~Taipei, in love~ฝากใจไว้ที่ไทเป
เรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของผู้หญิงขี้อ้อน ขยันอ่อย และชอบออเซาะหนุ่มหล่อ
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
Tags: เชรี ชนิศา ไทเป อ่อย
ตอน: บทนำ + บทที่ 1 เหตุเกิดที่ตงเหมิน
ว่ากันว่านี่คือหนึ่งในประเทศที่มีความตะมุตะมิที่สุดในโลก
ดินแดนที่รวมเอาเสน่ห์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับความคิขุน่ารักตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
เป็นอีกหนึ่งเมืองสุดคลาสสิกที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์...ที่ชวนให้ใครต่อใครต้องตกหลุมรัก
ว่ากันว่าทุกการเดินทางจะพาเราออกไปพบเรื่องราวใหม่ ๆ
โลกที่กว้างขึ้นจะทำให้เราเติบโตขึ้น และบางครั้งก็ได้ค้นพบตัวเองในมุมที่เราไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อเปิดประตูออกไปนอกกะลาใบเดิม ภายนอกคือความอัศจรรย์ที่สวยงาม
ทุกที่ที่ก้าวไป คือความแปลกใหม่ที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ
ทุกคนที่ได้รู้จัก คือสหายในห้วงเวลาที่ล้วนแต่น่าจดจำ และทำให้ชีวิตมีสีสัน
เพราะเหตุนี้...ฉันจึงรักการออกเดินทาง
---
ชนิศานั่งมองปฏิทินบนโต๊ะนิ่ง ปากกาในมือวาดไปมาบนอากาศอย่างคนที่ยังไม่สามารถจะตัดสินใจได้เด็ดขาด เดิมทีเธอ
วางแผนที่จะไปเรียนภาษาในช่วงวันหยุดประจำปีของแพทย์ประจำบ้าน ระยะเวลาแสนสั้นเพียงสองสัปดาห์ไม่มากพอที่จะได้อะไรมาก แต่ก็ไม่น้อยเกินกว่าความพยายามจะแสวงหา เธอจึงได้พบกับสถาบันที่รับจัดการเรื่องการเรียนและที่พักอย่างพร้อมสรรพ เหลือแค่เงื่อนไขเรื่องเวลาและการตัดสินใจของเธอเท่านั้น
การออกจากบ้านเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงติดบ้านแบบเธอ แต่โลกใบใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็ดึงดูดจนยากจะตัดใจ
หลังนั่งมองอยู่นาน ชนิศาก็ตัดสินใจยื่นมือไปหยิบไพ่ใบหนึ่งบนกองไพ่บนโต๊ะมาเปิดออก ภาพที่ปรากฏทำให้เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่อยู่
'The Fool'
ในที่สุดหญิงสาวก็จรดปลายปากกาลงบนปฏิทิน ให้เวลาตัวเองหนึ่งสัปดาห์
เวลากระชั้นเต็มที แต่ตัวแทนที่ติดต่อสถาบันสอนภาษาให้เธอก็มืออาชีพพอจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จนเธอสามารถมั่นใจพอจะจองตั๋วเครื่องบินและออกเดินทางได้
นี่เป็นอีกครั้งที่ชนิศาออกเดินทางอย่างกระทันหัน และไร้ซึ่งแผนการ
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติเถาหยวนในช่วงบ่ายตามเวลาท้องถิ่น ชนิศาหยิบกระเป๋าขึ้นมาตรวจสอบเอกสาร เตรียมเอกสารการตรวจคนเข้าเมืองแนบไว้กับหนังสือเดินทาง
ประสพการณ์การถูกตรวจสัมภาษณ์ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฮ่องกงเมื่อปีก่อนสอนให้เธอเตรียมเอกสารเพิ่มเพื่อยืนยันสถานะและการเดินทาง หญิงสาวจึงเตรียมเอกสารการจองตั๋วเครื่องบินขากลับ บัตรประจำตัวแพทย์ของโรงพยาบาล และเอกสารรับรองภาษาอังกฤษไว้ในกระเป๋า เตรียมพร้อมหากต้องเจรจากับเจ้าหน้าที่ อย่างคนรู้ตัวดีว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเรียกในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่เดินทางมาลำพัง
ผู้โดยสารทยอยกับเดินลงจากเครื่องบิน เพียงก้าวออกมาจากบริเวณงวงข้างที่เทียบตัวเครื่อง ที่ทางเดิน ด้านหน้าก็มีหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มายืนถือป้ายที่เขียนว่า 'แรงงานไทย เชิญทางนี้' ชนิศามองแล้วเพียงอมยิ้ม
ดูเหมือนจะมีคนไทยมาทำงานที่นี่ไม่น้อยเลย
หญิงสาวก้าวเร็ว ๆ ไปที่หน้าด่านตรวจ เข้าแถวรออยู่เพียงครู่ก็มาถึงหน้าเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในดูท่าทางเงียบขรึม ใบหน้าขาวแต่โครงคิ้วเข้มดูคมต่างจากหนุ่มตี๋ที่เธอเคยจินตนาการไว้ ชนิศาจึงอดจะคลี่ยิ้มขันความคิดตัวเองไม่ได้เมื่อส่งหนังสือเดินทางให้เขา
หน้าเคาน์เตอร์วางจอเล็ก ๆ สำหรับตรวจลายนิ้วมือ เจ้าหน้าที่หนุ่มรับหนังสือเดินทางของเธอไปเปิดดู แล้วบอกให้เธอวางนิ้วชี้ลงบนเครื่องตรวจ
"คุณชื่ออะไรนะ" เขาเอ่ยถาม
"ชนิศา..."
