สีคิริยา...มนตราแห่งรัก
ณ ดินแดนแห่งความฝัน และอารยธรรมรุ่งเรืองยาวนานกว่าหนึ่งพันปี

ไอรดาละทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ หวังเติมเต็มความฝันที่ขาดหาย

ทว่า ใคร...จะคาดคิดว่า ภายใต้ซากมหานครเก่าแก่สลักเสลาด้วยภาพนางอัปสรงามวิจิตร

จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชักนำไปสู่การพบกัน ระหว่างหญิงสาวผู้ข้ามผ่านห้วงอนาคต...และหัวหน้าโจรกบฏ ผู้ไม่เชื่อในบัญชาสวรรค์

โชคชะตากำหนดให้ทั้งคู่ ร่วมถักทอที่เคยขาดหาย ไกลจรดเส้นขอบฟ้า

พันธนาการหัวใจ มิให้พรากจาก...ดุจดังเช่นคำสัญญา
‘เราจะอยู่ร่วมกัน...นิรันดร'

Tags: นิยายรัก โรแมนติก ตบจูบ เจ้าชาย เจ้าหญิง รักหวานซึ้ง กินใจ

ตอน: รอยต่อของกาลเวลา

บทที่ 4
รอยต่อของกาลเวลา

ไอรดายืนหายใจหอบอยู่บริเวณขั้นบันได พลางมองลงไปยังซากเมืองด้านล่าง ทึ่งกับความพยายามของชาวเมืองสีคิริยา เมื่อสมัยหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน ที่สามารถสร้างเมืองตลอดจนเปลี่ยนภูเขาทั้งลูก ให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ได้

เจ้าของใบหน้าหวานยืนพักเหนื่อย ก่อนสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปเดินขึ้นไปยังบันไดสู่ยอดเขา ที่เป็นหน้าผาค่อนข้างชัน กระทั่งก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายได้ในที่สุด

“เฮ้อ...ในที่สุดก็ถึงจนได้”

ไอรดาลงไปนั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ก้มหน้าหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ขณะนั้นเองที่เธอไม่ทันได้สังเกตเลยว่า บรรยากาศรอบกายได้มีหมอกสีน้ำนมขาวขุ่น เคลื่อนตัวปกคลุมเข้ามาพร้อมกับน้ำค้างเย็นยะเยือก

“เย็นจัง...ทำไมข้างบนนี้ถึงมีหมอกได้นะ” หลังจากที่เงยหน้าขึ้นมา เห็นสภาพบรรยากาศที่คล้ายกับหมอกยามเช้าตรู่ในฤดูหนาว ประกอบกับน้ำค้างที่ลงจัด ส่งผลให้ร่างบางยกแขนขึ้นกอดอกโดยอัตโนมัติ

ไอรดาพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองฝ่าหมอกหนาทึบตรงไปยังภาพเบื้องหน้า ลานหินขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยสระน้ำ สวนพฤกษชาติส่งกลิ่นหอมอบอวล ร่างบางตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้า มองหาใครสักคนที่พออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้

“แปลกจัง...ไม่มีใครอยู่บนนี้เลยหรือไงนะ”

เจ้าของดวงหน้างามรำพึงแผ่ว ผิวกายรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น และละอองน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่บนพื้น ไอรดาเดินเลียบทางเดินริมสระน้ำ เรื่อยไปจนบริเวณด้านหลังของสวนพฤกษชาติ ที่ครั้งก่อนเคยได้ยินเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะดังแว่วมาให้ได้ยิน

“แสงไฟ”

ไอรดามองเห็นแสงไฟสลัว ที่คาดว่าน่าจะเป็นคบเพลิงจำนวนหลายจุด ปรากฏอยู่เบื้องหลังสวนพฤกษชาติ พร้อมเสียงคนพูดคุยกันลอยมาให้ได้ยิน เป็นภาษาพื้นเมืองสำเนียงไม่ค่อยคุ้นหู

ไอรดาก้าวเข้าไปแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นั่นอะไรน่ะ...”

ภาพเบื้องหน้า ดูคล้ายกับลานประกอบพิธีกรรมขนาดใหญ่ หน้าแท่นบูชามีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน ใจกลางมีนักบวชสวมเครื่องแต่งกายสีขาว สวดมนต์ภาวนาด้วยภาษาที่เธอไม่รู้จัก ฟังดูทรงพลังน่าครั่นคร้ามชวนพิศวง

ไม่ช้าชายฉกรรจ์สองถึงสามคน ก็ร่วมกันฉุดลากเด็กสาวที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวออกมายืนหน้าลานพิธี และบังคับให้นั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าคบไฟส่องสว่าง

เหนือขึ้นไปบนเก้าอี้ทองคำ มีชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตางามสง่า สวมอาภรณ์ผ้าไหมปักดิ้นทองสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเข้ม ปักลายประณีตดั่งเทพเนรมิต พร้อมด้วยสตรีผู้เลอโฉมนั่งอยู่เคียงข้าง สตรีผู้นั้นสวมชุดส่าหรีสีแดงเลือดนกผ้าแพรฉลุด้ายสีทอง พาดเฉียงไปทางบ่าซ้ายงามสง่าราวกับพญาหงส์

ไอรดารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือแม้แต่กลิ่นกำยานที่ลอยโชยมาแตะจมูก ล้วนแต่บ่งบอกถึงความจริงอันเหลือเชื่อ

“ข้าแต่องค์สูรยะเทพผู้เรืองฤทธิ์ ผู้ทรงประทานความรุ่งเรือง และความตายแก่หมู่เราทั้งผอง...”

เสียงสวดมนต์อ้อนวอน ดังออกมาจากปากนักบวชผู้ทำพิธี ขณะโรยเกลือลงบนเถ้าถ่านเป็นประกายลุกโชน มือขวารองถาดเงิน ที่มีและน้ำขมิ้นข้าวเปลือก ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

“บัดนี้...พวกเราขอทำการสักการบูชาไฟแก่ท่าน ส่งดวงวิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เป็นข้ารับใช้รองบาทของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์...ฉะนั้นขอท่านได้โปรดประทานห่าฝน เมล็ดพันธ์และความอุดมสมบูรณ์บังเกิดแก่มหาราชา และบ้านเมืองของเราด้วยเถิด”

“โปรดประทานฝนลงมาด้วยเถิด”

ชั่วอึดใจต่อมา ชายฉกรรจ์ก็ช่วยกันลากตัวเด็กสาวพรหมจรรย์เข้ามาในตำแหน่งที่เตรียมไว้ พร้อมกับเอาภาชนะทองเหลืองมาวางเตรียมเอาไว้บนพื้น ไอรดาได้ยินเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว จากเด็กสาวคนดังกล่าวที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดสุดชีวิต

“อย่าทำข้าได้โปรด”

“จับมันเงยหน้าเอาไว้”

ขาดคำคนอื่น ๆ เข้ามาช่วยกันจับตัวเด็กสาว บังคับให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้น กระชากเส้นผมให้เงยหน้าขึ้น ไอรดาเบิกตาโตด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น

“กรี้ดดด”

ทันทีที่คมมีดในมือของปุโรหิต เชือดปาดลำคอของเหยื่อบูชายัญ โลหิตสีแดงก็พลันไหลทะลักออกมาจากบาดแผล พุ่งลงสู่อ่างภาชนะราวกับสายน้ำสาดกระเซ็น ถูกลำตัวและใบหน้าของคนอื่นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ทว่าไม่มีใครรู้สึกสงสารเวทนา หรือคิดเข้าช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว

“...!!??”

ไอรดายกมือขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงร้องด้วยความตกใจ เนื้อตัวสั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก ดวงหน้างามซีดเผือดยิ่งกว่ากระดาษ มองดูเด็กสาวสิ้นใจล้มลงบนพื้นต่อหน้าต่อตา

หลังจากเสร็จพิธีบูชายัญเรียบร้อยแล้ว นักบวชคนที่ลงมือสังหารเหยื่อ ก็เดินเข้าไปหยิบภาชนะรองเลือดขึ้นมา รินใส่แก้วทองเหลืองอย่างประณีตบรรจง ก่อนคุกเข่าน้อมถวายให้แก่เจ้าเหนือหัว ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์

“โปรดทรงรับไว้ด้วยเถิดพะยะค่ะ”

องค์ราชายื่นฝ่าพระหัตถ์ลงมารับเครื่องสังเวย ก่อนยกแก้วขึ้นจรดพระโอษฐ์ ดื่มของเหลวสีแดงลงไป ประหนึ่งราวกับว่ามันเป็นสุรารสเลิศ ผิดกับพระมเหสี ที่เบือนพระเนตรหนีไปทางอื่นด้วยความรังเกียจ

"ขอให้ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุยั่งยืนยาวนาน พระบารมีแผ่ไพศาลเช่นเดียวกับดวงสุริยัน และจันทรา”

นักบวชผู้ประกอบพิธีกรรมกล่าวคำสรรเสริญ

“เสร็จพิธีคราวนี้ ข้าหวังว่าองค์สูรยะเทพ จะทรงโปรดประทานฝนลงมา ดังเช่นที่ท่านทำนายเอาไว้นะท่านนักบวช”

กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองสีคิริยาตรัสถาม น้ำเสียงไม่พอพระทัย หลังจากที่เหล่านักบวชขอให้มีการจัดพิธีบูชายัญถวายเครื่องเสวยถึงสองครั้งสองครา เพื่อแก้ไขปัญหาฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลมานานหลายเดือน

“ครั้งนี้องค์สูรยะเทพ จะต้องทรงโปรดอย่างแน่นอน เชื่อข้าเถิดพะย่ะค่ะ” นักบวชรูปร่างสูงใหญ่ค้อมศีรษะทูลถวาย หากแต่องค์ราชาไม่ใคร่ที่จะเชื่อน้ำคำนัก

“ข้าเองก็หวังเอาไว้เช่นนั้น กาลนี้เมืองสีคิริยาของเราได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก พืชพันธุ์ ธัญญาหาร ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ เนื่องจากขาดน้ำมาหล่อเลี้ยง ข้าได้มอบหมายให้ท่าน จัดพิธีบวงสรวงเทพสุริยะมานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไร้ผล”

คำปรารภของพระเจ้ากัสสปะ ทำเอาปุโรหิตถึงกับกายสะดุ้งเฮือก

“ที่เป็นเช่นนั้น หาใช่ความผิดของข้าไม่ แต่เป็นเพราะเครื่องสังเวยในพิธีบูชาไฟ ยังไม่เป็นที่พอพระทัยองค์สุริเทพต่างหากล่ะพะยะค่ะ ผิดกับครั้งนี้ที่ข้ามั่นใจว่าพระองค์ จะต้องทรงโปรดและประทานฝนให้กับเมืองของเราอย่างแน่นอน”

“ท่านแน่ใจรึ”

“ข้าพระองค์มั่นใจ”

“ดี หากท่านนักบวชยืนยันเช่นนั้น หลังจากนี้อีกสามวันข้าก็จะรอดูผลว่า องค์สูรยะเทพจะโปรดประทานห่าฝนลงมาจริงหรือไม่” องค์ราชาตรัสน้ำเสียงกระด้าง

“แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น เห็นทีคงถึงเวลาที่ข้าจะต้องหาปุโรหิตคนใหม่ มาแทนท่านผู้ถึงกาลเสื่อมฤทธิ์ จนไม่อาจสื่อสารไปถึงเทพเจ้าแล้วกระมัง”

“มหาราชา !?”

“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ยังไม่รีบนำร่างบูชายัญรายนี้ ไปให้พ้นหูพ้นตาข้ากับพระมเหสีอีก”

สิ้นคำตวาด เหล่าข้าราชบริพารต่างก็วิ่งกรูเข้ามา ลากร่างไร้วิญญาณของเด็กสาวเหยื่อบูชายัญออกไปยังบริเวณริมสระน้ำฝั่งขวามือ โยนร่างของเธอลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าฝูงจระเข้ขนาดใหญ่ที่เลี้ยงเอาไว้ ก็ว่ายเข้ามากัดกินซากร่างจนน้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

ภาพดังกล่าว สร้างความหวาดวิตกและความโกรธขึ้ง ให้กับปุโรหิตร่างใหญ่เป็นอย่างมาก เนื่องจากตนได้รับเกียรติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิต มีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับการประกอบพิธีบวงสรวงมานาน จนได้รับการไว้วางพระทัยให้เป็นถึงโหรที่ปรึกษา ได้รับการปูนบำเหน็จตลอดจนทรัพย์สินเงินทองมากมาย

แต่มาบัดนี้ ตำแหน่งของตนมีอันต้องสั่นคลอน อันเนื่องมาจากความไม่ยุติธรรมขององค์สุริยะที่กลั่นแกล้งเขา ด้วยการไม่ประทานฝนตกลงมาตามฤดูกาล ทำให้เกิดความแห้งแล้งผืนดินแตกระแหง พืชผลแห้งตายกระจายความเดือดร้อนออกไปทั่วทั้งแผ่นดิน

ทั้งที่เขาเองก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ในการทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอประทานเม็ดฝน แต่ดูเหมือนว่าองค์สูรยะเทพก็ยังไม่พอพระทัยอยู่ดี

ทว่าความโกรธของเทพเจ้า หาใช่ความน่ากลัวอย่างถึงไม่สุดสำหรับปุโรหิตไม่ เพลิงพิโรธขององค์ราชาแห่งเมืองสีคิริยาต่างหาก ที่น่าสยดสยองพองขนมากกว่า

