สีคิริยา...มนตราแห่งรัก
ณ ดินแดนแห่งความฝัน และอารยธรรมรุ่งเรืองยาวนานกว่าหนึ่งพันปี

ไอรดาละทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ หวังเติมเต็มความฝันที่ขาดหาย

ทว่า ใคร...จะคาดคิดว่า ภายใต้ซากมหานครเก่าแก่สลักเสลาด้วยภาพนางอัปสรงามวิจิตร

จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชักนำไปสู่การพบกัน ระหว่างหญิงสาวผู้ข้ามผ่านห้วงอนาคต...และหัวหน้าโจรกบฏ ผู้ไม่เชื่อในบัญชาสวรรค์

โชคชะตากำหนดให้ทั้งคู่ ร่วมถักทอที่เคยขาดหาย ไกลจรดเส้นขอบฟ้า

พันธนาการหัวใจ มิให้พรากจาก...ดุจดังเช่นคำสัญญา
‘เราจะอยู่ร่วมกัน...นิรันดร'

Tags: นิยายรัก โรแมนติก ตบจูบ เจ้าชาย เจ้าหญิง รักหวานซึ้ง กินใจ

ตอน: ฝ่าประตูเมือง ตอนสุดท้ายแล้วค่ะ

บทที่ 6
ฝ่าประตูเมือง

“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ”

ดวงหน้างามร้อนจัดด้วยความโกรธ ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการรอคอย จนกว่าท้องฟ้าจะบันดาลฟ้าฝนตกลงมาให้ ซึ่งก็เท่ากับว่าเธอจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนกว่าฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาลนั่นเอง

“ธิดาสวรรค์อะไรกัน องค์สูรยเทพอะไรกัน แบบนี้มันเข้าข่ายหลอกลวงชัด ๆ”

“ธิดาสวรรค์เพคะ”

“เลิกเรียกฉันแบบนั้นซะทีเถอะ”

เนื่องจากกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์โกรธ จึงทำให้หญิงสาวหันไปตะโกนใส่อย่างลืมตัว แต่เมื่อเห็นสีหน้าตื่นกลัวของเด็กสาวนางกำนัล ไอรดาก็ต้องรีบออกปากขอโทษขอโพย

“ขอโทษนะฉันไม่ได้ตั้งใจว่าเธอเลย เพียงแต่กำลังโกรธอยู่เท่านั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่ระมัดระวังคำพูดจนทำให้ท่านไม่พอใจ” มณียะค้อมศีรษะลงต่ำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ดวงหน้าสวยแบบเรียบ ๆ แต่แลดูเศร้าหมองยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนย่อตัวลงประคองร่างเด็กสาวให้ลุกขึ้นยืน

“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกรธ รีบลุกขึ้นก่อนเถอะ อยู่กันสองต่อสองแล้วไม่ต้องระมัดระวังเรื่องมารยาทนักก็ได้”

“ตะ...แต่ว่า” มณียะมีสีหน้าตกใจ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ฉันไม่ได้มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงคนอื่นเสียหน่อย ที่สำคัญเธอเองก็ได้ยินเต็มสองหูแล้วนี่ว่าฉันไม่ได้เป็นธิดาสวรรค์จริง ๆ แล้วจะมาแสดงความเคารพกันอีกทำไม”

“ถึงอย่างไร ก็ไม่บังควรอยู่ดีแหละค่ะ หากมีใครเข้ามาเห็นเข้าตอนนี้ข้าอาจมีโทษก็ได้”

สีหน้าแววตาของมณียะ บ่งบอกถึงความกังวลชัดเจน

“แต่ว่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าชินของข้าแบบนี้มาตั้งแต่อายุสิบสามปีแล้ว” เด็กสาวยิ้มหวาน “ขอบพระคุณค่ะที่นึกเมตตาข้า แต่ข้าขอนั่งบนพื้นแบบนี้ดีกว่า”

เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขนาดนั้น ไอรดาจึงได้แต่ถอนหายใจยาว

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ จริงสิ เมื่อกี้ฉันได้ยินองค์ราชาเรียกชื่อเธอว่ามณียะ นั่นชื่อเธอใช่ไหม”

“ค่ะ”

“ถ้างั้นจากนี้ฝากเธอดูแลด้วยนะ หลังจากนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่ ถ้ายังไงรบกวนเธอช่วยเล่าเหตุการณ์ความเป็นไปของเมืองนี้คร่าว ๆ ให้ฉันฟังบ้างได้ไหม”

“ความเป็นไป…” เด็กสาวมีสีหน้างุนงง

“เมื่อกี้เธอก็ได้ยินเรื่องที่พระเจ้ากัสสปะ ตรัสเรื่ององค์สูรยะเทพแล้วนี่ ตกลงกันมันยังไงกันแน่ฉันได้ยินมาว่ามีการทำพิธีบวงสรวงกันหลายต่อหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฝนฟ้าถึงยังไม่ตกอีกล่ะ”

“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบรายละเอียดนักหรอกค่ะ เพียงแต่ช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ องค์สูรยะเทพ ผู้เปรียบเสมือนตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ไม่ทรงประทานหยาดฝนลงนานแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ท่านนักบวชบัณฑุระทำพิธีบวงสรวง เพื่อขอฝนตลอดจนกำหนดให้มีการเซ่นสังเวยบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถึงสามครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีฝนตกลงมาเลยแม้แต่หยดเดียว”

“เซ่นสังเวย” ไอรดาอุทานแผ่ว “คล้ายกับพิธีกรรมเมื่อคืนนี้หรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ โดยส่วนใหญ่ท่านนักบวช จะสั่งให้พวกชาวเมืองนำสัตว์ของพวกตนมาเป็นเครื่องบูชายัญ ซึ่งในแต่ละครั้งมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสามสิบตัวเลยทีเดียว”

“แค่พิธีกรรมขอฝน ทำไมถึงต้องสังเวยชีวิตสัตว์ตั้งมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ แบบนี้มันไม่งมงายเกินไปหน่อยเหรอ”

“เรื่องนั้นข้าเองก็อาจทราบได้ รู้แต่ว่าเป็นคำสั่งของท่านนักบวชบัณฑุระ ที่อ้างว่าเป็นพระประสงค์ขององค์สูรยะเทพเท่านั้น”

“ความประสงค์ของเทพ หรือเพราะความงมงายของคนกันแน่” เจ้าของดวงหน้างามเอ่ยเบา ๆ “จู่ ๆ ก็เอาอะไรมาให้กินก็ไม่รู้”

“ยาอะไรงั้นเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก พูดไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นอยู่แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจยาว “ที่สำคัญตอนนั้นฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอมากกว่า”

“ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นเหรอคะ”

“เลิกฉันว่าท่านเถอะ ฉันชื่อไอรดา ศิริโสภาวัฒนะ เรียกสั้น ๆ ว่า ‘ไอรดา’ ต่อไปให้เรียกแบบนี้เข้าใจไหม”

มณียะทำหน้างุนงง “ไอรดา”

“ใช่ แบบนั้นแหละ” ไอรดายิ้มกว้าง “จากนี้ไป ฝากเธอช่วยดูแลด้วยนะมณียะ”

ไอรดามองเห็นรอยยิ้มแรกของมณียะ นับตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งสองผูกมิตรไมตรีต่อกันอย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ สำหรับหญิงสาวผู้พลัดหลงมาจากโลกต่างมิติอย่างไอรดา การมีเพื่อนสักคนนับว่าเป็นเรื่องดี ที่ช่วยไม่ให้เธอต้องเดียวดายอยู่ในโลกตามลำพัง..

****************

ภายหลังจากผืนดินถูกความมืดปกคลุมมานานกว่าค่อนคืน ในที่สุดแสงอรุณของวันใหม่ก็สาดส่องจากแนวเทือกเขาสูงลงส่งทิศใต้อันเป็นที่ตั้งของนครแห่งชาวสวรรค์

บริเวณนอกเขตประตูเมืองสีคิริยา เต็มไปด้วยชาวพื้นเมือง พาหนะและขบวนสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ถูกต้อนผ่านเข้ามายังประตูเมืองเพื่อทำการค้าขายเป็นจำนวนมาก ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นพ่อค้าจากต่างเมืองหรือไม่ก็ชาวบ้านที่นำเอาสินค้าของตนออกไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับเขตเมืองรอบนอก

หน้าด่านกำเมืองเมืองที่ก่อด้วยอิฐสีแดง มีชายแต่งกายด้วยชุดทหารจำนวนหนึ่งยืนถือหอกคอยเฝ้าตรวจตราผู้คนที่เข้าด่านเข้าออกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะจำพวกพ่อค้าหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีตราผ่านเข้าเมืองมาก่อน จะต้องได้รับการตรวจค้นตัวอย่างละเอียด

“รีบเดินเร็ว ๆ เข้าอย่ามัวชักช้าคนข้างหลังรอต่อคิวอยู่อีกเยอะ”

นายทหารร่างอ้วนหน้าตาดุดันคนหนึ่งส่งเสียงเอะอะ พร้อมกับใช้ฝ่ามือตบลงไปที่บั้นท้ายของม้าบรรทุกสินค้าเพื่อเร่งเร้าให้ก้าวเร็วขึ้น ไม่ช้าขบวนพ่อค้าเครื่องปั้นดินเผาหลายคน ก็ช่วยกันเข็นเกวียนเข้ามาเป็นรายต่อไป

“ลังโกโรโกโสพวกนี้มันอะไรกัน ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามไม่ให้ขนเอาเครื่องปั้นดินเผาจากต่างเมืองเข้ามาขายในนี้ ทำไมยังกล้าเอาเข้ามาอีก ทำแบบนี้เท่ากับจงใจขัดคำสั่งข้าชัด ๆ ” ทหารร่างอ้วนขู่ตะคอกเสียงดัง พลางวางอำนาจบาตรใหญ่

พ่อค้าวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมม บรรทุกเครื่องปั้นดินเผามาเต็มเกวียน รีบหันไปมองหน้าพรรคพวกที่มาด้วยกันระส่ำระส่าย

“ขออภัยครับท่านหัวหน้าด่าน แต่เมื่อคราวก่อนพวกข้าก็เคยนำสินค้าเหล่านี้เข้ามาขายหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เคยเห็นมีปัญหาอะไร ไม่ทราบว่ามีการเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าขอรับ”

“ยังจะมาเถียงอีกเรอะ ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ยังไงล่ะ เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้ายังยืนยันที่จะเข้าไปค้าขายในเมืองสีคิริยาอยู่ล่ะก็ ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกเกวียนละสามเท่า ว่ายังไงจะยอมหรือเปล่า”

อีกฝ่ายเบิกตาโตด้วยความตกใจ

“สามเท่า ! ทะ ท่านขอรับ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ทั้งที่คราวก่อนพวกข้าก็ช่วยกันจ่ายให้ท่านไป...”

