ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา
ธีรเดชหลงรักพิมพ์ศิริตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และเมื่อโชคชะตาทำให้เขามีความสัมพันธ์กับเธอเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันยิ่งกลายเป็นสายใยผูกมัดหัวใจเขาให้ติดอยู่กับเธอจนไม่อาจถอนตัว แม้จะรู้ดีว่า หากยังดึงดันที่จะรักเธอต่อไป สิ่งที่เขาต้องแลกก็คือ 'ชีวิต' แต่เขาก็ยังเลือกที่จะ 'รัก' เธอต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจสุดท้าย.

Tags: บู้ โรม้านซ์

ตอน: ตอนจบ

เดิมทีศราคิดจะไปเยี่ยมลูกสาวหลังจากที่จัดการเคลียร์ข้อข้องใจกับบรรดาลูกน้องที่คาสิโนเสร็จสิ้น แต่เมื่อรู้ว่าทวีสินอยู่ที่โรงพยาบาล และกำลังเจรจาเรื่องงานแต่งของลูกกับภรรยาและพี่สะใภ้ เขาจึงเลือกที่จะกลับบ้านแทน เพราะรู้ตัวดีว่า หากไปเผชิญหน้ากันในขณะนี้ รับรองว่าการเจรจาต้องล่มเป็นแน่ ถึงแม้จะพยายามคิดถึงความสุขของลูกและผลประโยชน์ที่จะตามมา แต่ความเกลียดชังที่มีมาเกือบตลอดทั้งชีวิตมันได้ฝังลงไปในกระแสเลือดแล้ว คงยากที่จะเปลี่ยนใจยอมรับคู่อริได้ภายในวันเดียว และแม้แต่พี่ชายผู้ใจเย็นเป็นน้ำ ก็คงไม่สามารถเปิดใจยอมรับได้ในทันทีเช่นกัน

และคิดอย่างหัวเสีย ไม่รู้ว่าตนเองทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับทวีสิน ถึงได้หนีกันไม่พ้นเสียที ซ้ำร้ายยังต้องมาเกี่ยวดองกันอีก..นี่มันนรกชัดๆ!!

ธีรเดชลืมตาตื่นขึ้นมาในความสลัวด้วยความรู้สึกอื้ออึงกับชีวิตตนเอง..เอื้อมมือไปกดสวิซต์เปิดมู่ลี่ให้แสงแดดยามเช้าผ่านเข้ามา ก่อนลุกขึ้นเดินไปอิงแผ่นผนังกระจกบานหนา สายตาครุ่นคิดมองความเคลื่อนไหวของผู้คนและยวดยานพาหนะที่เห็นลิบๆ พลางคิดถึงงานแต่งของตนที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นที่เรียบร้อย แม้จะดีใจแต่ลึกๆแต่ก็ยังอึดอัดกับชีวิตที่ต้องอยู่ภายใต้การบงการของคนอื่น ซึ่งเขาคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวอย่างหนักทีเดียว..แต่หากคิดในแง่ดี อย่างน้อย เขาก็ยังมีสาวคนรักไว้คอยเคียงข้าง ซึ่งรออีกไม่กี่วัน หมอก็คงจะอนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลตามคำขอของ อนาวิน ที่ร่ำๆอยากพาเธอออกจากโรงพยาบาล แต่ติดที่นายแพทย์ต้องการมั่นใจว่าครรภ์ไม่มีอาการแทรกซ้อน จึงจะยอมให้กลับบ้านได้ และเขาเองก็รอคอยที่จะพบเธออีกครั้งเช่นกัน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า ศราจะยอมให้เขาเข้าใกล้ลูกสาวได้เมื่อไหร่ หรือต้องรอจนกว่าจะถึงงานแต่งเลยรึเปล่า ถ้าขืนเป็นเช่นนั้น เขาคงทุรนทุรายไปทั้งเดือนเป็นแน่

และในตอนนี้ ก็เบื่อนั่งๆนอนๆรอคอยอยู่เช่นนี้เต็มกลืนแล้ว อยากจะกลับไปทำงานเสียที และคงต้องขอเจรจากับอนาวินอีกครั้ง

อนาวินปิดโทรศัพท์ หลังจากสั่งการบางอย่างกับลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และหันมามอง เมื่อเอ็มเดินเข้ามาบอกว่าธีรเดชมีเรื่องจะพูดด้วย

“ให้เข้ามา” เขาบอก พลางลบไฟล์รูปภาพบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีลอบทำร้ายบิดาออกจากเครื่องคอมพ์ และแน่นอนว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่ไร้ซึ่งลมหายใจแล้วทั้งสิ้น พลางยอบตัวนั่งลงบนขอบโต๊ะทำงาน มองผู้ที่ก้าวเข้ามา

“ขอโทษ ที่มารบกวนแต่เช้าครับ”

“ไม่เป็นไร ว่าเรื่องของคุณมาเลยดีกว่า”

“ผมอยากกลับไปทำงาน ถ้าขืนหยุดนานกว่านี้ คงถูกไล่ออกแน่”

“นั่นสินะ และถ้าคุณถูกไล่ออก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้แต่งงานกับขวัญ”

อนาวินปรายสายตามองสีหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่ดูจะไม่พอใจความเป็นจริงในเหตุผลของการแต่งงานครั้งนี้

“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องกลับมาที่นี่อีก”

“ผมให้คุณกลับไปทำงานได้ แต่คุณต้องกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม”

