~Taipei, in love~ฝากใจไว้ที่ไทเป
เรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของผู้หญิงขี้อ้อน ขยันอ่อย และชอบออเซาะหนุ่มหล่อ
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
เพียงแต่...ขี้อ้อนไม่ได้แปลว่าอ่อนแอง่าย
ขยันอ่อยนั่นไม่ได้แปลแค่เข้าชู้
และชอบออเซาะหนุ่มหล่อก็ไม่ได้แปลว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ง่าย ๆ
การกลับมาอีกครั้งของเชรี สาวน้อยที่สับสนกับความรักจนเลิดคิดจะรัก
กับคติใหม่ของเธอ 'รักไม่ต้อง ขอลองอ่อยแค่พอครึ้มใจ'
Tags: เชรี ชนิศา ไทเป อ่อย
ตอน: ถ้าเนื้อคู่หนูหายาก ก็ขอแค่เพื่อนคู่คิดให้หนูเกาะคานแบบไม่เหงาก็พอ
บทที่ 3
เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และหน้าที่แพทย์ที่เผลอทำไปโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชนิศาหลับสนิทแทบทันทีที่หัวถึงหมอน เธอตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด อาจเพราะเวลาที่ไทเปช้ากว่ากรุงเทพถึงสองชั่วโมง คนคุ้นกับการตื่นเช้าในกรุงเทพจึงยิ่งตื่นเร็ว
กว่าเดิมโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
เธอใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน ชนิศาก็มานั่งเปิดอินเตอร์เน็ต หาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ตัวอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันจันทร์ เธอมีตารางเรียนช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า ยังมีเวลาอีกเกือบสี่ชั่วโมงสำหรับการท่องเที่ยว หญิงสาวตัดสินใจเลือกวัดหลงซาน หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยนิยมไปกราบไหว้บูชาเมื่อเดินทางมาที่ไทเป
เพราะรู้ฤทธิ์อากาศที่เย็นจัดของไทเปมาแล้ว วันนี้ชนิศาจึงเลือกเสื้อคลุมตัวยาวมาคลุมทับเสื้อแขนยาวคอเต่าอีกชั้นหนึ่ง ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกมาจากห้อง
ข้อดีของที่พักใกล้รถไฟฟ้าในเมืองที่เต็มไปด้วยสถานีรถไฟฟ้าและซับเวย์คือความสะดวกสบายในการเดินทาง เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงชนิศาก็มาถึงสถานีหลงซาน เมื่อก้าวขึ้นทางออกมาเป็นสวนสาธารณะกว้างใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนสูงวัยและคนไร้บ้านนอนพักกันอยู่ตามเก้าอี้ยาวที่ทางเดินโดยรอบ ละอองฝนเม็ดบางโปรยลงมาเบา ๆ พอให้เย็นแต่ไม่เปียกมาก คนไม่มีร่มอย่างชนิศาจึงยังใจเย็นพอจะเดินฝ่าฝนไปที่วัดซึ่งอยู่ห่างจากสถานีไปเพียงร้อยกว่าเมตร
กำแพงสูงสีเทาโดดเด่นตั้งอยู่อีกฝั่งถนนของสวนสาธารณะ ด้านหน้าคือประตูใหญ่ที่เปิดกว้างให้เห็นตัวอาคารแบบวัดจีนดูสง่างามและเคร่งขรึม
วัดหลงซานจัดสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 17 ลักษณะการสร้างอาคารหลักไว้ตรงกลางล้อมรอบด้วยอาคารบริวารทั้งสี่ด้านได้อิทธิพลจากจีน
ชนิศาเดินเข้าไปภายใน ยกมือไหว้ที่หน้าอาคารก่อนจะเดินตรงเข้าไปในส่วนที่เปิดให้สักการะ เสียงบทสวดที่ดังก้องทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เมื่อก้าวเข้าไปยังโถงกลางด้านในที่มีอาคารหลักอยู่กลางตัวเรือนที่ล้อมรอบจึงเห็นว่าผู้คนมากมายต่างยืนเรียงกันอยู่ตามอาคารรอบ ๆ ยกมือสวดมนต์อย่างตั้งใจ
เธอเดินไปหยิบธูปและเทียนแดงที่ฝั่งซ้ายของประตูวัดซึ่งให้บริการธูปฟรี เธอซื้อเทียนแดงมาจุดวางบูชา แล้วเริ่มไหว้ที่พระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ที่อาคารหลัก แล้วเริ่มปักธูปที่ละดอกตามธรรมเนียมของไต้หวัน วนไปทางอาคารด้านซ้ายมือ จนครบฝั่งมุมขวาของวัด
ที่มุมขวาสุด ตรงกระถางธูปสุดท้ายนี่เองที่ชนิศาอ่านจากอินเตอร์เน็ทมาแล้วว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพแห่งความรัก ตรงรั้วสีแดงที่ตั้งอยู่หลังกระถางธูปมีป้ายภาษาจีนเล็ก ๆ ผูกติดกับตะกร้าใส่ด้ายแดงที่เชื่อกันว่าหากหยิบไปผูกนิ้วจะช่วยให้เจอเนื้อคู่
ชนิศาอมยิ้ม หยิบด้ายแดงในตะกร้ามาผูกนิ้วก้อย แล้วยืนมองเฒ่าจันทรา เทพเจ้าผู้ประทานความรักราวจะเอ่ยคำพูดคุย
"ถ้าเนื้อคู่หนูหายาก...ก็ขอแค่เพื่อนคู่คิดให้หนูได้เกาะคานแบบไม่เหงาไปก็พอค่ะ" เธอบอกเบา ๆ ด้วยความเกรงใจว่าจะทำให้ท่านต้องทำงานหนัก
"ถ้าหาไปเจอใครที่อาจทำให้หนูเสียใจทีหลัง...ก็รบกวนตัดให้ขาดอย่าได้เกี่ยวข้องกันอีกนะคะ" เธอยิ้มกว้าง ยกมือไหว้เทพเจ้าตรงหน้า แล้วหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินออกมา
ผู้ชายตรงหน้าอยู่ในชุดสูทสีดำ ใบหน้าเรียบเฉยที่เธอทั้งชื่นชมและหมันไส้ยังคงไร้รอยยิ้ม เขาเลิกคิ้วมองเธอก็เลื่อนสายตามามองที่นิ้วก้อยซึ่งผูกด้ายแดงไว้ ชนิศารีบเก็บมือไปไขว้หลัง เอียงคอมองเขาก่อนเอ่ยทักทาย
