ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทนำ


##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!





ริมถนนสายหนึ่ง ในเขตรอบนอกของจังหวัดนครนายก สองข้างทางนอกจากจะเต็มไปด้วยเรือกสวนที่กำลังเขียวขจีด้วยเป็นฤดูเพาะปลูกแล้ว ยังมีบรรดารีสอร์ท ที่พักริมทางแทรกบ้างประปราย โดยมีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง บางช่วงก็เป็นกลุ่มภูเขาสูงโดดเด่น บางช่วงก็สลับซับซ้อน แต่กลับเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม

พอถึงทางแยกหนึ่งมีป้ายปักไว้ว่า ‘สวนกล้วยไม้วาสุรีย์’ และลูกศรที่ชี้เข้าไปยังทางแยก พื้นถนนเป็นปูนซีเมนต์ แตกต่างกับถนนใหญ่ที่ราดด้วยยางมะตอย ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายริมทาง เข้าไปประมาณ 500 เมตรก็พบกับป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าการเดินทางได้สิ้นสุดลงแล้ว

‘สวนกล้วยไม้วาสุรีย์’ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบติดกับเชิงเขา โดยมีขุนเขาสลับซับซ้อนตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง มีเนื้อที่เกือบ 50 ไร่ ด้านหน้าป้ายชื่อสวนที่ตั้งอยู่ข้างประตูทางเข้า ทั้งสองฟากถูกจัดเป็นสวนหย่อม ตกแต่งด้วยกล้วยไม้พันธุ์ต่างๆ บ้างก็ออกดอกอวดสีสันอันงดงาม ผสมผสานกับน้ำตกจำลองอย่างลงตัว

ด้านหลังประตูอัลลอยด์เข้าไป มีสิ่งปลูกสร้างชั้นเดียวเป็นส่วนของออฟฟิศ และร้านสำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกล้วยไม้ มีพนักงานขายประจำอยู่สอง-สามคน ถัดจากนั้นไปคือโรงเรือนขนาดใหญ่และยาวมีโครงสร้างสูง ลักษณะโปร่งโล่ง เป็นโรงเรือนคัดแยก จัดเตรียมกล้วยไม้ตัดดอกสำหรับจัดส่งให้ลูกค้า

เพราะสวนกล้วยไม้วาสุรีย์มีกล้วยไม้หลายสกุล ทั้งที่รู้จักกันและนิยมเป็นอย่างดีทั่วโลกอย่างหวาย แวนด้า แคทลียา ฟาแลนนอปซิส ออนซิเดียม นอกจากนี้ยังมีพวกเข็ม ช้าง กุหลาบ และรองเท้านารีฯลฯ อีกด้วย แต่ละสกุลก็ยังมีหลากหลายพันธุ์ ทั้งที่เป็นพันธุ์แท้และลูกผสม

ด้วยสภาพพื้นที่และภูมิอากาศ ค่าของน้ำที่เหมาะสม อีกทั้งมีระบบดูแลจัดการ รวมทั้งความใส่ใจเป็นอย่างดี ทำให้กล้วยไม้ที่นี่สวยงาม แข็งแรง และคงความสดได้นานกว่าที่อื่น จึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งการส่งออกที่มีบริษัทส่งออกกล้วยไม้ของไทยเจ้าหนึ่งผูกขาดมานานหลายปี และตลาดในไทยเองก็มีพ่อค้าในตัวอำเภอเป็นคนกลางในการกระจายดอกกล้วยไม้ตัดดอกเหล่านี้สู่ตลาด

ทุกเช้าภายในโรงเรือนหลังใหญ่แห่งนี้ จะมีคนงานหญิงชายช่วยกันคัดแยกจัดเตรียมกล้วยไม้ตัดดอกเพื่อส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกกล้วยไม้จากกรุงเทพฯ ที่เข้ามารับสินค้าถึงสวน ซึ่งก็คือดอกกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเกรดมาเป็นอย่างดีเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ และอีกส่วนก็เพื่อเอาไปส่งให้กับพ่อค้าเจ้าประจำที่ตัวอำเภอ เนื่องจากสวนวาสุรีย์จำหน่ายกล้วยไม้ตัดดอกเป็นหลัก จึงทำให้รายได้หลักมาจากตรงนี้ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

ท่ามกลางคนงานชายหญิงเกือบสามสิบกว่าคนที่วุ่นวายอยู่ในโรงเรือนและด้านหน้า หญิงสาวร่างสูงโปร่งสมส่วนในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดีตัวลายหมากรุกสีสดใส และหมวกแบบคาวบอยปีกกว้างสวมทับผมยาวสลวยที่ถูกมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้าของเจ้าตัว ดูทะมัดทะแมง คล่องตัว

เธอคือเจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์รุ่นที่สาม และชื่อสวนนั้นก็เป็นชื่อของหญิงสาวที่พ่อแม่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่เธอเกิด แม้แต่ละวัน *‘วาสุรีย์’*จะมีเวลาสำหรับทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศที่ออฟฟิศด้านหน้าอยู่บ้าง แต่ด้วยตัวงานทั้งหลายที่แบกรับอยู่บนบ่าเล็กๆ นั้น ทำให้หญิงสาวใช้เวลากับการอยู่กลางแจ้งเสียมากกว่า

แต่ทว่าอากาศด้านนอกก็ไม่อาจทำลายความงดงามมีน้ำมีนวลของวัยสาวได้เลย เพราะในวัยยี่สิบห้าปี หญิงสาวยังคงมีผิวพรรณที่ผุดผ่องนวลเนียนมีเลือดฝาดน่ามอง ใบหน้าเล็กรูปไข่ยังคงดูงดงามด้วยส่วนประกอบที่ลงตัว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายสดใส รับกับแพขนตางอนยาว จมูกเล็กโด่งเข้ากับริมฝีปากหยักบางอย่างพอเหมาะพอเจาะ

หญิงสาวดูโดดเด่นท่ามกลางคนงานชายหญิง เธอควบคุมงานด้วยตัวเองตามปกติเหมือนทุกเช้า โดยถือแท็บเลตขนาดพอเหมาะติดมือระหว่างนั้นเธอก็คอยวิ่งวุ่นทางโน้นทีทางนี้ที จนกระทั่งรถของบริษัทส่งออกกล้วยไม้เคลื่อนตัวออกไปจากหน้าโรงเรือน ก็มีรถกระบะของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์สองคันเข้ามาจอดแทนที่ และกล้วยไม้อีกส่วนก็ถูกลำเลียงขึ้นรถต่อโดยคนงานชายต่างวัยสาม-สี่คน ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง

“คราวนี้โชคดีหน่อยนะครับคุณหนู ที่กล้วยไม้ของเรามีเกรดเอมากหน่อย” ชายร่างท้วมวัยห้าสิบกว่าปีผิวคล้ำเอ่ยขึ้นกับเจ้านายที่รุ่นราวคราวเดียวกับลูกของตน หลังจากขนดอกกล้วยไม้ขึ้นรถกระบะคันแรกจนเต็มอัตราแล้ว

“ค่ะลุงสม หวายอยากให้เป็นอย่างนี้ทุกวันจังเลยนะคะ แต่จะพูดไปโชคดีที่ของๆ เราขายได้ทุกส่วนนะคะ” หญิงสาวรับคำพร้อมรอยยิ้มแย้ม

เพราะนอกจากกล้วยไม้ตัดดอกที่เป็นหลักแล้ว ทางสวนวาสุรีย์ยังมีกล้วยไม้กระถางหลากหลายขนาดและพันธุ์ ไม้ขวด ไม้นิ้ว รวมทั้งที่นำมาจัดเป็นตะกร้า กระเช้าของขวัญ ของชำร่วยต่างๆ ที่จำหน่ายอยู่ในร้านด้านหน้าและทางออนไลน์ นอกเหนือจากนั้นดอกที่ร่วงหล่นก็ยังขายเป็นดอกไม้แห้งได้อีก ทุกอย่างในสวนกล้วยไม้วาสุรีย์มีค่าเต็มราคาแทบทั้งสิ้น นั่นเป็นสิ่งที่หญิงสาวตระหนักดี

“นั่นสิครับคุณหนู” ลุงสมซึ่งเป็นคนงานเก่าแก่เห็นด้วย ก่อนจะกวาดตามองหาอะไรสักอย่าง “เออ... แล้วนี่ไอ้เจิดมันไปไหนเสียล่ะครับคุณหนู มันไม่อยู่ใครจะขับรถคันโน้นล่ะครับ”

“อ๋อ... หวายให้เจิดไปตรวจดูน้ำที่บ่อแทนพี่สิงห์ค่ะลุงสม เพราะวันนี้พี่สิงห์ลากลับบ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวหมายถึงบ่อน้ำที่อยู่ตรงเชิงเขา ซึ่งเป็นที่กักเก็บน้ำหลักของสวน และต้องตรวจตราดูความเรียบร้อยทั้งของบ่อน้ำและระบบการส่งน้ำอยู่เป็นประจำทุกวัน

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลุงเรียกเจ้ามั่นมาขับดีกว่านะครับคุณหนู” ลุงสมว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหวายขับไปเอง ให้พี่มั่นทำงานในสวนต่อเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา” วาสุรีย์รีบบอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แม้ไม่บ่อยนักที่เธอจะไปส่งของด้วยตัวเอง แต่หญิงสาวก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะทุกคนที่สวนวาสุรีย์ต้องพร้อมทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของสวนอย่างเธอเอง จะเว้นก็แต่งานที่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ เท่านั้น

“เอาอย่างนั้นเหรอครับ” ลุงสมเอ่ยอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ก่อนที่วาสุรีย์จะทันตอบเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายก็ดังแทรกขึ้น

“คุณหวาย คุณหวายครับ พ่อ... ” เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มวัยประมาณยี่สิบกว่าปีต้นๆ ที่วิ่งตรงมาโดยทิ้งมอเตอร์ไซค์คันเก่ากึ๊กพิงรั้วปูนเตี้ยๆ ที่กั้นริมถนนเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

“เจิด มีอะไร เกิดอะไรขึ้น? ” หญิงสาวถามด้วยความรู้สึกตกใจไม่น้อยกับท่าทางตื่นตระหนกของเจิด ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของลุงสมคนงานเก่าแก่นั่นเอง

“ศะ...ศพ” เจิดหน้าตาซีด ปากสั่น ละล่ำละลักบอกเหมือนคนขวัญกระเจิง

“ศพอะไรวะไอ้เจิด ตั้งสติให้ดีๆ แล้วค่อยๆ พูดสิวะ ไอ้คนนี้นี่” ลุงสมเห็นท่าทางของลูกชายก็อดจะเอ็ดตะโรด้วยความหงุดหงิดระคนหวาดหวั่นไปด้วยไม่ได้

“ผมเจอศพที่บ่อน้ำของเราครับคุณหวาย” เจิดเอ่ยออกมาในที่สุด

“อะไรนะ!! ” คนฟังทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้าง ตื่นตระหนกไม่แพ้คนแจ้งข่าวแล้วตอนนี้

“มันลอยมาติดอยู่ริมบ่อครับ สภาพยับเยินจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นใคร” เจิดยังคงเล่าต่อกระท่อนกระแท่น ความตกใจระคนหวาดกลัวยังเต็มอยู่ในสีหน้าและแววตา ไม่ต่างจากวาสุรีย์ และลุงสมเลย ส่วนคนงานก็เริ่มรุมล้อมกันเข้ามา ด้วยความอยากรู้และตื่นตระหนกตกใจไปด้วย

“ตายจริง! เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกันนะ ลุงสมคะ หวายจะขึ้นไปดูค่ะ” หญิงสาวตัดสินใจในทันที

“ถ้าอย่างนั้นพวกผู้ชายก็พากันไปทั้งหมดนี่แหล่ะ จะได้ช่วยกัน” ลุงสมว่า ก่อนจะหันไปสำทับกับคนงานชายที่อยู่ตรงนั้น

แล้วลุงสมกับเจิดและพวกคนงานชายจำนวนหนึ่งก็รีบตามวาสุรีย์ไปขึ้นรถอีกคัน โดยที่มีหญิงสาวเป็นคนขับ รถสี่ประตูสีขาวห้อตะบึงไปยังจุดเกิดเหตุที่อยู่ตรงเชิงเขาด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นสุดเขตของสวนวาสุรีย์ด้านใต้

*-*-*-*-*-*

‘บ่อน้ำ’ ที่เรียกกันติดปาก เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดกว้างและยาวเกือบสิบกว่าเมตร กั้นขวางทางน้ำระหว่างซอกเขา มีลักษณะคล้ายกับเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในสวนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ระบบน้ำของทางสวนยังมีน้ำบาดาลเพื่อใช้ทั่วไป และเสริมยามหน้าแล้งที่น้ำในบ่อแห่งนี้แห้งเหือดเท่านั้น แต่โดยทั่วไประบบน้ำที่ใช้เกี่ยวกับกล้วยไม้ทั้งหมดจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นี่ เพราะคุณภาพและค่าของน้ำที่เหมาะสมนั่นเอง

จุดตั้งของบ่อน้ำอยู่บริเวณเชิงเขา และมีภูเขาลูกใหญ่สูงสลับซับซ้อนอยู่ด้านหลัง ข้างบ่อน้ำด้านหนึ่ง มีศาลาไม้หลังเล็กอยู่ เมื่อรถจอดตรงลานด้านล่าง ต่างก็พากันลงจากรถ เจิดเองรีบวิ่งมาเกาะหลังบิดาราวกับปลิงก็ไม่ปาน

“อะไรกันวะไอ้เจิด เอ็งจะกลัวอะไรนักหนาเนี่ย” ลุงสมหันมาตะคอกอย่างรำคาญแกมหงุดหงิดในคราวเดียวกัน

“พาพวกเราไปดูเร็วเข้าเถอะเจิด” วาสุรีย์สั่ง นั่นทำให้เจิดชี้ไปยังเพิงขนาดเล็ก ที่สร้างขึ้นเพื่อบังแดดฝนให้กับเครื่องสูบน้ำด้านหนึ่ง ท่าทางหวาดๆ ไม่หาย

แล้ววาสุรีย์กับกลุ่มคนงานชาย รวมทั้งลุงสมก็ตรงลิ่วไปยังจุดที่เจิดชี้ โดยที่เจ้าตัวรั้งท้ายคนอื่น จนกระทั่งเข้าไปใกล้บริเวณเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ทีมีต้นอินทนิลน้ำเรียงรายอยู่รอบๆ ทุกคนถึงกับผงะกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ร่างของใครคนหนึ่งติดอยู่กับรากต้นอินทนิลน้ำต้นใหญ่อายุนับยี่สิบปี ที่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ริมน้ำ

ร่างที่ครึ่งหนึ่งแช่อยู่ในน้ำนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล ผมเผ้ายาวประบ่ายุ่งเหยิง สกปรก เกาะพันกันเป็นเกลียว ใบหน้าที่รกรื้นด้วยหนวดเคราบวมเป่งมีแต่รอยช้ำและแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด จนแทบนึกไม่ออกว่าในยามปกติหน้าตาเขาจะเป็นอย่างไร และตอนนี้ดูยังไงก็คือศพกำลังขึ้นอืดชัดๆ แต่... น่าแปลกสภาพเช่นนี้กลับไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าอย่างที่ควรจะเป็น

“เราแจ้งตำรวจก่อนไหมครับคุณหนู” ลุงสมถามความคิดเห็น

“ขอหวายดูก่อนค่ะ” อะไรบางอย่างทำให้หญิงสาวฉุกคิด

“ให้ลุงดูดีกว่าครับคุณหนู” ลุงสมท้วงแต่ก็ไม่ทัน เมื่อหญิงสาวปราดเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ กับร่างนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะส่วนที่โผล่พ้นน้ำ มันไม่ได้แข็งทื่ออย่างที่ควรจะเป็น เธอจึงใช้มืออังจมูก และแตะชีพจรตรงลำคอ “เขายังไม่ตายค่ะลุงสม” หญิงสาวร้องบอกอย่างยินดี นั่นทำให้ลุงสมที่รีบเข้ามามีสีหน้าแปลกใจ และเจิดเองก็รีบเข้ามาชะเง้อดูอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวให้ลุงกับไอ้พวกนี้จัดการดีกว่าครับ คุณหนูถอยออกมาก่อนเถอะครับ” ลุงสมว่าแล้วก็พาพวกลงไปช่วยนำร่างของชายคนนั้นขึ้นมาจากน้ำ

“นี่มันไม่ใช่คนไทยนี่” หนึ่งในคนงานชายร้องขึ้น เมื่อเห็นร่างที่แน่นิ่งชัดเจน วาสุรีย์เข้าไปดูอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง

และก็เห็นด้วยว่ารูปร่างของชายคนนี้สูงใหญ่กว่ามาตรฐานชายไทยมาก และผมที่สกปรกยุ่งเหยิงนั้นก็พอจะจำแนกได้ว่ามีสีน้ำตาลเหลื่อมทองนิดๆ แม้สภาพที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ชัดเจน แต่ก็พอจะแน่ใจได้ว่าไม่ใช่คนไทย และแว่บหนึ่งเหมือนเจ้าของร่างนั้นจะรู้สึกตัว