“คุณคิดจะขังผมตลอดชีวิตเลยรึไง” ธีรเดชแย้งอย่างสุดทน แต่อีกฝ่ายกลับเอียงใบหน้าเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มยียวน

“ในเมื่อคุณยอมรับข้อตกลง คุณก็ต้องทำตามที่ผมสั่ง..อย่าลืมสิ”

ฝ่ามือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างข่มใจ เมื่อนึกถึงคำมั่นที่จำต้องรับปากอีกฝ่ายและแค่นเสียงตอบอย่างอัดอั้น

“ผมไม่ลืม”

“ถ้าไม่ลืมก็ดีแล้ว และผมอยากจะเตือนอีกข้อให้คุณสำนึกไว้เสมอ ว่าทันทีที่คุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับครอบครัวของผม ชีวิตของคุณก็ไม่มีอะไรง่ายดายแล้ว รวมทั้งความปลอดภัยด้วย ซึ่งผมไม่อยากให้มีความเสี่ยงใดๆเกิดขึ้นกับคุณ”

“ผมดูแลตัวเองได้” ธีรเดชแย้งเสียงแข็ง

“ก็ผมบอกแล้วไง ว่าไม่อยากเสี่ยง” อนาวินย้ำเสียงเข้ม และแววตาแข็งกร้าวบนใบหน้าดุดัน บ่งบอกถึงสิ่งที่ต้องการตามที่พูดออกไป “คุณควรจะนึกถึงจิตใจขวัญให้มากๆ เพราะหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ขวัญจะต้องเสียใจมากแค่ไหน”

คนฟังถอนใจเฮือกใหญ่

“ผมรู้แล้ว..งั้นผมขอไปทำงานวันนี้เลยก็แล้วกัน” พูดจบก็หมุนร่างเดินออกจากห้อง โดยไม่รอฟังคำอนุญาตของอีกฝ่าย ที่ได้แต่มองตามพร้อมแค่นยิ้ม

“เลือดร้อนใช้ได้”

ธีรเดชเดินกลับห้องพักด้วยความขุ่นเคือง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกหนทางนี้เอง

ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้งก่อนหยิบปืนพกที่ได้คืนมาจากบิดาใส่ซองพกข้างเอว และสวมเสื้อเชิ้ตทับ ก่อนหันหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าเงินเดินไปเปิดประตูห้อง และเห็นเอ็มยืนรออยู่แล้ว ก่อนยื่นกุญแจรถยนต์ส่งให้ ซึ่งธีรเดชเห็นยี่ห้อและรุ่นแล้วก็รู้ถึงราคาของมัน

“คุณจิลให้คุณใช้รถคันนี้ เพราะมันปลอดภัยกว่ามอเตอร์ไซค์”

และเป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถปัดความหวังดีของ ว่าที่พี่เขยได้ จึงพูดแขวะออกไป

“รถคันนี้ นอกจากจะติดเครื่องติดตามแล้ว ยังติดระเบิดไว้ด้วยไหม”

“นั่นคุณต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง” เอ็มพูดเจือรอยยิ้ม แต่คนฟังไม่รู้สึกขำสักนิดเดียว และคว้ากุญแจนั้นมา

“ฉันจะเอานายร่วมพิสูจน์ด้วย” และทำท่าจะเดินผ่านไป แต่ก็หันกลับมา ด้วยนึกอะไรขึ้นมาได้

“อ้อ! บอกเจ้านายด้วยว่า ช่วยกรุณารื้อกล้องที่แอบซุกอยู่ในห้องออกให้ด้วย..ขอขอบคุณล่วงหน้า” แล้วก็กระแทกเท้าเดินจากไป...แต่เพียงไม่กี่อึดใจ เอ็มก็ก้าวตาม เพราะได้รับคำสั่งจากนายหนุ่มให้คอยติดตามนายตำรวจผู้นี้



ธีรเดชถูกสายตาหลายคู่จับจ้องทันทีที่เขาหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าลานจอดของสนง.ตำรวจแห่งชาติ เขาทำเป็นไม่เห็น จนกระทั่งเดินเข้ามาอยู่ภายในห้องของผู้บังคับบัญชา ซึ่งผู้เป็นนายก็กำลังใช้สายตากวาดมองไม่ต่างจากพวกที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้เลย

“คุณเป็นคนที่สามารถสร้างความประหลาดใจได้ตลอดเลยนะ หมวดธีร์”

“ขอโทษครับ ที่สร้างความยุ่งยากให้ท่าน”

“ช่างเถอะ” ท่านจำรัสโบกมือไม่ใส่ใจ “ตอนที่พ่อของคุณโทรมาขอให้ผมเป็นเถ้าแก่ให้ ยังคิดว่าตัวเองหูฝาดไปด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยคิดว่า พวกเรากับคนตระกูลนี้จะญาติดีกันได้ มันก็เลยเกิดคำถามกันขึ้นเป็นวงกว้าง ซึ่งผมถึงจะเป็นหัวหน้า แต่ก็จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ เพราะถึงอย่างไร คุณก็ต้องตอบคำถามนี้ให้สังคมได้รู้อยู่แล้ว..เพียงแต่อยากจะขอเตือนสติสักหน่อย ว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกกลืน จนหลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่ทำอะไร ก็แล้วกัน”

“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ครับ..ผมรู้ตัวดี ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำหน้าที่อะไร ครับท่าน”