"สวัสดีค่ะ...คุณเผิงจวินซาน" ปกติชนิศาเป็นปลาทองที่ไร้ความสามารถในการจำหน้าคน แต่เผิงจวินซานโดดเด่นเกินกว่าที่เธอจะลืมง่าย ๆ
"คุณมาไหว้พระเหรอ" เขาเอ่ยถามขึ้นก่อน
"ค่ะ...คุณก็มาไหว้พระเหรอคะ" น่าแปลกที่ผู้ชายมาดเนี้ยบอย่างเขามาปรากฏตัวในวัดในเวลาแบบนี้
"วันนี้เป็นวันเกิดก็อดออฟโอเชี่ยน...ท่านเป็นแม่ทูนหัวของอวี้เอ๋อร์" เขาเอ่ยตอบ "ผมมาขอพรแทนเธอ"
"อ้อ...ค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดี"
"ผมก็กำลังจะกลับพอดี" เขาเอ่ยแล้วยืนนิ่ง ชนิศาเองก็เอียงคออย่างงุนงง เมื่อคิดได้ รอยยิ้มบางก็คลี่ออก เธอหัวเราะเบา ๆ
"คุณคิดจะไปส่งฉันเหรอคะ อย่าลำบากเลย ฉันว่าจะไถลไปหาอะไรกินต่ออีกสักพัก...กว่าจะเข้าเรียนตั้งสิบเอ็ดโมง" ชนิศาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เธอเพียงแกล้งกระเซ้าเย้าแหย่ไปตามวิสัย
ชนิศากำลังจะเดินออกไป แต่เผิงจวินซานเดินตามมาเดินข้าง ๆ "คุณเรียนสิบเอ็ดโมง"
"ค่ะ"
"จะไปกินข้าวที่ไหน"
"ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะหาอาหารท้องถิ่นแถวนี้" เธอหันมามองหน้าชายหนุ่ม "คุณมีอะไรจะแนะนำไหมคะ"
ชนิศาชินกับการแกล้งคน ไม่คิดว่าเขาจะตามทันและแกล้งให้ใจเธอสั่นด้วยคำตอบที่ชวนชิดใกล้ "กินที่ห้องผมสิ"
หญิงสาวเบิกตาโตมองหน้าเขาเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว คนตัวโตถอนใจเบา ๆ "คุณคิดไปถึงไหน ผมหมายถึงห้องทำงานผม ยังมีเรื่องต้องคุยกับคุณและอวี้เอ๋อร์ก็อยากพบคุณด้วย"
ชนิศาพยักหน้ารับ อดไม่ได้ที่จะเตือน "คุณก็ต้องหัดพูดให้เคลียร์บ้างสิคะ มัวกลัวดอกพิกุลจะร่วงให้คนอื่นตีความเอาเองน่ะ...ระวังเถอะบางคนจะคิดไปคนละทางเลย"
"ถ้าไม่ใช่พวกคิดเพ้อไปไกลก็คงไม่มีปัญหาหรอก" คนหน้าดุเอ่ยตรงไปตรงมาอย่างไม่ถนอมน้ำใจ ดับความเพ้อฝันของหญิงสาวได้ในพริบตา
ชนิศากลอกตาอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนเขาจะเปิดใจดุเธอได้ดีขึ้น แต่การตุตรง ๆ อย่างไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ก็ชวนให้หน้างาม ๆ บาง ๆ ของหญิงสาวแตกเพล้งเป็นเสี่ยง ๆ ได้ง่ายเหลือเกิน
โถ...พ่อคนดุ ผู้หญิงเขาก็แค่ชอบเล่น อ่อยอ้อนไปตามเรื่องเท่านั้นล่ะ ไม่รู้จักมีอารมณ์ขันเสียบ้างเลย
ห้องทำงานของชายหนุ่มอยู่บนตึกสูงใจกลางกรุงไทเป ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่เจียหมิงฮ่าวทำงานนัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในค่อนข้างกว้าง ชนิศายังไม่ทันได้สำรวจก็ถูกพาไปที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ข้าง ๆ กันเสียก่อน เธอเดินไปเกาะกระหน้าต่างกระจกสูง ทอดสายตามองลงไปที่พื้นล่าง เส้นทางถนนทอดยาวทอสลับกับตัวตึกเหมือนผ้าลายแปลกตา
อาหารเช้าแบบอเมริกันไม่ใช่แบบที่ชนิศาอยากทดลองในไทเป แต่เห็นแก่ที่มีคนเลี้ยงและเธอไม่ต้องจ่ายเงินเธอจึงก้มหน้าก้มตากินอย่างสงบ
ที่คาดไม่ถึงคือหลังมื้ออาหาร เมื่อเขาวางช้อนลง เธอก็ได้รู้ว่าที่เขาพูดว่ามีเรื่องต้องคุยกับเธอคือเรื่องอะไร
ซองสีน้ำตาลถูกยื่นให้ เธอเอียงคอมองอย่างงุนงง ขออนุญาตเปิดออกดูก่อนจะนิ่งงันไปเมื่อได้เห็นเชคเงินสดระบุจำนวนเงินห้าหลัก หน่วยเป็นดอลล่าห์สหรัฐ
"ขอบคุณที่คุณช่วยอวี้เอ๋อร์ไว้"
ชนิศานั่งนิ่ง พยายามสูดลมหายใจยาวเพื่อสงบอารมณ์ของตนเอง ในฐานะแพทย์ เธอไม่เคยรับซองจากคนไข้มาก่อน แต่ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ บททดสอบนี้เคยถูกหยิบยกมาพูดในชั้นเรียนจริยธรรมหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งในชั้นเรียน ยังไม่ทำให้รู้สึกเช่นยามเกิดเหตุการณ์จริง
อาจเพราะเหตุเกิดโดยไม่คาดคิด ในหัวเธอจึงขาวโพลนแทบจับความคิดตัวเองไม่ได้ แก้มร้อนขึ้นคงเรื่อสีเลือดจัด จนเมื่อเธอตั้งสติได้มือขาวจึงเก็บเชคเข้าไปในซองแล้วส่งคืนคนตรงหน้า
"คำขอบคุณของคุณ ฉันรับไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" เธอพยายามเอ่ยช้า ๆ เพื่อรั้งอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาในใจ
"การที่ฉันช่วยน้องสาวคุณ...มีเหตุผลหนึ่งคือฉันช่วยไม่ให้ตัวเองต้องนอนหลับไม่สนิทกับความรู้สึกว่าฉันนิ่งดูดายกับความเจ็บป่วยของใคร ดังนั้นอย่าถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทนด้วยเงินแบบนั้นเลยค่ะ" เธอยันตัวลุกขึ้นยืนช้า ๆ "มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัว ที่ฉันไม่ชอบเห็นใครมาเจ็บป่วยอยู่ตรงหน้า จึงทำการรักษาลงไปในขณะที่ฉันไม่ได้ทำงานเป็นแพทย์อยู่ที่นี่ ดังนั้น...คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้าง เพราะฉันไม่ใช่ลูกจ้างของคุณ"
