สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า
ตอน: บทที่ 7 : 30%
“เกาะพิทักษ์ สบาย สบาย ชาวเกาะ”
ปิ่นมณีทวนชื่อร้าน ขณะยืนนิ่งมองอยู่ด้านนอก ภาพร้านขายของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดพิมพ์ลายตัวหนังสือน่ารักๆ ตามชื่อเกาะ สารพัดของฝากอย่างหมวก สร้อยข้อมือถัก โมบายเปลือกหอย ผ้าปาเต๊ะ บาติกสีสวยละลานตา ผืนโชว์ปลิวไสวไล้ลมสวยงามจนหญิงสาวได้แต่มองค้างเผลออุทานออกมา
“น่ารักจัง ร้านบนเกาะน่ารักขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“ใช่... แล้วคุณชอบไหม”
“โอ๊ย! คุณ ฉันตกใจหมดเลยค่ะ” หล่อนถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงชายหนุ่มดังข้างหู “ฉันกำลังดูน้ำหอมอยู่ แกวิ่งเข้าไปด้านในแล้วค่ะ”
ทักษ์ยิ้มกริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อก้าวมายืนเคียงข้าง มองลูกสาวตัวน้อยวิ่งปุเลงๆ เข้าไปในโฮมสเตย์อีกหลังไม่ไกล ปิ่นมณีมองตามไม่ละสายตาและยิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นสายตาแสดงความสงสัยเปิดเผยของชาวบ้านที่มีอยู่ไม่กี่หลังเรียงกันเป็นแนวเดียว
“ทำไมทุกบ้านนามสกุลเดียวกันหมดเลยคะ” หล่อนเงยหน้ามองแล้วหรี่ตาเมื่อดวงหน้าคมก้มมาพอดีกับแสงตะวันโผล่จากด้านหลัง
แสงตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมเขาช่างส่องได้จังหวะจนหล่อนมองเห็นแต่ดวงหน้าคมเข้มไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ หล่อนเห็นเขามองด้วยสายตาประหลาด และมันทำให้หล่อนสะบัดร้อนสะบัดหนาวแปลกๆ
“ที่คุณถามเรื่องนามสกุลก็เพราะคนที่นี่อยู่กันเป็นครอบครัวครับ มีโฮมสเตย์ไม่กี่หลัง แต่ละหลังก็จะเป็นเครือญาติกันหมด และพวกเขามีการจัดการกับแขกที่มาพักโฮมสเตย์อย่างเรียบง่าย”
“ฉันว่าฉันน่าจะชอบที่นี่แล้วสิคะ”
“เพิ่งมาเหยียบเกาะได้ไม่กี่นาทีเองนะคุณ” ทักษ์เอียงคอล้อเลียน
“ก็มันดูเงียบสงบ ดูเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งและฉันชอบที่คนไม่พลุกพล่านด้วยสิคะ”
ทักษ์ถึงกับหัวเราะแล้วไขข้อข้องใจให้
“คุณไม่รู้อะไร ที่นี่คนจะเยอะช่วงวันหยุด เห็นที่นั่นไหม” ชายหนุ่มชี้มือไป ปิ่นมณีพยักหน้ารับ “ตรงลานโล่งที่เราขึ้นเรือมานั่นวันหยุดคนจะนอนเต็มพื้นที่หมดเลย”
ปิ่นมณีถึงกับตาโตถามย้ำ “แล้วแบบนี้คนก็เต็มเกาะเลยสิคะ บ้านตั้งหลายหลังแน่ะ”
“ก็ใช่สิครับ” ไม่ทันพูดจบชายหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อมือป้อมๆ จู่โจมโอบรอบเอว น้ำหอมเอียงคอยื่นหน้ามามองคุณพ่อนักเล่านิทานแล้วหัวเราะคิกคัก
“คุณพ่อขา เซเว่นช้างปิดน้าดลกับพี่เพรียวไม่อยู่ไปกรุงแทพกลับพรุ่งนี้ แต่ย่าทวดรอคุณพ่ออยู่ด้านในค่ะ”
“งั้นไปหาย่าทวดกัน”
ทักษ์พยักหน้าให้หญิงสาวเดินตามเข้าไปโดยมีน้ำหอมนำลี่วเข้าไปก่อน เพียงแค่เห็นหน้าหญิงชราสวมเสื้อบาติกคอกระเช้ากับผ้าถุงลายปาเต๊ะก็ลุกขึ้นยืนรับกอดจากชายหนุ่ม
“ปีนี้มาเร็วนะลูกเอ๊ย” ย่าศรีลูบผมชายหนุ่มก่อนจะผละมองหญิงสาว “แล้วนี่...”
