ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา
ธีรเดชหลงรักพิมพ์ศิริตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และเมื่อโชคชะตาทำให้เขามีความสัมพันธ์กับเธอเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันยิ่งกลายเป็นสายใยผูกมัดหัวใจเขาให้ติดอยู่กับเธอจนไม่อาจถอนตัว แม้จะรู้ดีว่า หากยังดึงดันที่จะรักเธอต่อไป สิ่งที่เขาต้องแลกก็คือ 'ชีวิต' แต่เขาก็ยังเลือกที่จะ 'รัก' เธอต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจสุดท้าย.
Tags: บู้ โรม้านซ์
ตอน: บทที่ ๒๑
พิมพ์ศิริยืนจดๆจ้องๆอยู่หน้าประตูห้องของธีรเดช ด้วยไม่แน่ใจว่า ดึกป่านนี้แล้ว เขาจะนอนหลับไปหรือยัง พลางคิดสับสนวุ่นวายจนเกิดตั้งคำถามขึ้นในใจว่า หากเขาไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ เธอจะวางสีหน้าแบบไหน และจะตอบคำถามอย่างไรถึงสาเหตุที่ตนเองมายืนอยู่ตรงนี้... ‘เพราะคิดถึงเขา เป็นห่วงเขาอย่างนั้นหรือ..’
สาบานได้เลย เธอจะไม่มีวันตอบเช่นนั้นออกไปเด็ดขาด !
แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว คงไม่หันหลังกลับโดยที่ยังไม่ทันเห็นสภาพในปัจจุบันของเขา แล้วก็กลับไปคิดให้มันกระวนกระวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกเด็ดขาด..เธอไม่ใช่คนขี้ขลาดแบบนั้น
หญิงสาวคิดย้ำกับตัวเองว่าเธอไม่ใช่คนขี้ขลาด ทว่า..หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นระรัวดังสนั่นหวั่นไหว อย่างควบคุมไม่อยู่..เธอสูดลมหายใจลึก พลางล้วงมือลงกับกระเป๋าหลังกางเกง หยิบกุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้ออกมามองอย่างช่างใจเพียงครู่ก็ตัดสินใจใช้มันเปิดประตูเข้าไป
ธีรเดชนอนคว่ำหน้าหลับอยู่บนเตียง...
แต่เสียงล็อกที่ดีดขึ้นยามถูกไขเปิดอย่างเบามือในความเงียบสงัด มันก็เพียงพอที่จะปลุกสัญชาตญาณระแวดระวังภัยให้ตื่นขึ้นพร้อมลืมตาเงี่ยหูฟังให้แน่ชัด ว่ากำลังมีผู้บุกรุก ! มือซ้ายสอดเข้าคว้าปืนใต้หมอนข้างตัว พลิกร่างลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว วาดปากกระบอกปืนที่พร้อมจะลั่นไกไปยังร่างที่ก้าวผ่านฉากกั้นเข้ามา พลัน ! ชะงักงัน
“คุณขวัญ !”
พิมพ์ศิริเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกันกับปฏิกิริยาของเขา ซึ่งเธอไม่ทันคิดในข้อนี้..หญิงสาวผ่อนลมหายใจที่เผลอตัวกลั้นไว้เมื่อวินาทีที่ผ่านมาให้มันกระจายทั่วท้อง
“ขอโทษ ที่มารบกวนการนอนของคุณ..”
ในครั้งแรกที่เห็นร่างเพรียวระหงปรากฏอยู่ตรงหน้า ธีรเดชคิดว่าตนเองคิดถึงเธอมากไปจนเกิดภาพหลอน แต่วินาทีที่เสียงกังวานใสผ่านเข้าโสตประสาท ปืนที่อยู่ในมือวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับร่างเขาที่ลุกขึ้นพุ่งลงจากเตียงโผเข้าสวมกอดแนบแน่น ก้มใบหน้าซบลาดไหล่บอบบาง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากผิวกายที่แสนโหยหา
“คิดถึงคุณเหลือเกิน..”
เสียงทุ้มกังวานที่ได้ยิน ทำให้ใบหน้าคมหวานของคนฟังเจือรอยยิ้มละมุน นึกอยากโอบกอดร่างแกร่งแสนอบอุ่นของเขา และอยากลูบผิวกายเรียบตึงไปตามมัดกล้ามแสนเย้ายวนทั่วร่างกายของเขา...แต่สิ่งที่เธอแสดงออก คือการนิ่งเฉย ไม่แสดงให้เห็นว่าขณะนี้ เขามีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอมากแค่ไหน
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
น้ำเสียงที่ถามนั้นราบเรียบแสนเย็นชา ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งเทราดลงบนหัว..หัวใจพองโตคับอกเมื่อครู่ พลัน เหี่ยวแฟบในพริบตา...วงแขนที่โอบกอดค่อยคลายและทิ้งลงข้างตัวในที่สุด
“ไม่ครับ” เขาตอบโดยไม่มองหน้าเธอ และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อกางเกงมาสวม..ขืนอยู่ในสภาพนี้ ไม่แคล้วเขาคงพาเธอขึ้นเตียงในไม่กี่อึดใจนี้เป็นแน่
พิมพ์ศิริเดินเลี่ยงให้ห่างจากเตียงนอนออกมายังส่วนรับแขก ซึ่งเขาเดินตามออกมาในสภาพที่มองแล้วน่าจะปลอดภัยต่อความรู้สึก
“นั่งก่อนสิครับ..เอาน้ำอะไรไหม”
เขาถามพลางเดินไปเปิดตู้เย็น
“ไม่ล่ะ..เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”
“แต่ผมอยากให้คุณค้างที่นี่นะ”
เขาพูดออกไปตามที่ใจคิด แต่เธอก็ยังเย็นชากับเขาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“ฉันไม่ชอบนอนค้างที่อื่น”
ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนฟังมันค่อยๆบาดลึกไปตามอณูเนื้อ โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงตรงไหน และความปวดแปลบนี้กระตุ้นอารมณ์นึกอยากหันไปตะโกนถามเธอว่า..จะต้องให้เขาพยายามอีกสักแค่ไหน เธอถึงจะเห็นค่า หรือว่า ความรักที่เขาทุ่มเทให้ไป มันยังไม่มากพออีกรึไง เธอถึงไม่เคยสนใจความรู้สึกของเขาสักที..
แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด..ขืนถามออกไป คงสร้างความรำคาญใจให้เพิ่มทวี..แค่ที่เธอยอมลดตัว ลดทิฐิให้เขาถึงขนาดนี้ ก็นับว่าดีมากมายแล้ว..แต่ลึกๆในใจ ก็ยังคงอยากได้หัวใจรักของเธอเช่นเดิม
พิมพ์ศิริหันมองแผนภูมิภาพบนผนังห้องอย่างสนใจ เขาเปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่ม ก่อนเดินไปยืนข้างเธอ
“เรื่องของคุณอนาวิน คุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ..ดูจากรูปคดีแล้ว คุณดิวช่วยให้เขาหลุดแน่” ชายหนุ่มบอก อย่างน้อยคงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกับข่าวนี้
“คุณคิดอย่างนั้นเรอะ”
“ครับ..ถ้าทนายดิวไม่อ่อนหัดเกินไปนัก..ยังไงคุณอนาวินก็พ้นข้อกล่าวหาแน่นอน..ส่วนเรื่องของเสี่ยเล่ย ตอนนี้ผมกำลังรอผลตรวจอยู่ เร็วๆนี้คงจะรู้ตัวคนที่ปลอมลายเซ็นคุณพ่อของคุณแล้วล่ะ” ในเมื่อเขากับเธอ นอกจากจะเรื่องเซ็กส์แล้ว ก็มีเรื่องงานนี่ล่ะที่สามารถเชื่อมโยงสื่อถึงกันได้ เขาก็จะใช้ข้ออ้างนี้ล่ะ เรียกร้องความมีตัวตนให้เธอได้เห็นบ้าง
“จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร”
“เอกสารที่อาฉีให้มา ผมดูแล้วมันเป็นกระดาษที่ออกจากบริษัทที่จีนไม่ได้มาจากทางบริษัทแม่ที่ไทย ผมเลยเลือกเอกสารที่มีลายเซ็นของคุณพ่อที่เซ็นฉบับล่าสุดไปตรวจหาพวกลายนิ้วมือแฝง ชนิดของน้ำหมึก แล้วก็พิสูจน์ลายมือด้วย เพื่อให้แน่ชัดว่ามันไม่ใช่ของพ่อคุณจริงๆ”
“ไม่ใช่ของป๊าแน่ๆ” เธอยืนยันหนักแน่น
“นั่นล่ะที่เราจะต้องพิสูจน์ เพื่อช่วยให้พ่อของคุณพ้นข้อกล่าวหาด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคดีนี้เปิดเผยออกมาทั้งหมด คุณพ่อของคุณต้องหาทางแก้ต่างในเรื่องนี้ให้ได้เช่นกัน ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกงบริษัท”
“แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าเป็นคนร้ายที่อยู่ฝั่งไทยล่ะ เพราะถ้าให้หยางเฉินปลอมลายเซ็นป๊า มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ”
ธีรเดชส่ายหน้า
“ไม่หรอก เพราะลายเซ็นของรองประธานใหญ่ ผู้กุมอำนาจฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น่ะมีค่ามหาศาลเกินกว่าจะปล่อยให้คนนอกนำไปใช้ประโยชน์ โดยที่ตัวเองไม่รู้ไม่เห็น”
“ถ้าลายเซ็นป๊ามีค่าขนาดนั้น ลายเซ็นของท่านประธานใหญ่น่าจะมีค่ามากกว่า ทำไมพวกมันไม่ใช้ล่ะ”
“เท่าที่สังเกตจากพวกเอกสาร ผมบอกตามตรงเลยนะ ทั้งลายเซ็น ทั้งตราประทับของเสี่ยเล่ยนี่ปลอมยาก กว่าของพ่อคุณมาก แล้วอีกเหตุผลนึง ที่ผมเดานะ คือ เสี่ยเล่ยจะไม่เซ็นเอกสารเบิกจ่ายที่มันจุกจิกแบบนี้ แต่ละครั้งที่เซ็นเอกสารในประเทศจีน จะเป็นสัญญาที่มีมูลค่าเป็นร้อยล้านหยวนขึ้นไปทั้งนั้น..ส่วนของพ่อคุณ มีอำนาจเบิกจ่ายโดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการในวงเงินสิบล้านหยวน ซึ่งถือว่าเสี่ยเล่ยไว้ใจพ่อของคุณมากทีเดียว และถ้าคิดเล่นๆว่า ในหนึ่งเดือน พวกคนร้ายปลอมเอกสารเบิกจ่ายสักสอง ถึงสามฉบับ นั่นก็ถือเป็นจำนวนเงินที่เยอะเอาการ แล้วถ้าแปลงเป็นเงินไทยนี่ ได้รวยอื้อเลย”
“นั่นสินะ” พิมพ์ศิริพึมพำ เพราะเธอไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลย และเพราะบิดานั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องเซ็นเบิกจ่ายในทุกๆเดือน จึงเปิดช่องว่างให้พวกคนร้ายเข้ามาสวมรอยได้อย่างง่ายดาย เพราะมีผู้ร่วมขบวนการหลายฝ่ายช่วยกันปกปิด และสร้างหลักฐานเท็จออกมาอย่างแนบเนียน จนกระทั่ง..หลี่เฟยหลงเข้าไปทำงาน ทำให้พวกมันขยับตัวได้ยาก และในที่สุดก็ถูกเฟยหลงจับพิรุธได้จนนำไปสู่การฆ่าปิดปาก