ธีรเดชยืนยันหนักแน่นอย่างเข้าใจความนัยของผู้บังคับบัญชา..สำหรับตระกูลพาณิชย์ไพศาลที่รุ่งเรืองมาจากธุรกิจสีเทา และในปัจจุบันชื่อเสียงในด้านมืดยังคงเป็นเงาดำอยู่ในวงการสีกากี จึงไม่แปลกใจที่จะถูกมองในด้านลบ ซึ่งนับจากนี้ไป เขาก็จะถูกหมายหัวร่วมกับตระกูลนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

“ถ้าเป็นอย่างที่พูดก็ดี เพราะอุตส่าห์เป็นเถ้าแก่ให้แล้ว ก็ไม่อยากให้ใครมาด่าพาดพิงลับหลัง”

“ขอบคุณที่ท่านยอมเป็นเถ้าแก่ให้ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ”

“ก็ดี..อ้อ! แล้วนี่เจอนิธานรึยัง เขาจะให้คุณร่วมทีมน่ะ”

“ยังไม่ได้เจอครับ ผมมารายงานตัวกับท่านก่อน..ส่วนเรื่องงาน เขาโทรไปบอกผมเมื่อไม่กี่วันนี้ครับ”

“งั้นก็ไปคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวซะ เพราะนิธานเขาทำเรื่องดึงตัวคุณแบบถาวรมาให้ผมเซ็นแล้ว..ส่วนคุณกับผม จบเรื่องแล้ว”

“ครับท่าน”

จำรัสมองตามหลังร่างสูงที่หันเดินออกจากห้องด้วยสายตาครุ่นคิด..เรื่องภาพหลุดของธีรเดชนั้นเขารู้ว่าเป็นฝีมือของใคร และที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะอยากจะดูว่า เจ้าลูกน้องตัวแสบทั้งสองนี้จะมีแผนการในการหาผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร เพราะถึงแม้ว่านายตำรวจหลายนายไม่พอใจกับกลุ่มไพศาล กรุ๊ป แต่ในทางกลับกัน ก็ยังมีนายตำรวจอีกไม่น้อยเช่นกันที่ให้ความสัมพันธ์อันดีในเรื่องของผลประโยชน์ เพียงแต่ช่วงนี้อาจจะถอยห่างออกไปบ้าง เพราะดูเหมือนว่าก่อนที่จะมีการลอบโจมตีผู้เป็นนายใหญ่ของตระกูล ตำรวจใหญ่หลายนายต้องพบชะตากรรมพลิกผัน ถูกขุดคุ้ยในเรื่องทุจริตจนโดนเด้งเข้ากรุไปหลายนาย ทำให้พวกที่เหลือเริ่มขยาด จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ หูตาตำรวจที่มีเหมือนเป็นสับปะรด กลับกลายเป็นมืดบอด ทำงานสะเปะสะปะอย่างไร้ทิศทาง ซึ่งเขากับกลุ่มเพื่อนสนิทยังเคยพูดถึงคดีนี้ว่า เป็นคนในวงการตำรวจนี่ล่ะคอยจัดฉากให้ มันถึงไม่มีหลักฐานอะไรหลุดรอดออกมาให้อีกฝ่ายนำไปสืบหาคนร้ายได้ ซึ่งในตอนนั้น เขายอมรับว่าเป็นเพราะอคติ ทำให้เมินเฉยต่อคดีนี้ ปล่อยให้เรื่องมันดำเนินไปตามเวรตามกรรม จนกระทั่ง เจ้าหลานชายตัวแสบมันมาหาเรื่องข่มขู่ให้ดึงคดีนี้มาทำนั่นล่ะ เขาถึงเริ่มเห็นธาตุแท้ของเพื่อนร่วมอาชีพที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา และคิดว่า หลังจากที่มีข่าวเรื่องงานแต่งที่เสมือนเป็นการปลดล็อกความขัดแย้งที่มีมายาวนานระหว่างตระกูลนี้ กับองค์กรตำรวจ เขาคงจะเห็นตำรวจหลายนายพากันดิ้นพราดเป็นแน่ เพราะหากสองกลุ่มนี้หันหน้ามาปรองดองกันเมื่อไหร่ ความซวยก็จะย้อนกลับไปหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปกปิด ซุกซ่อน ในคดีนี้ทั้งหมด

และก็เชื่อมั่นในตัวของนิธาน ว่าจะต้องหาทางปิดคดีนี้ได้สำเร็จ และเขา ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ย่อมได้ทั้งผลประโยชน์และชื่อเสียงเป็นรางวัลตบท้าย ก่อนการลาตำแหน่ง

ธีรเดชเดินไปหานิธานที่ห้องทำงาน ซึ่งดนัยนั่งอยู่ก่อนแล้ว และสายตาที่ทั้งคู่มองมานั้นช่างเต็มไปด้วยลับลมคมนัยอย่างประหลาด

“มาให้เห็นหน้ากันเสียทีนะ หมวดธีร์” นิธานทักทายเป็นคนแรก ตามด้วยดนัยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหยัน

“เห็นที ต่อไปนี้คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณแล้วสินะ”

“ถ้าอยากจะลดขั้นมาเดินตามก้นกัน..ผมก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ”

ดนัยหน้าตึงกับคำตอบโต้ ในขณะที่นิธานหัวเราะขลุกขลักพร้อมตบบ่าเพื่อน

“เอาน่า อย่าเพิ่งออกตัวแรงกันนัก..ฉันรู้นะว่านายสองคนน่ะ รักกันจะตายไป”