ชนิศาคิดว่ามันคือความโกรธ ปนด้วยความเจ็บปวดบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ต้องเลวร้ายขนาดไหน จึงต้องมีการใส่ซองมาให้กัน
"คุณโกรธ...ผมขอโทษ" เขาลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนเธอไว้
คำขอโทษที่เธอไม่คิดว่าจะออกจากปากผู้ชายหน้านิ่งทำให้ชนิศาใจเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว "ขอโทษ...ฉันเข้าใจว่าคุณอาจเคยชินกับโลกที่เงินจัดการได้ทุกอย่าง แต่ฉันรู้สึกไม่ดีกับเงินที่คุณให้แบบนี้"
"ผมเข้าใจ แค่อยากขอบคุณคุณจริง ๆ"
ท่าทางอ่อนใจของเผิงจวินซานทำให้ชนิศารู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีจริง ๆ เพียงแต่บางคนก็เคยชินกับโลกของการที่ทุกสิ่งถูกตีค่าด้วยเงินจนไม่เข้าใจคนที่ใช้ความรู้สึกนำหน้าอย่างเธอ
ที่จริง...เผิงจวินซายคนนี้ก็น่ารัก...น่ากิน...
ความคิดร้ายกาจปรากฏขึ้นในหัว เมื่อชนิศาเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่มอย่างหมายมาด ฉีกยิ้มหวานเอ่ยคำถามเสียงนุ่ม
"คุณ...อยากขอบคุณฉันมากใช่ไหม"
"ไม่ใช่ด้วยอะไรพิเรนทร์ ๆ แน่" เขาหรี่ตามองเธออย่างรู้ทัน หญิงสาวจึงอดจะตวัดสายตามองค้อนใส่คนตรงหน้าไม่ได้
"ไม่พิเรนทร์หรอกน่า แค่..." เธอทอดเสียงยาว รอจนเขามองมาสบตา จึงเอ่ยต่อ "ช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวให้ฉันหน่อยสิ"
เอ่ยไปแล้วเธอก็นึกได้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่อาจมีภาระงานไม่น้อย ยังไม่นับรวมเรื่องที่น้องสาวเขายังอยู่ที่ไอซียู เธอจะบังคับให้เขาตระเวนพาเธอเที่ยวก็คงจะใจร้ายไปหน่อย
"หมายถึง...ถ้าคุณพอมีเวลา" เธอรีบบอก "แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร ฉันแค่หาเพื่อนเที่ยวไปเรื่อย...ถ้าไม่รังเกียจ คุณแค่เป็นเพื่อนฉันก็พอ"
เพราะชนิศาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เมื่อเธอพบคนที่น่าสนใจ เสี้ยวของความรู้สึกที่กลัวว่าเขาจะหายไปทำให้เธอเผลอดึงเขาไว้ด้วยคำว่าเพื่อน เธอไม่รู้ว่าในมุมของเผิงจวินซาน ข้อเรียกร้องของเธอช่างแปลกประหลาด จะว่ามากก็มาก ว่าน้อยก็ดูน้อยจนน่าตกใจ
ฐานะอย่างเขา มีใครไม่อยากชิดใกล้ คำขอเธอเหมือนคนมองการณ์ไกล แต่ในแววตาที่ดูจริงจังนั้น เขาตามหาร่องรอยความคาดหวังไม่พบจริง ๆ ราวกับว่าเธอเพียงยื่นมือมา แล้วปล่อยให้เขาเลือกว่าจะจับมือเธอตอบหรือไม่ ดูเท่าเทียม ไร้เงื่อนไข และท้าทายจนเขาอดเดินเข้าไปดูให้ชัดไม่ได้
ชายหนุ่มนิ่งไปนาน จนหญิงสาวเกือบหลุดคำขอโทษที่พูดจาเพ้อเจ้อ แล้วเขาก็ยื่นมือมาตรงหน้า
"เรียกผมว่าจวินซานก็พอ"
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ มองมือใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ยื่นมือไปสัมผัสมือเขา "เชรีค่ะ..."
"ผมไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง"
"ฉันก็...ไม่ค่อยมีเพื่อนต่างชาติ" เธอหัวเราะเบา ๆ "ที่จริง แค่คนนอกวงการที่ไม่ใช่หมอก็หายากแล้ว"
"คุณมีโทรศัพท์ในไต้หวันไหม"
แค่เขาถาม เธอก็เปิดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ให้ทันที เผิงจวินซานมองอย่างงงงัน ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกหมายเลขโทรศัพท์นั้นอย่างว่าง่าย
"น้องสาวคุณยังอยู่ในไอซียู วันนี้ฉันไปเที่ยวเองดีกว่า คุณไปดูแลเธอเถอะ" ชนิศาเหลือบมองนาฬิกา ใกล้เวลาเรียนของเธอแล้ว
"จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ฉันไปเตรียมเข้าเรียนก่อนดีกว่า แถวนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใกล้ ๆ ไหมคะ"
"เดี๋ยวผมไปส่ง" เขาเสนอตัว แต่เมื่อเห็นเธอเหลือบมองไปที่โต๊ะทำงานซึ่งกั้นจากห้องอาหารด้วยกระจกใสมีม่านหนาที่รูดเปิดออกให้เห็นโต๊ะตัวใหญ่ที่วางเอกสารไว้ตั้งใหญ่ เขาก็คล้ายเดาความคิดของเธอได้ไม่ยาก
"ผมให้คนไปส่งคุณแล้วกัน"
"ก็ดีค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอคลี่ยิ้มบอก
ชนิศามาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเกือบสิบนาที เธอตรงไปที่เคาน์เตอร์ เอ่ยทักทายกับเดวิดซึ่งช่วยชี้บอกทางให้เธอเดินไปรอที่โซฟาหน้าห้องเรียน
ไม่นาน หญิงสาวชาวเอเชียคนหนึ่งก็เดินออกมา เธอยิ้มทักทายชนิศา ก่อนจะเดินไปจัดการธุระบางอย่าง ภายในห้องยังมีหนุ่มใหญ่ชาวต่างชาตินั่งอยู่อีกคน ชนิศาจึงนั่งรอเงียบ ๆ ยังไม่เดินเข้าไป
ผู้หญิงคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้ง เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ
"Are you a new student ?"
