ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 1

“พริษฐ์ มาแล้วหรือลูก อารอเราตั้งนาน”

หลังจากผุดลุกผุดนั่งด้วยความร้อนใจอยู่เป็นเวลานาน พอเห็นร่างของหลานชายหัวแก้วหัวแหวนโผล่พ้นประตูห้อง นันทิยาก็สืบเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คว้าแขนกำยำได้ก็ลากมานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน ตอนนี้ความนุ่มสบายของโซฟาราคาแพงไม่สามารถสร้างความรื่นรมย์ให้กับคนนั่งได้เหมือนทุกครั้ง อกใจร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟสุม

“ช้าๆ ก็ได้ครับอา เดี๋ยวล้ม” ท่าทางร้อนใจของผู้เป็นอาสร้างความแปลกใจให้กับพริษฐ์เป็นอย่างมาก ความห่วงใยทำให้ต้องเอ่ยปากปราม “กระดูกกระเดี้ยวหักไปต่อยากนะครับ ไม่ใช่สาวๆ แล้ว”

หากเป็นยามปกติได้ยินคำพูดแบบนี้ หลานชายตัวดีคงได้ถูกหยิกเนื้อเขียว ค่าที่ปากดีกล้าแตะต้องเรื่องต้องห้าม โดยเฉพาะเรื่องที่รู้ว่าแตะปุ๊บ เธอมักเต้นผาง เป็นอาการที่คนเย้ามักหัวเราะร่วนด้วยความสนุก พอเห็นเธอไม่สนุกด้วยก็จะเข้ามาปะเหลาะเอาใจ ทั้งน่าหมั่นไส้และน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน ทว่าตอนนี้เธอมีเรื่องหนักใจเกินกว่าจะมีอารมณ์มาต่อความกับหลานชาย

“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ เดี๋ยวเราเองนั่นละจะนั่งไม่ติดที่ ไม่มีอารมณ์มาหัวเราะอยู่แบบนี้หรอก” พอนั่งลงได้ นันทิยาก็เริ่มเข้าเรื่อง

นอกจากไม่โดนแม่ปูหนีบตรงสีข้างแล้ว พริษฐ์ยังไม่โดนค้อนเหมือนทุกครั้งยามเอ่ยปากแซวเรื่องอายุที่นันทิยาภูมิใจนักหนาว่ารูปร่างหน้าตาของตนเหมือนสาววัยต้นสี่สิบมากกว่าล่วงเข้าสู่เลขห้ามาหลายปีแล้ว นั่นทำให้ชายหนุ่มอดรำพึงเบาๆ ไม่ได้

“เห็นจะร้อนใจจริง”

“พริษฐ์จำเรือนไทยของเราได้ไหม” ท่าทางขมวดคิ้วคล้ายนึกไม่ออกก่อนส่ายหน้าเบาๆ ทำให้นันทิยาต้องขยายความ “เรือนไทยที่ต่างจังหวัดของทวดน่ะพริษฐ์ ตอนเด็กๆ พ่อเคยพาเราไปตอนปิดเทอมบ่อยๆ จำได้หรือเปล่า ช่วงหลังเรามัวแต่ติดเพื่อน บ่นไม่อยากไป ก็เลยไม่ค่อยได้ไปกันอีก”

ประโยคนั้นทำให้พริษฐ์ร้องอ๋อออกมา แม้ภาพเรือนไทยยังไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็พอนึกออกว่าตอนเด็ก เคยไปอาศัยอยู่ที่นั่นจริง

“ใช่ที่อยู่ทางใต้ใช่ไหมครับ”

“หลังนั้นแหละลูก ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ จึงปิดตายเอาไว้”

“บ้านไม่มีคนอยู่ ไม่พังไปหมดแล้วหรือครับ พริษฐ์จำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้วที่ครอบครัวเราไม่ได้เดินทางไปที่นั่นอีก”

นันทิยามองดวงตาคมดุถอดแบบมาจากโชติ ปู่ของพริษฐ์ ซึ่งก็คือบิดาของตนเอง ฉายแววรำลึก เธอเองไม่อยากทำลายภวังค์ความคิดของหลานนัก ทว่าก็ไม่อาจปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปอีกได้

เรื่องนี้ต้องได้รับการจัดการโดยรีบด่วน ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะพริษฐ์ ถ้าผุพังยังไงก็ซ่อมได้ แต่เรื่องที่อารู้มานี่สิ ปล่อยเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้นะ ลูกต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด”

