กว่าจะสุดทาง
ความเห็นแก่ตัว การรักแต่ตัวเอง การดูถูกและเหยียดหยามได้สร้างความแค้นและความกดดันขึ้นในใจ เมื่อถึงวันที่มีโอกาส การแก้แค้นเอาคืนก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
Tags: พี่น้อง คนรัก สุดทาง

ตอน: ตอนที่ 5 กว่าจะสุดทาง

3 เดือนต่อมา อมาตย์ก็แต่งงานกับวัชรินทร์ เป็นที่รับรู้กันว่านอกจากโรงแรมหรูระดับห้าดาวในกรุงเทพฯซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติแล้ว อมาตย์ยังมีโรงแรมกึ่งรีสอร์ทขนาดกลางอยู่ริมหาดหัวหินอีกแห่งหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่อจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ต้องการให้ใหญ่โตเอิกเกริกเกินจำเป็น เพียงแต่ต้องการให้เกียรติผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาคนใหม่ของเขา และเพื่อแจ้งให้รับทราบกันในหมู่ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้น อมาตย์จึงจัดงานแต่งงานที่นี่

ลูกทั้งสามคนของเขาคุ้นเคยกับรีสอร์ทนี้ดี ราวกับเป็นบ้านที่สองเพราะในช่วงเวลาปิดภาคการเรียน เด็กทั้ง 3 คนก็มักจะไปอยู่ที่นั่นกันครั้งละนานๆ หากไม่ต้องกลับมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องเรียนที่กรุงเทพ เมื่อไปหัวหินแต่ละครั้งก็มักมีเพื่อนๆตามไปอยู่ด้วยเสมอ โดยเฉพาะธีร์ เพื่อนของอเนชา ธีร์มีบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่อยู่ริมหาดหัวหิน ไม่ไกลจากรีสอร์ทของอมาตย์นัก เพื่อนสนิทของอเนชาอีก 2-3 คน ที่มาพักด้วยเสมอคือ ปวินท์ ภพและพินัย อเนชาจึงชวนเพื่อนรักกลุ่มนี้มางานแต่งงานครั้งที่สองของบิดาด้วย

รีสอร์ทออกแบบเหมือนบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียวสีขาวเชื่อมต่อลดเลี้ยวไปตามพื้นที่ มีทั้งแบบ 2 ห้องนอนและห้องนอนเดี่ยว มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันทันสมัย มีบริเวณนอกชาน ระเบียงและสระว่ายน้ำส่วนตัวเล็กๆอยู่ทุกหลัง อมาตย์จองห้องพักไว้ทำสำหรับแขกที่มาร่วมงานทุกคน ยกเว้นคนที่มีบ้านพักตากอากาศที่หัวหินก็จะมาร่วมงานในตอนค่ำ เขาพาวัชรินทร์และลูกทั้ง 3 มาที่รีสอร์ทก่อนวันงาน 1 สัปดาห์ เพื่อดูแลความเรียบร้อย ทุกคนตื่นเต้นกับงานเลี้ยงครั้งนี้มาก นอกจากอนีฆาที่มาร่วมงานราวกับเป็นหน้าที่ที่ต้องมา และคราวนี้เธอมาคนเดียว ไม่ได้ชวนเพื่อนสนิทอีก 2-3 คนที่เคยตามมาพักที่หัวหินด้วยเสมอ
ช่วงบ่ายของวันงาน รีสอร์ทหรูแห่งนี้ก็ถูกเนรมิตจนกลายเป็นดินแดนสวรรค์ บริเวณหลักของงานอยู่ที่โถงใหญ่ด้านหน้าที่เป็นศาลากลางน้ำ ตั้งโต๊ะอาหารราวๆ 20 โต๊ะ มีวงดนตรีและมีฟลอร์เต้นรำอยู่หน้าเวที บนฉากหลังของเวทีเขียนชื่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาว บริเวณงานประดับประดาด้วยดอกไม้สีขาว มีกุหลาบ กล้วยไม้ ลิลลี่ และอื่นๆรวมทั้ง ดอกรักและดอกมะลิที่ร้อยเป็นสายราวกับม่านระย้า ผูกตกแต่งไว้อย่างมีศิลปะ เพราะเป็นงานที่ไม่มีพิธีรีตรองอะไร ราวๆห้าโมงเย็นอมาตย์ก็แต่งตัวเสร็จแล้ว และลงมาดูสถานที่ เขาแต่งตัวง่ายๆแต่โก้ กางเกงขายาวสีครีม เสื้อเชิ๊ตสีเดียวกันพับแขนขึ้นเล็กน้อยเกือบถึงข้อศอก หิ้วสูทกึ่งสปอร์ตสีเดียวกับกางเกงไว้ในมือ