ชนิศาพยักหน้ารับ แล้วเดินตามเธอเข้ามาในห้อง ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนตวัดสายตามองเธอวูบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ
เมื่อเริ่มชั้นเรียน ชนิศาจึงได้รู้ว่าเขาคือพอล เป็นหนุ่มชาวฮอลแลนด์ที่มาทำงานในฮ่องกง และมีเพื่อร่วมชั้นอีกคนเป็นหนุ่มหล่อหน้าคมจากอเมริกา ที่หิ้วสเกตบอร์ดเข้ามาหลังเริ่มเรียนไปแล้วเกือบสิบนาที เมื่อเขาเห็นเธอก็วางสเกตบอร์ดลงที่มุมห้อง ยื่นมือมาตรงหน้า
"Hi. I'm Casey. You are the new classmate. What's your name ?"
ชนิศาเบิกตาโต กระพริบตาปริบ ๆ ยังงุนงงว่าคนบ้าอะไรเจอหน้ากันก็บอกว่าแอมเครซี่ แต่ดูท่าทางเขาก็ออกจะเครซี่จริง ๆ
หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ยื่นมือไปสัมผัสมือกับชายหนุ่ม
"I'm Cherie, nice to meet you"
อาจารย์สาวชาวไต้หวันยืนมองการแนะนำตัวเรียบร้อยดีแล้วเธอก็ตบโต๊ะเบา ๆ หันไปดุชายหนุ่มอย่างไม่จริงจังนัก "เฮ่ๆๆๆ เซี่ยนไจ้ซ่างเค่อ หนี่ปู้เขออี่ซัวอิงอวี่เลอ" เธอเอ่ยเป็นภาษาจีน หมายถึงตอนนี้อยู่ในคาบเรียน พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูดภาษาอังกฤษ
เคซี่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วนั่งลงเรียนหนังสือต่อ
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหัวเราะ ขณะที่พอลค่อนข้างตั้งใจเรียน เคซี่คือตัวป่วนที่มักจะหลุดวงโคจรเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามแปลก ๆ ไปได้ไม่นานชนิศาก็โยนภาวะความผิดปกติกลุ่มไฮเปอร์แอคทีฟและสมาธิสั้นให้ชายหนุ่มทันที
หลังเหล่าซรือกล่าวเลิกเรียน ชนิศาก็เก็บหนังสือใส่กระเป๋าทันที เธอมองที่เคซี่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มตามที่เหล่าซรือเรียก
"ไคเจี๋ย"
เขาเลิกคิ้วมอง เธอจึงถามต่อ "What's your English name ?"
"เคซี่"
หญิงสาวขมวดคิ้ว พอลที่นั่งข้าง ๆ จึงหลุดหัวเราะออกมาก่อนหันไปพูดกับเคซี่เป็นภาษาอังกฤษ "เชรีคิดว่านายเครซี่...ซี อาร์ เอ ซี วาย"
หนุ่มอเมริกาเบิกตาโต หลุดหัวเราะ ก่อนบอก "ไม่ ๆ ซี เอ เอส..."
เขาเห็นว่าเธอยังทำให้เขินกับความเข้าใจผิดของตัวเอง หนุ่มไฮเปอร์ก็ยื่นมือมาตรงหน้า "ยูมีเฟซบุ๊คไหม เอาโทรศัพท์มาสิ"
ชนิศายื่นสมาร์ทโฟนในมือให้เขาอย่างงุนงง ชายหนุ่มรับไปเปิดโปรแกรมที่ใช้ติดตามความเป็นมาของเพื่อน แล้วกดชื่อตัวเองลงไป เปิดหน้าเพจของเขาอย่างรวดเร็ว "This's me, Casey"
เขายื่นโทรศัพท์เธอมาข้างหน้า ให้ดูเพจส่วนตัวที่เขียนชื่อเขาไว้ชัดเจน ชายหนุ่มเงยหน้ามองหน้าเธอแว่บหนึ่ง แล้วเลื่อนนิ้วมากดส่งคำขอเป็นเพื่อนหน้าตาเฉย
ชนิศานิ่งประมวลผลอยู่ครู่เมื่อเขาส่งโทรศัพท์คืนให้เธอ พอลหัวเราะหึ ๆ ในคอแล้วเก็บของเอ่ยลาก่อนเดินออกไปจากห้อง เธอจึงเดินออกมาพร้อมเคซี่ที่หิ้วสเกตบอร์ดมาด้วย
"ซียู..." ชายหนุ่มโบกมือให้เธอก่อนวางสเกตบอร์ดลงบนพื้นแล้วแล่นออกไป
---------
ถามกันก่อนไหม ว่าจะแอดป่าว แหม่ ๆ ๆ ๆ พ่อหนุ่มกีค
คุณใบบัวน่ารัก : ถ้าคุยนอกคลาส กับตัวละครในเรื่องเขาใช้ภาษาอังกฤษหมดเลยค่ะ เชรียังไม่เก่งพอจะคุยภาษาจีนแบบจริงจังนะคะ ส่วนจวินซาน นางถลึงตาใส่ชนิดจะกินหัวไอซ์แล้วว่าบรรยายนางยังไงถึงดูแก่ นางเพิ่งสามสิบต้น ๆ ค่ะ เป็นเชรีนั่นล่ะที่ผิดเพราะชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จัดโต
คุณ sai : คราวนี้เชรีนางเอ๋อค่ะ เอ๋อแบบได้เฟรนด์ต้องนางเท่านั้นเลยค่ะ
ดีใจที่ชอบเชรีนะคะ แต่ไอซ์ว่าเฒ่าจันทราน่าจะปวดหัวเพราะนางอีกแล้วค่ะ
เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และหน้าที่แพทย์ที่เผลอทำไปโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชนิศาหลับสนิทแทบทันทีที่หัวถึงหมอน เธอตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด อาจเพราะเวลาที่ไทเปช้ากว่ากรุงเทพถึงสองชั่วโมง คนคุ้นกับการตื่นเช้าในกรุงเทพจึงยิ่งตื่นเร็ว
กว่าเดิมโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
เธอใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน ชนิศาก็มานั่งเปิดอินเตอร์เน็ต หาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ตัวอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันจันทร์ เธอมีตารางเรียนช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า ยังมีเวลาอีกเกือบสี่ชั่วโมงสำหรับการท่องเที่ยว หญิงสาวตัดสินใจเลือกวัดหลงซาน หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยนิยมไปกราบไหว้บูชาเมื่อเดินทางมาที่ไทเป