“เพื่อนผมครับย่า” ทักษ์ผายมือเรียกหล่อนให้เข้ามาแนะนำ “คุณปิ่น เป็นครูของน้ำหอม”
ย่าศรีมองหญิงสาวที่ยกมือไหว้นอบน้อมแล้วขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันหาชายหนุ่ม
“เหมือนจริงๆ ... เหมือนหนูสามาก”
ปิ่นมณีถึงกับยิ้มค้างเมื่อถูกทักว่าเหมือนใครบางคนที่คงไม่ต้องเดา เพราะหล่อนเห็นสายตาหญิงชรามองจ้องคล้ายจะให้ทะลุปรุโปร่งลงไปจนเห็นเนื้อในหล่อนแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย
“แล้วไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้ หรือว่าครูเป็นแฟนใหม่พ่อทักษ์”
ทักษ์ถึงกับสำลักน้ำลาย ยิ่งเห็นหน้าปิ่นมณีเหยเกแล้วก็ได้แต่ขำในใจ เขานึกแล้วว่ามาที่นี่จะต้องเจอเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับย่าศรีที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของย่าสาวที่เป็นย่าแท้ๆ ของเขา และย่าศรีที่เหลือตัวคนเดียวหลังจากสามีและลูกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุก็หมายมั่นปั้นมืออยากมีหลานสะใภ้มานานนม
“ไม่ใช่ค่ะ คุณย่า” ปิ่นมณีตอบซะเองเพราะทักษ์เอาแต่ขำ “หนูแค่อาศัยรถคุณทักษ์มาแค่นั้นเองค่ะ”
“เอ๊า!” ย่าศรีหัวเราะจนเห็นฟันล่างหลอแล้วตบแขนหลานชายฉาดใหญ่แก้เก้อ “บ่าวนิ หลอกย่า ไหนว่า...”
ทักษ์หัวเราะร่วนกอดเอวย่า ส่วนน้ำหอมหลานน้อยก็ซุกตัวกับเอวกลมอีกข้างของย่าศรี ดูเหมือนหญิงชราจะอึดอัดแต่สีหน้ากลับเปี่ยมสุขจนปิดไม่มิด
ครู่ใหญ่ทั้งหมดก็มานั่งล้อมวงรวมกันตรงลานบ้านที่เป็นไม้พาดเห็นเสาปูนที่เอาไว้เลี้ยงสารพัดหอยไว้ด้านล่าง บนพื้นปูสาดจูด ลายก้านแย่งมีอาหารจานใหญ่วางล้อมหลายอย่าง ทั้งใบเหลียงผัดไข่ ปูม้านึ่งพร้อมน้ำจิ้ม แกงส้มรวมมิตร กะพงผัดฉ่าและไข่เจียวปู กับข้าวสวยร้อนโถใหญ่
น้ำหอมนั่งขัดสมาธิก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมของไข่เจียวปูจานใหญ่ แล้วเงยหน้าฉีกยิ้มให้ครูสาวก่อนที่มือป้อมๆ จะเกาะแขนเรียวของหล่อนไว้แล้วประจบ
“ครูขา... ครูชอบจานไหน น้ำหอมชอบไข่เจียวปูฝีมือย่าทวด”
“ครูเหรอ” หล่อนจ้องอาหารหลากชนิดแล้วได้แต่ตาโต “น่าจะปูนึ่งจ้ะ”
“ส่วนผมชอบทุกอย่างที่เป็นฝีมือย่า”
ทักษ์กระซิบแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหญิงสาวยังอึ้งกับอาหารจานใหญ่ราวกับสิบคนกิน
ชายหนุ่มตักข้าวเสร็จ หยิบปูแกะให้น้ำหอมก่อนหนึ่งตัวแล้วแกะให้หญิงสาวอีกหนึ่ง ส่วนย่าศรีนั่งมองหลานเหลนแล้วยิ้มน้อยอยิ้มใหญ่จนปิ่นมณีเกิดอาการเกร็งเมื่อทักษ์บริการหล่อนจนเต็มจาน
“พอแล้วคุณ” หล่อนส่ายหน้าดิกเผลอสบตาย่าศรีที่มองลุ้นอยู่ในทีแล้วต้องหลบตา “ฉันกินไม่ทันแล้ว”
“กินเถอะน่า ปูสดๆ มีที่นี่ที่เดียวนะ เอาไว้คืนนี้จะพาไปไดหมึกเผื่อพรุ่งนี้จะได้กินหมึกสดๆ กัน”
“ไม่เอาๆๆ” น้ำหอมชะงักวางช้อนเสียงดัง แล้วส่ายหน้าหวือน้ำตาคลอ
