The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 34 : || แหกกฎ || Season 1 FINALE



EPISODE 34



แหกกฎ



“เพื่อนของข้าคนนั้น...เป็นมนุษย์ธรรมดา”



ราวกับเวลาได้หยุดนิ่งสนิทลงหลังจากมิเวลกล่าวจบประโยค บุพการีทั้งสองต่างก็จ้องมองเธอนิ่งด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน สีหน้าตกตะลึงของทั้งคู่ทำให้เธอตระหนักได้ถึงความรุนแรงของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้เวทกับมนุษย์ธรรมดา เธอสนใจแต่เรื่องของตัวเองมานานแสนนาน จนทำให้ไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของเธอต่างก็มีอคติกับพวกมนุษย์ด้วยเช่นกัน แต่บัดนี้ เธอได้รับรู้แล้ว สีหน้าของคนทั้งสองมีทั้งความกังวล และความผิดหวัง คงคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้แล้ว เผ่ามายาอาจจะไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไป



มิเวลหลับตาลง รู้สึกผิดต่อบุพการีทั้งสองท่านเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าเจ้าบ้าวอลจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่เธอได้ตัดสินใจไปแล้วว่าเขาคือเพื่อนคนสำคัญ และความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด



“ถ้าจะให้มนุษย์ธรรมดาเข้ามาที่นี่ก็มีแต่จะต้องเปิดทางให้เขาโดยเฉพาะ” เด็กสาวกล่าวเสียงเรียบ พลางคิดสงสัยว่าต้องใช้เพชรเป็นสื่อกลางอยู่อีกหรือไม่ แต่เธอเดาว่าน่าจะต้องใช้ จึงสัญญากับเอเวนเอาไว้ว่าจะนำเพชรกลับไปสองก้อน



“เจ้าจะให้แม่ของเจ้าฝืนกฎออกไปรักษามนุษย์เนี่ยนะ” เวเธอร์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ รีบตรงเข้าไปหาเด็กสาวพร้อมกับร่ายเวทสลายเวทลวงตาหรือเวทมายาอะไรก็ตามแต่ออกจากร่างของอีกฝ่าย แต่ผลที่ได้กลับทำให้เขาแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ มิเวลไม่ได้โดนเวทพวกนี้หลอก ทุกอย่างมาจากความต้องการของเธอจริงๆ



“เขาเป็นเพื่อนของข้า!”



“แต่มันเป็นมนุษยธรรมดา!” เสียงเหี้ยมแย้งกลับทันควัน “มันเป็นตัวหายนะ!”



มิเวลมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาปวดร้าว ‘หายนะ’ งั้นเหรอ ท่านพ่อของเธอเรียกเจ้าบ้าวอลว่าเป็นหายนะ ถึงจะโกรธเกลียดแค้นมนุษย์ธรรมดาสักแค่ไหน ผู้ใช้เวทก็ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกพวกเขาอย่างนั้น พวกเขาเองก็มีชีวิต มีความรู้สึกเหมือนกันกับพวกเธอ และเธอคงจะรู้สึกเจ็บปวดมากหากมีใครมากล่าวหาว่าเธอเป็นตัวโชคร้าย



“ข้า...แค่อยากขอให้ท่านช่วยเพื่อนของข้าเท่านั้น” เสียงสั่นเครือหันไปพูดขอร้องกับผู้เป็นแม่ “เขาบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า”



“ปกป้องลูก?” มิเวลจับความรู้สึกแปลกใจน้อยๆ จากในน้ำเสียงของแคลรีลได้ เด็กสาวเริ่มมีความหวังเมื่อเห็นท่าทีลังเลใจของท่านแม่



“ไม่ได้!” คำสั่งเฉียบขาดดังมาจากอีกด้านหนึ่ง ปรากฏร่างของผู้ดำรงตำแหน่งปกครองสูงสุดแห่งเผ่ามายา ใบหน้าเคร่งขรึมจ้องเขม็งไปยังผู้เป็นหลานรักด้วยความโกรธ



“ท่านย่า...”

“ผิดหวัง...น่าผิดหวังจริงๆ” เมอีมห์ เจ้าเผ่าผู้ทรงพลังพูดเสียงสั่น พยายามข่มความรู้สึกหลากหลายเอาไว้ในใจ มิเวลเป็นหลานรักที่น่าภูมิใจของเธอ ทั้งคิดถึง ทั้งห่วงแสนห่วง แต่นี่มันอะไร เหตุใดหลานรักของเธอถึงได้ประพฤติตนเช่นนี้



“ท่านย่า...ข้าแค่” มิเวลพยายามอธิบาย



“ไม่ต้องพูดต่อแล้ว!”