เพราะรู้ฤทธิ์อากาศที่เย็นจัดของไทเปมาแล้ว วันนี้ชนิศาจึงเลือกเสื้อคลุมตัวยาวมาคลุมทับเสื้อแขนยาวคอเต่าอีกชั้นหนึ่ง ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกมาจากห้อง
ข้อดีของที่พักใกล้รถไฟฟ้าในเมืองที่เต็มไปด้วยสถานีรถไฟฟ้าและซับเวย์คือความสะดวกสบายในการเดินทาง เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงชนิศาก็มาถึงสถานีหลงซาน เมื่อก้าวขึ้นทางออกมาเป็นสวนสาธารณะกว้างใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนสูงวัยและคนไร้บ้านนอนพักกันอยู่ตามเก้าอี้ยาวที่ทางเดินโดยรอบ ละอองฝนเม็ดบางโปรยลงมาเบา ๆ พอให้เย็นแต่ไม่เปียกมาก คนไม่มีร่มอย่างชนิศาจึงยังใจเย็นพอจะเดินฝ่าฝนไปที่วัดซึ่งอยู่ห่างจากสถานีไปเพียงร้อยกว่าเมตร
กำแพงสูงสีเทาโดดเด่นตั้งอยู่อีกฝั่งถนนของสวนสาธารณะ ด้านหน้าคือประตูใหญ่ที่เปิดกว้างให้เห็นตัวอาคารแบบวัดจีนดูสง่างามและเคร่งขรึม
วัดหลงซานจัดสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 17 ลักษณะการสร้างอาคารหลักไว้ตรงกลางล้อมรอบด้วยอาคารบริวารทั้งสี่ด้านได้อิทธิพลจากจีน
ชนิศาเดินเข้าไปภายใน ยกมือไหว้ที่หน้าอาคารก่อนจะเดินตรงเข้าไปในส่วนที่เปิดให้สักการะ เสียงบทสวดที่ดังก้องทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เมื่อก้าวเข้าไปยังโถงกลางด้านในที่มีอาคารหลักอยู่กลางตัวเรือนที่ล้อมรอบจึงเห็นว่าผู้คนมากมายต่างยืนเรียงกันอยู่ตามอาคารรอบ ๆ ยกมือสวดมนต์อย่างตั้งใจ
เธอเดินไปหยิบธูปและเทียนแดงที่ฝั่งซ้ายของประตูวัดซึ่งให้บริการธูปฟรี เธอซื้อเทียนแดงมาจุดวางบูชา แล้วเริ่มไหว้ที่พระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ที่อาคารหลัก แล้วเริ่มปักธูปที่ละดอกตามธรรมเนียมของไต้หวัน วนไปทางอาคารด้านซ้ายมือ จนครบฝั่งมุมขวาของวัด
ที่มุมขวาสุด ตรงกระถางธูปสุดท้ายนี่เองที่ชนิศาอ่านจากอินเตอร์เน็ทมาแล้วว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพแห่งความรัก ตรงรั้วสีแดงที่ตั้งอยู่หลังกระถางธูปมีป้ายภาษาจีนเล็ก ๆ ผูกติดกับตะกร้าใส่ด้ายแดงที่เชื่อกันว่าหากหยิบไปผูกนิ้วจะช่วยให้เจอเนื้อคู่
ชนิศาอมยิ้ม หยิบด้ายแดงในตะกร้ามาผูกนิ้วก้อย แล้วยืนมองเฒ่าจันทรา เทพเจ้าผู้ประทานความรักราวจะเอ่ยคำพูดคุย
"ถ้าเนื้อคู่หนูหายาก...ก็ขอแค่เพื่อนคู่คิดให้หนูได้เกาะคานแบบไม่เหงาไปก็พอค่ะ" เธอบอกเบา ๆ ด้วยความเกรงใจว่าจะทำให้ท่านต้องทำงานหนัก
"ถ้าหาไปเจอใครที่อาจทำให้หนูเสียใจทีหลัง...ก็รบกวนตัดให้ขาดอย่าได้เกี่ยวข้องกันอีกนะคะ" เธอยิ้มกว้าง ยกมือไหว้เทพเจ้าตรงหน้า แล้วหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินออกมา
ผู้ชายตรงหน้าอยู่ในชุดสูทสีดำ ใบหน้าเรียบเฉยที่เธอทั้งชื่นชมและหมันไส้ยังคงไร้รอยยิ้ม เขาเลิกคิ้วมองเธอก็เลื่อนสายตามามองที่นิ้วก้อยซึ่งผูกด้ายแดงไว้ ชนิศารีบเก็บมือไปไขว้หลัง เอียงคอมองเขาก่อนเอ่ยทักทาย
"สวัสดีค่ะ...คุณเผิงจวินซาน" ปกติชนิศาเป็นปลาทองที่ไร้ความสามารถในการจำหน้าคน แต่เผิงจวินซานโดดเด่นเกินกว่าที่เธอจะลืมง่าย ๆ
"คุณมาไหว้พระเหรอ" เขาเอ่ยถามขึ้นก่อน
"ค่ะ...คุณก็มาไหว้พระเหรอคะ" น่าแปลกที่ผู้ชายมาดเนี้ยบอย่างเขามาปรากฏตัวในวัดในเวลาแบบนี้
"วันนี้เป็นวันเกิดก็อดออฟโอเชี่ยน...ท่านเป็นแม่ทูนหัวของอวี้เอ๋อร์" เขาเอ่ยตอบ "ผมมาขอพรแทนเธอ"
"อ้อ...ค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดี"
"ผมก็กำลังจะกลับพอดี" เขาเอ่ยแล้วยืนนิ่ง ชนิศาเองก็เอียงคออย่างงุนงง เมื่อคิดได้ รอยยิ้มบางก็คลี่ออก เธอหัวเราะเบา ๆ
"คุณคิดจะไปส่งฉันเหรอคะ อย่าลำบากเลย ฉันว่าจะไถลไปหาอะไรกินต่ออีกสักพัก...กว่าจะเข้าเรียนตั้งสิบเอ็ดโมง" ชนิศาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เธอเพียงแกล้งกระเซ้าเย้าแหย่ไปตามวิสัย
ชนิศากำลังจะเดินออกไป แต่เผิงจวินซานเดินตามมาเดินข้าง ๆ "คุณเรียนสิบเอ็ดโมง"
"ค่ะ"
"จะไปกินข้าวที่ไหน"
"ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะหาอาหารท้องถิ่นแถวนี้" เธอหันมามองหน้าชายหนุ่ม "คุณมีอะไรจะแนะนำไหมคะ"