ดนัยหายใจฟืด พลางบ่นงึมงำไปตามประสา..นิธานจึงหันมาพูดกับธีรเดชอีกครั้งอย่างเป็นงานเป็นการ

“นั่งก่อนสิหมวด..คงรู้แล้วนะ ว่าผมให้คุณเข้าทีมถาวร”

“ครับ” ธีรเดชหยิบเก้าอี้หน้าโต๊ะเลื่อนออกมานั่งทิ้งระยะห่างกับดนัยอย่างเห็นได้ชัด

นิธานซ่อนรอยยิ้ม ก่อนพูดขึ้น “ดี..ผมก็อยากปิดคดีนี้เสียที และตอนนี้ ผมว่า คุณเองก็อยากจะปิดคดีนี้เช่นกัน ใช่ไหม”

“ครับ”

“งั้นมาต่อให้มันเสร็จๆไปเลย”

นิธานหยิบแฟ้มเอกสารส่งให้ทั้งสอง พลางเปิดข้อมูลขึ้นจอทัชสกรีน..ซึ่งถึงแม้ธีรเดชกับดนัยจะมีถ้อยคำตอบโต้กันบ้าง แต่เพราะความตั้งใจอยากให้คดีนี้สำเร็จลุล่วง ทำให้ทั้งสองเลือกที่จะสงบปากสงบคำให้กัน

ธีรเดชสังเกตแนวทางการสืบคดีของนิธานจะมุ่งไปที่ผู้สมรู้ร่วมคิดเสียมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นบุคลากรภายในองค์กรตำรวจ แต่เมื่อเห็นจำนวนของผู้ต้องสงสัยที่เสียชีวิตด้วยเหตุไม่เป็นธรรมชาติ และบางส่วนหายสาบสูญ เขาก็เริ่มเข้าใจเหตุผลของนิธาน และในความรู้สึกจากที่คลุกคลีกับอนาวินในช่วงระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าอำนาจการปกครองของไพศาลกรุ๊ป เกือบทั้งหมดได้ถูกถ่ายโอนมาอยู่ในมือของชายหนุ่มแล้ว และคาดเดาได้ว่า อนาวิน คือผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ แต่ก็ไม่กล้าสืบค้นให้ลึกลงไป เพราะกลัวความจริงที่ปรากฏจะมาบั่นทอนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนเกินขอบเขตที่จะรับได้ จึงจำต้องปล่อยผ่านไป ให้เหลือเพียงความสงสัยไว้แค่นั้น

ทั้งสามจมอยู่ภายในห้องทำงานของนิธานจนถึงเวลาเลิกงาน

แต่อารมณ์ติดพันยังมีอยู่ จึงคิดจะออกไปหาอะไรนั่งดื่มด้วยกันต่ออีกหน่อย..และเมื่อก้าวออกจากลิฟต์เตรียมเดินไปที่ลานจอดรถ ขณะยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า จะไปจบที่ร้านไหน จึงมัวแต่ถามกันไป-มา จนไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า กว่าจะรู้ตัว ก็ถูกฝูงนักข่าวกรูเข้ามา

นิธานกับดนัยถูกเบียดแทบกระเด็นมายืนมองหน้ากันด้วยความมึนงงอยู่นอกวงล้อมที่กักขังธีรเดชไว้ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวต้องเบือนหน้าหนีแสงแฟรชพวยพุ่งวูบวาบจนแสบตา เสียงกดชัตเตอร์รัวยิบพร้อมๆกับสารพัดคำถามเรื่องระหว่างเขากับพิมพ์ศิริยิงใส่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้หงุดหงิดจนรู้สึกถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบๆอยู่ริมขมับ สมองอื้ออึงไปหมดกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ ซึ่งตัวเขานั้นก็เคยถูกสัมภาษณ์จากนักข่าวมาบ้างแล้วเช่นกัน เพียงแต่มันเป็นเรื่องของคดีความเท่านั้น และจำนวนก็เพียงแค่ไม่กี่คน ไม่เหมือนในขณะนี้ที่มืดฟ้ามัวดินไปหมด จนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ได้แต่พยายามเดินหนี แต่ก็ไปไหนไม่ได้

“หมวดคะ ตอบพวกเราหน่อยสิคะ” เสียงนักข่าวคนหนึ่งตะโกนแหลมขึ้นมาอย่างหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ และนักข่าวคนอื่นก็ส่งเสียงสนับสนุนกันแซด

“นั่นสิ ตอบพวกเราหน่อย ว่าหมวดกับคุณขวัญไปรักกันได้ยังไง จู่ๆทำไมถึงมีงานแต่ง แต่งเพราะเรื่องการเมืองหรือเหตุผลอื่น ช่วยตอบให้พวกเราหายข้องใจหน่อย”

“แล้วผมจะตอบพวกคุณวันหลัง..วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว..ขอตัวก่อนครับ” เขาพยายามจะเดินฝ่ากลุ่มนักข่าวที่เสมือนเป็นกำแพงมนุษย์ แต่คำถามหนึ่งพุ่งมากระทบหู ทำให้ชะงักงันจนต้องหันสายตาหาคนพูด

“ที่รีบแต่ง เพราะคุณขวัญท้องรึเปล่า”

