~Taipei, in love~ฝากใจไว้ที่ไทเป
เรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของผู้หญิงขี้อ้อน ขยันอ่อย และชอบออเซาะหนุ่มหล่อ
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
Tags: เชรี ชนิศา ไทเป อ่อย
ตอน: ถ้าคุณจะสมัครตำแหน่งนั้น คงต้องต่อคิวยาวหน่อยนะคะ
ชนิศาหยุดเท้าตัวเองอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เตือนตัวเองว่าตอนนี้ผู้ป่วยอยู่ในมือที่สามารถดูแลต่อได้ หน้าที่ของเธอจบลงแล้ว แต่เพียงหมุนตัวกลับเธอก็เห็นเด็กหนุ่มที่กระโดดขึ้นรถพยาบาลมาด้วยกันยืนเหม่ออยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉินด้วยท่าทางที่ดูเคว้งคว้างจนน่าสงสาร
"นี่...มานั่งตรงนี้เถอะ" หญิงสาวเดินเข้าไปดันไหล่เขาให้เดินไปนั่งที่ที่นั่งซึ่งถูกจัดไว้ด้านหน้า
"เธอ...พูดภาษาอังกฤษได้ไหม" เธอเอ่ยถามเป็นภาษาจีน แม้จะพอรู้ภาษาจีนแต่ก็เพียงแค่พอเอาตัวรอดได้ ชนิศายังสะดวกใจที่จะใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า
"ครับ..." เขาตอบรับ "คุณเป็นหมอเหรอ"
หญิงสาวอมยิ้มตอบ "อืม...แต่ไม่ใช่กับที่นี่"
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของเขา เธอจึงอธิบายต่อ "ฉันเป็นคนไทยน่ะ"
"แต่คุณก็เป็นหมอ...ใช่ไหมฮะ"
"อืม..."
"อวี้เอ๋อร์จะเป็นอะไรไหมฮะ คุณช่วยเธอไว้ได้ใช่ไหม" เขาถามด้วยท่าทางกังวลที่ยังไม่เลือนหายไป มือที่กำแน่นบอกให้ชนิศารู้ว่าหากเขายั้งตัวเองได้น้อยกว่านี้อีกนิด มือนั่นคงถูกยกขึ้นมาเขย่าตัวเธอจนหัวคลอน
ชนิศานิ่งคิดเพียงครู่ ก่อนจะทำเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ "ฉันหวังว่าอย่างนั้น..." ความเป็นแพทย์สอนเธอว่าไม่เคยมีอะไรแน่นอน เธอจึงระวังที่จะสร้างความหวังหรือความหวาดกลัวล่วงหน้าไว้เสมอ ตราบที่ยังไม่เห็นผลตรงหน้า เธอยังไม่กล้ารับประกันชีวิตของสาวน้อยคนนั้นกับใคร
"ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณจริง ๆ" เขาเอ่ยแล้วได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่นานชนิศาก็เห็นหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ร่วงลงบนพื้น หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ อย่างเข้าใจ เธอยกมือขึ้นลูบหลังเด็กหนุ่มเบา ๆ
"ผมไม่ควรพาอวี้เอ๋อร์ออกมา...ทุกอย่างเป็นเพราะผม..." เขาเอ่ยเสียงเบา
ชนิศาเพียงรับฟังเงียบ ๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงไม่คิดจะเอ่ยคำปลอบหรือแย้ง ปล่อยให้เขาจมกับความรู้สึกและค่อย ๆ ปรับอารมณ์ตัวเองเอง
เธอใช้ความเงียบพูดคุยอยู่เกือบสิบนาที แล้วก็ต้องเงยหน้ามองอย่างตกใจกับเสียงภาษาจีนดุ ๆ ของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา
ผู้มาใหม่อยู่ในชุดสูทสากลสีเทาเข้มดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดูแปลกตาเมื่อเขามีเส้นผมดำยาวระต้นคอผูกไว้ด้วยเชือกเส้นเล็ก ใบหน้าเรียวขาวกับโครงหน้าคมเข้มและดวงตาโตดุสีน้ำตาลอ่อนบอกความเป็นลูกครึ่งดูน่ามองจนชนิศาแอบให้คะแนนในใจ เมื่อสบสายตาผ่านเลนส์แว่นกรอบสวยเธอถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้หลุดเสียงกรีดร้องออกมา
"อย่านะ...เชรี" เธอกระซิบบอกตัวเองเป็นภาษาไทย รู้ตัวดีว่าแพ้ทางหนุ่มหล่อใส่แว่นอยู่เสมอ
ยังไม่ทันได้ตั้งสติกับการพบหนุ่มหล่อได้ เธอก็ต้องตั้งสติอีกครั้งเมื่อผู้มาใหม่ปราดเข้าไปต่อยหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งข้างเธออย่างโกรธจัด เสียงพูดภาษาจีนรัวดุตวัดห้วนอย่างน่ากลัวทำให้ชนิศาเบิกตาโต กระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างแตกตื่น
นี่ไม่ใช่เรื่องทางการแพทย์ที่มีเธอมีความรู้พอจะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
คนอย่างชนิศา แค่ให้ตบยุงเธอยังบ่นว่าเปลืองแรงเลย เรื่องจะให้เข้าไปเสี่ยงกับหมัดมวยของคนตัวโต ๆ แถมมาเป็นกองทัพยิ่งไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ
เสียงโต้ตอบเป็นภาษาจีนรัวเร็วดังสลับกันไปมาอย่างเคร่งเครียดระหว่างชายหนุ่มผู้มาใหม่กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืน ท่าทางของคนอ่อนวัยดูหวาดกลัว แต่ยังฝืนแสดงความรับผิดชอบยืนก้มหน้านิ่งเอ่ยคำอธิบายอย่างใจเย็นทำให้ชนิศาอดมองอย่างชื่นชมไม่ได้
เ
ถอะ...ถ้าเด็กนี่ถูกรุมเดี้ยง เชรีสัญญาจะช่วยทำแผลและป้อนน้ำข้าวต้มให้หนึ่งมื้อเลย
โชคดีที่ยังไม่ทันได้มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นายแพทย์หนุ่มในชุดเสื้อกาวน์ตัวยาวคลุมทับด้วยเชิ้ต
สีขาวเดินออกมากวาดตามองไปทั่ว เมื่อเห็นผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาตบไหล่เขาอย่างคุ้นเคย เอ่ยเป็นภาษาจีนที่ชนิศาฟังไม่ออก
ชนิศานั่งตาโตมองอยู่นาน ก่อนจะรู้สึกถึงลำไส้ที่เริ่มบิดตัวประท้วงพร้อมเสียงท้องร้องที่ดังประกาศเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ใกล้ให้หันมามอง เธอเม้มริมฝีปากกลอกตาอย่างเขินอายเพียงอึดใจก็สคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไปหาของกิน
"เดี๋ยว...อีเซิงอยากพบเธอไม่ใช่เหรอครับ" เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ แต่ชนิศาไม่ได้ยินและไม่คิดใส่ใจ
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาสาวเท้าเดินเร็ว ๆ ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนกับกำแพงหนา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นหนุ่มแว่นที่เธอแอบกรี้ดมายืนตีหน้าขรึมทำตาดุเป็นกำแพงบังหน้าเธออยู่
"คุณจะไปไหน" เขาถามเป็นภาษาอังกฤษ
ชนิศาเอียงคอมองเขาอย่างงุนงงก่อนตอบหน้าซื่อ "กินข้าวค่ะ คุณไม่ได้ยินเสียงพยาธิในท้องฉันประท้วงเหรอคะ" ความจริงเรื่องท้องหิวไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ลางสังหรณ์แปลก ๆ ว่าจะมีเรื่องมาถึงเธอทำให้เธอต้องรีบเผ่น
นายแพทย์หนุ่มหล่อเจ้าของแว่นตากรอบไม้สีเข้มเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเป็นมิตร "พาราเมดที่ไปด้วยบอกว่ามีหมอจากเมืองไทยช่วยให้การปฐมพยาบาลและดูแลคนไข้มาตลอดทาง คือคุณใช่ไหม"
"คนไข้...มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ" เธอขมวดคิ้วถามทันที หากเขามาตามหาแพทย์ที่ให้การดูแลด่อน อาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการรักษา
"คุณฉีดอะดรีนาลีนให้เธอ"
"ตอนฉันไปเจอเธอนอนหอบ หายใจมีเสียงวี้ด ตามตัวเริ่มมีผื่นแดง ชีพจรเต้นเบามาก สอบถามคนที่อยู่ด้วยว่าเธอเพิ่งกินเครปไป ทั้งคนไข้ยังมีบัตรแพ้อาหารที่บอกว่าแพ้ถั่ว ฉันเลยคิดว่าน่าจะเป็นอนาไฟแลคสิสมากที่สุด..."
