระหว่างเธอกับน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดจากันให้มากความ แต่มันลึกซึ้งเกินกว่าจะใครจะเข้าใจได้ ยิ่งเธอเห็นว่าเพื่อนผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ได้ เธอก็ยิ่งแทบกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ไม่อยู่



“นี่คุณ วันนี้วันเกิดหลานผมนะครับ ไม่ใช่วันประกาศอิสรภาพ” ฟรานเหน็บคนบ่อน้ำตาตื้นอย่างนึกสนุก


“บ้ารึไงวะ!! เจ็บนะเว้ย!!!” เสียงทุ้มร้องลั่นขึ้นอย่างฉุนเฉียวพลางปัดป้องตัวเองจากแรงฟาดของหมอนอิงในมือเพื่อนรักเป็นพัลวัน


“ปาก!!” หยางหลงแทบอยากจะยัดหมอนในมือใส่ปากเพื่อนเสียจริงๆ เรื่องดีๆ ไม่มีให้พูดแล้วรึไงกัน ถึงได้เอาแต่สรรหาเรื่องพวกนั้นมาทำลายบรรยากาศดีเสียจนป่นปี้ไปหมด


“ยุ่งเรื่องของตัวเองไปเถอะคุณน่ะ” เพียงน้ำพลอยโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ขณะเดียวกันก็พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาลงคอไปอย่างรวดเร็ว


“ยัยน้ำปรุงไปไหนซะล่ะ บอกว่าจะมาพร้อมกันไม่ใช่รึไง” ก่อนที่ใครคนนึงจะคิดได้ว่าควรฆ่าคนปิดปาก น้ำผึ้งพระจันทร์ก็ชิงเอ่ยห้ามศึกขนาดย่อมด้วยการถามหาเพื่อนสาวอีกคนขึ้นมาเสียก่อน พลางชะเง้อคอมองหาด้วยความเป็นห่วง


“ก็เพราะมันนั่นแหละฉันถึงได้มาช้า มันบอกว่าคุยงานติดธุระด่วนกับที่บ้านแล้วจะรีบตามมา” เพียงน้ำพลอยว่าพลางทำหน้ามุ่ย ก่อนจะถ่ายทอดคำอธิบายของเพื่อนสาวอีกคนให้คนตรงหน้าได้รับทราบ


“เอาเถอะ มาตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” น้ำผึ้งพระจันทร์ยิ้มรับคำอธิบายของเพื่อนอย่างอารมณ์ดี ความจริงแค่เพื่อนรักทั้งสองคนมาร่วมแบ่งปันความสุขของเธอในวันดีๆ แบบนี้เธอก็ดีใจมากแล้ว ไม่ว่าจะมาตอนไหนคำขอบคุณที่จะมอบให้เพื่อนก็ไม่ได้ลดน้อยลงหรอก


“คุณหยางหลงเขาดูเห่อลูกมากเลยนะ ลูกชายคนแรกซะด้วย” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขึ้นตามความรู้สึกของตัวเอง พลางมองคุณพ่อคนใหม่เล่นกับลูกชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ตอนเธอรู้ข่าวผ่านโทรศัพท์ที่คนเป็นมาเฟียโทรมาบอก เธอก็คิดว่าตัวเองพอจะนึกภาพออกว่าอีกฝ่ายคงเห่อลูกชายคนแรกน่าดู แต่พอมาเห็นเองกับตาถึงได้รู้ว่าที่ตัวเองวาดภาพไว้ในใจนั้นมันไม่ได้ถึงเสี้ยวของความเป็นจริงเลยสักนิด


“โอ๊ยรายนั้นน่ะไม่ต้องพูดถึงหรอก ทำอย่างกับเป็นคนเบ่งเอง” น้ำผึ้งพระจันทร์พูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี เธอยังจำวินาทีที่เขาได้อุ้มลูกชายคนแรกของตัวเองไว้ในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำ ดวงตาคมกริบดุจจ่าฝูงราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มจนรื้นด้วยน้ำตา เห็นแล้วก็ชวนให้คนเป็นแม่อย่างเธออดมีความสุขตามไปด้วยไม่ได้ที่เห็นว่าเขารักลูกมากขนาดนี้