“เป็นอะไรจ๊ะน้ำหอม” ปิ่นมณีถึงกับตกใจมองเด็กน้อยกับพ่อสลับไปมา “แกอาการกำเริบอีกแล้วเหรอคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ แกไม่ชอบให้ผมไปไดหมึก” ทักษ์กระซิบ “แกบอกว่ามันบาปพอผมไปทีไรแกจะร้องไห้งอแงทั้งคืน”
“แล้วคุณยังจะไปเหรอ ในเมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบ”
“มันคือวิถีชีวิตชาวเล สักวันแกจะต้องเข้าใจ” ทักษ์พรูลมหายใจหนักหน่วง
ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกสาวตัวน้อยอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้แค่ไหน แต่เขาเป็นลูกหลานชาวเล วิถีประมงคืออาชีพหล่อเลี้ยงชีวิต และวนเวียนอยู่ในสายเลือด
“แต่ว่าแกจะเสียใจ ฉันไม่อยาก...” หล่อนพูดไม่ทันจบ ย่าศรีก็เอ่ยขัด
“ไม่มีอะไรหรอกหนู น้ำหอมยังเด็กนักอีกหน่อยแกจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นเอง”
มือหยาบเหี่ยวย่นลูบผมนุ่มดกดำด้วยความเอ็นดู ก่อนจะมองสองหนุ่มสาวที่สีหน้าเครียดไปเช่นกัน แล้วผู้อาวุโสสุดก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“แล้วรอบนี้พ่อทักษ์กะจะมากี่วัน”
“ผมว่าสักสี่ห้าวันครับย่า ว่าจะไปดูสวนสักหน่อย พอดีรอบนี้ได้พักร้อนรวมแล้วก็หยุดเป็นเดือนครับ”
ย่าศรีพยักหน้าก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่นิ่งฟังอยู่แล้วหันมาทางหลานชายพร้อมคำถามที่ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปรับแก้แล้วก็กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อ ค่อยลงสลับกับอีกเรื่องนึงนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
ปิ่นมณีทวนชื่อร้าน ขณะยืนนิ่งมองอยู่ด้านนอก ภาพร้านขายของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดพิมพ์ลายตัวหนังสือน่ารักๆ ตามชื่อเกาะ สารพัดของฝากอย่างหมวก สร้อยข้อมือถัก โมบายเปลือกหอย ผ้าปาเต๊ะ บาติกสีสวยละลานตา ผืนโชว์ปลิวไสวไล้ลมสวยงามจนหญิงสาวได้แต่มองค้างเผลออุทานออกมา
“น่ารักจัง ร้านบนเกาะน่ารักขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“ใช่... แล้วคุณชอบไหม”
“โอ๊ย! คุณ ฉันตกใจหมดเลยค่ะ” หล่อนถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงชายหนุ่มดังข้างหู “ฉันกำลังดูน้ำหอมอยู่ แกวิ่งเข้าไปด้านในแล้วค่ะ”
ทักษ์ยิ้มกริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อก้าวมายืนเคียงข้าง มองลูกสาวตัวน้อยวิ่งปุเลงๆ เข้าไปในโฮมสเตย์อีกหลังไม่ไกล ปิ่นมณีมองตามไม่ละสายตาและยิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นสายตาแสดงความสงสัยเปิดเผยของชาวบ้านที่มีอยู่ไม่กี่หลังเรียงกันเป็นแนวเดียว
“ทำไมทุกบ้านนามสกุลเดียวกันหมดเลยคะ” หล่อนเงยหน้ามองแล้วหรี่ตาเมื่อดวงหน้าคมก้มมาพอดีกับแสงตะวันโผล่จากด้านหลัง
แสงตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมเขาช่างส่องได้จังหวะจนหล่อนมองเห็นแต่ดวงหน้าคมเข้มไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ หล่อนเห็นเขามองด้วยสายตาประหลาด และมันทำให้หล่อนสะบัดร้อนสะบัดหนาวแปลกๆ
“ที่คุณถามเรื่องนามสกุลก็เพราะคนที่นี่อยู่กันเป็นครอบครัวครับ มีโฮมสเตย์ไม่กี่หลัง แต่ละหลังก็จะเป็นเครือญาติกันหมด และพวกเขามีการจัดการกับแขกที่มาพักโฮมสเตย์อย่างเรียบง่าย”
“ฉันว่าฉันน่าจะชอบที่นี่แล้วสิคะ”
“เพิ่งมาเหยียบเกาะได้ไม่กี่นาทีเองนะคุณ” ทักษ์เอียงคอล้อเลียน
“ก็มันดูเงียบสงบ ดูเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งและฉันชอบที่คนไม่พลุกพล่านด้วยสิคะ”
ทักษ์ถึงกับหัวเราะแล้วไขข้อข้องใจให้
“คุณไม่รู้อะไร ที่นี่คนจะเยอะช่วงวันหยุด เห็นที่นั่นไหม” ชายหนุ่มชี้มือไป ปิ่นมณีพยักหน้ารับ “ตรงลานโล่งที่เราขึ้นเรือมานั่นวันหยุดคนจะนอนเต็มพื้นที่หมดเลย”
ปิ่นมณีถึงกับตาโตถามย้ำ “แล้วแบบนี้คนก็เต็มเกาะเลยสิคะ บ้านตั้งหลายหลังแน่ะ”
“ก็ใช่สิครับ” ไม่ทันพูดจบชายหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อมือป้อมๆ จู่โจมโอบรอบเอว น้ำหอมเอียงคอยื่นหน้ามามองคุณพ่อนักเล่านิทานแล้วหัวเราะคิกคัก
“คุณพ่อขา เซเว่นช้างปิดน้าดลกับพี่เพรียวไม่อยู่ไปกรุงแทพกลับพรุ่งนี้ แต่ย่าทวดรอคุณพ่ออยู่ด้านในค่ะ”
“งั้นไปหาย่าทวดกัน”
ทักษ์พยักหน้าให้หญิงสาวเดินตามเข้าไปโดยมีน้ำหอมนำลี่วเข้าไปก่อน เพียงแค่เห็นหน้าหญิงชราสวมเสื้อบาติกคอกระเช้ากับผ้าถุงลายปาเต๊ะก็ลุกขึ้นยืนรับกอดจากชายหนุ่ม
“ปีนี้มาเร็วนะลูกเอ๊ย” ย่าศรีลูบผมชายหนุ่มก่อนจะผละมองหญิงสาว “แล้วนี่...”
“เพื่อนผมครับย่า” ทักษ์ผายมือเรียกหล่อนให้เข้ามาแนะนำ “คุณปิ่น เป็นครูของน้ำหอม”
ย่าศรีมองหญิงสาวที่ยกมือไหว้นอบน้อมแล้วขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันหาชายหนุ่ม
“เหมือนจริงๆ ... เหมือนหนูสามาก”
ปิ่นมณีถึงกับยิ้มค้างเมื่อถูกทักว่าเหมือนใครบางคนที่คงไม่ต้องเดา เพราะหล่อนเห็นสายตาหญิงชรามองจ้องคล้ายจะให้ทะลุปรุโปร่งลงไปจนเห็นเนื้อในหล่อนแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย
“แล้วไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้ หรือว่าครูเป็นแฟนใหม่พ่อทักษ์”
ทักษ์ถึงกับสำลักน้ำลาย ยิ่งเห็นหน้าปิ่นมณีเหยเกแล้วก็ได้แต่ขำในใจ เขานึกแล้วว่ามาที่นี่จะต้องเจอเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับย่าศรีที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของย่าสาวที่เป็นย่าแท้ๆ ของเขา และย่าศรีที่เหลือตัวคนเดียวหลังจากสามีและลูกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุก็หมายมั่นปั้นมืออยากมีหลานสะใภ้มานานนม
“ไม่ใช่ค่ะ คุณย่า” ปิ่นมณีตอบซะเองเพราะทักษ์เอาแต่ขำ “หนูแค่อาศัยรถคุณทักษ์มาแค่นั้นเองค่ะ”
“เอ๊า!” ย่าศรีหัวเราะจนเห็นฟันล่างหลอแล้วตบแขนหลานชายฉาดใหญ่แก้เก้อ “บ่าวนิ หลอกย่า ไหนว่า...”
