เจ้าชายในฝัน
เจ้าชายคนรองแห่งอียิปต์ต้องปลอมตัวออกตามหา กาฬศิลา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ทว่า ใครจะรู้เล่า ระหว่างการเดินทางนั้น หัวใจของพระองค์ก็ถูกพิสูจน์ด้วยเช่นกัน
Tags: อียิปต์ ฟาโรห์ ย้อนยุค ทะเลทราย เจ้าชาย

ตอน: ตอนที่ 1

ดวงดาวดารดาษดูราวโคมทองระยิบระยับประดับทั่วผืนฟ้าเหนือทะเลทรายอันกว้างใหญ่ซึ่งได้อาบแสงดาวเพียงเลือนลาง ความมืดยังครอบคลุมอยู่ทั่วบริเวณ และยามนี้คงมีเพียงชายหนุ่มสองคนที่ยังตื่นอยู่หน้ากองไฟกองน้อยราวกับจะไม่ยี่หระต่อความมืดดำที่อาบคลุมอยู่รอบตัว

“แน่ใจรึว่าจะไม่หลุด”

เจ้าชายเซติผู้ซึ่งควรจะพักผ่อนอย่างอบอุ่นและเป็นสุขในราชวังอันหรูหรา กลับมานั่งตากไออุ่นจากกองฟืน ปล่อยให้เปลวไฟสีส้มเข้มระริกอาบไล้พระพักต์คมคร้าม พระเนตรคมจับอยู่ที่ของในมือคู่สนทนา ซึ่งก็คือแผ่นหนังยาวเรียวขนาดราวหนึ่งนิ้วมือ ลักษณะขรุขระจนเห็นชัดแม้ในแสงไฟสลัวลาง สีของมันนั้นไม่ต่างจากเนื้อมนุษย์

“แน่สิพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็เคยใช้ ฝ่าบาทจำไม่ได้รึพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้ตอบเป็นชายหนุ่มนาม เฮรเซฟ อายุราวต้นยี่สิบไล่เลี่ยกับองค์ชายผู้ตรัสถาม ตอบพลางใช้แท่งไม้ขนาดเล็กจุ่มกวนของเหลวในขวดดินเผาที่วางอยู่ข้างหน้า ใบหน้าซีกหนึ่งบริเวณใต้ตาของชายหนุ่มเองก็ถูกปกคลุมด้วยหนังปลอมเช่นกัน แต่ของเขานั้นเป็นแบบที่ทาด้วยสีคล้ำให้เป็นเหมือนปานดำอันใหญ่ เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ บัดนี้มันก็ดูเหมือนเป็นเพียงเงาดำของยามราตรี ทว่าหากเป็นยามกลางวันเล่า มันคงสร้างรอยตำหนิได้ไม่น้อยเลย

และอีกไม่กี่อึดใจ แผ่นหนังปลอมที่ดูเหมือนแผลเป็นนูนบนมือชายหนุ่ม ก็จะถูกนำมาประทับไว้เป็นรอยตำหนิบนพักต์ของเจ้าชายเซติ

“น้ำยางนี้ หม่อมฉันเคี่ยวเองกับมือ ไม่ผิดเพี้ยนจากตำราเดิมแม้นิดเดียว รับรองว่าจะไม่หลุดก่อนเวลาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เฮรเซฟกล่าวพลางเอาของเหลวสีใสเหนียวหนึบออกจากขวดดินเผาขนาดเล็กทาลงไปด้านหนึ่งของ ‘หนังปลอม’ ในมือ นักรบหนุ่มที่เป็นทั้งนายทหารคู่พระทัยและสหายที่สนิทผู้นี้ร่วมรบกับเจ้าชายเซติมาทั่วทิศทั่วแดน และมักจะได้เรียนรู้ ‘ของแปลก ๆ’ มาจากดินแดนห่างไกลที่ได้ไปถึงเสมอ ...รวมถึงแผ่นหนังปลอมที่เหมือนจริงจนน่าขนลุก และยางไม้ผสมคุณสมบัติพิเศษนี้ด้วย

“และถ้าจะทำให้หลุดก่อนเวลาก็มีทางเดียวคือต้องดึงออก ซึ่ง อาจจะ อืม ทำให้เจ็บ สักหน่อย พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายเซติทรงสรวล

“สักหน่อย งั้นรึ”

“มา ฝ่าบาท”

เฮรเซฟยื่นแผ่นหนังปลอมมาใกล้ เจ้าชายทรงผงะ

“ข้าใส่เอง”

คนสนิทอมยิ้มก่อนส่งให้ตามบัญชา มองเจ้าชายเซติที่ค่อยๆ บรรจงวางแผ่นหนังป้ายยางไม้เหนียวลงบนพระพักต์ด้านขวา แล้วพระพักต์ก็ปรากฏสิ่งคล้ายแผลเป็นพาดจากข้างพระนาสิกไปเกือบจรดแนวสันกราม พระพักต์คมเข้มที่เคยน่ามองในยามนี้กลับดูเหมือนภาพเขียนอันวิจิตรที่มีรอยสีส่วนเกินพาดผ่านอย่างน่ารำคาญตา

“ทรงแน่พระทัยแล้วหรือ พ่ะย่ะค่ะ”

นายทหารหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล

“เหตุใดจึงถามเช่นนี้” เจ้าชายตรัสติดจะขุ่นพระทัย

“พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้”

“เจ้าอยู่กับข้ามากี่ปีแล้ว เฮรเซฟ ...สิ่งใดที่ข้าตัดสินใจไปแล้วข้าไม่เคยลังเล เจ้าก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของอียิปต์”

คนสนิทยังถอนหายใจ “แต่หากถูกจับได้ หรือถูกปองร้าย...”

“ข้าก็จะสู้” ทรงสวนทันควัน “ข้าเกิดมาเพื่อสู้ เพื่อพิทักษ์ เป็นฐานใต้บัลลังก์ เป็นกริชแห่งอียิปต์ แผ่นดินเป็นของพ่อข้า บัลลังก์เป็นของพี่ข้า จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ และข้าก็ขอรักษาไว้ด้วยชีวิต”

เฮรเซฟมองสบพระเนตรและมองเห็นแต่ความเด็ดเดี่ยวในแววตานั้น ที่สุดก็ก้มหน้าราวยอมจำนน

“เจ้าเล่า ติดตามข้าอยู่เช่นนี้แน่ใจแล้วหรือ”

คำถามนั้นของเจ้าชายทำให้คนสนิทมองพระองค์กลับด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง

“หากทรงมั่นพระทัยแล้ว หม่อมฉันก็พร้อมรับใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าเชื่อเจ้า” เจ้าชายเซติทรงตบไหล่นายทหารหนุ่มพร้อมกับแย้มสรวลก่อนเงยหน้ามองฟ้า แล้วเอ่ย “ถึงเวลาแล้ว ไปเถิด”

“รับด้วยเกล้า”

เฮรเซฟกล่าวพลางก้มลงเก็บข้าวของอันน้อยนิดใส่ถุงย่ามสีมอซอ เสร็จแล้วจึงค้อมศีรษะถวายบังคม

“เจอกันที่เนเคน”

ผู้เป็นนายตรัสน้ำพระเสียงราบเรียบ คนสนิทเพียงพยักหน้ารับ และลุกเดินจากไป ทุกสิ่งรอบข้างพลันเงียบลง ราวกับที่แห่งนั้นมีแต่ความว่างเปล่า

เจ้าชายเซติทรงเอนกายลงนอนกับพื้นทราย เพ่งมองดวงดาวที่ยังส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท

อีกไม่นาน พระองค์ก็ต้องออกเดินทางเช่นกัน



เหตุที่ต้องออกเดินทาง...

เจ้าชายเซติหวนคิดถึงวันซึ่งพระองค์ได้นำทัพกลับวาเสตพร้อมชัยชนะเหนือดินแดนในแถบเส้นทางฮอรัสอันเป็นเส้นทางการค้าสู่ตะวันออกไกลของอียิปต์ ซึ่งพระองค์ได้นำสิ่งนั้นกลับมาด้วย