“ทุกอย่างเรียบร้อยนะ คุณแมน แขกน่าจะมาเร็วเพราะส่วนใหญ่เขาพักที่นี่” เขาถามแมนซึ่งเป็นคนรับจัดงานแต่งงานที่เป็นที่รู้จักกันว่า เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก แม้ว่าค่าตอบแทนจะค่อนข้างสูง แต่งานก็ออกมาเป็นที่พอใจยิ่งเสมอ

“เรียบร้อยสิครับ แต่ผมว่าน่าจะลองซ้อมตอนพิธีการ ช่วงที่สวมแหวนน่ะครับ เผื่อมีอะไรไม่สวยงาม เราจะได้เปลี่ยนแปลง”

“เอาซิ งั้นใครไปตามเด็กๆ 3 คนมาหน่อย ไม่รู้แต่งตัวเสร็จกันรึยัง”

“เรียบร้อยค่ะพ่อ” เสียงแจ๋วๆนั่นคืออนัตตา เธอดีใจจนออกนอกหน้าที่วันนี้น้าจ๋าจะมาอยู่เป็นครอบครัวของเธออย่างจริงจังแล้ว

“โห..ลูกสาวพ่อป็นสาวแล้ว สวยจริงวันนี้” อมาตย์อดออกปากชมลูกสาวคนเล็กไม่ได้ ลูกสาวคนนี้อายุเพียง 9 ขวบ แต่ก็มีรูปร่างสูงกว่าเด็กสาวที่อายุเท่าๆกัน เมื่อใส่ชุดสีขาวกระโปรงยาว ติดลูกไม้ระบายทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อใส่เสื้อเปิดไหล่ เห็นช่วงบ่าและลำคอระหง ใบหน้าสดใส แก้มแดงระเรื่อ ยิ้มละไมตลอดเวลา ไม่ทันไรเด็กน้อยตัวเล็กๆในความรู้สึกของบิดาก็กลายเป็นสาวน้อยไปแล้ว

ไม่นานนักอเนชาก็เดินเข้ามา พร้อมกับเพื่อนรักของเขาทั้งสี่คน อนัตตาสนิทสนมกับพี่ชายมาก เลยพลอยสนิทกับเพื่อนกลุ่มนี้ของพี่ชายด้วย เธอเดินเข้าไปเกาะแขนธีร์ แล้วถามว่า

“นัตสวยไหมคะ วันนี้”

“สวยหยาดเยิ้มเลยจ้ะ สาวน้อย” ธีร์ตอบลากเสียงยาว เรียกเสียงหัวเราะจากพี่ชายและเพื่อนของพี่ชายคนอื่นๆที่เดินเข้ามาพร้อมๆกัน และได้ยินทั้งคำถามและคำตอบพอดี

“พูดจริงหรือประชดกันคะนี่ เฮ้อ! ... ที่ไหนจะสวยเท่าพี่นีได้เล่า” อมาตย์ได้ยินชื่อลูกสาวคนกลาง จึงถามขึ้นว่า
“อ้าว... นียังไม่เสร็จหรือ” พนักงานโรงแรมที่เดินตามเพื่อรอรับคำสั่งต่างๆรีบบอกว่าจะไปดูอนีฆาให้ แล้วก็เดินไปยังห้องพักของเธอ แมนจึงเริ่มนัดแนะว่าใครต้องทำอะไรบ้างช่วงพิธีการ

“น้องนัตยืนด้านคุณจ๋า เป็นเพื่อนเจ้าสาวนะฮะ ส่วนน้องเนก็อยู่ข้างคุณพ่อ เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ช่วงนี้จะเล่นเพลง Saving All My Love For You นะฮะ เดี๋ยวพี่จะให้น้องนีเป็นคนเดินไปรับคุณจ๋ามาจากห้อง ...”

พูดยังไม่ทันจบ อมาตย์ก็ขัดขึ้นว่า

“ผมว่าสลับหน้าที่กันเถอะ ให้นียืนอยู่ตรงนี้ ส่วนน้องนัตไปรับน้าจ๋ามา” อนัตตาพยักหน้า ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

“โอเคฮะ ... พอคุณจ๋ามาถึง คุณอมาตย์ก็พูดตามที่เรานัดกันไว้กับแขกในงาน แล้วก็ propose คุณจ๋า พอคุณจ๋าตอบตกลง น้องเนก็หยิบแหวนส่งให้คุณพ่อนะฮะ คุณอมาตย์สวมแหวน แล้วก็แล้วแต่คุณอมาตย์เลยจะกล่าวอะไรเพิ่มเติม ทำนองนี้ ... จากนั้นก็เชิญแขกรับประทาน ....”