“เพราะพวกมันค่อยๆสูบเงินครั้งละไม่มาก และบริษัทนี้มีความแข็งแรงด้านการเงินอยู่มาก แถมพวกมันตบแต่งงบบัญชีไว้อย่างสวยงาม จึงทำให้ไม่มีใครได้ทันสังเกต”
“จนกระทั่ง เฟยหลงไปพบ”
“ใช่ครับ..และตอนนี้หยางเฉินตายไปแล้ว แต่ผู้เฒ่าหลี่คงตามกลิ่นพวกที่เหลือได้ไม่ยาก..ก็เหลือทางฝั่งไทยนี่ล่ะที่ยังน่าเป็นห่วง เพราะตัวบงการอยู่ที่นี่ คงกำลังคิดแผนปิดบัญชีเร็วๆนี้” ...เพราะขืนชักช้า ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างไปจาก หยางเฉิน
หญิงสาวฟังแล้วก็นึกห่วงสมาชิกภายในครอบครับ โดยเฉพาะโมรียา น้องสาวผู้ยังเยาว์ในสายตาของเธอ ซึ่งตอนนี้คงอยู่ในจุดที่เป็นเป้าสังหารลำดับต้นๆเลยทีเดียว
“พวกมันต้องรีบลงมือก่อนที่พวกเราจะกระชากหน้ากากของมันออกมาสินะ”
“ใช่ ยิ่งรอเวลา โอกาสที่จะถูกลุงของคุณไล่เชือดก็จะมีมากขึ้น” เขาบอกด้วยอารมณ์ปนหงุดหงิด เมื่อสมองหวนคิดถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายของพลเอกชยพล รวมทั้งเหตุลอบวางระเบิดรถมอเตอร์ไซค์ของเขาด้วย ซึ่งมันเป็นสถานการณ์ที่ไล่เลี่ยกัน
พิมพ์ศิริไม่ชอบในประโยค และน้ำเสียงแข็งๆเหมือนคนจ้องจะหาเรื่องของเขา จึงตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณลุงจะทำอย่างนั้น..ในเมื่อหน้าที่ตามจับคนร้ายมันเป็นหน้าที่ของพวกคุณ ไม่ใช่หน้าที่ของพลเมืองธรรมดาๆ อย่างลุงของฉัน”
ธีรเดชหันมาพูดกับเธอทั้งตัว
“งั้นคุณยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ว่าเสี่ยเล่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพลเอกชยพล..แล้วยังจะรถของผมอีก ที่มันกลายเป็นตอตะโกอย่างนั้นน่ะ”
พูดออกไปแล้วก็นึกอยากจะตบปากตัวเองเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ เพราะมันทำให้ดวงตาคมของเธอวาวโรจน์ ประดุจมีลูกไฟอยู่ในนั้น
“ฉันไม่รู้ว่า คุณกำลังพูดบ้าอะไร..แต่ถ้าเพราะเรื่องนี้มันทำให้คุณหงุดหงิดนัก ก็ไปสืบหาความจริงเอาเอง ไม่ใช่มาโบ้ยให้กันอย่างนี้”
ในเมื่อเขาคิดแบบนี้ก็ดี จะได้ไปให้พ้นจากชีวิตเธอเสียที เธอจะได้ไม่ต้องคอยหวาดระแวง กลัวว่าเขาจะเป็นอันตรายจากบุคคลภายในครอบครัวของเธออีก..พอกันที!
“คุณกับฉันคงหมดเรื่องที่จะต้องพูดกันแล้ว”
ธีรเดชใจหายวูบ ทันทีที่เธอหันไปราวกับจะตัดขาดไปอย่างสิ้นเชิง เขารีบโผตามเข้าสวมกอดอย่างขอลุแก่โทษ..ไม่ว่าเธอจะทำอะไร หรือพูดอะไรให้รู้สึกแย่แค่ไหน เขายังสามารถทนได้..แต่หากเธอหายไป เขาไม่รู้เลยว่า ตนเองจะมีสภาพย่ำแย่แค่ไหนกับการที่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน
วงแขนกระชับแน่นด้วยความหวงแหนสุดใจ
“ขอโทษ..ผมไม่ตั้งใจจะพูดแบบนั้นออกไป..ผมแค่เครียดกับอะไรหลายๆอย่างที่มันประดังกันเข้ามา เลยเผลอเอาอารมณ์มาลงกับคุณ..อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
พิมพ์ศิรินิ่งเฉยกับร่างใหญ่ที่สวมกอดจากด้านหลัง...หากเป็นเธอคนเก่า คงเกรี้ยวกราดไม่ยกโทษให้โดยง่าย และคงรีบดึงแขนของเขาออกไปให้พ้นตัวได้อย่างไร้เยื่อใย..ผิดกับเธอคนปัจจุบันที่จิตใจช่างแสนอ่อนแอนัก อารมณ์โกรธที่มีเมื่อครู่ ไม่รู้มันกระจัดกระจายไปไหนหมด ได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอดอยู่อย่างนี้
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก เพราะความจริง ฉันไม่สมควรมาที่นี่ตั้งแต่เริ่มแรกเสียด้วยซ้ำ..เรื่องของเรามันไม่สมควรจะไปไกลกว่านี้แล้ว มันสมควรยุติเสียเดี๋ยวนี้ต่างหาก”
เพราะเพียงแค่ทุกวันนี้ อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา ก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เกรงว่าในสักวันหนึ่ง เธออาจจะเป็นคนชักนำอันตรายมาสู่ตัวเขาเองก็เป็นได้..และหากเป็นเช่นนั้น เธอคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาได้รับอันตราย