เด็กสาวเม้มปากสนิท มองผู้เป็นย่าด้วยสายตาเจ็บปวด เธอเห็นความผิดหวังปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในแววตาของอีกฝ่าย มิเวลพยายามข่มความรู้สึกเสียใจของตัวเองเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา เธอโกรธท่านย่าทวด โกรธท่านพ่อ รวมทั้งท่านแม่ด้วย เพียงเพราะความเป็นศัตรู กระทั่งการช่วยชีวิตก็เป็นสิ่งผิดอย่างนั้นหรือ เธอไม่เข้าใจเลย และคงไม่มีวันเข้าใจ



“...ข้าขอโทษที่มารบกวนพวกท่าน” เสียงเย็นกล่าวเรียบๆ พยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ร่างเล็กโน้มตัวแสดงความเคารพต่อบุพการีทั้งสองและผู้เป็นย่า



“ลูกจะไปอีกแล้วหรือ” แคลรีลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้า ทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่ามันไม่ใช่ความจริง



“ข้าขอโทษ” คำขอโทษจากใจ เธอกำลังละเมิดกฎของเผ่าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผู้เป็นแม่พยักหน้าน้อยๆ เป็นการยอมรับการตัดสินใจของเธอ ท่านแม่คงรู้ดีว่าถึงจะห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเธอจะพยายามหาทุกวิถีทางหนีออกไปให้ได้อยู่ดี



+++++++++++++++



นัยน์ตาสีเงินปรือขึ้นช้าๆ ก่อนจะรีบหลับตาลงเมื่อต้องแสงสว่างจ้า ความรู้สึกเจ็บปวดกำลังกัดกินร่างกายไปทั่วทั้งร่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แสดงสีหน้าอะไร เด็กหนุ่มค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง เงาดำๆ ตรงหน้าทำให้เขาต้องเลิกคิ้วสูงขึ้นด้วยความแปลกใจ



“ทีนี้ก็หายกัน” เสียงเรียบพูดขึ้น ก่อนจะหมุนตัวกลับ เจ้าตัวยุ่งทำหน้างงๆ อยู่พักหนึ่ง มองตามร่างสูงเดินไปที่ประตู พออีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูเด็กหนุ่มถึงนึกอะไรบางอย่างออก



“ขอบคุณมาก” เสียงใสตะโกนไล่หลังพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างตามฉบับของเจ้าตัว คนฟังหยุดชะงักน้อยๆ เหลือบสายตานิ่งกลับมามอง ปรากฏร่องรอยของความสงสัยฉายชัดอยู่ในแววตา แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นมันก็หายไป



“เจ้าให้เฟรเนร่าใช้พลังจิตกระตุ้นปลุกจิตของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนั้นเดี๋ยวก็ตายจริงเข้าสักวัน” เสียงเย็นชาพูดตำหนิอย่างหงุดหงิด แน่ใจว่าอีกฝ่ายฟื้นจากการสลบไสลในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้ได้นั้นต้องเป็นเพราะว่าใช้ให้เฟรเนร่าปลุกจิตให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าตัวแคปซูลนี่จะทำให้ตัวเองอายุสั้นลงทำไมกัน แถมตื่นขึ้นมาก็ต้องมาทนรับความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บอีกต่างหาก



“ไม่ตายง่ายๆ หรอก เจ้าใช้เวทของเจ้าช่วยข้าด้วยนี่” น้ำเสียงร่าเริงพูดล้อเหมือนเป็นเรื่องตลก พร้อมกับหัวเราะขบขันอย่างสนุกสนาน ยิ่งเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งหลุดขำพรืดอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่



“คราวนี้เท่านั้นแหละ” เสียงเรียบกล่าวอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป วอลยกมือโบกลาพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้พรวดออกมาอีกระลอก เขาเข้าใจอีกฝ่ายดีว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ทั้งๆ ที่ประกาศตนชัดเจนว่ารังเกียจมนุษย์ธรรมดา แต่กลับใช้พลังช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ตอนนี้เอเวนคงกำลังงุนงงกับตัวเองอยู่แน่ๆ