“ฮะ ฮะ ดูสิ พวกมันแย่งกันกินเหมือนฝูงสุนัขไม่มีผิด ช่างน่าชังเสียจริง ๆ”

เสียงสรวลจากมหาราชา ลอยแว่วมาเข้ามาในหูของปุโรหิต ส่งผลให้เจ้าตัวออกอาการหวั่นวิตก กายสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

หากว่าอีกสามวันข้างหน้า องค์สูรยะเทพยังไม่ประทานฝนลงมา

เห็นทีว่า เหยื่ออันโอชะของจระเข้ในบ่อคราวนี้ คงหนีไม่พ้นตัวเขาเป็นแน่แท้

“มีผู้บุกรุก”

เสียงตะโกนดังก้อง สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้เข้าร่วมพิธีกรรม จนกลายเป็นเสียงดังเอะอะด้วยความตกใจ ความโกลาหลวุ่นวาย ส่งผลให้องค์ราชากัสสปะลุกขึ้นจากที่ประทับอย่างโกรธกริ้ว เนื่องจากคาดไม่ถึงว่าจะมีใครหน้าไหน บังอาจลักลอบเข้ามาในช่วงเวลาอันสำคัญแบบนี้ได้

“บังอาจ ลากตัวมันออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

ขาดคำเหล่าทหารก็วิ่งกรูเข้าไปยังป่าพฤกษชาติ พร้อมกับควานหาตัวผู้ลักลอบเข้ามาในเขตพระราชวังอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าคนเหล่านั้นก็ลากตัวไอรดาออกมาจากที่ซ่อนหลังต้นไม้ ท่ามกลางการดิ้นรนและเสียงกรีดร้องอย่างตระหนกตกใจของหญิงสาว

“ปล่อยฉันนะ พวกคุณจะทำอะไรบอกให้ปล่อย !?”

ไอรดาทั้งร้องทั้งดิ้นด้วยความตกใจ แต่เหล่าทหารยังคงลากตัวเธอออกมา และเหวี่ยงลงไปนั่งยังลานประกอบพิธีกรรม ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม

“ว้าย”

“สตรีนางนี้แหละขอรับ ที่บังอาจลักลอบเข้ามา”

การปรากฏตัวของไอรดา สร้างความประหลาดให้กับทุกคนที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะองค์ราชาเมืองสีคิริยา ที่ไม่เคยประสบพบเจอกับสตรีนางใดในแผ่นดิน ที่มีลักษณะอย่างนี้มาก่อน

เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแท่นประทับ มีผิวขาวราวกับงาช้าง ตัดกับเส้นผมสีดำขลับเป็นประกายเงางามราวกับเส้นไหม ยิ่งพิศเห็นดวงหน้าหวานที่ประดับไปด้วยดวงตาคู่งาม ภายใต้เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องมือประหลาดในมือของเธอ ก็ยิ่งฉงนในพระทัยมากขึ้นไปอีก

“ป่าเถื่อน พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง”

หญิงสาวตะโกนเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ความหมายเลยสักคน

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงได้กล้าลับลอบเข้ามายังลานพิธีกรรมของข้า”

พระเจ้ากัสสปะตวาดเสียงดัง เป็นการแสดงอำนาจข่มขวัญ แต่ไอรดากลับแปลไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

“พวกคุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย” ไอรดาเหลียวมองไปรอบกายด้วยสายตาหวาดระแวง
“แล้วนี่...พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่”

ทันที่หญิงสาวเหลือบไปเห็นซากเศษเนื้อในบ่อจระเข้ ไอรดาก็ถึงกับหน้าซีดตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว

“ไม่ต้องวิตกไปหรอก หากเจ้าสารภาพว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการบุกรุกครั้งนี้ บางทีข้าอาจไว้ชีวิตเจ้าเสียก็ได้”

พระสุรเสียงกับดวงเนตรที่อ่อนลง ส่งผลให้พระมเหสีคนงามที่ประทับอยู่ด้านข้าง เหลียวมองด้วยความแปลกใจ

เห็นดังนั้นนักบวชบัณฑุระ จึงรีบถลันออกมาทูลปรามอย่างหนัก

“ไม่ได้นะพะยะค่ะ นังคนนี้ทำความผิดร้ายแรง บังอาจลักลอบเข้ามาแอบดูพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ขอฝ่าบาทโปรดมีรับสั่ง ให้ประหารชีวิตเสียโดยเร็วเถิด”

นักบวชร่างใหญ่ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าไอรดา โทษฐานทำให้ตนเสื่อมศรัทธา ทำเอาหญิงสาวถึงกับฉุนจัดยกมือขึ้นปัดออกโดยแรง

“อย่ามาชี้หน้ากันนะ”

การกระทำอันจาบจ้วงของหญิงสาว ที่มีต่อปุโรหิตชั้นสูงที่มีอำนาจสูงสุด รองจากองค์ราชา ส่งผลให้เจ้าตัวถึงกับอ้าปากค้าง ลืมตาโตด้วยความตกตะลึง

“นะ นังคนนี้”

“ฮะ ฮะ” พระเจ้ากัสสปะทรงพระสรวลเสียงดัง ทอดพระเนตรไปยังหญิงสาวผู้แก่นกล้าอย่างพอพระทัย

“เจ้านี่กล้าหาญชาญชัยไม่น้อย หน้าตาการแต่งกายรึก็แปลกประหลาด มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เห็นทีคงไม่ใช่ไส้ศึกศัตรูที่มาสอดแนมกระมัง”

“ฝ่าบาท” ปุโรหิตร้องเสียงดัง “นังคนนี้กระทำการบังอาจนัก กล้าลอบเข้ามาระหว่างที่ข้ากำลังทำพิธี แบบนี้มัน...”

เขาตั้งท่าจะสุมเชื้อไฟต่อ แต่กลับถูกสวนด้วยวาจาตวาดกร้าว

“หุบปากของเจ้าได้แล้วบัณฑุระ ที่จริงข้าไม่อยากจะกล่าวโทษ ว่าเป็นความสะเพร่าของเจ้านักหรอกนะ แต่ก่อนหน้าที่พิธีบวงสรวงจะเริ่มขึ้น เจ้าไม่ได้ส่งคนออกไปตรวจตรารอบอาณาบริเวณตามที่ข้าสั่งเลยหรือไง”

สีหน้านักบวชซีดเผือดลงทันที

“ระ...เรื่องนั้นข้า”

“ว่ายังไง เจ้าคงไม่ได้ทำตามคำสั่งของข้าสินะ หาไม่แล้วนางที่นั่งอยู่ตรงนั้น คงไม่มีปัญญาลักลอบเข้ามาในเขตพระราชฐานได้หรอก จริงไหม”

ปุโรหิตร่างใหญ่ รีบก้มหน้าคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาอภัยด้วย ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว...ต่อไปจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