ชนิศาชินกับการแกล้งคน ไม่คิดว่าเขาจะตามทันและแกล้งให้ใจเธอสั่นด้วยคำตอบที่ชวนชิดใกล้ "กินที่ห้องผมสิ"
หญิงสาวเบิกตาโตมองหน้าเขาเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว คนตัวโตถอนใจเบา ๆ "คุณคิดไปถึงไหน ผมหมายถึงห้องทำงานผม ยังมีเรื่องต้องคุยกับคุณและอวี้เอ๋อร์ก็อยากพบคุณด้วย"
ชนิศาพยักหน้ารับ อดไม่ได้ที่จะเตือน "คุณก็ต้องหัดพูดให้เคลียร์บ้างสิคะ มัวกลัวดอกพิกุลจะร่วงให้คนอื่นตีความเอาเองน่ะ...ระวังเถอะบางคนจะคิดไปคนละทางเลย"
"ถ้าไม่ใช่พวกคิดเพ้อไปไกลก็คงไม่มีปัญหาหรอก" คนหน้าดุเอ่ยตรงไปตรงมาอย่างไม่ถนอมน้ำใจ ดับความเพ้อฝันของหญิงสาวได้ในพริบตา
ชนิศากลอกตาอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนเขาจะเปิดใจดุเธอได้ดีขึ้น แต่การตุตรง ๆ อย่างไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ก็ชวนให้หน้างาม ๆ บาง ๆ ของหญิงสาวแตกเพล้งเป็นเสี่ยง ๆ ได้ง่ายเหลือเกิน
โถ...พ่อคนดุ ผู้หญิงเขาก็แค่ชอบเล่น อ่อยอ้อนไปตามเรื่องเท่านั้นล่ะ ไม่รู้จักมีอารมณ์ขันเสียบ้างเลย
ห้องทำงานของชายหนุ่มอยู่บนตึกสูงใจกลางกรุงไทเป ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่เจียหมิงฮ่าวทำงานนัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในค่อนข้างกว้าง ชนิศายังไม่ทันได้สำรวจก็ถูกพาไปที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ข้าง ๆ กันเสียก่อน เธอเดินไปเกาะกระหน้าต่างกระจกสูง ทอดสายตามองลงไปที่พื้นล่าง เส้นทางถนนทอดยาวทอสลับกับตัวตึกเหมือนผ้าลายแปลกตา
อาหารเช้าแบบอเมริกันไม่ใช่แบบที่ชนิศาอยากทดลองในไทเป แต่เห็นแก่ที่มีคนเลี้ยงและเธอไม่ต้องจ่ายเงินเธอจึงก้มหน้าก้มตากินอย่างสงบ
ที่คาดไม่ถึงคือหลังมื้ออาหาร เมื่อเขาวางช้อนลง เธอก็ได้รู้ว่าที่เขาพูดว่ามีเรื่องต้องคุยกับเธอคือเรื่องอะไร
ซองสีน้ำตาลถูกยื่นให้ เธอเอียงคอมองอย่างงุนงง ขออนุญาตเปิดออกดูก่อนจะนิ่งงันไปเมื่อได้เห็นเชคเงินสดระบุจำนวนเงินห้าหลัก หน่วยเป็นดอลล่าห์สหรัฐ
"ขอบคุณที่คุณช่วยอวี้เอ๋อร์ไว้"
ชนิศานั่งนิ่ง พยายามสูดลมหายใจยาวเพื่อสงบอารมณ์ของตนเอง ในฐานะแพทย์ เธอไม่เคยรับซองจากคนไข้มาก่อน แต่ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ บททดสอบนี้เคยถูกหยิบยกมาพูดในชั้นเรียนจริยธรรมหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งในชั้นเรียน ยังไม่ทำให้รู้สึกเช่นยามเกิดเหตุการณ์จริง
อาจเพราะเหตุเกิดโดยไม่คาดคิด ในหัวเธอจึงขาวโพลนแทบจับความคิดตัวเองไม่ได้ แก้มร้อนขึ้นคงเรื่อสีเลือดจัด จนเมื่อเธอตั้งสติได้มือขาวจึงเก็บเชคเข้าไปในซองแล้วส่งคืนคนตรงหน้า
"คำขอบคุณของคุณ ฉันรับไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" เธอพยายามเอ่ยช้า ๆ เพื่อรั้งอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาในใจ
"การที่ฉันช่วยน้องสาวคุณ...มีเหตุผลหนึ่งคือฉันช่วยไม่ให้ตัวเองต้องนอนหลับไม่สนิทกับความรู้สึกว่าฉันนิ่งดูดายกับความเจ็บป่วยของใคร ดังนั้นอย่าถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทนด้วยเงินแบบนั้นเลยค่ะ" เธอยันตัวลุกขึ้นยืนช้า ๆ "มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัว ที่ฉันไม่ชอบเห็นใครมาเจ็บป่วยอยู่ตรงหน้า จึงทำการรักษาลงไปในขณะที่ฉันไม่ได้ทำงานเป็นแพทย์อยู่ที่นี่ ดังนั้น...คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้าง เพราะฉันไม่ใช่ลูกจ้างของคุณ"
ชนิศาคิดว่ามันคือความโกรธ ปนด้วยความเจ็บปวดบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ต้องเลวร้ายขนาดไหน จึงต้องมีการใส่ซองมาให้กัน
"คุณโกรธ...ผมขอโทษ" เขาลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนเธอไว้
คำขอโทษที่เธอไม่คิดว่าจะออกจากปากผู้ชายหน้านิ่งทำให้ชนิศาใจเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว "ขอโทษ...ฉันเข้าใจว่าคุณอาจเคยชินกับโลกที่เงินจัดการได้ทุกอย่าง แต่ฉันรู้สึกไม่ดีกับเงินที่คุณให้แบบนี้"
"ผมเข้าใจ แค่อยากขอบคุณคุณจริง ๆ"
ท่าทางอ่อนใจของเผิงจวินซานทำให้ชนิศารู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีจริง ๆ เพียงแต่บางคนก็เคยชินกับโลกของการที่ทุกสิ่งถูกตีค่าด้วยเงินจนไม่เข้าใจคนที่ใช้ความรู้สึกนำหน้าอย่างเธอ
ที่จริง...เผิงจวินซายคนนี้ก็น่ารัก...น่ากิน...