ซึ่งมันคือคำถามสูตรสำเร็จของบรรดานักข่าว และแม้จะเป็นความจริง แต่มันก็เป็นคำถามที่ทำให้คนฟังรู้สึกโมโหกับการถูกรุกล้ำเรื่องส่วนตัว และน้ำเสียงนั้นมันเหมือนจะหยามเกียรติสาวคนรักไม่น้อย จนนึกอยากกระแทกหมัดใส่ปากช่างจ้อเป็นคำตอบแทน..แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรหรือพูดอะไรออกไป กลุ่มของนักข่าวก็ถูกแหวกด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ และหนึ่งในนั้นก็มีเอ็มที่รีบดึงตัวเขาให้เข้ามาอยู่ในวงล้อมของการปกป้อง พร้อมหันไปพูดกับนักข่าวเสียงเข้ม

“อีกสองวันจะมีการจัดแถลงข่าวเรื่องงานแต่งอย่างเป็นทางการ แล้วเราจะแจ้งเวลากับสถานที่อีกครั้งครับ”

และพากันเคลื่อนขบวนโดยไม่สนใจตอบคำถามใดๆอีก นอกจากใบหน้าแต่ละคนนั้นล้วนดุดัน และการเกาะกลุ่มเกี่ยวแขนก้าวเดินนั้นไม่มีการประนีประนอม ทำให้นักข่าวจำต้องเปิดทาง ไม่เช่นนั้น พวกเขาเองคงถูกแรงมหาศาลพุ่งชนจนกระเด็นเป็นแน่ ทั้งหมดจึงได้แต่มองตามร่างของนายตำรวจหนุ่มถูกพาขึ้นรถยนต์คันหรู ในขณะกลุ่มที่เหลือขึ้นรถเอสยูวีขับตามกันออกไปอย่างเจ็บใจ และเมื่อไม่ได้คำตอบใดๆจากเป้าหมาย จึงคิดจะหาข่าวจากเพื่อนตำรวจอีกสองนายแทน..แต่เมื่อหันกลับมา ก็ไม่เห็นทั้งสองคนแม้แต่เงาเสียแล้ว

ธีรเดชที่ถูกนั่งประกบสองข้างได้แต่นั่งหายใจฟืดฟาด ฉุนเฉียวในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย รวมทั้งสติของตัวเองที่เกือบหลุดไปแล้ว ถ้าหากไม่ถูกดึงออกมาเสียก่อน คงได้ทำอย่างที่ใจคิดกับไอ้นักข่าวคนนั้นเป็นแน่..และเอ็มที่นักข้างคนขับหันใบหน้ามาเล็กน้อย เพียงเพื่อพูดกับเขา

“นี่แค่เริ่มต้น คุณควรต้องเริ่มทำความคุ้นเคยกับการถูกคุกคามพื้นที่ส่วนตัวได้แล้ว”

“ฮึ! ถ้าเรื่องนี้ สงสัยต้องฝึกกันนาน” ธีรเดชแค่นเสียงตอบ พลางถอนใจอีกเฮือกกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต



หลังจากพิมพ์ศิริออกจากโรงพยาบาล ทีมงานของอนาวินส่งบทสคริปต์ให้ธีรเดชท่องจำจนขึ้นใจก่อนเปิดแถลงข่าวเรื่องงานแต่งให้สื่อมวลชนได้ซักถาม ซึ่งครั้งนี้ชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่นัก เพราะคนรักสาวคุ้นชินกับการถูกสัมภาษณ์จะเป็นผู้ตอบคำถามนอกบทให้เสียเป็นส่วนใหญ่ และนอกจากนั้น ยังมีคนของอนาวินคอยคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ..ทุกอย่างจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งงานแต่งจะถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ตัวเขาจึงถูกกำหนดให้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องชุดของพิมพ์ศิริแทนการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับศรา ที่ยังคงมึนตึง รวมทั้งประมุขใหญ่ของตระกูล แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่ง แต่สายตาที่ปรายมองให้ความรู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ อีกทั้งยังบรรดาลูกน้องแต่ละคนจับจ้องเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่ย่างกรายเข้าสู่อาณาบริเวณของบ้าน เต็มไปด้วยความกังขา หวาดระแวง และไม่เป็นมิตร แต่นับว่ายังโชคดีที่นายผู้หญิงของบ้านทั้งสองคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จึงช่วยลดความตึงเครียดไปได้มากทีเดียว ไม่เช่นนั้น เขาคงโดนสายตาเหล่านั้นรุมป่นกระดูกจนซีดคาบ้านเป็นแน่

ผู้กำกับเกรียงไกรปิดโทรทัศอย่างร้อนใจเรื่องข่าวงานแต่งระหว่างธีรเดชกับพิมพ์ศิริ

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ไงวะ”

เขาลุกขึ้นเดินไปมา จิตใจเริ่มหวาดหวั่น แผนการที่เขามีส่วนร่วมคงถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็วๆนี้แน่นอน เพราะเหมือนมีข่าวจากวงในว่า ผู้เกี่ยวข้องในคดีของตระกูลพาณิชย์ไพศาลเริ่มล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน ซึ่งรวมทั้งการเสียชีวิตของพลเอกชยพล ที่ทำให้หลายๆคนเริ่มหนาวๆร้อนๆ

และยิ่งกระวนกระวาย เมื่อเฉลิมพล ลูกน้องคนสนิทก็มาหายตัวไปอีกคน ซึ่งคาดเดาว่า คงมีชะตากรรมเดียวกับผู้ที่หายสาบสูญรายอื่นๆเป็นแน่..เมื่อเห็นว่าภัยเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ จึงกดโทรศัพท์หา สส.นพคุณ