ธีรเดชกัดกรามแน่นข่มความร้าวราน เมื่อเธอกำลังจะไปจากเขา
“คำพูดของคุณเมื่อกี้ ผมจะถือว่าไม่ได้ยิน..และไม่ขอรับฟังอะไรทั้งนั้น”
หญิงสาวหันกลับไปพูดกับคนหัวดื้อตัวโตตรงหน้า
“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมาเสียเวลากับเรื่องของฉัน ไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ฉันก็ไม่มีวันรักคุณ แค่สนุกไปกับเซ็กส์เท่านั้น..แต่อีกไม่นาน มันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ”
หัวใจของคนฟังเย็นเยียบ ยกมือข้างหนึ่งประคองดวงหน้าที่ตราตรึงใจเขาตั้งแต่แรกเห็น และนับวัน ความรู้สึกก็ยิ่งผูกพันลึกซึ้ง..แต่เธอไม่คิดเหมือนเขาสักเศษเสี้ยวเลยเหรอ..ทำไมหัวใจของเธอมันถึงเย็นชาไร้ความรู้สึกได้มากมายถึงเพียงนี้
“ผมไม่มีความหมายกับคุณสักนิดเลยเหรอ..สิ่งที่ผมทำทั้งหมดมันยังไม่ช่วยเปิดใจให้คุณยอมรับ แล้วมองผมเหมือนอย่างผู้ชายทั่วๆไปไม่ได้เชียวเหรอครับ”
พิมพ์ศิริเมินใบหน้าหนีสายตาเจ็บช้ำ
“คุณอย่าพยายามอีกเลย มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก นอกจากเสียเวลาเปล่า”
“แล้วถ้าผมลาออกล่ะ คุณจะรักผมได้ไหม”
หญิงสาวนิ่งขึ้ง..นี่เขาจะโยนอนาคตทิ้ง เพียงเพื่อให้เธอยอมรับอย่างนั้นหรือ !?
“คุณไม่มีวันสลัดคราบในสิ่งที่เคยเป็นออกไปได้หรอก..ทางที่ดีที่สุด คือต่างคนต่างอยู่..ก็แค่นั้น”
“แค่นั้น !?”
ธีรเดชแค่นยิ้มเย้ยหยัน..คนอย่างเขานี่มันไร้ค่าสิ้นดี!
“ใช่..แค่นั้น”
เธอตอกย้ำ นึกหงุดหงิด..ทำไมเขาจะต้องตั้งคำถามอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำไปกว่านี้ เพียงแค่หันเดินไปจากชีวิตของเธอแค่นั้น มันเป็นเรื่องยากเย็นมากนักหรืออย่างไร ผู้ชายอย่างเขาทนเหงาได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาปลอบใจแล้ว..ต่างกับเธอ ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ ถึงจะลืมความรู้สึกที่มีต่อเขาได้ หัวใจของเธอต้องทนโดดเดี่ยวไปอีกนานแสนนาน
“ฉันกลับล่ะ”
สองมือผลักอกหนาแกร่งให้พ้นตัว แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหน ก็ถูกเขาดึงไปกอดแน่นอีกครั้ง
“ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่เบื่อเซ็กส์ของผม เราก็ยังสนุกกับมันได้ใช่ไหม”
ฝ่ามือใหญ่กางยึดท้ายทอยของเธอไว้มั่นยามโน้มใบหน้าลงจูบหนักหน่วง ถือสิทธิ์ในเรือนร่างนุ่มกลมกลึงนี้
พิมพ์ศิริสูดลมหายใจเฮือก พยายามยื้อสติที่กำลังเลื่อนลอยไปตามการชักนำของเขาอีกครา แต่เธอจะทนต้านทานไปได้อีกสักกี่อึดใจกันเชียว ในเมื่อ เลือดทุกหยาดหยดกำลังร้อนฉ่า ด้วยแรงปรารถนาจะได้รับการสัมผัสลึกล้ำจากเขา
ธีรเดชรับรู้ถึงอาการแข็งขืน เขาผละจากริมฝีปากอิ่มเปียกชื้นอย่างเชื่องช้า มองสบดวงตาของเธอชั่วอึดใจ ก่อนแค่นยิ้มนึกสมเพชตัวเอง
“ต่อให้ถูกคุณทำร้ายจิตใจสักกี่ครั้ง หรือจะมองว่าผมมันไร้ค่ามากแค่ไหน..ผมก็ยังรักคุณอยู่ดี..ในสายตาของคุณ..ผมคงดูโง่มากเลยใช่ไหม”
หัวใจของคนฟังมันบีบรัดรวดร้าว ยามสบดวงตาสั่นไหวอ่อนแสง เผยถึงหัวใจอันขาดวิ่นยับเยินของเขา ฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดไว้ขาดสะบั้น พร้อมที่จะทิ้งร่างลงสู่หุบเหว และแม้จะสงสารเขาจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาปลอบประโลม ในเมื่อ สถานการณ์ระหว่างเธอกับเขา มันคือสิ่งต้องห้ามที่เกินกว่าใครๆจะมาเข้าใจ
สองมือประคองใบหน้าสากระคายด้วยไรหนวดเครา พลางเขย่งปลายเท้าส่งใบหน้าตัวเองขึ้น กระซิบชิดริมฝีปากได้รูป
“ใช่..คุณมันทั้งโง่ ทั้งดื้อด้านที่สุด..”