แมนยังอธิบายไม่ทันจบ พนักงานหญิงคนที่รับอาสาไปตามอนีฆา ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาแล้วบอกว่า
“คุณนีไม่สบายมากค่ะ มีผื่นแดงขึ้นทั้งตัว แล้วก็มีอาเจียนด้วยค่ะ”

อมาตย์วิ่งไปยังห้องของอนีฆาทันที ลูกทั้งสองคนและคนอื่นๆก็วิ่งตามไปด้วย เมื่อเปิดประตูเข้าไป จึงพบอนีฆานอนตัวงออยู่บนที่นอน สวมเสื้อคลุมเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาแดงก่ำจากผื่นคล้ายลมพิษ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันทั้งแขนและขา ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ เธอมีอาการเหมือนหายใจไม่สะดวกด้วย

“นี .. นีเป็นอะไรลูก” อมาตย์เข้าไปรวบตัวเธอไว้ เมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้น

“นีแพ้อะไรนี่ลูก หนูไปกินอะไรเข้าไปหรือเปล่า”

“นีลืม ... นีหิวเลยไปหยิบอาหารที่เขาจะเตรียมขึ้นโต๊ะบุฟเฟ่มารองท้อง นีลืมดูไปว่ามันมีกุ้งอยู่ด้วย นีหายใจไม่ออกค่ะพ่อ”

“ใครไปบอกให้เอารถออกที จะพานีไปโรงพยาบาล” เขาช้อนร่างลูกสาวขึ้นและอุ้มพาออกจากห้องด้วยสีหน้าวิตก

รถของโรงแรมมาจอดรอแล้วที่โถงด้านหน้า เขาวางตัวลูกสาวที่เบาะหลัง แล้วกำลังจะอ้อมไปขึ้นอีกด้านหนึ่ง อเนชาจับแขนบิดาไว้ พูดขึ้นว่า
“ผมไปเองครับพ่อ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร นีไม่ได้เป็นครั้งนี้ครั้งแรก พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ พ่ออยู่ทางนี้เถอะ ทางนี้ก็สำคัญนะครับ เดี๋ยวผมจะรายงานทุกระยะครับพ่อ”

อมาตย์มองหน้าลูกชายนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง เข้าจับมือลูกชายบีบเบาๆ พยักหน้าเป็นทำนองขอบใจ

“ดูแลน้องด้วย เน”

“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ฉีดยาแก้แพ้แล้วคงจะดีขึ้น ผมไปละ”

ขณะที่อเนชากำลังจะก้าวขึ้นรถ ปวินท์ก็เปิดประตูด้านหน้าแล้วก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับรถ

“กูไปด้วยไอ้เน เผื่อมึงต้องกลับมาเข้างาน กูจะได้อยู่เป็นเพื่อนนี” แม้อเนชาจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ทันได้ทัดทานอะไร เพราะต้องรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็ว

จริงอย่างที่อเนชาบอกเมื่อครู่คือ อนีฆาไม่ได้มีอาการแพ้เช่นนี้เป็นครั้งแรก เธอแพ้กุ้งมาตั้งแต่เล็กๆ และไม่เคยกินกุ้งได้เลย จะว่าไปอนีฆาก็รู้ตัวดีมาตลอด เธอพยายามเลี่ยงอาหารที่ผสมกุ้งเสมอ แล้ววันนี้ทำไมเธอจึงกินมันเข้าไป และทำไมต้องเป็นวันนี้

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล แพทย์ตรวจอาการพบว่ามีอาการแพ้มากจนต้องฉีดยาแก้แพ้ให้ มิฉะนั้นอาจจะทำให้หลอดลมบวมจนหายใจไม่ออกได้ หลังจากนั้นก็ให้น้ำเกลือเพราะอรนีฆามีอาการอาเจียนอันเนื่องจากอาหารเป็นพิษด้วย จึงต้องให้น้ำเกลือและขอให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล 1 คืน

“เน มึงกลับไปที่งานเถอะ ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว กูจะรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวงานเลิกคุณพ่อก็คงมาหา แล้วค่อยว่ากันว่าจะให้ใครเฝ้า”

“จะดีหรือวะ” อเนชาลังเล แม้ปวินท์จะสนิทสนมคุ้ยเคยกับน้องสาวทั้งสองคนของเขา แต่ปวินท์ก็เป็นผู้ชาย จะให้อยู่เฝ้าน้องสาวก็ไม่น่าจะเหมาะ แต่เขาก็อยากไปร่วมงานแต่งงานของบิดาด้วยเช่นกัน