แม้ไอรดาจะไม่เข้าใจคำพูดที่ทั้งสองฝ่ายโต้ตอบกัน แต่เมื่อได้เห็นนักบวชบ้าอำนาจก้มศีรษะลงต่ำอย่างพินอบพิเทาก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ และคิดว่าชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ท่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจน่าดู

“เรื่องของเจ้า เอาไว้ข้าจะจัดการทีหลัง แต่ตอนนี้...ข้ามีงานให้เจ้าทำอย่างหนึ่งก่อน”

“เรื่องอะไรหรือ พะยะค่ะ” ปุโรหิตรีบผงกศีรษะขึ้นอย่างยินดี

พระเจ้ากัสสปะทอดพระเนตรไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่ ถือโอกาสสำรวจไปทั่วเรือนร่างเพรียวระหง จนไอรดาเผลอยกมือกระชับคอเสื้อเข้าหากันอย่างหวาดระแวง

“สตรีนางนั้น พูดด้วยภาษาที่ข้าไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย บางทีนางอาจเป็นสื่อรับใช้ที่องค์สูรยะเทพส่งมาหาเราก็เป็นได้ เจ้าจงแสดงฤทธิ์ด้วยการเสกลิ้นของนางให้พูด และเข้าใจภาษาของเราให้ข้าได้ประจักษ์หน่อยซิ”

“!!!?”

ประโยคที่ตรัสออกมาจากปากองค์ราชา เรียกเสียงฮือฮาและความประหลาดใจให้กับผู้เข้าร่วมพิธีเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่พระมเหสีคนงาม ที่ถึงกับเหลียวมองพระสวามีด้วยสายตาคาดไม่ถึง

นักบวชบัณฑุระเบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออกไปหลายอึดใจ ด้วยไม่คิดว่าองค์ราชาจะโยนหมากมาให้กะทันหันถึงเพียงนี้

“ฝะ...ฝ่าบาท”

“เรื่องแค่นี้...สำหรับนักบวชผู้ทรงฤทธิ์อย่างท่าน คงไม่ยากนักหรอกจริงไหม เห็นท่านเคยคุยนักคุยหนาเอาไว้ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาปรุงยาอันดับหนึ่งของแผ่นดินมิใช่หรือ”

ทันทีที่มองเห็นประกายตาอำมหิตมองมา นักบวชร่างใหญ่ก็ถึงกับสั่นสะท้าน ลอบกัดฟันข่มความแค้นไว้ในอก บัณฑุระรู้ดีว่าองค์ราชาตั้งใจหาเหตุปลดเขาออกจากตำแหน่ง ด้วยการโยนบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญนี้มาให้ หากว่าทำไม่ได้ ก็จะถูกรุมประณามว่าถึงกาลเสื่อมฤทธิ์ทันที

“ได้ ข้าจะแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์เดี๋ยวนี้”

คำตอบของปุโรหิตสร้างความฮือฮาต่อผู้เข้าร่วมพิธียิ่งนัก มีเพียงพระเจ้ากัสสปะเท่านั้น ที่ยังคงประทับนิ่งไม่ขยับ คอยจ้องมองพฤติกรรมของนักบวชที่ตนชังน้ำหน้า รอจังหวะปลดออกจากตำแหน่งและไสหัวส่งไปไกล ๆ

นักบวชบัณฑุระเดินตรงไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้ารูปปั้นองค์สูรยะเทพ หลับตาบริกรรมคาถาส่งเสียงดังกังวาน

“โอม...ด้วยอำนาจแห่งองค์สูรยเทพ จงดลบันดาลให้ข้าถ่ายเคล็ดวิชาธรรมบรรลุ แก่หญิงนางนี้เป็นผลสำเร็จด้วยเถิด...”

นักบวชร่างใหญ่ชูแขนทั้งสองขึ้นบูชาเทพเจ้า พร้อมกับร่ายมนต์ยาวเหยียด กลิ่นกำยานที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศประกอบกับเสียงท่องบ่นเป็นจังหวะรัว ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม บัณฑุระบริกรรมคาถาพลางหยิบเอาผงวัตถุธาตุ และว่านยาจำนวนหลากหลายชนิดขึ้นมาจากโถทองคำ ที่ตนเคยเสกมนต์เอาไว้นานถึงเก้าวันเก้าคืนผสมกับน้ำมันเหลวผสมขี้ผึ้ง จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้วาดอักขระมนตรา บนกลางหน้าผากของไอรดาช้า ๆ

ไอรดาทำท่าขัดขืน แต่แขนทั้งสองข้างถูกตรึงไว้แน่นหนา เสียงบริกรรมคาถาดังอึงอลอยู่ภายในศีรษะ ก่อนที่หญิงสาวจะบังเกิดอาการแสบร้อน บริเวณกลางหน้าผากราวกับถูกสะเก็ดไฟแผดเผา

“เจ้าผู้มาเยือนเอ๋ย...จงเปล่งวาจาด้วยภาษาแห่งเรา ณ บัดนี้”

ปุโรหิตมองไอรดาที่กำลังทุรนทุรายด้วยแววตาเย็นเยือก ร่างบางไม่สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว ความทรมานแผดเผาเธอจนต้องกรีดร้องออกมาอย่างอดทนรนไม่ไหว

“ร้อนเหลือเกิน”

“โอ...นางพูดภาษาของเราได้แล้ว”

ประโยคที่ออกมาจากปากของไอรดา เรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้เข้าร่วมพิธีเป็นอย่างมาก ทุกคนจับจ้องไปยังปุโรหิตพร้อมทั้งเปล่งเสียงชื่นชมล้นหลาม เหตุการณ์กลับตาลปัตร ส่งผลให้องค์ราชาถึงกับนิ่งอึ้งตรัสอะไรไม่ออก

“ปาฏิหาริย์ ท่านนักบวชเป็นผู้ทรงฤทธิ์จริง ๆ ด้วย”

นักบวชบัณฑุระ ตอบรับกระแสความศรัทธาที่ท่วมท้น ชูมือขึ้นเหนือศีรษะตะโกนเรียกพระนามขององค์สูรยะเทพ ทำให้ตนดูสูงส่งเปี่ยมไปด้วยฤทธิ์ธานุภาพ

ใครบางคนเดินประคองถ้วยรองน้ำดื่มมาให้ไอรดา แต่แม้ว่าเธอจะดื่มไปหลายอึก ความขมก็ยังไม่ยอมจางหาย เสียงตะโกนอื้ออึงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ไอรดา งงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ไอรดาขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แต่ถูกเหล่าทหารกรูเข้ามาจับตัวเอาไว้

“ปล่อย”

“ฮ่า ฮ่า เห็นหรือยัง นี่คือประจักษ์หลักฐานว่าข้าคนนี้ ยังเป็นที่โปรดปรานขององค์สูรยะเทพไม่เปลี่ยนแปลง ขอเพียงข้าร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากขนาดไหน ก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น”

