ห้วงฝันวันรัก (ผ่านพิจารณาสนพ.)
กิรณา ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ได้เพียงไม่นาน แต่แล้วชีวิตกลับต้องพลิกผันเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง หล่อนได้ข้ามผ่านไปยังช่วงเวลาอนาคต!
ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ดรัล ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง...
ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ดรัล ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง...
Tags: เวลา ดราม่า ไซไฟ ฆาตกรรม หมอ บรรณารักษ์ สืบ อนาคต อบอุ่น เพื่อนบ้าน โรแมนติก
ตอน: บทที่ 4---60%
วันนี้อัพให้จุใจเลยครัช ฮี่ๆ ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทที่ 4 ที่รันอัพให้เมื่อคืน อ่านย้อนก่อนน้าาาา เพราะรันอัพไว้ 2 ตอนด้วยกันค่ะ
******************
บทที่ 4 (ต่อ)
“หว้ามั่นใจได้ยังไงว่าต่างหูนั่นไม่ใช่ของน้าอร”
ทิวัตถ์ถาม เขาอยู่ในห้องสมุดกับกิรณา ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน
ที่จริงทิวัตถ์แค่ตั้งใจมารอรับบรรณารักษ์สาวหลังเลิกงาน แต่สาวเจ้ากลับอู้งานลากตัวเขามานั่งคุยด้วยกันเฉยบริเวณที่นั่งอ่านหนังสือ พร้อมภาพต่างหูคริสตัลรูปองุ่นผูกโบว์สีทองลักษณะเหมือนต่างหูแฟชั่นเกาหลี ซึ่งกิรณาวาดตามที่เจอมาในกาลเวลาอนาคต
“แม่เราไม่ใส่ต่างหูแฟชั่นจ๋าแบบนี้หรอก” กิรณาตอบอย่างมาดมั่น
“ถ้าจะบอกว่าเป็นของเรา วัตลืมไปได้เลย เราไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับวัตก็น่าจะรู้ แค่สร้อยนาฬิกาที่เรามีอยู่ก็เกินจะใส่แล้ว”
“แล้วหว้าเอาต่างหูอันนั้นมาด้วยได้รึเปล่า”
กิรณาส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วต้องเท้าคางอย่างเซ็งๆ
เมื่อคืน ก่อนที่หล่อนจะหลับยังกำต่างหูนั้นไว้ในมืออยู่เลย แอบหวังว่ามันจะตามมาในกาลเวลาปัจจุบัน ที่ไหนได้ พอตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าในมือหล่อนมีแต่ความว่างเปล่า แถมที่อุตส่าห์ถ่ายภาพเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือก็หายไปด้วย เลยทำได้แค่พยายามบรรยายลักษณะต่างหูให้เพื่อนฟัง ประกอบกับวาดรูปคร่าวๆ อย่างที่เห็น
เมื่อหาความกระจ่างให้กับตัวเองไม่ได้สักอย่าง ทั้งเรื่องต่างหูทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดามารดา กิรณารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่เอาน่ะหว้า อย่าเพิ่งคิดมาก” ทิวัตถ์เห็นเพื่อนกลุ้มใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ตอนนี้สิ่งที่หว้ารู้มามันยังไม่เกิดขึ้นเลย เรายังพอมีเวลาช่วยกันคิดหาทางแก้ไขนะ”
“แก้ไขเหรอวัต? เราจะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ยังไงในเมื่อพ่อเรายังนอนไม่ได้สติอยู่แบบนั้น แล้วเราก็ยังไม่รู้อะไรสักอย่างนอกจากบทสรุปที่มันเกิดขึ้น กับต่างหูบ้าๆ นั่น”
“แต่ต่างหูที่หว้าเจอมันก็ช่วยยืนยันได้อย่างนึงนะว่า ต้องมีคนเข้ามาในบ้านหว้าก่อนเกิดเหตุการณ์พวกนั้นขึ้น”
คำพูดของเพื่อนเรียกความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังกลัดกลุ้มเงยหน้าสบมอง
“เราคิดว่าต้องมีคนเข้ามาในบ้านหว้าตอนเกิดเรื่อง หรือไม่ก็ช่วงก่อนหน้านั้น ไม่อย่างนั้นต่างหูอันนั้นจะมาตกอยู่ในบ้านหว้าได้ยังไง”
กิรณานิ่วหน้า ครุ่นคิดตาม
ก่อนหน้านี้หล่อนก็แค่สันนิษฐานจากลักษณะต่างหูว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง ฉะนั้นถ้าให้บอกว่าเป็นของจำรัสบิดาหล่อนจึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ขณะที่ของหล่อนกับมารดาเองก็ไม่ใช่เช่นกัน จะเหลือก็แต่...