"มาเรียนภาษาเหรอครับ"
หญิงสาวตอบรับ แล้วบอกชื่อสถาบันที่เธอติดต่อไว้ ชะโงกหน้าเข้าไปมองในเคาน์เตอร์อย่างเริ่มหวั่นใจว่าจะได้รับเชิญไปสัมภาษณ์ต่อ
โชคดีที่เขาเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วหยิบตราอนุญาตเข้าเมืองมาประทับ แล้วส่งหนังสือเดินทางคืนให้เธอ
"ยินดีต้อนรับสู่ไต้หวันครับ"
"เซี่ยเซี่ย..." หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณเสียงใสเป็นภาษาจีน
ชนิศาเดินออกจากด่านตรวจมารอรับกระเป๋าเดินทาง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วเธอจึงเดินออกมาสู่โถงด้านหน้าท่าอากาศยาน ด้านขวามือมีเคาน์เตอร์ของเครือข่ายโทรศัทพ์ท้องถิ่นให้เลือกซื้อเบอร์โทรศัพท์พร้อมสัญญาณอินเตอร์เน็ท
เนื่องจากคำนวนค่าบริการอินเตอร์เน็ทมาล่วงหน้าแล้ว หญิงสาวจึงเลือกซื้อเบอร์โทรศัพท์ท้องถิ่น พร้อมแพคเกจอินเตอร์เน็ตสำหรับหนึ่งสัปดาห์ หลังจัดการใส่ซิมการ์ดในเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อย เธอก็เปิดโปรแกรมสนทนา ส่งข้อความรายงานมารดาว่าเดินทางถึงสนามบินโดยเรียบร้อยแล้ว
ทางเดินจากท่าอากาศยานเถาหยวนไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน ชนิศาลากกระเป๋าเดินไปพลางมองหาร้านสะดวกซื้อที่เธอจะสามารถซื้อบัตรเงินสดที่สามารถใช้เติมเงินขึ้นรถไฟฟ้าได้
จากการเตรียมตัวหาข้อมูล หญิงสาวรู้ว่าการเลือกซื้อบัตรในร้านสะดวกซื้อมีลายบัตรให้เลือกมากกว่าที่เครื่องขายบัตรของสถานีรถไฟฟ้า แต่กระทั่งเดินมาถึงหน้าสถานีก็ยังไม่พบร้านสะดวกซื้อสักร้าน
ชนิศายืนมองเครื่องขายบัตรอยู่นาน ก่อนตัดสินใจซื้อบัตรเที่ยวเดียวจากเครื่องเพื่อเดินทางไปยังสถานีที่อยู่ใกล้สถาบันสอนภาษาที่เธอติดต่อไว้มากที่สุด
ยอมเสียส่วนลดค่ารถไฟฟ้าเที่ยวแรกที่จะได้จากบัตรเติมเงิน เพื่อรอซื้อบัตรลายน่ารัก ๆ จากร้านสะดวกซื้อ นี่ล่ะชนิศา
รถไฟฟ้าจากสนามบินมาถึงสถานีไทเปเมนสเตชั่น ชนิศาต้องลากกระเป๋าเดินตามซับเวย์ต่อไปยังสถานีเป่ยเหมิน เพื่อเดินทางสู่สถานีรถไฟฟ้าอีกแห่ง
ใช้เวลากว่าชั่วโมง เธอก็หอบกระเป๋ามาถึงหน้าอาคารแห่งหนึ่งที่สถาบันสอนภาษาแห่งนี้ตั้งอยู่ ตัวอาคารเป็นห้องคูหาหนึ่งในตึกแถวยาว ชนิศามองดูเคาน์เตอร์ที่มีชายสูงวัยชาวไต้หวันนั่งเฝ้าอยู่ เธอหยิบเอกสารรับรองการเรียนที่สถาบันให้เขาดู
"หนินห่าว..." หญิงสาวเอ่ยทักทายเป็นภาษาจีน
เขามองดูเอกสารที่เธอยื่นให้ แล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาจีน ชนิศาได้แต่เบิกตาโต มองตามมือที่ชี้ของเขาอย่างงุนงง พอจับใจความได้ว่าให้เธอขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ เอียงคอมองกระเป๋าเดินทาง ก่อนตัดสินใจฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ของคุณลุงก่อน
เพียงก้าวขึ้นบันไดมาที่ชั้นสอง ตรงหน้าก็มีประตูเปิดทิ้งไว้ ภายในคือเคาน์เตอร์ของสถาบันที่แต่งด้วยสีขาวแดง ด้านในมีชายหนุ่มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โครงหน้าขาวคมบอกชัดว่าไม่ใช่ชาวเอเชียทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วบาง ๆ อย่างประหลาดใจ
"เฮลโล" เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ เขาจึงลุกขึ้นยืนและเอ่ยแนะนำตัวเป็นภาษาเดียวกัน
"สวัสดี...ผมชื่อเดวิด" เขาคลี่ยิ้ม ยื่นมือมาตรงหน้า ชนิศาจึงยื่นมือออกไปสัมผัสมือตอบ
"ชนิศาค่ะ...คุณเรียกฉันว่าเชรีก็ได้"
"โอเค...เชรี"
เขาหันไปหยิบหนังสือเรียนที่เตรียมไว้มาให้เธอกองใหญ่ ก่อนยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาเพื่ออธิบายตารางเรียนในหนึ่งสัปดาห์ของเธอ แล้วพาเธอไปยังที่พักซึ่งต้องเดินจากอาคารเรียนของสถาบันไป 3 ช่วงตึก
อาคารตรงหน้าดูคล้ายแฟลทที่เธอเคยเห็นในซีรี่ย์เอเชีย ข้างประตูทางเข้ามีตู้จดหมายบอกหมายเลขห้อง เมื่อไขกุญแจเข้าไปภายในเป็นห้องใต้บันไดที่เก็บจักรยาน ตรงหน้าคือบันไดปูนขึ้นไปสู่ชั้นบน
เดวิดบอกว่าเธอโชคดีมากที่ได้ห้องพักที่ชั้นสองซึ่งไม่ต้องเดินไกล เมื่อขึ้นมาถึงมีประตูอยู่ทั้งสองด้าน ชายหนุ่มกดเปิดไฟที่ข้างประตูห้องซ้ายมือ "ถ้ามืดมากคุณก็กดเปิดไฟตรงนี้ แต่อีกปุ่มนี่เป็นกริ่งห้องนี้ คุณอย่ากดผิดเชียว เจ้าของห้องเป็นตาแก่ที่ดุมาก"
ชนิศาหัวเราะคิก เดินตามชายหนุ่มไปที่หน้าประตูห้องพัก เขายกลูกกุญแจแบบโบราณขึ้นมา ตรงมือจับหุ้มด้วยพลาสติดสีดำ มีปุ่มสำหรับกดที่หน้าตัดด้านหนึ่ง "นี่เป็นกุญแจประตูหน้า คุณต้องหมุนด้านที่มีปุ่มนี่ไว้ซ้ายมือ" เขาแสดงให้ดู บิดกุญแจเปิดประตูห้อง เมื่อดึงกุญแจออกจึงกดที่ปุ่มโลหะให้เธอดู ตัวปลอกพลาสติกก็เลื่อนลงมาปิดตัวกุญแจไว้
"ถ้าคุณกดปุ่มตรงนี้..." เขาหันมายิ้มให้เธอเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่น
ชนิศาเบิกตากว้างคลี่ยิ้มบอก "ยอดเยี่ยมมากค่ะ"