“คุณ... คุณคะ” หญิงสาวเขย่าจนร่างนั้นโยกไหวสั่นคลอน จนกระทั่งเขาพยายามฝืนลืมตาที่บวมช้ำขึ้นมาอย่างยากลำบาก “คุณคะ ทำใจดีๆ เอาไว้นะคะ เราจะพาคุณส่งโรงพยาบาล” หญิงสาวรีบบอกเป็นภาษาอังกฤษและไทย แต่ทว่าเขากลับไม่อาจตอบอะไรได้ แม้ดวงตาคู่นั้นจะจ้องเธอราวกับอยากพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปิดลงอีกครั้ง

“เราจะพาเขาไปโรงพยาบาลใช่ไหมครับคุณหวาย เราแวะแจ้งความด้วยเลยดีไหมครับ” คนงานชายคนหนึ่งแทรกขึ้น นั่นทำให้สมองของหญิงสาวจัดการวางแผนตามนิสัยในทันที

“ดีค่ะ เอาเขาไปขึ้นรถนะคะ ไปส่งโรงพยาบาลก่อน หวายจะขับรถไปเอง เดี๋ยวพวกพี่ไปกับหวายสักสองคน ส่วนลุงสมกับเจิดขับรถไปส่งกล้วยไม้แล้วช่วยแวะแจ้งความด้วยก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวสั่ง ก่อนจะก้าวนำไปยังรถที่จอดอยู่ตรงลานด้านล่างอย่างเร่งรีบ

*-*-*-*-*-*

ที่โรงพยาบาลของตัวอำเภอ ร่างอันบอบช้ำสาหัสของผู้ชายคนนั้นถูกนำเข้าห้องฉุกเฉินในทันทีที่มาถึง พยาบาลหลายคนพากันกรูเข้าไปช่วยในห้องฉุกเฉิน

“หวาย นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนเจ็บเป็นใคร” พยาบาลสาวร่างเล็กคนหนึ่งถามวาสุรีย์อย่างคนที่รู้จักกันดี

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเกศ พอดีเจิดไปพบเขาไม่ได้สติอยู่ที่บ่อน้ำน่ะ ยังไงก็ช่วยเขาหน่อยนะเกศ” วาสุรีย์ว่าพร้อมกับไหว้วานไปในตัว เกศรา พยาบาลสาวเป็นเพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง

“มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง คุณหมอกำลังตรวจอยู่” ว่าแล้วเกศราก็ผลุบหายเข้าไปในห้องฉุกฉินอีกครั้ง วาสุรีย์กับคนงานที่ติดตามมาพากันนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าห้อง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงนายแพทย์คนหนึ่งจึงออกมาจากห้องฉุกเฉิน

“คุณหมอคะ เขาเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวรีบลุกขึ้นไปถามทันที แม้คนที่บาดเจ็บจะไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่ในเมื่อได้ช่วยกันมาแล้วเธอก็อยากติดตามดูอาการจนกว่าจะวางใจ หรือไม่... หากเขาจะเป็นอะไรไปจริงๆ ก็ขอให้รู้กันไปเลยดีกว่าทิ้งไว้ให้ค้างคาใจ นั่นเป็นนิสัยที่ค่อนข้างจริงจังของหญิงสาวอีกอย่างหนึ่ง

“อาการของเขาหนักมาก ตามร่างกายมีแต่บาดแผลที่เกิดจากของมีคม แล้วก็บอบช้ำเหมือนถูกซ้อมหรือทุบด้วยของแข็ง แล้วบริเวณอกยังมีลูกกระสุนฝังใน แต่หมอผ่าเอาออกให้แล้ว ตอนนี้ต้องคอยติดตามอาการแล้วก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเขามีอาการติดเชื้อร่วมด้วย ยังไงเราก็จะพยายามช่วยจนสุดความสามารถครับ ว่าแต่เรื่องตำรวจ... ”

“อ๋อ... เรื่องนั้นมีคนจัดการแล้วค่ะ” หญิงสาวบอก เพราะเธอมอบหมายหน้าที่ให้ลุงสมกับเจิดไปแจ้งความหลังจากส่งดอกไม้เสร็จ หญิงสาวกล่าวขอบคุณก่อนที่หมอจะขอตัวไปทำงานต่อ

