ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทที่ 1 สวนกล้วยไม้



##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!

บทที่ 1 สวนกล้วยไม้

วันหนึ่งหลังเลิกงาน คนงานของสวนวาสุรีย์ส่วนมากเป็นคนงานในพื้นที่ใกล้เคียง ทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ เย็นนี้ต่างก็ได้กลับกันไปหมดแล้ว ยกเว้นสาม-สี่ครอบครัวที่เป็นคนงานเก่าแก่ และมีบ้านอยู่ต่างอำเภอจึงพักอาศัยอยู่ในสวนวาสุรีย์ ทุกคนในครอบครัวเหล่านี้ต่างทำงานให้สวนวาสุรีย์ทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นก็คือครอบครัวของลุงสมนั่นเอง

ป้าแจ้ม ภรรยาของลุงสม ซึ่งมีหน้าที่เป็นแม่บ้านให้กับครอบครัววาสุรีย์มาตั้งแต่สมัยรุ่นบิดามารดาของหญิงสาว วันนี้พอป้าแจ้มเห็นว่าเย็นมากแล้วเจ้านายสาวยังไม่กลับเข้าบ้าน ภรรยาของลุงสมก็ออกมาตามที่ด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนของร้านและออฟฟิศ

ตัวอาคารทอดยาวไปตามแนวรั้วด้านหนึ่ง ปลูกสร้างเหมือนกับบ้านชั้นเดียวทั่วไป ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสิ่งที่มีอยู่ นั่นคือกล้วยไม้นั่นเอง ด้านหน้าของร้านวางกล้วยไม้กระถางเรียงรายเป็นชั้นลดหลั่นกันไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ด้านในร้านก็เต็มไปด้วยสินค้า ผลิตภัณฑ์จากกล้วยไม้แทบทั้งสิ้น

แต่ละวันในส่วนร้านค้าของสวนวาสุรีย์จะมีลูกค้าเข้าออกไม่มากนัก ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะสวนแห่งนี้ขายกล้วยไม้ตัดดอกเป็นหลัก อีกทั้งที่ตั้งไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ จึงไม่ได้ดึงดูดลูกค้าขาจรมากนัก ลูกค้าของที่นี่จึงเป็นลูกค้าเก่าเจ้าประจำ และรู้จักคุ้นเคยกันดีเป็นส่วนมาก อีกทั้งรายได้ส่วนนี้ก็พอเสริมไปเท่านั้น แต่ยังดีที่มีลูกค้าแวะมาเยือนอยู่เสมอ

หลังเลิกงานเช่นนี้ในร้านเงียบเชียบ ไม่มีใครอยู่เลย นอกจากคนเป็นเจ้านายที่คงอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวด้านในร้าน ป้าแจ้มมาถึงหน้าประตูก็เอื้อมมือไปเคาะเบาๆ

“คุณหนูคะ เย็นมากแล้วนะคะ” พร้อมส่งเสียงเรียก

“ป้าแจ้ม เข้ามาสิคะ” ก่อนจะได้ยินเสียงร้องตอบออกมา ป้าแจ้มจึงเปิดประตูเข้าไป ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือเจ้านายสาวกำลังง่วนอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์

“กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ มีอะไรเอาไว้ทำพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอคะคุณหนู ทำงานมาทั้งวันแล้วนะคะ” ป้าแจ้มรีบเอ่ยด้วยความเป็นห่วง วาสุรีย์จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองแก

“ขอหวายแจ้งรายละเอียดกับลูกค้าก่อนนะคะ พอดีวันนี้มีลูกค้าสั่งกล้วยไม้แคระกับพวกของชำร่วยมาทางออนไลน์น่ะค่ะ” ก่อนบอกด้วยรอยยิ้มบาง

“แล้วพวกพนักงานร้านไม่ได้ทำเหรอคะ” ป้าแจ้มถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องงานที่เจ้านายสาวทำนัก ค่าที่มันเป็นงานใหม่ที่หญิงสาวพึ่งทำเสริมขึ้นมา ตอนเข้ามาดูแลสวนวาสุรีย์อย่างเต็มตัวนั่นเอง