“จะว่าไป...เหมือนจะคุ้นๆ ว่าเอเวนใช้พลังธาตุกึ่งบริสุทธิ์อะไรนี่ไม่ค่อยได้ แล้วเวทรักษานี่มันรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่านะ” วอลเปรยข้อสงสัยของตัวเองขึ้นมาเบาๆ เด็กหนุ่มล้มตัวลงไปนอนแผละเหมือนก่อนหน้านี้พลางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดอะไรบางอย่างออก เขาไม่คิดว่าแผลจากดาบของดีเฟนจะสามารถรักษาหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้อาการดีขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเอเวนต้องใช้เวทอะไรสักอย่างที่เป็นความลับแน่ๆ



แต่แล้วความรู้สึกหนึ่งที่แวบเข้ามาของเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องลอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้งพร้อมกับออกคำสั่งในใจให้ควินัวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า



“เจ้าโกรธข้าเหรอ” เจ้าตัวยุ่งเริ่มอ้อนพร้อมกับทำแก้มป่องเหมือนเด็กๆ ซึ่งเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดเนื่องจากคนกำลังอ้อนนั้นมีสถานะเป็นถึงเจ้านายของผู้ถูกอ้อน



‘ข้าเคยบอกแล้วว่าท่านเป็นคนอ่านยากจนน่าหงุดหงิด ข้าไม่เข้าใจเลยว่าท่านตั้งใจจะทำอะไรกับเบย์’ น้ำเสียงเคืองๆ พูดอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี นัยน์ตาสีฟ้าใสทั้งสามส่งสายตาตำหนิมองผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่ปิดบัง ทั้งรู้สึกโกรธและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน มันกำลังห่วงเจ้านายที่ชอบทำอะไรเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา



ในวันนั้น ทุกคนคิดว่าควินัวกลับเข้าไปอยู่ในร่างของวอลเพราะเขาสั่งให้มันใช้พลังหลอกคนอื่นๆ นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังออกคำสั่งให้มันหลบซ่อนตัวแล้วใช้พลังจิตควบคุมเบย์ต่อจากเขาหลังจากที่เขาสลบไปอีกด้วย ควินัวรู้ดีว่าถ้าหากเจ้านายของมันยังใช้พลังจิตควบคุมจิตใจของเบย์ต่อไปเรื่อยๆ อยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าเบย์จะใช้พลังต่อต้านกลับมาสักแค่ไหน แต่ในไม่ช้าเบย์ก็ต้องสับสนและยอมรับเขาเป็นเจ้านายด้วยการทำพันธสัญญาอย่างแน่นอน



‘ท่านก็รู้ว่าถ้าทำพันธสัญญากับเบย์ ท่านก็ต้องให้ดวงวิญญาณของเบย์เข้ามาอยู่ร่างของท่านด้วย แล้วนั่นก็หมายความว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว และ...’



เสียงเครียดเงียบไปเพราะพูดต่อไม่ออก แต่มันก็รู้ว่าเด็กหนุ่มสามารถรับรู้ความคิดและความรู้สึกของมันได้



“ข้าแค่ไม่ให้เบย์ใช้พลังโจมตีมิเวลกับเอเวนเท่านั้นแหละ” เสียงร่าเริงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับใช้มือขวาลูบหัวของมันอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกเย็นใจขึ้นเลยสักนิด



‘ถึงกับต้องให้ข้าใช้พลังปลุกจิตของท่านตั้งสองรอบเชียวหรือ’ ตอนแรกที่ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายนั้น ควินัวก็พยายามขอร้องให้เขาล้มเลิกคำสั่งนี้ แต่กลับไม่เป็นผล วอลยังคงดึงดันที่จะให้มันใช้พลังจิตปลุกจิตของเขาทั้งสองครั้ง



“แหม...สองรอบเอง” น้ำเสียงทะเล้นพูดพร้อมกับหัวเราะแหะๆ อย่างเห็นเป็นเรื่องล้อเล่นสนุกสนาน



‘แล้วต่อจากนี้ล่ะ ท่านจะเลิกใช้พลังได้หรือยัง ได้โปรดเถอะท่านวอล เพราะตอนนี้สองคนนั้นก็ปลอดภัยดีแล้ว’ ควินัวพยายามมองลึกเข้าไปนัยน์ดวงตาสีเงินตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็ไม่สามารถอ่านความคิดของอีกฝ่ายออกได้เลย และแล้วเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อยก็ต้องลู่หูทั้งสองข้างลงด้วยความเสียใจเมื่อเห็นอาการส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบจากผู้เป็นนาย หยดน้ำใสค่อยๆ ไหลรินออกจากดวงตาทั้งสาม