“เกี่ยวกับที่อาให้เด็กไปตามผมมาด่วนใช่หรือเปล่าครับ”

“ใช่จ้ะ” นันทิยาพยักหน้ารับ

ตามปกติพริษฐ์ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านใหญ่หลังนี้ เขาแยกไปอยู่อีกหลังหนึ่งในอาณาบริเวณเดียวกันตามประสาหนุ่มโสดที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว อยากกลับบ้านก็กลับ ไม่อยากกลับก็ค้างที่อื่น แยกไปอยู่ต่างหากจะได้ไม่ต้องรบกวนให้ใครมาคอยเปิดปิดประตู สะดวกดี แต่ยังฝากท้องไว้กับบ้านใหญ่ พอถึงเวลาอาหารโน่นละถึงจะได้มีโอกาสเห็นหน้าเห็นตา

ความร้อนใจ พอรู้ว่าหลานชายกลับมาแล้ว นันทิยาจึงให้เด็กไปตามชายหนุ่มมาพบ ด้วยไม่อาจรอให้ถึงเวลาอาหารเย็นได้

“อาร้อนใจเหลือเกินพริษฐ์ เราจะทำยังไงกันดีล่ะ ทำยังไงดี”

“ใจเย็นๆ ก่อนครับอา ค่อยๆ พูดค่อยๆ เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น บอกผมว่ามีปัญหาอะไร เราจะได้หาทางแก้ไขได้ทัน ผมเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก แต่เราต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดไปเท่านั้น”

นอกจากคำปลอบของพริษฐ์ไม่สามารถทำให้นันทิยาเบาใจลงได้ ประโยคดังกล่าวกลับไปเพิ่มความร้อนรุ่มให้กับเธอมากขึ้นไปอีก

“อาเย็นไม่ไหวแล้วลูก ไม่รู้เรื่องบ้าๆ นี่มาเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราได้ยังไง พี่พินิจต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ”

ชื่อบิดาที่หลุดออกมาทำให้พริษฐ์ย่นคิ้ว พอเดาได้ว่าเรื่องทั้งหมดต้องมีบิดามาเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ แต่ด้วยประเด็นไหนและเรื่องราวเป็นอย่างไรนี่สิ

“พ่อทำอะไรหรือครับอา”

“พินัยกรรมน่ะสิ”

“หือ” คำตอบที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มเผลอครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู ครอบครัวของเขาไม่ได้มีสมบัติพัสถานมากมาย หรือมีพี่น้องหลายคนคอยแก่งแย่งสมบัติกันเหมือนในละครทีวี ถึงต้องทำพินัยกรรมระบุว่าใครได้รับอะไรก่อนเสียชีวิต เพราะไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเป็นลูกคนเดียว ดังนั้นเรื่องที่ได้ยินถือว่าเป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมา

“บ้านเราสมบัติเยอะ ผลประโยชน์มหาศาลจนถึงต้องทำพินัยกรรมระบุว่าใครได้อะไรเลยหรือครับอา”

“อย่ามาล้อเล่นกับอา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกนะพริษฐ์” นันทิยาเอ่ยปราม

พริษฐ์รับรู้ถึงความไม่พอใจของอาที่เจือปนมากับน้ำเสียงและประกายตาเขียวๆ นั่น ทำให้ชายหนุ่มขยับจากท่าพิงพนักสบายๆ เป็นนั่งตัวตรง เริ่มตระหนักว่านี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่คิดเอาไว้แต่แรกเสียแล้ว

“เรื่องมันเป็นมายังไงครับ”

“หลายวันก่อนอาเห็นพ่อเราเรียกทนายประเสริฐมาหา ปกติพ่อเราไม่ค่อยเอางานกลับมาทำที่บ้านถ้าไม่จำเป็น มีอะไรก็เรียกคุยที่บริษัทตลอด”

พริษฐ์พยักหน้ารับรู้ บิดาของเขาเป็นเช่นนั้นจริง ท่านแยกเวลางานกับเวลาครอบครัวออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่เคยเอามาปะปน

“อาว่ามันแปลกๆ อยู่นะ แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็มาอีกหลายครั้ง อาทนไม่ได้ ก็เลยเข้าไปถาม”

นั่นละนิสัยของอา อยากรู้อยากเห็นจนบางครั้งก็กลายเป็นจุ้นจ้าน ยิ่งกับเขาละที่หนึ่ง นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแยกบ้านออกไปอีกหลัง เพื่อเป็นการตัดรำคาญนั่นเอง