“หุบปาก บอกมาคำเดียวว่าจะจ่ายหรือไม่จ่าย ถ้าไม่จ่ายก็รีบขนของไสหัวกลับออกไป ไม่อย่างนั้นข้าจะสั่งให้พวกทหาร ช่วยกันทุบทำลายข้าวของของพวกเจ้าซะ จะเอาอย่างนั้นรึ”

“ไม่ได้นะขอรับ”

“งั้นก็รีบ ๆ หน่อย ข้ายังมีงานต้องตรวจตราขบวนอื่นอีกนะ”

เหล่าพ่อค้าหันไปมองหน้ากัน ก่อนจำใจควักถุงเงินค่าเดินทางทั้งหมดออกมา ยื่นส่งให้หัวหน้าด่านจอมรีดไถอย่างไม่มีทางเลือก เพราะอุตส่าห์รอนแรมขนสินค้ามาตั้งไกล จะกลับไปมือเปล่าทั้ง ๆ แบบนี้มันก็กระไรอยู่

ชายร่างอ้วน รีบยัดมันใส่ในกระเป๋าเสื้อ

“จำเอาไว้นะถ้าคราวหน้ากล้าขัดคำสั่งข้าอีก ข้าจะยึดสินค้าทั้งหมดของเจ้า แล้วจับโบยประจานให้ดู เอ้า รีบไปได้แล้วชักช้าเสียเวลาทำมาหากิน”

ถัดออกไปทางด้านหลัง ขบวนของซาบารัตมันที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นพ่อค้า กำลังมองดูภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยแววตากรุ่นโกรธระคนสมเพช

“แบบนี้พวกเราคงผ่านเข้าไปไม่ได้ง่าย ๆ แน่” ปาดิยะนึกเกลียดขี้หน้าหัวหน้าด่านร่างอ้วนขึ้นมาตงิด ๆ “ไอ้หมอนั่นมันใหญ่มาจากไหนกันนะ อยู่ดี ๆ มายืนคอยรีดไถเงินชาวบ้านเฉยเลย”

ชายร่างสูงภายใต้อาภรณ์สีกรมท่าบนหลังม้า มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีเงียบสงบ

“อย่าว่าแต่ที่สีคิริยาเลยเมืองอื่น ๆ ที่ขาดการดูแลรับผิดชอบ ก็มักเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้บ่อยไป”

“คราวนี้จะทำยังไงดี ขืนเข้าไปทั้ง ๆ แบบนี้มีหวังถูกรีดไถจนหมดตัวก่อนแน่”

ซารารีที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่ยืนอยู่ด้านหลัง เอ่ยปากถามขึ้นอย่างเป็นกังวล ขณะที่ผู้ร่วมทางคนอื่น ๆ ต่างก็มีอาการไม่แตกต่างกัน

ซาบารัตมันประเมินสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่ต้องห่วงข้ามีวิธีจัดการอยู่แล้ว” เขาให้คำมั่น ก่อนบังคับม้าให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ไปกันได้แล้ว”

ขบวนทั้งหมดจึงได้เคลื่อนเข้าสู่ด่านประตูเมืองช้า ๆ อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่หัวหน้าด่านร่างอ้วนเพิ่งจะต้อนเหยื่อรายล่าสุดเข้าไปข้างในหมาด ๆ

“หยุดก่อนพวกเจ้า”

ทันทีที่ชายร่างอ้วนหันมาเห็นขบวนสินค้าที่อัดแน่นไปด้วยผ้าไหมและของมีค่าตรงเข้ามา มันก็เบิกตาโตด้วยความละโมบนัยน์ตาลุกวาวทันที

“ท่าจะเป็นของมีราคามากเลยสินะนี่”

“พวกข้าเป็นพ่อค้ามาจากแดนไกล ต้องการนำเพชรพลอยและสิ่งของมีค่ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายกับเศรษฐีในเมืองนี้”

ซาบารัตมันเหยียดยิ้มบนมุมปาก ดวงตาสีนิลเป็นเป็นประกาย ภายใต้อาภรณ์เนื้อดีส่งผลให้ขบวนของชายหนุ่มกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองรายใหญ่ ในสายตาของทหารจอมรีดไถ มันวางมาดขึงขังตามบทบาทหน้าที่ทำทีท่าเดินตรวจตรากล่องสินค้าไปรอบ ๆ

“พวกเจ้าคงมาจากเมืองที่ร่ำรวยมากสินะ ถึงได้หอบเอาของมีค่าขนาดนี้มาได้” มันพูดแกมอิจฉา

“ท่านหัวหน้าก็พูดเกินไป ข้าวของมีค่าอะไรกัน ก็แค่เครื่องประดับธรรมดา ๆ ไม่ได้งามวิจิตรอะไรนักหรอก” ปาดิยะถือโอกาสแทรกขึ้นบ้าง

“ข้าเห็นด้วยกับเรื่องนั้น เพราะเท่าที่เห็นยังไม่มีชิ้นไหนงามเท่าแม่นางคนนั้นเลยสักคน”

คราวนี้ชายร่างอ้วนพูดขึ้น พร้อมกับปรายตามองไปยังหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งร่างสมส่วน ภายใต้ชุดส่าหรีสีแดงเพลิงนัยน์ตาหยาดเยิ้มด้วยสีหน้าแทะโลม

“เอาเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าเพิ่งมาเยือนเมืองนี้เป็นครั้งแรก ข้าจะคิดค่าผ่านด่านเข้าเมืองแค่คนละห้าสิบรูปีก็แล้วกัน”

“แต่เมื่อกี้คันข้างหน้า ยังเสียแค่คนละสิบรูปีอยู่เลยนี่นา” ปาดิยะโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด

“นั่นมันพวกพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายประจำ แต่พวกเจ้าเพิ่งจะมาถึงเป็นครั้งแรก จะให้เข้าไปง่าย ๆ ได้ยังยังไง พวกเจ้าออกจะมีเงินเยอะแยะ เจียดมาเป็นค่าผ่านด่านนิดหน่อย จะไปเดือดร้อนอะไร เอ๊ะ หรือว่าที่จริงแล้วสินค้าพวกนี้เป็นของที่ขโมยหลบหนีมา บอกมาซิ”

“อย่ามาดูถูกกันนะ”

“ก็หรือไม่จริงล่ะ อีแค่เงินค่าผ่านด่านเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ยังไม่มีให้ แล้วจะมีปัญญาไปทำการค้าใหญ่โตกับพวกเศรษฐีได้ยังไง”

“เจ้าคนปากเสีย”

อดีตองครักษ์หนุ่มเลือดร้อน ท่าจะเข้าไปตะบันหน้าชายร่างอ้วน แต่ถูกซาบารัตมันแตะแขนเอาไว้เป็นเชิงปรามขึ้นเสียก่อน

“พวกข้าแค่ต้องการมาทำการค้าในเมืองนี้อย่างสันติเท่านั้น หากท่านไม่เชื่อใจ ข้าก็ยินดีที่จะจ่ายค่าผ่านด่านให้ตามที่ต้องการก็แล้วกัน”

“ท่านซาบารัตมัน”

คำตอบของชายหนุ่ม สร้างความพอใจให้กับหัวหน้าด่านร่างอ้วนเป็นอย่างมาก จึงถึงขั้นอ้าปากส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสาสมใจ

“ฮะ ฮะ เห็นไหมล่ะ ขนาดหัวหน้าขบวนของพวกเจ้ายังต้องก้มหัวให้กับข้าเลย อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลยน่ารีบ ๆ เอาถุงเงินออกมาให้ข้าจะดีกว่า พวกเจ้าจะได้มีโอกาสเข้าไปทำมาค้าขาย”

“เอาให้เขาสิ” ซาบารัตตันออกคำสั่ง

“แต่ว่า”

“ข้าบอกให้จ่ายไป ไม่ได้ยินรึ”

ขาดคำพ่อค้าในขบวนทุกคน จึงจำใจต้องควักถุงเงินออกมาจากกระเป๋าย่าม ก่อนยื่นส่งให้กับหัวหน้าด่านร่างอ้วนอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งเมื่อรวม ๆ กันแล้ว มีมูลค่ามากพอที่จะนำไปซื้อฝูงปศุสัตว์ได้เป็นจำนวนหลายร้อยตัว

ไม่มีใครรู้สึกยินดีกับการตัดสินใจของซาบารัตมันในครั้งนี้ โดยเฉพาะกับคนเลือดร้อนอย่างปาดิยะ หากแต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า การปล่อยให้เกิดการปะทะตั้งแต่หน้าด่านประตูเข้าเมืองนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนักจึงต้องอดทนทำตามข้อเรียกร้องของชายร่างอ้วน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“หึ หึ พูดง่าย ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง เอาล่ะ พวกเจ้าเปิดทางให้กลุ่มพ่อค้าขบวนนี้เข้าไปภายในได้แล้ว”

“ครับ”

ขาดคำประตูเมืองก็ถูกเปิดกว้างออก เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงสัมภาระตลอดจนหีบสินค้าหลายสิบใบเข้าไปในภายใน ทุกคนลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตั้งหน้าตั้งตาขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไปโดยระวังไม่ให้เผลอแสดงอาการส่อพิรุธใด ๆ ออกมาให้เห็น

“หยุดก่อน”

เสียงตวาดกร้าวที่ดังมาจากท้ายขบวน ส่งผลให้ม้าทุกตัวชะงักฝีเท้าลงทันที ซาบารัตมันเหลียวมองกลับไปด้านหลัง และพบว่าม้าของที่ซารารีถูกใครบางคนขวางเอาไว้

“แม่นางคนนี้นี่ช่างกระไรอยู่ ข้าถามอะไรก็ปากหนักไม่ยอมพูดจาด้วย สวมชุดก็รุ่มร่ามเป็นที่น่าสงสัยน่าดู ไหนลงมาคุยกันหน่อยซิ”