เขาพยักหน้ารับ แล้วผลักประตูเข้าไปด้านใน ทางเดินแคบ ๆ ภายในตั้งเครื่องซักผ้า และราวตากผ้า ตรงสุดทางเดินมีทางเลี้ยวเข้าไปทางขวามือ แบ่งเป็นห้องอีกห้าห้อง ห้องของชนิศาอยู่ด้านในสุด เดวิดหยิบกุญแจดอกเล็กสุดในพวงขึ้นมา "ถึงห้องคุณแล้ว" เขาเปิดประตูเข้าไปภายใน ห้องนอนขนาดพอเหมาะสำหรับหนึ่งคนปรากฏอยู่ตรงหน้า เตียงนอนขนาดห้านิ้วพร้อมเครื่องนอนตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ข้างหนึ่งคือตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะทำงาน ปลายเตียงคือห้องน้ำ มีตู้เย็น ฮีตเตอร์และเตาไมโครเวฟตั้งอยู่ที่มุมห้องทำให้หญิงสาวอดจะกระพริบตาปริบ ๆ แม้จะเหลือทางเดินแคบ ๆ เพียงพอให้เดินได้แต่ห้องนี้ก็ถือว่าดีกว่าหอพักแพทย์ที่เธอเคยอยู่มากทีเดียว
"คุณโอเคไหม"
"นี่เรียกว่าดีมากเลยล่ะค่ะ" เธอหันมายิ้มให้เดวิด เขาจึงเริ่มเดินเข้ามาแนะนำเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้อง และเมื่อมาถึงเครื่องทำความร้อน ชนิศาก็ทำหน้าปั้นยาก มองอย่างขยาด
"ผมรู้ว่าที่เมืองไทยคุณคงไม่คิดจะแตะมัน แต่อยู่ที่นี่คุณอาจจะได้ใช้"
หญิงสาวเพียงพยักหน้ารับ ไม่ว่าจะได้ใช้หรือไม่ แต่คนคุ้นเคยกับเมืองไทยอย่างเธอก็อุ่นใจแล้วที่ห้องนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เดวิดก็บอกลาแล้วจากไป ชนิศาใช้เวลาจัดชุดอยู่ไม่นาน เธอก็หันมาเปิดสมาร์ทโฟนหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้รถไฟฟ้า ตัดสินใจอยู่นานจนสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาเกือบสี่โมงเย็น เธอก็เลือกได้
ตงเหมิน เป็นหนึ่งในสถานที่ชุมนุมของวัยรุ่นในไทเปที่อยู่ห่างจากที่พักของเธอเพียงสองสถานีรถไฟฟ้า ตามที่เธออ่านในรีวิวการท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ทเล่าว่าที่นี่เป็นต้นกำเนิดของร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าอร่อยที่ได้มิชลินสตาร์และขยายสาขาไปไกลถึงสิงคโปร์ ฮ่องกง และไทย
เพียงก้าวออกจากสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินไปไม่ไกล ชนิศาก็พบร้านอาหารที่เธอหมายตาไว้ ผู้คนที่รอเข้าคิวปริมาณมากออกันอยู่หน้าร้านจนแทบมองไม่เห็นชื่อร้านทำให้เธอลบความคิดที่จะกินอาหารเย็นที่นี่ไปอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวกลอกตามองถอนใจอย่างนึกขยาดเมื่อเห็นแถวรอคิวหน้าร้านที่ยาวเกือบช่วงตึก
"ถ้าคนจะเยอะขนาดนี้...กลับไปกินที่กรุงเทพเถอะค่ะเชรี" ให้อร่อยแค่ไหนแต่ชนิศาก็ขอยอมแพ้ เธอไม่ใช่คนที่จะอดทนรอกับอะไรแบบนี้ได้นานนัก หญิงสาวเดินไปตามทาง เมื่อเงยหน้ามองถนนตรงหน้าดี ๆ จึงเห็นตึกสูงระฟ้าที่โดดเด่นอยู่ห่างออกไปตามแนวถนน
ตึกไทเป 101 หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่าอีหลิงอีสูงเด่นอยู่ห่างออกไป เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เธอตั้งใจจะมองดูห่าง ๆ เราะได้ยินว่าค่าเข้าชมค่อนข้างแพงกว่าห้าร้อยเหรียญ หญิงสาวจึงเพียงยกโทรศัพท์ในมือขึ้นถ่ายภาพไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ
หากดูเผิน ๆ ย่านตงเหมินก็เหมือนสยามสแควร์เมืองไทย ที่หากไม่ใช่นักชอปนักชิม นี่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากนัก ชนิศาเดิมอย่างไร้จุดหมายอยู่เพียงครู่ ก็เกือบจะหันหลังกลับ แต่เสียงร้องที่ดังขึ้นจากมุมหนึ่งไม่ไกลฉุดขาเธอให้ก้าวไม่ออก หญิงสาวหมุนตัวมองหาต้นเสียงเพียงครู่ก็เห็นกลุ่มคนยืนมุงกันอยู่หน้าร้านขนมแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนเป็นภาษาจีนคล้ายจะขอความช่วยเหลือ
ชนิศาไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใส่ตัว เธอไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและไม่คิดจะยุ่ง แต่สัญชาตญาณความเป็นหมอทำงานเร็วเกินไป เธอจึงได้สติอีกครั้งเมื่อมายืนอยู่กลางกลุ่มคนที่มุงกันอยู่แล้ว
ตรงนั้นคือร่างบอบบางของสาวน้อยวัยรุ่นในชุดกระโปรงสีหวานที่กระตุกเบา ๆ อย่างทุรนทุรายอยู่บนพื้น มือสองข้างกุมหน้าอก งอร่างคู้ตัวเป็นกุ้งอย่างทุกข์ทรมานก่อนจะค่อย ๆ นิ่งไป ข้าง ๆ มีเด็กหนุ่มวัยเดียวกันนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้าแตกตื่น อีกด้านคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพนักงานเสิร์ฟกำลังพยายามจัดการกับเครื่องมือรูปสี่เหลี่ยมบางอย่าง
"ขอพื้นที่หน่อยค่ะ..." เธอถลาเข้าไปข้างคนป่วย ก่อนจะชะงักไปเมื่อสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย ใบประกอบวิชาชีพของเธอมีค่าเท่ากระดาษหนึ่งแผ่นเท่านั้น
เธอมีเวลาสับสนเพียงเสี้ยวอึดใจ เมื่อทาบมือลงแตะที่ลำคอผู้ป่วยเพื่อจับชีพจร สัมผัสของจังหวะเร็ว ๆ ที่ปลายนิ้วทำให้เธอสบายใจขึ้น
ยังมีชีพจร อย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายมาก "เกิดอะไรขึ้นคะ"
เด็กหนุ่มที่นั่งข้างยังคงเหม่อลอย ท่าทางเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว ชนิศาเหลือบมองขณะโน้มตัวลงเอียงหน้าฟังเสียงหายใจครืดคราดของคนป่วย ขณะสายตาตวัดมองทั่วร่างบาง แสงไฟบาง ๆ กับบรรยากาศของยามใกล้ค่ำทำให้ยากจะสังเกต แต่เงาบางอย่างที่ปลายแขนเสื้อทำให้เธอสะดุดใจ ชนิศาดึงแขนเสื้อคนป่วยขึ้นจึงเห็นผื่นแดงจาง ๆ ที่เริ่มลามไปทั่วร่าง