“แล้วคุณประเสริฐเขายอมบอกหรือครับ”

“ตอนแรกไม่หรอก แต่อาก็ตื๊อจนเขายอมบอกนั่นละ”

คงทนรำคาญไม่ไหว...พริษฐ์สรุปในใจ

“ก็ดีแล้วนี่ครับ” ดีที่ทนายความประจำบริษัทยอมบอก ถ้าไม่บอกก็คงบ้านแตกอีกแน่ๆ คราวนี้คนที่ร้อนหูเห็นจะเป็นบิดาแทน

“ดีที่ไหนกันเล่าพริษฐ์”

“อ้าว”

“รู้หรือเปล่าว่าในพินัยกรรมเขาระบุว่ายังไงบ้าง เราถึงว่าดีแบบนี้น่ะ”

“มีใครนอกเหนือจากผม แม่ อา เป็นผู้ได้รับมรดกอีกหรือครับ ครอบครัวเรามีกันอยู่แค่นี้เอง ถ้าไม่ให้เราพ่อจะเอาสมบัติไปยกให้ใครล่ะ” เขาสรุปตามความเข้าใจ

ครอบครัวเขาเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเล็กอย่างแท้จริง มองจากแผนภูมิต้นไม้แล้วเขาไม่เห็นแขนงของกิ่งแตกไปทางไหนเลย เริ่มจากทวดมีลูกคนเดียวคือปู่โชติ ต่อมาก็เป็นพ่อซึ่งมีลูกคนเดียวอีกคือเขา ส่วนอานันทิยาไม่ต้องพูดถึง อายุป่านนี้แล้วคงไม่มีผู้ชายหลงผิดที่ไหนสอยลงจากคานเอาไปเลี้ยงดูแน่ๆ เพราะฉะนั้นคงไม่มีกิ่งของต้นไม้เพิ่มมา อีกอย่างส่วนของอานัน ปู่โชติก็แบ่งให้ตั้งแต่ก่อนเสียชีวิตแล้ว จึงไม่น่าเกี่ยวกัน ดังนั้นทุกอย่างต้องตกเป็นของเขาโดยชอบธรรม

แล้วพ่อของเขาทำพินัยกรรมไปเพื่ออะไร

“หรือพ่อแอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ถึงต้องเขียนพินัยกรรมเอาไว้ก่อน เพราะกลัวผมจะไม่ยอมรับลูกเมียเล็กๆ เป็นน้อง แล้วไม่ยกอะไรให้”

“ตาพริษฐ์!” เสียงเขียวๆ ของนันทิยาหยุดพริษฐ์ได้เพียงคำพูด ทว่าหน้าตาของชายหนุ่มยังบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เชื่อถืออยู่นั่น

อย่าว่าแต่พริษฐ์เลย เธอเองคราแรกได้ฟังเรื่องทั้งหมดยังไม่คิดเลยว่าเป็นความจริงและเกิดขึ้นในบ้านเศรษฐสิทธ์

“เรานี่เห็นทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุกไปหมดได้ยังไงกัน ทำอย่างกับไม่รู้จักพ่อตัวเองดีอย่างนั้นแหละ”

พริษฐ์อยากค่อนอาของตนเหลือเกินว่า หากรู้จักดีทำไมถึงเกิดเรื่องแปลกๆ ให้ออกอาการร้อนอกร้อนใจจนไปตามเขามาบ้านใหญ่แบบนี้ล่ะ แต่ก็ยั้งปากตัวเองเอาไว้ทันเมื่อเห็นสายตาเขียวๆ ตวัดมามองกัน

“ถ้าเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของพ่อแก อาคงทำใจยอมรับได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ จู่ๆ มาชุบมือเปิดไปเฉยเลย”

“ใครนะครับอา”

“ไม่รู้น่ะสิ ถ้ารู้อาจัดการไปนานแล้ว”

พริษฐ์ไม่สนว่าวิธีจัดการของอาคืออะไร คงเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้คนคนนั้นพ้นทาง และสมบัติตกเป็นของครอบครัวตามเดิม แต่ที่น่าสนใจคือ ใครคือผู้รับมรดกชิ้นนั้นไปต่างหาก

“แล้วพ่อยกอะไรให้เขาไปล่ะครับ”