“ถ้าเบย์เป็นอิสระ ก็คงจะใช้พลังโจมตีสองคนนั้นอีกแน่ๆ” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มขึ้นจางๆ พร้อมกับดึงร่างน้อยที่กำลังสั่นเทาเข้าไปกอดเพื่อปลอบประโลม ก่อนเสียงเบาแฝงไว้ด้วยความเศร้าจะเอ่ยรำพึงอย่างอ่อนโยน “...มันสายไปแล้วล่ะ...”



++++++++++++++



เสียงลูกแก้วกระทบกับอะไรบางอย่างดังขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงัด ดูวัลหันไปมองที่มาของเสียงนั้น บนโต๊ะทำงานของเขาปรากฏแสงไฟเรืองรองเป็นสีทองขุ่นมัว เขาเลิกคิ้วสูงขึ้นน้อยๆ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้แสงนั่น พอมองชัดๆ แล้วถึงได้รู้ว่าภายในกล่องใสทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บรรจุด้วยลูกแก้วกลมๆ ขนาดเล็กเท่านิ้วโป้งจำนวนสิบสี่ลูกนั้น มีเพียงลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนๆ แค่ลูกเดียวที่ส่องประกายเรืองแสงสีทอง



“แหกกฎสินะ...” เสียงพึมพำกับตัวเองอย่างไม่นึกแปลกใจอะไร เขาคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงสักวันก็คงต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน



ดูวัลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานเรื่องแผนที่ของเมืองต่างๆ ต่อ ตอนนี้เขายังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ เพราะเรื่องสงครามกำลังร้อนระอุจนเขาแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วยังเรื่องตุ๊กตาปีศาจอีก การทำศึกสองด้านนั้นช่างให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในนรกเหลือเกิน



เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็วนับจากวันที่มิเวลผ่านโพรงกุญแจเดินทางไปยังบ้านเกิดของตนเอง และพอเวลาล่วงเข้าสู่รุ่งเช้าของวันที่สาม เด็กสาวก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าบานประตูศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งพร้อมด้วยสัมภาระที่ดูหนักอึ้งมากกว่าเดิม



“เจ้าขนอะไรกลับมาด้วยน่ะ” เสียงเรียบเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นกระเป๋าเป้แสนตุงของอีกฝ่าย นึกเอะใจกับท่าทางเย็นชาผิดแปลกไปจากปกติของเด็กสาว



“อาหารกระป๋องของข้า แล้วก็...” มือเล็กพยายามล้วงของบางสิ่งในกระเป๋าออกมา ก่อนจะยื่นส่งมันให้กับเอเวน เด็กหนุ่มรับไปถือไว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย สายตานิ่งๆ มองก้อนเพชรสีอำพันในมืออยู่พักหนึ่ง แล้วเบือนสายตากลับไปยังมิเวลเช่นเดิม เขารู้สึกว่าเด็กสาวกำลังหลบสายตาเขา และสาเหตุก็น่าจะเป็น...



“เผ่ามายาไม่ยอมช่วยเจ้าตัวแคปซูลใช่มั้ย” เสียงเรียบเอ่ยข้อสันนิษฐานที่เขามั่นใจมากกว่าครึ่งว่าถูกต้อง ปรากฏแววตาเจ็บปวดในดวงตาสีเพลิงคู่สวยตรงหน้า แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น



“ใช่ แต่ข้าจะคิดหาทาง...”



“ข้าใช้พลังช่วยเจ้าตัวแคปซูลแล้ว” เสียงเรียบเอ่ยขัดขึ้น คำกล่าวไม่คาดคิดทำให้มิเวลหันมามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เอเวนมองสายตาสงสัยของคนตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “...อย่างน้อยก็พอให้พ้นขีดอันตราย”



“เจ้าใช้พลังอะไร เจ้าใช้พลังธาตุบริสุทธิ์ไม่ได้นี่” น้ำเสียงงุนงงถามคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจ คนถูกถามถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ



“ข้าดึงพลังชีวิตจากสิ่งรอบตัวอย่างเช่นต้นไม้หรือพวกก้อนหินมาช่วยลดอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวแคปซูล”