ทักษ์หัวเราะร่วนกอดเอวย่า ส่วนน้ำหอมหลานน้อยก็ซุกตัวกับเอวกลมอีกข้างของย่าศรี ดูเหมือนหญิงชราจะอึดอัดแต่สีหน้ากลับเปี่ยมสุขจนปิดไม่มิด
ครู่ใหญ่ทั้งหมดก็มานั่งล้อมวงรวมกันตรงลานบ้านที่เป็นไม้พาดเห็นเสาปูนที่เอาไว้เลี้ยงสารพัดหอยไว้ด้านล่าง บนพื้นปูสาดจูด ลายก้านแย่งมีอาหารจานใหญ่วางล้อมหลายอย่าง ทั้งใบเหลียงผัดไข่ ปูม้านึ่งพร้อมน้ำจิ้ม แกงส้มรวมมิตร กะพงผัดฉ่าและไข่เจียวปู กับข้าวสวยร้อนโถใหญ่
น้ำหอมนั่งขัดสมาธิก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมของไข่เจียวปูจานใหญ่ แล้วเงยหน้าฉีกยิ้มให้ครูสาวก่อนที่มือป้อมๆ จะเกาะแขนเรียวของหล่อนไว้แล้วประจบ
“ครูขา... ครูชอบจานไหน น้ำหอมชอบไข่เจียวปูฝีมือย่าทวด”
“ครูเหรอ” หล่อนจ้องอาหารหลากชนิดแล้วได้แต่ตาโต “น่าจะปูนึ่งจ้ะ”
“ส่วนผมชอบทุกอย่างที่เป็นฝีมือย่า”
ทักษ์กระซิบแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหญิงสาวยังอึ้งกับอาหารจานใหญ่ราวกับสิบคนกิน
ชายหนุ่มตักข้าวเสร็จ หยิบปูแกะให้น้ำหอมก่อนหนึ่งตัวแล้วแกะให้หญิงสาวอีกหนึ่ง ส่วนย่าศรีนั่งมองหลานเหลนแล้วยิ้มน้อยอยิ้มใหญ่จนปิ่นมณีเกิดอาการเกร็งเมื่อทักษ์บริการหล่อนจนเต็มจาน
“พอแล้วคุณ” หล่อนส่ายหน้าดิกเผลอสบตาย่าศรีที่มองลุ้นอยู่ในทีแล้วต้องหลบตา “ฉันกินไม่ทันแล้ว”
“กินเถอะน่า ปูสดๆ มีที่นี่ที่เดียวนะ เอาไว้คืนนี้จะพาไปไดหมึกเผื่อพรุ่งนี้จะได้กินหมึกสดๆ กัน”
“ไม่เอาๆๆ” น้ำหอมชะงักวางช้อนเสียงดัง แล้วส่ายหน้าหวือน้ำตาคลอ
“เป็นอะไรจ๊ะน้ำหอม” ปิ่นมณีถึงกับตกใจมองเด็กน้อยกับพ่อสลับไปมา “แกอาการกำเริบอีกแล้วเหรอคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ แกไม่ชอบให้ผมไปไดหมึก” ทักษ์กระซิบ “แกบอกว่ามันบาปพอผมไปทีไรแกจะร้องไห้งอแงทั้งคืน”
“แล้วคุณยังจะไปเหรอ ในเมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบ”
“มันคือวิถีชีวิตชาวเล สักวันแกจะต้องเข้าใจ” ทักษ์พรูลมหายใจหนักหน่วง
ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกสาวตัวน้อยอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้แค่ไหน แต่เขาเป็นลูกหลานชาวเล วิถีประมงคืออาชีพหล่อเลี้ยงชีวิต และวนเวียนอยู่ในสายเลือด
“แต่ว่าแกจะเสียใจ ฉันไม่อยาก...” หล่อนพูดไม่ทันจบ ย่าศรีก็เอ่ยขัด
“ไม่มีอะไรหรอกหนู น้ำหอมยังเด็กนักอีกหน่อยแกจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นเอง”
มือหยาบเหี่ยวย่นลูบผมนุ่มดกดำด้วยความเอ็นดู ก่อนจะมองสองหนุ่มสาวที่สีหน้าเครียดไปเช่นกัน แล้วผู้อาวุโสสุดก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“แล้วรอบนี้พ่อทักษ์กะจะมากี่วัน”
“ผมว่าสักสี่ห้าวันครับย่า ว่าจะไปดูสวนสักหน่อย พอดีรอบนี้ได้พักร้อนรวมแล้วก็หยุดเป็นเดือนครับ”
ย่าศรีพยักหน้าก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่นิ่งฟังอยู่แล้วหันมาทางหลานชายพร้อมคำถามที่ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปรับแก้แล้วก็กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อ ค่อยลงสลับกับอีกเรื่องนึงนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2560, 17:25:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2560, 17:25:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1205
<< บทที่ 6/3 หนีรักไปพักร้อน |
lovereason2 1 ก.ค. 2560, 14:02:10 น.
คุณReddy - ชอบเหมือนกันเลยค่า ^^
คุณReddy - ชอบเหมือนกันเลยค่า ^^