รอเพียงไม่กี่อึดใจ ปลายสายก็กดรับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“บอกแล้วไง ว่าอย่าโทรหาผม เดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอก”

“ผมก็ไม่อยากจะโทรมานักหรอก แต่เพราะข่าวงานแต่งของไอ้หมวดบ้านั่นล่ะ มันถึงทำให้ผมต้องโทรหา..ดูเหมือนเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ มันไม่เหมือนกับที่เคยคุยกันไว้เลย”

“มันเป็นเพราะคุณที่ไม่จัดการไอ้ตำรวจนั่นเสียตั้งแต่แรก มัวแต่กลัวอะไรบ้าๆบอๆอยู่นั่นล่ะ”

“คุณจะมาโทษผมฝ่ายเดียวได้ยังไง ในเมื่อคุณเองที่ทำพลาดก่อน ทั้งเรื่องเสี่ยเล่ย ทั้งนายอนาวิน จนป่านนี้คุณก็ยังจัดการอะไรไม่ได้..แล้วจะบอกให้นะ ว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นเริ่มเอาคืนแล้ว..และถ้าผมซวย พวกคุณก็ซวยกันหมดนั่นล่ะ”

“อย่ามาขู่กันนะ อย่าลืมเสียล่ะ ว่าที่คุณมีวันนี้ได้ก็เพราะผม”

“เอาไว้ให้เรื่องจบก่อนเถอะ แล้วค่อยมาทวงบุญคุณ..ตอนนี้จะทำอะไรก็รีบๆทำซะ ถ้าขืนชักช้า เราได้โดนรวบกันหมดแน่..ผมโทรมาเตือนแค่นี้ล่ะ” พูดจบก็วางสาย พลางครุ่นคิด..คงถึงเวลาที่เขาต้องเตรียมแผนสำรองเพื่อหาทางรอดเสียแล้ว

นพคุณโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานอย่างหัวเสีย และหันมาทางลูกชายที่ยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่าง

“เราคงต้องเปลี่ยนแผนกันแล้ว”

“พ่อจะทำอะไร”

“ก็จะใช้งานแต่งนั่นล่ะ ล้างบางไอ้พวกที่คอยขัดแข้งขัดขาไปให้หมด..จะได้เอาคนของเราขึ้นแทนได้ง่ายๆหน่อย”

ทัตเทพนิ่วหน้า ไม่ค่อยชอบความคิดนี้ของบิดาสักเท่าไหร่

“มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอครับ..แบบนี้คุณลุงคงไม่เห็นด้วยแน่ๆ”

“ก็ไม่ต้องบอกเขาสิ ฮึ! ไอ้อุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนโลกของลุงแกน่ะมันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่ไม่มีใครเขาทำกันหรอก” นพคุณเขม็งมองลูกชายเพียงคนเดียว “ฉันรู้ ว่าแกน่ะบูชาลุงมากแค่ไหน แต่แกต้องแยกแยะให้ออกว่า เรื่องบางเรื่องมันเป็นไปไม่ได้ และอีกอย่าง แกเป็นลูกของฉัน เพราะฉะนั้น ก็สมควรที่จะเชื่อฟังฉันมากกว่าลุงของแก”

เมื่อเห็นว่าลูกชายยังมีสีหน้าแข็งขืน เขาก็ยื่นมือไปตบบ่ากว้างนั้นเบาๆ

“ฉันอยากให้แกเข้าใจ ว่าทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อแกทั้งนั้น..เมื่อก่อน ฉันก็คิดว่า แผนของลุงแกแม้ดูจะยืดยาดสักหน่อย แต่ก็มั่นใจว่าสำเร็จแน่นอน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว และถ้าขืนชักช้า พวกเราทั้งหมดคงไม่รอด เพราะเมื่อกี้ผู้กำกับก็บอกเองว่า พวกไพศาล กรุ๊ป เริ่มเอาคืนแล้ว เราถึงต้องกำจัดคนที่อยู่ตรงข้ามกับเราไปให้หมดยังไงล่ะ..แกคงเข้าใจนะ”

ชายหนุ่มยอมรับอย่างจำใจ

“ครับ”

“ดีมาก..แล้วเรื่องระหว่างแกกับลูกสาวเสี่ยเล่ยล่ะ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

“ไม่ไปไหนเลยครับ..หนูเล็กติดไอ้บอดี้การ์ดนั่นแจ แทบไม่ห่างกันเลย” ทัตเทพตอบอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขารู้สึกด้อยค่าเท่ากับที่โมรียากระทำต่อเขาเลย และแม้ว่าจะดึงเพื่อนสาวผู้มีเสน่ห์เหลือล้นมาเป็นตัวช่วยเบี่ยงเบนเจ้าบอดี้การ์ดนั่นให้ออกห่าง แต่ก็ไม่สำเร็จ

นพคุณพ่นลมหายใจฟืดฟาดขัดเคืองในความเรื่องมากของโมรียา ขนาดลูกชายของเขาเป็นที่หมายปองสาวๆกันทั้งบ้านทั้งเมืองขนาดนี้ ยังมีอะไรไม่ถูกใจอีกเรอะ!

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อหาทางจัดการให้..ตอนนี้เตรียมคนของเราให้พร้อมสำหรับงานแต่งก่อน”

“ครับ”

“แล้วก็..เรื่องที่พูดกันวันนี้ ห้ามให้ลุงของแกรู้เด็ดขาดนะ”

เมื่อบิดาย้ำเช่นนี้ เขาจึงจำต้องพยักหน้ารับ “ครับ”

“ดีมาก..แกจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ แล้วฉันจะบอกอีกที ว่าให้ทำอะไรบ้าง”

เมื่อคล้อยหลังลูกชายไปแล้ว นพคุณโทรศัพท์สั่งงานลับกับลูกน้องคนสนิท..ใบหน้าอวบอูมแค่นยิ้มเหี้ยม ยามนึกถึงงานวิวาห์ที่จะละเลงไปด้วยเลือด

“งานนี้ สนุกแน่...”

เสียงยวดยานบนท้องถนนดังมาให้ได้ยินเบาๆ เป็นระยะจากประตูกระจกที่ปิดไม่สนิท..

ธีรเดชนั่งบนปลายเตียงภายในห้องพักของตน สายตาทอดมองร่างเพรียวระหงที่ยืนมองความสับสนวุ่นวายบนระเบียง ลำแสงแดงส้มของอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าส่องผ่านเดรสยาวสีอ่อนหวานให้เห็นเลือนๆถึงโครงสร้างอ่อนช้อยของเรือนร่างงดงาม เส้นผมยาวดำขลับพลิ้วไหวตามสายลมโชยเอื่อย ฝ่ามือบอบบางยกขึ้นขยับเรียวนิ้วจับปอยผมยาวรุ่ยร่ายเหน็บหลังใบหู ก่อนดวงหน้าเนียนละมุนจะหันกลับมา ดวงตาคมหวานสบตรึงจนไม่อยากละสายตาไปแม้สักเสี้ยวนาที ในความรู้สึกเหมือนกำลังลอยล่องอยู่ในภวังค์ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องจริง..

เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอใน สนง.ตำรวจแห่งชาติ..และพระเจ้ามักเล่นตลกร้ายกับชะตาชีวิตของมนุษย์เสมอ สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น ใครจะคาดคิดว่า จู่ๆเธอจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในชีวิตอันแสนเปลี่ยวเหงา ปลุกความหวังให้คนอย่างเขาทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าหัวใจของเธอมาครอง..ผู้หญิงที่สูงเกินเอื้อมเกินกว่าคนอย่างเขาจะสามารถรักได้.. และแม้จะถูกทำให้เจ็บช้ำสักแค่ไหน หรือเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด..แต่ในที่สุด เขาก็ได้ครอบครองเธอทั้งตัวและหัวใจ รวมทั้งสายใยระหว่างเขากับเธอที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต..เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่สวยงามเกินบรรยายสำหรับเขาแล้ว

“ผมรักคุณ..”

ชายหนุ่มพูดออกไป เมื่อเธอเลื่อนเปิดประตูและเดินมายืนตรงหน้า รอยยิ้มหยัดน้อยๆมุมปากอิ่มสีเรื่อ อย่างปลาบปลื้มใจทุกครั้ง เวลาที่ได้ยินประโยคนี้จากเขา

“ฉันรู้แล้ว”

“คุณรักผมไหม..”

พิมพ์ศิริสบนัยน์ตาอ่อนเชื่อมของผู้ถาม โน้มตัวลงจูบหน้าผากเขา “คุณรู้อยู่แล้ว”

“ก็ผมอยากฟังอีกนี่นา” ว่าพลางดึงเธอให้มานั่งลงบนหน้าขา พร้อมกอดร่างกลมกลึงแน่น เกลือกกลิ้งใบหน้ากับทรวงอกอิ่ม จนหญิงหัวเราะคิกกับกริยาของเด็กโข่งเอาแต่ใจ จนต้องตีไหล่หนาเสียหนึ่งทีเพื่อยุติ

“เดี๋ยวเถอะ! ไหนบอกจะเก็บของไง..ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นทำอะไรเลย”

“ก็คุณน่าสนใจกว่าการเก็บของเป็นไหนๆ” และไม่พูดเปล่า ฝ่ามือเริ่มซุกซนไต่ตามเรียวขา ริมฝีปากไล่จูบไปตามลำคอนุ่มหอม ซึ่งเธอยอมโอนอ่อนเพียงครู่ ก็ยึดมือใหญ่ที่ทำท่าจะเลื่อนเข้าใต้ชายกระโปรงที่ถูกรั้งขึ้นมา

“พอได้แล้ว..สองคนนั่นคอยอยู่นะ”

“ก็ปล่อยให้คอยไปสิ อยากตามมาทำไมล่ะ” ตอบอย่างดื้อดึง เพราะวันนี้ หลังเลิกงานแล้ว เขาแวะมาเก็บของที่จำเป็นบางส่วนก่อน แล้วที่เหลือ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนักจะถูกนำไปเก็บไว้ที่บ้านของบิดา..และแน่นอนว่า นอกจากหญิงสาวจะมากับเขาตามคำชวนแล้ว ย่อมมีผู้ติดตามพ่วงมาด้วยและครั้งนี้นอกจากเสือ ก็ยังมีเอ็มที่คอยตามประกบเขาอีกคน ซึ่งทั้งสองเลือกที่จะนั่งคอยอยู่ภายในรถ และแน่นอนว่า..เขาจะปล่อยให้รอจนเฉาแน่

แต่เมื่อถูกสายตาดุๆของเธอเขม็งมอง ก็ถอนใจเฮือกอย่างจำยอม ตัดพ้อเสียงงึมงำ

“ก็ผมอยากกอดคุณจะแย่แล้วนี่นา..คุณไม่คิดถึงผมเหรอ” เสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยการออดอ้อนและวอนขอ ก่อนวงแขนแกร่งกระชับแน่น ซบใบหน้าแทบอกอิ่มภายใต้อ้อมกอดของเธอ

พิมพ์ศิริแทรกนิ้วเล่นกับกลุ่มผมหนา ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มละมุนยามตอบกลับไป

“งั้นก็รีบกลับห้องของฉันสิ..แล้วจะรู้ ว่าฉันคิดถึงคุณรึเปล่า”

เสียงหวานนั้นเต็มไปด้วยความยั่วยวนจนเขาต้องผละตัวออก เพื่อมองใบหน้าของเธอให้ชัดเจน และเห็นถึงความร้อนแรงในดวงตาคมหวาน หัวใจพองคับอก นึกอยากโยนเธอขึ้นเตียงเสียเดี๋ยวนี้ และเหมือนว่าจะยิ่งแกล้งปลุกปั่นอารมณ์เขาให้พุ่งพล่านด้วยเรียวนิ้วเรียวบางแตะริมฝีปาก ก่อนเลื่อนกรีดปลายเล็บเบาๆไปตามแนวสันคางไล่ลงมาตามลำคอหนา แผ่นอกตึงแน่น และรีบลุกหนีอย่างรู้ทัน ว่าความอดกลั้นของเขาใกล้สิ้นสุด

“เร็วๆสิ..เดี๋ยวฉันเบื่อนะ”

ดวงตาคมเข้ม มองสบความร้อนแรง แค่นเสียงตอบอย่างคาดโทษ “ได้เลย ทูนหัว” และเร่งเก็บของที่ต้องการใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่

ขณะที่ยืนคอย พิมพ์ศิริหันมองธนบัตรจำนวนหนึ่งปักหมุดเรียงอยู่บนกระดานไวด์บอร์ด ซึ่งเธอนึกจะถามเขาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสักครั้ง ครั้งนี้จึงได้โอกาสเสียที

“นี่เงินอะไรเหรอ ทำไมต้องแขวนไว้แบบนี้ล่ะ”

ธีรเดชวางของชิ้นสุดท้ายลงในกระเป๋า และปิดล็อก ก่อนเดินมายืนเคียงข้าง

“เงินค่าตัว ที่คุณทิ้งไว้ให้ผมคืนนั้นไง” และหันมาเท้าเอว โน้มใบหน้าเข้าใกล้อย่างเอาเรื่อง

หญิงสาวนึกทบทวนเพียงครู่แล้วก็แค่นยิ้ม

“ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ย..”

“ฮึ! บอกตรงๆเลยนะว่าผมโคตรจะโกรธเลย ที่นอกจากจะถูกฟันแล้วทิ้ง ยังถูกคุณตบหน้าด้วยเงินนี่อีก..และผมก็คิดว่า หากเจอคุณจังๆจะจับขังเดี่ยวเสียให้เข็ด”

เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นอย่างกังขา

“กล้าทำอย่างนั้นกับฉันเรอะ” เธอกอดอก มองสบอย่างท้าทาย ไม่คิดจะก้าวถอย ยามร่างสูงเคลื่อนเข้าหาอย่างคุกคาม

“บอกเลย ว่าผมอยากทำอย่างนั้นใจแทบขาด..เพียงแต่ลองมาคิดอีกที ผมมีวิธีดีกว่านั้นอีก”

ใบหน้าเข้มโน้มลงใกล้เสียจนสัมผัสลมหายใจผะผ่าวรินรดใบหน้า และกลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆของผู้ชายที่เจือบนผิวกายของเขากลายเป็นกลิ่นคุ้นชินที่ทำให้หัวใจของเธอถวิลหาจะโอบกอดซุกซบแผงอกแกร่งอย่างไม่รู้หน่าย

และหลุบสายตามองริมฝีปากได้รูป ซึ่งเวลาแย้มยิ้ม เหมือนจะเปิดโลกทั้งใบให้เธอชื่นชม

ปลายนิ้วเรียบบางไล้มุมปากเขา พลางเอ่ยถามราวกับตกอยู่ในภวังค์

“วิธีไหนเหรอ..”

ชายหนุ่มรวบมือของเธอมาจูบ ก่อนวางทาบบนแผงอกให้สัมผัสถึงการเต้นของหัวใจ

“ผมจะขังคุณไว้ข้างในนี้..” พลางขยับแนบชิด “จะผูกมัดจิตวิญญาณของคุณไว้ด้วยความรักทั้งหมดของผมไปตลอดชีวิต..โทษฐานที่ทำให้ผมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น..คุณจะยอมรับข้อหานี้ไหม”

“ยอมรับ..”

ตอบโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย ดวงหน้าคมหวานเคลื่อนหาประทับจูบริมฝีปากช่างเจรจาแผ่วเบา แสนอ่อนหวาน สองแขนโอบรอบลำคอหนาเต็มความรักใคร่ “ฉันยอมให้คุณขังไปตลอดชีวิต..พอใจในคำสารภาพนี้ไหม”

“ที่สุดเลยครับ”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มส่งประกายเปี่ยมสุข กระชับกอดแนบแน่น ขอสาบานด้วยชีวิต ว่าจะไม่มีวันปล่อยมือจากเธอเด็ดขาด!

........................................................................

จบภาค ปรปักษ์เสน่หา



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ธ.ค. 2560, 13:43:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ธ.ค. 2560, 13:43:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 794





<< บทที่ ๒๑   บทส่งท้าย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account