... กาฬศิลา

มันคือสิ่งประหลาดทว่าสูงค่า มีขนาดพอๆ กับเด็กน้อยวัยเพิ่งพ้นขวบ หนักอย่างหินแต่ไม่มากเกินบุรุษหนึ่งคนจะยกได้ จะเป็นหินก็ไม่ใช่ ศิลามณีก็ไม่เชิง พื้นผิวสีดำของมันแม้มิส่งประกายอย่างมณีแต่มันเงาราวขนนกเป็ดน้ำ สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือลายประหลาดสีทองที่พาดตวัดผสมอยู่ในเนื้อศิลา ลวดลายนั้นไม่ต่างกับอักขระศักด์สิทธิ์ที่อ่านว่า อังค์ ...ชีวิต

‘มันมีพลังรักษาชีวิตได้ พ่ะย่ะค่ะ’

ผู้ที่มอบให้พระองค์คือเจ้าเมืองแถบเคนานผู้มาสวามิภักดิ์ อันที่จริงก็ทรงเคยได้ยินเรื่องของมันมาช้านาน บางคนประเมินค่ามันไว้เทียบเท่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเจ้าธอทซึ่งไม่มีใครเคยค้นพบ

แน่นอนว่าข่าวการนำกาฬศิลากลับมาด้วยในครั้งนั้น เป็นที่รอคอยอย่างยิ่งในวาเสต ที่ซึ่งทุกคนคาดหวังจะนำพลังของมันมารักษาฟาโรห์เมรเรนฮอร์ซีซิสผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต้องเผชิญกับอาการปวดพระเศียรเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งดูจะทวีความรุนแรงตามพระชนม์ที่มากขึ้น

‘ควรนำกาฬศิลาไปอาบไอศักดิ์สิทธิ์ที่วิหารเทพฮอรัสแห่งเนเคน เพื่อเชื่อมพลังปฐพีเข้ากับฟาโรห์’

เพราะ ฟาโรห์ คือเทพฮอรัสในภาคมนุษย์ และ ศิลา คือสิ่งที่ถือกำเนิดจากแผ่นดิน ไม่มีใครค้านความเห็นนี้ของ คา-เอเพอร์ นักบวชสูงสุดแห่งอิเพต-อิซูต เป็นเหตุให้ถึงวาเสตได้เพียงสองวัน กาฬศิลา ก็ถูกนำไปยังเนเคนอย่างแทบจะเป็นความลับด้วยความสูงค่าของมัน

ทว่า ใครจะรู้เล่า ว่าคืนแรกในเนเคน จะเป็นคืนสุดท้ายที่มีคนรู้เห็นที่อยู่ของมันอย่างแท้จริง

กาฬศิลาที่หายไปอย่างเป็นปริศนา นำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างคาดไม่ถึงที่วาเสต

การหาผู้รับผิดชอบแตกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือวิเซียร์แห่งอียิปต์บนและโนมารค์แห่งเนเคน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าชายเมรเรนเร องค์รัชทายาท และอีกฝั่งหนึ่งคือทหารและเมดจายผู้ดูแลศิลา ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าชายเซติ การทุ่มเถียงนำมาสู่ความหวาดระแวง และอาจนำเข้าสู่ความแตกแยกระหว่างอาณาจักรและกองทัพ ...ระหว่างพระเชษฐาและพระอนุชา เจ้าชายทั้งสองผู้เป็นอนาคตแห่งอียิปต์

เจ้าชายเซติรู้ดีว่า สุดท้ายแล้ว พระองค์นั่นเองที่ควรถูกเพ่งเล็งเป็นรายแรก แม้จะไม่มีใครตอบได้ว่าหากพระองค์จะขโมยกาฬศิลาแล้ว เหตุใดจึงต้องนำมันมาตั้งแต่แรก เพราะอย่างไร เจ้าชายเมรเรนเร พระเชษฐา ทรงเป็นองค์รัชทายาทแห่งบัลลังก์ทอง ก็มีเหตุจูงใจน้อยกว่าที่จะกระทำการเช่นนั้น เจ้าชายเซติ เจ้าชายองค์รองผู้เป็นจอมทัพแห่งอียิปต์ต่างหากที่ควรถูกมองว่า ‘อันตรายต่อบัลลังก์’ ที่สุด

...ก็ไม่ผิด...

