The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 33 : || สู่เผ่ามายา ||
EPISODE 33
สู่เผ่ามายา
รถม้าประจำตระกูลผู้ดีแห่งแคว้นเซฟรังกำลังวิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วคงที่ สภาพแวดล้อมรอบด้านเต็มไปด้วยตึกราบ้านช่องที่มีรูปทรงแตกต่างกันไป บ้านหลังหนึ่งมีนาฬิกาเรือนใหญ่ประดับอยู่บนหลังคา อีกหลังหนึ่งมีทรงสูงเกือบลับฟ้า ตรงกันข้ามกับบ้านหลังถัดมาที่มีเพียงชั้นเดียว เหล่าชาวเมืองออกมาเดิมจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
แคว้นเซฟรังเป็นแคว้นใหญ่ของทิศตะวันตก ปกครองเมืองเล็กอีกหกเมือง เนื่องจากมีพื้นที่แนวชายฝั่งอยู่มากจึงทำให้เกิดการบุกรุกของโจรสลัดอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่หลวงอะไรนักสำหรับแคว้นใหญ่แห่งนี้ เพราะกองกำลังของทหารบกและทหารเรือนั้นมีอยู่อย่างมหาศาล
ส่วนปัญหาอันดับหนึ่งก็คงจะเป็น...
“ประกาศจับปิศาจ...ก่อการร้ายคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของเหล่าปิศาจ...ปิศาจออกไล่ล่าสังหารผู้คน... มีแต่ข่าวเกี่ยวกับปิศาจทั้งนั้นเลย” เสียงบ่นขมุบขมิบอย่างขัดใจขณะอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน ให้ตายสิ เขาจ่ายเงินไปตั้งสามสิบเฟอรีเป็นค่าหนังสือพิมพ์ แต่กระดาษเน่าๆ นี่กลับมีแต่ข่าวพวกนี้เนี่ยนะ
“ก็นี่มันปัญหาแก้ไม่ตกของที่นี่ พูดมากอยู่ได้ เจ้าจะนั่งเงียบๆ บ้างเป็นบ้างไหมฮะ มิลอง” เสียงแหลมร้องแหวกลับมาจากร่างเล็กมุมด้านในสุด นัยน์ตาสีม่วงอ่อนตัดกับเส้นผมนุ่มสีชมพูนั้นฉายแววไม่พอใจอย่างรู้สึกรำคาญ
“เสียใจด้วยเชย์ล่า เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่พวกใบ้อย่างรูรัน” เด็กหนุ่มเจ้าของนาม ‘มิลอง’ เอ่ยตอบเสียงเนือยอย่างไม่สนใจ และไม่แม้แต่จะเหลือบสายตาไปมองคนข้างกายที่เพิ่งจะโดนนินทาแบบระยะเผาขนไปด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีแสดออกแดงซึ่งมีสีเดียวกันกับเส้นผมไล่สายตาไปตามข้อความในหนังสือพิมพ์อย่างเบื่อหน่าย
ทั้งสามนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังมุ่งตรงสู่สถานที่แห่งหนึ่งตรงใจกลางเมืองของแคว้นเซฟรังแห่งนี้ เชย์ล่าถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจเมื่อต้องมาร่วมเดินทางชั่วคราวไปกับเจ้าบ้ามิลอง ทั้งที่อยู่คนละทีมกันแท้ๆ ทำไมถึงต้องมานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ใบหน้างามบึ้งตึงทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้
สามชั่วโมงก่อน... เธอกำลังนั่งอยู่ในรถม้ามากับรูรันซึ่งอยู่ทีมเดียวกันท่ามกลางความเงียบสงบอันแสนสุขใจ รูรันเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรมาก เข้าทำนองพูดน้อยต่อยหนักอยู่แล้วจึงไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเธอ
แต่แล้วอยู่ๆ รถม้าก็หยุดจอดลงกะทันหัน ประตูเปิดผลัวะออกพร้อมกับมีร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมานั่งแผละแบบไม่ขออนุญาต ดีดนิ้วหนึ่งทีเรียกถ้วยน้ำชาและขนมหวานให้ปรากฏขึ้น จากนั้นก็นั่งดื่มชา อ่านหนังสือพิมพ์พลางคว้าขนมเข้าปากไปด้วยอย่างสบายใจเฉิบ บรรยากาศภายในรถม้าตกอยู่ภายใต้ความงงงวยชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะกลายสภาพเป็นทะเลเดือดไปในบัดดล ส่วนเหตุผลของการมาปรากฏตัวแบบไม่บอกกล่าวของเด็กหนุ่มนั้นก็คือ
‘ไหนๆ ก็ทางเดียวกัน ข้าขี้เกียจจ่ายตังเช่ารถม้า’
ไอ้ตัวงกเงิน! เป็นที่รู้ดีกันไปทั่วว่าเด็กหนุ่มเจ้าของนามมิลองผู้นี้นั้นงกเงินขนาดไหน เพียงแต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะอุตส่าห์มายืนรอรถม้าของพวกเธอ ไม่มีใครบ้าเท่าเจ้าหมอนี่อีกแล้ว
“แล้วไง ท่านราชาเรียกตัวพวกเจ้ามาเหมือนกันเรอะ” เสียงเนือยเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยจะสนใจเท่าใดนัก สายตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในมือ
“เรียกทุกคนนั่นแหละ แต่เจ้า...เจ้าควรจะอยู่กับจิเซลแล้วก็แอชไม่ใช่หรือไง สองคนนั่นมันทีมเดียวกับเจ้านี่” เชย์ล่าใช้น้ำเสียงจิกกัดอย่างหงุดหงิด สายตาตำหนิถูกส่งตรงไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่ปกปิด แต่คนถูกจ้องก็ยังคงนั่งเฉยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ตามมานั่นแหละ เฮ้อ ที่นี่มันไม่มีข่าวใหญ่ตูมอะไรเลยรึไงกันนะ น่าเบื่อจริงๆ” มิลองถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ซึ่งเป็นการเรียกสายตาดุๆ จากเด็กสาวได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีแสดเหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะแย้มรอยยิ้มทะเล้นอย่างเจ้าเล่ห์
“อะไร” น้ำเสียงฉุนๆ กัดฟันตอบ รอยยิ้มนั่นไม่น่าไว้ใจเลยแฮะ
“พวกเรามาลองอาละวาดก่อนไปหาท่านราชากันมั้ยล่ะ ข่าวในหนังสือพิมพ์มันจะได้น่าตื่นเต้นมากกว่านี้” น้ำเสียงนึกสนุกเอ่ยคำชวน สายตาเป็นประกายด้วยความหวัง
“หา? จะบ้าเหรอ”
“ข้ามีพวกมาริโอเน็ตที่ซ่อมเสร็จแล้วเต็มเลย พวกมันกำลังหาเวทีเปิดฉากการแสดงอยู่พอดี” ใบหน้าเจ้าเล่ห์ปรากฏรอยยิ้มเย็นพร้อมกับเอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงที่ต่ำจนฟังดูน่าขนลุก “แล้วแคว้นเซฟรังแห่งนี้ก็ช่างเหมาะสำหรับเวทีแสนยิ่งใหญ่มากทีเดียว...”