“จริงด้วยวัต” กิรณาได้สติทันใด
“ในเมื่อต่างหูอันนั้นไม่ใช่ของคนในบ้านเราสักคน ก็ต้องเป็นของคนอื่น...โอ๊ย ง่ายๆ แค่นี้ทำไมถึงไม่คิดนะยายลูกหว้า มัวแต่งมโข่งอยู่ได้” กิรณาเจ็บใจเขกกะโหลกตัวเองเผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ทิวัตถ์เห็นก็ยิ้มขันออกมา คนเขกกะโหลกตัวเองเลยหันขวับมามองตาเขียวร้อนถึงทิวัตถ์ต้องหุบยิ้มพลัน
ถึงอย่างนั้น ทิวัตถ์ก็ยังอดไม่ได้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หว้าไม่เปลี่ยนเลยนะ ชอบเขกหัวต่อว่าตัวเองเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เรานึกว่าหว้าจะเลิกนิสัยนี้แล้วเสียอีก”
“ก็มันติดน่ะวัต” กิรณายิ้มเหยเกออกมา
“เถอะน่า ช่างเรื่องเราก่อนเถอะ กลับมาที่พ่อแม่เราก่อน ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่วัตคิดจริงๆ แสดงว่าคืนวันเกิดเหตุเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่แค่อุบัติเหตุใช่มั้ย”
“อาจทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ยังไงเจ้าของต่างหูน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี”
ทิวัตถ์เสริม และกิรณาก็เห็นด้วย
“เราก็คิดอยู่เหมือนกัน เพราะปกติถึงพ่อแม่เราจะชอบทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าให้ถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงขนาดนั้นได้ มันต้องเรื่องใหญ่มาก หรือไม่ อาจมีใครสักคนที่เป็นชนวนต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น”
“เป็นไปได้มั้ยถ้าจะเป็นการฆาตกรรม”
กิรณาส่ายหน้า
“วันก่อนตอนกลับไปในอนาคต เราลองถามเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องพ่อแม่เราอีกทีแล้ว ปืนที่พ่อแม่เราแย่งกันเป็นปืนของพ่อเราเอง ที่จริงปกติแกเก็บไว้ในห้องนอนนะ แต่ยังไงทางตำรวจก็ยังยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ส่วนคนอื่นที่อยู่ในละแวกบ้านเราก็ตอบคล้ายๆ กับที่เรารู้มา รู้สึกจะเกิดเหตุตอนประมาณสามทุ่ม แต่...เอ่อ...เรายังถามไม่ครบเลย” เหลือยายเมเปิ้ลนั่นแหละ
“ซุบซิบอะไรกันอยู่จ๊ะ ขอพี่ร่วมวงด้วยคนได้รึเปล่า”
อยู่ดีๆ หวานตาก็โผล่หน้าเข้ามาคั่นกลางทั้งสอง เล่นเอาทั้งกิรณาทั้งทิวัตถ์สะดุ้งโหยง
“พี่ตา มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง หว้าตกใจหมดเลยค่ะ”
“พี่ขอโทษ ก็เราสองคนเล่นแอบมาซุ่มคุยกันเป็นนานสองนาน พี่ก็เลยต้องมาตามตัวสิจ๊ะ...ไปลูกหว้า ใกล้เวลาห้องสมุดปิดให้บริการแล้ว รีบไปช่วยดูแลกันก่อนเลิกงาน จะได้ไม่ต้องมีภาระมาก”
รุ่นพี่มาตามตัวถึงที่ กิรณาทิ้งงานมานานจริงเลยเกรงใจรีบลุกตามรุ่นพี่ออกไป ไม่วายเจ้าหล่อนยังอุตส่าห์หันมาทำท่าบุ้ยใบ้กับเพื่อนนัดแนะเวลากลับบ้าน...เลิกงานปุ๊บกิรณาจึงตามมาขึ้นรถทิวัตถ์ปั๊บ เนื่องจากเพื่อนจอดรถไว้บริเวณลานจอดรถกลางแจ้งซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารห้องสมุด