"เธอกินอะไรเข้าไปหรือเปล่า" หญิงสาวเงยหน้าเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ เด็กหนุ่มตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบอย่างงุนงง
"เป็นเครปแค่ไม่กี่คำ"
"เธอแพ้อะไรหรือเปล่า" ชนิศาตัดสินใจจัดท่าหญิงสาวให้นอนตะแคงเพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจ จากนั้นกวาดตามองไปที่กระเป๋าใบเล็กของคนป่วย เปิดออกแล้วเททุกอย่างลงมาบนพื้น
นอกจากกระเป๋าสตางค์แล้ว สิ่งที่ร่วงลงมายังมีแผ่นป้ายคล้ายบัตรสี่เหลี่ยมใส่กรอบหนังสีชมพูอ่อน ภาพหยดเลือดที่ถูกวาดด้วยปากกาสีแดงทำให้หญิงสาวรีบหยิบขึ้นมาดู จึงเห็นข้อความระบุกรุ๊ปเลือดอยู่เหนือข้อความภาษาอังกฤษ Allergy : peanut
"Anaphylaxis" ชนิศาร้องบอกตัวเองเบา ๆ ก่อนกวาดสายตามองข้าวของที่อยู่บนพื้นอย่างพยายามค้นหา โดยทั่วไปผู้ป่วยที่ทราบว่าตัวเองแพ้อาหารอย่างรุนแรงแบบนี้มักจะมียาที่จำเป็นพกติดตัวสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นขาในกรณีฉุกเฉิน
"มีใครมีอะดรีนาลินเพ็นไหม" เธอตะโกนบอก เผื่อจะมีใครสักคนที่มุงอยู่มีอาการแบบเดียวกันและมียาพกติดตัว
"ตามรถพยาบาลหรือยัง" เธอหันไปถามชายหนุ่มในชุดพนักงานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตวัดสายตามองเครื่องมือช่วยชีวิตที่อยู่ในมือเขาแล้วถอนใจ "เครื่องนั่นยังไม่จำเป็นหรอก หัวใจเธอยังเต้น แต่ก็ไม่แน่...ถ้าหลอดลมยังตีบอยู่แบบนี้"
ชนิศาเลิกหวังกับอะดรีนาลีนเพ็นแล้ว เธอเงยหน้าไปเห็นป้ายร้านขายยาอยู่ห่างไปเกือบช่วงตึก เธอหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา เขียนชื่อยาพ่นขยายหลอดลม รวมถึงอะดรีนาลีนลงไป
"คุณเอานี่ไปซื้อที่ร้านขายยาตรงนั้น อันนี้ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เอายาขยายหลอดลมนี่มาให้เร็วที่สุด" เธอย้ำกับพนักงานหนุ่ม หยิบกระเป๋าสตางค์ของคนป่วยมาเปิดหยิบเงินส่งให้เขา "เร็วที่สุดที่คุณทำได้"
นี่คือการรอคอยที่ยาวนานสำหรับชนิศา มือหนึ่งเธอจับข้อพับศอกของคนป่วยเพื่อตรวจชีพจร หูเกือบแนบฟังเสียงหายใจสั้นๆกับปลายเสียงวี้ดที่บอกภาวะหลอดลมตีบค่อย ๆ บางเบาและหายไป ตามด้วยสัมผัสของชีพจรที่ปลายนิ้วที่แผ่วลงทุกที ชนิศาเบิกตาโต เลื่อนมือมาแตะที่ลำคอคนป่วย ตั้งสติอยู่สิบวินาทีเมื่อไม่รู้สึกถึงชีพจร ร่างบางก็จับคนตรงหน้าพลิกตัวหงาย ยกตัวขึ้นทาบมือทั้งสองข้างลงบนอกบอบบางตรงหน้า แล้วเริ่มทำการนวดหัวใจ
"เปิดเครื่องนั่นมา ใครก็ได้...เร็ว" เธอร้องสั่ง พยักหน้าไปทางเครื่องมือที่พนักงงานหนุ่มวางทิ้งไว้เมื่อครู่
เด็กหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ดูเหมือนจะเริ่มตั้งสติได้ เขาเปิดเครื่องมาติดแผ่นตรวจที่ตัวผู้ป่วยอย่างงุ่มง่าม ก่อนเอ่ยถาม "ให้ผมทำอะไรอีกไหม"
ชนิศาไม่ได้ตอบ เธอยังนวดหัวใจและฟังเสียงสัญญาณของเครื่องมือช่วยชีวิตที่เพิ่งถูกติดลงบนอกผู้ป่วย สัญญาณที่บอกให้ช็อกได้ทำให้เธอถอยห่าง เมื่อสำรวจโดยรอบไม่เห็นว่ามีน้ำหรือวัตถุนำไฟจึงร้องบอกให้ทุกคนถอยห่าง แล้วกดที่เครื่องให้ทำการช็อตไฟฟ้าแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
หลังเครื่องทำการช็อตแล้ว ชนิศาก็ก้มตัวนวดหัวใจต่อทันทีโดยไม่ปล่อยให้เสียเวลา ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะจูงเด็กชายเดินเร็ว ๆ เข้ามา เธอพูดภาษาจีนที่ชนิศาฟังไม่เข้าใจนัก แต่คำว่าอะดรีนาลีนและปากกาที่เธอยื่นมาตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวเบิกตาโต
"อะดรีนาลีนเพ็น" เธอมองหน้าผู้มาใหม่อย่างตื่นเต้น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ชนิศาหยุดมือแล้วยื่นมือไปรับมา เธอเปิดกระโปรงคนป่วยขึ้นจนเห็นต้นขาขาว ปักปากกาที่รับมาลงไป กดปุ่มที่ข้างตัวด้ามให้ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นขา เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงดึงออกพอดีกับที่รถพยาบาลมาถึงพอดี
ชนิศาถอนใจอย่างโล่งอก เธอวางนิ้วลงตรวจชีพจรที่ลำคอผู้ป่วยซ้ำ เมื่อรู้สึกถึงการเต้นแผ่วเบาที่ปลายนิ้วหญิงสาวก็ระบายลมหายใจยาว ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนล้า รู้สึกเหนื่อยจนแทบไม่อยากลุกไปไหน
แม้เธอจะเป็นแพทย์ แต่ในเวลาที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องทำงาน และในสถานการณ์ที่จำกัดแบบนี้สร้างความกดดันจนเธอเสียพลังงานไปไม่น้อยเลย แต่ก็เพราะความเป็นแพทย์อีกนั่นล่ะที่ทำให้ร่างบอบบางของเธอยังลุกขึ้นยืนได้ และตัดสินใจกระโดดขึ้นรถพยาบาลตามผู้ป่วยไปด้วย
ถือว่าตามไปดูโรงพยาบาลที่นี่ก็แล้วกัน
----
ตั้งใจจะหนีเที่ยว แต่เชรีก็ยังต้องมาทำงานไหลถึงไทเป แถมในสถานการณ์ที่จำกัดเสียด้วย เกิดเป็นนางเอกนิยายไอซ์ก็ต้องทำใจนะคะ
วันนี้ขออนุญาตตัดหน้าไอริณและเจ้าหน้าที่จาง เอาเชรีกลับมาเสิร์ฟก่อนนะคะ เห็นพี่กานต์แอบไปมีคู่แล้วหมันไส้เบา ๆ ถึงจะบอกว่าเป็นพี่ชายแต่เค้าก็หวงของเค้านะคะ หนีไปจีบสาวไม่บอกน้องนุ่ง มันน่าสาปด้วยเพลงคำยินดีของแม่ปาน ธนพรจริง ๆ