++++++++++
คารอฟ...
“เอเวน!” เสียงตะโกนเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับคืนมา เจ้าของชื่อมีอาการสะดุ้งน้อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากสำหรับคนที่มีท่าทีเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลาอย่างเขา
“เป็นอะไรไปน่ะ ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน” มิเวลเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง พวกเขาทั้งสองกำลังอยู่ในห้องของเอเวน วันนี้ทั้งวันเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาจนเธออดที่จะเดินเข้ามาเรียกไม่ได้
“เปล่า...มีอะไรล่ะ” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับมาเหมือนปกติ
“ข้าจะมาบอกเขาเรื่องการผ่านบานประตูศักดิ์สิทธิ์” มิเวลเกริ่น พร้อมกับยื่นอัญมณีสีแดงในมือส่งให้กับเอเวน “จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”
เด็กหนุ่มรับก้อนเพชรสีแดงมาถือไว้ มองสำรวจมันอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการยืนยันว่าความเข้าใจของเขาถูกต้องดีแล้ว “แต่ผ่านได้แค่คนเดียวใช่มั้ย”
มิเวลพยักหน้ารับ เพชรสีแดงก้อนนี้สามารถเป็นกุญแจผ่านทางสำหรับคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เธอคิดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นฝ่ายเข้าไปที่เผ่ามายาเพื่อขอความช่วยเหลือก่อน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเอเวนจะเห็นด้วยหรือไม่จึงตั้งใจจะมาบอกเขาเรื่องนี้
“ข้าจะเข้าไปก่อน แล้วขอให้ท่านย่าของข้ามารักษาวอล พร้อมกับนำเพชรออกมาเพิ่มด้วยเพื่อเป็นกุญแจผ่านทางของพวกเจ้า” เสียงเครียดเอ่ยเสนอความคิดของตัวเอง หัวใจเต้นตุบๆ อย่างกังวลใจ สบสายตากับนัยน์ตาสีอำพันตรงหน้าที่มองเธอด้วยสายตาเรียบสนิท
มิเวลรู้ดีว่าวิธีนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแต่เพียงผู้เดียว เพราะถ้าหากเธอจะทรยศก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ผ่านประตูเข้าไปโดยไม่กลับออกมาอีกเลย เวทเขตอาคมของเผ่ามายาถือว่าแข็งแรงที่สุด มั่นใจได้ว่าเอเวนไม่มีวันสามารถฝ่าเขตอาคมของชนเผ่าผู้ครอบครองธาตุบริสุทธิ์เข้ามาได้อย่างแน่นอน เอเวนต้องเลือกว่าจะเชื่อใจเธอหรือไม่
และความเชื่อใจนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอกำลังถามตัวเองอยู่เช่นกัน ว่าจะสามารถเชื่อใจ ‘เพื่อน’ ทั้งสองคนได้หรือเปล่า ค่ำคืนที่ผ่านมาคือคืนแห่งการตัดสินใจของเธอ ทั้งครุ่นคิดถึงเรื่องการเดินทางที่ผ่านมา ปัญหาอุปสรรคต่างๆ รวมถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับเพื่อนร่วมทางทั้งสองคน จริงอยู่ว่าวอลกับเอเวนนั้นช่างน่าสงสัยเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะเดิมพันกับการตัดสินใจครั้งนี้
‘และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า’
ริมฝีปากกระตุกรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ พลางนึกถึงประโยคคำพูดของเจ้าบ้าวอล เสียงของเขาในตอนนั้นช่างฟังดูอ่อนโยนและสามารถทำให้จิตใจของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะนี้เธอได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดหัวใจของตัวเอง นัยน์ตาสีแดงมองตรงไปยังใบหน้าเรียบสนิทของเอเวนด้วยสายตามั่นใจ เธอเลือกแล้ว และในตอนนี้ก็เหลือแค่รอให้เอเวนตัดสินใจเท่านั้นว่าเขาจะสามารถเชื่อใจเธอได้หรือไม่
“ได้สิ...ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้” เสียงเรียบเอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า เรียกรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจจากเด็กสาว
เอเวนเชื่อใจเธอ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เธอได้ตัดสินใจแล้วว่า ทั้งเอเวนและวอลจะเป็นคนสำคัญสำหรับเธอ เป็นคนสำคัญที่สามารถเชื่อใจและพูดคุยปรึกษาเสมือนครอบครัวเดียวกันได้ และเธอจะต้องปกป้องพวกเขาทั้งสองคน
ท่านย่า... ตอนนี้ข้าได้พบเพื่อนคนสำคัญแล้วล่ะ
“ข้าจะรีบกลับมา” น้ำเสียงเชื่อมั่นเอ่ยคำสัญญา เผลอคว้ามือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้คนถูกจับต้องเบือนสายตาไปมองทางอื่นทันควัน พลางพยายามออกคำสั่งให้จิตใจที่เริ่มรู้สึกแปลกๆ นี่ให้สงบลงเสียที
ร่างเล็กปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ประตูห้องด้วยความรีบร้อน เธอจะต้องแข่งกับเวลาเพื่อช่วยชีวิตวอล หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงคนเจ็บที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในแคปซูลรักษา ความรู้สึกเป็นห่วงกำลังทำให้เธอเจ็บ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเป็นห่วงเจ้าบ้าที่เอาแต่ยิ้มไปวันๆ นั่นทำไม คนบ้าอะไรขนาดตอนหมดสติยังยิ้มได้อยู่อีก
แต่แล้วอยู่ๆ เด็กสาวก็หยุดฝีเท้าลงเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เหลือบสายตากลับไปมองเจ้าของห้องอย่างลังเล
“พอข้ากลับมาข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟัง...ถึงตอนนั้น...เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ้างได้มั้ย” เสียงพึมพำเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
เอเวนกระตุกรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างขำขัน ไม่เข้าใจว่าทำไมมิเวลถึงมีท่าทีเหมือนกลัวเขาอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน ข้าสัญญา”
++++++++++
บานประตูศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นปราการป้องกันศัตรูของเผ่ามายากำลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเหลือบสายตาลงต่ำ มองไปยังเพชรสีแดงในมือ ก่อนจะเบือนสายตาไปที่รูกุญแจที่มีขนาดใหญ่กว่ารูกุญแญทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีขนาดเล็กกว่าก้อนเพชรหลายเท่า
มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไล่ความกังวลใจทั้งหมดให้หายไป วางก้อนเพชรในมือทาบไปที่รูกุญแจ เกิดแสงวูบวาบปรากฏขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงลมลอดผ่านโพรงกุญแจออกมาเบาๆ จากนั้นเสียงลมก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวเก็บเพชรลงกระเป๋าคาดเอวของตัวเองเช่นเดิม แล้วหันไปเผชิญหน้ากับสายลมที่พุ่งพรวดออกมาจากรูกุญแจ สายลมโอบล้อมร่างของเธอเอาไว้ ก่อนจะโดนสูบหายเข้าไปในโพรงกุญแจเล็กๆ ด้วยกันโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ เหลือทิ้งเอาไว้ให้เห็น
ผู้คนมักจะเข้าใจผิดว่าทางผ่านไปยังทะเลหมอกนั้นจะต้องเปิดบานประตูศักดิ์สิทธิ์ออก พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าทางเข้าที่แท้จริงแล้วก็คือโพรงกุญแจเล็กจิ๋วนั่นต่างหาก โดยมีเพชรประจำเผ่าเป็นสื่อกลางในการตรวจสอบไอเวทของผู้ผ่านทาง เป็นผลมาจากเวทมายาชั้นสูงของท่านย่าที่ต้องการจะปกป้องชนเผ่ามายาทุกคน
ไอเวทคือสิ่งยืนยันตัวตนได้ดีที่สุด ปราการสู่เผ่ามายาด่านต่อไปก็คือทะเลหมอกที่จะกลืนกินตัวตนของผู้บุกรุก แต่สำหรับเธอผู้เป็นหนึ่งในชนเผ่ามายาแล้ว ผู้เฝ้าประตูจะเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับการกลับมาของเธอเอง ดวงตาสีแดงทั้งสองค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้าเรียกความรู้สึกคิดถึงและความผูกพันต่างๆ ให้เอ่อล้น เด็กสาวยิ้มรับรอยยิ้มนั่นด้วยความสุขใจ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ” ถ้อยคำเปี่ยมด้วยความรักเอ่ยกล่าวด้วยความตื้นตันในหัวใจ พร้อมกับใช้สองมือโอบกอดร่างน้อยด้วยความคิดถึง
“...ข้ากลับมาแล้ว ท่านแม่” เสียงสั่นพูดพึมพำ กระชับอ้อมกอดจากอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกอย่างรู้สึกโหยหา
แคลรีลยิ้มทั้งน้ำตาขณะกอดลูกสาวแสนรักเอาไว้ในอ้อมอก ลืมการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ที่มิเวลของเธอดึงดันจะออกเดินทางก่อนหน้านี้ไปจนหมด ดีใจเหลือเกินที่ลูกกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยามสัมผัสความรู้สึกได้ถึงไอเวทของมิเวลเมื่อครู่นี้ เธอก็รีบทิ้งงานทุกอย่างแล้วร่ายเวทออกมารับลูกสาวทันที ไม่ว่าจะงานใดก็ไม่สำคัญเท่ามิเวลของเธอ
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่รู้สึกดีใจหลังจากรับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูมาแสนยาวนาน เพราะแม่ได้เห็นหน้าลูกก่อนคนอื่นไง” แคลรีลกล่าวพร้อมกับบรรจงมอบรอยจูบลงบนหน้าผากของเด็กสาว
“โดยเฉพาะก่อนท่านพ่อด้วยหรือเปล่า” มิเวลพูดแซวอย่างรู้ทัน ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะขำขันจากสองแม่ลูกยามนึกถึงใบหน้างอนๆ ของคนถูกเอ่ยถึง
“เดี๋ยวแม่จะรีบพาลูกไปหาคนขี้งอนเลยแล้วกัน” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าจะร่ายเวทไปจากสถานที่เบื้องหลังบานประตูศักดิ์สิทธิ์ รอบด้านถูกล้อมรอบด้วยทะเลหมอกทำให้มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่น แม้แต่จะเป็นชายฝั่งอีกด้านหนึ่งก็ตาม
แต่แล้วแขนขวากลับถูกผู้เป็นลูกยึดเอาไว้ สายตางุนงงหันกลับไปมองเด็กสาวอย่างแปลกใจ
“คือ...ข้าอยากขอให้ท่านแม่ช่วยอะไรข้าหน่อย” เสียงแผ่วเบาเอ่ยคำขอร้องอย่างไม่มั่นใจนัก
“ช่วย? ช่วยอะไรจ๊ะ” แคลรีลทวน มองใบหน้าลำบากใจของผู้เป็นลูกอย่างสงสัย อะไรทำให้สาวน้อยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจคนนี้มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ได้ขนาดนี้กันหนอ
“ท่านแม่เป็นผู้ใช้เวทธาตุบริสุทธิ์ คือ...ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยรักษาเพื่อนของข้าให้หน่อย”
“เพื่อนงั้นหรือ อยู่ไหนล่ะลูก” แคลรีลเอ่ยถาม มองหารอบตัวอย่างสงสัย เธอสัมผัสความรู้สึกของไอเวทของคนอื่นนอกจากมิเวลไม่ได้เลยนี่นา เพราะฉะนั้นคนที่สามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้นั้นจะต้องมีแค่ลูกสาวของเธอสิ
“เขาไม่ได้เข้ามาด้วยกันหรอกค่ะ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเข้ามาไม่ได้มากกว่า” มิเวลรีบเอ่ยบอก “เขารออยู่ตรงหน้าประตูศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ ข้าอยากให้ท่านแม่ออกไปรักษาเขาน่ะค่ะ”
คนฟังเริ่มมีสีหน้าลำบากใจ ใช่ว่าเธออยากจะปฏิเสธคำขอร้องของมิเวล แต่กฎของเผ่าที่ห้ามออกไปข้างนอกนั้นทำให้ผู้รับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูจำใจต้องส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ
“แม่ก็อยากช่วยลูกนะ แต่ลูกต้องไปขอร้องท่านย่าของลูกก่อน แม่ถึงจะออกไปข้างนอกพร้อมกับลูกได้”
มิเวลมีสีหน้าสลดลง เธอเองก็คาดเอาไว้แล้วว่าผู้เป็นแม่ต้องตอบเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ อยู่บ้าง เด็กสาวพยักหน้ารับเป็นการเข้าใจ
แคลรีลยิ้มให้กับลูกสาว จากนั้นจึงร่ายเวทหายตัวพาทั้งสองกลับไปยังเผ่ามายา
เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของสองแม่ลูกก็หายตัวมาปรากฏที่เนินเขาแห่งหนึ่ง มิเวลลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกอุ่นใจ อากาศบริสุทธิ์ร่มรื่น ทั้งต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกิน นี่สินะ บ้านของเธอ
“มิเวล” เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้เด็กสาวหันไปมอง
ร่างสูงของชายวัยกลางคน หากแต่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง กำลังยืนกำหมัดนิ่งห่างออกไปประมาณสามเมตร สีหน้าเงียบขรึมทำให้เดาความรู้สึกและอารมณ์ของเขาไม่ออก มิเวลกลอกตาไปมาอย่างคนทำหน้าไม่ถูก
“ท่าน...” พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็เดินดุ่มๆ เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ท่าทางดูน่ากลัว จ้องเธอเขม็งด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะ...