หัวหน้าด่านร่างอ้วน เอื้อมมือคว้าบังเหียนไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งตวัดหางตามองด้วยความไม่พอใจ

“อย่าเอามือสกปรกของเจ้า มาจับบังเหียนม้าของข้านะ เจ้าคนต่ำช้า”

วาจาเผ็ดร้อนที่ออกมาจากปากของหญิงสาว ทำเอามันถึงกับจุ๊ปาก

“จุ๊ ๆ เจ้านี่นอกจากสวยแล้วยังปากดีอีกด้วย แบบนี้สิถึงจะถูกใจข้า รีบ ๆ ลงมายืนข้างล่างได้แล้ว มาให้ข้าค้นตัวเสียดีๆ”

ไม่พูดเปล่า ชายกักขฬะยังถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะเรียวขา ภายใต้ส่าหรี่เนื้อนิ่มอีกด้วย

“อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ อยากตายนักหรือไง”

“อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยน่า มากับข้าทางนี้ดี ๆ ดีกว่า ไม่อยากรวมกลุ่มเข้าเมืองไปพร้อมคนอื่น ๆ หรือยังไง”

“คิดว่าข้ากลัวงั้นรึ”

ซารารียิ้มเยาะ ทว่ายังไม่ทันได้ชักมีดสั้นขึ้นมาปักที่กลางกระหม่อมของอีกฝ่าย ถุงหนังบรรจุน้ำดื่มใบใหญ่ก็ปลิวเข้ากระแทกศีรษะของชายร่างอ้วนเต็มแรง

“โอ้ย” มันร้องตะโกนด้วยความเจ็บ หันขวับไปมองแหล่งที่มาของวัตถุอย่างโกรธเกรี้ยว “ใคร ใครมันกล้าขว้างถุงหนังใส่หัวข้าบอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ตายล่ะ ข้าเผลอขว้างถุงหนังไปโดนศีรษะท่านหรอกหรือนี่ ขออภัยจริง ๆ ท่านหัวหน้าด่าน”

ปาดิยะก้าวเท้าออกมาข้างหน้า ด้วยท่าทางนอบน้อมตรงกันข้ามกับการกระทำลิบลับ ชายหนุ่มชำเลืองมองไปทางซารารีที่นั่งอยู่บนหลังม้า พลางหันมายิ้มประจบ

“ศีรษะท่านไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ท่านหัวหน้า”

“บัดซบ จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เจ้าเกือบทำให้ข้าหัวแตกอยู่แล้วไอ้พ่อค้าชั้นต่ำ” มันขู่ตะคอก “กล้าดียังไงถึงได้มาขวางข้า หรือเจ้าอยากถูกสงสัยไปด้วยอีกคน”

ปาดิยะจุ๊ปากเบา ๆ เดินตรงเข้าไปยืนเคียงข้างม้าตัวที่ซารารีกำลังนั่งอยู่ โดยไม่สนใจคำขู่แม้แต่น้อย ทำเอาหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง ลอบชำเลืองมองอย่างแปลกใจ

“ความจริง ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหากับท่านหรอกนะ เพียงแต่ว่าหญิงสาวหน้าตาขี้เหร่ที่ท่านกำลังจะขอค้นตัว เป็นภรรยาของข้าเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ !”

คราวนี้ทั้งซารารีและชายร่างอ้วนแทบตะโกนขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ปาดิยะจะคว้าข้อเท้าหญิงสาวเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะเตะเสยเข้าที่ปลายคางหล่อเหลาของตน

“ข้าพูดจริง ๆ นะท่านหัวหน้า นางเป็นเมียข้ามาตั้งนานแล้ว แถมตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วด้วย”

“เจ้าโกหก”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองถามนางเอาเองสิ”

คำพูดของปาดิยะ ทำเอาซารารีถึงกับหน้าแดงจัดด้วยความอับอาย ขณะซ่อนคำบริภาษดุเดือดไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิด

ชายร่างอ้วนหันขวับ ไปหาหญิงสาวผิวคล้ำบนหลังม้าทันที

“มันเป็นสามีเจ้าจริง ๆ รึ”

“เอ่อ...” ซารารีอึกอัก ปาดิยะจึงใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ข้อเท้าเบา ๆ

“รีบ ๆ ตอบไปเร็วสิ” องครักษ์หนุ่มกระซิบเสียงเบา

“ใช่” เธอกัดฟันตอบ “ชายคนนี้คือสามีของข้า”

“แถมเจ้ายังท้องได้สองเดือนอีกด้วย”

“คงงั้นมั้ง” ซารารีตัดบทแกมรำคาญ สร้างความขบขันให้กับคนที่ได้ยินเป็นอย่างมาก “แต่ถ้าเจ้ามีปัญหา ต้องการรู้อะไรมากกว่านี้ล่ะก็ เชิญลากคอสามีข้าไปถามในคุกต่อได้เลย”

ปาดิยะสะดุ้งโหยง “ใจคอจะให้ข้าไปนอนอยู่ในคุกทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าลูกเลยงั้นหรือ”

“ถึงไม่มีเจ้า ข้าก็เลี้ยงดูบุตรได้ดีอยู่แล้ว” ซารารีตอกกลับน้ำเสียงเหยียดหยาม

“พอได้แล้ว ข้าไม่อยากฟังเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน” ชายร่างอ้วนตวาดขัดขึ้นอย่างเหลืออด หลังจากที่พลาดโอกาสได้เชยชมของสวย ๆ งาม ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

“พวกแก ทำให้ข้าเสียอารมณ์จริง ๆ” หน้าอวบอูมบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

“เฮ้ ๆ นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ”

ปาดิยะร้องโวยวาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตรงไปหยิบมีดสั้นขึ้นมา ตัดเชือกที่มัดหีบสินค้าไว้กับหลังม้าหน้าตาเฉย แถมยังตั้งหน้าตั้งตากอบโกยทรัพย์สินออกจากลังด้วยความละโมบ

“หุบปาก พวกเจ้าอยากรวมหัวกัน ไม่ยอมให้ข้าค้นตัวดีนัก ก็เท่ากับว่าเป็นการละเมิดคำสั่งเบื้องสูง การที่พวกข้าจะขอยึดทรัพย์สินในหีบพวกนี้ไป เป็นค่าชดใช้ก็เป็นการสมควรดีแล้ว เฮ้ย มัวชักช้าทำอะไรอยู่ได้ รีบ ๆ มาช่วยกันขนไปไว้ในโกดังเก็บสินค้าเร็ว ๆ เข้าสิ”

“ขอรับ” ขาดคำเหล่าทหารภายใต้การปกครอง ก็รีบกรูออกมาช่วยขนหีบสินค้าออกจากเกวียนเป็นการใหญ่ ราวกับสมุนโจรกำลังบุกปล้นกองคาราวานสินค้าอยู่ก็ไม่ปาน

“หยุดนะ เมื่อครู่นี้เราก็จ่ายค่าผ่านทางให้ท่านไปแล้วนี่นา” พ่อค้าคนอื่นพยายามเข้ามาขัดขวาง แต่ถูกชายร่างอ้วนผลักกระเด็นอย่างไม่ใยดี

“อยากตายหรือไง” มันตะโกนกร้าว “รู้ไหมว่าข้าคนนี้เป็นใคร ใครกล้าขัดขวาง ข้าจะสั่งให้ลูกน้องลากคอออกไปประหา...”

โครมม

ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบ ทหารรูปร่างกำยำคนหนึ่ง ก็ลอยหวือกระแทกโครมเข้ากับหัวหน้าของพวกตน จนพากันล้มกลิ้งลงไปคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น ในสภาพไม่ต่างไปจากหมูในเล้า

“อูย...บัดซบฝีมือใครกัน” หัวหน้าหน่วยจอมละโมบร้องโวยวาย

“ข้าเอง”

น้ำเสียงกระด้างดังขึ้นจากหน้าขบวน ก่อนที่ร่างสูงสง่าบนอาชาสีดำจะเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสีนิลที่จ้องตรงไปยังคู่กรณีเปล่งประกายกล้า ราวกับต้องการแผดเผาอีกฝ่ายให้เป็นจุณ

“ไอ้พ่อค้าชั้นต่ำ กล้าดียังไงถึงทำกับข้าแบบนี้ วอนหาเรื่องตายซะแล้ว” ชายร่างอ้วนตะเกียกตะกายลุกขึ้นชักดาบออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบลงมาคุกเข่าต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ไอ้บัดซบ”

ซาบารัตมันหยัดยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “คุกเข่างั้นหรือ...ได้สิ”

ขาดคำชายหนุ่มก็ผิวปาก กระตุกบังเหียนให้สัญญาณอาชาคู่ใจ ซึ่งมันก็ยินดีตอบรับคำสั่งด้วยการยกกีบเท้าคู่หน้าขึ้นกลางอากาศ ทอดเป็นเงายาวคร่อมร่างชายร่างอ้วนท่ามกลางเสียงร้องดังกึกก้อง

ตึงง

เสียงกีบเท้าที่ตอกด้วยเหล็กกล้ากระทืบลงบนผืนดิน คร่อมลำตัวของนายทหารหน้าด่าน เฉี่ยวศีรษะและใบหน้าอวบอูมไปเพียงปลายนิ้ว บังเกิดฝุ่นดินปลิวคลุ้งขึ้นมาในอากาศ เมื่อจางลงทุกคนก็มีอันต้องตกตะลึงเมื่อชายร่างอ้วนปากดี ลงไปนอนหมดสติตาเหลือกค้าง อยู่ระหว่างเท้าคู่หน้าของอาชาลำตัวสีดำเสียแล้ว

ซาบารัตมันเหลือบมองชายร่างอ้วน ด้วยประกายตาสมเพช ขณะที่คนอื่น ๆ ยืนตัวแข็งพูดอะไรไม่ออก รังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของชายหนุ่ม ส่งผลให้ทหารลิ่วล้อคนอื่น ๆ ถึงกับสะดุ้งยามที่เจ้าตัวจ้องตรงมา

“ยังมีใคร ต้องการให้ข้าคุกเข่าอีกหรือไม่”

ความกล้าบ้าบิ่นของนายเหนือหัว ทำเอาปาดิยะลอบกลืนน้ำลายช้า ๆ ไม่เพียงแค่องครักษ์หนุ่มเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหากแต่คนอื่น ๆ ในขบวนต่างก็รู้สึกครั่นคร้ามไม่ต่างกัน