“ทำปกตินั่นแหล่ะค่ะ แต่ที่สุดแล้วหวายก็ต้องมาดูเองอีกที เพราะความเข้าใจระบบงานและริเริ่มทำมาเองตั้งแต่ต้น ที่สำคัญคือสิทธิ์การตัดสินใจ หวายเลยต้องคอยดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดค่ะป้าแจ้ม” หญิงสาวอธิบาย “ป้าแจ้มไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หวายทำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ”

ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าต่อในตอนท้าย ป้าแจ้มได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ในใจคิดว่า หากคุณท่านทั้งสองยังอยู่ คุณหนูหวายคงไม่ต้องมาลำบากลำบนขนาดนี้

นี่ก็เกือบสองปีแล้ว ที่วาสุรีย์เข้ามาดูแลสวนกล้วยไม้แห่งนี้ต่อจากบิดามารดาที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ ทุกวันของหญิงสาววุ่นวายกับความรับผิดชอบทั้งหมด แม้เธอจะไม่มีพื้นฐานในการทำสวนกล้วยไม้มาก่อน แต่เพราะความที่คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก วาสุรีย์จึงเข้าใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว

แถมยังริเริ่มเรื่องการตลาดออนไลน์ที่ตัวเองถนัดเพิ่มเติม มาตอนนี้เรียกได้ว่าเจ้าตัวทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเลยทีเดียว จนคนที่เห็นกันมาตั้งแต่แบเบาะรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก ตอนนี้ป้าแจ้มจึงได้แต่ออกไปจัดโน่นจัดนี่อยู่ด้านนอกรอ ไม่นานนักเจ้านายสาวก็ออกมาจากห้องทำงาน

“ไปกันเถอะค่ะป้าแจ้ม นี่ป้าแจ้มทำอะไรให้หวายกินคะเย็นนี้”

หญิงสาวถามแล้วก็นึกหิวขึ้นมาตงิดๆ

“ป้าทำพะโล้ไข่กับน้ำพริกปลาย่างค่ะ คุณหนู” ป้าแจ้มรีบร่ายเมนูอาหารที่ตัวเองทำอย่างภาคภูมิใจ

“น่าอร่อยจัง แล้วลุงสมกับเจิดล่ะคะ มาทานข้าวกับหวายที่บ้านทั้งหมดเลยนะคะ หวายกินคนเดียวคงไม่อร่อย” วาสุรีย์เอ่ยชวนอย่างที่ทำบ่อยๆ

ช่วงหลังมานี้ครอบครัวของป้าแจ้มมักจะมาฝากท้องกับบ้านใหญ่ของเจ้านายเป็นส่วนมาก ขณะเดียวกันแม้ความกริ่งเกรงจะมีมากแค่ไหน แต่ป้าแจ้มก็ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะประโยคสุดท้ายนั่นเอง

เย็นวันนั้นในบ้านสองชั้นสไตล์ยุโรปหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านในของสวนวาสุรีย์ โต๊ะอาหารหน้าห้องครัวมีลุงสม ป้าแจ้ม และเจิดมาทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนเจ้านายสาวตามปกติ ต่างพูดคุยกันอย่างออกรส พร้อมทานอาหารไปด้วย ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ส่งเสียงกรีดร้องเป็น

ริงโทนเพลงโปรด เธอจึงหยิบขึ้นมาดู

“ว่าไง ยัยเกศ” ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“ฉันจะโทร.มาบอกเรื่องคนเจ็บที่เธอพามาส่งโรง’บาลน่ะหวาย ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้วนะ” ข่าวที่มาจากต้นสายทำเอาวาสุรีย์ต้องคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“จริงเหรอเกศ” หญิงสาวถามย้ำด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ

เพราะนี่ก็เป็นเวลาอาทิตย์กว่าแล้วที่คนเจ็บไม่รู้สึกตัว เธอติดตามข่าวเขาจากเกศราเพื่อนรักก็ไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะบรรเทา แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด สิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนตอนนี้จึงนับว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย

“จริงสิ แต่ก็ยังดูมึนๆ งงๆ เหมือนเขาจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่พูดภาษาอังกฤษเป๊ะมาก สำเนียงอังกฤษจ๋าเลย” เกศราบอกเล่ามาตามสาย คนฟังทำเสียงอือออรับรู้