เรื่องของเรื่องคือไอซ์พยายามเขียนด่านตรวจคนเข้าใจแล้วแต่ลืมเรื่องในฮ่องกงไปเสียแล้ว เลยขอจัดไทเปสด ๆ ร้อน ๆ กันไปก่อนนะคะ คราวนี้ไอซ์บันทึกรายวัน คาดว่าไม่น่าจะเป็นปลาทองแล้วค่ะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
ฝากเชรีไว้ในใจอีกครั้งนะคะ มาเอาใจช่วยนางด้วยกันค่ะ
ดินแดนที่รวมเอาเสน่ห์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับความคิขุน่ารักตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
เป็นอีกหนึ่งเมืองสุดคลาสสิกที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์...ที่ชวนให้ใครต่อใครต้องตกหลุมรัก
ว่ากันว่าทุกการเดินทางจะพาเราออกไปพบเรื่องราวใหม่ ๆ
โลกที่กว้างขึ้นจะทำให้เราเติบโตขึ้น และบางครั้งก็ได้ค้นพบตัวเองในมุมที่เราไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อเปิดประตูออกไปนอกกะลาใบเดิม ภายนอกคือความอัศจรรย์ที่สวยงาม
ทุกที่ที่ก้าวไป คือความแปลกใหม่ที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ
ทุกคนที่ได้รู้จัก คือสหายในห้วงเวลาที่ล้วนแต่น่าจดจำ และทำให้ชีวิตมีสีสัน
เพราะเหตุนี้...ฉันจึงรักการออกเดินทาง
---
ชนิศานั่งมองปฏิทินบนโต๊ะนิ่ง ปากกาในมือวาดไปมาบนอากาศอย่างคนที่ยังไม่สามารถจะตัดสินใจได้เด็ดขาด เดิมทีเธอ
วางแผนที่จะไปเรียนภาษาในช่วงวันหยุดประจำปีของแพทย์ประจำบ้าน ระยะเวลาแสนสั้นเพียงสองสัปดาห์ไม่มากพอที่จะได้อะไรมาก แต่ก็ไม่น้อยเกินกว่าความพยายามจะแสวงหา เธอจึงได้พบกับสถาบันที่รับจัดการเรื่องการเรียนและที่พักอย่างพร้อมสรรพ เหลือแค่เงื่อนไขเรื่องเวลาและการตัดสินใจของเธอเท่านั้น
การออกจากบ้านเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงติดบ้านแบบเธอ แต่โลกใบใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็ดึงดูดจนยากจะตัดใจ
หลังนั่งมองอยู่นาน ชนิศาก็ตัดสินใจยื่นมือไปหยิบไพ่ใบหนึ่งบนกองไพ่บนโต๊ะมาเปิดออก ภาพที่ปรากฏทำให้เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่อยู่
'The Fool'
ในที่สุดหญิงสาวก็จรดปลายปากกาลงบนปฏิทิน ให้เวลาตัวเองหนึ่งสัปดาห์
เวลากระชั้นเต็มที แต่ตัวแทนที่ติดต่อสถาบันสอนภาษาให้เธอก็มืออาชีพพอจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จนเธอสามารถมั่นใจพอจะจองตั๋วเครื่องบินและออกเดินทางได้
นี่เป็นอีกครั้งที่ชนิศาออกเดินทางอย่างกระทันหัน และไร้ซึ่งแผนการ
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติเถาหยวนในช่วงบ่ายตามเวลาท้องถิ่น ชนิศาหยิบกระเป๋าขึ้นมาตรวจสอบเอกสาร เตรียมเอกสารการตรวจคนเข้าเมืองแนบไว้กับหนังสือเดินทาง
ประสพการณ์การถูกตรวจสัมภาษณ์ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฮ่องกงเมื่อปีก่อนสอนให้เธอเตรียมเอกสารเพิ่มเพื่อยืนยันสถานะและการเดินทาง หญิงสาวจึงเตรียมเอกสารการจองตั๋วเครื่องบินขากลับ บัตรประจำตัวแพทย์ของโรงพยาบาล และเอกสารรับรองภาษาอังกฤษไว้ในกระเป๋า เตรียมพร้อมหากต้องเจรจากับเจ้าหน้าที่ อย่างคนรู้ตัวดีว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเรียกในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่เดินทางมาลำพัง
ผู้โดยสารทยอยกับเดินลงจากเครื่องบิน เพียงก้าวออกมาจากบริเวณงวงข้างที่เทียบตัวเครื่อง ที่ทางเดิน ด้านหน้าก็มีหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มายืนถือป้ายที่เขียนว่า 'แรงงานไทย เชิญทางนี้' ชนิศามองแล้วเพียงอมยิ้ม
ดูเหมือนจะมีคนไทยมาทำงานที่นี่ไม่น้อยเลย
หญิงสาวก้าวเร็ว ๆ ไปที่หน้าด่านตรวจ เข้าแถวรออยู่เพียงครู่ก็มาถึงหน้าเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในดูท่าทางเงียบขรึม ใบหน้าขาวแต่โครงคิ้วเข้มดูคมต่างจากหนุ่มตี๋ที่เธอเคยจินตนาการไว้ ชนิศาจึงอดจะคลี่ยิ้มขันความคิดตัวเองไม่ได้เมื่อส่งหนังสือเดินทางให้เขา
หน้าเคาน์เตอร์วางจอเล็ก ๆ สำหรับตรวจลายนิ้วมือ เจ้าหน้าที่หนุ่มรับหนังสือเดินทางของเธอไปเปิดดู แล้วบอกให้เธอวางนิ้วชี้ลงบนเครื่องตรวจ
"คุณชื่ออะไรนะ" เขาเอ่ยถาม
"ชนิศา..."
"มาเรียนภาษาเหรอครับ"
หญิงสาวตอบรับ แล้วบอกชื่อสถาบันที่เธอติดต่อไว้ ชะโงกหน้าเข้าไปมองในเคาน์เตอร์อย่างเริ่มหวั่นใจว่าจะได้รับเชิญไปสัมภาษณ์ต่อ
โชคดีที่เขาเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วหยิบตราอนุญาตเข้าเมืองมาประทับ แล้วส่งหนังสือเดินทางคืนให้เธอ
"ยินดีต้อนรับสู่ไต้หวันครับ"
"เซี่ยเซี่ย..." หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณเสียงใสเป็นภาษาจีน
ชนิศาเดินออกจากด่านตรวจมารอรับกระเป๋าเดินทาง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วเธอจึงเดินออกมาสู่โถงด้านหน้าท่าอากาศยาน ด้านขวามือมีเคาน์เตอร์ของเครือข่ายโทรศัทพ์ท้องถิ่นให้เลือกซื้อเบอร์โทรศัพท์พร้อมสัญญาณอินเตอร์เน็ท
เนื่องจากคำนวนค่าบริการอินเตอร์เน็ทมาล่วงหน้าแล้ว หญิงสาวจึงเลือกซื้อเบอร์โทรศัพท์ท้องถิ่น พร้อมแพคเกจอินเตอร์เน็ตสำหรับหนึ่งสัปดาห์ หลังจัดการใส่ซิมการ์ดในเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อย เธอก็เปิดโปรแกรมสนทนา ส่งข้อความรายงานมารดาว่าเดินทางถึงสนามบินโดยเรียบร้อยแล้ว