“มะ มัวทำอะไรอยู่ พวกเจ้ายังไม่รีบเข้าไปจับมันอีก”

สิ้นคำสั่งรองหัวหน้าพวกที่เหลือ จึงวิ่งกรูเข้ามารุมล้อมขบวนคาราวานสินค้าของซาบารัตมัน ปาดิยะรีบชักอาวุธขึ้นมาเตรียมประจัญ แต่ก่อนที่จะมีใครหลั่งเลือด วัตถุบางอย่างก็ถูกชูขึ้นกลางอากาศท่ามกลางความตกตะลึงแก่เหล่าทหาร

“อย่าได้บังอาจแตะต้องคนของข้า เป็นอันขาด มิฉะนั้นข้าจะใช้สิทธิ์ของผู้ครอบครองตราสัญลักษณ์นี่บั่นคอพวกเจ้าซะ”

เจ้าของใบหน้าคมคายประกาศก้อง พร้อมแสดงตรารูปวิหคเพลิงในมือ อันเป็นเครื่องหมายแทนตัวชั้นสูงสุด ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามล่วงเกินหรือดูหมิ่นเป็นอันขาด

“ตราวิหคเพลิง” นายทหารเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าไปเอามันมาจากไหน”

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องบอกเจ้า” ซาบารัตมันเอ่ยเสียงกระด้าง “เห็นตราสัญลักษณ์นี่แล้ว ทำไมยังไม่รีบเปิดทางให้ขบวนของข้าอีก”

“ขะ เข้าใจแล้วขอรับ” อีกฝ่ายรีบน้อมรับ ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณ “รีบเปิดทางให้ขบวนของท่านผู้นี้เร็วเข้า”

ไม่ช้าเหล่าทหารหน้าด่านประตูเมือง ก็รีบเปิดทางให้กับขบวนพ่อค้าของซาบารัตมันผ่านไปอย่างสะดวก โดยไม่มีใครกล้าออกมาขัดขวางเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าของร่างสูงบังคับม้าให้เดินขึ้นไปข้างหน้า นำขบวนโดยมีปาดิยะและซารารีขี่ม้าเทียบอยู่ทั้งสองฝั่ง ท่ามกลางเสียงตะโกนสะใจท่วมท้น...


ภายหลังจากที่ขบวนทั้งหมด ผ่านเข้าประตูเมืองสีคิริยามาได้อย่างปลอดภัย ซาบารัตมันก็นำขบวนสินค้าไปจอดพักอยู่บริเวณค่ายกระโจมทางฝั่งทิศเหนือ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของชุมชนเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีทหารมาประจำการมากนัก ชายหนุ่มเปลี่ยนจากชุดพ่อค้าเป็นชุดผ้าฝ้ายสีหม่นธรรมดา เพื่อไม่ให้เป็นที่เด่นสะดุดตามากจนเกินไป

“เมื่อครู่นี้ ขบวนของเรากลายเป็นจุดสนใจของชาวเมือง มากพอสมควร ทางที่ดีควรรีบกระจายตัวก่อนดีกว่า”

“ทราบแล้วขอรับ”

“ข้ากับปาดิยะ จะไปหาที่พำนักอยู่ในตัวเมืองสีคิริยาก่อน ส่วนพวกท่านก็กระจายตัวกันไปตามจุดนัดพบต่าง ๆ มีความคืบหน้าเมื่อไหร่ ข้าจะรีบให้คนไปแจ้งข่าวทันที”

หลังจากที่วาดแผนที่คร่าว ๆ ลงบนพื้นดิน แสดงให้เห็นถึงประตูทางเข้าออกและด่านสำคัญ ๆ ภายในเมืองสีคิริยาเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ช่วยกันแยกสัมภาระออกมาจากเกวียน แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนตามที่ได้รับการนัดหมายเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก

บ้างก็แฝงตัวอยู่ในคราบของพ่อค้า คอยสืบหาข่าวอยู่ในตัวเมืองรอบนอก ในขณะที่บางส่วนเลือกที่จะแฝงตัวเป็นชาวเมืองสีคิริยา คอยอำนวยความสะดวกและทางหนีทีไล่ให้กับพรรคพวกของตนในยามคับขัน กระทั่งเหลือเพียงชายวัยกลางคนที่ยังคงยืนอยู่ต่อหน้าซาบารัตมัน

“มีอะไรหรือ”

“การกระทำเมื่อครู่นี้ของท่านช่างบ้าบิ่นนัก” ชายสูงวัยผมสีดอกเลากล่าว พลางจ้องหน้าซาบารัตมันด้วยแววตาตำหนิ “ข้าแทบไม่อยากคิดเลยว่า หากทหารพวกนั้นไม่ยอมก้มหัวให้กับตราสัญลักษณ์ของท่าน ผลจะออกมายังไง”

ซาบารัตมันเหยียดยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายซ่อนเร้น

“ท่านไม่เชื่อมั่นในตัวข้างั้นรึ”

อีกฝ่ายไม่ตอบ หากแต่ความวิตกกังวลในดวงตาสีเทาคู่นั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ซาบารัตมันรู้ว่าคนอื่น ๆ มีความคิดยังไงกับการกระทำของตน

“อย่าได้วิตกกังวลไปเลย เรื่องทุกอย่างข้าคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ต่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นคนของท่านก็จะไม่ได้รับอันตรายเป็นอันขาด”

“เรื่องนั้นข้าทราบดีอยู่ และเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา ว่าคนอย่างท่านจะต้องปกป้องพวกเราได้” รองหัวหน้าเผ่าผ่อนเสียงลง “เพียงแต่นึกห่วงว่าคนอื่น ๆ ที่ร่วมขบวนมาด้วย จะเกิดความหวั่นวิตกเท่านั้น”

“หากกลัวที่จะต้องเผชิญหน้า สู้ไม่ควรร่วมขบวนมาด้วยตั้งแต่แรกเสียยังจะดีกว่า” ซาบารัตมันเอ่ยเสียงกระด้าง “แม้แต่ตัวท่านเองก็เถอะ หากไม่เต็มใจที่จะร่วมทำงาน ก็จงถอนตัวออกไปตั้งแต่ตอนนี้ซะ”

“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้น” อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจ

“เช่นนั้น ยังมัวยืนรออะไรอีกล่ะ”

ชายหนุ่มตวาดกร้าว ทำเอารองหัวหน้าเผ่านิ่งเงียบไปหลายอึดใจ เจ้าตัวระบายลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะเลี่ยงไปรวมกับคนอื่น ๆ

ซาบารัตมันยืนมองพรรคพวกที่เหลือ แยกย้ายกันไปตามจุดนัดพบต่าง ๆ โดยหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ จึงหันไปทางสหายสองคนที่ยังเหลืออยู่ทางด้านหลัง


“เจ็บนะ ทำอะไรของเจ้า”

เสียงปาดิยะร้องตะโกนด้วยความเจ็บ สลับกับเสียงด่าทอ ส่งผลให้ซาบารัตมันเหลียวมองด้วยความตกใจ กระทั่งเมื่อมองเห็นซารารีกำลังกวัดแกว่งมีดสั้นในมือเข้าใส่อดีตองค์รักษ์หนุ่ม ที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหา เจ้าตัวก็ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับทันที

“พวกเจ้าอีกแล้วหรือนี่”

“อย่าหนีนะเจ้าคนต่ำช้า วันนี้ข้าจะเอาเลือดหัวเจ้า ออกมาละเลงพื้นให้ได้เลยคอยดู”

ซารารีตะโกนอย่างเดือดดาล ก่อนที่ปาดิยะจะอาศัยความโชคดี วิ่งไปหลบอยู่ทางด้านหลังของซาบารัตมันได้ทันเวลา

“ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าเอาไว้แท้ ๆ นะ ยังจะมาโกรธกันเรื่องอะไร”

“พูดพล่อย ๆ เจ้าจงใจทำให้ข้าอับอายมากกว่า น้ำหน้าอย่างเจ้า ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่มีวันคว้าเอาเจ้ามาทำสามีหรอก”

วาจาเผ็ดร้อนแถมยังเต็มไปด้วยคำดูถูก ส่งผลให้ปาดิยะชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาบ้าง

“ข้าพูดไป ก็เพื่อกันเจ้าออกจากเจ้าหมูตอนนั่นต่างหาก ไม่ใช่มีเจตนาอยากได้เจ้ามาเป็นเมียจริง ๆ สักหน่อย” ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด “ถามจริง ๆ เถอะ ที่เจ้าโกรธข้าขนาดนี้ เป็นเพราะว่าอับอายหรือผิดหวังที่ข้าทำให้เจ้าพลาดโอกาส หว่านเสน่ห์ให้เจ้าหมูตอนนั่นกันแน่”

“ว่ายังไงนะ” ซารารีตั้งท่ากระโจนเข้าฉีกเนื้อคู่กรณี ออกเป็นชิ้น ๆ “ต่ำช้าที่สุด ข้าจะฆ่าเจ้า”

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”

แม้เสียงตวาด จะทำให้ทั้งสองยอมสงบศึกลงชั่วคราวก็จริง แต่ท้ายที่สุดทั้งปาดิยะและซารารีก็ยังไม่วายจ้องที่จะหาโอกาสเข้าห้ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมดังกล่าวได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ซาบารัตมันจนทำให้หงุดหงิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

“พวกเจ้ามาที่นี่ เพราะต้องการช่วยงานข้า หรือคิดจะเพิ่มปัญหาหนักอกให้ข้าแทนกันแน่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกระด้างมองทั้งคู่ด้วยสายตาตำหนิ

“แต่ปาดิยะเป็นฝ่ายหาเรื่องข้าก่อน” ซารารีรีบกล่าวแก้ด้วยความร้อนใจ แต่ซาบารัตมันไม่คิดที่จะฟังคำแก้ตัวซ้ำซาก

“ไม่ต้องพูดแล้ว อย่าลืมสิว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในถิ่นของศัตรู ขืนพวกเจ้ายังทำตัวหละหลวมไม่รู้จักระมัดระวังตัวแบบนี้ มีหวังคงได้ถูกจับโยนเข้าคุก ก่อนจะได้ลงมือปฏิบัติภารกิจกันก่อนแน่”