"ถ้าไม่ได้คุณ อาอวี้คงไม่รอด ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ" เขาโคลงศีรษะให้เธออย่างขอบคุณ เช่นเดียวกับชายหนุ่มหน้าดุตรงหน้าทำให้ชนิศาต้องกระโดดถอยหลังไปสองก้าวเพื่อตั้งหลัก แล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มคนเดิมหันมาโค้งตัวลงแบบเดียวกันอยู่อีกฝั่ง แถมด้วยชายหนุ่มชุดดำผู้ติดตามคนหน้าดุอีกทั้งขโยง
แพทย์สาวชาวไทยกระพริบตาปริบ ๆ อยู่นาน เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยคำถาม
"ตกลงว่าคนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะ"
นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้น ทำให้คนที่เหลือยืดเอวขึ้นตาม
"ตอนนี้อาการคงที่แล้วครับ ไวทัลไซน์ดี" เมื่อเขาบอกว่าสัญญาณชีพของหญิงสาวผู้นั้นเป็นปกติดี ชนิศาก็ค่อยวางใจ "เดี๋ยวคงให้อยู่ดูอาการที่ไอซียูสักวันสองวันก่อน"
"ดีค่ะ...อย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน" เธอกล่าวลาแล้วโคลงศีรษะเบา ๆ เตรียมจะผละจากไป แต่คนตัวโตยังเดินเข้ามาขวาง
"คุณจะไปทานข้าวเหรอ" เขาเอ่ยถาม
"ค่ะ" เธอหิวจนไส้จะขาดพยาธิจะประท้วงแล้ว
"ไปทานด้วยกันสิ"
ชนิศานิ่งงัน กระพริบตาปริบ ๆ อย่างพยายามใช้ความคิดว่าเธอไปรู้จักกับหนุ่มหล่อขนาดจะชวนกันไปทานข้าวตั้งแต่เมื่อไร นายแพทย์หนุ่มจึงต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
"ด็อกเตอร์...นี่คือเจสัน เผิง เขาเป็นพี่ชายของอาอวี้...คนไข้ที่คุณช่วยไว้" ดูเหมือนเขาเพิ่งคิดไเ้ว่านี่คือเวลาของการแนะนำตัว
"ส่วนผม...เจียหมิงฮ่าว คุณจะเรียกว่าไมค์ก็ได้"
"เชรีค่ะ...ยินดีที่ได้รู้จัก" แต่จะยินดีกว่านี้ถ้าพวกเขาปล่อยเธอไปกินข้าวเสียที
"ผมคิดว่าเราคงมีเรื่องต้องคุยอีกมาก รอให้เราย้ายอาอวี้เข้าไอซียูเรียบร้อยแล้วเราค่อยไปทานข้าวพร้อมกันเถอะครับ" เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล แต่ชนิศากลับรู้สึกไร้ทางจะปฏิเสธ ความจริงเธอเป็นคนหัวอ่อน โดยเฉพาะเวลาหิวที่สมองไม่ค่อยแล่น และเมื่อมองไปยังผู้ติดตามของคนหน้าดุ หญิงสาวก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้รอหน้าห้องฉุกเฉินอย่างว่าง่าย
คนตัวโตเดินมานั่งข้าง ๆ เธอเพียงเหลือบตามองเขาแล้วหันไปนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ
เจียหมิงฮ่าวกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ไม่นาน เขาก็ออกมาพร้อมเตียงเข็นร่างของสาวน้อยที่เธอช่วยไว้ที่ตงเหมิน ร่างบอบบางที่มีผ้าคลุมสีขาวสะอาดนั้นยิ่งดูเล็กบางเมื่ออยู่บนเตียงผู้ป่วยหลังใหญ่ เธอยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียวนั้นดูเปราะบางราวตุ๊กตาแก้วที่พร้อมจะสลาย
ชนิศาทำตัวเป็นผู้ร่วมขบวนญาติที่ดี เธอลุกขึ้นเดินตามคนตัวโตไปอย่างว่าง่าย กลัวอะไรล่ะมีหนุ่มหล่ออยากกินข้าวกันเธอเชียวนะ แค่หิ้วท้องรอสักชั่วโมงพยาธิคงแทะไส้เธอเล่นไปไม่กี่เซลล์หรอก
เมื่อส่งผู้ป่วยถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยหนัก หญิงสาวก็ถอยออกมารอให้พยาบาลได้จัดการดูแลผู้ป่วยหลังย้ายลงเตียง เจียหมิงฮ่าวบังคับให้จางเฉียน เด็กหนุ่มที่มากับผู้ป่วยตอนแรกกลับบ้านไปก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินตามเธอมานั่งที่โถงหน้าห้องพักซึ่งจัดไว้สำหรับญาติที่มารอพบผู้ป่วย
"คุณธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ..."