โป๊ก!
“โอ๊ย! ท่านพ่อ! ข้าเจ็บนะ!” มือสองข้างรีบคลำศีรษะสำรวจตรงจุดที่ถูกหมัดพิฆาตของผู้เป็นพ่อทุบด้วยความรัก (?) ป้อยๆ
“เจ้าบ้า! รู้มั้ยฮะว่าทำเรื่องบ้าอะไรลงไป!?” เสียงเหี้ยมพูดตะคอกอย่างรุนแรง สายตาโกรธขึงมองคนอ่อนวัยกว่าอย่างเดือดดาล แต่คนถูกตะคอกใส่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะทุกข์ร้อนหรือสำนึกอะไรนอกจากทำหน้าบึ้งตึง จ้องสายตาอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าข้าเอาตัวรอดได้ แล้วนี่ข้าก็กลับมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาเลยด้วย” น้ำเสียงเอาเรื่องไม่แพ้กันโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
และแล้วสองพ่อลูกก็ได้แต่แยกเขี้ยวแง่งๆ ใส่กันจนแทบจะพ่นไฟพรึบได้อยู่แล้ว ผู้เฝ้าประตูมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มขำขัน สองคนนี้ชอบทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ เธอไม่เดินเข้าไปห้ามเพราะอีกไม่นานทั้งสองคนก็จะกลับมาคืนดีกันเอง แต่ถ้ากินเวลาหน่อยก็อาจจะจบลงด้วยการดวล แล้วถ้าเพื่อนของมิเวลได้มาเห็นภาพนี้ก็คงจะคิดว่าสองพ่อลูกคู่นี้นี่ช่างมีนิสัยเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน เฮ้อ ทั้งๆ ที่เธอเองก็เลี้ยงดูมิเวลด้วยความรักและความอ่อนโยนมาโดยตลอดแท้ๆ แต่ทำไมถึงไปเหมือนคนโน้นได้ก็ไม่รู้
เวเธอร์ดึงตัวลูกสาวเข้ามากอดแบบไม่ให้ตั้งตัวด้วยความโล่งอกที่เด็กน้อยของเขากลับมาอย่างปลอดภัย คนถูกกอดอึ้งน้อยๆ แต่ก็กระชับอ้อมกอดแสนอบอุ่นของผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง
“ท่านพ่อยอมข้าแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงภาคภูมิใจเอ่ยอย่างผู้ได้รับชัยชนะ
“เอาไว้ตัดสินด้วยการดวล ตอนนี้ขอพักยกก่อน” เวเธอร์ใช้น้ำเสียงเจ้าเล่ห์บอกปัดพร้อมกับยิ้มแยกเขี้ยวอย่างผู้เหนือกว่า เขายังไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ หรอก เด็กสาวร้องชิเบาๆ อย่างขัดใจ คิดไว้แล้วเชียวว่าตาแก่นี่ต้องไม่ยอมแน่ๆ
“ข้าอยากจะพบท่านย่า” เสียงเครียดเริ่มต้นเข้าประเด็นของการกลับมา “เพื่อนของข้าบาดเจ็บ ข้าจึงอยากจะรักษาเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาเพชรไปให้เขาสิ แล้วพาเขาเข้ามาที่นี่” ผู้เป็นพ่อแนะนำ เนื่องจากมีกฎห้ามชนเผ่ามายาออกไปจากเกาะ ดังนั้นการพาคนเจ็บเข้ามาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เวเธอร์ก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่เห็นมิเวลส่ายหน้าน้อยๆ
เด็กสาวมีท่าทีลังเลเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดออกมาดีมั้ย สายตาไม่แน่ใจมองบุพการีทั้งสองสลับกันไปมาอยู่พักใหญ่
“คือ...ข้าไม่แน่ใจ...คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้”
“ทำไมล่ะลูก” แคลรีลถามอย่างสงสัย เธอเห็นด้วยกับวิธีของเวเธอร์
มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจ เอาล่ะ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องบอกสถานการณ์ทั้งหมดอยู่แล้ว มัวแต่งึมงำอยู่อย่างนี้เดี๋ยวเจ้าบ้าวอลก็เดี้ยงกันพอดี
“ต้องใช้เพชรเป็นสื่อกลางในการตรวจสอบไอเวทจึงจะสามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้ใช่มั้ยคะ” เด็กสาวทวนความเข้าใจของตนเองให้คนทั้งสองฟัง เว้นช่วงพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยกล่าวสาเหตุของ ‘ความเป็นไปไม่ได้’ ออกมา “เพราะฉะนั้น ถ้าหากไม่มีไอเวท คนคนนั้นก็จะไม่สามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้”
“เจ้าอย่าบอกนะว่า...” เวเธอร์มีสีหน้าตกใจกลัวเช่นเดียวกับผู้เป็นภรรยา ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มิเวลพยักหน้ารับ ก่อนจะยืนยันความกังวลของทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงฉะฉานอย่างมั่นใจ
“เพื่อนของข้าคนนั้น...เป็นมนุษย์ธรรมดา”
+++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!