ซารารีกับปาดิยะชำเลืองมองกันนิดหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะก้มศีรษะลงต่ำเป็นเชิงยอมรับผิดแต่โดยดี

“โปรดอภัยด้วยเจ้าชาย ต่อไปข้าจะระวังตัวไม่หาเรื่องทะเลาะกับนางอีก”

“อย่าดีแต่พูดอย่างเดียว ต้องแสดงให้ข้าเห็นด้วย” ซาบารัตมันกล่าวอย่างเป็นการเป็นงานมากยิ่งขึ้น “เอาล่ะ ข้าจะแยกตัวออกไปสืบข่าวคราวในตัวเมืองก่อน ส่วนเรื่องช่องทางลักลอบเข้าสู่ตัวพระราชวัง ข้ามอบหมายหน้าที่ให้พวกเจ้าสองคน ไปสืบและวาดแผนที่มาก็แล้วกัน”

“รับทราบ” ปาดิยะน้อมรับด้วยความเต็มใจ “ข้ากับซารารี จะรีบไปปฏิบัติหน้าที่ตามรับสั่งเดี๋ยวนี้”

ทว่าคนที่ข้องใจในภารกิจครั้งนี้ที่สุด คงหนีไม่พ้นหญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้งเจ้าเก่า

“อะไรนะ จะให้ข้าทำงานร่วมกับปาดิยะงั้นหรือ” ซารารีแย้งเสียงสูง

“มีปัญหาอะไรอีกล่ะ”

“ก็...จุดประสงค์ที่ข้ามายังเมืองนี้ ก็เพื่อติดตามรับใช้เป็นแขนขาให้กับท่าน แล้วจู่ ๆ ทำไมถึงทิ้งให้ข้าอยู่กับปาดิยะล่ะ”

“ข้าไม่ได้ทิ้งเจ้า แต่การอยู่รวมกันจะกลับกลายเป็นจุดเด่นมากเกินไป การแยกกันทำงานจึงน่าจะเป็นทางที่ปลอดภัยกว่า”

“แต่ว่า”

“เจ้าไม่ต้องพูดแล้วซารารี ในเมื่อตอนแรก เจ้าเป็นคนรับปากเองไม่ใช่หรือว่าจะทำทุกอย่าง ไม่สร้างปัญหา หรือคอยเป็นตัวถ่วงให้กับข้า อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็ทำไม่ได้”

คำตอบของซาบารัตมัน ทำเอาเธอถึงกับพูดไม่ออก ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับภารกิจอย่างไม่มีทางเลือก

“ตกลง ข้าจะทำงานร่วมกับปาดิยะตามที่ท่านบอก”

“ดี” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนเหลียวมองไปทางองครักษ์คู่ใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนพวกเจ้าทั้งสองเอาไว้ ในระหว่างที่พวกเราแฝงตัวอยู่ในเมืองสีคิริยา ห้ามพวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘เจ้าชาย’ อีกเป็นอันขาด เพราะหากฐานะข้าล่วงรู้ถึงหูพวกทหารเข้าคงไม่เป็นผลดีแน่”

“ทราบแล้วครับ, ค่ะ”


หลังจากที่แยกย้ายกันไปตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซาบารัตมันก็มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองสีคิริยาเพื่อสืบหาข่าวคราวความคืบหน้า เกี่ยวกับงานพิธีบนลานสิงหบาท ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่คืนข้างหน้า ร่างสูงภายใต้ชุดพื้นเมืองสีน้ำตาลเข้ม เดินปะปนไปกับชาวเมืองที่กำลังเดินคลาคล่ำอยู่บนถนน

บ้านเรือนของที่นี่สร้างจากการเรียงอิฐแข็ง พอกทับด้วยโคลนผสมแกลบ ขึ้นรูปเป็นทรงต่าง ๆ ตามการใช้สอย บางหลังมีลักษณะคล้ายป้อมปราการและมีหอคอยอยู่ที่มุมของบ้าน มีผนังแบ่งกั้นพื้นที่ใช้สอยตามความเหมาะสม บริเวณย่านค้าขายใจกลางเมือง เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการค้าขาย และความอุดมสมบูรณ์ สมกับที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองของชาวสวรรค์ ดินแดนแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุข

ภูมิประเทศของสีคิริยาค่อนข้างแห้งแล้ง วัฒนธรรมการแต่งกายจึงนิยมทอจากผ้าฝ้ายดิบ เนื้อหยาบ ผสมผสานกับศิลปหัตถกรรมอันเก่าแก่ ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากพืชชนิดต่าง ๆ ผู้หญิงสวมชุดส่าหรีตัวยาว พันรอบเอวทิ้งชายลงไปด้านหลัง

“พี่ชาย จะไม่แวะกินเหล้าร้านข้าหน่อยหรือ”

ชายผิวคล้ำหน้าตายิ้มแย้มคนหนึ่ง เดินเข้ามาตีสนิทชักชวนให้เข้าไปนั่งดื่มในร้านเหล้าก่อด้วยอิฐสีแดงฉาบด้วยโคลนจากแม่น้ำ ภายในแบ่งเป็นพื้นที่ใช้สอย กว้างพอที่จะให้นักเดินทางเข้าไปนั่งดื่มได้อย่างสบายใจ บนชั้นริมหนังด้านใน มีไหดินเผาทรงแจกันวางเรียงรายอยู่บนชั้น อบอวลไปด้วยกลิ่นสุรารสเลิศ และกลิ่นหอมของอาหารลอยกรุ่น

“นี่ร้านของเจ้ารึ”

“ใช่ขอรับ ข้านี่แหละเป็นเจ้าของร้านเหล้าแห่งนี้ อย่าหาว่าข้าคุยเลยนะแต่ลูกค้าจากต่างแดนทุกคนล้วนแต่เข้ามาพักในร้านของข้าทั้งนั้น แล้วท่านล่ะมาจากไหน” อีกฝ่ายพยายามชวนคุย

“ข้าเดินทางมากับกองคาราวานจากทางตอนเหนือ คิดที่พำนักอยู่ในเมืองนี้สักระยะเจ้าพอจะรู้จักที่ดี ๆ บ้างหรือเปล่า”

ชายผิวคล้ำยิ้มกว้าง “งั้นท่านก็มาถูกที่แล้วล่ะ เพราะที่ร้านข้านอกจะมีเหล้าไว้คอยบริการแล้ว ยังมีห้องพักสำหรับนักเดินทางอีกด้วย”

ซาบารัตมันยิ้มบนเรียวปาก “งั้นข้าขอจองห้องว่างเอาไว้เลยก็แล้วกัน”

“ได้ขอรับ ไม่ทราบว่าท่าน จะขึ้นไปพักตอนนี้เลยหรือเปล่า”

“ยังก่อน ตอนนี้ข้าหิวแล้ว เจ้าไปยกอาหารกับเหล้ามาก่อนก็แล้วกัน”

“ข้าจะรีบไปจัดมาเดี๋ยวนี้”

เจ้าของร่างสูง เดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะที่จัดเอาไว้ภายในร้าน ที่เครื่องเรือนที่ทำจากไม้โดยที่ชั้นล่างเต็มไปด้วยชาวเมือง และพ่อค้าที่นิยมดื่มสุราเพื่อหาความสำราญกัน ซาบารัตมันเลือกโต๊ะริมในสุดที่ซึ่งสามารถมองเห็นทุกอย่างภายในร้าน ตลอดจนฟังข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้คนนิยมนำมาพูดคุยกันได้สะดวก

“พวกเจ้ารู้ข่าวเรื่องพิธีกรรมคืนวันพรุ่งนี้หรือยัง”

เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากชายฉกรรจ์สี่ห้าคน ที่กำลังนั่งสุมหัวคุยกันรอบโต๊ะ ซาบารัตมันจึงลดแก้วเหล้าในมือลงช้า ๆ

หลังจากพิจารณาดูเสื้อผ้าเนื้อหยาบหนาสีดำทอมือ และภาษาพื้นเมืองแล้ว ก็แน่ใจได้ว่า อีกฝ่ายเป็นชาวสีคิริยาอย่างไม่ต้องสงสัย

“หมายถึงพิธีกรรมบวงสรวง ขอฝนองค์สูรยเทพน่ะหรือ ใคร ๆ ต่างก็รู้ทั้งนั้น”

ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำเหลียวมองรอบกาย ก่อนขยับตัวเข้าไปใกล้

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงข่าวเรื่องธิดาสวรรค์ ที่มาปรากฏตัวในลานประกอบพิธีบวงสรวงต่างหากล่ะ ข้าได้ยินมาว่างานพิธีที่จะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ จะมีการอัญเชิญนางให้เข้าร่วมพิธีกับเหล่านักบวชอีกด้วย”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ด้วยความแปลกใจ หากแต่ยังคงนิ่งฟังอย่างสงบ

“ถ้างั้นก็แปลว่า องค์สูรยเทพจะทรงประทานฝนให้แก่พวกเราแล้วงั้นสิ”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ เห็นว่าถ้าครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ บรรดานักบวชได้เดือดร้อนกันหมดแน่”

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น”

“พวกเจ้าลองทบทวนดูสิ ที่ผ่านมาพระราชวังมีรับสั่งให้นักบวช ประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้ามากี่ครั้งแล้ว แต่องค์สูรยเทพก็ยังไม่เคยประทานฝนตกลงมายังเมืองสีคิริยาเลยแม้แต่หยดเดียว ข้าได้ยินมาว่าหากครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ องค์ราชาจะทรงสั่งปลดผู้ทำพิธีออก แล้วเนรเทศท่านบัณฑุระให้ไปอยู่หัวเมืองด้วยซ้ำไป”

ซาบารัตมันยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ พลางนึกไปถึงปุโรหิตร่างใหญ่ พูดจาโผงผางเมื่อครั้งก่อนหน้าจะมีการกบฏขึ้นในราชสำนักเมื่อหลายปีก่อน

“ธิดาสวรรค์”

จริงอยู่ ที่ข่าวคราวเรื่องภัยพิบัติจะเคยผ่านหูซาบารัตมันมาบ้าง แต่กับข่าวลือเรื่องธิดาสวรรค์ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย หลังจากที่นิ่งฟังอยู่พักใหญ่ ร่างสูงจึงตัดสินใจถือแก้วเหล้าเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาตรงๆ

“ขอโทษนะพวกท่าน ข้าเป็นนักเดินทางมาใหม่ กำลังหามองหาเพื่อนร่วมวงดื่มสุรา ถ้าไม่รังเกียจมื้อนี้ให้ข้าเป็นฝ่ายเลี้ยงเหล้าจะได้ไหม”

กลุ่มนักดื่มที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ หันไปมองซาบารัตมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่ชายไว้เคราจะออกปากตะคอกเสียงดัง

“มาจากไหนไอ้หน้าอ่อน ข้าไม่ยักจะคุ้นหน้าเจ้า”

ซาบารัตมันยิ้มบนเรียวปาก “ข้าเพิ่งมาทำการค้าที่นี่เป็นหนแรก เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านกล่าวถึงพิธีบวงสรวงองค์สูรยเทพ จึงเกิดความสนใจจึงอยากขอคำแนะนำหน่อย”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนนอก อย่ามาสอดจะดีกว่า”

ชายหนุ่มจึงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ พร้อมกับนำถุงเงินขนาดไม่เล็กออกมาวางบนโต๊ะ อำนาจของมันสามารถเปลี่ยนท่าทีของผู้พบเห็น ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

“บอกแล้วไง ว่าข้ามาทำการค้า” ซาบารัตมันยิ้มดวงตาเป็นประกาย “คราวนี้จะเล่าเรื่องต่อจากเมื่อครู่ได้แล้วหรือยัง”

******************

ภายในพระราชวังรโหฐาน ประดับประดาไปด้วยหินอ่อนและกำแพงหินสูงตระหง่านงดงาม บรรดาผ้าแพรและเครื่องประดับจำนวนมาก ถูกนำเข้ามาภายในห้องตามรับสั่งขององค์ราชาเพื่อให้หญิงสาวเลือกใส่ตามใจชอบ

“นี่มันอะไรกัน” ไอรดามองดูผ้าแพรสีทองอร่าม ที่นางกำนัลช่วยกันขนหีบเสื้อผ้าและเครื่องประดับเข้ามาให้จนแทบไม่มีที่ให้เก็บ “ทำไมถึงเอาของพวกนี้มาให้ฉันล่ะ”

“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้พวกข้านำมาถวายให้แก่ธิดาสวรรค์ เพื่อสวมใส่ในพิธีบวงสรวงคืนวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” นางกำนัลรูปร่างเล็กก้มหน้าตอบ

“อะไรนะ ” ไอรดาขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางชำเลืองตามองไปยังสร้อยประดับพลอยสีชมพูหายากตลอดจนอัญมณีราคาแพง ด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ถูก “จะให้ฉันใส่ของพวกนี้ แล้วออกไปยืนใจกลางลานพิธีกรรมงั้นเหรอ”

“เจ้าค่ะ”

“แต่ว่านี่เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงต้องสวมใส่ชุดที่มันรุ่มร่ามไม่เรียบร้อยแบบนี้ล่ะ” ไอรดาค้านหัวชนฝา เมื่อเห็นความเบาบางของชุดผ้าส่าหรีที่อีกฝ่ายนำมาให้ ซึ่งเว้าลึกเสียจนเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ พวกข้ามีหน้าที่ทำตามรับสั่งเจ้าเหนือหัวเท่านั้น”

ไอรดาเม้มปากเข้าหากันอย่างไม่มีทางเลือก เพราะถึงจะปฏิเสธยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมฟังเหตุผลอยู่ดี

ที่สำคัญ หากเธอทำหน้าที่สำเร็จเร็วมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะถูกปล่อยตัวก็ย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น

“ยังไงฉันก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่”

หลังจากที่ไล่นางกำนัลออกไปจากห้อง จนเหลือแต่มณียะสองต่อสอง หญิงสาวก็คว้าเอาชุดส่าหรีเนื้อบางเบาขึ้นมาโยนลงกับพื้นด้วยความโมโห

“บ้าจริง”

“ตายจริง อย่าเอาความโกรธไปลงกับชุดสวย ๆ แบบนี้สิเจ้าคะ” มณียะรีบก้มลงเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงขึ้นมาด้วยความเสียดาย “เจ้าเหนือหัวอุตส่าห์นำมาให้ท่านทั้งที ควรจะดีใจถึงจะถูก”

“ถูกบังคับแบบนี้จะให้ดีใจได้ยังไงมณียะ” ไอรดาเดินมาคว้าชุดสวยขึ้นชูด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เสื้อผ้าเนื้อผ้าบางแถมยังเว้าลึกซะขนาดนี้ จะให้ฉันกล้าใส่ออกไปประกอบพิธีกรรมได้ยังไง นี่มันไม่ใช่งานเลี้ยงเต้นระบำนะ”

นางกำนัลผิวคล้ำมองตามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เป็นเป็นไรนี่คะ เหล่าสตรีชั้นสูงของเมืองสีคิริยาต่างก็สวมอาภรณ์แบบนี้ทั้งนั้น ท่านสวมใส่แล้วจะต้องงามมากแน่ ๆ”

“แต่ฉันไม่ใช่ชาวเมืองสีคิริยานี่นา” เจ้าของร่างบางนั่งลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจยาว “แบบนี้มันไม่เป็นการบังคับกันไปหน่อยเหรอ”

“แปลว่าท่าน จะไม่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงหรือคะ”

“ถ้าทำแบบนั้นได้ ฉันคงไม่มานั่งอยู่แบบนี้หรอก” ไอรดาหันไปมองผ้าแพรสีสวยในหีบ อย่างไม่มีทางเลือก

“รอข้าด้วยสิ”

เสียงตะโกนเรียกชื่อจากด้านหลัง ส่งผลให้หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำผึ้งเร่งฝีเท้ามากยิ่งกว่าเดิม ร้อนถึงอีกฝ่ายต้องออกแรงวิ่งอ้อมไปดักข้างหน้าพลางหายใจหอบด้วยความเหนื่อย

“หลีกไป” ซารารีเอ่ยเสียงกระด้าง ร่างบางสวมชุดผ้าทอสีพื้นแขนกุด แลดูทะมัดทะแมงยิ่งกว่าเมื่อวาน

“เจ้าออกมาข้างนอก ทำไมถึงไม่บอกกันสักคำ รู้หรือเปล่าว่าข้าตกอกตกใจมากแค่ไหน” ปาดิยะยกมือขึ้นเท้าเอวมองหน้าเธออย่างเอาเรื่อง แต่ซารารีเมินหน้าหนีอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้ามัวนอนสบายล่ะ”

อดีตทหารองครักษ์ขมวดคิ้วมุ่น

“ข้ารึนอนสบาย เมื่อคืนข้าอุตส่าห์อาสาเฝ้ายามให้เจ้าทั้งคืนแท้ ๆ กลับกลายเป็นข้ออ้างให้เจ้ามาดูถูกเอาได้ เจ้านี่มันไม่รู้จักบุญคุณเอาเสียเลย”

“นั่นเจ้าอาสาทำเองต่างหาก อย่ามาลำเลิกบุญคุณหน่อยเลย หลีกไปได้แล้วเกะกะจริง” ขาดคำหญิงสาวก็เดินเบี่ยงออกไปอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มผิวเข้มจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ

ทั้งคู่เดินตามกันไปจนถึงใจกลางเมือง ผ่านกำแพงพระราชวังที่ล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินและสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง อันเปรียบเสมือนปราการชั้นนอก ที่ใช้ป้องกันอริศัตรูไม่ได้กล้ำกรายเข้าไปถึง

ทั้งซารารีและปาดิยะ ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้สืบหาช่องทางที่จะเล็ดรอดเข้าไปถึงพระราชวังอันรโหฐานที่ซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์เจ้าปกครองนคร เป้าหมายหลักในการมาเยือนเมืองของชาวสวรรค์ในครั้งนี้

“ท่าทางจะมีทหารยืนเฝ้าอยู่ไม่น้อย” ซารารีออกความเห็นหลังจากที่ใช้เวลาซุ่มดูอยู่นาน

“เท่าที่ข้ารู้มีจำนวนไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน แถมในสระน้ำรอบนอกยังมีการปล่อยจระเข้ลงไปเพื่อป้องกันผู้บุกรุกที่ลักลอบผ่านเข้ามาทางน้ำอีกด้วย”

“ข้าล่ะเกลียดเจ้าพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนี้จริง ๆ” ซารารีทำท่าขนพองสยองเกล้า “เอากันยังไงกันดีล่ะปาดิยะเจ้าพอจะรู้หนทางอื่นบ้างหรือไม่”

ชายหนุ่ยส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่รู้สิ แต่ดูจากรูปการแล้วการบุกเข้าไปตรง ๆ ทางด้านหน้าไม่เป็นผลดีแน่ เอาอย่างนี้นะซารารีเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะลองอ้อมไปสังเกตบริเวณรอบ ๆ ดู เผื่อจะมีทิศไหนที่จะมีช่องว่างให้ลักลอบเข้าไปได้บ้าง”

“ข้าไปด้วย” ซารารีรีบออกตัว แต่องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นปรามทันควัน

“ไม่ได้ ไปกันสองคนอาจตกเป็นเป้าสายตาได้ งานนี้ให้ข้าไปคนเดียวดีกว่า ส่วนเจ้ายืนคอยอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน”

แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่เมื่อนึกถึงผลเสียมากกว่าได้ จึงยอมทำตามที่ปาดิยะบอกแต่โดยดี

“งั้นก็ได้ เจ้าเองก็ระวัง อย่าทำพลาดให้พวกทหารจับได้ล่ะ”

ปาดิยะหันไปพยักหน้าให้เธอ ก่อนเดินหายเข้าไปยังบริเวณป่า ล้อมรอบกำแพงภูเขาหินอย่างรู้หน้าที่ โดยมีซารารีคอยเฝ้าระวังอยู่ห่าง ๆ ต้นขาด้านซ้ายของหญิงสาว มีชุดลูกดอกอาบยาพิษที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา และเคยใช้มันสังหารเหล่าศัตรูมาไม่น้อยกว่าสิบชีวิต

เหตุผลที่ทำให้ซารารี เลือกที่จะเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ ก็เพื่อซาบารัตมันคนเดียวเท่านั้น หญิงสาวยินดีทำทุกอย่าง เพื่อช่วยให้เขาได้กอบกู้บัลลังก์คืนมาจากเหล่าทรราช เพื่อตอบแทนบุญคุณ ที่ซาบารัตมันกับปาดิยะช่วยปกป้องเผ่าของเธอ จากการรุกรานของศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน

ภายหลังจากผ่านไปพักใหญ่ ปาดิยะก็กลับมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง

“ได้เรื่องแล้ว”

“ว่ายังไงบ้าง มีทางเข้าทางอื่นหรือเปล่า” ซารารีเดินเข้าถามเสียงรัว

“เมื่อกี้ข้าเดินอ้อมไปสังเกตการณ์ที่ประตูทางทิศเหนือ พบว่าที่นั่นมีกำลังทหารเฝ้าอยู่จำนวนไม่มากนัก อีกทั้งยังติดกับเขตแนวป่า จึงน่าจะใช้เป็นที่ซ่อนตัวได้ดี มีบันไดเล็กที่พวกนักบวชใช้เป็นทางขึ้นสู่ยอดพระวิหารได้อีกด้วย”

“ดีจริง ๆ ถ้าท่านซาบารัตมันรู้เรื่องนี้จะต้องดีใจแน่ ๆ” ซารารีอุทานอย่างมีความหวัง “ข้าจะรีบไปรายงานเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวทำท่าจะกระโจนออกไป แต่ถูกปาดิยะคว้าต้นแขนเอาไว้ทันควัน

“เดี๋ยวก่อนซารารี” องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “นี่เจ้าคิดจะไปหาท่านซาบารัตมันทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าชายพำนักอยู่ที่ไหนงั้นหรือ”

ซารารีจึงรู้ว่าตัวเองทำพลาด ก่อนสะบัดแขนออกด้วยความโมโห

“ข้าก็กำลังจะออกไปตามหาอยู่นี่ยังไง ว่าแต่เจ้าเถอะปาดิยะ เป็นองครักษ์ประสาอะไรกันเจ้าชายพำนักอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ แล้วแบบนี้จะส่งข่าวให้กันอย่างไรได้”

ปาดิยะทำท่ายักไหล่

“เรื่องนั้นข้าก็กำลังชั่งใจอย่างหนัก ว่าจะเอายังไงดีระหว่างการเดินเข้าไปกลางตลาด แล้วตะโกนเรียกเจ้าชายดัง ๆ หรือว่ารออยู่ตรงนี้เฉย ๆ แล้วรอให้ท่านซาบารัตมันเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองดี” เขาพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังขำไม่ออก

“ว่ายังไงนะ” หญิงสาวแค่นเสียงในลำคอ “นี่ในหัวสมองกลวง ๆ ของเจ้าคิดได้แค่นี้เหรอ เจ้าคนไม่เอาไหน”

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ ข้าเพียงแต่บอกว่า”

“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าคนไม่เอาถ่าน ถ้าเจ้าอยากรออยู่ตรงนี้ก็เชิญรอไปคนเดียวเถอะ ส่วนข้าจะไปตามหาท่านซาบารัตมันในเมือง”

“ซารารี” ปาดิยะหันไปรั้งตัวเอาไว้ “ฟังข้าอธิบายก่อน”

“หุบปาก ข้าไม่อยากฟัง ว้าย !?”

ซารารีอุทานเสียงดังเมื่อจู่ ๆ สัตว์ปีกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินโฉบลงมาจากยอดไม้ ตรงเข้าเกาะศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแดงของหญิงสาว แผ่ปลายปีกออกกว้าง สร้างความตระหนกระคนประหลาดใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก

“ไอ้นกบ้านี่มันอะไรกัน” ซารารีอุทาน ทำท่าจะคว้าคอนกอินทรีย์ตัวใหญ่ขึ้นมาถอนขน แต่ปาดิยะไวกว่ารีบดึงตัวนกคู่ใจออกไปเกาะแขนของตัวเองแทน

“จุ๊ ๆ เจ้าอย่าเสียงดังไปสิ มันอุตส่าห์บินมาหาเราตั้งไกลเชียวนะ ดูสิเห็นไหมมันน่ารักจะตายจำคนให้อาหารได้ด้วย” ชายหนุ่มลูบปลายนิ้วบนศีรษะของมันอย่างเอ็นดู หากแต่หญิงสาวไม่นึกปลื้มด้วย

“มานี่นะ ไอ้นกบ้าบังอาจมาทึ้งผมกันได้ ข้าจะถลกหนังมัน”

ซารารีทำท่าถลาเข้าใส่ แต่ปาดิยะดึงหลบออกไป

“อย่าโกรธไปเลย น่าลองมองดูให้ดี ๆ ก่อนสิว่านกตัวนี้มันเป็นสัตว์เลี้ยงของใคร”

ทันทีที่ปาดิยะพูดจบ ซารารีก็ดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้งขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับเพ่งดูขนาดลำตัวและสีขนของนกอินทรีย์ ตัวที่เกาะอยู่บนแขนขององครักษ์หนุ่มชัด ๆ ก่อนอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

“จากะ นี่มันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน”

ซารารีลืมตาโต ไม่ผิดแน่นี่มันอินทรีย์ ตัวที่เจ้าชายซาบารัตมันเลี้ยงเอาไว้ชัด ๆ

ปาดิยะมองดูเธอพร้อมกับหัวเราะขัน ๆ

“เถอะน่า อย่างน้อยมันก็มาพร้อมกับโชคดีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวก่อนเลื่อนมือลงไปสำรวจที่ข้อเท้าของผู้นำสาสน์ จนกระทั่งพบกับเศษกระดาษที่ถูกพันติดเอาไว้อย่างแนบเนียน ซารารีลืมตาโตหลังจากที่เห็นตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือในนั้น

“เจ้าชายส่งสาสน์มาถึงพวกเราแล้ว” ปาดิยะหันไปยิ้มกว้างให้เธอ “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าให้รออยู่เฉย ๆ เดี๋ยวเจ้าชายก็เป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาเอง”


บริเวณชั้นล่างของร้านเหล้าที่คลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าและชาวเมือง ซาบารัตมันนั่งจิบแก้วรออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนักอดีตทหารองครักษ์คู่ใจกับบุตรสาวหัวหน้าเผ่าก็เดินมาสมทบ โดยที่ฝ่ายหญิงเอาแต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เดินตรงเข้าไปนั่งที่ม้านั่งฝั่งตรงกันข้าม จ้องหน้าเขาด้วยสายตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“ท่านซาบารัตมัน” ปาดิยะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ หญิงสาว ค้อมศีรษะพอเป็นพิธี “ขออภัยด้วย ที่พวกข้ามาช้า”

“ไม่เป็นไร พวกเจ้านั่งก่อนเถอะ” ซาบารัตมันกล่าวยิ้ม

ร่างสูงสมส่วนสวมชุดผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีดำสนิท โพกศีรษะด้วยผ้าผืนยาวสีเดียวกัน ใบหน้าคมคายที่เริ่มมีเคราจาง ๆ แลดูกลมกลืนไปกับชาวเมือง ได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ดวงตาสีนิลตวัดมองไปยังหญิงสาวผิวเข้มด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรไปซารารี ชีวิตในต่างเมือง ทำให้เจ้านอนไม่หลับงั้นหรือ”

ซารารีทำหน้าเง้ายิ่งกว่าเดิม “สิ่งที่ทำให้ข้านอนไม่หลับ ก็คือท่านนั่นแหละ มีอย่างที่ไหน เล่นหายตัวไปตั้งสองวัน ไม่ยอมส่งข่าวกลับมาสักนิด”

ซาบารัตมันชำเลืองมองปาดิยะ พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ปาดิยะไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าข้าส่งจากะไปหา”

“นกนั่น ไม่ใช่ประเด็นเสียหน่อย” หญิงสาวเอ่ยขัดทันควัน “ที่ข้าต้องการ คือการได้อยู่ใกล้ชิด คอยรับใช้ทำงานร่วมกับท่านต่างหาก”

“เรื่องนั้น ข้าคงต้องขอขอบใจที่เจ้าเป็นห่วง แต่ข้าสะดวกที่จะทำงานตามลำพังมากกว่า อีกอย่างปาดิยะ ก็เป็นคนที่ข้าไว้ใจ และเขาก็มีฝีมือพอ ที่จะช่วยปกป้องเจ้าได้” ซาบารัตมัน อธิบายอย่างมีเหตุผล

“แต่ข้าไม่ต้องการ”

“อะ แฮ่ม” ปาดิยะกระแอม อย่างนึกรำคาญ “พูดยังกับว่า ข้าเต็มใจที่จะทำงานด้วยอย่างนั้นแหละ”

หญิงสาวหันควับไปมองตาเขียว “ว่ายังไงนะ”

“ก็หรือไม่จริงล่ะ การที่วัน ๆ ข้าจะต้องมาเดินตาม ผู้หญิงที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างเจ้าคิดว่ามันน่าสนุกนักหรือไง ทำงานก็ไม่ได้เรื่อง แถมยังคอยเป็นตัวถ่วง หาเรื่องทะเลาะอยู่ตลอดเวลาอีก แบบนี้สู้ไม่พามาด้วยเสียตั้งแต่แรกก็ดี”

“นี่เจ้า”

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ก็เพราะมีข่าวที่จะต้องแจ้งให้รู้ ขอให้พวกเจ้าทั้งสองตั้งใจฟังให้ดี” ซาบารัตมันตัดบท ส่งผลให้ทั้งคู่ยอมสงบศึก หันไปตั้งใจฟังชั่วคราว

“คืนนี้ที่ลานสิงหบาท จะมีการทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอฝน เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของบรรดานักบวชและชาวเมือง ที่ได้รับการเปิดโอกาสให้เข้าร่วมชมพิธีกรรมในครั้งนี้ ซึ่งข้ามั่นใจว่าพระเจ้ากัสสปะจะต้องเสด็จมาเป็นประธานในพิธีบวงสรวงคืนนี้อย่างแน่นอน”

ซารารีและปาดิยะ หันไปมองหน้ากัน

“นี่คือโอกาส ของพวกเราแล้ว” ปาดิยะกระซิบเสียงเบา

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรีบไประดมพลเรียกพวกเรามาก่อน รอให้ถึงเวลาฟ้ามืดเมื่อไหร่ พวกเราจะลักลอบขึ้นไปยังพระวิหาร แฝงตัวกับพวกชาวเมือง คอยเป็นกำลังเสริมให้กับท่านทันที”