เป็นเวลาเดียวกับที่รถเข็นเอาร่างของคนเจ็บออกมาพอดี ร่างของเขาเต็มไปด้วยสายระโยงระยางมีทั้งกระปุกเลือด น้ำเกลือ ยา และเครื่องช่วยหายใจ และนั่นทำให้วาสุรีย์ตระหนักว่าที่หมอพูดว่าอาการเขา ‘หนัก’ เมื่อครู่มันไม่ได้ครึ่งสภาพที่เห็นในตอนนี้เลย

“เกศ นั่นจะพาเขาไปไหน” หญิงสาวถามเพื่อน ที่ออกมาพร้อมกับพยาบาลอีกคนตามบุรุษพยาบาลที่กำลังเข็นร่างคนเจ็บออกมา

“ไปห้องไอ.ซี.ยู เขาต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด อาการยังไม่ปลอดภัยนักตอนนี้” เกศราตอบ ขณะที่ยังสาวเท้าตามรถเข็นคนเจ็บไม่หยุด วาสุรีย์จึงก้าวตามไปด้วย “ก็อย่างที่เธอเห็น ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บมาก ฉันยังนึกทึ่งอยู่เลยว่ารอดมาได้ยังไง ยังกะคนเหล็กแน่ะ” พยาบาลสาวว่า จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องไอ.ซี.ยู

“ตกลงเธอไม่รู้จักเขา ไม่รู้ว่าชื่ออะไรใช่ไหม” แล้วหันมาถามวาสุรีย์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ หญิงสาวจึงทำเสียงรับในลำคอ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันต่อ

“หวาย อยู่นี่เอง พี่ตามหาแทบแย่แน่ะ” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นตรงทางเดิน เขากับลูกน้องติดตามอีกคนอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศ มีลุงสมกับเจิดตามหลังมา

“สวัสดีค่ะ พี่พันธุ์” สองสาวยกมือไหว้สารวัตรหนุ่มพร้อมกัน

“หวัดดีจ้ะหวาย เกศ นี่คนเจ็บเป็นยังไงบ้าง เห็นลุงสมกับเจิดไปแจ้งความ พี่ก็เลยรีบมา” พ.ต.ต ทวิพันธุ์ เป็นสารวัตรสอบสวนประจำสถานีตำรวจของอำเภอแห่งนี้

“อาการหนักค่ะพี่พันธุ์” เกศราบอก ก่อนจะนำตำรวจทั้งสองและวาสุรีย์เข้าไปดูคนเจ็บด้านใน และร่ายอาการคร่าวๆ ให้สารวัตรหนุ่มฟังอีกครั้ง

“พี่สอบปากคำเจิดกับลุงสมแล้ว ตอนนี้พี่ขอคุยกับหวายและคนงานที่อยู่ในเหตุการณ์เพิ่มเติมอีกสักหน่อยนะ” ทวิพันธุ์เอ่ยกับวาสุรีย์เมื่อพากันออกมาจากห้องไอ.ซี.ยู แล้ว

“ได้สิคะพี่พันธุ์ ไม่มีปัญหาค่ะ” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสาว “เดี๋ยวให้ปากคำกับพี่พันธุ์แล้วฉันจะกลับเลยนะเกศ มีอะไรเธอโทร.บอกฉันด้วยนะ”

“ได้สิ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น” เกศรายิ้มแย้มตอบ

“ไปกันเถอะค่ะพี่พันธุ์” หญิงสาวหันมาชวนสารวัตรหนุ่มด้วยรอยยิ้มแย้มประจำตัว ที่ทำให้คนมองถึงกับชะงัก ดวงตาเหม่อลอยราวกับต้องมนต์สะกด รอยยิ้มแบบนี้สินะที่เขาเฝ้าฝันหาเสมอมา และเมื่อได้รับมาอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ก็ทำให้ทวิพันธุ์ถึงกับตะลึงตาค้างไปชั่วครู่

ก่อนจะได้สติ จึงรีบเชื้อเชิญหญิงสาวกับคนงานของเธอไปยังมุมสงบด้านหนึ่งของโรงพยาบาล แล้วสอบปากคำเรื่องคนที่เธอให้การช่วยเหลือเอาไว้ต่อ ซึ่ง พ.ต.ต.ทวิพันธุ์ ก็ได้สอบปากคำวาสุรีย์ตามหน้าที่ โดยมีลูกน้องที่ติดตามบันทึก จนกระทั่งเสร็จสิ้นจึงได้แยกย้ายกันกลับ




**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiN
zEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=Y
ToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiN
zEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/





กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2560, 13:58:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2560, 13:58:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 788





   บทที่ 1 สวนกล้วยไม้ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account