NEXT Episode [ Season Finale ] : แหกกฎ
EPISODE 33
สู่เผ่ามายา
รถม้าประจำตระกูลผู้ดีแห่งแคว้นเซฟรังกำลังวิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วคงที่ สภาพแวดล้อมรอบด้านเต็มไปด้วยตึกราบ้านช่องที่มีรูปทรงแตกต่างกันไป บ้านหลังหนึ่งมีนาฬิกาเรือนใหญ่ประดับอยู่บนหลังคา อีกหลังหนึ่งมีทรงสูงเกือบลับฟ้า ตรงกันข้ามกับบ้านหลังถัดมาที่มีเพียงชั้นเดียว เหล่าชาวเมืองออกมาเดิมจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
แคว้นเซฟรังเป็นแคว้นใหญ่ของทิศตะวันตก ปกครองเมืองเล็กอีกหกเมือง เนื่องจากมีพื้นที่แนวชายฝั่งอยู่มากจึงทำให้เกิดการบุกรุกของโจรสลัดอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่หลวงอะไรนักสำหรับแคว้นใหญ่แห่งนี้ เพราะกองกำลังของทหารบกและทหารเรือนั้นมีอยู่อย่างมหาศาล
ส่วนปัญหาอันดับหนึ่งก็คงจะเป็น...
“ประกาศจับปิศาจ...ก่อการร้ายคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของเหล่าปิศาจ...ปิศาจออกไล่ล่าสังหารผู้คน... มีแต่ข่าวเกี่ยวกับปิศาจทั้งนั้นเลย” เสียงบ่นขมุบขมิบอย่างขัดใจขณะอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน ให้ตายสิ เขาจ่ายเงินไปตั้งสามสิบเฟอรีเป็นค่าหนังสือพิมพ์ แต่กระดาษเน่าๆ นี่กลับมีแต่ข่าวพวกนี้เนี่ยนะ
“ก็นี่มันปัญหาแก้ไม่ตกของที่นี่ พูดมากอยู่ได้ เจ้าจะนั่งเงียบๆ บ้างเป็นบ้างไหมฮะ มิลอง” เสียงแหลมร้องแหวกลับมาจากร่างเล็กมุมด้านในสุด นัยน์ตาสีม่วงอ่อนตัดกับเส้นผมนุ่มสีชมพูนั้นฉายแววไม่พอใจอย่างรู้สึกรำคาญ
“เสียใจด้วยเชย์ล่า เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่พวกใบ้อย่างรูรัน” เด็กหนุ่มเจ้าของนาม ‘มิลอง’ เอ่ยตอบเสียงเนือยอย่างไม่สนใจ และไม่แม้แต่จะเหลือบสายตาไปมองคนข้างกายที่เพิ่งจะโดนนินทาแบบระยะเผาขนไปด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีแสดออกแดงซึ่งมีสีเดียวกันกับเส้นผมไล่สายตาไปตามข้อความในหนังสือพิมพ์อย่างเบื่อหน่าย
ทั้งสามนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังมุ่งตรงสู่สถานที่แห่งหนึ่งตรงใจกลางเมืองของแคว้นเซฟรังแห่งนี้ เชย์ล่าถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจเมื่อต้องมาร่วมเดินทางชั่วคราวไปกับเจ้าบ้ามิลอง ทั้งที่อยู่คนละทีมกันแท้ๆ ทำไมถึงต้องมานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ใบหน้างามบึ้งตึงทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้
สามชั่วโมงก่อน... เธอกำลังนั่งอยู่ในรถม้ามากับรูรันซึ่งอยู่ทีมเดียวกันท่ามกลางความเงียบสงบอันแสนสุขใจ รูรันเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรมาก เข้าทำนองพูดน้อยต่อยหนักอยู่แล้วจึงไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเธอ
แต่แล้วอยู่ๆ รถม้าก็หยุดจอดลงกะทันหัน ประตูเปิดผลัวะออกพร้อมกับมีร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมานั่งแผละแบบไม่ขออนุญาต ดีดนิ้วหนึ่งทีเรียกถ้วยน้ำชาและขนมหวานให้ปรากฏขึ้น จากนั้นก็นั่งดื่มชา อ่านหนังสือพิมพ์พลางคว้าขนมเข้าปากไปด้วยอย่างสบายใจเฉิบ บรรยากาศภายในรถม้าตกอยู่ภายใต้ความงงงวยชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะกลายสภาพเป็นทะเลเดือดไปในบัดดล ส่วนเหตุผลของการมาปรากฏตัวแบบไม่บอกกล่าวของเด็กหนุ่มนั้นก็คือ
‘ไหนๆ ก็ทางเดียวกัน ข้าขี้เกียจจ่ายตังเช่ารถม้า’
ไอ้ตัวงกเงิน! เป็นที่รู้ดีกันไปทั่วว่าเด็กหนุ่มเจ้าของนามมิลองผู้นี้นั้นงกเงินขนาดไหน เพียงแต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะอุตส่าห์มายืนรอรถม้าของพวกเธอ ไม่มีใครบ้าเท่าเจ้าหมอนี่อีกแล้ว
“แล้วไง ท่านราชาเรียกตัวพวกเจ้ามาเหมือนกันเรอะ” เสียงเนือยเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยจะสนใจเท่าใดนัก สายตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในมือ
“เรียกทุกคนนั่นแหละ แต่เจ้า...เจ้าควรจะอยู่กับจิเซลแล้วก็แอชไม่ใช่หรือไง สองคนนั่นมันทีมเดียวกับเจ้านี่” เชย์ล่าใช้น้ำเสียงจิกกัดอย่างหงุดหงิด สายตาตำหนิถูกส่งตรงไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่ปกปิด แต่คนถูกจ้องก็ยังคงนั่งเฉยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ตามมานั่นแหละ เฮ้อ ที่นี่มันไม่มีข่าวใหญ่ตูมอะไรเลยรึไงกันนะ น่าเบื่อจริงๆ” มิลองถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ซึ่งเป็นการเรียกสายตาดุๆ จากเด็กสาวได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีแสดเหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะแย้มรอยยิ้มทะเล้นอย่างเจ้าเล่ห์
“อะไร” น้ำเสียงฉุนๆ กัดฟันตอบ รอยยิ้มนั่นไม่น่าไว้ใจเลยแฮะ
“พวกเรามาลองอาละวาดก่อนไปหาท่านราชากันมั้ยล่ะ ข่าวในหนังสือพิมพ์มันจะได้น่าตื่นเต้นมากกว่านี้” น้ำเสียงนึกสนุกเอ่ยคำชวน สายตาเป็นประกายด้วยความหวัง
“หา? จะบ้าเหรอ”
“ข้ามีพวกมาริโอเน็ตที่ซ่อมเสร็จแล้วเต็มเลย พวกมันกำลังหาเวทีเปิดฉากการแสดงอยู่พอดี” ใบหน้าเจ้าเล่ห์ปรากฏรอยยิ้มเย็นพร้อมกับเอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงที่ต่ำจนฟังดูน่าขนลุก “แล้วแคว้นเซฟรังแห่งนี้ก็ช่างเหมาะสำหรับเวทีแสนยิ่งใหญ่มากทีเดียว...”
++++++++++
คารอฟ...
“เอเวน!” เสียงตะโกนเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับคืนมา เจ้าของชื่อมีอาการสะดุ้งน้อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากสำหรับคนที่มีท่าทีเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลาอย่างเขา
“เป็นอะไรไปน่ะ ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน” มิเวลเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง พวกเขาทั้งสองกำลังอยู่ในห้องของเอเวน วันนี้ทั้งวันเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาจนเธออดที่จะเดินเข้ามาเรียกไม่ได้
“เปล่า...มีอะไรล่ะ” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับมาเหมือนปกติ
“ข้าจะมาบอกเขาเรื่องการผ่านบานประตูศักดิ์สิทธิ์” มิเวลเกริ่น พร้อมกับยื่นอัญมณีสีแดงในมือส่งให้กับเอเวน “จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”
เด็กหนุ่มรับก้อนเพชรสีแดงมาถือไว้ มองสำรวจมันอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการยืนยันว่าความเข้าใจของเขาถูกต้องดีแล้ว “แต่ผ่านได้แค่คนเดียวใช่มั้ย”
มิเวลพยักหน้ารับ เพชรสีแดงก้อนนี้สามารถเป็นกุญแจผ่านทางสำหรับคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เธอคิดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นฝ่ายเข้าไปที่เผ่ามายาเพื่อขอความช่วยเหลือก่อน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเอเวนจะเห็นด้วยหรือไม่จึงตั้งใจจะมาบอกเขาเรื่องนี้
“ข้าจะเข้าไปก่อน แล้วขอให้ท่านย่าของข้ามารักษาวอล พร้อมกับนำเพชรออกมาเพิ่มด้วยเพื่อเป็นกุญแจผ่านทางของพวกเจ้า” เสียงเครียดเอ่ยเสนอความคิดของตัวเอง หัวใจเต้นตุบๆ อย่างกังวลใจ สบสายตากับนัยน์ตาสีอำพันตรงหน้าที่มองเธอด้วยสายตาเรียบสนิท
มิเวลรู้ดีว่าวิธีนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแต่เพียงผู้เดียว เพราะถ้าหากเธอจะทรยศก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ผ่านประตูเข้าไปโดยไม่กลับออกมาอีกเลย เวทเขตอาคมของเผ่ามายาถือว่าแข็งแรงที่สุด มั่นใจได้ว่าเอเวนไม่มีวันสามารถฝ่าเขตอาคมของชนเผ่าผู้ครอบครองธาตุบริสุทธิ์เข้ามาได้อย่างแน่นอน เอเวนต้องเลือกว่าจะเชื่อใจเธอหรือไม่
และความเชื่อใจนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอกำลังถามตัวเองอยู่เช่นกัน ว่าจะสามารถเชื่อใจ ‘เพื่อน’ ทั้งสองคนได้หรือเปล่า ค่ำคืนที่ผ่านมาคือคืนแห่งการตัดสินใจของเธอ ทั้งครุ่นคิดถึงเรื่องการเดินทางที่ผ่านมา ปัญหาอุปสรรคต่างๆ รวมถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับเพื่อนร่วมทางทั้งสองคน จริงอยู่ว่าวอลกับเอเวนนั้นช่างน่าสงสัยเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะเดิมพันกับการตัดสินใจครั้งนี้
‘และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า’
ริมฝีปากกระตุกรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ พลางนึกถึงประโยคคำพูดของเจ้าบ้าวอล เสียงของเขาในตอนนั้นช่างฟังดูอ่อนโยนและสามารถทำให้จิตใจของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะนี้เธอได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดหัวใจของตัวเอง นัยน์ตาสีแดงมองตรงไปยังใบหน้าเรียบสนิทของเอเวนด้วยสายตามั่นใจ เธอเลือกแล้ว และในตอนนี้ก็เหลือแค่รอให้เอเวนตัดสินใจเท่านั้นว่าเขาจะสามารถเชื่อใจเธอได้หรือไม่
“ได้สิ...ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้” เสียงเรียบเอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า เรียกรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจจากเด็กสาว
เอเวนเชื่อใจเธอ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เธอได้ตัดสินใจแล้วว่า ทั้งเอเวนและวอลจะเป็นคนสำคัญสำหรับเธอ เป็นคนสำคัญที่สามารถเชื่อใจและพูดคุยปรึกษาเสมือนครอบครัวเดียวกันได้ และเธอจะต้องปกป้องพวกเขาทั้งสองคน
ท่านย่า... ตอนนี้ข้าได้พบเพื่อนคนสำคัญแล้วล่ะ
“ข้าจะรีบกลับมา” น้ำเสียงเชื่อมั่นเอ่ยคำสัญญา เผลอคว้ามือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้คนถูกจับต้องเบือนสายตาไปมองทางอื่นทันควัน พลางพยายามออกคำสั่งให้จิตใจที่เริ่มรู้สึกแปลกๆ นี่ให้สงบลงเสียที
ร่างเล็กปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ประตูห้องด้วยความรีบร้อน เธอจะต้องแข่งกับเวลาเพื่อช่วยชีวิตวอล หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงคนเจ็บที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในแคปซูลรักษา ความรู้สึกเป็นห่วงกำลังทำให้เธอเจ็บ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเป็นห่วงเจ้าบ้าที่เอาแต่ยิ้มไปวันๆ นั่นทำไม คนบ้าอะไรขนาดตอนหมดสติยังยิ้มได้อยู่อีก
แต่แล้วอยู่ๆ เด็กสาวก็หยุดฝีเท้าลงเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เหลือบสายตากลับไปมองเจ้าของห้องอย่างลังเล
“พอข้ากลับมาข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟัง...ถึงตอนนั้น...เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ้างได้มั้ย” เสียงพึมพำเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
เอเวนกระตุกรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างขำขัน ไม่เข้าใจว่าทำไมมิเวลถึงมีท่าทีเหมือนกลัวเขาอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน ข้าสัญญา”
++++++++++
บานประตูศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นปราการป้องกันศัตรูของเผ่ามายากำลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเหลือบสายตาลงต่ำ มองไปยังเพชรสีแดงในมือ ก่อนจะเบือนสายตาไปที่รูกุญแจที่มีขนาดใหญ่กว่ารูกุญแญทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีขนาดเล็กกว่าก้อนเพชรหลายเท่า
มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไล่ความกังวลใจทั้งหมดให้หายไป วางก้อนเพชรในมือทาบไปที่รูกุญแจ เกิดแสงวูบวาบปรากฏขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงลมลอดผ่านโพรงกุญแจออกมาเบาๆ จากนั้นเสียงลมก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวเก็บเพชรลงกระเป๋าคาดเอวของตัวเองเช่นเดิม แล้วหันไปเผชิญหน้ากับสายลมที่พุ่งพรวดออกมาจากรูกุญแจ สายลมโอบล้อมร่างของเธอเอาไว้ ก่อนจะโดนสูบหายเข้าไปในโพรงกุญแจเล็กๆ ด้วยกันโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ เหลือทิ้งเอาไว้ให้เห็น
ผู้คนมักจะเข้าใจผิดว่าทางผ่านไปยังทะเลหมอกนั้นจะต้องเปิดบานประตูศักดิ์สิทธิ์ออก พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าทางเข้าที่แท้จริงแล้วก็คือโพรงกุญแจเล็กจิ๋วนั่นต่างหาก โดยมีเพชรประจำเผ่าเป็นสื่อกลางในการตรวจสอบไอเวทของผู้ผ่านทาง เป็นผลมาจากเวทมายาชั้นสูงของท่านย่าที่ต้องการจะปกป้องชนเผ่ามายาทุกคน
ไอเวทคือสิ่งยืนยันตัวตนได้ดีที่สุด ปราการสู่เผ่ามายาด่านต่อไปก็คือทะเลหมอกที่จะกลืนกินตัวตนของผู้บุกรุก แต่สำหรับเธอผู้เป็นหนึ่งในชนเผ่ามายาแล้ว ผู้เฝ้าประตูจะเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับการกลับมาของเธอเอง ดวงตาสีแดงทั้งสองค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้าเรียกความรู้สึกคิดถึงและความผูกพันต่างๆ ให้เอ่อล้น เด็กสาวยิ้มรับรอยยิ้มนั่นด้วยความสุขใจ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ” ถ้อยคำเปี่ยมด้วยความรักเอ่ยกล่าวด้วยความตื้นตันในหัวใจ พร้อมกับใช้สองมือโอบกอดร่างน้อยด้วยความคิดถึง
“...ข้ากลับมาแล้ว ท่านแม่” เสียงสั่นพูดพึมพำ กระชับอ้อมกอดจากอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกอย่างรู้สึกโหยหา
แคลรีลยิ้มทั้งน้ำตาขณะกอดลูกสาวแสนรักเอาไว้ในอ้อมอก ลืมการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ที่มิเวลของเธอดึงดันจะออกเดินทางก่อนหน้านี้ไปจนหมด ดีใจเหลือเกินที่ลูกกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยามสัมผัสความรู้สึกได้ถึงไอเวทของมิเวลเมื่อครู่นี้ เธอก็รีบทิ้งงานทุกอย่างแล้วร่ายเวทออกมารับลูกสาวทันที ไม่ว่าจะงานใดก็ไม่สำคัญเท่ามิเวลของเธอ
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่รู้สึกดีใจหลังจากรับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูมาแสนยาวนาน เพราะแม่ได้เห็นหน้าลูกก่อนคนอื่นไง” แคลรีลกล่าวพร้อมกับบรรจงมอบรอยจูบลงบนหน้าผากของเด็กสาว
“โดยเฉพาะก่อนท่านพ่อด้วยหรือเปล่า” มิเวลพูดแซวอย่างรู้ทัน ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะขำขันจากสองแม่ลูกยามนึกถึงใบหน้างอนๆ ของคนถูกเอ่ยถึง
“เดี๋ยวแม่จะรีบพาลูกไปหาคนขี้งอนเลยแล้วกัน” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าจะร่ายเวทไปจากสถานที่เบื้องหลังบานประตูศักดิ์สิทธิ์ รอบด้านถูกล้อมรอบด้วยทะเลหมอกทำให้มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่น แม้แต่จะเป็นชายฝั่งอีกด้านหนึ่งก็ตาม
แต่แล้วแขนขวากลับถูกผู้เป็นลูกยึดเอาไว้ สายตางุนงงหันกลับไปมองเด็กสาวอย่างแปลกใจ
“คือ...ข้าอยากขอให้ท่านแม่ช่วยอะไรข้าหน่อย” เสียงแผ่วเบาเอ่ยคำขอร้องอย่างไม่มั่นใจนัก
“ช่วย? ช่วยอะไรจ๊ะ” แคลรีลทวน มองใบหน้าลำบากใจของผู้เป็นลูกอย่างสงสัย อะไรทำให้สาวน้อยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจคนนี้มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ได้ขนาดนี้กันหนอ
“ท่านแม่เป็นผู้ใช้เวทธาตุบริสุทธิ์ คือ...ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยรักษาเพื่อนของข้าให้หน่อย”
“เพื่อนงั้นหรือ อยู่ไหนล่ะลูก” แคลรีลเอ่ยถาม มองหารอบตัวอย่างสงสัย เธอสัมผัสความรู้สึกของไอเวทของคนอื่นนอกจากมิเวลไม่ได้เลยนี่นา เพราะฉะนั้นคนที่สามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้นั้นจะต้องมีแค่ลูกสาวของเธอสิ
“เขาไม่ได้เข้ามาด้วยกันหรอกค่ะ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเข้ามาไม่ได้มากกว่า” มิเวลรีบเอ่ยบอก “เขารออยู่ตรงหน้าประตูศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ ข้าอยากให้ท่านแม่ออกไปรักษาเขาน่ะค่ะ”
คนฟังเริ่มมีสีหน้าลำบากใจ ใช่ว่าเธออยากจะปฏิเสธคำขอร้องของมิเวล แต่กฎของเผ่าที่ห้ามออกไปข้างนอกนั้นทำให้ผู้รับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูจำใจต้องส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ
“แม่ก็อยากช่วยลูกนะ แต่ลูกต้องไปขอร้องท่านย่าของลูกก่อน แม่ถึงจะออกไปข้างนอกพร้อมกับลูกได้”
มิเวลมีสีหน้าสลดลง เธอเองก็คาดเอาไว้แล้วว่าผู้เป็นแม่ต้องตอบเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ อยู่บ้าง เด็กสาวพยักหน้ารับเป็นการเข้าใจ
แคลรีลยิ้มให้กับลูกสาว จากนั้นจึงร่ายเวทหายตัวพาทั้งสองกลับไปยังเผ่ามายา
เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของสองแม่ลูกก็หายตัวมาปรากฏที่เนินเขาแห่งหนึ่ง มิเวลลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกอุ่นใจ อากาศบริสุทธิ์ร่มรื่น ทั้งต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกิน นี่สินะ บ้านของเธอ
“มิเวล” เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้เด็กสาวหันไปมอง
ร่างสูงของชายวัยกลางคน หากแต่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง กำลังยืนกำหมัดนิ่งห่างออกไปประมาณสามเมตร สีหน้าเงียบขรึมทำให้เดาความรู้สึกและอารมณ์ของเขาไม่ออก มิเวลกลอกตาไปมาอย่างคนทำหน้าไม่ถูก
“ท่าน...” พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็เดินดุ่มๆ เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ท่าทางดูน่ากลัว จ้องเธอเขม็งด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะ...