“เดี๋ยวก่อน แล้วท่านซาบารัตมันล่ะ” ซารารีรีบถามด้วยความร้อนใจ

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะหาโอกาสตามไปสมทบภายหลัง” ชายหนุ่มกล่าว “เพียงแต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้ายังไม่สู้แน่ใจนัก”

“อะไรหรือ”

เจ้าของร่างสูงใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากให้ได้ยินกันแค่สามคน

“คืนนี้ ดูเหมือนจะมีการอัญเชิญธิดาสวรรค์ ออกมาร่วมพิธีด้วย”

คำตอบจากปากซาบารัตมัน สร้างความประหลาดใจให้แก่ทั้งคู่เป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาก่อนเลย

“ท่านหมายถึง การอัญเชิญเทพ ลงมาประทับร่างนักบวชงั้นหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม

“ข้าหมายถึงหญิงสาว ผู้เป็นธิดาขององค์สูรยเทพต่างหาก”

“เป็นไปได้ยังไงกัน”

ปาดิยะเป็นฝ่ายร้องบ้าง เนื่องจากทั้งเขาและซาบารัตมัน ต่างก็เป็นชาวสิงหล อีกทั้งยังคุ้นเคยกับพิธีกรรมของพวกนักบวชมามาก แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

“เรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่เห็นกับตา เพียงแต่ได้ยินผ่านปากของชาวเมืองบางส่วนเท่านั้น แต่หลังจากที่สอบถามจนได้ความแล้ว ก็ทำให้เชื่อแน่ว่านางมีตัวตนอยู่จริง”

“แย่ล่ะสิ ลองพวกมันมีเทพธิดาเป็นพวกแบบนี้แล้ว ภารกิจที่พวกเราจะลงมือทำในคืนนี้ก็...” หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้งกระซิบอย่างเป็นกังวล

แต่ซาบารัตมันกลับมีความเห็นที่แตกต่าง

“แต่ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ” ชายหนุ่มเอ่ยตามตรง “จริงอยู่ที่นางอาจมีตัวตน มาปรากฏตัวในลานพิธีกรรมจริง แต่นั่น ก็ไม่ได้หมายความว่า นางจะเป็นธิดาสวรรค์ตัวจริง”

ปาดิยะหันไปมอง ด้วยความสงสัย “ท่านหมายความว่า...นางเป็นตัวปลอมงั้นหรือ”

“ใช่ว่า ข้าจะไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าหรอกนะ แต่การที่องค์สูรยเทพ จะประทานบุตรลงมาประทับอยู่ในเมืองมนุษย์ ดูจะเป็นการสร้างเรื่องเกินจริงไปหน่อย สิ่งที่ข้าคิดเอาไว้ คือความเป็นไปได้สองอย่าง ระหว่างการที่พวกนักบวชจงใจกุเรื่องขึ้นมา...”

“ไม่ก็องค์ราชาต้องการสร้างกระแสความเชื่อมั่นศรัทธา ให้เกิดแก่ชาวเมืองของตน เพื่อประวิงเวลาออกไป จนถึงยามที่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งไม่ว่าทางไหน ก็ล้วนเป็นการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น”

ซาบารัตมันคาดการณ์อย่างใช้เหตุผล ซึ่งมีน้ำหนักพอ ที่จะทำให้ซารารีและปาดิยะเชื่อถือได้

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่านางไม่ใช่ธิดาสวรรค์จริง ๆ” องครักษ์หนุ่มถามเสียงจริงจัง

“เรื่องนั้น ข้าจะเป็นผู้พิสูจน์ความจริงเอง” เจ้าของร่างสูงยิ้มหยัน นัยน์ตาเป็นประกาย “พวกเจ้าเพียงแต่เตรียมกำลังเอาไว้ รอฟังคำสั่งจากข้า ถึงเวลาเมื่อไหร่ เราจะทำการเด็ดหัวทรราช ทำความจริงให้ประจักษ์”


เพล๊ง

“บัดซบ องค์ราชาตั้งใจใช้พิธีบวงสรวงคืนนี้ เป็นข้ออ้างกำจัดข้าออกไปชัด ๆ”

นักบวชบัณฑุระคำรามลั่นพลางทุ่มแจกันใบใหญ่ลงกับพื้น แตกกระจายเกลื่อนด้วยความเดือดดาล หลังจากถูกบีบบังคับให้ประทับลายมือชื่อ ยอมรับเงื่อนไขโดยไม่เต็มใจ

ข้อความในสาส์น ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หากพิธีบวงสรวงครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งตนและบรรดาเหล่านักบวชนักหมด จะต้องถูกเนรเทศออกไปจากเมือง และห้ามกลับเข้ามาอีกชั่วชีวิต

“ฮึ่ม ทั้งที่ในอดีต ข้าเคยเป็นหัวหลักใหญ่ปลุกระดมเหล่าขุนนาง ร่วมกันสนับสนุนให้พระราชาขึ้นครองราชย์แท้ ๆ แต่พอมาบัดนี้ กลับคิดหาทางกำจัดผู้มีพระคุณซะได้ เห็นทีข้ากับองค์ราชา คงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียเสียแล้ว”

ข่าวคราวอันน่าตระหนกตกใจ ส่งผลให้บรรดานักบวช ที่มีส่วนร่วมในการประกอบพิธี เกิดความวิตกกังวล ในสถานภาพของพวกตนเป็นอย่างยิ่ง

“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี เห็นทีคราวนี้ จะต้องถูกเนรเทศไปถิ่นทุรกันดารกันทั้งหมดเป็นแน่”

เสียงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ดังให้แซดให้ทั่วทั้งมหาวิหาร ขณะที่นักบวชบางคน คิดไปถึงหนทางหนีทีไล่เอาไว้ล่วงหน้า มองข้ามความสำคัญของพิธีกรรมไปเสียสิ้น นักบวชบัณฑุระขบกรามเข้าหากัน พลางใช้ความคิดอย่างหนัก

“เลิกวิตก กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้แล้ว แม้เป็นรับสั่งขององค์ราชาก็เถอะ แต่เรื่องการเนรเทศนักบวช ผู้เป็นแหล่งรวมศรัทธาของชาวเมือง ออกไปนอกเขตทุรกันดารนั้น หาทำได้ง่าย ๆ ไม่” นักบวชร่างใหญ่ใช้เสียงตวาดเข้าข่ม

“เรื่องนั้น ใครจะไปรับประกันได้ ในเมื่อพิธีบวงสรวงคราวที่ผ่านมา องค์สูรยเทพก็ไม่ทรงโปรดประทานฝนเลยแม้แต่น้อย ขืนยังเป็นแบบนี้ คงหนีไม่พ้นโทษตายเป็นแน่”

“ฮึ่ม” นักบวชบัณฑุระ ทำหน้าตาถมึงทึง “อย่าคิดนะ ว่าข้าจะยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะถึงยังไงพิธีคราวนี้ก็ยังพอหาผู้ที่รับผิดชอบได้อยู่ พวกท่านยังจำนางผู้หญิง แอบอ้างตัวเป็นธิดาสวรรค์เมื่อคราวก่อนได้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่า คราวนี้องค์ราชา มีรับสั่งให้นางเข้าร่วมพิธีกรรมในครั้งนี้ด้วย หากฟ้าไม่ประทานน้ำฝนลงมาตามที่คาดการณ์เอาไว้ล่ะก็ ข้านี่แหละ จะเป็นคนโยนความผิดให้กับมันเอง”

เสียงหัวเราะของนักบวชหัวโล้น ดังกึกก้องไปทั่วทั้งมหาวิหาร ท่ามกลางแสงเทียนนับร้อยเล่ม เกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ รูปร่างบิดเบี้ยวทาบทับอยู่บนพื้นศิลา ดูราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากนรกอเวจี...

******


เอานิยายเรื่อง ‘สีคิริยา มนตราแห่งรัก’ จากบอร์ดเก่ามาลงต่อให้อ่านค่ะ
และแล้วก็ถึงเวลาเล่นเกมแจกหนังสือนิยายเรื่องนี้เสียที (ดีใจจังเลย)
วันนี้เบลินญาขนมาแจกทั้งหมด 10 เล่มค่ะ
ใครที่เคยตามอ่านนิยายเรื่องนี้แล้วนึกประทับใจตรงไหน
และอยากให้เบลินญาปรับปรุงเรื่องอะไร
รบกวนช่วยโพสต์เอาไว้ พร้อมกับอีเมล์ด้วยนะคะ
ความเห็นของนักอ่านท่านไหนจริงใจ และโดนใจที่สุด
รอรับหนังสือนิยายเรื่องนี้ได้เลยค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ให้กำลังใจ เพราะหากไม่มีคนอ่าน
ก็คงไม่มีเบลินญาเช่นกันค่ะ

เบลินญา



เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 17:46:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 17:46:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2319





<< รอยต่อของกาลเวลา   
anOO 6 เม.ย. 2554, 18:07:14 น.
an-o ค่ะ จำได้ว่าจากเวปเก่าลงไว้มากกว่าตอนนี้นี่ค่ะ
กำลัง งง ว่าทำไมถึงลงว่าตอนสุดท้ายแล้ว

ถ้าถามถึงอะไรที่อยากให้ปรับปรุง ก็ในเมื่อยังอ่านไม่จบก็เลยไม่รู้จะให้ปรับปรุงตรงส่วนไหนค่ะ

แต่ชอบเรื่องราวที่นางเอกย้อนกลับมาในอดีต
กำลังตามลุ้นอยู่เชียว ว่าถ้ารักกันจริงๆ ขึ้นมาแล้ว
ไอรดาของเราจะได้กลับมา ณ ปัจจุบัน อีกหรือไหม
แล้วก็อย่างไร

เป็นกำลังใจกันต่อไปค่ะ


Pat 6 เม.ย. 2554, 19:04:32 น.

เวปหนึ่งไปตั้งหลายตอนกว่านี้นี่คะ แสดงว่ารวมเล่มแล้วเลยอดลงต่อใช่ไหมเอ่ย


เบลินญา 7 เม.ย. 2554, 09:22:04 น.
ใช่ค่ะ ^^ เรื่องนี้ตีพิมพ์เป็นนิยายเรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอเชิญร่วมเล่นเกมชิงหนังสือที่หน้าห้องนั่งเล่นได้เลยนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account