"เชรีมาเที่ยวไทเปเหรอครับ"
"ค่ะ...จริง ๆ คือมาเที่ยว แต่ฉันไม่ชอบให้ตารางชีวิตว่างไปเลยลงคอร์สเรียนภาษาจีนไว้ด้วย" เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าอย่างไรเป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้ก็ยังคงเป็นการท่องเที่ยว ตารางเรียนวันละ 2-4 ชั่วโมงเป็นแค่เครื่องมือบังคับใจไม่ให้เธอเบื้อกับการใช้เวลาว่างมากไปและมัวแต่นอนอืดเป็นพะยูนน้อยอยู่ในห้องเท่านั้นเอง
"คุณรู้ภาษาจีน" เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"หมาหม่าฮูฮู" เธออมยิ้มตอบเป็นสำนวนจีน แปลว่าม้าๆเสือๆ ก็คืองูๆปลาๆที่คนไทยว่ากัน
เจียหมิงฮ่าวหัวเราะอย่างพอใจ "แล้วคุณจะอยู่ที่ไทเปอีกนานไหมครับ"
"จริง ๆ ฉันมาแค่อาทิตย์เดียวค่ะ และนี่เป็นวันแรก"
"อาทิตย์เดียว สั้นมากจริง ๆ สำหรับการเรียนภาษา"
"จริง ๆ แล้วฉันมาเที่ยวค่ะ" เธอตอบชัดเจน การเรียนเป็นเพียงของแถม สำหรับชนิศาแล้วการออกเดินทางของเธอคือกำไรเสมอ
"คุณรู้จักกับคนป่วยเหรอคะ" เธอเอ่ยถามบ้าง ปล่อยให้เขาเป็นคนถามมานานแล้ว
"ครับ...ผมเป็นหมอประจำตระกูลเผิง และจวินซาน...ผมหมายถึงเจสัน พี่ชายของเธอเป็นเพื่อนผม เราเรียนมาด้วยกัน"
"หมอประจำตระกูล..." ชนิศาเบิกตาโตมองพยายามค้นหาคำตอบ ก่อนเหลือบมองบรรดาชายในชุดสูทสีดำที่ติดตามเผิงจวินซานมาแต่แรก "นี่ฉันไม่ได้เผลอไปเจอพวกคนใหญ่คนโตเข้าใช่ไหมคะ"
นายแพทย์หนุ่มอดหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางจริงจังของเธอไม่ได้ เขากำลังจะเอ่ยตอบ แต่เสียงดุกลับดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง "คุณไม่ได้เผลอไปเจอพวกคนใหญ่คนโตหรอก สกุลเผิงเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา ๆ เท่านั้น"
เมื่อหันไปมอง ชนิศาจึงพบว่าคนหน้าดุเดินออกมาแล้ว เจียหมิงฮ่าวลุกขึ้นยืน เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษให้เธอเข้าใจด้วย
"ฉันบอกแล้ว อาอวี้ยังไม่ตื่นหรอก คงต้องรออีกสักพัก"
"แล้วทำไมนายมานั่งลอยชายอยู่ที่นี่ ไม่ไปดูแลอาอวี้" เผิงจวินซานหรี่ตามองคนตรงหน้าคล้ายจะดุ
"ฉันเป็นหมอผ่าตัด ที่นี่เขตไอซียูอายุรกรรมก็เป็นหน้าที่อายุรแพทย์สิ เราไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน" เขาบอกแล้วยกมือแตะท้อง "อีกอย่าง...ฉันก็หิวจะตายแล้วด้วย วันนี้ผ่าตัดตั้งแต่เช้า ข้าวกลางวันฉันก็ยังไม่ได้กิน เลี้ยงฉันเพิ่มอีกคน ขนหน้าแข้งนายไม่ร่วงหรอกน่า"
โต๊ะอาหารถูกจัดไว้ในห้องพักสุดพิเศษของโรงพยาบาลที่ดูคล้ายห้องในคอนโดมิเนียมสุดหรู ด้านข้างหน้าต่างกรุกระจกสูงมองผ่านไปที่ระเบียงกว้างด้านหน้ายังจัดเป็นสวนดอกไว้เล็ก ๆ มีโต๊ะกลมกับเก้าอี้สานสองตัวไว้สำหรับนั่งชมวิวสูงระฟ้าที่เปิดไฟระยับจนกลบแสงดาว หากไม่บอกว่านี่คือโรงพยาบาลชนิศาคงคิดว่าเธออยู่ในโรงแรมห้าดาวใจกลางไทเป
อาหารอุ่นร้อนถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ชนิศากวาดตามองเพียงผ่านก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างพอใจ มีเกี๊ยวนึ่งที่เธอกำลังอยากกินอยู่ตรงกลางโต๊ะ ล้อมด้วยหมี่ผัด เนื้อปลาผัดเปรี้ยวหวาน น้ำแกงอย่างหนึ่ง และผัดผักอีกจานหนึ่ง
"มีอะไรที่คุณไม่ทานหรือเปล่า" เจียหมิงฮ่าวเอ่ยถามเมื่อเธอนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
"ฉันไม่กินเนื้อวัว แล้วก็ไม่กินเผ็ดค่ะ"
"ดีเลย จวินซานก็เป็นพวกไม่กินเผ็ด"
แม้หิวแค่ไหน ชนิศาก็มีมารยาทพอจะรอให้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งลงก่อน เธอเหลือบมองเจ้ามือ รอให้เขาจับช้อนจึงเริ่มหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวมาที่จาน ก่อนจะนิ่งไปเมื่อคนตัวโตเลื่อนจานของเธอออกแล้ววางถ้วยน้ำแกงลงแทน
"คุณหิวมากไม่ใช่หรือ...จิบน้ำแกงอุ่นกระเพาะก่อนเถอะ" เขาบอกเสียงเรียบ ก่อนหันไปคีบเกี๊ยวให้ตัวเอง
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ มองถ้วยน้ำแกงอย่างงุนงง เจียหมิงฮ่าวจึงต้องช่วยอธิบาย
"เราเชื่อว่าถ้าหิวมาก ๆ ลำไส้จะแห้ง ถ้ากินเร็วไปท้องจะอืดง่าย กินน้ำแกงรองท้องสักหน่อยดีกว่าครับ"
ความหิวทำให้ชนิศาก้มหน้าก้มตาตักน้ำแกงกิน ก่อนจะหันไปจัดการกับเกี๊ยวในจานต่อ รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อใกล้อิ่ม เธอจึงสังเกตได้ว่าโต๊ะอาหารดูเงียบผิดปกติ ดวงตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มสองคนสลับไปมาคล้ายอยากจะถามบางอย่าง แต่เมื่อนึกได้ว่าบางคนอาจถือสาเรื่องการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ปากที่กำลังจะอ้าออกก็หุบลงอย่างรวดเร็ว
"คุณอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ" เป็นเผิงจวินซานที่สังเกตเห็นอาการงับอากาศของเธอ
"อ้าว...คุณไม่ได้ถือสาเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือคะ"
"เรื่องอะไร"
"ไม่คุยกันบนโต๊ะอาหาร"
ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอ "คุณถือหรือ...ได้"
หญิงสาวส่ายหัวเร็ว ๆ รีบปฏิเสธ "เปล่าค่ะ แค่เห็นพวกคุณเงียบกันหมด"
"เห็นคุณกำลังกินอร่อย เลยไม่อยากขัดจังหวะ" เจียหมิงฮ่าวตอบกลั้วหัวเราะ
"อย่างนั้นฉันว่าคุณเงียบแล้วปล่อยให้ฉันกินต่อเงียบ ๆ เถอะ" เธอแกล้งตีหน้าซื่อบอก แล้วคีบเกี๊ยวตัวสุดท้ายมาใส่จานตัวเองอย่างไม่คิดเกรงใจ
"นี่...ไหน ๆ ก็คุยแล้วก็คุยต่อสิ ผมอึดอัด"
"คุณเป็นศัลยแพทย์จริง ๆ เหรอ" ชนิศาหรี่ตามองเขา
"ทำไม"
"มีศัลยแพทย์กี่คนเชียวที่มีเวลามาละเลียดกินอาหารแบบคุณ" พวกศัลยแพทย์ที่ต้องทำงานทั้งตรวจผู้ป่วยและงานในห้องผ่าตัด แถมด้วยสารพัดงานเอกสารวิชาการน่ะ บางคนสามารถกินข้าวหมดจานในสามนาทีด้วยซ้ำ
"นี่ใจคอคุณไม่คิดจะให้ผมพักผ่อนบ้างหรือ หมอบ้านคุณเขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืนหรือไง นี่คุณเป็นหมออะไรนี่"
ชนิศานิ่งไปครู่ก่อนตอบ "เรสิเดนท์ศัลยศาสตร์ทรวงอกค่ะ" เธอหมายถึงแพทย์ที่กำลังเรียนต่อเฉพาะทาง คำตอบนั้นทำให้สองหนุ่มเบิกตาโตมองสำรวจเธออีกครั้งอย่างประหลาดใจ
"นี่...ขอโทษนะ คุณอายุเท่าไร"
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ "อีกสองปีจะสามสิบแล้ว" เธอรีบตอบอย่างรู้ทัน เพราะใบหน้านี้ถูกผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าเป็นนักศึกษาแพทย์มามากแล้ว
"ศัลยศาสตร์ทรวงอก..." เขาเลิกคิ้วมองหน้าเธอ "ดูไม่เหมาะกับคุณเลย"
"ทำไมล่ะคะ"
"เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ..."