“หว้าบอกที่บ้านรึยังว่าเย็นนี้เราจะพาพวกท่านออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันข้างนอก”
ทิวัตถ์ถามกิรณาขณะที่กำลังเคลื่อนรถออกสู่ถนนใหญ่
กิรณาซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง กำลังมองดูการจราจรบนท้องถนนเปรียบเทียบกับวันที่ดรัลมารับ ได้ยินคำถามนั้นของเพื่อน ก็อึกอักเล็กน้อย
“วัต...ไม่กลัวพ่อเราจะโกรธแล้ว...เอ่อ...ไล่วัตออกมาเหมือนทุกครั้งเหรอ”
“กลัวสิ” ทิวัตถ์ตอบตรงๆ
“แต่เราโดนพ่อหว้าไล่จนชินแล้วล่ะ กลัวหว้าจะไม่ยอมไปกับเรามากกว่า เราตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าวันนี้พ่อหว้าโวยวายไล่เรากลับออกมาอีก เราจะมั่นคง ไม่ยอมถอยทัพกลับไปตั้งหลักง่ายๆ อีกเด็ดขาด”
คำว่า ‘ถอยทัพ’ ของเพื่อนนั้นฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หญิงสาวเลยหน้าแหย
เรื่องที่ทิวัตถ์ชวนครอบครัวหล่อนออกไปทานข้าวเย็นด้วยกันข้างนอกนั้น ทิวัตถ์บอกไว้ตั้งแต่โผล่หน้ามาหาแล้ว แต่กิรณากลัวเกิดศึกระหว่างเพื่อนกับบิดาเสียก่อนเลยยังไม่ได้โทร.บอกที่บ้าน ทำไมกิรณาจะไม่รู้ว่าที่เพื่อนชวนก็เพื่อหวังจะสร้างสัมพันธไมตรีกับบิดามารดาหล่อน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้เป็นเพียงในฐานะเพื่อนก็ตาม บิดาหล่อนไม่เคยยอมให้ทิวัตถ์เข้าใกล้ท่านได้ง่ายๆ เลยสักครั้ง และนั่นทำให้กิรณาลำบากใจไม่น้อยที่เพื่อนต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ในครอบครัว
ดูเหมือนทิวัตถ์จะรับรู้ได้ในสภาวะที่หญิงสาวข้างกายกำลังเผชิญ เพราะเขาไม่เซ้าซี้อีก เลือกที่จะเอื้อมมือมาเกาะกุมมือกิรณาอย่างเข้าใจ
กิรณารับรู้ได้เช่นกัน ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เพื่อน “ขอบคุณนะวัตที่เข้าใจเรา เฮ้อ...ว่าแล้วเราก็เสียดายวัตแทนน้องเมล์จัง อุตส่าห์เจอผู้ชายดีๆ อย่างวัตแล้วทั้งคน ไม่น่าเลิกกันเลย”
กิรณาพูดถึงอดีตสาวคนรักของเพื่อนขึ้นมาอย่างนึกเสียดายจริงๆ แล้วต้องถอนใจซ้ำเข้าโหมดปลงชีวิต “ชีวิตคนเราอะไรๆ ช่างไม่แน่นอนเลยจริงๆ วัตว่ามั้ย”
ได้ยินชื่อของหญิงสาวอีกคน ทิวัตถ์กลับคลายมือออกจากการเกาะกุม
“ว่าแต่วัตยังได้ติดต่อกับน้องเมล์บ้างรึเปล่า ถ้าได้ปรับความเข้าใจกันจริงจัง เรื่องอาจไม่จบลงแบบนี้ก็ได้นะ ไหนๆ ก็คบกันมาจนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
ทิวัตถ์เงียบไป ไม่พูดด้วยเหมือนเคย กิรณาเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนมีสีหน้าไม่สู้ดี คงเป็นเพราะเรื่องที่หล่อนกำลังพูดถึงเลยรู้สึกผิดจะเอ่ยขอโทษเพื่อน แต่แล้วจู่ๆ เพื่อนก็ขับรถเป๋ออกนอกเลนกะทันหัน ทำกิรณาตกใจร้องเสียงหลงออกมา !