ไม่ใช่... เด็กหนุ่มปฏิเสธตัวเองในใจ เขาตอบมิเวลไม่หมด เพราะพลังบางอย่างในดาบของดีเฟนทำให้พลังถ่ายเทชีวิตหรือพลังเยียวยาต่างๆ ไร้ผล ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ผนึกโลหิตทำลายพลังรุนแรงของดาบที่อยู่ในบาดแผลก่อน แล้วถึงจะใช้พลังถ่ายเทชีวิต ส่วนสาเหตุที่เขาไม่บอกมิเวลก็เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องดาบนั่น เขาสัมผัสความรู้สึกบางอย่างที่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้านั่นได้ ...คารอฟ เพราะฉะนั้นเขาต้องการจะสืบเรื่องนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น



คำอธิบายของเด็กหนุ่มทำให้มิเวลนึกย้อนไปถึงคืนแรกที่เธอได้พบกับเขา เธอเห็นเอเวนทำอะไรสักอย่างกับก้อนหินเพื่อช่วยเจ้าบ้าวอล ความสงสัยในตอนนั้นว่าเขาทำอะไรหายวับไปในที่สุด ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง



“ถ้าเจ้าช่วยเขาได้ ทำไมถึงไม่รีบบอกมาล่ะ” หลังจากรู้สึกโล่งใจได้สักพัก เธอก็ชักอยากจะโกรธเอเวนจริงๆ เก็บเงียบไม่ยอมบอกอะไร ปล่อยให้เธอต้องไปที่ฟรอซเซลคนเดียว



“เพราะว่าข้าต้องเสียพลังเวทเกือบหมดในการใช้เวทนี้ เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่อยากใช้” เสียงเรียบกล่าวตอบ การสูญเสียพลังเวทเกือบทั้งหมดนั้นนับว่าอันตรายมากทีเดียวหากถูกศัตรูลอบโจมตี และเป็นเพราะความอันตรายของมันนี่แหละ เมื่อตอนอธิบายเรื่องธาตุเวทนั้นเขาถึงไม่อยากบอกวิธีนี้กับเด็กสาว ส่วนเหตุผลที่เขาใช้พลังช่วยเจ้าตัวแคปซูลในครั้งนี้ก็เพราะมันช่วยเขาก่อนเท่านั้น ความเป็นศัตรูระหว่างผู้ใช้เวทและมนุษย์ธรรมดายังคงอยู่เหมือนเดิม อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น



มิเวลมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งน้อยๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเอเวนจะยอมช่วยชีวิตเจ้าบ้าวอล ทั้งๆ ที่เขาเกลียดมนุษย์ธรรมดาถึงขนาดนั้น เด็กสาวยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกดีใจเล็กๆ บางทีถ้าพวกเธอสามคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ การเดินทางในครั้งนี้อาจจะทำให้รู้สึก ‘สนุก’ ขึ้นมาก็ได้ล่ะมั้ง



“เจ้าเอาอาหารกระป๋องพวกนั้นมาตุนเก็บเอาไว้อีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงร่าเริงของเจ้าตัวยุ่งดังมาจากทางประตู เรียกสายตาของทั้งสองคนให้หันไปมอง ใบหน้าทะเล้นเผยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วนั่งแผละลงบนพื้น ท่าทางสบายดีของเขาทำให้มิเวลรู้สึกดีขึ้นอีกเยอะ แต่ก็ชักจะเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างแล้วกับรอยยิ้มกวนประสาทนั่น ให้ตายสิ เธออุตส่าห์เป็นห่วงอยู่ตั้งนาน



“พูดมากน่า” เสียงบ่นพูดพึมพำ ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ แล้วหันไปจัดการหยิบอาหารกระป๋องในกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาจัดวางต่อ “แล้วเจ้าออกมาเดินเพ่นพ่านแบบนี้ได้นี่... ไม่เป็นอะไรแล้วหรือไง”



“หายดีแล้ว” วอลตอบด้วยสีหน้ามั่นใจสุดๆ ชูสองนิ้วขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง มิเวลเหลือบสายตาไปมองเอเวน ใบหน้าเรียบเฉยมองสบสายตาเธออยู่พักหนึ่งก่อนจะเบือนออกไปมองนอกหน้าต่าง ทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างออก