ชนิศาแค่นหัวเราะ "ฉันไม่ใช่สาวน้อยบอบบางอย่างที่คุณเห็นแน่"
เจียหมิงฮ่าวไหวไหล่เบา ๆ "โอเค...ผมเห็นแล้วว่าคุณเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์"
"ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชม"
"ผมก็ชมจริง ๆ "
อาหารบนโต๊ะใกล้หมดแล้ว เมื่อชนิศาวางตะเกียบ เจ้ามืออย่างเผิงจวินซานก็โบกมือเบา ๆ แม่บ้านก็เดินเข้ามาเก็บจานแล้วตั้งของหวานเป็นขนมคล้ายเต้าฮวยที่ใส่เฉาก๊วย ถั่วแดงและถั่วเหลืองไว้ในน้ำเชื่อมรสแปลก มีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ
"อีกนิดหนึ่งฉันจะลืมแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล" ชนิศาอดบ่นเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้
"บริการดีเหมือนคอนโดส่วนตัวเลยใช่ไหม" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างรู้ทัน "อภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลเท่านั้นล่ะ"
มือที่กำลังตักขนมของชนิศาชะงักไปครู่ เธอเหลือบมองสองหนุ่มอย่างสังเกต ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่คิดจะใส่ใจถามต่อ
เมื่อเห็นเธอจัดการกับขนมเงียบ ๆ อย่างสงบ คนพูดน้อยอย่างเผิงจวินซานกลับเป็นฝ่ายเอ่ยคำถามอีกครั้ง
"คุณพักที่ไหน"
"หอพักของสถาบัน แถว ๆ กูติ้งน่ะค่ะ"
"มีใครมารับไหม"
คำถามเสียงเรียบของคนหน้าดุทำให้หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง เขาเห็นเธอเป็นเด็กสามขวบที่เพิ่งเคยออกจากบ้านหรือ ถึงต้องมีคนมารับ
ใบหน้านิ่งเฉยติดจะดุของเผิงจวินซานเรียกได้ว่าหล่อเหลาอย่างที่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นก็คงอดเคลิ้มไม่ได้ แต่เมื่อมองคนหน้าดุทำหน้านิ่งนาน ๆ ความเคลิ้มของชนิศาก็กลายเป็นความหมันไส้ อยากจะแกล้งให้หน้าหล่อ ๆ นั้นหลุดจากมาดคุณชายบ้าง เธอคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายอย่างที่คนรู้จักเห็นคงต้องผงะถอยอย่างหวั่นใจ ทอดเสียงหวานบอก
"ถ้าคุณอยากไปส่ง...ฉันก็คงไม่ขัดศรัทธา"
เจียหมิงฮ่าวหลุดหัวเราะขลุกขลักในคอ ขณะที่คนหน้านิ่งเพียงปรายตามองเธออย่างสังเกต
ก่อนที่จะหน้าแตก ชนิศาเป็นฝ่ายรีบบอกก่อน "ล้อเล่นน่ะค่ะ ฉันกลับเองได้"
"ผมจะไปส่ง" เขากลับเอ่ยเสียงเรียบ "แต่ขอลงไปดูอวี้เอ๋อร์สักครู่ คุณไปด้วยกันสิ"
กลับเป็นชนิศาที่นิ่งไปอย่างงุนงง "เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้จริง ๆ"
"ไทเปอาจเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ใช่ที่ที่ผู้หญิงดี ๆ จะไปเดินลำพังในเวลาดึกแบบนี้" เขาเอ่ยเหมือนคุณตาบ่นหลานจอมเกเร ชนิศาได้แต่กลอกตาอย่างอ่อนใจ หากเขารู้ว่าเธอเคยเดินเล่นในลานไควฟงที่ฮ่องกงเพียงคนเดียวในเวลาที่ดึกกว่านี้จะเป็นอย่างไรนะ
เมื่อลงไปเยี่ยมคนป่วยอีกครั้ง ชนิศาก็พบว่าเผิงเซียงอวี้ตื่นดีแล้ว ในความเป็นแพทย์เธอจึงเผลอยิ้มออกมาอย่างยินดี เธอก้มลงจับมือคนป่วยเบา ๆ เอ่ยให้กำลังใจอีกสองสามคำก่อนจะขอตัวลาออกมาเพื่อให้คนป่วยได้พักผ่อน
เผิงจวินซานมาส่งเธอถึงหน้าหอพัก เขานั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงเดินลงจากรถมามองประตูโลหะตรงหน้า
ชนิศาอมยิ้มบาง ๆ ก่อนแกล้งบอก "ขอโทษที่ฉันคงเชิญคุณขึ้นไปทานกาแฟไม่ได้ เพราะกระติกน้ำร้อนที่ห้องฉันพัง และกาแฟก็ยังไม่ได้ซื้อ"
คนหน้าดุหันมามองหน้าเธอ ก่อนถาม "คุณอยู่ที่นี่เหรอ"
"ค่ะ"
"กับใคร"
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะถามอะไรนักหนา แต่ก็ยอมตอบอย่างใจเย็น "ฉันเพิ่งมาวันแรก เลยยังไม่รู้จักใครเลยค่ะ"
"คุณมาไทเปวันแรก"
"ค่ะ"
"คนเดียว..."
ชนิศาคร้านจะเอ่ย เธอเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ
"แฟนคุณปล่อยคุณมาได้ยังไง" คำถามประหลาดทำให้หญิงสาวนิ่งงันไปเหมือนใครมาตีหัว นิ่งคิดอยู่เพียงครู่ก็แกล้งส่งยิ้มหวานบอก
"โชคดีที่ฉันไม่มีแฟน...แต่ถ้าคุณสนใจสมัครตำแหน่งนั้น คงต้องต่อคิวยาวหน่อยนะคะ" เธอพูดรัวเร็วแล้วหมุนตัวไปไขกุญแจเปิดประตู ก่อนรีบหันมาบอก
"ขอบคุณที่มาส่ง ลาก่อนค่ะ"
------
เชรี...นางมีความอ่อย หนักมาก
คุณใบบัวน่ารัก : คนเดียวไปเลยค่ะ ไปหาคนเที่ยวด้วยแถวนั้นเหมือนเชรีไงคะ
คุณ คิมหันตุ์ : แหม...ไอซ์พาคุณตอมอมาขัดคอใครบางคนดีไหมคะ
คุณ sai : ดีใจจัง คิดถึงคุณ sai เช่นกันค่ะ ฝากเชรีด้วยนะคะ
จวินซานก็มาดเยอะเกิ้นนนน บางทีไอซ์ก็หมันไส้นาง
รอดูเชรีของไอซ์ทำหน้ากากนางำพังด้วยกันนะคะ
ถถถถ วันก่อนพี่กานต์เพิ่งชมว่า มีใครรับมือกับเชรีได้ด้วยเหรอ
อยากบอกว่าตรรกะนางไม่ได้ผิดเพี้ยน ตรรกะนางแค่...เปลี่ยนตามอารมณ์แบบไม่แคร์สื่อค่า
ฝากเชรีด้วยนะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
"นี่...มานั่งตรงนี้เถอะ" หญิงสาวเดินเข้าไปดันไหล่เขาให้เดินไปนั่งที่ที่นั่งซึ่งถูกจัดไว้ด้านหน้า
"เธอ...พูดภาษาอังกฤษได้ไหม" เธอเอ่ยถามเป็นภาษาจีน แม้จะพอรู้ภาษาจีนแต่ก็เพียงแค่พอเอาตัวรอดได้ ชนิศายังสะดวกใจที่จะใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า
"ครับ..." เขาตอบรับ "คุณเป็นหมอเหรอ"
หญิงสาวอมยิ้มตอบ "อืม...แต่ไม่ใช่กับที่นี่"
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของเขา เธอจึงอธิบายต่อ "ฉันเป็นคนไทยน่ะ"
"แต่คุณก็เป็นหมอ...ใช่ไหมฮะ"
"อืม..."