“เกิดอะไรขึ้นน่ะวัต”
“เกาะดีๆ หว้า มันเกิดบ้าอะไรไม่รู้ ขับมาเบียดเรา”
“หา !?” กิรณาหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที รีบมองออกไปนอกหน้าต่างรถถึงเห็นว่ามีรถกระบะคันใหญ่สีดำกำลังพุ่งตัวมาด้วยความเร็วสูงเทียบเสมอรถทิวัตถ์ ‘มัน’ จงใจขับเบียดกินเลนถนนเข้ามา ร้อนถึงทิวัตถ์ต้องเบี่ยงรถหลบ วิ่งเป๋ไปทางซ้ายทีขวาที ยึกยือไม่ต่างจากงูเลื้อย เล่นเอาสาวที่นั่งมาข้างๆ ใจตกไปที่ตาตุ่ม ร้องบอกให้เพื่อนเหยียบเบรก
หากจังหวะนั้นกลับมีหญิงชราเดินงกๆ เงิ่นๆ ข้ามถนนตัดหน้ารถทิวัตถ์ !
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”
กิรณากรีดร้องสุดเสียง ขณะที่ทิวัตถ์สติกระเจิงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถหลบออกนอกเส้นทาง พุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าเต็มแรง !
******************
บทที่ 4 (ต่อ)
“หว้ามั่นใจได้ยังไงว่าต่างหูนั่นไม่ใช่ของน้าอร”
ทิวัตถ์ถาม เขาอยู่ในห้องสมุดกับกิรณา ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน
ที่จริงทิวัตถ์แค่ตั้งใจมารอรับบรรณารักษ์สาวหลังเลิกงาน แต่สาวเจ้ากลับอู้งานลากตัวเขามานั่งคุยด้วยกันเฉยบริเวณที่นั่งอ่านหนังสือ พร้อมภาพต่างหูคริสตัลรูปองุ่นผูกโบว์สีทองลักษณะเหมือนต่างหูแฟชั่นเกาหลี ซึ่งกิรณาวาดตามที่เจอมาในกาลเวลาอนาคต
“แม่เราไม่ใส่ต่างหูแฟชั่นจ๋าแบบนี้หรอก” กิรณาตอบอย่างมาดมั่น
“ถ้าจะบอกว่าเป็นของเรา วัตลืมไปได้เลย เราไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับวัตก็น่าจะรู้ แค่สร้อยนาฬิกาที่เรามีอยู่ก็เกินจะใส่แล้ว”
“แล้วหว้าเอาต่างหูอันนั้นมาด้วยได้รึเปล่า”
กิรณาส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วต้องเท้าคางอย่างเซ็งๆ
เมื่อคืน ก่อนที่หล่อนจะหลับยังกำต่างหูนั้นไว้ในมืออยู่เลย แอบหวังว่ามันจะตามมาในกาลเวลาปัจจุบัน ที่ไหนได้ พอตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าในมือหล่อนมีแต่ความว่างเปล่า แถมที่อุตส่าห์ถ่ายภาพเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือก็หายไปด้วย เลยทำได้แค่พยายามบรรยายลักษณะต่างหูให้เพื่อนฟัง ประกอบกับวาดรูปคร่าวๆ อย่างที่เห็น
เมื่อหาความกระจ่างให้กับตัวเองไม่ได้สักอย่าง ทั้งเรื่องต่างหูทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดามารดา กิรณารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่เอาน่ะหว้า อย่าเพิ่งคิดมาก” ทิวัตถ์เห็นเพื่อนกลุ้มใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ตอนนี้สิ่งที่หว้ารู้มามันยังไม่เกิดขึ้นเลย เรายังพอมีเวลาช่วยกันคิดหาทางแก้ไขนะ”