และแนบริมฝีปากจูบเขาอย่างอ่อนหวานแทนคำพูดปลอบโยน
ชายหนุ่มสวมกอดแน่น ไม่แน่ใจในการกระทำของเธอสักเท่าไหร่..แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
“ผมรักคุณ”
เขาพูดชิดริมฝีปากพลางเลื่อนไปตามแนวสันคางต่ำลงไปจูบเม้มที่ซอกคอและใบหู ซึ่งเธอเอียงลำคอให้การต้อนรับเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ และไม่กี่อึดใจ ร่างของเธอก็ถูกพามานอนลงบนกลางเตียง ตามด้วยร่างหนาหนักทอดตัวลงสร้างความอบอุ่นให้เธอ
....................................................................................................................
สาบานได้เลย เธอจะไม่มีวันตอบเช่นนั้นออกไปเด็ดขาด !
แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว คงไม่หันหลังกลับโดยที่ยังไม่ทันเห็นสภาพในปัจจุบันของเขา แล้วก็กลับไปคิดให้มันกระวนกระวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกเด็ดขาด..เธอไม่ใช่คนขี้ขลาดแบบนั้น
หญิงสาวคิดย้ำกับตัวเองว่าเธอไม่ใช่คนขี้ขลาด ทว่า..หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นระรัวดังสนั่นหวั่นไหว อย่างควบคุมไม่อยู่..เธอสูดลมหายใจลึก พลางล้วงมือลงกับกระเป๋าหลังกางเกง หยิบกุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้ออกมามองอย่างช่างใจเพียงครู่ก็ตัดสินใจใช้มันเปิดประตูเข้าไป
ธีรเดชนอนคว่ำหน้าหลับอยู่บนเตียง...
แต่เสียงล็อกที่ดีดขึ้นยามถูกไขเปิดอย่างเบามือในความเงียบสงัด มันก็เพียงพอที่จะปลุกสัญชาตญาณระแวดระวังภัยให้ตื่นขึ้นพร้อมลืมตาเงี่ยหูฟังให้แน่ชัด ว่ากำลังมีผู้บุกรุก ! มือซ้ายสอดเข้าคว้าปืนใต้หมอนข้างตัว พลิกร่างลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว วาดปากกระบอกปืนที่พร้อมจะลั่นไกไปยังร่างที่ก้าวผ่านฉากกั้นเข้ามา พลัน ! ชะงักงัน
“คุณขวัญ !”
พิมพ์ศิริเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกันกับปฏิกิริยาของเขา ซึ่งเธอไม่ทันคิดในข้อนี้..หญิงสาวผ่อนลมหายใจที่เผลอตัวกลั้นไว้เมื่อวินาทีที่ผ่านมาให้มันกระจายทั่วท้อง
“ขอโทษ ที่มารบกวนการนอนของคุณ..”
ในครั้งแรกที่เห็นร่างเพรียวระหงปรากฏอยู่ตรงหน้า ธีรเดชคิดว่าตนเองคิดถึงเธอมากไปจนเกิดภาพหลอน แต่วินาทีที่เสียงกังวานใสผ่านเข้าโสตประสาท ปืนที่อยู่ในมือวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับร่างเขาที่ลุกขึ้นพุ่งลงจากเตียงโผเข้าสวมกอดแนบแน่น ก้มใบหน้าซบลาดไหล่บอบบาง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากผิวกายที่แสนโหยหา
“คิดถึงคุณเหลือเกิน..”
เสียงทุ้มกังวานที่ได้ยิน ทำให้ใบหน้าคมหวานของคนฟังเจือรอยยิ้มละมุน นึกอยากโอบกอดร่างแกร่งแสนอบอุ่นของเขา และอยากลูบผิวกายเรียบตึงไปตามมัดกล้ามแสนเย้ายวนทั่วร่างกายของเขา...แต่สิ่งที่เธอแสดงออก คือการนิ่งเฉย ไม่แสดงให้เห็นว่าขณะนี้ เขามีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอมากแค่ไหน
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
น้ำเสียงที่ถามนั้นราบเรียบแสนเย็นชา ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งเทราดลงบนหัว..หัวใจพองโตคับอกเมื่อครู่ พลัน เหี่ยวแฟบในพริบตา...วงแขนที่โอบกอดค่อยคลายและทิ้งลงข้างตัวในที่สุด
“ไม่ครับ” เขาตอบโดยไม่มองหน้าเธอ และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อกางเกงมาสวม..ขืนอยู่ในสภาพนี้ ไม่แคล้วเขาคงพาเธอขึ้นเตียงในไม่กี่อึดใจนี้เป็นแน่
พิมพ์ศิริเดินเลี่ยงให้ห่างจากเตียงนอนออกมายังส่วนรับแขก ซึ่งเขาเดินตามออกมาในสภาพที่มองแล้วน่าจะปลอดภัยต่อความรู้สึก
“นั่งก่อนสิครับ..เอาน้ำอะไรไหม”
เขาถามพลางเดินไปเปิดตู้เย็น
“ไม่ล่ะ..เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”
“แต่ผมอยากให้คุณค้างที่นี่นะ”
เขาพูดออกไปตามที่ใจคิด แต่เธอก็ยังเย็นชากับเขาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“ฉันไม่ชอบนอนค้างที่อื่น”
ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนฟังมันค่อยๆบาดลึกไปตามอณูเนื้อ โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงตรงไหน และความปวดแปลบนี้กระตุ้นอารมณ์นึกอยากหันไปตะโกนถามเธอว่า..จะต้องให้เขาพยายามอีกสักแค่ไหน เธอถึงจะเห็นค่า หรือว่า ความรักที่เขาทุ่มเทให้ไป มันยังไม่มากพออีกรึไง เธอถึงไม่เคยสนใจความรู้สึกของเขาสักที..
แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด..ขืนถามออกไป คงสร้างความรำคาญใจให้เพิ่มทวี..แค่ที่เธอยอมลดตัว ลดทิฐิให้เขาถึงขนาดนี้ ก็นับว่าดีมากมายแล้ว..แต่ลึกๆในใจ ก็ยังคงอยากได้หัวใจรักของเธอเช่นเดิม
พิมพ์ศิริหันมองแผนภูมิภาพบนผนังห้องอย่างสนใจ เขาเปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่ม ก่อนเดินไปยืนข้างเธอ
“เรื่องของคุณอนาวิน คุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ..ดูจากรูปคดีแล้ว คุณดิวช่วยให้เขาหลุดแน่” ชายหนุ่มบอก อย่างน้อยคงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกับข่าวนี้
“คุณคิดอย่างนั้นเรอะ”
“ครับ..ถ้าทนายดิวไม่อ่อนหัดเกินไปนัก..ยังไงคุณอนาวินก็พ้นข้อกล่าวหาแน่นอน..ส่วนเรื่องของเสี่ยเล่ย ตอนนี้ผมกำลังรอผลตรวจอยู่ เร็วๆนี้คงจะรู้ตัวคนที่ปลอมลายเซ็นคุณพ่อของคุณแล้วล่ะ” ในเมื่อเขากับเธอ นอกจากจะเรื่องเซ็กส์แล้ว ก็มีเรื่องงานนี่ล่ะที่สามารถเชื่อมโยงสื่อถึงกันได้ เขาก็จะใช้ข้ออ้างนี้ล่ะ เรียกร้องความมีตัวตนให้เธอได้เห็นบ้าง
“จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร”
“เอกสารที่อาฉีให้มา ผมดูแล้วมันเป็นกระดาษที่ออกจากบริษัทที่จีนไม่ได้มาจากทางบริษัทแม่ที่ไทย ผมเลยเลือกเอกสารที่มีลายเซ็นของคุณพ่อที่เซ็นฉบับล่าสุดไปตรวจหาพวกลายนิ้วมือแฝง ชนิดของน้ำหมึก แล้วก็พิสูจน์ลายมือด้วย เพื่อให้แน่ชัดว่ามันไม่ใช่ของพ่อคุณจริงๆ”
“ไม่ใช่ของป๊าแน่ๆ” เธอยืนยันหนักแน่น
“นั่นล่ะที่เราจะต้องพิสูจน์ เพื่อช่วยให้พ่อของคุณพ้นข้อกล่าวหาด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคดีนี้เปิดเผยออกมาทั้งหมด คุณพ่อของคุณต้องหาทางแก้ต่างในเรื่องนี้ให้ได้เช่นกัน ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกงบริษัท”
“แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าเป็นคนร้ายที่อยู่ฝั่งไทยล่ะ เพราะถ้าให้หยางเฉินปลอมลายเซ็นป๊า มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ”
ธีรเดชส่ายหน้า
“ไม่หรอก เพราะลายเซ็นของรองประธานใหญ่ ผู้กุมอำนาจฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น่ะมีค่ามหาศาลเกินกว่าจะปล่อยให้คนนอกนำไปใช้ประโยชน์ โดยที่ตัวเองไม่รู้ไม่เห็น”
“ถ้าลายเซ็นป๊ามีค่าขนาดนั้น ลายเซ็นของท่านประธานใหญ่น่าจะมีค่ามากกว่า ทำไมพวกมันไม่ใช้ล่ะ”
“เท่าที่สังเกตจากพวกเอกสาร ผมบอกตามตรงเลยนะ ทั้งลายเซ็น ทั้งตราประทับของเสี่ยเล่ยนี่ปลอมยาก กว่าของพ่อคุณมาก แล้วอีกเหตุผลนึง ที่ผมเดานะ คือ เสี่ยเล่ยจะไม่เซ็นเอกสารเบิกจ่ายที่มันจุกจิกแบบนี้ แต่ละครั้งที่เซ็นเอกสารในประเทศจีน จะเป็นสัญญาที่มีมูลค่าเป็นร้อยล้านหยวนขึ้นไปทั้งนั้น..ส่วนของพ่อคุณ มีอำนาจเบิกจ่ายโดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการในวงเงินสิบล้านหยวน ซึ่งถือว่าเสี่ยเล่ยไว้ใจพ่อของคุณมากทีเดียว และถ้าคิดเล่นๆว่า ในหนึ่งเดือน พวกคนร้ายปลอมเอกสารเบิกจ่ายสักสอง ถึงสามฉบับ นั่นก็ถือเป็นจำนวนเงินที่เยอะเอาการ แล้วถ้าแปลงเป็นเงินไทยนี่ ได้รวยอื้อเลย”
“นั่นสินะ” พิมพ์ศิริพึมพำ เพราะเธอไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลย และเพราะบิดานั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องเซ็นเบิกจ่ายในทุกๆเดือน จึงเปิดช่องว่างให้พวกคนร้ายเข้ามาสวมรอยได้อย่างง่ายดาย เพราะมีผู้ร่วมขบวนการหลายฝ่ายช่วยกันปกปิด และสร้างหลักฐานเท็จออกมาอย่างแนบเนียน จนกระทั่ง..หลี่เฟยหลงเข้าไปทำงาน ทำให้พวกมันขยับตัวได้ยาก และในที่สุดก็ถูกเฟยหลงจับพิรุธได้จนนำไปสู่การฆ่าปิดปาก
“เพราะพวกมันค่อยๆสูบเงินครั้งละไม่มาก และบริษัทนี้มีความแข็งแรงด้านการเงินอยู่มาก แถมพวกมันตบแต่งงบบัญชีไว้อย่างสวยงาม จึงทำให้ไม่มีใครได้ทันสังเกต”
“จนกระทั่ง เฟยหลงไปพบ”
“ใช่ครับ..และตอนนี้หยางเฉินตายไปแล้ว แต่ผู้เฒ่าหลี่คงตามกลิ่นพวกที่เหลือได้ไม่ยาก..ก็เหลือทางฝั่งไทยนี่ล่ะที่ยังน่าเป็นห่วง เพราะตัวบงการอยู่ที่นี่ คงกำลังคิดแผนปิดบัญชีเร็วๆนี้” ...เพราะขืนชักช้า ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างไปจาก หยางเฉิน
หญิงสาวฟังแล้วก็นึกห่วงสมาชิกภายในครอบครับ โดยเฉพาะโมรียา น้องสาวผู้ยังเยาว์ในสายตาของเธอ ซึ่งตอนนี้คงอยู่ในจุดที่เป็นเป้าสังหารลำดับต้นๆเลยทีเดียว