ทรงบอกองค์เอง ไม่ผิดเลยที่ใครต่อใครจะคิดเช่นนั้น เจ้าชายเมรเรนเรแม้เชี่ยวชาญด้านการปกครองและการทำนุบำรุงเมือง กลับทรงปล่อยกองทัพแห่งอียิปต์ไว้ให้อยู่ภายใต้หัตถ์แห่งพระอนุชาเสียจนสิ้น ไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนี้ดอก เพราะจอมทัพ ควรเป็นกษัตริย์ เท่านั้น

อันที่จริง กาฬศิลานั้น ยังไม่มีใครรู้ชัดด้วยซ้ำว่ามันศักดิ์สิทธิ์และทรงฤทธิ์เพียงใด ทว่า ทันทีที่มันหายไป มันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภักดีไปเสียแล้ว

ก่อนความขัดแย้งจะถึงจุดที่ยากกลับคืน เจ้าชายเซติคิดว่าพระองค์เองนั่นแลที่ควร ‘ทำอะไร’ สักอย่าง และอะไรสักอย่างนั้น ก็ทำให้พระองค์ได้มานอนดูดาวอยู่ริมขอบทะเลทรายอย่างในตอนนี้นั่นเอง

ทรงกราบทูลเสด็จพ่อและพระเชษฐาว่าเพื่อไม่ให้เกิดความหวาดระแวง พระองค์จะไม่ขอใช้อำนาจใด ๆ ในการหาความจริงต่อการหายไปของกาฬศิลา แต่จะขอออกมาตามหาความจริงด้วยตัวเองอย่างคนเร่ร่อนไร้อำนาจคนหนึ่ง

ในขณะที่พระเชษฐาอุทานว่าพระองค์ไม่ต้องทำถึงเพียงนั้น แต่ผู้เป็นพระบิดากลับเห็นด้วย แล้วฟาโรห์ก็ทรงประกาศจะเดินทางไปยังเมนเนเฟอร์ โดยให้เหตุผลว่าพระองค์ต้องการไปรักษาตัวชั่วคราวที่นั่น และออกคำสั่ง ‘ถอด’ เจ้าชายเซติออกจากผู้มีอำนาจสืบสวนทั้งต้องติดตามพระบิดาไปด้วยในฐานะเกือบจะเป็นนักโทษกลาย ๆ ก่อนจะให้เจ้าชายและคนสนิทแยกออกมาที่เมืองอับด์จูเพื่อลักลอบเดินทางไปยังเนเคนโดยมีผู้รู้เห็นเพียงพระมาราดา องค์รัชทายาท เจ้าหญิงเมริตนีธ พระขนิษฐา และคนสนิทอีกไม่กี่คนเท่านั้น

ฟาโรห์เมรเรนฮอร์ซีซิสทรงทำเช่นนี้หรือมิใช่เพราะไว้ใจโอรสองค์รองยิ่งนัก แม้หลายคนสงสัยเคลือบแคลง แต่หากฟาโรห์ทรงรู้สึกเช่นนั้น ที่ไหนเลยจะปล่อยนกจากกรง ปล่อยปลาลงน้ำ

เจ้าชายเซติทรงลูบแผ่นหนังขรุขระบนพระพักต์เบา ๆ ยังไม่ชินนักกับความรู้สึกว่ามีอะไรมาแปะติดอยู่บนใบหน้า แต่สักพักก็คงคุ้นเคยกระมัง

ทรงลุกขึ้นมาเขี่ยไม้ในกองฟืนที่กำลังปะทุเบาๆ ก่อนมองเลยไปยังขอบฟ้าด้านบูรพาทิศที่บัดนี้เริ่มเห็นแสงแห่งองค์สุริยเทพอยู่รำไรไกลออกไป เจ้าชายจึงเก็บข้าวของไม่กี่ชิ้นใส่ห่อผ้า มัดไว้ให้แน่นหนา และ เมื่อแสงทองจับขอบฟ้าไกล ก็ทรงเริ่มอธิษฐาน

...อา เคปรีผู้นำแสงสว่างมาสู่แผ่นดินและผืนน้ำ ขอพระองค์จงอวยพรให้วันของข้า สว่างเจิดจ้าราวอรุณรุ่ง...