ทางเดินจากท่าอากาศยานเถาหยวนไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน ชนิศาลากกระเป๋าเดินไปพลางมองหาร้านสะดวกซื้อที่เธอจะสามารถซื้อบัตรเงินสดที่สามารถใช้เติมเงินขึ้นรถไฟฟ้าได้
จากการเตรียมตัวหาข้อมูล หญิงสาวรู้ว่าการเลือกซื้อบัตรในร้านสะดวกซื้อมีลายบัตรให้เลือกมากกว่าที่เครื่องขายบัตรของสถานีรถไฟฟ้า แต่กระทั่งเดินมาถึงหน้าสถานีก็ยังไม่พบร้านสะดวกซื้อสักร้าน
ชนิศายืนมองเครื่องขายบัตรอยู่นาน ก่อนตัดสินใจซื้อบัตรเที่ยวเดียวจากเครื่องเพื่อเดินทางไปยังสถานีที่อยู่ใกล้สถาบันสอนภาษาที่เธอติดต่อไว้มากที่สุด
ยอมเสียส่วนลดค่ารถไฟฟ้าเที่ยวแรกที่จะได้จากบัตรเติมเงิน เพื่อรอซื้อบัตรลายน่ารัก ๆ จากร้านสะดวกซื้อ นี่ล่ะชนิศา
รถไฟฟ้าจากสนามบินมาถึงสถานีไทเปเมนสเตชั่น ชนิศาต้องลากกระเป๋าเดินตามซับเวย์ต่อไปยังสถานีเป่ยเหมิน เพื่อเดินทางสู่สถานีรถไฟฟ้าอีกแห่ง
ใช้เวลากว่าชั่วโมง เธอก็หอบกระเป๋ามาถึงหน้าอาคารแห่งหนึ่งที่สถาบันสอนภาษาแห่งนี้ตั้งอยู่ ตัวอาคารเป็นห้องคูหาหนึ่งในตึกแถวยาว ชนิศามองดูเคาน์เตอร์ที่มีชายสูงวัยชาวไต้หวันนั่งเฝ้าอยู่ เธอหยิบเอกสารรับรองการเรียนที่สถาบันให้เขาดู
"หนินห่าว..." หญิงสาวเอ่ยทักทายเป็นภาษาจีน
เขามองดูเอกสารที่เธอยื่นให้ แล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาจีน ชนิศาได้แต่เบิกตาโต มองตามมือที่ชี้ของเขาอย่างงุนงง พอจับใจความได้ว่าให้เธอขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ เอียงคอมองกระเป๋าเดินทาง ก่อนตัดสินใจฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ของคุณลุงก่อน
เพียงก้าวขึ้นบันไดมาที่ชั้นสอง ตรงหน้าก็มีประตูเปิดทิ้งไว้ ภายในคือเคาน์เตอร์ของสถาบันที่แต่งด้วยสีขาวแดง ด้านในมีชายหนุ่มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โครงหน้าขาวคมบอกชัดว่าไม่ใช่ชาวเอเชียทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วบาง ๆ อย่างประหลาดใจ
"เฮลโล" เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ เขาจึงลุกขึ้นยืนและเอ่ยแนะนำตัวเป็นภาษาเดียวกัน
"สวัสดี...ผมชื่อเดวิด" เขาคลี่ยิ้ม ยื่นมือมาตรงหน้า ชนิศาจึงยื่นมือออกไปสัมผัสมือตอบ
"ชนิศาค่ะ...คุณเรียกฉันว่าเชรีก็ได้"
"โอเค...เชรี"
เขาหันไปหยิบหนังสือเรียนที่เตรียมไว้มาให้เธอกองใหญ่ ก่อนยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาเพื่ออธิบายตารางเรียนในหนึ่งสัปดาห์ของเธอ แล้วพาเธอไปยังที่พักซึ่งต้องเดินจากอาคารเรียนของสถาบันไป 3 ช่วงตึก
อาคารตรงหน้าดูคล้ายแฟลทที่เธอเคยเห็นในซีรี่ย์เอเชีย ข้างประตูทางเข้ามีตู้จดหมายบอกหมายเลขห้อง เมื่อไขกุญแจเข้าไปภายในเป็นห้องใต้บันไดที่เก็บจักรยาน ตรงหน้าคือบันไดปูนขึ้นไปสู่ชั้นบน
เดวิดบอกว่าเธอโชคดีมากที่ได้ห้องพักที่ชั้นสองซึ่งไม่ต้องเดินไกล เมื่อขึ้นมาถึงมีประตูอยู่ทั้งสองด้าน ชายหนุ่มกดเปิดไฟที่ข้างประตูห้องซ้ายมือ "ถ้ามืดมากคุณก็กดเปิดไฟตรงนี้ แต่อีกปุ่มนี่เป็นกริ่งห้องนี้ คุณอย่ากดผิดเชียว เจ้าของห้องเป็นตาแก่ที่ดุมาก"
ชนิศาหัวเราะคิก เดินตามชายหนุ่มไปที่หน้าประตูห้องพัก เขายกลูกกุญแจแบบโบราณขึ้นมา ตรงมือจับหุ้มด้วยพลาสติดสีดำ มีปุ่มสำหรับกดที่หน้าตัดด้านหนึ่ง "นี่เป็นกุญแจประตูหน้า คุณต้องหมุนด้านที่มีปุ่มนี่ไว้ซ้ายมือ" เขาแสดงให้ดู บิดกุญแจเปิดประตูห้อง เมื่อดึงกุญแจออกจึงกดที่ปุ่มโลหะให้เธอดู ตัวปลอกพลาสติกก็เลื่อนลงมาปิดตัวกุญแจไว้
"ถ้าคุณกดปุ่มตรงนี้..." เขาหันมายิ้มให้เธอเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่น
ชนิศาเบิกตากว้างคลี่ยิ้มบอก "ยอดเยี่ยมมากค่ะ"
เขาพยักหน้ารับ แล้วผลักประตูเข้าไปด้านใน ทางเดินแคบ ๆ ภายในตั้งเครื่องซักผ้า และราวตากผ้า ตรงสุดทางเดินมีทางเลี้ยวเข้าไปทางขวามือ แบ่งเป็นห้องอีกห้าห้อง ห้องของชนิศาอยู่ด้านในสุด เดวิดหยิบกุญแจดอกเล็กสุดในพวงขึ้นมา "ถึงห้องคุณแล้ว" เขาเปิดประตูเข้าไปภายใน ห้องนอนขนาดพอเหมาะสำหรับหนึ่งคนปรากฏอยู่ตรงหน้า เตียงนอนขนาดห้านิ้วพร้อมเครื่องนอนตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ข้างหนึ่งคือตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะทำงาน ปลายเตียงคือห้องน้ำ มีตู้เย็น ฮีตเตอร์และเตาไมโครเวฟตั้งอยู่ที่มุมห้องทำให้หญิงสาวอดจะกระพริบตาปริบ ๆ แม้จะเหลือทางเดินแคบ ๆ เพียงพอให้เดินได้แต่ห้องนี้ก็ถือว่าดีกว่าหอพักแพทย์ที่เธอเคยอยู่มากทีเดียว
"คุณโอเคไหม"
"นี่เรียกว่าดีมากเลยล่ะค่ะ" เธอหันมายิ้มให้เดวิด เขาจึงเริ่มเดินเข้ามาแนะนำเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้อง และเมื่อมาถึงเครื่องทำความร้อน ชนิศาก็ทำหน้าปั้นยาก มองอย่างขยาด
"ผมรู้ว่าที่เมืองไทยคุณคงไม่คิดจะแตะมัน แต่อยู่ที่นี่คุณอาจจะได้ใช้"