“พวกมันต้องรีบลงมือก่อนที่พวกเราจะกระชากหน้ากากของมันออกมาสินะ”
“ใช่ ยิ่งรอเวลา โอกาสที่จะถูกลุงของคุณไล่เชือดก็จะมีมากขึ้น” เขาบอกด้วยอารมณ์ปนหงุดหงิด เมื่อสมองหวนคิดถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายของพลเอกชยพล รวมทั้งเหตุลอบวางระเบิดรถมอเตอร์ไซค์ของเขาด้วย ซึ่งมันเป็นสถานการณ์ที่ไล่เลี่ยกัน
พิมพ์ศิริไม่ชอบในประโยค และน้ำเสียงแข็งๆเหมือนคนจ้องจะหาเรื่องของเขา จึงตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณลุงจะทำอย่างนั้น..ในเมื่อหน้าที่ตามจับคนร้ายมันเป็นหน้าที่ของพวกคุณ ไม่ใช่หน้าที่ของพลเมืองธรรมดาๆ อย่างลุงของฉัน”
ธีรเดชหันมาพูดกับเธอทั้งตัว
“งั้นคุณยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ว่าเสี่ยเล่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพลเอกชยพล..แล้วยังจะรถของผมอีก ที่มันกลายเป็นตอตะโกอย่างนั้นน่ะ”
พูดออกไปแล้วก็นึกอยากจะตบปากตัวเองเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ เพราะมันทำให้ดวงตาคมของเธอวาวโรจน์ ประดุจมีลูกไฟอยู่ในนั้น
“ฉันไม่รู้ว่า คุณกำลังพูดบ้าอะไร..แต่ถ้าเพราะเรื่องนี้มันทำให้คุณหงุดหงิดนัก ก็ไปสืบหาความจริงเอาเอง ไม่ใช่มาโบ้ยให้กันอย่างนี้”
ในเมื่อเขาคิดแบบนี้ก็ดี จะได้ไปให้พ้นจากชีวิตเธอเสียที เธอจะได้ไม่ต้องคอยหวาดระแวง กลัวว่าเขาจะเป็นอันตรายจากบุคคลภายในครอบครัวของเธออีก..พอกันที!
“คุณกับฉันคงหมดเรื่องที่จะต้องพูดกันแล้ว”
ธีรเดชใจหายวูบ ทันทีที่เธอหันไปราวกับจะตัดขาดไปอย่างสิ้นเชิง เขารีบโผตามเข้าสวมกอดอย่างขอลุแก่โทษ..ไม่ว่าเธอจะทำอะไร หรือพูดอะไรให้รู้สึกแย่แค่ไหน เขายังสามารถทนได้..แต่หากเธอหายไป เขาไม่รู้เลยว่า ตนเองจะมีสภาพย่ำแย่แค่ไหนกับการที่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน
วงแขนกระชับแน่นด้วยความหวงแหนสุดใจ
“ขอโทษ..ผมไม่ตั้งใจจะพูดแบบนั้นออกไป..ผมแค่เครียดกับอะไรหลายๆอย่างที่มันประดังกันเข้ามา เลยเผลอเอาอารมณ์มาลงกับคุณ..อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
พิมพ์ศิรินิ่งเฉยกับร่างใหญ่ที่สวมกอดจากด้านหลัง...หากเป็นเธอคนเก่า คงเกรี้ยวกราดไม่ยกโทษให้โดยง่าย และคงรีบดึงแขนของเขาออกไปให้พ้นตัวได้อย่างไร้เยื่อใย..ผิดกับเธอคนปัจจุบันที่จิตใจช่างแสนอ่อนแอนัก อารมณ์โกรธที่มีเมื่อครู่ ไม่รู้มันกระจัดกระจายไปไหนหมด ได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอดอยู่อย่างนี้
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก เพราะความจริง ฉันไม่สมควรมาที่นี่ตั้งแต่เริ่มแรกเสียด้วยซ้ำ..เรื่องของเรามันไม่สมควรจะไปไกลกว่านี้แล้ว มันสมควรยุติเสียเดี๋ยวนี้ต่างหาก”
เพราะเพียงแค่ทุกวันนี้ อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา ก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เกรงว่าในสักวันหนึ่ง เธออาจจะเป็นคนชักนำอันตรายมาสู่ตัวเขาเองก็เป็นได้..และหากเป็นเช่นนั้น เธอคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาได้รับอันตราย
ธีรเดชกัดกรามแน่นข่มความร้าวราน เมื่อเธอกำลังจะไปจากเขา
“คำพูดของคุณเมื่อกี้ ผมจะถือว่าไม่ได้ยิน..และไม่ขอรับฟังอะไรทั้งนั้น”
หญิงสาวหันกลับไปพูดกับคนหัวดื้อตัวโตตรงหน้า
“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมาเสียเวลากับเรื่องของฉัน ไม่ว่าจะพยายามทำอะไร ฉันก็ไม่มีวันรักคุณ แค่สนุกไปกับเซ็กส์เท่านั้น..แต่อีกไม่นาน มันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ”
หัวใจของคนฟังเย็นเยียบ ยกมือข้างหนึ่งประคองดวงหน้าที่ตราตรึงใจเขาตั้งแต่แรกเห็น และนับวัน ความรู้สึกก็ยิ่งผูกพันลึกซึ้ง..แต่เธอไม่คิดเหมือนเขาสักเศษเสี้ยวเลยเหรอ..ทำไมหัวใจของเธอมันถึงเย็นชาไร้ความรู้สึกได้มากมายถึงเพียงนี้
“ผมไม่มีความหมายกับคุณสักนิดเลยเหรอ..สิ่งที่ผมทำทั้งหมดมันยังไม่ช่วยเปิดใจให้คุณยอมรับ แล้วมองผมเหมือนอย่างผู้ชายทั่วๆไปไม่ได้เชียวเหรอครับ”
พิมพ์ศิริเมินใบหน้าหนีสายตาเจ็บช้ำ
“คุณอย่าพยายามอีกเลย มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก นอกจากเสียเวลาเปล่า”
“แล้วถ้าผมลาออกล่ะ คุณจะรักผมได้ไหม”
หญิงสาวนิ่งขึ้ง..นี่เขาจะโยนอนาคตทิ้ง เพียงเพื่อให้เธอยอมรับอย่างนั้นหรือ !?