"อวี้เอ๋อร์จะเป็นอะไรไหมฮะ คุณช่วยเธอไว้ได้ใช่ไหม" เขาถามด้วยท่าทางกังวลที่ยังไม่เลือนหายไป มือที่กำแน่นบอกให้ชนิศารู้ว่าหากเขายั้งตัวเองได้น้อยกว่านี้อีกนิด มือนั่นคงถูกยกขึ้นมาเขย่าตัวเธอจนหัวคลอน
ชนิศานิ่งคิดเพียงครู่ ก่อนจะทำเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ "ฉันหวังว่าอย่างนั้น..." ความเป็นแพทย์สอนเธอว่าไม่เคยมีอะไรแน่นอน เธอจึงระวังที่จะสร้างความหวังหรือความหวาดกลัวล่วงหน้าไว้เสมอ ตราบที่ยังไม่เห็นผลตรงหน้า เธอยังไม่กล้ารับประกันชีวิตของสาวน้อยคนนั้นกับใคร
"ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณจริง ๆ" เขาเอ่ยแล้วได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่นานชนิศาก็เห็นหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ร่วงลงบนพื้น หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ อย่างเข้าใจ เธอยกมือขึ้นลูบหลังเด็กหนุ่มเบา ๆ
"ผมไม่ควรพาอวี้เอ๋อร์ออกมา...ทุกอย่างเป็นเพราะผม..." เขาเอ่ยเสียงเบา
ชนิศาเพียงรับฟังเงียบ ๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงไม่คิดจะเอ่ยคำปลอบหรือแย้ง ปล่อยให้เขาจมกับความรู้สึกและค่อย ๆ ปรับอารมณ์ตัวเองเอง
เธอใช้ความเงียบพูดคุยอยู่เกือบสิบนาที แล้วก็ต้องเงยหน้ามองอย่างตกใจกับเสียงภาษาจีนดุ ๆ ของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา
ผู้มาใหม่อยู่ในชุดสูทสากลสีเทาเข้มดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดูแปลกตาเมื่อเขามีเส้นผมดำยาวระต้นคอผูกไว้ด้วยเชือกเส้นเล็ก ใบหน้าเรียวขาวกับโครงหน้าคมเข้มและดวงตาโตดุสีน้ำตาลอ่อนบอกความเป็นลูกครึ่งดูน่ามองจนชนิศาแอบให้คะแนนในใจ เมื่อสบสายตาผ่านเลนส์แว่นกรอบสวยเธอถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้หลุดเสียงกรีดร้องออกมา
"อย่านะ...เชรี" เธอกระซิบบอกตัวเองเป็นภาษาไทย รู้ตัวดีว่าแพ้ทางหนุ่มหล่อใส่แว่นอยู่เสมอ
ยังไม่ทันได้ตั้งสติกับการพบหนุ่มหล่อได้ เธอก็ต้องตั้งสติอีกครั้งเมื่อผู้มาใหม่ปราดเข้าไปต่อยหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งข้างเธออย่างโกรธจัด เสียงพูดภาษาจีนรัวดุตวัดห้วนอย่างน่ากลัวทำให้ชนิศาเบิกตาโต กระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างแตกตื่น
นี่ไม่ใช่เรื่องทางการแพทย์ที่มีเธอมีความรู้พอจะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
คนอย่างชนิศา แค่ให้ตบยุงเธอยังบ่นว่าเปลืองแรงเลย เรื่องจะให้เข้าไปเสี่ยงกับหมัดมวยของคนตัวโต ๆ แถมมาเป็นกองทัพยิ่งไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ
เสียงโต้ตอบเป็นภาษาจีนรัวเร็วดังสลับกันไปมาอย่างเคร่งเครียดระหว่างชายหนุ่มผู้มาใหม่กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืน ท่าทางของคนอ่อนวัยดูหวาดกลัว แต่ยังฝืนแสดงความรับผิดชอบยืนก้มหน้านิ่งเอ่ยคำอธิบายอย่างใจเย็นทำให้ชนิศาอดมองอย่างชื่นชมไม่ได้
เ
ถอะ...ถ้าเด็กนี่ถูกรุมเดี้ยง เชรีสัญญาจะช่วยทำแผลและป้อนน้ำข้าวต้มให้หนึ่งมื้อเลย
โชคดีที่ยังไม่ทันได้มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นายแพทย์หนุ่มในชุดเสื้อกาวน์ตัวยาวคลุมทับด้วยเชิ้ต
สีขาวเดินออกมากวาดตามองไปทั่ว เมื่อเห็นผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาตบไหล่เขาอย่างคุ้นเคย เอ่ยเป็นภาษาจีนที่ชนิศาฟังไม่ออก
ชนิศานั่งตาโตมองอยู่นาน ก่อนจะรู้สึกถึงลำไส้ที่เริ่มบิดตัวประท้วงพร้อมเสียงท้องร้องที่ดังประกาศเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ใกล้ให้หันมามอง เธอเม้มริมฝีปากกลอกตาอย่างเขินอายเพียงอึดใจก็สคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไปหาของกิน
"เดี๋ยว...อีเซิงอยากพบเธอไม่ใช่เหรอครับ" เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ แต่ชนิศาไม่ได้ยินและไม่คิดใส่ใจ
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาสาวเท้าเดินเร็ว ๆ ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนกับกำแพงหนา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นหนุ่มแว่นที่เธอแอบกรี้ดมายืนตีหน้าขรึมทำตาดุเป็นกำแพงบังหน้าเธออยู่
"คุณจะไปไหน" เขาถามเป็นภาษาอังกฤษ
ชนิศาเอียงคอมองเขาอย่างงุนงงก่อนตอบหน้าซื่อ "กินข้าวค่ะ คุณไม่ได้ยินเสียงพยาธิในท้องฉันประท้วงเหรอคะ" ความจริงเรื่องท้องหิวไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ลางสังหรณ์แปลก ๆ ว่าจะมีเรื่องมาถึงเธอทำให้เธอต้องรีบเผ่น
นายแพทย์หนุ่มหล่อเจ้าของแว่นตากรอบไม้สีเข้มเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเป็นมิตร "พาราเมดที่ไปด้วยบอกว่ามีหมอจากเมืองไทยช่วยให้การปฐมพยาบาลและดูแลคนไข้มาตลอดทาง คือคุณใช่ไหม"
"คนไข้...มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ" เธอขมวดคิ้วถามทันที หากเขามาตามหาแพทย์ที่ให้การดูแลด่อน อาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการรักษา
"คุณฉีดอะดรีนาลีนให้เธอ"
"ตอนฉันไปเจอเธอนอนหอบ หายใจมีเสียงวี้ด ตามตัวเริ่มมีผื่นแดง ชีพจรเต้นเบามาก สอบถามคนที่อยู่ด้วยว่าเธอเพิ่งกินเครปไป ทั้งคนไข้ยังมีบัตรแพ้อาหารที่บอกว่าแพ้ถั่ว ฉันเลยคิดว่าน่าจะเป็นอนาไฟแลคสิสมากที่สุด..."
"ถ้าไม่ได้คุณ อาอวี้คงไม่รอด ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ" เขาโคลงศีรษะให้เธออย่างขอบคุณ เช่นเดียวกับชายหนุ่มหน้าดุตรงหน้าทำให้ชนิศาต้องกระโดดถอยหลังไปสองก้าวเพื่อตั้งหลัก แล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มคนเดิมหันมาโค้งตัวลงแบบเดียวกันอยู่อีกฝั่ง แถมด้วยชายหนุ่มชุดดำผู้ติดตามคนหน้าดุอีกทั้งขโยง
แพทย์สาวชาวไทยกระพริบตาปริบ ๆ อยู่นาน เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยคำถาม
"ตกลงว่าคนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะ"
นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้น ทำให้คนที่เหลือยืดเอวขึ้นตาม
"ตอนนี้อาการคงที่แล้วครับ ไวทัลไซน์ดี" เมื่อเขาบอกว่าสัญญาณชีพของหญิงสาวผู้นั้นเป็นปกติดี ชนิศาก็ค่อยวางใจ "เดี๋ยวคงให้อยู่ดูอาการที่ไอซียูสักวันสองวันก่อน"
"ดีค่ะ...อย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน" เธอกล่าวลาแล้วโคลงศีรษะเบา ๆ เตรียมจะผละจากไป แต่คนตัวโตยังเดินเข้ามาขวาง
"คุณจะไปทานข้าวเหรอ" เขาเอ่ยถาม
"ค่ะ" เธอหิวจนไส้จะขาดพยาธิจะประท้วงแล้ว
"ไปทานด้วยกันสิ"
ชนิศานิ่งงัน กระพริบตาปริบ ๆ อย่างพยายามใช้ความคิดว่าเธอไปรู้จักกับหนุ่มหล่อขนาดจะชวนกันไปทานข้าวตั้งแต่เมื่อไร นายแพทย์หนุ่มจึงต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
"ด็อกเตอร์...นี่คือเจสัน เผิง เขาเป็นพี่ชายของอาอวี้...คนไข้ที่คุณช่วยไว้" ดูเหมือนเขาเพิ่งคิดไเ้ว่านี่คือเวลาของการแนะนำตัว
"ส่วนผม...เจียหมิงฮ่าว คุณจะเรียกว่าไมค์ก็ได้"
"เชรีค่ะ...ยินดีที่ได้รู้จัก" แต่จะยินดีกว่านี้ถ้าพวกเขาปล่อยเธอไปกินข้าวเสียที
"ผมคิดว่าเราคงมีเรื่องต้องคุยอีกมาก รอให้เราย้ายอาอวี้เข้าไอซียูเรียบร้อยแล้วเราค่อยไปทานข้าวพร้อมกันเถอะครับ" เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล แต่ชนิศากลับรู้สึกไร้ทางจะปฏิเสธ ความจริงเธอเป็นคนหัวอ่อน โดยเฉพาะเวลาหิวที่สมองไม่ค่อยแล่น และเมื่อมองไปยังผู้ติดตามของคนหน้าดุ หญิงสาวก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้รอหน้าห้องฉุกเฉินอย่างว่าง่าย
คนตัวโตเดินมานั่งข้าง ๆ เธอเพียงเหลือบตามองเขาแล้วหันไปนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ
เจียหมิงฮ่าวกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ไม่นาน เขาก็ออกมาพร้อมเตียงเข็นร่างของสาวน้อยที่เธอช่วยไว้ที่ตงเหมิน ร่างบอบบางที่มีผ้าคลุมสีขาวสะอาดนั้นยิ่งดูเล็กบางเมื่ออยู่บนเตียงผู้ป่วยหลังใหญ่ เธอยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียวนั้นดูเปราะบางราวตุ๊กตาแก้วที่พร้อมจะสลาย
ชนิศาทำตัวเป็นผู้ร่วมขบวนญาติที่ดี เธอลุกขึ้นเดินตามคนตัวโตไปอย่างว่าง่าย กลัวอะไรล่ะมีหนุ่มหล่ออยากกินข้าวกันเธอเชียวนะ แค่หิ้วท้องรอสักชั่วโมงพยาธิคงแทะไส้เธอเล่นไปไม่กี่เซลล์หรอก
เมื่อส่งผู้ป่วยถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยหนัก หญิงสาวก็ถอยออกมารอให้พยาบาลได้จัดการดูแลผู้ป่วยหลังย้ายลงเตียง เจียหมิงฮ่าวบังคับให้จางเฉียน เด็กหนุ่มที่มากับผู้ป่วยตอนแรกกลับบ้านไปก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินตามเธอมานั่งที่โถงหน้าห้องพักซึ่งจัดไว้สำหรับญาติที่มารอพบผู้ป่วย
"คุณธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ..."
"เชรีมาเที่ยวไทเปเหรอครับ"
"ค่ะ...จริง ๆ คือมาเที่ยว แต่ฉันไม่ชอบให้ตารางชีวิตว่างไปเลยลงคอร์สเรียนภาษาจีนไว้ด้วย" เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าอย่างไรเป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้ก็ยังคงเป็นการท่องเที่ยว ตารางเรียนวันละ 2-4 ชั่วโมงเป็นแค่เครื่องมือบังคับใจไม่ให้เธอเบื้อกับการใช้เวลาว่างมากไปและมัวแต่นอนอืดเป็นพะยูนน้อยอยู่ในห้องเท่านั้นเอง
"คุณรู้ภาษาจีน" เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"หมาหม่าฮูฮู" เธออมยิ้มตอบเป็นสำนวนจีน แปลว่าม้าๆเสือๆ ก็คืองูๆปลาๆที่คนไทยว่ากัน
เจียหมิงฮ่าวหัวเราะอย่างพอใจ "แล้วคุณจะอยู่ที่ไทเปอีกนานไหมครับ"
"จริง ๆ ฉันมาแค่อาทิตย์เดียวค่ะ และนี่เป็นวันแรก"
"อาทิตย์เดียว สั้นมากจริง ๆ สำหรับการเรียนภาษา"
"จริง ๆ แล้วฉันมาเที่ยวค่ะ" เธอตอบชัดเจน การเรียนเป็นเพียงของแถม สำหรับชนิศาแล้วการออกเดินทางของเธอคือกำไรเสมอ
"คุณรู้จักกับคนป่วยเหรอคะ" เธอเอ่ยถามบ้าง ปล่อยให้เขาเป็นคนถามมานานแล้ว
"ครับ...ผมเป็นหมอประจำตระกูลเผิง และจวินซาน...ผมหมายถึงเจสัน พี่ชายของเธอเป็นเพื่อนผม เราเรียนมาด้วยกัน"
"หมอประจำตระกูล..." ชนิศาเบิกตาโตมองพยายามค้นหาคำตอบ ก่อนเหลือบมองบรรดาชายในชุดสูทสีดำที่ติดตามเผิงจวินซานมาแต่แรก "นี่ฉันไม่ได้เผลอไปเจอพวกคนใหญ่คนโตเข้าใช่ไหมคะ"
นายแพทย์หนุ่มอดหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางจริงจังของเธอไม่ได้ เขากำลังจะเอ่ยตอบ แต่เสียงดุกลับดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง "คุณไม่ได้เผลอไปเจอพวกคนใหญ่คนโตหรอก สกุลเผิงเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา ๆ เท่านั้น"
เมื่อหันไปมอง ชนิศาจึงพบว่าคนหน้าดุเดินออกมาแล้ว เจียหมิงฮ่าวลุกขึ้นยืน เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษให้เธอเข้าใจด้วย
"ฉันบอกแล้ว อาอวี้ยังไม่ตื่นหรอก คงต้องรออีกสักพัก"
"แล้วทำไมนายมานั่งลอยชายอยู่ที่นี่ ไม่ไปดูแลอาอวี้" เผิงจวินซานหรี่ตามองคนตรงหน้าคล้ายจะดุ
"ฉันเป็นหมอผ่าตัด ที่นี่เขตไอซียูอายุรกรรมก็เป็นหน้าที่อายุรแพทย์สิ เราไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน" เขาบอกแล้วยกมือแตะท้อง "อีกอย่าง...ฉันก็หิวจะตายแล้วด้วย วันนี้ผ่าตัดตั้งแต่เช้า ข้าวกลางวันฉันก็ยังไม่ได้กิน เลี้ยงฉันเพิ่มอีกคน ขนหน้าแข้งนายไม่ร่วงหรอกน่า"
โต๊ะอาหารถูกจัดไว้ในห้องพักสุดพิเศษของโรงพยาบาลที่ดูคล้ายห้องในคอนโดมิเนียมสุดหรู ด้านข้างหน้าต่างกรุกระจกสูงมองผ่านไปที่ระเบียงกว้างด้านหน้ายังจัดเป็นสวนดอกไว้เล็ก ๆ มีโต๊ะกลมกับเก้าอี้สานสองตัวไว้สำหรับนั่งชมวิวสูงระฟ้าที่เปิดไฟระยับจนกลบแสงดาว หากไม่บอกว่านี่คือโรงพยาบาลชนิศาคงคิดว่าเธออยู่ในโรงแรมห้าดาวใจกลางไทเป
อาหารอุ่นร้อนถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ชนิศากวาดตามองเพียงผ่านก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างพอใจ มีเกี๊ยวนึ่งที่เธอกำลังอยากกินอยู่ตรงกลางโต๊ะ ล้อมด้วยหมี่ผัด เนื้อปลาผัดเปรี้ยวหวาน น้ำแกงอย่างหนึ่ง และผัดผักอีกจานหนึ่ง
"มีอะไรที่คุณไม่ทานหรือเปล่า" เจียหมิงฮ่าวเอ่ยถามเมื่อเธอนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
"ฉันไม่กินเนื้อวัว แล้วก็ไม่กินเผ็ดค่ะ"
"ดีเลย จวินซานก็เป็นพวกไม่กินเผ็ด"
แม้หิวแค่ไหน ชนิศาก็มีมารยาทพอจะรอให้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งลงก่อน เธอเหลือบมองเจ้ามือ รอให้เขาจับช้อนจึงเริ่มหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวมาที่จาน ก่อนจะนิ่งไปเมื่อคนตัวโตเลื่อนจานของเธอออกแล้ววางถ้วยน้ำแกงลงแทน
"คุณหิวมากไม่ใช่หรือ...จิบน้ำแกงอุ่นกระเพาะก่อนเถอะ" เขาบอกเสียงเรียบ ก่อนหันไปคีบเกี๊ยวให้ตัวเอง
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ มองถ้วยน้ำแกงอย่างงุนงง เจียหมิงฮ่าวจึงต้องช่วยอธิบาย
"เราเชื่อว่าถ้าหิวมาก ๆ ลำไส้จะแห้ง ถ้ากินเร็วไปท้องจะอืดง่าย กินน้ำแกงรองท้องสักหน่อยดีกว่าครับ"
ความหิวทำให้ชนิศาก้มหน้าก้มตาตักน้ำแกงกิน ก่อนจะหันไปจัดการกับเกี๊ยวในจานต่อ รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อใกล้อิ่ม เธอจึงสังเกตได้ว่าโต๊ะอาหารดูเงียบผิดปกติ ดวงตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มสองคนสลับไปมาคล้ายอยากจะถามบางอย่าง แต่เมื่อนึกได้ว่าบางคนอาจถือสาเรื่องการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ปากที่กำลังจะอ้าออกก็หุบลงอย่างรวดเร็ว
"คุณอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ" เป็นเผิงจวินซานที่สังเกตเห็นอาการงับอากาศของเธอ
"อ้าว...คุณไม่ได้ถือสาเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือคะ"
"เรื่องอะไร"
"ไม่คุยกันบนโต๊ะอาหาร"
ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอ "คุณถือหรือ...ได้"
หญิงสาวส่ายหัวเร็ว ๆ รีบปฏิเสธ "เปล่าค่ะ แค่เห็นพวกคุณเงียบกันหมด"
"เห็นคุณกำลังกินอร่อย เลยไม่อยากขัดจังหวะ" เจียหมิงฮ่าวตอบกลั้วหัวเราะ
"อย่างนั้นฉันว่าคุณเงียบแล้วปล่อยให้ฉันกินต่อเงียบ ๆ เถอะ" เธอแกล้งตีหน้าซื่อบอก แล้วคีบเกี๊ยวตัวสุดท้ายมาใส่จานตัวเองอย่างไม่คิดเกรงใจ
"นี่...ไหน ๆ ก็คุยแล้วก็คุยต่อสิ ผมอึดอัด"
"คุณเป็นศัลยแพทย์จริง ๆ เหรอ" ชนิศาหรี่ตามองเขา
"ทำไม"
"มีศัลยแพทย์กี่คนเชียวที่มีเวลามาละเลียดกินอาหารแบบคุณ" พวกศัลยแพทย์ที่ต้องทำงานทั้งตรวจผู้ป่วยและงานในห้องผ่าตัด แถมด้วยสารพัดงานเอกสารวิชาการน่ะ บางคนสามารถกินข้าวหมดจานในสามนาทีด้วยซ้ำ
"นี่ใจคอคุณไม่คิดจะให้ผมพักผ่อนบ้างหรือ หมอบ้านคุณเขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืนหรือไง นี่คุณเป็นหมออะไรนี่"
ชนิศานิ่งไปครู่ก่อนตอบ "เรสิเดนท์ศัลยศาสตร์ทรวงอกค่ะ" เธอหมายถึงแพทย์ที่กำลังเรียนต่อเฉพาะทาง คำตอบนั้นทำให้สองหนุ่มเบิกตาโตมองสำรวจเธออีกครั้งอย่างประหลาดใจ
"นี่...ขอโทษนะ คุณอายุเท่าไร"
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ "อีกสองปีจะสามสิบแล้ว" เธอรีบตอบอย่างรู้ทัน เพราะใบหน้านี้ถูกผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าเป็นนักศึกษาแพทย์มามากแล้ว
"ศัลยศาสตร์ทรวงอก..." เขาเลิกคิ้วมองหน้าเธอ "ดูไม่เหมาะกับคุณเลย"
"ทำไมล่ะคะ"
"เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ..."