ใจนั้นเดาว่าคงเป็นหุ้นในบริษัทนิดหน่อย หรือห้องแถวให้เช่าแถวชานเมืองสักหนึ่งคูหาจากหลายๆ ห้อง หรือไม่ก็ที่ดินตัดแบ่งประเภทที่ตาบอดทำประโยชน์ไม่ได้สักสองสามไร่ เล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากคนเป็นอาก็ทำเขาอึ้งไปเหมือนกัน

“จะอะไรเสียอีก ก็เรือนไทยไม้สักหลังใหญ่กับที่ดินอีกเกือบสิบไร่น่ะสิ” ปลายเสียงสะบัดอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องเสียไป

“อะไรนะครับ เรือนไทยเลยหรือครับ!” พริษฐ์อุทานเสียงดัง เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่แล้ว “ดูท่าทางคนนี้ไม่ธรรมดานะครับ พ่อถึงยกบ้านหลังนั้นให้”

“นั่นสิ อาก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นใครมาจากไหน ญาติโกก็ไม่ใช่ จู่ๆ มาชุบมือเปิบไปหน้าตาเฉย พ่อเราน่ะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงเอาบ้านทั้งหลังไปประเคนให้คนอื่นง่ายๆ แบบนี้”

“เขายังไม่ได้เอาไปสักหน่อยครับอา พ่อก็ยังอยู่ อาพูดแบบนี้ไม่ถูก” พริษฐ์แย้ง ความร้อนใจคงทำให้อาของเขาไม่รู้ตัวว่าประโยคนั้นฟังคล้ายกำลังแช่งพี่ชายกลายๆ

“นี่เรายังใจเย็นอยู่ได้ยังไงหือพริษฐ์” นันทิยาเอ็ด เริ่มไม่พอใจหลานชายของตนขึ้นมาอีกคน ค่าที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน “บ้านทั้งหลังนะลูก รู้ไหมว่ามูลค่าเท่าไหร่”

พริษฐ์ส่ายหน้าไม่ตอบ ทั้งๆ ที่พอเดาได้ว่าคงมากโข ไม่งั้นอานันคงไม่นั่งไม่ติดที่แบบนี้หรอก

“แต่มันของพ่อนี่ครับ” เขาแย้ง ทั้งในใจลึกๆ ก็รู้สึกแปลกๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นพอดู

“โอ๊ย หลานฉัน ไม่ได้อย่างใจจริงๆ” คนร้อนใจคงตีอกชกตัวถ้าไม่คิดว่ามันทำให้ตนเจ็บ “เราไม่เสียดายเลยหรือไง”

คนถูกถามนิ่งไป แม้ไม่ได้ไปเหยียบบ้านหลังนั้นหลายปีแล้ว ทว่าในภาพรางเลือนเขายังพอจำได้ถึงความใหญ่โตโอ่อ่าของมัน ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็ก มีอานัน มีพ่อ แม่ รวมทั้งปู่โชติ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เขารักทั้งสิ้น

“เสียดายครับ” เขาเสียดายความทรงจำมากมายที่หลอมลวมอยู่ในบ้านหลังนั้นมากกว่า “แต่มันเป็นสิทธิ์ของพ่อนะครับอา เมื่อพ่อตัดสินใจแบบนั้นแล้วเราจะทำยังไงได้”

“ทำได้สิพริษฐ์ มันต้องมีทาง แต่พริษฐ์ต้องช่วยอานะ”

ชายหนุ่มได้แต่นิ่ง ไม่รับปาก เพราะยังไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้

“อย่างน้อยก็ไปพูดกับพ่อเราให้อาหน่อย บอกให้พี่พินิจเปลี่ยนใจ”

“ผมจะเอาเหตุผลอะไรไปค้านครับ ถ้ามันเป็นของผมก็ว่าไปอย่าง” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากให้อาสาวผิดหวัง

ตอนนี้เขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เกิดจากอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะเอาเหตุผลอะไรไปคัดค้านบิดา

“ใช่ ของหลาน ใช่แล้ว ทำไมอาถึงลืมจุดนี้ไปได้นะ”

อาการเปลี่ยนจากกระวนกระวายเป็นหน้าชื่นอย่างปุบปับ ซ้ำยังหันมาคว้าแขนตน ดวงตาเปล่งประกายยินดีของนันทิยาทำให้ผู้เป็นหลานได้แต่แปลกใจ

“มันเป็นของพริษฐ์ มันเป็นของพริษฐ์จริงๆ ลูก มันเป็นของพริษฐ์”

“มันจะเป็นของผมได้ยังไงกันครับ” ชายหนุ่มได้แต่แย้งกลั้วเสียงหัวเราะ

“ของเราสิ ของเรา นี่พริษฐ์จำไม่ได้จริงๆ หรือไง ตอนเด็กๆ ปู่เขาบอกอะไรเราไว้”

ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที และเหมือนนันทิยาก็ไม่สนใจด้วยว่าหลานชายมีปฏิกิริยาอย่างไร หญิงสาวยังคงพูดต่อ

“ที่บ้านหลังนั้น ปิดเทอมปีไหนสักปีที่เราย้ายไปพักที่นั่น พริษฐ์เคยออกปากขอบ้านหลังนั้นกับปู่เอาไว้ และท่านก็ยกให้พริษฐ์ไง”

คิ้วเข้มบนใบหน้าคมเริ่มขมวดมุ่น มันคงนานมากแล้ว เขาถึงจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรทำนองนั้นไว้ด้วย หรือถ้าพูดจริง คงพูดไปตามประสาเด็กเจอของถูกใจแล้วอยากได้ไว้กับตัว และบังเอิญของที่อยากได้นั้นใหญ่กว่าเด็กทั่วๆ ไปสักหน่อย

“นี่แหละเหตุผลว่าทำไมพ่อเราต้องยกบ้านหลังนั้นให้พริษฐ์ ไม่ใช่ใครอื่น”

พริษฐ์ไม่แน่ใจว่าคำพูดแผ่วเบานั้น อานันต้องการบอกเขาหรือย้ำกับตัวเองกันแน่

“เพราะฉะนั้นพริษฐ์ต้องไปพูดกับพ่อของเราว่ายกบ้านหลังนั้นให้คนอื่นไม่ได้ เพราะมันเป็นของพริษฐ์ตามคำสั่งของปู่โชติ” เห็นหลานชายยังนิ่ง นันทิยาจึงสำทับมาอีก “เข้าใจไหมลูก”

“ครับ” ท่าทางดีใจของนันทิยาทำให้ชายหนุ่มไม่อาจเอ่ยปากปฏิเสธได้ นอกจากรับคำเท่านั้น



ถ้อยคำที่ว่าตนมีสิทธิ์อันชอบทำธรรมในบ้านหลังนั้นรบกวนใจพริษฐ์เป็นอย่างมาก กระทั้งกลับมาบ้านของตนเขาก็ยังไม่อาจปัดมันออกไปได้

ในความทรงจำอันเลือนราง เขาพอจะนึกความรู้สึกแรกในวัยเยาว์เมื่อเรือนไทยหลังใหญ่แปลกตาปรากฏแก่สายตา เรือนหลังนั้นเท่มากในสายตาเด็กที่เคยคุ้นกับบ้านคอนกรีตในเมืองหลวง บริเวณบ้านก็กว้างขวาง มีพื้นที่ให้เขาวิ่งเล่นไม่รู้เบื่อ

ไหนจะต้นไม้ใหญ่มากมายราวกับสวน มีทั้งมังคุด ขนุน ละมุด ชมพู่แก้มแหม่ม หรือพันธุ์ไม้แปลกๆ ข้างทางที่สามารถเด็ดลูกมาลองลิ้ม ครั้งนึกสนุกหนีบิดาออกไปเที่ยวนอกบ้านลำพัง ต้นไม้เหล่านั้นไม่ต่างจากขุมทรัพย์ของเด็กชายตัวน้อย

อีกอย่างที่เขาชอบมากก็คือของเล่นแสนสนุกจากฝีมือนายแปลกคนเฝ้าบ้าน ถึงแม้ไม่มีราคาค่างวด หาซื้อไม่ได้ตามห้างสรรพสินค้า แต่กลับสร้างความสนุกสนานให้เขา และทุกครั้งเวลากลับไปเหยียบบ้านหลังนั้น เขามักรอคอยของเล่นชิ้นใหม่จากนายแปลกเสมอๆ

ความรู้สึกครั้งเก่าค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาไม่ต่างจากภาพฉาย หลังเลือนรางห่างหายไปตามกาลเวลา นานแค่ไหนแล้วที่เขาลืมช่วงเวลาแห่งการรอคอยวันเดินทางไปที่นั่น คงเท่ากับเมื่อภาระหน้าที่มากมายในชีวิตถาโถมเข้ามา ดูดกลืนเอาเวลาของเขาไปนั่นละ

เขาคิดถึงม่านสีขาวแผ่วพลิ้วยามเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้ลมโกรก คิดถึงเสียงนกร้องด้วยท่วงทำนองของชีวิตยามเช้าปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็เหมือนเห็นกิจกรรมมากมายแสนสนุกรออยู่ตรงนั้น

คิดถึงผืนหญ้านุ่มที่สามารถทิ้งตัวลงไปนอนกลิ้งเกลือก มีปู่โชตินั่งอยู่ข้างๆ คอยเล่าเรื่องราวครั้งหนหลังให้ฟัง คิดถึงท้องฟ้าสดใสที่เคยนอนมองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำขลับ เต็มไปด้วยดาวดวงเล็กทอแสงระยิบระยับ

ที่นั่นเต็มไปด้วยความทรงจำล้ำค่า แล้วแบบนี้เขายังเต็มใจยอมให้บ้านแห่งความทรงจำมากมายหลังนั้นตกไปอยู่ในมือคนอื่นอีกหรือ

สมองของพริษฐ์ว้าวุ่น เขากำลังสับสนกับความต้องการของตัวเองและสิ่งที่ควรทำ ตลอดมาเขาไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ของครอบครัว ไม่สนใจว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน นอกจากบางชิ้นที่เคยผ่านตา เมื่อมีปัญหาแล้วได้รับมอบหมายให้ไปแก้ไขเท่านั้น

ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่เขามั่นใจว่าท้ายที่สุดมันต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว สมบัติของตระกูลเศรษฐสิทธ์ก็ต้องเป็นของคนในตระกูลเท่านั้น ทว่าคำบอกเล่าของนันทิยาวันนี้กลับสั่นคลอนความเชื่อของเขา

มันเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นละหรือ

ไม่! เรื่องบ้าๆ นี่ต้องไม่เกิดขึ้น

พริษฐ์ผุดลุกขึ้น ก้าวลิ่วๆ ออกจากบ้านของตนไปในทันที



พินิจหมุนตัว ละสายตาจากภาพสนามเบื้องล่างมองคนมาใหม่ เมื่อได้ยินเสียงเลื่อนประตูปิด พร้อมกันนั้นร่างสูงใหญ่ของลูกชายก็เดินเข้ามา

“นั่งสิ” พินิจก้าวเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้สนามก่อน ปล่อยให้ลูกชายจับจองเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “แกไม่ไปไหนหรือไงคืนนี้ ถึงเห็นหัวได้”

เวลานี้สำหรับหนุ่มโสดอย่างพริษฐ์ยังหัวค่ำนัก การเห็นหน้าลูกชายในเวลาหัวค่ำเป็นเรื่องแปลกจนต้องเอ่ยปากถาม

“ไม่ครับ อยากคุยกับพ่อมากกว่า”

“อยากคุยกับฉัน?” ประโยคนั้นทำให้พินิจนิ่งมองลูกชายอย่างเพ่งพิศ ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก นึกรู้ในทันทีว่าเรื่องที่อยากคุยนั้นคืออะไร

“นันส่งแกมารึ”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พริษฐ์คงตอบว่าใช่โดยไม่ลังเล แต่ตอนนี้นันทิยามีส่วนเพียงแค่กระตุ้นให้เขาอยากรักษาผลประโยชน์ให้ตัวเองเท่านั้น

“พ่อก็รู้...ใครบังคับผมไม่ได้”

“แกอยากได้บ้านหลังนั้น?”

ประโยคนั้นบอกให้พริษฐ์รู้ว่าเขาและบิดากำลังคุยอยู่ในเรื่องเดียวกัน

“ครับ”

คำตอบของพริษฐ์สร้างความแปลกใจให้พินิจอยู่มาก จริงอยู่ที่เขาเดาไว้ว่าไม่ช้าก็เร็วบุตรชายต้องมาพูด ห้าม โน้มน้าวหรืออะไรก็ตามเพื่อให้เปลี่ยนใจยกเลิกพินัยกรรมฉบับนั้นตามการชักจูงของนันทิยา แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดจากความต้องการของลูกชาย ไม่ใช่แรงยุของใคร เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายอยู่มาก

“ฉันคิดว่าแกไม่สนใจบ้านหลังนั้นเสียอีก ก็แค่บ้านเก่าๆ อยู่บ้านนอก แกไม่คิดว่ามันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนหรอกหรือ”

“แต่มันเป็นสิทธิ์ที่ผมควรได้ไม่ใช่หรือครับ”

“แกรู้ได้ยังไงว่าแกเป็นคนที่ควรได้ ไม่ใช่คนอื่น” พินิจหยั่งเชิง มองหน้าบุตรชายนิ่งอย่างจับสังเกต

“หรือพ่อมีลูกคนอื่นนอกจากผมอีกล่ะ” พริษฐ์ตอบหน้าตาเฉย ไม่สนใจว่าบิดาจะออกอาการอยากยกกระถางต้นไม้แถวนั้นทุ่มใส่กบาลของตนเต็มแก่ ในเมื่อเขาพูดความจริง

“หาเรื่องให้ฉันโดนแม่แกฉีกอกแล้วไหมล่ะไอ้พริษฐ์”

คนถูกต่อว่าเสียงเข้ม ทำเพียงไหวไหล่เบาๆ ด้วยอาการยียวน

“ถ้างั้นทายาทก็มีแค่ผมคนเดียว”

พินิจเข้าใจประโยคสั้นๆ ของบุตรชายดี ตามปกติพ่อลูกไม่เคยใช้คำพูดยืดเยื้อกันอยู่แล้ว ทุกถ้อยคำล้วนสั้น กระชับ ความหมายชัดเจนเหมือนครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรพริษฐ์ก็จะเอาบ้านหลังนั้นให้ได้

“ปู่โชติพูดเสมอว่าสมบัติทุกชิ้นต้องตกเป็นของคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์รุ่นต่อไป สิทธิครอบครองก็ต้องตกเป็นของผม”

ประมุขบ้านเศรษฐสิทธ์ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ราวกับต้องการคลายความหนักอึ้งที่สุมอยู่ในอก

พริษฐ์พูดไม่ผิด คนในตระกูลเศรษฐสิทธ์ทุกคนรู้ดีว่าทรัพย์สินทุกชิ้นจะตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผู้นำตระกูลทุกสมัยต่างพยายามรักษาสมบัติที่พ่อแม่สร้างมาเอาไว้ ด้วยตระหนักดีว่ากว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่มีชิ้นไหนตกไปอยู่ในมือของคนอื่น และทายาทรุ่นต่อไปก็คือพริษฐ์

นอกเหนือจากบริษัทส่งออกหนังสัตว์ พริษฐ์รู้เท่าที่เคยผ่านตาเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง และเจ้าตัวก็ไม่เคยแสดงอาการอยากรู้อยากเห็น ด้วยตระหนักดีว่าสุดท้ายแล้วมันต้องตกเป็นของตนทั้งหมด แต่แล้วจู่ๆ สิ่งที่มั่นใจว่าเป็นของตัวกำลังจะตกไปเป็นของคนอื่น ซ้ำร้ายยังไม่ใช่คนที่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน คงไม่พอใจเป็นธรรมดา

แต่นั่นละ เขามีเหตุผลอันสมควรยกบ้านหลังนั้นให้คนอื่น

“แกมั่นใจหรือว่าสมควรที่จะได้รับมัน”

“เท่ากับที่พ่อเชื่อมั่นในตัวผม” พริษฐ์ตอบอย่างมั่นใจไม่ต่างจากพินิจ

ใช่ เขาเองก็มั่นใจในความรับผิดชอบของพริษฐ์ และรู้ดีว่าถ้าบ้านหลังนั้นตกไปอยู่ในมือลูกชาย เจ้าตัวจะจัดการกับสิ่งที่ได้รับอย่างดีที่สุด

คนเป็นพ่อเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าบ้านหลังนั้นตกไปอยู่ในมือพริษฐ์จะเป็นเช่นไร คงดีกว่าเขาซึ่งปล่อยปละละเลยมานานหลายปี แต่พริษฐ์คงไม่มีโอกาส

“คนอื่นเขาสมควรได้รับมันมากกว่าแก!”


-------------------------------------------


สวัสดีค่า กลับมาลงนิยายที่เว็บเลิฟในรอบปีกว่าๆ
ฝากเนื้อฝากตัวกันอีกรอบนะคะ ^^





เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2560, 11:07:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2560, 11:07:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1137





   บทที่ 2 >>
ตรีจิตร 3 ก.ค. 2560, 11:22:24 น.
รอติดตามคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account