โป๊ก!
“โอ๊ย! ท่านพ่อ! ข้าเจ็บนะ!” มือสองข้างรีบคลำศีรษะสำรวจตรงจุดที่ถูกหมัดพิฆาตของผู้เป็นพ่อทุบด้วยความรัก (?) ป้อยๆ
“เจ้าบ้า! รู้มั้ยฮะว่าทำเรื่องบ้าอะไรลงไป!?” เสียงเหี้ยมพูดตะคอกอย่างรุนแรง สายตาโกรธขึงมองคนอ่อนวัยกว่าอย่างเดือดดาล แต่คนถูกตะคอกใส่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะทุกข์ร้อนหรือสำนึกอะไรนอกจากทำหน้าบึ้งตึง จ้องสายตาอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าข้าเอาตัวรอดได้ แล้วนี่ข้าก็กลับมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาเลยด้วย” น้ำเสียงเอาเรื่องไม่แพ้กันโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
และแล้วสองพ่อลูกก็ได้แต่แยกเขี้ยวแง่งๆ ใส่กันจนแทบจะพ่นไฟพรึบได้อยู่แล้ว ผู้เฝ้าประตูมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มขำขัน สองคนนี้ชอบทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ เธอไม่เดินเข้าไปห้ามเพราะอีกไม่นานทั้งสองคนก็จะกลับมาคืนดีกันเอง แต่ถ้ากินเวลาหน่อยก็อาจจะจบลงด้วยการดวล แล้วถ้าเพื่อนของมิเวลได้มาเห็นภาพนี้ก็คงจะคิดว่าสองพ่อลูกคู่นี้นี่ช่างมีนิสัยเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน เฮ้อ ทั้งๆ ที่เธอเองก็เลี้ยงดูมิเวลด้วยความรักและความอ่อนโยนมาโดยตลอดแท้ๆ แต่ทำไมถึงไปเหมือนคนโน้นได้ก็ไม่รู้
เวเธอร์ดึงตัวลูกสาวเข้ามากอดแบบไม่ให้ตั้งตัวด้วยความโล่งอกที่เด็กน้อยของเขากลับมาอย่างปลอดภัย คนถูกกอดอึ้งน้อยๆ แต่ก็กระชับอ้อมกอดแสนอบอุ่นของผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง
“ท่านพ่อยอมข้าแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงภาคภูมิใจเอ่ยอย่างผู้ได้รับชัยชนะ
“เอาไว้ตัดสินด้วยการดวล ตอนนี้ขอพักยกก่อน” เวเธอร์ใช้น้ำเสียงเจ้าเล่ห์บอกปัดพร้อมกับยิ้มแยกเขี้ยวอย่างผู้เหนือกว่า เขายังไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ หรอก เด็กสาวร้องชิเบาๆ อย่างขัดใจ คิดไว้แล้วเชียวว่าตาแก่นี่ต้องไม่ยอมแน่ๆ
“ข้าอยากจะพบท่านย่า” เสียงเครียดเริ่มต้นเข้าประเด็นของการกลับมา “เพื่อนของข้าบาดเจ็บ ข้าจึงอยากจะรักษาเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาเพชรไปให้เขาสิ แล้วพาเขาเข้ามาที่นี่” ผู้เป็นพ่อแนะนำ เนื่องจากมีกฎห้ามชนเผ่ามายาออกไปจากเกาะ ดังนั้นการพาคนเจ็บเข้ามาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เวเธอร์ก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่เห็นมิเวลส่ายหน้าน้อยๆ
เด็กสาวมีท่าทีลังเลเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดออกมาดีมั้ย สายตาไม่แน่ใจมองบุพการีทั้งสองสลับกันไปมาอยู่พักใหญ่
“คือ...ข้าไม่แน่ใจ...คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้”
“ทำไมล่ะลูก” แคลรีลถามอย่างสงสัย เธอเห็นด้วยกับวิธีของเวเธอร์
มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจ เอาล่ะ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องบอกสถานการณ์ทั้งหมดอยู่แล้ว มัวแต่งึมงำอยู่อย่างนี้เดี๋ยวเจ้าบ้าวอลก็เดี้ยงกันพอดี
“ต้องใช้เพชรเป็นสื่อกลางในการตรวจสอบไอเวทจึงจะสามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้ใช่มั้ยคะ” เด็กสาวทวนความเข้าใจของตนเองให้คนทั้งสองฟัง เว้นช่วงพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยกล่าวสาเหตุของ ‘ความเป็นไปไม่ได้’ ออกมา “เพราะฉะนั้น ถ้าหากไม่มีไอเวท คนคนนั้นก็จะไม่สามารถผ่านโพรงกุญแจเข้ามาได้”
“เจ้าอย่าบอกนะว่า...” เวเธอร์มีสีหน้าตกใจกลัวเช่นเดียวกับผู้เป็นภรรยา ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มิเวลพยักหน้ารับ ก่อนจะยืนยันความกังวลของทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงฉะฉานอย่างมั่นใจ
“เพื่อนของข้าคนนั้น...เป็นมนุษย์ธรรมดา”
+++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!
NEXT Episode [ Season Finale ] : แหกกฎ
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2560, 01:59:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2560, 01:59:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 711
<< Episode 32 : || ดาบปริศนา || | Episode 34 : || แหกกฎ || Season 1 FINALE >> |