ชนิศาแค่นหัวเราะ "ฉันไม่ใช่สาวน้อยบอบบางอย่างที่คุณเห็นแน่"
เจียหมิงฮ่าวไหวไหล่เบา ๆ "โอเค...ผมเห็นแล้วว่าคุณเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์"
"ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชม"
"ผมก็ชมจริง ๆ "
อาหารบนโต๊ะใกล้หมดแล้ว เมื่อชนิศาวางตะเกียบ เจ้ามืออย่างเผิงจวินซานก็โบกมือเบา ๆ แม่บ้านก็เดินเข้ามาเก็บจานแล้วตั้งของหวานเป็นขนมคล้ายเต้าฮวยที่ใส่เฉาก๊วย ถั่วแดงและถั่วเหลืองไว้ในน้ำเชื่อมรสแปลก มีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ
"อีกนิดหนึ่งฉันจะลืมแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล" ชนิศาอดบ่นเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้
"บริการดีเหมือนคอนโดส่วนตัวเลยใช่ไหม" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างรู้ทัน "อภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลเท่านั้นล่ะ"
มือที่กำลังตักขนมของชนิศาชะงักไปครู่ เธอเหลือบมองสองหนุ่มอย่างสังเกต ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่คิดจะใส่ใจถามต่อ
เมื่อเห็นเธอจัดการกับขนมเงียบ ๆ อย่างสงบ คนพูดน้อยอย่างเผิงจวินซานกลับเป็นฝ่ายเอ่ยคำถามอีกครั้ง
"คุณพักที่ไหน"
"หอพักของสถาบัน แถว ๆ กูติ้งน่ะค่ะ"
"มีใครมารับไหม"
คำถามเสียงเรียบของคนหน้าดุทำให้หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง เขาเห็นเธอเป็นเด็กสามขวบที่เพิ่งเคยออกจากบ้านหรือ ถึงต้องมีคนมารับ
ใบหน้านิ่งเฉยติดจะดุของเผิงจวินซานเรียกได้ว่าหล่อเหลาอย่างที่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นก็คงอดเคลิ้มไม่ได้ แต่เมื่อมองคนหน้าดุทำหน้านิ่งนาน ๆ ความเคลิ้มของชนิศาก็กลายเป็นความหมันไส้ อยากจะแกล้งให้หน้าหล่อ ๆ นั้นหลุดจากมาดคุณชายบ้าง เธอคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายอย่างที่คนรู้จักเห็นคงต้องผงะถอยอย่างหวั่นใจ ทอดเสียงหวานบอก
"ถ้าคุณอยากไปส่ง...ฉันก็คงไม่ขัดศรัทธา"
เจียหมิงฮ่าวหลุดหัวเราะขลุกขลักในคอ ขณะที่คนหน้านิ่งเพียงปรายตามองเธออย่างสังเกต
ก่อนที่จะหน้าแตก ชนิศาเป็นฝ่ายรีบบอกก่อน "ล้อเล่นน่ะค่ะ ฉันกลับเองได้"
"ผมจะไปส่ง" เขากลับเอ่ยเสียงเรียบ "แต่ขอลงไปดูอวี้เอ๋อร์สักครู่ คุณไปด้วยกันสิ"
กลับเป็นชนิศาที่นิ่งไปอย่างงุนงง "เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้จริง ๆ"
"ไทเปอาจเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ใช่ที่ที่ผู้หญิงดี ๆ จะไปเดินลำพังในเวลาดึกแบบนี้" เขาเอ่ยเหมือนคุณตาบ่นหลานจอมเกเร ชนิศาได้แต่กลอกตาอย่างอ่อนใจ หากเขารู้ว่าเธอเคยเดินเล่นในลานไควฟงที่ฮ่องกงเพียงคนเดียวในเวลาที่ดึกกว่านี้จะเป็นอย่างไรนะ
เมื่อลงไปเยี่ยมคนป่วยอีกครั้ง ชนิศาก็พบว่าเผิงเซียงอวี้ตื่นดีแล้ว ในความเป็นแพทย์เธอจึงเผลอยิ้มออกมาอย่างยินดี เธอก้มลงจับมือคนป่วยเบา ๆ เอ่ยให้กำลังใจอีกสองสามคำก่อนจะขอตัวลาออกมาเพื่อให้คนป่วยได้พักผ่อน
เผิงจวินซานมาส่งเธอถึงหน้าหอพัก เขานั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงเดินลงจากรถมามองประตูโลหะตรงหน้า
ชนิศาอมยิ้มบาง ๆ ก่อนแกล้งบอก "ขอโทษที่ฉันคงเชิญคุณขึ้นไปทานกาแฟไม่ได้ เพราะกระติกน้ำร้อนที่ห้องฉันพัง และกาแฟก็ยังไม่ได้ซื้อ"
คนหน้าดุหันมามองหน้าเธอ ก่อนถาม "คุณอยู่ที่นี่เหรอ"
"ค่ะ"
"กับใคร"
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะถามอะไรนักหนา แต่ก็ยอมตอบอย่างใจเย็น "ฉันเพิ่งมาวันแรก เลยยังไม่รู้จักใครเลยค่ะ"
"คุณมาไทเปวันแรก"
"ค่ะ"
"คนเดียว..."
ชนิศาคร้านจะเอ่ย เธอเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ
"แฟนคุณปล่อยคุณมาได้ยังไง" คำถามประหลาดทำให้หญิงสาวนิ่งงันไปเหมือนใครมาตีหัว นิ่งคิดอยู่เพียงครู่ก็แกล้งส่งยิ้มหวานบอก
"โชคดีที่ฉันไม่มีแฟน...แต่ถ้าคุณสนใจสมัครตำแหน่งนั้น คงต้องต่อคิวยาวหน่อยนะคะ" เธอพูดรัวเร็วแล้วหมุนตัวไปไขกุญแจเปิดประตู ก่อนรีบหันมาบอก
"ขอบคุณที่มาส่ง ลาก่อนค่ะ"
------
เชรี...นางมีความอ่อย หนักมาก
คุณใบบัวน่ารัก : คนเดียวไปเลยค่ะ ไปหาคนเที่ยวด้วยแถวนั้นเหมือนเชรีไงคะ
คุณ คิมหันตุ์ : แหม...ไอซ์พาคุณตอมอมาขัดคอใครบางคนดีไหมคะ
คุณ sai : ดีใจจัง คิดถึงคุณ sai เช่นกันค่ะ ฝากเชรีด้วยนะคะ
จวินซานก็มาดเยอะเกิ้นนนน บางทีไอซ์ก็หมันไส้นาง
รอดูเชรีของไอซ์ทำหน้ากากนางำพังด้วยกันนะคะ
ถถถถ วันก่อนพี่กานต์เพิ่งชมว่า มีใครรับมือกับเชรีได้ด้วยเหรอ
อยากบอกว่าตรรกะนางไม่ได้ผิดเพี้ยน ตรรกะนางแค่...เปลี่ยนตามอารมณ์แบบไม่แคร์สื่อค่า
ฝากเชรีด้วยนะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2560, 15:42:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2560, 15:42:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1055
<< บทนำ + บทที่ 1 เหตุเกิดที่ตงเหมิน | ถ้าเนื้อคู่หนูหายาก ก็ขอแค่เพื่อนคู่คิดให้หนูเกาะคานแบบไม่เหงาก็พอ >> |
ใบบัวน่ารัก 23 พ.ค. 2560, 20:00:47 น.
นี่เค้าคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ หรือจีน อะ
เชรี นี่หน้าเด็กมากเลยหรือ แล้วคุณพระเอกเรา แก่แล้ว อายุเท่าไรอะ
ห่างกันเกิน10-12 ปี ก็ห่างไป จีบกันอย่างไรอะ
แอบมีกิ๊กซุกอยู่อะเป่า จะได้รีบให้เชรี กลับไทยเลย
นี่เค้าคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ หรือจีน อะ
เชรี นี่หน้าเด็กมากเลยหรือ แล้วคุณพระเอกเรา แก่แล้ว อายุเท่าไรอะ
ห่างกันเกิน10-12 ปี ก็ห่างไป จีบกันอย่างไรอะ
แอบมีกิ๊กซุกอยู่อะเป่า จะได้รีบให้เชรี กลับไทยเลย
sai 24 พ.ค. 2560, 18:37:56 น.
โอ้ยอ่านไปยิ้มไป เชรีนี่หลายอารมณ์จุง555 นางน่ารัก นางเก่ง เรารักนางงง
โอ้ยอ่านไปยิ้มไป เชรีนี่หลายอารมณ์จุง555 นางน่ารัก นางเก่ง เรารักนางงง