“แล้วอาการแพ้แดดล่ะ” มิเวลถามพร้อมกับพเยิดหน้าออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงแดดยามสายสว่างเจิดจ้า เธอสังเกตคนตรงหน้าแล้วก็ต้องอดเป็นห่วงไม่ได้ที่เห็นเขาดูลอยๆ เหมือนคนไม่ค่อยมีแรง



“ข้าหายดีแล้วไง” เสียงสดใสตอบพร้อมรอยยิ้มตามแบบฉบับของเจ้าตัว วอลมักจะตอบคำถามแบบอ้อมๆ อยู่เสมอ หรือไม่ก็ไม่ยอมตอบเลย ทำให้คนที่แต่เดิมทีไม่ได้มีนิสัยชอบเซ้าซี้นั้นทนไม่ไหว อยากจะถามเขาอีกสักล้านรอบ หายดีแล้วมันก็ดีไป แต่เธอถามเรื่องอาการแพ้แดดไปแท้ๆ จะย้ำคำตอบเดิมกลับมาทำไมกันล่ะเนี่ย



นัยน์ตาสีแดงฉายความรู้สึกลังเลใจว่าจะถามดีมั้ย แต่แล้วก็เหลือบสายตาไปเห็นก้อนเพชรสีอำพันในมือของเอเวน ความทรงจำเรื่องคำสัญญาก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด เธอสัญญากับเอเวนว่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟัง เด็กสาวหลับตาลง พยายามคิดย้อนไปในอดีตที่มีทั้งความทรงจำอันสวยงาม และสิ่งที่เธออยากจะลืม



อาหารกระป๋องในมือเป็นกระป๋องสุดท้ายแล้ว เธอจัดวางให้อยู่รวมกันกับกองอาหารกระป๋องที่วางเรียงกันเป็นตั้งๆ เบือนสายตาไปมองเอเวนที่กำลังสำรวจเสบียงของเขา ก่อนจะตวัดไปยังวอลที่นั่งมองพวกเธออยู่เฉยๆ เด็กสาวหันกลับมามองกองอาหารกระป๋องของตัวเองอีกครั้ง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เป็นการสร้างกำลังใจ เธอจำเรื่องราวในอดีตได้ดี พร้อมทั้งความรู้สึกเจ็บปวดในเวลานั้นที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจมาจนถึงปัจจุบัน



“ข้า...” เสียงพึมพำเกริ่นขึ้นเบาๆ เรียกความสนใจจากอีกสองคนให้หันมามอง เด็กสาวกำหมัดแน่นพร้อมกับพยายามเก็บอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา เธอกำลังจะเล่าเรื่องราวของตัวเอง เรื่องราวที่เป็นสาเหตุของการทำให้เธอกลายมาเป็นเธอในตอนนี้



“ข้า...ออกเดินทางเพื่อตามหาคนคนหนึ่ง” เสียงสั่นน้อยๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ฟังดูแปร่งแปลกๆ จากการพยายามเก็บอารมณ์อย่างสุดความสามารถ



“ตามหาคน?” เอเวนทวน เหลือบสายตาไปมองวอลที่หันมามองเขาเช่นกัน แล้วเบือนสายตากลับไปยังมิเวลเหมือนเดิม



“ใช่ ข้าคิดว่าเขาอาจจะอยู่ที่นครสาบสูญ”



“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น” เอเวนถามต่อ



“เพราะมันบอกข้าแบบนั้น” เด็กสาวกัดฟันตอบ เสียงเย็นชาที่ใช้นั้นแฝงความรู้สึกรังเกียจเอาไว้อย่างชัดเจน เอเวนขมวดคิ้วน้อยๆ ‘มัน’ งั้นเหรอ



“เจ้าตามหาใครล่ะ” เจ้าของเสียงใสเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ



“...น้องชายของข้า”



ภาพของเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีในความทรงจำฉายชัดขึ้นมาในหัว เด็กสาวหลับตาลง พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อแปดปีที่แล้วและเมื่อสองปีก่อน เหตุการณ์ทั้งสองที่เธอจำมันได้อย่างแม่นยำ



+++++++++++++++++++++++++

โปรดติดตาม Season 2!!

ขอบคุณที่ให้กำลังใจกันมาจนจบซีซั่นแรกนะฮับบบ

TO BE CONTINUED.

SEASON 2 DOWNLOADING . . .






โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2560, 14:28:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2560, 14:28:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 651





<< Episode 33 : || สู่เผ่ามายา ||   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account