“แก้ไขเหรอวัต? เราจะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ยังไงในเมื่อพ่อเรายังนอนไม่ได้สติอยู่แบบนั้น แล้วเราก็ยังไม่รู้อะไรสักอย่างนอกจากบทสรุปที่มันเกิดขึ้น กับต่างหูบ้าๆ นั่น”
“แต่ต่างหูที่หว้าเจอมันก็ช่วยยืนยันได้อย่างนึงนะว่า ต้องมีคนเข้ามาในบ้านหว้าก่อนเกิดเหตุการณ์พวกนั้นขึ้น”
คำพูดของเพื่อนเรียกความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังกลัดกลุ้มเงยหน้าสบมอง
“เราคิดว่าต้องมีคนเข้ามาในบ้านหว้าตอนเกิดเรื่อง หรือไม่ก็ช่วงก่อนหน้านั้น ไม่อย่างนั้นต่างหูอันนั้นจะมาตกอยู่ในบ้านหว้าได้ยังไง”
กิรณานิ่วหน้า ครุ่นคิดตาม
ก่อนหน้านี้หล่อนก็แค่สันนิษฐานจากลักษณะต่างหูว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง ฉะนั้นถ้าให้บอกว่าเป็นของจำรัสบิดาหล่อนจึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ขณะที่ของหล่อนกับมารดาเองก็ไม่ใช่เช่นกัน จะเหลือก็แต่...
“จริงด้วยวัต” กิรณาได้สติทันใด
“ในเมื่อต่างหูอันนั้นไม่ใช่ของคนในบ้านเราสักคน ก็ต้องเป็นของคนอื่น...โอ๊ย ง่ายๆ แค่นี้ทำไมถึงไม่คิดนะยายลูกหว้า มัวแต่งมโข่งอยู่ได้” กิรณาเจ็บใจเขกกะโหลกตัวเองเผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ทิวัตถ์เห็นก็ยิ้มขันออกมา คนเขกกะโหลกตัวเองเลยหันขวับมามองตาเขียวร้อนถึงทิวัตถ์ต้องหุบยิ้มพลัน
ถึงอย่างนั้น ทิวัตถ์ก็ยังอดไม่ได้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หว้าไม่เปลี่ยนเลยนะ ชอบเขกหัวต่อว่าตัวเองเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เรานึกว่าหว้าจะเลิกนิสัยนี้แล้วเสียอีก”
“ก็มันติดน่ะวัต” กิรณายิ้มเหยเกออกมา
“เถอะน่า ช่างเรื่องเราก่อนเถอะ กลับมาที่พ่อแม่เราก่อน ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่วัตคิดจริงๆ แสดงว่าคืนวันเกิดเหตุเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่แค่อุบัติเหตุใช่มั้ย”
“อาจทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ยังไงเจ้าของต่างหูน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี”
ทิวัตถ์เสริม และกิรณาก็เห็นด้วย
“เราก็คิดอยู่เหมือนกัน เพราะปกติถึงพ่อแม่เราจะชอบทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าให้ถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงขนาดนั้นได้ มันต้องเรื่องใหญ่มาก หรือไม่ อาจมีใครสักคนที่เป็นชนวนต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น”