“แล้วอาการโดยรวมของเขาเป็นยังไงบ้างล่ะตอนนี้” ก่อนถามต่อ

“ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เคยบอกนั่นแหล่ะ แต่พูดก็พูดเถอะฉันว่าเขานี่คนเหล็กชัดๆ เลยยัยหวาย ดูสภาพมาวันแรกแล้วไม่น่าจะรอด ทรหดสุดๆ ” น้ำเสียงของเกศราบ่งบอกความทึ่งอย่างเห็นได้ชัด

“ฉันก็ว่างั้นแหล่ะเกศ ว่าแต่เธอได้บอกทางพี่พันธุ์ไปบ้างหรือยัง”

หญิงสาวคิดไปถึงสารวัตรหนุ่มที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น

“พี่พันธุ์ก็เข้ามาดูบ้างเหมือนกัน เธอไม่ต้องห่วงหรอกรายนั้น ด้วยหน้าที่เขาต้องติดตามอยู่แล้วล่ะ” เกศราว่าอย่างรู้จักและเข้าใจสารวัตรทวิพันธุ์เป็นอย่างดี

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันไปส่งดอกไม้ดีกว่า จะได้แวะไปดูเขาซักหน่อย” วาสุรีย์บอกเพื่อน ก่อนจะวางสายไป

“อีตาฝรั่งนั่นเหรอครับคุณหนู” ลุงสมที่ได้ยินการสนทนาของเจ้านายสาวถามขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้

“ค่ะลุงสม เขาฟื้นแล้วค่ะ” หญิงสาวบอก

“โห... สภาพไม่น่ารอดเลยนะลุงว่า” คนงานเก่าแก่ของสวนวาสุรีย์ร้องขึ้น ราวกับเจอเรื่องมหัศจรรย์พันลึกเข้าอีกคน

“นั่นสิพ่อ ผมยังกลัวไม่หายเลย” แต่เจิดทำท่าขนลุกขนพอง เพราะสภาพนั้นยังติดตาติดใจเขาอยู่ไม่หาย สร้างความหมั่นไส้ให้กับคนเป็นแม่ได้ไม่น้อย

“เอ็งมันก็กลัวไปหมดล่ะไอ้เจิด เกิดเป็นผู้ชายเสียเปล่า” ป้าแจ้มอดบ่นลูกชายไม่ได้

“โธ่... แม่ก็ลองไปเจอกับตาตัวเองซิ ขี้คร้านจะวิ่งหนีป่าราบ สภาพอย่างกะศพขึ้นอืด ยังติดตาไม่หายเลย ว่าคุณท่านกับคุณผู้หญิงน่ากลัวแล้วนะ มาเห็นอีตาฝรั่งนี่ยิ่งน่ากลัวกว่าอีก” เจิดพูดไปตามอารมณ์มากกว่า

แต่พอเห็นพ่อกับแม่มองตัวเองตาคว่ำจึงเริ่มรู้สึกตัว หน้าจืดเจื่อนลงทันที ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางเจ้านายสาว

“เอ่อ... ขอโทษนะครับคุณหวาย ผมไม่ได้ตั้งใจพาดพิงถึงคุณท่านทั้งสองเลย” รอยเศร้าที่วูบไหวอยู่ในแววตาของเจ้านาย ทำให้ลูกน้องจอมกวนถึงกับสลดลง

“ช่างเถอะเจิด เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจิดไปส่งดอกไม้กับฉันก็แล้วกันนะ” หญิงสาวหันมาสั่งเรื่องงานกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม และขอตัวขึ้นห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง

“เอ็งนี่มันปากเปราะไม่หายจริงๆ ไอ้เจิด ดูซิพูดให้คุณหนูเศร้า ก็รู้อยู่ว่าคุณหนูสะเทือนใจแค่ไหนกับเรื่องคุณท่านทั้งสอง” ป้าแจ้มบ่นอย่างโมโหขึ้นมาแล้วตอนนี้

“โธ่... แม่ผมผิดไปแล้ว ผมมันคนปากไว ปากหมา พูดอะไรไม่คิด ผมยอมรับผิด แค่นี้พอใจ’ยัง”