เจ้าชายทรงก้มพระเศียรจรดพื้นทรายถวายบังคมแด่เรือสุริยเทพ ก่อนกอบทรายขึ้นกลบดับไฟกองน้อย ก่อนลุกขึ้น หันกลับไปมองทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่อันเป็นดินแดนแห่งเทพเซธ เทพผู้ให้กำเนิดนามของพระองค์ ...เซติ บุรุษแห่งเซธ

พลันลมหอบหนึ่งก็พัดมาคล้ายบอกลาพระองค์ เจ้าชายทรงกุมห่อผ้าในพระหัตถ์มั่นก่อนหันหลังให้ผืนทรายและมุ่งหน้าสู่ริมแม่น้ำ



เทพผู้มีวิหารใหญ่อยู่ในเมืองอับด์จูคือ เทพโอซิริส ผู้พิพากษาชีวิตหลังความตายและบันดาลความสมบูรณ์แก่แผ่นดิน เทพผู้เป็นดั่งเทพบิดรแห่งฟาโรห์ทุกพระองค์ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่าเรือหลักของเมืองนี้จึงคึกคักไม่แพ้เมืองใหญ่อื่น ๆ

พื้นที่ว่างริมฝั่งน้ำซึ่งเว้นไว้เผื่อการเกษตรกรรมและน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากแถวท่าเรือนั้น เต็มไปด้วยผู้คนและฝูงลาขนของ เสียงนายเรือตะโกนแข่งกับเสียงของทั้งคนทั้งสัตว์ดังอื้ออึงจนทำลายความสงบยามเช้าไปเสียสิ้น
เจ้าชายเซติภายใต้ผ้านุ่งผืนกลางเก่ากลางใหม่กับพระอุระเปลือยเปล่าเดินปะปนอยู่กับผู้คนอย่างแนบเนียน ทรงตระเวนถามคนเรือลำแล้วลำเล่าเพื่อหาเรือที่ว่างและจะไปไกลพอให้ขอโดยสารไปเนเคนด้วย

“ข้าไปถึงแค่ดเจอร์ตี แต่จะฝากเจ้าไปต่อกับเรือของน้องข้าได้”

นายเรือคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุราวกลางคนแล้วบอกพระองค์ นี่คงจะเป็นลำที่ห้าหรือหกแล้วกระมังที่ทรงตระเวนถาม และเป็นลำที่ให้ความหวังใกล้เคียงมากที่สุด ทรงตอบตกลงพร้อมกับยื่นสร้อยคอที่ทำจากทองแดงและหินมีค่าเส้นหนึ่งให้นายเรือ สร้อยคอเส้นนี้ทรงได้มาจากเชลยคนหนึ่ง ทรงเลือกไม่ใช้สร้อยของพระองค์หรือของในวังเพื่อรักษาความลับ แม้สร้อยเส้นที่ทรงใช้จะมีค่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับที่พระองค์เคยมี แต่ก็มากพอให้นายเรือรับไว้โดยง่าย ทว่ายังไม่วายกำชับ

“แต่อย่างไร เจ้าก็ต้องช่วยข้า หรือน้องของข้าทำงานด้วย”

เจ้าชายทรงเข้าพระทัยดี การขอโดยสารไปด้วยก็ไม่ต่างกับการขอเป็นภาระ ไหนจะน้ำไหนจะอาหารที่อาจจะต้องขออาศัย ไหนจะที่หลับที่นอนซึ่งจะไปเบียดบังที่วางสินค้าอีกเล่า

ทรงพยักหน้า เป็นอันตอบตกลง

“มาเลย”

นายเรือกวักมือเรียกเมื่อการเจรจาเป็นผล

เจ้าชายทรงเสด็จขึ้นเรือขนส่งซอมซ่อ เมื่อเรือไหวเล็กน้อยโอรสแห่งฟาโรห์ก็ตระหนักว่านับจากนี้ไปจนภาระกิจสิ้นสุด จะไม่มีเจ้าชายเซติอีก

คงมีก็แต่เพียงชายสามัญที่มีนามว่า ซาท ผู้มีรอยบากบนใบหน้าเท่านั้น


********************



วินตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2560, 08:44:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2560, 08:44:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 731





   ตอนที่ 2 (1) >>
แว่นใส 3 ก.ค. 2560, 19:13:02 น.
คนแนะนำเป็นคนแอบเอาไป เพื่อสร้างความแตกแยกไหม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account