“คุณไม่มีวันสลัดคราบในสิ่งที่เคยเป็นออกไปได้หรอก..ทางที่ดีที่สุด คือต่างคนต่างอยู่..ก็แค่นั้น”
“แค่นั้น !?”
ธีรเดชแค่นยิ้มเย้ยหยัน..คนอย่างเขานี่มันไร้ค่าสิ้นดี!
“ใช่..แค่นั้น”
เธอตอกย้ำ นึกหงุดหงิด..ทำไมเขาจะต้องตั้งคำถามอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำไปกว่านี้ เพียงแค่หันเดินไปจากชีวิตของเธอแค่นั้น มันเป็นเรื่องยากเย็นมากนักหรืออย่างไร ผู้ชายอย่างเขาทนเหงาได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาปลอบใจแล้ว..ต่างกับเธอ ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ ถึงจะลืมความรู้สึกที่มีต่อเขาได้ หัวใจของเธอต้องทนโดดเดี่ยวไปอีกนานแสนนาน
“ฉันกลับล่ะ”
สองมือผลักอกหนาแกร่งให้พ้นตัว แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหน ก็ถูกเขาดึงไปกอดแน่นอีกครั้ง
“ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่เบื่อเซ็กส์ของผม เราก็ยังสนุกกับมันได้ใช่ไหม”
ฝ่ามือใหญ่กางยึดท้ายทอยของเธอไว้มั่นยามโน้มใบหน้าลงจูบหนักหน่วง ถือสิทธิ์ในเรือนร่างนุ่มกลมกลึงนี้
พิมพ์ศิริสูดลมหายใจเฮือก พยายามยื้อสติที่กำลังเลื่อนลอยไปตามการชักนำของเขาอีกครา แต่เธอจะทนต้านทานไปได้อีกสักกี่อึดใจกันเชียว ในเมื่อ เลือดทุกหยาดหยดกำลังร้อนฉ่า ด้วยแรงปรารถนาจะได้รับการสัมผัสลึกล้ำจากเขา
ธีรเดชรับรู้ถึงอาการแข็งขืน เขาผละจากริมฝีปากอิ่มเปียกชื้นอย่างเชื่องช้า มองสบดวงตาของเธอชั่วอึดใจ ก่อนแค่นยิ้มนึกสมเพชตัวเอง
“ต่อให้ถูกคุณทำร้ายจิตใจสักกี่ครั้ง หรือจะมองว่าผมมันไร้ค่ามากแค่ไหน..ผมก็ยังรักคุณอยู่ดี..ในสายตาของคุณ..ผมคงดูโง่มากเลยใช่ไหม”
หัวใจของคนฟังมันบีบรัดรวดร้าว ยามสบดวงตาสั่นไหวอ่อนแสง เผยถึงหัวใจอันขาดวิ่นยับเยินของเขา ฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดไว้ขาดสะบั้น พร้อมที่จะทิ้งร่างลงสู่หุบเหว และแม้จะสงสารเขาจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาปลอบประโลม ในเมื่อ สถานการณ์ระหว่างเธอกับเขา มันคือสิ่งต้องห้ามที่เกินกว่าใครๆจะมาเข้าใจ
สองมือประคองใบหน้าสากระคายด้วยไรหนวดเครา พลางเขย่งปลายเท้าส่งใบหน้าตัวเองขึ้น กระซิบชิดริมฝีปากได้รูป
“ใช่..คุณมันทั้งโง่ ทั้งดื้อด้านที่สุด..”
และแนบริมฝีปากจูบเขาอย่างอ่อนหวานแทนคำพูดปลอบโยน
ชายหนุ่มสวมกอดแน่น ไม่แน่ใจในการกระทำของเธอสักเท่าไหร่..แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
“ผมรักคุณ”
เขาพูดชิดริมฝีปากพลางเลื่อนไปตามแนวสันคางต่ำลงไปจูบเม้มที่ซอกคอและใบหู ซึ่งเธอเอียงลำคอให้การต้อนรับเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ และไม่กี่อึดใจ ร่างของเธอก็ถูกพามานอนลงบนกลางเตียง ตามด้วยร่างหนาหนักทอดตัวลงสร้างความอบอุ่นให้เธอ
....................................................................................................................
ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2560, 03:05:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2560, 03:05:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 958
ตอนจบ >> |