“ไปเถอะน่า นีก็ไม่ได้นอนอยู่ในห้องเดี่ยวที่ไหนล่ะ อยู่ในห้องรอดูอาการแบบนี้ ผู้คนหมอพยาบาลเดินไปเดินมา กูก็นั่งอยู่ที่ห้องเยี่ยมนี่แหละ ไปเหอะ ขืนชักช้าลังเลไปไม่ทันได้ส่งแหวนนะ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนตื่นเต้นกับหน้าที่นี้อยู่มากทีเดียว

อเนชากลับไปแล้ว บอกว่างานเลิกแล้วครอบครัวเขาคงจะมากันทั้งหมด ปวินท์ไม่ตอบอะไร นึกในใจว่าเขายินดีพลาดงานและอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนอนีฆา แม้จะเป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุแค่ 15 ปี แต่เขาก็อดมีใจหวั่นไหวไม่ได้เมื่อนึกถึงอนีฆา น้องสาวของเพื่อนที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ทั้งสองอายุห่างกันเพียง 1 ปี จึงเหมือนเติบโตมาด้วยกัน อนีฆาเป็นคนสวยจัดทั้งหน้าตาและรูปร่างที่ได้สัดส่วน แม้จะอายุเพียง 14 แต่ไม่ว่าใครก็จะชื่นชมความงามของเธอเป็นเสียงเดียวกัน ปวินท์มักแอบมองอนีฆาเสมอและเมื่อมีโอกาสได้คุยเล่นกัน หากอนีฆายิ้มกับเขา เขายิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งสว่างไสว มันชื่นใจราวกับได้ดื่มน้ำเย็นๆหลังจากผ่านทะเลทรายร้อนมา แต่อนีฆาไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะเธอเองก็รู้ตัวว่าสวยและเพียบพร้อมทุกอย่างนั่นเอง ปวินท์จึงได้แต่เก็บความรู้สึกพิเศษนี้ไว้ในใจเงีบบๆตลอดมา วันนี้ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้หญิงคนที่เขาแอบหมายปอง จึงเป็นยิ่งกว่าความสุข

หลังจากงานเลิกครอบครัวของอนีฆาก็มาที่โรงพยาบาลพร้อมกัน อมาตย์คุยกับหมอเจ้าของไข้แล้วก็ตัดสินใจให้ลูกสาวย้ายเข้าพักในห้องเดี่ยวพิเศษ เพราะยังต้องรอให้น้ำเกลืออีกหลายชั่วโมง หรืออาจจะต้องให้เพิ่มอีก ถ้าร่างกายยังอ่อนเพลียเกินไป อมาตย์คาดเดาเหตุการณ์ไว้แล้ว จึงให้นางบัวเตรียมตัวมานอนค้างเป็นเพื่อนอนีฆา

ตลอดเวลาที่ทุกคนเข้ามาอยู่ในห้อง อนีฆาไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย ผื่นแดงตามตัวยุบลงไปเกือบไม่เหลือแล้ว และอาการหายใจหอบก็ไม่มี เธอน่าจะสบายขึ้นแต่ยังคงอ่อนเพลียมาก อมาตย์ก็เลยชวนกันกลับเพราะทุกคนก็เหนื่อยมากเช่นกัน เสียงประตูห้องพักปิดลง อนีฆาก็ลืมตาขึ้นและเอ่ยถามนางบัวว่า

“กลับกันไปหมดแล้วใช่ไหมคะ ป้าบัว”

“ไปแล้วค่ะ คุณนีอยากได้อะไรไหมคะ” อนีฆาส่ายหน้า นางบัวจึงเริ่มเล่าเรื่องงานแต่งงานที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน เพราะนางรู้สึกประทับใจและมีความสุขแทนนายๆที่นางรักทุกคน

“เสียดายคุณนีไม่ได้อยู่ในงาน ทุกคนบ่นถึงคุณไม่ขาดปาก โดยเฉพาะคุณจ๋า งานสวยงามมากเลยค่ะ มีแต่คนแสดงความยินดี คุณพ่อก็มีความสุขมากอย่างที่ป้าไม่เคยเห็นอย่างนี้มานานมากแล้ว นี่ถ้าคุณนีอยู่ด้วย ... “

“นีไม่อยากอยู่ในงานนั้น นีตั้งใจกินกุ้งเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมงานที่ป้าชื่นชมนั่นค่ะ นีไม่ต้องการเป็นพยานในงานแต่งงานใหม่ของคุณพ่อกับแม่เลี้ยง ได้ยินไหมคะ นีตั้งใจกินกุ้งเอง ... นีตั้งใจกินกุ้ง”

ได้ยินดังนั้น นางบัวถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างหน้าต่างทันที



กนกนัดดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2560, 20:54:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2560, 20:54:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 737





<< ตอนที่ 4 กว่าจะสุดทาง   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account