“ว่าแต่แกเถอะ เห็นยัยน้ำปรุงโทรมาฟ้องว่าอยู่ๆ ก็หนีไปนครปฐม” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะรู้ดีว่าจนป่านนี้เจ้าตัวยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมให้คำอธิบายกับทิพย์น้ำปรุงแม้แต่ครึ่งคำ แต่เธอรู้ดีอีกเช่นกันว่า หากเรื่องราวมันไม่หนักหนาจนเกินไปนัก เพียงน้ำพลอยไม่มีทางมีความลับกับเธอแน่ อย่างน้อยถ้าเธอออกปากถามด้วยตัวเอง ยังไงอีกฝ่ายก็จะต้องตอบอย่างแน่นอน


“พูดแล้วยังไม่หายแค้น” เพียงน้ำพลอยถอนหายใจฟึดฟัด ก่อนจะทำปากขมุบขมิบราวกับกำลังท่องคำแช่งชักหักกระดูกใครสักคนให้ตายไปในสามวันเจ็ดวัน


“แค้นอะไร” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามต่ออย่างสนอกสนใจ เพราะไม่ค่อยจะเห็นคนใจเย็นอย่างเพียงน้ำพลอยโกรธเคืองใครถึงขั้นเคียดแค้นสักเท่าไหร่


เห็นทีเรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะสิ


“ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้น่ะสิ จู่ๆ ก็ลากฉันไปโยนใส่กองขยะ ส่วนตัวเองก็กระโจนหนีไปไหนก็ไม่รู้” เพียงน้ำพลอยระบายความคับแค้นใจตลอดสามวันให้เพื่อนฟังอย่างออกรสออกชาติ หากแต่ยิ่งพูดแต่ละคำออกไปเธอก็ยิ่งแค้นเสียจนอยากจะบีบคอใครสักคนระบายความแค้นให้มันรู้แล้วรู้รอด


“เดี๋ยวๆๆๆ อยู่ๆ ก็หายไปเลยเนี่ยนะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า คนทั้งคนอยู่ๆ จะหายไปได้ยังไงกัน ซ้ำยังเป็นกลางวันแสกๆ ด้วย ถ้าเป็นกลางค่ำกลางคืนก็ว่าไปอย่าง


“ก็เออน่ะสิ!” เพียงน้ำพลอยตอบเสียงดังอย่างเดือดดาล


“แล้วแกเดินดูแถวนั้นรึยัง มันอาจจะมีสักทางที่หนีไปได้รึเปล่า” น้ำผึ้งพระจันทร์พยายามตั้งข้อสมมติฐานอย่างเป็นเหตุเป็นผล


“มีบ่อโคลนเล็กๆ อยู่ ก็คงซ่อนอยู่แถวนั้นแหละ วันนั้นฉันติดธุระแถมยังขาพลิกอีก จะให้เดินหายังไงไหวล่ะ แต่ถ้าเจออีกทีนะ...แม่จะฟาดให้หัวแบะเลย!”


ภาษาไทยที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางได้รูปผ่านน้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเดือดดาล ทำเอาใครบางคนในห้องถึงกับสียวสันหลังวาบจนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก แม้เขาจะฟังบทสนทนาภาษาไทยของสองสาวตรงหน้าได้ไม่ออกทุกคำ แต่สวรรค์ก็ช่างรักใคร่เขาเหลือเกิน ที่ดลบันดาลให้แต่ละคำที่เขาฟังออกนั้นเป็นใจความสำคัญของเรื่องล้วนๆ


ในเมื่อรู้ขนาดนี้แล้วจะให้ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ได้ยังไงกัน


และที่สำคัญที่สุด...ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่บ่อโคลนสักหน่อย...


มันเป็นบ่อเกรอะต่างหาก!




#ขนาดตอนแรกยังวุ่นวายได้ขนาดนี้ ตอนต่อไปจะยุ่งเหยิงถึงขนาดไหน อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าาา

อย่าลืมเม้นท์+โหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา



พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2560, 19:45:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2560, 04:08:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 914





<< บทนำ   Chapter 2 : ขุดคุ้ย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account