“เป็นไปได้มั้ยถ้าจะเป็นการฆาตกรรม”
กิรณาส่ายหน้า
“วันก่อนตอนกลับไปในอนาคต เราลองถามเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องพ่อแม่เราอีกทีแล้ว ปืนที่พ่อแม่เราแย่งกันเป็นปืนของพ่อเราเอง ที่จริงปกติแกเก็บไว้ในห้องนอนนะ แต่ยังไงทางตำรวจก็ยังยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ส่วนคนอื่นที่อยู่ในละแวกบ้านเราก็ตอบคล้ายๆ กับที่เรารู้มา รู้สึกจะเกิดเหตุตอนประมาณสามทุ่ม แต่...เอ่อ...เรายังถามไม่ครบเลย” เหลือยายเมเปิ้ลนั่นแหละ
“ซุบซิบอะไรกันอยู่จ๊ะ ขอพี่ร่วมวงด้วยคนได้รึเปล่า”
อยู่ดีๆ หวานตาก็โผล่หน้าเข้ามาคั่นกลางทั้งสอง เล่นเอาทั้งกิรณาทั้งทิวัตถ์สะดุ้งโหยง
“พี่ตา มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง หว้าตกใจหมดเลยค่ะ”
“พี่ขอโทษ ก็เราสองคนเล่นแอบมาซุ่มคุยกันเป็นนานสองนาน พี่ก็เลยต้องมาตามตัวสิจ๊ะ...ไปลูกหว้า ใกล้เวลาห้องสมุดปิดให้บริการแล้ว รีบไปช่วยดูแลกันก่อนเลิกงาน จะได้ไม่ต้องมีภาระมาก”
รุ่นพี่มาตามตัวถึงที่ กิรณาทิ้งงานมานานจริงเลยเกรงใจรีบลุกตามรุ่นพี่ออกไป ไม่วายเจ้าหล่อนยังอุตส่าห์หันมาทำท่าบุ้ยใบ้กับเพื่อนนัดแนะเวลากลับบ้าน...เลิกงานปุ๊บกิรณาจึงตามมาขึ้นรถทิวัตถ์ปั๊บ เนื่องจากเพื่อนจอดรถไว้บริเวณลานจอดรถกลางแจ้งซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารห้องสมุด
“หว้าบอกที่บ้านรึยังว่าเย็นนี้เราจะพาพวกท่านออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันข้างนอก”
ทิวัตถ์ถามกิรณาขณะที่กำลังเคลื่อนรถออกสู่ถนนใหญ่
กิรณาซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง กำลังมองดูการจราจรบนท้องถนนเปรียบเทียบกับวันที่ดรัลมารับ ได้ยินคำถามนั้นของเพื่อน ก็อึกอักเล็กน้อย
“วัต...ไม่กลัวพ่อเราจะโกรธแล้ว...เอ่อ...ไล่วัตออกมาเหมือนทุกครั้งเหรอ”
“กลัวสิ” ทิวัตถ์ตอบตรงๆ
“แต่เราโดนพ่อหว้าไล่จนชินแล้วล่ะ กลัวหว้าจะไม่ยอมไปกับเรามากกว่า เราตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าวันนี้พ่อหว้าโวยวายไล่เรากลับออกมาอีก เราจะมั่นคง ไม่ยอมถอยทัพกลับไปตั้งหลักง่ายๆ อีกเด็ดขาด”
คำว่า ‘ถอยทัพ’ ของเพื่อนนั้นฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หญิงสาวเลยหน้าแหย
เรื่องที่ทิวัตถ์ชวนครอบครัวหล่อนออกไปทานข้าวเย็นด้วยกันข้างนอกนั้น ทิวัตถ์บอกไว้ตั้งแต่โผล่หน้ามาหาแล้ว แต่กิรณากลัวเกิดศึกระหว่างเพื่อนกับบิดาเสียก่อนเลยยังไม่ได้โทร.บอกที่บ้าน ทำไมกิรณาจะไม่รู้ว่าที่เพื่อนชวนก็เพื่อหวังจะสร้างสัมพันธไมตรีกับบิดามารดาหล่อน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้เป็นเพียงในฐานะเพื่อนก็ตาม บิดาหล่อนไม่เคยยอมให้ทิวัตถ์เข้าใกล้ท่านได้ง่ายๆ เลยสักครั้ง และนั่นทำให้กิรณาลำบากใจไม่น้อยที่เพื่อนต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ในครอบครัว