หญิงสาวเพียงพยักหน้ารับ ไม่ว่าจะได้ใช้หรือไม่ แต่คนคุ้นเคยกับเมืองไทยอย่างเธอก็อุ่นใจแล้วที่ห้องนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เดวิดก็บอกลาแล้วจากไป ชนิศาใช้เวลาจัดชุดอยู่ไม่นาน เธอก็หันมาเปิดสมาร์ทโฟนหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้รถไฟฟ้า ตัดสินใจอยู่นานจนสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาเกือบสี่โมงเย็น เธอก็เลือกได้
ตงเหมิน เป็นหนึ่งในสถานที่ชุมนุมของวัยรุ่นในไทเปที่อยู่ห่างจากที่พักของเธอเพียงสองสถานีรถไฟฟ้า ตามที่เธออ่านในรีวิวการท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ทเล่าว่าที่นี่เป็นต้นกำเนิดของร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าอร่อยที่ได้มิชลินสตาร์และขยายสาขาไปไกลถึงสิงคโปร์ ฮ่องกง และไทย
เพียงก้าวออกจากสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินไปไม่ไกล ชนิศาก็พบร้านอาหารที่เธอหมายตาไว้ ผู้คนที่รอเข้าคิวปริมาณมากออกันอยู่หน้าร้านจนแทบมองไม่เห็นชื่อร้านทำให้เธอลบความคิดที่จะกินอาหารเย็นที่นี่ไปอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวกลอกตามองถอนใจอย่างนึกขยาดเมื่อเห็นแถวรอคิวหน้าร้านที่ยาวเกือบช่วงตึก
"ถ้าคนจะเยอะขนาดนี้...กลับไปกินที่กรุงเทพเถอะค่ะเชรี" ให้อร่อยแค่ไหนแต่ชนิศาก็ขอยอมแพ้ เธอไม่ใช่คนที่จะอดทนรอกับอะไรแบบนี้ได้นานนัก หญิงสาวเดินไปตามทาง เมื่อเงยหน้ามองถนนตรงหน้าดี ๆ จึงเห็นตึกสูงระฟ้าที่โดดเด่นอยู่ห่างออกไปตามแนวถนน
ตึกไทเป 101 หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่าอีหลิงอีสูงเด่นอยู่ห่างออกไป เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เธอตั้งใจจะมองดูห่าง ๆ เราะได้ยินว่าค่าเข้าชมค่อนข้างแพงกว่าห้าร้อยเหรียญ หญิงสาวจึงเพียงยกโทรศัพท์ในมือขึ้นถ่ายภาพไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ
หากดูเผิน ๆ ย่านตงเหมินก็เหมือนสยามสแควร์เมืองไทย ที่หากไม่ใช่นักชอปนักชิม นี่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากนัก ชนิศาเดิมอย่างไร้จุดหมายอยู่เพียงครู่ ก็เกือบจะหันหลังกลับ แต่เสียงร้องที่ดังขึ้นจากมุมหนึ่งไม่ไกลฉุดขาเธอให้ก้าวไม่ออก หญิงสาวหมุนตัวมองหาต้นเสียงเพียงครู่ก็เห็นกลุ่มคนยืนมุงกันอยู่หน้าร้านขนมแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนเป็นภาษาจีนคล้ายจะขอความช่วยเหลือ
ชนิศาไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใส่ตัว เธอไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและไม่คิดจะยุ่ง แต่สัญชาตญาณความเป็นหมอทำงานเร็วเกินไป เธอจึงได้สติอีกครั้งเมื่อมายืนอยู่กลางกลุ่มคนที่มุงกันอยู่แล้ว
ตรงนั้นคือร่างบอบบางของสาวน้อยวัยรุ่นในชุดกระโปรงสีหวานที่กระตุกเบา ๆ อย่างทุรนทุรายอยู่บนพื้น มือสองข้างกุมหน้าอก งอร่างคู้ตัวเป็นกุ้งอย่างทุกข์ทรมานก่อนจะค่อย ๆ นิ่งไป ข้าง ๆ มีเด็กหนุ่มวัยเดียวกันนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้าแตกตื่น อีกด้านคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพนักงานเสิร์ฟกำลังพยายามจัดการกับเครื่องมือรูปสี่เหลี่ยมบางอย่าง
"ขอพื้นที่หน่อยค่ะ..." เธอถลาเข้าไปข้างคนป่วย ก่อนจะชะงักไปเมื่อสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย ใบประกอบวิชาชีพของเธอมีค่าเท่ากระดาษหนึ่งแผ่นเท่านั้น
เธอมีเวลาสับสนเพียงเสี้ยวอึดใจ เมื่อทาบมือลงแตะที่ลำคอผู้ป่วยเพื่อจับชีพจร สัมผัสของจังหวะเร็ว ๆ ที่ปลายนิ้วทำให้เธอสบายใจขึ้น
ยังมีชีพจร อย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายมาก "เกิดอะไรขึ้นคะ"
เด็กหนุ่มที่นั่งข้างยังคงเหม่อลอย ท่าทางเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว ชนิศาเหลือบมองขณะโน้มตัวลงเอียงหน้าฟังเสียงหายใจครืดคราดของคนป่วย ขณะสายตาตวัดมองทั่วร่างบาง แสงไฟบาง ๆ กับบรรยากาศของยามใกล้ค่ำทำให้ยากจะสังเกต แต่เงาบางอย่างที่ปลายแขนเสื้อทำให้เธอสะดุดใจ ชนิศาดึงแขนเสื้อคนป่วยขึ้นจึงเห็นผื่นแดงจาง ๆ ที่เริ่มลามไปทั่วร่าง
"เธอกินอะไรเข้าไปหรือเปล่า" หญิงสาวเงยหน้าเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ เด็กหนุ่มตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบอย่างงุนงง
"เป็นเครปแค่ไม่กี่คำ"
"เธอแพ้อะไรหรือเปล่า" ชนิศาตัดสินใจจัดท่าหญิงสาวให้นอนตะแคงเพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจ จากนั้นกวาดตามองไปที่กระเป๋าใบเล็กของคนป่วย เปิดออกแล้วเททุกอย่างลงมาบนพื้น
นอกจากกระเป๋าสตางค์แล้ว สิ่งที่ร่วงลงมายังมีแผ่นป้ายคล้ายบัตรสี่เหลี่ยมใส่กรอบหนังสีชมพูอ่อน ภาพหยดเลือดที่ถูกวาดด้วยปากกาสีแดงทำให้หญิงสาวรีบหยิบขึ้นมาดู จึงเห็นข้อความระบุกรุ๊ปเลือดอยู่เหนือข้อความภาษาอังกฤษ Allergy : peanut
"Anaphylaxis" ชนิศาร้องบอกตัวเองเบา ๆ ก่อนกวาดสายตามองข้าวของที่อยู่บนพื้นอย่างพยายามค้นหา โดยทั่วไปผู้ป่วยที่ทราบว่าตัวเองแพ้อาหารอย่างรุนแรงแบบนี้มักจะมียาที่จำเป็นพกติดตัวสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นขาในกรณีฉุกเฉิน