เสียงหัวเราะของบัณฑุระ จงใจกระทบกับองค์ราชา ส่งผลให้พระเจ้ากัสสปะเกือบจะลุกจากที่ประทับตรงเข้าไปตัดศีรษะนักบวชนอกรีต เสียบประจานเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดตรงที่ว่าไม่มีข้ออ้างที่ฟังดูมีเหตุผลเพียงพอ

“ถ้าเช่นนั้น อีกสามวันข้างหน้า ท่านก็จงไปอ้อนวอนขอให้องค์สูรยะเทพ ประทานฝนแก่เมืองสีคิริยาตามที่ท่านรับปากไว้ให้ได้ก็แล้วกัน” องค์ราชาตรัสเสียงกระชาก

ปุโรหิตร่างใหญ่ค้อมศีรษะ กระหยิ่มยิ้มย่อง

“ข้าจะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง”

*************************


“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย จะพาฉันไปไหน”

ไอรดาดิ้นรนขัดขืนไปตลอดทาง หลังจากที่ถูกทหารยามสองนายจับตัว ฉุดกระชากลากถูเข้าไปภายในพระราชวัง ผ่านทางเดินหินอ่อนฝั่งตะวันตก ไปหยุดหน้าบานประตูไม้แกะสลักที่ถูกไขกุญแจรอไว้ก่อนแล้ว

“ว้าย”

ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างบางก็ถูกผลักเข้าไปภายในห้อง ที่ประดับตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามโดยมีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ใจกลางห้องนอน ไอรดารีบลุกขึ้นจากพื้นพรมวิ่งถลาตรงไปยังประตู แต่ถูกทหารยามขวางเอาไว้

“ปล่อยฉันออกไปนะ” ไอรดาตะโกนเสียงดัง

ทหารยามหน้าตาถมึงทึง กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พาเจ้ามาไว้ที่นี่ และห้ามออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันขาด”

หญิงสาวแทบไม่อยากเชื่อหู

“ว่ายังไงนะ...” เธอทวนประโยค พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “พวกคุณมีสิทธิ์อะไร ถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ นี่มันผิดกฎหมายชัด ๆ”

“นี่คือคำสั่งขององค์เหนือหัว ไม่ว่าใครก็ห้ามฝ่าฝืน”

ประกาศิตดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับไอรดาเป็นอย่างมาก ตามที่เธอเคยรู้มาศรีลังกาไม่มีกษัตริย์หรือราชวงศ์ปกครองประเทศมาตั้งนานแล้ว จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนพวกนี้ จะหยิบยกข้ออ้างดังกล่าวมาบังคับขู่เข็ญเธอ

“หมายความว่ายังไง สีคิริยามีกษัตริย์ปกครองอยู่ด้วยงั้นเหรอ”

“บังอาจ” ชายร่างใหญ่กระชากเสียง “สีคิริยาคือเมืองของชาวสวรรค์ แล้วจะขาดผู้ปกครองผู้เป็นดั่งสมมติเทพไปได้อย่างไร”

ยิ่งพูดยิ่งงงหนัก มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเมืองสีคิริยาที่เธอเคยรู้จัก ได้ล่มสลายมานานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีมาแล้ว

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” ไอรดาหน้าซีดเผือด เมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง

“มีอะไรข้องใจอยู่อีก”

หญิงสาวกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงไปในลำคอ ภาวนาขออย่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ กลายเป็นความจริงขึ้นมาเลย

“โปรดตอบฉันที ว่าตอนนี้เป็นปีพ.ศ.ที่เท่าไหร่...ไม่สิ ฉันอยากรู้คือเมืองสีคิริยาที่พวกเรากำลังยืนอยู่ตอนนี้ เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง ๆ หรือว่าเป็นแค่เมืองจำลองที่ถูกสร้างขึ้นกันแน่”

ทหารยามผิวคล้ำ ทำหน้าตาประหลาดใจ

“ว่ายังไงนะ”

“ตอบมาเร็ว ๆ สิ”

“ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าเจ้าเป็นคนต่างถิ่นมาจากไหน ถึงได้ถามคำถามพรรค์นั้น แต่เอาเถอะถ้าเจ้าอยากจะรู้จริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็จะช่วยตอบให้ก็แล้วกัน เผื่อว่าเจ้าจะหายโง่ได้บ้าง”

ชายร่างใหญ่สวนกลับด้วยความหงุดหงิด

“ที่นี่คือเมืองสีคิริยา นครของชาวฟ้า ที่เจ้าและข้ากำลังเหยียบยืนอยู่นี่ คือพระราชวังเหนือสุดบนยอดเขาสีคิริยา อันเป็นที่ประทับของพระเจ้ากัสสปะผู้ปกครองนคร ไม่ได้เป็นเมืองจำแลงอะไรทั้งนั้น เข้าใจหรือยัง”

ไอรดารู้สึกราวกับกำลังถูกขังอยู่ในฝันร้าย ที่มีแต่ความมืดมิด และไม่มีวันที่จะถูกปลุกขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริง ใบหน้าหวานซีดเผือดยิ่งกว่ากระดาษ แขนขาปราศจากเรี่ยวแรง จนเกือบทรุดนั่งลงกับพื้น

เพราะหากนี่คือความฝัน ก็คงเป็นฝันที่เลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่วันที่เธอลืมตาดูโลกเลยก็ว่าได้

“ไม่จริง...” ไอรดากระซิบเสียงแหบพร่า ดวงตาพร่าพรายจนแทบมองอะไรไม่เห็น

ใจหนึ่งเธอร้องปฏิเสธว่านี่คือเรื่องโกหก แต่เมื่อสบกับดวงตาแข็งกร้าวของทหารยามที่มองมา ท่ามกลางปลายหอกประกายสีเงินในมือ ไอรดาก็รู้ได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่แค่การเล่นละคร หรือแค่ฉากที่มีไว้สำหรับสร้างความแปลกใจ

หากแต่เป็นความจริง ที่เธอไม่มีวันหนีพ้น

ในขณะที่ไอรดากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสน จู่ ๆ หญิงสาวก็พลันนึกถึงใบหน้าของชายสูงศักดิ์ที่ใครต่อใครเอ่ยขานนามว่า ‘องค์ราชา’ ขึ้นมาได้ ร่างบางวิ่งถลาตรงไปยังประตูทางออก โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ยืนขวางอยู่หรือไม่

“เดี๋ยว นั่นเจ้าจะไปไหน” ทหารยามร่างใหญ่กระโจนเข้าขวาง

“ฉันมีธุระจะต้องพูดกับผู้ปกครองของเมืองนี้”

ชายผิวคล้ำเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจ

“ว่ายังไงนะ นี่เจ้าคิดจะเข้าเฝ้าองค์ราชา ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตงั้นเรอะ”