ดูเหมือนทิวัตถ์จะรับรู้ได้ในสภาวะที่หญิงสาวข้างกายกำลังเผชิญ เพราะเขาไม่เซ้าซี้อีก เลือกที่จะเอื้อมมือมาเกาะกุมมือกิรณาอย่างเข้าใจ
กิรณารับรู้ได้เช่นกัน ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เพื่อน “ขอบคุณนะวัตที่เข้าใจเรา เฮ้อ...ว่าแล้วเราก็เสียดายวัตแทนน้องเมล์จัง อุตส่าห์เจอผู้ชายดีๆ อย่างวัตแล้วทั้งคน ไม่น่าเลิกกันเลย”
กิรณาพูดถึงอดีตสาวคนรักของเพื่อนขึ้นมาอย่างนึกเสียดายจริงๆ แล้วต้องถอนใจซ้ำเข้าโหมดปลงชีวิต “ชีวิตคนเราอะไรๆ ช่างไม่แน่นอนเลยจริงๆ วัตว่ามั้ย”
ได้ยินชื่อของหญิงสาวอีกคน ทิวัตถ์กลับคลายมือออกจากการเกาะกุม
“ว่าแต่วัตยังได้ติดต่อกับน้องเมล์บ้างรึเปล่า ถ้าได้ปรับความเข้าใจกันจริงจัง เรื่องอาจไม่จบลงแบบนี้ก็ได้นะ ไหนๆ ก็คบกันมาจนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
ทิวัตถ์เงียบไป ไม่พูดด้วยเหมือนเคย กิรณาเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนมีสีหน้าไม่สู้ดี คงเป็นเพราะเรื่องที่หล่อนกำลังพูดถึงเลยรู้สึกผิดจะเอ่ยขอโทษเพื่อน แต่แล้วจู่ๆ เพื่อนก็ขับรถเป๋ออกนอกเลนกะทันหัน ทำกิรณาตกใจร้องเสียงหลงออกมา !
“เกิดอะไรขึ้นน่ะวัต”
“เกาะดีๆ หว้า มันเกิดบ้าอะไรไม่รู้ ขับมาเบียดเรา”
“หา !?” กิรณาหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที รีบมองออกไปนอกหน้าต่างรถถึงเห็นว่ามีรถกระบะคันใหญ่สีดำกำลังพุ่งตัวมาด้วยความเร็วสูงเทียบเสมอรถทิวัตถ์ ‘มัน’ จงใจขับเบียดกินเลนถนนเข้ามา ร้อนถึงทิวัตถ์ต้องเบี่ยงรถหลบ วิ่งเป๋ไปทางซ้ายทีขวาที ยึกยือไม่ต่างจากงูเลื้อย เล่นเอาสาวที่นั่งมาข้างๆ ใจตกไปที่ตาตุ่ม ร้องบอกให้เพื่อนเหยียบเบรก
หากจังหวะนั้นกลับมีหญิงชราเดินงกๆ เงิ่นๆ ข้ามถนนตัดหน้ารถทิวัตถ์ !
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”
กิรณากรีดร้องสุดเสียง ขณะที่ทิวัตถ์สติกระเจิงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถหลบออกนอกเส้นทาง พุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าเต็มแรง !

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2560, 15:06:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2560, 15:06:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 806
<< บทที่ 4---35% | บทที่ 4---100% >> |