"มีใครมีอะดรีนาลินเพ็นไหม" เธอตะโกนบอก เผื่อจะมีใครสักคนที่มุงอยู่มีอาการแบบเดียวกันและมียาพกติดตัว
"ตามรถพยาบาลหรือยัง" เธอหันไปถามชายหนุ่มในชุดพนักงานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตวัดสายตามองเครื่องมือช่วยชีวิตที่อยู่ในมือเขาแล้วถอนใจ "เครื่องนั่นยังไม่จำเป็นหรอก หัวใจเธอยังเต้น แต่ก็ไม่แน่...ถ้าหลอดลมยังตีบอยู่แบบนี้"
ชนิศาเลิกหวังกับอะดรีนาลีนเพ็นแล้ว เธอเงยหน้าไปเห็นป้ายร้านขายยาอยู่ห่างไปเกือบช่วงตึก เธอหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา เขียนชื่อยาพ่นขยายหลอดลม รวมถึงอะดรีนาลีนลงไป
"คุณเอานี่ไปซื้อที่ร้านขายยาตรงนั้น อันนี้ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เอายาขยายหลอดลมนี่มาให้เร็วที่สุด" เธอย้ำกับพนักงานหนุ่ม หยิบกระเป๋าสตางค์ของคนป่วยมาเปิดหยิบเงินส่งให้เขา "เร็วที่สุดที่คุณทำได้"
นี่คือการรอคอยที่ยาวนานสำหรับชนิศา มือหนึ่งเธอจับข้อพับศอกของคนป่วยเพื่อตรวจชีพจร หูเกือบแนบฟังเสียงหายใจสั้นๆกับปลายเสียงวี้ดที่บอกภาวะหลอดลมตีบค่อย ๆ บางเบาและหายไป ตามด้วยสัมผัสของชีพจรที่ปลายนิ้วที่แผ่วลงทุกที ชนิศาเบิกตาโต เลื่อนมือมาแตะที่ลำคอคนป่วย ตั้งสติอยู่สิบวินาทีเมื่อไม่รู้สึกถึงชีพจร ร่างบางก็จับคนตรงหน้าพลิกตัวหงาย ยกตัวขึ้นทาบมือทั้งสองข้างลงบนอกบอบบางตรงหน้า แล้วเริ่มทำการนวดหัวใจ
"เปิดเครื่องนั่นมา ใครก็ได้...เร็ว" เธอร้องสั่ง พยักหน้าไปทางเครื่องมือที่พนักงงานหนุ่มวางทิ้งไว้เมื่อครู่
เด็กหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ดูเหมือนจะเริ่มตั้งสติได้ เขาเปิดเครื่องมาติดแผ่นตรวจที่ตัวผู้ป่วยอย่างงุ่มง่าม ก่อนเอ่ยถาม "ให้ผมทำอะไรอีกไหม"
ชนิศาไม่ได้ตอบ เธอยังนวดหัวใจและฟังเสียงสัญญาณของเครื่องมือช่วยชีวิตที่เพิ่งถูกติดลงบนอกผู้ป่วย สัญญาณที่บอกให้ช็อกได้ทำให้เธอถอยห่าง เมื่อสำรวจโดยรอบไม่เห็นว่ามีน้ำหรือวัตถุนำไฟจึงร้องบอกให้ทุกคนถอยห่าง แล้วกดที่เครื่องให้ทำการช็อตไฟฟ้าแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
หลังเครื่องทำการช็อตแล้ว ชนิศาก็ก้มตัวนวดหัวใจต่อทันทีโดยไม่ปล่อยให้เสียเวลา ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะจูงเด็กชายเดินเร็ว ๆ เข้ามา เธอพูดภาษาจีนที่ชนิศาฟังไม่เข้าใจนัก แต่คำว่าอะดรีนาลีนและปากกาที่เธอยื่นมาตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวเบิกตาโต
"อะดรีนาลีนเพ็น" เธอมองหน้าผู้มาใหม่อย่างตื่นเต้น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ชนิศาหยุดมือแล้วยื่นมือไปรับมา เธอเปิดกระโปรงคนป่วยขึ้นจนเห็นต้นขาขาว ปักปากกาที่รับมาลงไป กดปุ่มที่ข้างตัวด้ามให้ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นขา เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงดึงออกพอดีกับที่รถพยาบาลมาถึงพอดี
ชนิศาถอนใจอย่างโล่งอก เธอวางนิ้วลงตรวจชีพจรที่ลำคอผู้ป่วยซ้ำ เมื่อรู้สึกถึงการเต้นแผ่วเบาที่ปลายนิ้วหญิงสาวก็ระบายลมหายใจยาว ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนล้า รู้สึกเหนื่อยจนแทบไม่อยากลุกไปไหน
แม้เธอจะเป็นแพทย์ แต่ในเวลาที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องทำงาน และในสถานการณ์ที่จำกัดแบบนี้สร้างความกดดันจนเธอเสียพลังงานไปไม่น้อยเลย แต่ก็เพราะความเป็นแพทย์อีกนั่นล่ะที่ทำให้ร่างบอบบางของเธอยังลุกขึ้นยืนได้ และตัดสินใจกระโดดขึ้นรถพยาบาลตามผู้ป่วยไปด้วย
ถือว่าตามไปดูโรงพยาบาลที่นี่ก็แล้วกัน
----
ตั้งใจจะหนีเที่ยว แต่เชรีก็ยังต้องมาทำงานไหลถึงไทเป แถมในสถานการณ์ที่จำกัดเสียด้วย เกิดเป็นนางเอกนิยายไอซ์ก็ต้องทำใจนะคะ
วันนี้ขออนุญาตตัดหน้าไอริณและเจ้าหน้าที่จาง เอาเชรีกลับมาเสิร์ฟก่อนนะคะ เห็นพี่กานต์แอบไปมีคู่แล้วหมันไส้เบา ๆ ถึงจะบอกว่าเป็นพี่ชายแต่เค้าก็หวงของเค้านะคะ หนีไปจีบสาวไม่บอกน้องนุ่ง มันน่าสาปด้วยเพลงคำยินดีของแม่ปาน ธนพรจริง ๆ
เรื่องของเรื่องคือไอซ์พยายามเขียนด่านตรวจคนเข้าใจแล้วแต่ลืมเรื่องในฮ่องกงไปเสียแล้ว เลยขอจัดไทเปสด ๆ ร้อน ๆ กันไปก่อนนะคะ คราวนี้ไอซ์บันทึกรายวัน คาดว่าไม่น่าจะเป็นปลาทองแล้วค่ะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
ฝากเชรีไว้ในใจอีกครั้งนะคะ มาเอาใจช่วยนางด้วยกันค่ะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2560, 19:57:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2560, 19:57:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1009
ถ้าคุณจะสมัครตำแหน่งนั้น คงต้องต่อคิวยาวหน่อยนะคะ >> |
คิมหันตุ์ 20 พ.ค. 2560, 23:50:53 น.
โอ่ยคิดถึงเชรีค่ะ ทำไมตะหงิดกะตม.ไทเป 555 ถ้าหล่อขนาดนั้นขอติดอยุ่ตม.ไทเปได้ไหมคะ
โอ่ยคิดถึงเชรีค่ะ ทำไมตะหงิดกะตม.ไทเป 555 ถ้าหล่อขนาดนั้นขอติดอยุ่ตม.ไทเปได้ไหมคะ
sai 22 พ.ค. 2560, 23:20:20 น.
คิดถึงคุณไอซ์มากกกกก ลอคอินเข้ามาเม้นโดยเฉพาะเลยนะเนี่ยอิอิ
คิดถึงคุณไอซ์มากกกกก ลอคอินเข้ามาเม้นโดยเฉพาะเลยนะเนี่ยอิอิ