“แล้วมันผิดด้วยเหรอ”

“โอหัง คิดว่าการเข้าเฝ้าองค์เหนือหัว เป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายดายนักรึไง คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ขนาดหัวหน้าองครักษ์ ยังต้องขอทูลเข้าเฝ้าก่อนด้วยซ้ำ ชักจะอวดดีเกินไปหน่อยแล้ว”

หากแต่คำขู่ดังกล่าวใช้กับไอรดาไม่ได้ผล เพราะนอกจากเธอจะไม่สนใจฟังแล้ว ยังสวนกลับด้วยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับสะดุ้งอีกด้วย

”ฉันไม่สนธรรมเนียมอะไรทั้งนั้น” เธอตะโกนเสียงดัง “ที่ฉันอยากเข้าเฝ้าองค์ราชา ก็เพื่อทูลขอให้พระองค์ปล่อยตัวฉันไปเท่านั้น ถ้าไม่รีบตอนนี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างก็ไม่รู้ ขอร้องล่ะช่วยพาฉันไปหาพระองค์หน่อยได้ไหม”

“พูดบ้าๆ เรื่องอะไร ข้าจะต้องเอาคอไปขึ้นเขียงกับเจ้าด้วย” อีกฝ่ายเบิกตากว้าง ราวกับเห็นเธอเป็นคนเสียสติ

“งั้นฉันไปเองก็ได้”

“ไม่ได้” ชายร่างใหญ่ตวาดกร้าว “เจ้าจะออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะมีรับสั่งลงมา”

“แต่ฉันต้องเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้ ได้โปรดเถอะช่วยหลีกทางให้ที” หญิงสาวอ้อนวอน หลังจากที่อีกฝ่ายเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขัดขวางเธอท่าเดียว

“บังอาจ”

“เกิดอะไรขึ้น”

เสียงตวาดที่ดังราวกับฟ้าผ่า ส่งผลให้ทหารยามร่างใหญ่รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ฝ่าบาท”

ไอรดามองออกไปทางประตู มองเห็นบุรุษคนเดียวกับที่เธอเคยเห็น ตอนอยู่ใจกลางลานพิธีก้าวเท้าเข้ามาภายใน สีพระพักตร์และดวงเนตรอำมหิต เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ส่งผลให้ไอรดาตัวเกร็งขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก

“เกิดอะไรขึ้น ใครใช้ให้เจ้ากล้าส่งเสียงเอะอะโวยวายในนี้” พระเจ้ากัสสปะตรัสเสียงกระด้าง

“ขอทรงอภัยพะยะค่ะ แต่หญิงนางนี้พูดจาไม่รู้เรื่อง แถมพยายามขัดกระแสรับสั่งข้าพระองค์ก็เลย...” ทหารยามหน้าซีดเผือด

“ไม่ต้องพูดแล้ว เป็นแค่ทหารชั้นต่ำ กล้าดียังไงถึงได้ข่มขู่คนของข้า อยากตายมานักรึไง”

“ฝ่าบาท” ทหารหนุ่มระล่ำระลัก “ข้าพระองค์มิกล้า แต่เมื่อกี้นางเพิ่งจะ...”

“หุบปาก ยังไม่รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าอีก”

“พะยะค่ะ !”

ทหารยามรีบถอยก้มศีรษะออกไปจากห้องทันที เหลือเพียงไอรดากับกษัตริย์ผู้ปกครองสีคิริยาเผชิญหน้ากันตามลำพังสองต่อสอง

องค์ราชาทอดพระเนตรมองไอรดาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พระวรกายสูงใหญ่ภายใต้อาภรณ์งามสง่าบ่งบอกถึงฐานันดรศักดิ์ที่แตกต่างไปจากคนอื่นอย่างชัดเจน เพียงแวบแรกที่เห็นไอรดาก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้ครองเมืองที่เธอกำลังตามหา ได้มาปรากฏต่อหน้าเธอถึงภายในห้องนี้แล้ว

“ถวายบังคมเพคะ” หญิงสาวย่อกายลง แม้จะยังไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมของเมืองสีคิริยา แต่เธอก็ฉลาดพอที่รู้ว่าสถานการณ์แบบไหน ควรวางตัวอย่างไรในต่างแดน

กิริยาอาการอ่อนน้อมของหญิงสาว จุดประกายรอยยิ้มบนเรียวโอษฐ์

“มีใครบอกกับเจ้าแล้วหรือ”

“ไม่มีหรอกเพคะ” ไอรดาตอบตามตรง “แต่หม่อมฉันก็พอมองออกว่า ใครคือผู้มีอำนาจของที่นี่”

คำตอบของหญิงสาวแปลกหน้า สร้างความพอพระทัยให้แก่คนฟังเป็นอย่างมาก

“...เจ้านี่นอกจากสวย แล้วยังฉลาดอีกด้วยนะ ถูกต้องแล้ว ข้าคือพระเจ้ากัสสปะกษัตริย์ผู้ครองนครแห่งนี้”

หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก เริ่มมองเห็นความหวังรำไร

“อภัยให้ฉัน เอ่อ...หม่อมฉันด้วยเพคะ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวุ่นวายในลานประกอบพิธี” ไอรดาติดขัดเล็กน้อย เนื่องจากไม่ชินคำราชาศัพท์

“ไม่ต้องมากพิธีไปหรอก เจ้าถนัดใช้ภาษายังไงก็จงพูดไปตามนั้นเถอะ” องค์ราชาทรงแย้มสรวล

“แต่ว่า...” เธอลังเล

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสา” พระเจ้ากัสสปะทรงเว้นจังหวะ กวาดสายตาไปตามเรือนร่างบอบบางอย่างพึงพอใจ “โดยเฉพาะกับสาวสวยด้วยแล้วใครเล่า...จะโกรธลง”

คำพูดเปิดเผยขององค์ราชา ตลอดจนประกายหวานเชื่อมที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรสีดำคู่นั้น ส่งผลให้หญิงสาวอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“...ขอบคุณค่ะ” เธอฝืนยิ้ม “เรื่องทุกอย่าง เกิดจากการเข้าใจผิดมากกว่า เพราะฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอนนี้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์แล้ว จึงอยากทูลขอให้ช่วย...”

“เจ้าชื่ออะไร”

“คะ” ไอรดาทำหน้างง

“ข้าถามว่าเจ้าชื่ออะไร แม่ทูตสวรรค์คนงาม”

แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจท้ายประโยคขึ้นมาตงิด ๆ แต่ไอรดาก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี

“ไอรดาค่ะ”

“ไอรดา” องค์ราชาตรัสทวนอย่างพอพระทัย “เป็นชื่อที่แปลกแต่ก็เพราะดี เอาเป็นว่าข้าชอบก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่าพระเจ้ากัสสปะยังสืบเท้าเข้าใกล้ เป็นเหตุให้ร่างบางถอยหลังออกห่างอย่างลืมตัว

“เป็นอะไรไป” น้ำเสียงฟังดูแข็งกระด้างขึ้นเล็กน้อย “รังเกียจข้างั้นรึ”

“ปะ เปล่าค่ะ” ไอรดาปฏิเสธทันควัน “เพียงแต่...ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับประเพณีของที่นี่ จึงเกรงว่าจะทำเรื่องเสียมารยาทต่อพระองค์ ถ้ายังไงเราเปลี่ยนสถานที่คุย ให้เป็นทางการมากกว่านี้ไม่ได้เหรอคะ”

ดวงตาตื่นกลัวราวกับลูกกวางน้อยของหญิงสาว ส่งผลให้องค์ราชาจุดประกายรอยยิ้มขึ้นมาทันที

“ข้าคงทำให้เจ้ารู้สึกหวาดกลัวมากสินะ”

“ก็ไม่เชิงนักหรอกค่ะ” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง “เพียงแต่ฉันถูกสอนมาไม่ให้ไว้ใจใครง่าย ๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่างแดน”

“หึ ๆ ฉลาดมาก...แถมยังใจกล้าเกินหญิงอีกด้วย” องค์ราชาทรงตรัสชม ทำท่ายกปลายหัตถ์ขึ้นแตะใบหน้าของหญิงสาว “ดวงตาเจ้าช่างงดงาม ราวกับนัยน์ตาของกวางไม่มีผิด”

แทบไม่ต้องรอให้ปลายนิ้วแตะต้องโดนใบหน้า ไอรดาก็รีบยกมือขึ้นปัดมือข้างนั้นออกทันที สร้างความตระหนกตกใจให้กับนางกำนัล และทหารยามที่ยืนอยู่หน้าประตูไปตาม ๆ กัน

“บังอาจ นี่เจ้ากล้าทำร้ายฝ่าบาทเชียวรึ”

ทหารองครักษ์ทำท่าจะถลันเข้ามาลากตัวไอรดาออกไปลงโทษ แต่องค์ราชายกพระหัตถ์ขึ้นปรามอย่างไม่ถือสา ดวงเนตรสีดำขลับเป็นประกายไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนสู่สีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว

“ช่างเถอะ เรื่องแค่นี้ข้าไม่อยากถือสาหาความ”

หลังจากที่เกือบถูกฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัว ไอรดาก็ถอยห่างออกไปอีกหลายก้าว

“อย่ากลัวเลยไปเลยสาวน้อย...ข้าแค่อยากผูกมิตรกับเจ้า ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินแต่อย่างใด”

ปากบอกไม่ได้คิด แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม แล้วจะให้เธอเชื่อใจได้อย่างไร

“ดูท่าว่าเจ้าจะไม่หายตกใจสินะ เอาเถอะไว้ข้าจะหาของกำนัลสวย ๆ มาให้เจ้าเพื่อเป็นการปลอบขวัญก็แล้วกัน”

“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่ต้องการสิ่งของเหล่านั้น” หญิงสาวปฏิเสธที่จะรับน้ำใจ

“ไม่อยากได้สิ่งของ...งั้นเจ้าต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไรล่ะ” กษัตริย์เมืองสีคิริยาตรัสถามอย่างตรงไปตรงมา ไอรดาจึงมีท่าทีลังเล

“ว่ายังไง หรือข้าทำให้เจ้าพูดไม่ออกเสียแล้ว”

“ฉันต้องการเป็นอิสระค่ะ” ไอรดาโพล่งออกไป หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมถูกกักขังอยู่ที่นี่ในฐานะของเล่นกษัตริย์เป็นอันขาด

คำร้องขอที่อยู่เหนือความคาดหมายความหญิงสาว สร้างความแปลกใจให้แก่พระเจ้ากัสสปะเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่เคยมีหญิงสาวคนไหน ปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้พำนักอยู่ในพระราชวังอันรโหฐานเลยสักคน

“เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่หรือ”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบตามตรง “ฉันเป็นแค่นักท่องเที่ยว ที่บังเอิญหลงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้เท่านั้น ได้โปรดปล่อยฉันกลับไปยังที่ที่จากมาเถอะค่ะ”

“ไม่ได้”

เสียงกระด้างที่ตอบกลับมา ส่งผลให้ไอรดากระพริบตาถี่

“อะไรนะคะ” เธอถามซ้ำ

“ข้าให้เจ้าออกไปจากที่นี่ตอนนี้ไม่ได้” องค์ราชาตรัสเสียงเย็นชา “อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังแซ่ซ้องยินดีกับการมาเยือนของธิดาองค์สูรยะเทพ”

“ธิดาขององค์สูรยเทพ” ไอรดาเบิกตาโต “แต่ฉันไม่ใช่...”

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร” องค์ราชาทรงตรัสขัด โดยไม่ยอมให้หญิงสาวอ้าปากคัดค้าน

“และข้าก็เชื่อว่าเจ้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของนักบวชบัณฑุระเลยแม้แต่น้อย”

เจ้าของดวงหน้างามพูดไม่ออกไปหลายวินาที

“ในเมื่อเข้าใจดีแบบนี้แล้ว ทำไมถึงทรงไม่อนุญาตล่ะคะ”

“นั่นเพราะว่า...” พระเจ้ากัสสปะแย้มสรวล ก่อนสืบเท้าเข้าใกล้ช้า ๆ

“เจ้าปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองกำลังประสบเหตุวิกฤติพอดีน่ะสิ”

“หมายความยังไง”

“หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เมืองสีคิริยาของเรากำลังประสบเหตุขาดแคลนน้ำอย่างหนัก เนื่องจากองค์สูรยะเทพไม่ประทานฝนลงมาให้ ส่งผลให้ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ข้าเองในฐานะกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองหาได้นิ่งดูดายไม่ จึงมีคำสั่งให้เร่งประกอบพิธีขอฝนมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ”

“ด้วยเหตุนี้ในเมืองจึงเกิดข่าวลือ ว่าองค์สูรยะเทพไม่ทรงโปรดดินแดนแห่งนี้อีกแล้ว ในขณะที่ชาวเมืองบางส่วนคิดที่จะอพยพไปตั้งรกรากยังเมืองอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้ายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้”

แต่ไอรดาก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี

“แล้วมันเกี่ยวกับฉันตรงไหนคะ”

“เกี่ยวสิ” องค์ราชาตรัสดวงเนตรเป็นประกาย “เพราะปรากฏตัวของเจ้า ได้กลายเป็นข่าวลือสะพัดออกไปว่า บัดนี้องค์สูรยะเทพทรงส่งเทพธิดา ลงมาโปรดดินแดนของชาวสวรรค์แล้ว”

“อะไรนะ !?”

“ไม่ต้องตกใจไปเพราะว่านี่คือเรื่องจริง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ข้าจำเป็นต้องเชิญเจ้าให้พำนักอยู่ที่นี่ ในฐานะธิดาสวรรค์ ผู้นำการประกอบพิธีกรรมที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า”

ความเห็นแก่ได้ของอีกฝ่าย ส่งผลให้ไอรดากำมือเข้าหากันแน่น

“รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นเพียงคนธรรมดา แต่กลับจงใจปั้นเรื่องอุปโลกน์กันแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงชาวเมืองน่ะสิ””

“บังอาจ” ทหารองครักษ์ตะโกนกร้าว

“ช้าก่อน” พระเจ้ากัสสปะทรงยกหัตถ์ขึ้นปราม “ที่นางพูดมาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องผิด”

“ฝ่าบาท”

“แต่ในฐานะที่ข้าเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนี้ ย่อมปล่อยให้ความวิบัติเกิดขึ้นไม่ได้ เจ้าเองก็ถือซะว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกัน หาไม่แล้วข้าคงต้องโยนเจ้าเข้าไปขังอยู่ในคุกใต้ดิน ในข้อหาไส้ศึกผู้ขัดขวางงานพิธีกรรมแทน” ดวงเนตรเจือความอำมหิตชัดเจน

ใบหน้าหวานซีดเผือดลงทันที หลังจากที่ถูกยัดข้อหากันซึ่ง ๆ หน้า

“อะไรนะ...” เธอกระซิบแผ่ว

“ก็หรือว่าไม่จริงล่ะ” องค์ราชายิ้มหยัน “ท่ามกลางการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ จู่ ๆ เจ้ากลับปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเครื่องแต่งกายและภาษาประหลาด แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าเป็นไส้ศึก ที่ศัตรูส่งมาสอดแนมแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

“ฉันไม่ได้เป็นไส้ศึก”

“ดีแต่พูดแก้ตัว แต่ไม่มีหลักฐานมาแสดง แล้วจะให้ข้าเชื่อเจ้าได้อย่างไร”

“เรื่องนั้น”

“ว่ายังไงล่ะ มีหรือไม่มี”

ไอรดาเม้มปากเข้าหากันอย่างจนปัญญา เนื่องจากเธอในตอนนี้ ไม่มีสมบัติหรือเอกสารอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง

“หึ หึ ถ้าไม่มีหลักฐานที่ทำให้ข้าเชื่อได้ว่า เจ้าไม่ใช่ไส้ศึกที่ศัตรูส่งมาจริง ก็จงรับข้อเสนอที่ข้าให้เสียเถอะ”

ไอรดารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังตกอยู่ภายใต้ฝันร้าย มากกว่าในโลกของความเป็นจริง แต่เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐาน มายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ การบอกปฏิเสธจึงไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าตัวตายชัด ๆ

“ก็ได้...” หญิงสาวฝืนใจรับปาก “ฉันก็จะยอมทำหน้าที่ธิดาสวรรค์ตามที่พระองค์ต้องการ แต่มีข้อแม้ว่าหากเมืองสีคิริยาผ่านพ้นจากเหตุภัยพิบัติครั้งนี้เมื่อไหร่ พระองค์จะต้องปล่อยฉันไปจากที่นี่ทันที”

พระเจ้ากัสสปะแย้มสรวลอย่างพอพระทัย “ได้สิ ข้าเองก็ตั้งใจแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”

แต่ไอรดา ไม่เชื่อคำพูดโกหกนั่นเลยสักนิด

“หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันเหนื่อยเหลือเกินอยากพักผ่อนเต็มที” ร่างบางถือโอกาสไล่

“เช่นนั้นข้าจะมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน”

ตรัสจบ นางกำนัลผิวคล้ำร่างเล็กก็ก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะย่อตัวคุกเข่าลงข้าง ๆ เตียงหมอบกราบลงกับพื้น

“นี่คือมณียะ เป็นนางกำนัลที่ข้าเตรียมเอาไว้ คอยรับใช้เจ้าตอนที่อยู่ในห้องนี้ ต่อไปนางจะเป็นผู้เตรียมการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ตลอดจนสอนมารยาทต่าง ๆ ให้กับเจ้า หวังว่าคงพอใจ”

แต่ไอรดาปฏิเสธทันควัน “ฉันไม่ต้องการคนรับใช้”

“ถึงไม่ต้องการ มณียะก็ต้องอยู่รับใช้เจ้าที่นี่ ไม่เช่นนั้นนางจะต้องถูกเนรเทศไปทำงานอยู่ในเหมืองแร่จนกว่าจะตาย”

นางกำนัลร่างเล็กถึงกับหน้าซีดเผือด เช่นเดียวกับไอรดาที่ถึงกับตาโตด้วยความตกใจ

“ถึงกับจะเนรเทศกันเลยเหรอ”

“นางกำนัลที่ไม่มีใครต้องการ อยู่ไปก็ขวางหูขวางตาเปล่า ๆ” องค์ราชาแย้มสรวลดวงเนตรเป็นประกายอำมหิต “หรือเจ้าคิดว่า ข้าควรจะประหารนางให้พ้น ๆ แทนดีล่ะ”

“ได้โปรด อย่าไล่หม่อมฉันเลยนะเพคะ ฮึก” ขาดคำมณียะก็หมอบลงกับพื้น ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งไอรดาทนดูต่อไปไม่ไหว

“เข้าใจแล้ว ฉันยอมรับเอาไว้เป็นนางกำนัลก็ได้”

“ได้ยินแล้วใช่ไหมมณียะ”

“เพคะ” อีกฝ่ายน้อมรับทั้งที่ยังมีน้ำตา

“ต่อจากนี้ เจ้าจงคอยรับใช้และเฝ้าระวังธิดาสวรรค์นางนี้เอาไว้ให้ดี อย่าให้นางหนีออกไปจากห้องนี้ได้ หากเจ้าขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ข้าจะสั่งให้ทหารลากตัวเจ้าออกไป ตัดหัวเสียบประจานซะ”

รับสั่งกระด้างและเต็มไปด้วยความอำมหิต ส่งผลให้นางกำนัลรีบหมอบลงกับพื้นปากคอสั่น

“พ..เพคะ”

ไอรดาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจ เนื่องจากคำว่า ‘เฝ้าระวัง’ ดูราวกับเป็นการกล่าวหาว่าเธอเป็นนักโทษอาญาก็ไม่ปาน ตรัสจบองค์ราชาก็หมุนกายเสด็จออกไปจากห้อง เหลือทิ้งให้เธออยู่กับนางกำนัลผิวคล้ำตามลำพัง

******




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 17:41:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 17:41:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1737





<< มายามหานคร   ฝ่าประตูเมือง ตอนสุดท้ายแล้วค่ะ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account