“ทีหลังเอ็งก็อย่าปากพล่อยให้มาก สงบปากสงบคำไว้บ้างไอ้เจิด” คนเป็นพ่อส่ายหน้าระอากับลูกชาย

ก่อนจะออกไปจากบ้าน เพื่อกลับบ้านพักของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นส่วนที่พักคนงาน ทิ้งให้เมียเก็บโต๊ะพร้อมกับอบรมลูกชายในบ้านของเจ้านายต่อ

*-*-*-*-*-*

เจ้าของร่างโปร่งบางสมส่วน อยู่ในชุดกางเกงนอนขายาวกับเสื้อกล้าม ก้าวไปยังตู้เล็กๆ ด้านข้าง เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักชั้นบนสุดออก ในลิ้นชักมีอัลบั้มรูปเก่าๆ หลายเล่ม หญิงสาวหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมา ปกของมันเก่าคร่ำคร่า

ในนั้นเป็นรูปของเธอกับครอบครัว ที่มีพ่อ แม่ และน้องชายในวัยเด็กหลากหลายสถานที่และอิริยาบถ สิ่งที่ฉายชัดอยู่ในภาพถ่ายเหล่านั้นคือรอยยิ้ม แววตา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และอบอวลไปด้วยความอบอุ่นที่เธอจะไม่มีวันได้พบเจออีกแล้ว

ตั้งแต่บิดา มารดาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ วาสุรีย์ได้เก็บรูปภาพเหล่านี้ พร้อมทั้งข้าวของเครื่องใช้ของบิดา มารดาส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นแรงพลังและความอุ่นใจให้กับตัวเอง

แม้ช่วงแรกหญิงสาวจะจั่งจมอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจ แต่เมื่อช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัสผ่านไปเธอก็เข้มแข็งขึ้น และสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด ไม่ว่าต่อหน้าคนงานที่ต้องดูแล หรือคนทั่วไป และที่สำคัญโดยเฉพาะกับน้องชายเพียงคนเดียวของเธอ ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

เมื่อสองปีที่แล้ววาสุรีย์ยังเป็นนักศึกษาอนาคตไกลอยู่ในประเทศอังกฤษ หญิงสาวตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทางด้านการตลาดเพื่อจะได้กลับมาช่วยพ่อแม่ดูแลสวนกล้วยไม้แห่งนี้ แต่ทว่ายังเรียนไม่ทันจบเธอก็ได้รับข่าวร้ายว่าบิดา มารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ไหล่ทาง วาสุรีย์ต้องบินกลับมาด้วยความเสียใจและโศกเศร้าเหมือนกับโลกถล่มทลาย

หลังจากงานศพของพ่อและแม่ผ่านไป ญาติสนิทหลายฝ่ายได้แนะนำให้หญิงสาวขายที่นี่ไปแล้วกลับไปเรียนต่อให้จบ หรือทำธุรกิจอะไรสักอย่างเล็กๆ แต่วาสุรีย์ปฏิเสธ เธอต้องการรักษามรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยายนี้เอาไว้ เพราะสวนวาสุรีย์เป็นศูนย์กลางความรักของคนในครอบครัว คนงานเก่าแก่หลายคนอยู่กันมาตั้งแต่รุ่นตายาย เธอจึงไม่อาจตัดใจขายไปได้

เพราะนอกจากที่นี่แล้วครอบครัวของเธอก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรอีก มันเป็นความตั้งใจของบิดา มารดา ที่หญิงสาวรับรู้มาตั้งแต่เด็ก วาสุรีย์จึงตัดสินใจยุติการเรียนไว้เพียงแค่นั้น เพื่อกลับมาดูแลกิจการทั้งหมดของสวนกล้วยไม้

วาสุรีย์ตั้งแต่นั้นมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของญาติมากมาย โดยเฉพาะปู่และย่าที่อยู่ในกรุงเทพฯ

แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ ที่ดินสวนวาสุรีย์ครึ่งหนึ่งติดจำนองกับธนาคาร เพราะบิดาของเธอต้องการเอาเงินมาขยายกิจการในส่วนที่ยังเป็นที่ดินว่างเปล่า แต่เนื่องจากพิษเศรษฐกิจในช่วงนั้นจึงทำให้สวนวาสุรีย์ประสบปัญหาด้านการเงินพอดี ความหวังของบิดาเธอจึงไม่เป็นจริง

และสิ่งที่ได้จากเงินกู้ก้อนนั้นก็คือการรักษาสวนวาสุรีย์ให้อยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้เท่านั้น แต่ทว่าก่อนหน้านี้บิดามารดาไม่ได้บอกเธอกับน้องถึงเรื่องนี้ คงเพราะไม่อยากให้กังวลใจ ตอนนี้นอกจากจะดูแลงานทุกอย่างในสวน

วาสุรีย์แล้ว เธอยังมีหนี้สินส่วนนี้ที่ต้องรับผิดชอบไปด้วยพร้อมกัน หญิงสาวตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดและสุดความสามารถที่มีอยู่

และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่เป็นพลังให้เธอยืนหยัดตรงนี้ก็คือ วีรวัฒน์ น้องชายเพียงคนเดียวของตน เพราะท่ามกลางความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชีวิต หญิงสาวเหลือเพียงน้องชายเท่านั้นที่เป็นกำลังใจให้ยืนหยัดอยู่ได้ อีกทั้งเป็นเสาหลักของที่นี่ และเป็นหลักให้น้องชายที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียน ด้วยความฝันว่าเมื่อเรียนจบจะกลับมาช่วยกันดูแลสวนกล้วยไม้แห่งนี้

หญิงสาวไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับใครบ่อยนัก วาสุรีย์ยอมรับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อความรู้สึกของตนมากเหลือเกิน ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงบุพการีที่จากไปก็เหมือนดังมาสะกิดแผลในใจให้รู้สึกขึ้นมา จนต้องเก็บมาคิดถึงอยู่ทุกครั้ง เหมือนตอนนี้ แต่ทุกอย่างก็จะผ่านไปอย่างที่เป็นมา

ตอนนี้หญิงสาวจึงเก็บอัลบั้มรูปไว้ที่เดิม ก่อนจะปิดลิ้นชักแล้วกลับมาทรุดตัวนั่งลงบนเตียง โดยบอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกมากมาย เธอต้องเก็บแรงเอาไว้เพื่อสู้กับมัน

*-*-*-*-*-*

หลังจากไปส่งดอกกล้วยไม้แล้ว****​วาสุรีย์กับเจิดก็พากันมาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ พร้อมของฝากถุงใหญ่เพื่อเยี่ยมคนเจ็บตามที่บอกกับเพื่อนเอาไว้ และเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสารวัตรทวิพันธุ์กับลูกน้องอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว

“พี่พันธุ์มาแต่เช้าเลยนะคะ” หญิงสาวทักทาย ขณะก้าวเข้าไปใกล้สารวัตรหนุ่ม

“พอดีพี่เองก็ติดตามเรื่องของคนเจ็บจากเกศอยู่แล้วน่ะจ้ะ ก็เลยมาเยี่ยม แล้วก็สอบปากคำด้วย” ทวิพันธุ์บอกด้วยรอยยิ้มหวาน และที่เขาไม่บอกก็คือ... เพราะรู้จากเกศราว่าวาสุรีย์จะเข้ามาเยี่ยมคนเจ็บในวันนี้ เขาจึงรีบมาแต่เช้า อีกทั้งก็เอางานมาอ้างอย่างไม่น่าเกลียด

ความรู้สึกของเขาที่มีต่อวาสุรีย์นั้นคนรอบข้างก็คงดูออก แต่เขาไม่เคยก้าวล่วงเข้าไปในหัวใจของหญิงสาวได้เลย เพราะชีวิตของวาสุรีย์มีแต่งาน งาน... แล้วก็งาน เธออาจพูดคุยกับเขาเป็นอันดี แต่ก็ไม่มีแววบางอย่างในดวงตาให้เป็นความหวัง

นั่นทำให้สารวัตรหนุ่มไม่กล้าเดินหน้า ไม่กล้าผลีผลามมากนัก เพราะหากหญิงสาวไม่พอใจอาจเป็นการปิดโอกาสอันพึงมีของตนไปก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแอบหวัง และรอจังหวะที่เหมาะสม เพราะหญิงสาวเองก็ยังไม่มีใครเหมือนกัน

“พี่พันธุ์ยังไม่ได้เข้าไปข้างในใช่ไหมคะ” วาสุรีย์ถาม เมื่อชายหนุ่มทำเสียงรับในลำคอเธอจึงรีบชวนต่อ “ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปเยี่ยมคนเจ็บกันเถอะค่ะ”

พอวาสุรีย์กับตำรวจหนุ่ม พร้อมลูกน้องของเขาอีกคนและเจิดเข้าไปถึงในห้อง เกศรากับคุณหมอเจ้าของไข้กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว พยาบาลสาวหันมายิ้มแย้มกับกลุ่มคนที่เข้ามา

“มาพร้อมกันเชียวนะคะพี่พันธุ์ อย่าบอกนะคะว่าไปรับยัยหวายถึงสวนวาสุรีย์” เกศรากระเซ้าสารวัตรหนุ่มรุ่นพี่และเพื่อนอย่างรู้ทัน

“บ้า! ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันมาส่งดอกไม้กับเจิด แล้วเจอพี่พันธุ์ข้างนอกนี่เอง ว่าแต่คนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” ตอนท้ายหญิงสาวถามพลางมองไปยังเตียง ที่หมอตรวจคนเจ็บเสร็จพอดี

“อาการโดยรวมดีขึ้นแล้วครับ แผลอาจจะยังไม่หายดี แต่ก็ไม่มีอาการติดเชื้อแล้ว ที่เหลือก็มีแต่เรื่องความจำเท่านั้นเองครับ เพราะศีรษะคนเจ็บถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง” หมอตอบ

ขณะเจ้าตัวคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงปรับระดับด้านบนให้สูงขึ้น กำลังจ้องมองกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่อย่างสนใจ หน้าตาของเขายังมีร่องรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่ แม้ความบวมจะลดลงมากแล้ว และศีรษะยังมีผ้าสีขาวพันเอาไว้

“จำได้ไหมคะ นี่คือคนที่ช่วยพาคุณมาส่งโรงพยาบาลไงคะ” เกศราถามเจ้าของร่างใหญ่ที่อยู่บนเตียงด้วยภาษาอังกฤษ ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนแต่เจือด้วยสีเขียวเล็กน้อยนั้น เพ่งมองหน้าของวาสุรีย์ครู่หนึ่ง

“คล้ายๆ ว่าผมจะเคยเห็นคุณมาก่อน แต่ขอโทษ ผมนึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นที่ไหน ยังไง” เขาตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษชัดเจน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันดีใจนะคะที่คุณปลอดภัย ฉันเอาของมาเยี่ยมค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาพลางบอก ขณะที่เจิดนำถุงใส่ผลไม้ นม ขนมมาวางไว้ให้ยังตู้ข้างเตียง

“คุณคงพอจำผมได้นะครับ ผมเคยมาเยี่ยมคุณสอง-สามครั้งแล้ว วันนี้สีหน้าแช่มชื่นขึ้นมากแล้วนี่ครับ” พ.ต.ต.ทวิพันธุ์พูดอย่างเป็นกันเอง คนเจ็บหันมาทางสารวัตรหนุ่ม และมีทีท่าว่าจำได้

“อ๋อ... คุณตำรวจนั่นเอง” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง อวดฟันขาวเป็นระเบียบ

“ครับ วันนี้หากคุณพอไหวผมอยากจะสอบปากคำคุณสักหน่อย”

ทวิพันธุ์บอก เพราะตอนที่เขามาเยี่ยมก่อนหน้านี้แม้คนเจ็บจะรู้สึกตัวแต่ก็ยังไม่สามารถให้การได้ มาตอนนี้คนที่อยู่บนเตียงพยักหน้า “คุณพอจะจำได้ไหมครับ ว่าคุณชื่ออะไร และมาจากไหน แล้วทำไมถึงถูกทำร้ายได้”

แต่ทว่าคำถามเหล่านั้นกลับทำให้เขานิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้านั้นดูหมกมุ่นครุ่นคิดขึ้นมาในทันที ราวกับกำลังพยายามทบทวนความทรงจำอย่างหนัก ก่อนจะสั่นศีรษะ

“ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ผมพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก” มาตอนนี้เจ้าของร่างใหญ่ มีสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสับสน ไม่มั่นใจระคนหวาดหวั่น

“ลองค่อยๆ นึกดูดีๆ ซิครับ หน้าตาของคุณดูคล้ายคนทางแถบยุโรป นอกจากภาษาอังกฤษแล้วคุณฟังหรืออ่านภาษาอื่นออกบ้างไหมครับ” สารวัตรหนุ่มยิงคำถามอีกครั้ง

พลางส่งหูฟังที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือให้คนเจ็บฟังภาษาที่เขาตระเตรียมมา ซึ่งเป็นสื่อที่มีทั้งเสียงและตัวอักษรปรากฏบนหน้าจอ แต่เพียงครู่เจ้าของร่างใหญ่ก็ปฏิเสธ แม้ทวิพันธุ์จะพยายามให้เขาฟังและอ่านมากมายหลายภาษา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายคนนี้จะเข้าใจภาษาเหล่านั้นเลย

“ลองนึกดูดีๆ สิครับ” สารวัตรทวิพันธุ์กระตุ้นอีกครั้งอย่างไม่หยุดพยายาม แต่คนที่พยายามเค้นความคิดกลับมีใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ท่าทางกระวนกระวาย

“ผมปวดหัว” ก่อนจะร้องขึ้น พร้อมกับยกมือกุมศีรษะ เหงื่อแตกพลั่ก

“ผมว่าค่อยเป็นค่อยไปดีกว่านะครับ เพราะตอนนี้เขาคงจำอะไรไม่ได้จริงๆ ” คุณหมอที่ให้การรักษาบอก

“แต่เขาก็พูดจาตอบโต้รู้เรื่องแล้วนี่ครับคุณหมอ” พ.ต.ต ทวิพันธุ์แปลกใจ

“ครับ อาการความจำเสื่อมของเขาไม่ได้ส่งผลกับการสื่อสารหรอกครับ แค่ยังจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้แค่นั้นเอง” คุณหมออธิบาย

“แล้วเขาจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนคะ คุณหมอ” วาสุรีย์ที่นิ่งฟังอยู่นานถามขึ้น

“เรื่องนี้หมอก็ให้คำตอบไม่ได้นะครับ บางคนก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน บางคนก็นานเป็นเดือน แต่บางคนก็เป็นปีเหมือนกัน และบางคนก็อาจจะจำอะไรไม่ได้ไปตลอดชีวิตก็มี แต่บางคนก็จดจำได้เพียงบางส่วน เหมือนความทรงจำขาดๆ หายๆ ไม่สมบูรณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับสมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหน

“แต่กรณีคนเจ็บคนนี้สมองเขาได้รับการกระทบกระเทือนมากพอสมควรทีเดียว เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย อีกอย่างหากเขาสามารถกลับไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม หรือผู้คนที่คุ้นเคยก็คงช่วยให้ความทรงจำกลับคืนมาได้ง่ายกว่านี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย” คำตอบจากคุณหมอ ทำให้วาสุรีย์มองคนเจ็บที่มาตอนนี้นอนหลับตานิ่งอย่างเห็นใจ

“ระหว่างที่รอความจำของเขาคืนมา ผมจะพยายามหาเบาะแสทางอื่นไปด้วยก็แล้วกันนะครับ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้ เพราะนั่นมันหมายถึงความปลอดภัยของเขาในตอนนี้ด้วย” สารวัตรหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ที่คนเจ็บคนนี้เผชิญอยู่ดี จึงตั้งใจว่าจะพยายามช่วยเหลือให้ถึงที่สุดทั้งตามหน้าที่และมนุษยธรรม

“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับสารวัตร”

หลังจากนั้นสารวัตรทวิพันธุ์กับนายแพทย์ก็คุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ต่างจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ วาสุรีย์กับเจิดออกมาจากโรงพยาบาลพร้อม พ.ต.ต.ทวิพันธุ์และลูกน้อง แล้วจึงแยกย้ายกันกลับ



**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YT
oyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6N
joiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YT
oyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6
NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2560, 20:56:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มิ.ย. 2560, 20:56:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 886





<< บทนำ   บทที่ 2 หญิงไทยใจนักเลง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account