ความคิดร้ายกาจปรากฏขึ้นในหัว เมื่อชนิศาเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่มอย่างหมายมาด ฉีกยิ้มหวานเอ่ยคำถามเสียงนุ่ม
"คุณ...อยากขอบคุณฉันมากใช่ไหม"
"ไม่ใช่ด้วยอะไรพิเรนทร์ ๆ แน่" เขาหรี่ตามองเธออย่างรู้ทัน หญิงสาวจึงอดจะตวัดสายตามองค้อนใส่คนตรงหน้าไม่ได้
"ไม่พิเรนทร์หรอกน่า แค่..." เธอทอดเสียงยาว รอจนเขามองมาสบตา จึงเอ่ยต่อ "ช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวให้ฉันหน่อยสิ"
เอ่ยไปแล้วเธอก็นึกได้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่อาจมีภาระงานไม่น้อย ยังไม่นับรวมเรื่องที่น้องสาวเขายังอยู่ที่ไอซียู เธอจะบังคับให้เขาตระเวนพาเธอเที่ยวก็คงจะใจร้ายไปหน่อย
"หมายถึง...ถ้าคุณพอมีเวลา" เธอรีบบอก "แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร ฉันแค่หาเพื่อนเที่ยวไปเรื่อย...ถ้าไม่รังเกียจ คุณแค่เป็นเพื่อนฉันก็พอ"
เพราะชนิศาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เมื่อเธอพบคนที่น่าสนใจ เสี้ยวของความรู้สึกที่กลัวว่าเขาจะหายไปทำให้เธอเผลอดึงเขาไว้ด้วยคำว่าเพื่อน เธอไม่รู้ว่าในมุมของเผิงจวินซาน ข้อเรียกร้องของเธอช่างแปลกประหลาด จะว่ามากก็มาก ว่าน้อยก็ดูน้อยจนน่าตกใจ
ฐานะอย่างเขา มีใครไม่อยากชิดใกล้ คำขอเธอเหมือนคนมองการณ์ไกล แต่ในแววตาที่ดูจริงจังนั้น เขาตามหาร่องรอยความคาดหวังไม่พบจริง ๆ ราวกับว่าเธอเพียงยื่นมือมา แล้วปล่อยให้เขาเลือกว่าจะจับมือเธอตอบหรือไม่ ดูเท่าเทียม ไร้เงื่อนไข และท้าทายจนเขาอดเดินเข้าไปดูให้ชัดไม่ได้
ชายหนุ่มนิ่งไปนาน จนหญิงสาวเกือบหลุดคำขอโทษที่พูดจาเพ้อเจ้อ แล้วเขาก็ยื่นมือมาตรงหน้า
"เรียกผมว่าจวินซานก็พอ"
ชนิศากระพริบตาปริบ ๆ มองมือใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ยื่นมือไปสัมผัสมือเขา "เชรีค่ะ..."
"ผมไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง"
"ฉันก็...ไม่ค่อยมีเพื่อนต่างชาติ" เธอหัวเราะเบา ๆ "ที่จริง แค่คนนอกวงการที่ไม่ใช่หมอก็หายากแล้ว"
"คุณมีโทรศัพท์ในไต้หวันไหม"
แค่เขาถาม เธอก็เปิดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ให้ทันที เผิงจวินซานมองอย่างงงงัน ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกหมายเลขโทรศัพท์นั้นอย่างว่าง่าย
"น้องสาวคุณยังอยู่ในไอซียู วันนี้ฉันไปเที่ยวเองดีกว่า คุณไปดูแลเธอเถอะ" ชนิศาเหลือบมองนาฬิกา ใกล้เวลาเรียนของเธอแล้ว
"จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ฉันไปเตรียมเข้าเรียนก่อนดีกว่า แถวนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใกล้ ๆ ไหมคะ"
"เดี๋ยวผมไปส่ง" เขาเสนอตัว แต่เมื่อเห็นเธอเหลือบมองไปที่โต๊ะทำงานซึ่งกั้นจากห้องอาหารด้วยกระจกใสมีม่านหนาที่รูดเปิดออกให้เห็นโต๊ะตัวใหญ่ที่วางเอกสารไว้ตั้งใหญ่ เขาก็คล้ายเดาความคิดของเธอได้ไม่ยาก
"ผมให้คนไปส่งคุณแล้วกัน"
"ก็ดีค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอคลี่ยิ้มบอก
ชนิศามาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเกือบสิบนาที เธอตรงไปที่เคาน์เตอร์ เอ่ยทักทายกับเดวิดซึ่งช่วยชี้บอกทางให้เธอเดินไปรอที่โซฟาหน้าห้องเรียน
ไม่นาน หญิงสาวชาวเอเชียคนหนึ่งก็เดินออกมา เธอยิ้มทักทายชนิศา ก่อนจะเดินไปจัดการธุระบางอย่าง ภายในห้องยังมีหนุ่มใหญ่ชาวต่างชาตินั่งอยู่อีกคน ชนิศาจึงนั่งรอเงียบ ๆ ยังไม่เดินเข้าไป
ผู้หญิงคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้ง เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ
"Are you a new student ?"
ชนิศาพยักหน้ารับ แล้วเดินตามเธอเข้ามาในห้อง ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนตวัดสายตามองเธอวูบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ
เมื่อเริ่มชั้นเรียน ชนิศาจึงได้รู้ว่าเขาคือพอล เป็นหนุ่มชาวฮอลแลนด์ที่มาทำงานในฮ่องกง และมีเพื่อร่วมชั้นอีกคนเป็นหนุ่มหล่อหน้าคมจากอเมริกา ที่หิ้วสเกตบอร์ดเข้ามาหลังเริ่มเรียนไปแล้วเกือบสิบนาที เมื่อเขาเห็นเธอก็วางสเกตบอร์ดลงที่มุมห้อง ยื่นมือมาตรงหน้า
"Hi. I'm Casey. You are the new classmate. What's your name ?"
ชนิศาเบิกตาโต กระพริบตาปริบ ๆ ยังงุนงงว่าคนบ้าอะไรเจอหน้ากันก็บอกว่าแอมเครซี่ แต่ดูท่าทางเขาก็ออกจะเครซี่จริง ๆ
หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ยื่นมือไปสัมผัสมือกับชายหนุ่ม
"I'm Cherie, nice to meet you"
อาจารย์สาวชาวไต้หวันยืนมองการแนะนำตัวเรียบร้อยดีแล้วเธอก็ตบโต๊ะเบา ๆ หันไปดุชายหนุ่มอย่างไม่จริงจังนัก "เฮ่ๆๆๆ เซี่ยนไจ้ซ่างเค่อ หนี่ปู้เขออี่ซัวอิงอวี่เลอ" เธอเอ่ยเป็นภาษาจีน หมายถึงตอนนี้อยู่ในคาบเรียน พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูดภาษาอังกฤษ
เคซี่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วนั่งลงเรียนหนังสือต่อ
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหัวเราะ ขณะที่พอลค่อนข้างตั้งใจเรียน เคซี่คือตัวป่วนที่มักจะหลุดวงโคจรเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามแปลก ๆ ไปได้ไม่นานชนิศาก็โยนภาวะความผิดปกติกลุ่มไฮเปอร์แอคทีฟและสมาธิสั้นให้ชายหนุ่มทันที
หลังเหล่าซรือกล่าวเลิกเรียน ชนิศาก็เก็บหนังสือใส่กระเป๋าทันที เธอมองที่เคซี่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มตามที่เหล่าซรือเรียก
"ไคเจี๋ย"
เขาเลิกคิ้วมอง เธอจึงถามต่อ "What's your English name ?"
"เคซี่"
หญิงสาวขมวดคิ้ว พอลที่นั่งข้าง ๆ จึงหลุดหัวเราะออกมาก่อนหันไปพูดกับเคซี่เป็นภาษาอังกฤษ "เชรีคิดว่านายเครซี่...ซี อาร์ เอ ซี วาย"
หนุ่มอเมริกาเบิกตาโต หลุดหัวเราะ ก่อนบอก "ไม่ ๆ ซี เอ เอส..."
เขาเห็นว่าเธอยังทำให้เขินกับความเข้าใจผิดของตัวเอง หนุ่มไฮเปอร์ก็ยื่นมือมาตรงหน้า "ยูมีเฟซบุ๊คไหม เอาโทรศัพท์มาสิ"
ชนิศายื่นสมาร์ทโฟนในมือให้เขาอย่างงุนงง ชายหนุ่มรับไปเปิดโปรแกรมที่ใช้ติดตามความเป็นมาของเพื่อน แล้วกดชื่อตัวเองลงไป เปิดหน้าเพจของเขาอย่างรวดเร็ว "This's me, Casey"
เขายื่นโทรศัพท์เธอมาข้างหน้า ให้ดูเพจส่วนตัวที่เขียนชื่อเขาไว้ชัดเจน ชายหนุ่มเงยหน้ามองหน้าเธอแว่บหนึ่ง แล้วเลื่อนนิ้วมากดส่งคำขอเป็นเพื่อนหน้าตาเฉย
ชนิศานิ่งประมวลผลอยู่ครู่เมื่อเขาส่งโทรศัพท์คืนให้เธอ พอลหัวเราะหึ ๆ ในคอแล้วเก็บของเอ่ยลาก่อนเดินออกไปจากห้อง เธอจึงเดินออกมาพร้อมเคซี่ที่หิ้วสเกตบอร์ดมาด้วย
"ซียู..." ชายหนุ่มโบกมือให้เธอก่อนวางสเกตบอร์ดลงบนพื้นแล้วแล่นออกไป
---------
ถามกันก่อนไหม ว่าจะแอดป่าว แหม่ ๆ ๆ ๆ พ่อหนุ่มกีค
คุณใบบัวน่ารัก : ถ้าคุยนอกคลาส กับตัวละครในเรื่องเขาใช้ภาษาอังกฤษหมดเลยค่ะ เชรียังไม่เก่งพอจะคุยภาษาจีนแบบจริงจังนะคะ ส่วนจวินซาน นางถลึงตาใส่ชนิดจะกินหัวไอซ์แล้วว่าบรรยายนางยังไงถึงดูแก่ นางเพิ่งสามสิบต้น ๆ ค่ะ เป็นเชรีนั่นล่ะที่ผิดเพราะชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จัดโต
คุณ sai : คราวนี้เชรีนางเอ๋อค่ะ เอ๋อแบบได้เฟรนด์ต้องนางเท่านั้นเลยค่ะ
ดีใจที่ชอบเชรีนะคะ แต่ไอซ์ว่าเฒ่าจันทราน่าจะปวดหัวเพราะนางอีกแล้วค่ะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2560, 16:18:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2560, 16:18:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1013
<< ถ้าคุณจะสมัครตำแหน่งนั้น คงต้องต่อคิวยาวหน่อยนะคะ |
ใบบัวน่ารัก 28 พ.ค. 2560, 16:55:40 น.
ดีจัง ไว้ไปเที่ยวบ้าง
อยู่แค่10 วันเอง เที่ยวครบหรือเปล่าน้า
ลุ้นๆๆ
ดีจัง ไว้ไปเที่ยวบ้าง
อยู่แค่10 วันเอง เที่ยวครบหรือเปล่าน้า
ลุ้นๆๆ
แว่นใส 28 พ.ค. 2560, 20:59:11 น.
ต้องแย่งกันจีบไหม
ต้องแย่งกันจีบไหม
คิมหันตุ์ 31 พ.ค. 2560, 00:27:37 น.
หวายๆ ตัวละครชายหนุ่มเพิ่มมาเพียบจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หวายๆ ตัวละครชายหนุ่มเพิ่มมาเพียบจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา