ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 2
...๒...
พริษฐ์ไม่แปลกใจเลยเมื่อพบนันทิยาถลันออกมาจากโถงทางเดินระหว่างปีกซ้ายและขวาของบ้าน ดูจากสีหน้ากระวนกระวายก็พอเดาได้ว่ารออยู่นานแล้ว อาจจะตั้งแต่เห็นเขาเดินหายไปยังระเบียงหน้าบ้าน
น่าแปลกที่เขาเป็นฝ่ายไม่เห็นอานันตั้งแต่แรก แต่ก็นั่นละ ใครๆ ก็รู้ว่านิสัยอานันเป็นเช่นไร
“เป็นไงบ้างลูก ได้ผลไหม”
พริษฐ์รู้ว่าอาตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูง คำตอบของเขาคงทำให้ผิดหวังอยู่มาก กระนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกออกไปอยู่ดีว่าผลเป็นเช่นไร
“ไม่ได้ผลครับ”
จริงดังคาด นันทิยามีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะพริษฐ์ ทำยังไงดี” นันทิยาโวยวายอย่างจนปัญญา
ขนาดพริษฐ์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นลูกรัก ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลขอร้องยังไม่ได้ผล ส่วนเธอไม่ต้องพูดถึง แค่เอ่ยปากก็โดนคำว่าปฏิเสธตีแสกหน้าเข้าให้แล้ว และอย่าหวังว่าพี่ชายจะใจอ่อน
พินิจมีนิสัยต่างจากโชติผู้เป็นบิดา ที่เป็นคนตรง โผงผาง และดุ กระเดียดไปเหมือนพุดผู้เป็นปู่หรือทวดของพริษฐ์มากกว่า ท่านเป็นคนอ่อนโยน อบอุ่น ยามทำผิดไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอเห็นพินิจลงมือหวดลูกด้วยไม้เรียว โชติเสียอีกทนวิธีเลี้ยงลูกของพินิจไม่ได้ พอพริษฐ์ทำตัวเกเรเมื่อไร ไม้เรียวที่ฟาดลงบนตัวหลานชายจึงมาจากมือของโชติทั้งนั้น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงคิดว่าพินิจนิสัยไม่เหมือนโชติ
ทว่าใครจะรู้ จริงๆ พินิจนั้นเป็นลูกพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน พี่ชายของเธอเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน โดยเฉพาะเรื่องใจแข็งละที่หนึ่ง เมื่อใดคำว่า ‘ไม่’ ออกจากปาก นั่นหมายความว่าไม่คำเดียว นอกเสียจากเหตุผลที่นำมาแย้งนั้นสมเหตุสมผลจริงๆ จึงสามารถเปลี่ยนคำตอบได้ แต่ก็นั่นละ น้อยครั้งนักจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องนึกภาพ ถึงเธอไปโวยวายเหมือนหลายวันก่อนก็ไม่มีทางได้ผล
“ใจเย็นก่อนครับอา” หลังมือใหญ่โอบไหล่ของนันทิยาอย่างให้กำลังใจ รั้งให้ออกเดินไปด้วยกัน “ผมก็ไม่ยอมให้ของปู่ ของทวด ตกไปอยู่ในมือคนอื่นเหมือนกัน”
“งั้นพริษฐ์คิดเอาไว้หรือยังว่าจะทำยังไง”
“พินัยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ ตราบใดที่พ่อยังมีชีวิตอยู่” มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่ได้คิดแช่งบิดาของตนแต่อย่างใด “เรายังมีเวลาอีกเยอะครับ ไม่ต้องห่วง ต้องมีสักวิธีที่ทำให้พ่อเปลี่ยนใจ”
“พริษฐ์เองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพ่อเราเป็นคนยังไง ลงตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนใจเขายาก”
“ตอนแรกผมยังนึกไม่ออก แต่ได้ยินอาพูดแบบนี้แล้วชักได้ไอเดีย”
“ยังไงลูก”
“ก็ถ้าเปลี่ยนใจพ่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนใจคนอื่นสิครับ”
นันทิยาเลิกคิ้ว คิดตามหลานชายไม่ทัน
“เราก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนที่ได้รับบ้านไปสิครับ ว่าแต่อาจำได้หรือเปล่าว่าพ่อทำพินัยกรรมยกบ้านให้ใคร”
“อาจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่อาจดไว้ รอแป๊บนะลูก เดี๋ยวอาไปเอามาให้”
ความดีใจที่เห็นหลานชายหาทางออกได้ทำให้นันทิยาลืมคิดไปว่าจิตใจมนุษย์นั้นหยั่งยาก เงินทอง สมบัติพัสถานไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งมีคนเอามากองให้ตรงหน้าแบบไม่ต้องลงทุนลงแรง ใครบ้างอยากปฏิเสธ มีแต่รีบตะครุบละไม่ว่า ดังนั้นจึงไม่มีอะไรรับประกันว่าวิธีนี้จะสำเร็จ
พริษฐ์เองก็ไม่ใจร้ายพอจะดับความหวังอันริบหรี่ของอาสาว ตัวเขาเองคิดว่านี่คงเป็นวิธีสุดท้ายที่เลือกใช้แก้ปัญหา
ตอนนี้ขออย่างเดียว ขอรู้ก่อนเถอะว่าคนที่สมควรได้บ้านหลังนั้นมากกว่าเขาเป็นใคร!
ไม่เกินห้านาทีที่พริษฐ์ยืนรอ ประตูห้องนอนนันทิยาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
“นี่จ้ะ ตอนรู้เรื่องจากทนายประเสริฐ อาก็จดเอาไว้”
มือใหญ่รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ แล้วยกขึ้นอ่านทันใด
“อัญชัน หิรัญรัตน” เขาพยายามทบทวนว่าเคยได้ยินหรือรู้จักคนชื่อนี้มาก่อนหรือเปล่า คำตอบคือไม่ “อารู้จักหรือเปล่าครับ”
นันทิยาส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอนึกว่าอัญชัน หิรัญรัตน เป็นใคร มาจากไหน
“ผมก็ไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“แล้วพริษฐ์จะทำยังไงต่อไปลูก”
“ผมจะลองถามทนายประเสริฐดู” เขาเล็งเห็นว่าการไปถามเอากับต้นเรื่องคงจะไม่มีทาง ดังนั้นทางเลือกที่เหลือจึงเป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ดี
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล อาไม่วางใจเลยลูก”
“มันก็ต้องลองดูครับอา” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจนัก “ผมว่าตอนนี้อาไปนอนดีกว่า ไม่ต้องกังวลหรือคิดมาก เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ”
“ไม่รู้อาจะนอนหลับหรือเปล่านี่สิ” น้ำเสียงระโหยอย่างคนตัดความกังวลไม่ขาดทำให้พริษฐ์ต้องโอบร่างอาเอาไว้หลวมๆ พาเดินเข้าไปส่งถึงเตียงนอน ดึงผ้าขึ้นมาห่มให้อย่างอ่อนโยน
“อานอนนะครับ เดี๋ยวผมสั่งให้เด็กเอานมอุ่นๆ มาให้ จะได้หลับสบาย”
จะด้วยความอยากเอาใจหลานหรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้นันทิยาพยักหน้าเบาๆ ชายหนุ่มจึงวางใจออกจากห้องได้
ขณะเดินผ่านห้องหนังสือของบ้านใหญ่ พริษฐ์ก็ชะงัก มุมปากได้รูปยกขึ้น ถ้านันทิยาเห็นเข้าคงนึกรู้ว่าหลานชายกำลังนึกวางแผนอะไรแผลงๆ และเธอคงได้แต่ร้อนๆ หนาวๆ แทนใครก็ตามที่ตกมาอยู่ตรงกลางระหว่างแผนการเจ้าเล่ห์ของหลานชายอย่างช่วยอะไรไม่ได้เท่านั้น
แต่เพราะนันทิยาเข้านอนแล้วจึงไม่มีโอกาสได้เห็น นอกจากอาจแปลกใจบ้างว่าทำไมเด็กในบ้านถึงนำนมอุ่นๆ มาเสิร์ฟให้ช้านักเท่านั้นเอง
“คุณบัวครับ ตามคุณประเสริฐมาพบผมด้วย” พริษฐ์ต่อสายภายในสั่งความเลขานุการหน้าห้องทันที
“ตอนนี้เลยหรือคะ”
“ครับ”
เพียงไม่นานห้องรองประธานก็ได้ต้อนรับทนายความมือหนึ่งประจำบริษัท ตอนมาถึงประเสริฐพบว่าเจ้านายของตนยืนหันหลังเอามือไขว้หลังอยู่ตรงชั้นเอกสารริมผนัง ก่อนหมุนกลับมาช้าๆ
“คุณพริษฐ์อยากพบผม” แขกเอ่ยถามทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาเตรียมใจไว้ตั้งแต่เรื่องถึงหูนันทิยาแล้วว่า ไม่ช้าพริษฐ์ต้องรู้แน่นอน พอได้รับคำสั่งให้เข้าพบก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“เชิญคุณประเสริฐนั่งก่อนดีกว่า” พริษฐ์เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ของตน ปากก็เอ่ยเชื้อเชิญ
“รับอะไรดีครับ กาแฟ หรืออย่างอื่น”
“ผมเรียบร้อยมาแล้ว ขอบคุณมาก”
ใบหน้าคมพยักหน้าเบาๆ มือวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้น แล้วพริษฐ์ก็หมุนตัวมาประจันหน้ากับแขกด้วยสีหน้าเดายาก อาการทิ้งหลังพิงพนักเหมือนเจ้าตัวกำลังรู้สึกสบายอย่างเต็มประดา
ต่างกับประเสริฐที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานอย่างไร้คำพูดจากเจ้าของห้อง มีเพียงสายตาคมดุถอดแบบมาจากโชติจ้องกันไม่วางตา ก็เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เขาเห็นพริษฐ์ตามพินิจเข้าออกในบริษัทตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้นิสัยของเจ้านาย
ท่าทางเป็นการเป็นงาน สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากหน้ากาก ปิดบัง ซ่อนเร้นความเจ้าเล่ห์แสนกลของเจ้าตัวเอาไว้ให้คู่ต่อสู้ตายใจเท่านั้น
สุดท้ายเป็นทนายความสูงวัยที่ทนเล่นเกมจ้องตาไม่ไหว เป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องก่อน
“คุณพริษฐ์เรียกผมมาคุยเรื่องอะไรครับ”
“ผมคิดว่าคุณประเสริฐรู้อยู่แล้วเสียอีกว่าผมอยากคุยเรื่องอะไร ถ้าคุณประเสริฐยังคิดไม่ออก ระหว่างนี้ตอบผมดีกว่า” กระดาษโน้ตแผ่นเล็กถูกดันไปตรงหน้า “รู้จักคนชื่อนี้หรือเปล่า”
คนถูกถามก้มมองเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วส่ายหน้าเบาๆ โดยที่สายตาจับสังเกตของพริษฐ์ไม่พบพิรุธใดๆ ในนั้น
“ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้”
พริษฐ์พยักหน้า นับถือชั้นเชิงของทนายความมือฉมัง ขนาดเขาจับสังเกตอยู่ตลอดเวลา ทั้งแววตาและสีหน้าก็ไม่ปรากฏพิรุธแม้แต่แวบเดียว จนอดคิดไม่ได้ว่าหากทนายสูงวัยเกิดคิดอยากโกงบริษัทขึ้นมา อยากรู้นักจะจับได้ไล่ทันหรือเปล่า เหมือนครั้งนี้ ฝ่ายนั้นคงไม่ได้โกหก เพียงแต่ปกปิดข้อมูลบางส่วนเอาไว้เท่านั้น
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวสินะครับ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจ้าของห้องไม่อาจทำให้คนนั่งประจันหน้ากันอยู่รู้สึกรื่นรมย์ตามไปด้วย นอกจากคิดว่าพริษฐ์ไม่ใช่ผู้ชายที่ใครควรนึกประมาท
“แล้วคุณประเสริฐรู้จักคนคนนี้ในแง่ไหนบ้าง นอกจากไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว”
ปลายประโยคเต็มไปด้วยคำเหน็บแนม ทว่าชายสูงวัยกลับไม่รู้สึกอะไร คงเพราะน้ำเสียงทุ้มนั้นมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนมากกว่าเยาะหยัน
“ก็แค่ชื่อครับ”
พริษฐ์ย่นคิ้วทันทีเมื่อได้รับคำตอบ
“เท่านั้นจริงๆ หรือ”
“ครับ”
“คุณบอกว่ารู้จักคนที่พ่อผมเซ็นชื่อยกบ้านราคาหลายล้านให้เพียงแค่ชื่อเท่านั้นหรือ”
“ในฐานะลูกน้องที่ต้องทำตามคำสั่ง ผมขอตอบว่าครับ”
“แล้วนอกจากชื่อ คุณรู้อะไรบ้าง บอกผมมาให้หมดเดี๋ยวนี้ อย่าคิดปิดบังหรือบิดเบือนอะไรแม้แต่นิดเดียว”
สุ้มเสียงพริษฐ์ยังคงราบเรียบ ทว่าสายตาที่มองมามีแววคาดคั้นอยู่ในที และประเสริฐก็รู้สึกได้ ภายใต้ท่าทางดังกล่าว พริษฐ์สะกดความไม่พอใจเอาไว้อย่างแนบเนียน ถึงแม้กริ่งเกรงอารมณ์ของเจ้านาย แต่เขาก็ต้องตอบตามความเป็นจริง
“ไม่ครับ ผมแค่ทำตามที่คุณท่านสั่งเท่านั้น”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เมื่อไม่ได้รับความกระจ่างพริษฐ์ถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย
เมื่อคืนคุยกับบิดาก็ไม่ได้อะไรนอกจากทำให้อารมณ์ขุ่นมัว ครั้นมาเค้นคอถามเอากับทนายความประจำบริษัทก็ไม่ได้อะไรอีก มันน่าหงุดหงิดน้อยอยู่เมื่อไร
อีกฝ่ายได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าเสนอหรือพูดอะไร ด้วยเดาอารมณ์ของนายหนุ่มไม่ถูก กลัวว่าพูดผิดหูขึ้นมาจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย
พริษฐ์สงบอารมณ์ร้อนๆ ของตนให้เย็นลงอยู่ครู่ แล้วหันมาไล่เบี้ยเอากับประเสริฐอีกครั้ง
“คุณประเสริฐ ตอนนี้พินัยกรรมยังเป็นร่างอยู่ หรือว่ายังไง”
“คุณท่านลงนามในพินัยกรรมฉบับจริงแล้วครับ”
“แล้วมันเก็บอยู่ที่ไหน”
การนิ่งเงียบของประเสริฐทำให้ปรอทอารมณ์ของพริษฐ์พุ่งสูงอีกครั้ง ชายหนุ่มกระชากเสียงห้วนบอกอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องกลัวผมเอาไปฉีกทิ้งหรอกน่า บอกมา”
“ตู้นิรภัยในธนาคารครับ”
“มันคงสำคัญมากสินะ ถึงต้องเอาไปเก็บไว้ที่นั่น” พริษฐ์เยาะ
เอกสารสำคัญทุกชิ้นของคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์ไม่เคยมีฉบับไหนอยู่นอกบ้าน แต่พินัยกรรมฉบับนี้กลับถูกนำไปเก็บรวมไว้กับเครื่องเพชรหรือเครื่องทองชิ้นใหญ่ๆ ในเซฟธนาคาร
ทำราวกับว่าไม่ไว้ใจเขาอย่างนั้นละ
อาการเงียบไม่ตอบอะไร เอาแต่นั่งนิ่ง ตีสีหน้าเป็นทองไม้รู้ร้อนของทนายความ ทำให้พริษฐ์หมั่นไส้เป็นอย่างมาก
มุมปากเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเปิดลิ้นชักหยิบกระดาษแผ่นหนาและยาวออกมาจากในนั้น วางมันลงตรงหน้าทนายความ
“แล้วถ้าเจ้านี่อยู่ในมือผมล่ะ คุณจะทำอะไรกันได้ไหม”
ชายสูงวัยตกใจเมื่อเห็นตราครุฑสีชาดตรงกึ่งกลางหัวกระดาษที่พริษฐ์วางลงตรงหน้า เขาไม่คิดว่ามันจะตกอยู่ในมือชายหนุ่ม คนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ มองปราดแรกก็รู้ว่าคือโฉนดที่ดิน และถ้าหากต้องเดา คงเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนที่เรือนไทยหลังใหญ่ปลูกเอาไว้
จุดประสงค์ที่พริษฐ์เอาออกมาจากตู้เซฟคงเป็นเรื่องไม่ดีนัก ปฏิกิริยาต่อมาของเขาจึงเป็นอาการผวาหมายคว้ากระดาษแผ่นนั้นจากมือรองประธาน ทว่ากลับคว้าได้เพียงอากาศเมื่อหนุ่มอายุคราวลูกชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะๆ ทำอะไรครับคุณประเสริฐ ผมให้ดู ไม่ได้หมายความว่าให้จับด้วยนะครับ” พริษฐ์กำลังสนุกกับอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของคนตรงหน้า
“คืนมาเถอะครับคุณพริษฐ์ หรือเอาไปเก็บไว้ในที่ที่มันควรอยู่ดีกว่า”
“กับผมไงครับ ที่ที่มันควรอยู่” ชายหนุ่มตอบกลับมาหน้าตาย ก่อกวนอารมณ์คนฟังเต็มที่
“คุณพริษฐ์ คุณท่านอยากยกให้คุณอัญชันแล้วนะครับ คืนมาเถอะ” ทนายความขอร้องเสียงอ่อน
“พูดดีๆ นะคุณประเสริฐ พูดแบบนี้ก็เหมือนแช่งท่านประธานนะ”
“โธ่ คุณพริษฐ์ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”
“แต่ความหมายก็ทำนองนั้น”
บทจะรวนขึ้นมา พริษฐ์ก็ตีความทุกอย่างราวกับไม้บรรทัด
“คุณพริษฐ์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ เอากลับไปคืนที่เถอะ” ทนายสูงวัยเลือกใช้ไม้นวมแทนไม้แข็ง
ถึงพินัยกรรมทำขึ้นถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ผู้ทำพินัยกรรมยังมีชีวิตอยู่ ผลของพินัยกรรมก็ยังไม่เกิด เขารู้ดีพอๆ กับพริษฐ์นั่นละ
“ผมไม่ได้เห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ระหว่างนี้ให้ผมดูแลไปก่อนแล้วกัน ถึงเวลาต้องใช้เมื่อไหร่ค่อยมาเอา” พริษฐ์จบประโยคด้วยการเก็บโฉนดที่ดินฉบับนั้นลงลิ้นชัก ล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา “แต่หวังว่าคงยังไม่ต้องใช้ในเร็วๆ นี้หรอกนะครับ”
“คุณพริษฐ์กลัวว่าคุณท่านจะรีบโอนบ้านให้คุณอัญชันหรือครับ”
“ผมมีสิทธิ์คิดแบบนั้นไม่ใช่หรือ”
ไม่ใช่ไม่ไว้ใจบิดา เพียงแค่อยากมั่นใจในขณะเขาหาทางทำให้ท่านเปลี่ยนใจ ระหว่างนั้นมันจะไม่ถูกดำเนินการอันใดไปก่อน
“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือครับว่าโฉนดที่ดินออกใหม่ได้”
พริษฐ์ไหวไหล่อย่างกวนๆ อย่างสบายใจ
“แจ้งความเท็จเป็นคดีอาญา คุณเป็นทนายก็น่าจะรู้”
ทนายสูงวัยจนด้วยคำพูด เขาไม่อยู่ในฐานะทำอะไรได้มากกว่าแค่ขอร้อง ซึ่งตอนนี้ก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ณ ตอนนี้จึงต้องยอมพริษฐ์ไปก่อน สิ่งที่เขาควรทำเร็วที่สุดคือบอกเรื่องนี้ให้พินิจรู้ พ่อลูกกัน น่าจะหาทางทำอะไรบางอย่างได้
“ตกลงครับ คุณพริษฐ์มีอะไรจะถามผมอีกหรือเปล่า”
“ไม่มี ขอบคุณมากสำหรับคำตอบเรื่องคุณอัญชัน คุณช่วยผมได้มากทีเดียว”
ด้วยเข้าใจสถานการณ์ของพริษฐ์ตอนนี้ดี ประเสริฐจึงไม่ถือสาอะไรเมื่อถูกประชดประชัน ถ้าเป็นเขา หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คงออกมาทำอะไรเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนคุณประเสริฐ”
“ครับ” ทนายสูงวัยหันมาอย่างแปลกใจ...เมื่อครู่เพิ่งโดนเจ้านายหนุ่มไล่ทางอ้อมอยู่หยกๆ
“ตอนนี้บ้านหลังนั้นมีคนดูแลหรือเปล่า”
“มีครับ เป็นชาวบ้านแถวๆ นั้น”
“เอารายละเอียดให้ผมด้วย”
“คุณพริษฐ์ ถ้าคุณคิดจะทำอะไรแผลงๆ เปลี่ยนใจเสียเถอะครับ” น้ำเสียงทนายสูงวัยกึ่งปรามกึ่งขอร้อง แต่พริษฐ์หรือจะสนใจ
“เอามันมาให้ผม แล้วก็กลับไปได้”
คนถูกไล่ยังคงยืนนิ่ง ส่งสายตาขอร้องไป แต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มปรายตามองแวบเดียวก็ยกมือสะบัดไล่ เห็นท่าทางอย่างนั้น ทนายสูงวัยก็ได้แต่ถอนใจ หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานใหญ่ไปในที่สุด
คล้อยหลังทนายสูงวัย พริษฐ์ก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง ต่อสายภายในไปยังเลขานุการหน้าห้อง
“คุณบัว จองตั๋วเครื่องบินไป...” เขาเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศ “เร็วที่สุดเท่าที่จะหาได้ ถ้ามีวันนี้ก็ดี”
“ค่ะ แล้วขากลับล่ะคะ เป็นเที่ยวบินวันไหน”
“อืม... ยังไม่ต้องจองแล้วกัน จะกลับวันไหนเดี๋ยวผมจัดการเอง ได้ความยังไงโทร.เข้ามือถือนะ อีกเดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ เรื่องโรงแรมเดี๋ยวบัวติดต่อไว้เลยนะคะ ได้ความยังไงบัวจะโทร.หา”
“ขอบคุณมากคุณบัว” พอได้ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว พริษฐ์ก็วางสาย เขาใช้กุญแจไขลิ้นชัก หยิบกระดาษที่เป็นปัญหาถกเถียงกันเมื่อครู่ลงกระเป๋าเอกสาร ออกจากห้องไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเลขานุการ
“อ้อ อีกอย่างนะคุณบัว ตามเรื่องที่คุณประเสริฐให้ด้วย ถ้าได้พร้อมกับตั๋วเครื่องบินจะดีมาก”
“เรื่องไหนคะ” นลินถามเพื่อความมั่นใจ วันหนึ่งๆมีเรื่องส่งมาให้รองประธานพิจารณาเยอะเหลือเกิน เธออยากรู้เพื่อความไม่ผิดพลาด
“บอกเขาตามนั้นก็พอ เขารู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
“ค่ะ”
“ขอบคุณ” พูดจบก็ผละไปอย่างรีบร้อน
คนมองไม่แปลกใจอะไรมากเพราะพริษฐ์เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ใจร้อน สั่งอะไรก็ต้องได้ตามนั้น หญิงสาวจึงหันมาจัดการงานที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อย
คล้อยหลังชายหนุ่มนลินก็มีโอกาสได้พบกับท่านประธาน แต่พอทราบว่าลูกชายตัวดีไม่อยู่ ใบหน้าใจดีเป็นนิจก็เปลี่ยนไปจนนลินยังนึกหวาดแทนเจ้านายของตน ไม่รู้ทำอะไรเอาไว้ ท่านประธานถึงได้ออกอาการไม่พอใจขนาดนี้
เมื่อไม่ได้ความใดๆ จากปากทนายประเสริฐ พริษฐ์ก็เปลี่ยนวิธี มือข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กำลังทำตอนนี้ผิดกฎหมายและอาจทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้
“เฮ้ย... ว่าไงไอ้พริษฐ์ นี่ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือวะ”
“เออ” หากเป็นเวลาอื่นพริษฐ์คงตอบกลับไปด้วยประโยคยืดยาวทำนองอวยพรให้อายุยืนพอกัน แต่นี่เขามีเรื่องไหว้วาน จึงได้แต่สงบปากสงบคำด้วยกลัวถูกปฏิเสธ “ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วยหน่อยว่ะ”
“เรื่องอะไร”
“อยากให้สืบข้อมูลของคนคนนึงให้หน่อย”
“เออ เดี๋ยว ฉันหาปากกาก่อน พอดีตอนนี้ไม่อยู่สำนักงานว่ะ”
พริษฐ์ไม่แปลกใจเท่าไร อาชีพนักสืบอย่างทิวไผ่ให้ทำงานนั่งโต๊ะ อยู่แต่ในออฟฟิศคงไม่มีรายได้เข้าบัญชีบริษัทแน่ๆ
“เอาละ ว่ามา”
“อัญชัน หิรัญรัตน... สืบให้หน่อยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน มีเบื้องหลังยังไง”
“นายอยากรู้ไปทำไม อธิบายได้ไหมวะ มันไม่ใช่นิสัยนายนี่หว่าที่คอยตามสืบข้อมูลใครต่อใคร” ทิวไผ่อดแปลกใจไม่ได้ ไม่บ่อยนักหรอกที่เพื่อนจะไหว้วานให้สืบหาข้อมูลของใครสักคน “เขาทำอะไรให้ หรือทำอะไรไม่ดีไว้ นายถึงต้องสืบหาเบื้องหลังน่ะ”
พริษฐ์ถอนหายใจเบาๆ ความจริงเขาตั้งใจให้มีคนรู้เรื่องที่จะทำน้อยที่สุด ขยับตัวทำอะไรจะได้สะดวก แต่ปิดทิวไผ่ไปคงไร้ประโยชน์ ลองอยากรู้ เจ้าเพื่อนตัวดีต้องหาทางสืบจนรู้ในที่สุด พริษฐ์จึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้เพื่อนฟัง รวมทั้งสิ่งที่กำลังคิดทำด้วย
“โอ๊ย... เหมือนละครหลังข่าวเลยว่ะ ผิดกันก็แต่นายยังเหลือมรดกไว้เลี้ยงตัวอีกเยอะแยะ นอกจากบ้านหลังนั้น”
เพื่อนแซวมาพร้อมเสียงหัวเราะที่ทำเอาคนเสียมรดกถึงกับฉิว ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงได้ดวลแข้งขากันบ้าง
“ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโว้ยไอ้ทิว เรื่องนี้ฉันซีเรียส”
“เออๆ ฉันเป็นนักสืบมาก็นาน เจอเรื่องแปลกๆ น้ำเน่ามาก็เยอะ แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคนใกล้ตัว ขอโทษว่ะ แล้วนายจะเอาข้อมูลเชิงลึกขนาดไหนวะ แล้วอยากได้เมื่อไหร่”
“ลึกที่สุด เร็วที่สุด”
เขาอยากรู้ว่าคนคนนี้ดีเด่ขนาดไหน บิดาถึงบอกว่าเธอควรได้รับบ้านหลังนั้นไปมากกว่าเขา และถ้ามีประวัติด่างพร้อยแม้แต่น้อย เขาจะใช้มันเป็นข้ออ้างหักล้างคำพูดของบิดา
คอยดูเถอะ อีกไม่นานหรอก เขาจะทำให้พ่อเปลี่ยนใจ ฉีกพินัยกรรมฉบับนั้นทิ้งให้ได้...พริษฐ์หมายมาด
“ได้ นายรอรับข้อมูลแล้วกัน ฉันจะส่งให้เป็นระยะๆ”
“ขอบใจทิว”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน”
วางสายจากเพื่อนแล้วพริษฐ์ก็ต่อสายหาเจนจิตเป็นลำดับต่อไป เขาขอร้องให้มารดาจัดกระเป๋าเดินทางให้ และกำชับไม่ให้บอกพินิจ ซึ่งท่านไม่ติดใจอะไรนอกจากหัวเราะมาตามสาย
เจนจิตรู้ดีว่าลูกชายมีนิสัยอย่างไร พองานไม่ยุ่งมากหรือมั่นใจว่าบิดาสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดคนเดียวได้ เขามักเก็บกระเป๋าหนีเที่ยวไปถ่ายรูปอย่างที่ชอบ ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน ท่านจึงรับปากให้เด็กจัดการให้
ดังนั้นพอไปถึงบ้านจึงมีกระเป๋าเดินทางรออยู่ในห้องนอน และยังแถมกระเป๋ากล้องพร้อมอุปกรณ์ครบชุดอีกหนึ่งใบ ชายหนุ่มจึงยิ้มน้อยๆ
มารดาคงคิดว่าเขาหนีไปเที่ยวถ่ายรูปอย่างที่ชอบ
เป็นอย่างนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ
ดังนั้นพริษฐ์จึงอาบน้ำแต่งตัว คว้ากระเป๋าเดินทาง แล็ปท็อปสำหรับทำงาน เปิดกระเป๋ากล้องหยิบกล้องมิลเลอร์เลสออกมา คราวนี้เขาไม่ได้เอากล้องตัวใหญ่และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไป เพราะไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปค้นหาความจริงต่างหาก
-----------------------------------
ตอนที่ 2 มาแล้วจ้า
ช่วงนี้กำลังไล่กวดอยู่
เลยมาลงไวนะคะ ลงทุกวันไม่เว้นวันหยุด เย้
และขอบคุณคุณตรีจิตรที่ติดตามกันด้วยค่ะ ^^
พริษฐ์ไม่แปลกใจเลยเมื่อพบนันทิยาถลันออกมาจากโถงทางเดินระหว่างปีกซ้ายและขวาของบ้าน ดูจากสีหน้ากระวนกระวายก็พอเดาได้ว่ารออยู่นานแล้ว อาจจะตั้งแต่เห็นเขาเดินหายไปยังระเบียงหน้าบ้าน
น่าแปลกที่เขาเป็นฝ่ายไม่เห็นอานันตั้งแต่แรก แต่ก็นั่นละ ใครๆ ก็รู้ว่านิสัยอานันเป็นเช่นไร
“เป็นไงบ้างลูก ได้ผลไหม”
พริษฐ์รู้ว่าอาตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูง คำตอบของเขาคงทำให้ผิดหวังอยู่มาก กระนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกออกไปอยู่ดีว่าผลเป็นเช่นไร
“ไม่ได้ผลครับ”
จริงดังคาด นันทิยามีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะพริษฐ์ ทำยังไงดี” นันทิยาโวยวายอย่างจนปัญญา
ขนาดพริษฐ์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นลูกรัก ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลขอร้องยังไม่ได้ผล ส่วนเธอไม่ต้องพูดถึง แค่เอ่ยปากก็โดนคำว่าปฏิเสธตีแสกหน้าเข้าให้แล้ว และอย่าหวังว่าพี่ชายจะใจอ่อน
พินิจมีนิสัยต่างจากโชติผู้เป็นบิดา ที่เป็นคนตรง โผงผาง และดุ กระเดียดไปเหมือนพุดผู้เป็นปู่หรือทวดของพริษฐ์มากกว่า ท่านเป็นคนอ่อนโยน อบอุ่น ยามทำผิดไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอเห็นพินิจลงมือหวดลูกด้วยไม้เรียว โชติเสียอีกทนวิธีเลี้ยงลูกของพินิจไม่ได้ พอพริษฐ์ทำตัวเกเรเมื่อไร ไม้เรียวที่ฟาดลงบนตัวหลานชายจึงมาจากมือของโชติทั้งนั้น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงคิดว่าพินิจนิสัยไม่เหมือนโชติ
ทว่าใครจะรู้ จริงๆ พินิจนั้นเป็นลูกพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน พี่ชายของเธอเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน โดยเฉพาะเรื่องใจแข็งละที่หนึ่ง เมื่อใดคำว่า ‘ไม่’ ออกจากปาก นั่นหมายความว่าไม่คำเดียว นอกเสียจากเหตุผลที่นำมาแย้งนั้นสมเหตุสมผลจริงๆ จึงสามารถเปลี่ยนคำตอบได้ แต่ก็นั่นละ น้อยครั้งนักจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องนึกภาพ ถึงเธอไปโวยวายเหมือนหลายวันก่อนก็ไม่มีทางได้ผล
“ใจเย็นก่อนครับอา” หลังมือใหญ่โอบไหล่ของนันทิยาอย่างให้กำลังใจ รั้งให้ออกเดินไปด้วยกัน “ผมก็ไม่ยอมให้ของปู่ ของทวด ตกไปอยู่ในมือคนอื่นเหมือนกัน”
“งั้นพริษฐ์คิดเอาไว้หรือยังว่าจะทำยังไง”
“พินัยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ ตราบใดที่พ่อยังมีชีวิตอยู่” มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่ได้คิดแช่งบิดาของตนแต่อย่างใด “เรายังมีเวลาอีกเยอะครับ ไม่ต้องห่วง ต้องมีสักวิธีที่ทำให้พ่อเปลี่ยนใจ”
“พริษฐ์เองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพ่อเราเป็นคนยังไง ลงตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนใจเขายาก”
“ตอนแรกผมยังนึกไม่ออก แต่ได้ยินอาพูดแบบนี้แล้วชักได้ไอเดีย”
“ยังไงลูก”
“ก็ถ้าเปลี่ยนใจพ่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนใจคนอื่นสิครับ”
นันทิยาเลิกคิ้ว คิดตามหลานชายไม่ทัน
“เราก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนที่ได้รับบ้านไปสิครับ ว่าแต่อาจำได้หรือเปล่าว่าพ่อทำพินัยกรรมยกบ้านให้ใคร”
“อาจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่อาจดไว้ รอแป๊บนะลูก เดี๋ยวอาไปเอามาให้”
ความดีใจที่เห็นหลานชายหาทางออกได้ทำให้นันทิยาลืมคิดไปว่าจิตใจมนุษย์นั้นหยั่งยาก เงินทอง สมบัติพัสถานไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งมีคนเอามากองให้ตรงหน้าแบบไม่ต้องลงทุนลงแรง ใครบ้างอยากปฏิเสธ มีแต่รีบตะครุบละไม่ว่า ดังนั้นจึงไม่มีอะไรรับประกันว่าวิธีนี้จะสำเร็จ
พริษฐ์เองก็ไม่ใจร้ายพอจะดับความหวังอันริบหรี่ของอาสาว ตัวเขาเองคิดว่านี่คงเป็นวิธีสุดท้ายที่เลือกใช้แก้ปัญหา
ตอนนี้ขออย่างเดียว ขอรู้ก่อนเถอะว่าคนที่สมควรได้บ้านหลังนั้นมากกว่าเขาเป็นใคร!
ไม่เกินห้านาทีที่พริษฐ์ยืนรอ ประตูห้องนอนนันทิยาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
“นี่จ้ะ ตอนรู้เรื่องจากทนายประเสริฐ อาก็จดเอาไว้”
มือใหญ่รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ แล้วยกขึ้นอ่านทันใด
“อัญชัน หิรัญรัตน” เขาพยายามทบทวนว่าเคยได้ยินหรือรู้จักคนชื่อนี้มาก่อนหรือเปล่า คำตอบคือไม่ “อารู้จักหรือเปล่าครับ”
นันทิยาส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอนึกว่าอัญชัน หิรัญรัตน เป็นใคร มาจากไหน
“ผมก็ไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“แล้วพริษฐ์จะทำยังไงต่อไปลูก”
“ผมจะลองถามทนายประเสริฐดู” เขาเล็งเห็นว่าการไปถามเอากับต้นเรื่องคงจะไม่มีทาง ดังนั้นทางเลือกที่เหลือจึงเป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ดี
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล อาไม่วางใจเลยลูก”
“มันก็ต้องลองดูครับอา” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจนัก “ผมว่าตอนนี้อาไปนอนดีกว่า ไม่ต้องกังวลหรือคิดมาก เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ”
“ไม่รู้อาจะนอนหลับหรือเปล่านี่สิ” น้ำเสียงระโหยอย่างคนตัดความกังวลไม่ขาดทำให้พริษฐ์ต้องโอบร่างอาเอาไว้หลวมๆ พาเดินเข้าไปส่งถึงเตียงนอน ดึงผ้าขึ้นมาห่มให้อย่างอ่อนโยน
“อานอนนะครับ เดี๋ยวผมสั่งให้เด็กเอานมอุ่นๆ มาให้ จะได้หลับสบาย”
จะด้วยความอยากเอาใจหลานหรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้นันทิยาพยักหน้าเบาๆ ชายหนุ่มจึงวางใจออกจากห้องได้
ขณะเดินผ่านห้องหนังสือของบ้านใหญ่ พริษฐ์ก็ชะงัก มุมปากได้รูปยกขึ้น ถ้านันทิยาเห็นเข้าคงนึกรู้ว่าหลานชายกำลังนึกวางแผนอะไรแผลงๆ และเธอคงได้แต่ร้อนๆ หนาวๆ แทนใครก็ตามที่ตกมาอยู่ตรงกลางระหว่างแผนการเจ้าเล่ห์ของหลานชายอย่างช่วยอะไรไม่ได้เท่านั้น
แต่เพราะนันทิยาเข้านอนแล้วจึงไม่มีโอกาสได้เห็น นอกจากอาจแปลกใจบ้างว่าทำไมเด็กในบ้านถึงนำนมอุ่นๆ มาเสิร์ฟให้ช้านักเท่านั้นเอง
“คุณบัวครับ ตามคุณประเสริฐมาพบผมด้วย” พริษฐ์ต่อสายภายในสั่งความเลขานุการหน้าห้องทันที
“ตอนนี้เลยหรือคะ”
“ครับ”
เพียงไม่นานห้องรองประธานก็ได้ต้อนรับทนายความมือหนึ่งประจำบริษัท ตอนมาถึงประเสริฐพบว่าเจ้านายของตนยืนหันหลังเอามือไขว้หลังอยู่ตรงชั้นเอกสารริมผนัง ก่อนหมุนกลับมาช้าๆ
“คุณพริษฐ์อยากพบผม” แขกเอ่ยถามทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาเตรียมใจไว้ตั้งแต่เรื่องถึงหูนันทิยาแล้วว่า ไม่ช้าพริษฐ์ต้องรู้แน่นอน พอได้รับคำสั่งให้เข้าพบก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“เชิญคุณประเสริฐนั่งก่อนดีกว่า” พริษฐ์เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ของตน ปากก็เอ่ยเชื้อเชิญ
“รับอะไรดีครับ กาแฟ หรืออย่างอื่น”
“ผมเรียบร้อยมาแล้ว ขอบคุณมาก”
ใบหน้าคมพยักหน้าเบาๆ มือวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้น แล้วพริษฐ์ก็หมุนตัวมาประจันหน้ากับแขกด้วยสีหน้าเดายาก อาการทิ้งหลังพิงพนักเหมือนเจ้าตัวกำลังรู้สึกสบายอย่างเต็มประดา
ต่างกับประเสริฐที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานอย่างไร้คำพูดจากเจ้าของห้อง มีเพียงสายตาคมดุถอดแบบมาจากโชติจ้องกันไม่วางตา ก็เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เขาเห็นพริษฐ์ตามพินิจเข้าออกในบริษัทตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้นิสัยของเจ้านาย
ท่าทางเป็นการเป็นงาน สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากหน้ากาก ปิดบัง ซ่อนเร้นความเจ้าเล่ห์แสนกลของเจ้าตัวเอาไว้ให้คู่ต่อสู้ตายใจเท่านั้น
สุดท้ายเป็นทนายความสูงวัยที่ทนเล่นเกมจ้องตาไม่ไหว เป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องก่อน
“คุณพริษฐ์เรียกผมมาคุยเรื่องอะไรครับ”
“ผมคิดว่าคุณประเสริฐรู้อยู่แล้วเสียอีกว่าผมอยากคุยเรื่องอะไร ถ้าคุณประเสริฐยังคิดไม่ออก ระหว่างนี้ตอบผมดีกว่า” กระดาษโน้ตแผ่นเล็กถูกดันไปตรงหน้า “รู้จักคนชื่อนี้หรือเปล่า”
คนถูกถามก้มมองเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วส่ายหน้าเบาๆ โดยที่สายตาจับสังเกตของพริษฐ์ไม่พบพิรุธใดๆ ในนั้น
“ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้”
พริษฐ์พยักหน้า นับถือชั้นเชิงของทนายความมือฉมัง ขนาดเขาจับสังเกตอยู่ตลอดเวลา ทั้งแววตาและสีหน้าก็ไม่ปรากฏพิรุธแม้แต่แวบเดียว จนอดคิดไม่ได้ว่าหากทนายสูงวัยเกิดคิดอยากโกงบริษัทขึ้นมา อยากรู้นักจะจับได้ไล่ทันหรือเปล่า เหมือนครั้งนี้ ฝ่ายนั้นคงไม่ได้โกหก เพียงแต่ปกปิดข้อมูลบางส่วนเอาไว้เท่านั้น
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวสินะครับ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจ้าของห้องไม่อาจทำให้คนนั่งประจันหน้ากันอยู่รู้สึกรื่นรมย์ตามไปด้วย นอกจากคิดว่าพริษฐ์ไม่ใช่ผู้ชายที่ใครควรนึกประมาท
“แล้วคุณประเสริฐรู้จักคนคนนี้ในแง่ไหนบ้าง นอกจากไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว”
ปลายประโยคเต็มไปด้วยคำเหน็บแนม ทว่าชายสูงวัยกลับไม่รู้สึกอะไร คงเพราะน้ำเสียงทุ้มนั้นมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนมากกว่าเยาะหยัน
“ก็แค่ชื่อครับ”
พริษฐ์ย่นคิ้วทันทีเมื่อได้รับคำตอบ
“เท่านั้นจริงๆ หรือ”
“ครับ”
“คุณบอกว่ารู้จักคนที่พ่อผมเซ็นชื่อยกบ้านราคาหลายล้านให้เพียงแค่ชื่อเท่านั้นหรือ”
“ในฐานะลูกน้องที่ต้องทำตามคำสั่ง ผมขอตอบว่าครับ”
“แล้วนอกจากชื่อ คุณรู้อะไรบ้าง บอกผมมาให้หมดเดี๋ยวนี้ อย่าคิดปิดบังหรือบิดเบือนอะไรแม้แต่นิดเดียว”
สุ้มเสียงพริษฐ์ยังคงราบเรียบ ทว่าสายตาที่มองมามีแววคาดคั้นอยู่ในที และประเสริฐก็รู้สึกได้ ภายใต้ท่าทางดังกล่าว พริษฐ์สะกดความไม่พอใจเอาไว้อย่างแนบเนียน ถึงแม้กริ่งเกรงอารมณ์ของเจ้านาย แต่เขาก็ต้องตอบตามความเป็นจริง
“ไม่ครับ ผมแค่ทำตามที่คุณท่านสั่งเท่านั้น”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เมื่อไม่ได้รับความกระจ่างพริษฐ์ถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย
เมื่อคืนคุยกับบิดาก็ไม่ได้อะไรนอกจากทำให้อารมณ์ขุ่นมัว ครั้นมาเค้นคอถามเอากับทนายความประจำบริษัทก็ไม่ได้อะไรอีก มันน่าหงุดหงิดน้อยอยู่เมื่อไร
อีกฝ่ายได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าเสนอหรือพูดอะไร ด้วยเดาอารมณ์ของนายหนุ่มไม่ถูก กลัวว่าพูดผิดหูขึ้นมาจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย
พริษฐ์สงบอารมณ์ร้อนๆ ของตนให้เย็นลงอยู่ครู่ แล้วหันมาไล่เบี้ยเอากับประเสริฐอีกครั้ง
“คุณประเสริฐ ตอนนี้พินัยกรรมยังเป็นร่างอยู่ หรือว่ายังไง”
“คุณท่านลงนามในพินัยกรรมฉบับจริงแล้วครับ”
“แล้วมันเก็บอยู่ที่ไหน”
การนิ่งเงียบของประเสริฐทำให้ปรอทอารมณ์ของพริษฐ์พุ่งสูงอีกครั้ง ชายหนุ่มกระชากเสียงห้วนบอกอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องกลัวผมเอาไปฉีกทิ้งหรอกน่า บอกมา”
“ตู้นิรภัยในธนาคารครับ”
“มันคงสำคัญมากสินะ ถึงต้องเอาไปเก็บไว้ที่นั่น” พริษฐ์เยาะ
เอกสารสำคัญทุกชิ้นของคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์ไม่เคยมีฉบับไหนอยู่นอกบ้าน แต่พินัยกรรมฉบับนี้กลับถูกนำไปเก็บรวมไว้กับเครื่องเพชรหรือเครื่องทองชิ้นใหญ่ๆ ในเซฟธนาคาร
ทำราวกับว่าไม่ไว้ใจเขาอย่างนั้นละ
อาการเงียบไม่ตอบอะไร เอาแต่นั่งนิ่ง ตีสีหน้าเป็นทองไม้รู้ร้อนของทนายความ ทำให้พริษฐ์หมั่นไส้เป็นอย่างมาก
มุมปากเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเปิดลิ้นชักหยิบกระดาษแผ่นหนาและยาวออกมาจากในนั้น วางมันลงตรงหน้าทนายความ
“แล้วถ้าเจ้านี่อยู่ในมือผมล่ะ คุณจะทำอะไรกันได้ไหม”
ชายสูงวัยตกใจเมื่อเห็นตราครุฑสีชาดตรงกึ่งกลางหัวกระดาษที่พริษฐ์วางลงตรงหน้า เขาไม่คิดว่ามันจะตกอยู่ในมือชายหนุ่ม คนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ มองปราดแรกก็รู้ว่าคือโฉนดที่ดิน และถ้าหากต้องเดา คงเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนที่เรือนไทยหลังใหญ่ปลูกเอาไว้
จุดประสงค์ที่พริษฐ์เอาออกมาจากตู้เซฟคงเป็นเรื่องไม่ดีนัก ปฏิกิริยาต่อมาของเขาจึงเป็นอาการผวาหมายคว้ากระดาษแผ่นนั้นจากมือรองประธาน ทว่ากลับคว้าได้เพียงอากาศเมื่อหนุ่มอายุคราวลูกชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะๆ ทำอะไรครับคุณประเสริฐ ผมให้ดู ไม่ได้หมายความว่าให้จับด้วยนะครับ” พริษฐ์กำลังสนุกกับอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของคนตรงหน้า
“คืนมาเถอะครับคุณพริษฐ์ หรือเอาไปเก็บไว้ในที่ที่มันควรอยู่ดีกว่า”
“กับผมไงครับ ที่ที่มันควรอยู่” ชายหนุ่มตอบกลับมาหน้าตาย ก่อกวนอารมณ์คนฟังเต็มที่
“คุณพริษฐ์ คุณท่านอยากยกให้คุณอัญชันแล้วนะครับ คืนมาเถอะ” ทนายความขอร้องเสียงอ่อน
“พูดดีๆ นะคุณประเสริฐ พูดแบบนี้ก็เหมือนแช่งท่านประธานนะ”
“โธ่ คุณพริษฐ์ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”
“แต่ความหมายก็ทำนองนั้น”
บทจะรวนขึ้นมา พริษฐ์ก็ตีความทุกอย่างราวกับไม้บรรทัด
“คุณพริษฐ์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ เอากลับไปคืนที่เถอะ” ทนายสูงวัยเลือกใช้ไม้นวมแทนไม้แข็ง
ถึงพินัยกรรมทำขึ้นถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ผู้ทำพินัยกรรมยังมีชีวิตอยู่ ผลของพินัยกรรมก็ยังไม่เกิด เขารู้ดีพอๆ กับพริษฐ์นั่นละ
“ผมไม่ได้เห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ระหว่างนี้ให้ผมดูแลไปก่อนแล้วกัน ถึงเวลาต้องใช้เมื่อไหร่ค่อยมาเอา” พริษฐ์จบประโยคด้วยการเก็บโฉนดที่ดินฉบับนั้นลงลิ้นชัก ล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา “แต่หวังว่าคงยังไม่ต้องใช้ในเร็วๆ นี้หรอกนะครับ”
“คุณพริษฐ์กลัวว่าคุณท่านจะรีบโอนบ้านให้คุณอัญชันหรือครับ”
“ผมมีสิทธิ์คิดแบบนั้นไม่ใช่หรือ”
ไม่ใช่ไม่ไว้ใจบิดา เพียงแค่อยากมั่นใจในขณะเขาหาทางทำให้ท่านเปลี่ยนใจ ระหว่างนั้นมันจะไม่ถูกดำเนินการอันใดไปก่อน
“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือครับว่าโฉนดที่ดินออกใหม่ได้”
พริษฐ์ไหวไหล่อย่างกวนๆ อย่างสบายใจ
“แจ้งความเท็จเป็นคดีอาญา คุณเป็นทนายก็น่าจะรู้”
ทนายสูงวัยจนด้วยคำพูด เขาไม่อยู่ในฐานะทำอะไรได้มากกว่าแค่ขอร้อง ซึ่งตอนนี้ก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ณ ตอนนี้จึงต้องยอมพริษฐ์ไปก่อน สิ่งที่เขาควรทำเร็วที่สุดคือบอกเรื่องนี้ให้พินิจรู้ พ่อลูกกัน น่าจะหาทางทำอะไรบางอย่างได้
“ตกลงครับ คุณพริษฐ์มีอะไรจะถามผมอีกหรือเปล่า”
“ไม่มี ขอบคุณมากสำหรับคำตอบเรื่องคุณอัญชัน คุณช่วยผมได้มากทีเดียว”
ด้วยเข้าใจสถานการณ์ของพริษฐ์ตอนนี้ดี ประเสริฐจึงไม่ถือสาอะไรเมื่อถูกประชดประชัน ถ้าเป็นเขา หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คงออกมาทำอะไรเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนคุณประเสริฐ”
“ครับ” ทนายสูงวัยหันมาอย่างแปลกใจ...เมื่อครู่เพิ่งโดนเจ้านายหนุ่มไล่ทางอ้อมอยู่หยกๆ
“ตอนนี้บ้านหลังนั้นมีคนดูแลหรือเปล่า”
“มีครับ เป็นชาวบ้านแถวๆ นั้น”
“เอารายละเอียดให้ผมด้วย”
“คุณพริษฐ์ ถ้าคุณคิดจะทำอะไรแผลงๆ เปลี่ยนใจเสียเถอะครับ” น้ำเสียงทนายสูงวัยกึ่งปรามกึ่งขอร้อง แต่พริษฐ์หรือจะสนใจ
“เอามันมาให้ผม แล้วก็กลับไปได้”
คนถูกไล่ยังคงยืนนิ่ง ส่งสายตาขอร้องไป แต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มปรายตามองแวบเดียวก็ยกมือสะบัดไล่ เห็นท่าทางอย่างนั้น ทนายสูงวัยก็ได้แต่ถอนใจ หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานใหญ่ไปในที่สุด
คล้อยหลังทนายสูงวัย พริษฐ์ก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง ต่อสายภายในไปยังเลขานุการหน้าห้อง
“คุณบัว จองตั๋วเครื่องบินไป...” เขาเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศ “เร็วที่สุดเท่าที่จะหาได้ ถ้ามีวันนี้ก็ดี”
“ค่ะ แล้วขากลับล่ะคะ เป็นเที่ยวบินวันไหน”
“อืม... ยังไม่ต้องจองแล้วกัน จะกลับวันไหนเดี๋ยวผมจัดการเอง ได้ความยังไงโทร.เข้ามือถือนะ อีกเดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ เรื่องโรงแรมเดี๋ยวบัวติดต่อไว้เลยนะคะ ได้ความยังไงบัวจะโทร.หา”
“ขอบคุณมากคุณบัว” พอได้ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว พริษฐ์ก็วางสาย เขาใช้กุญแจไขลิ้นชัก หยิบกระดาษที่เป็นปัญหาถกเถียงกันเมื่อครู่ลงกระเป๋าเอกสาร ออกจากห้องไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเลขานุการ
“อ้อ อีกอย่างนะคุณบัว ตามเรื่องที่คุณประเสริฐให้ด้วย ถ้าได้พร้อมกับตั๋วเครื่องบินจะดีมาก”
“เรื่องไหนคะ” นลินถามเพื่อความมั่นใจ วันหนึ่งๆมีเรื่องส่งมาให้รองประธานพิจารณาเยอะเหลือเกิน เธออยากรู้เพื่อความไม่ผิดพลาด
“บอกเขาตามนั้นก็พอ เขารู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
“ค่ะ”
“ขอบคุณ” พูดจบก็ผละไปอย่างรีบร้อน
คนมองไม่แปลกใจอะไรมากเพราะพริษฐ์เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ใจร้อน สั่งอะไรก็ต้องได้ตามนั้น หญิงสาวจึงหันมาจัดการงานที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อย
คล้อยหลังชายหนุ่มนลินก็มีโอกาสได้พบกับท่านประธาน แต่พอทราบว่าลูกชายตัวดีไม่อยู่ ใบหน้าใจดีเป็นนิจก็เปลี่ยนไปจนนลินยังนึกหวาดแทนเจ้านายของตน ไม่รู้ทำอะไรเอาไว้ ท่านประธานถึงได้ออกอาการไม่พอใจขนาดนี้
เมื่อไม่ได้ความใดๆ จากปากทนายประเสริฐ พริษฐ์ก็เปลี่ยนวิธี มือข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กำลังทำตอนนี้ผิดกฎหมายและอาจทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้
“เฮ้ย... ว่าไงไอ้พริษฐ์ นี่ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือวะ”
“เออ” หากเป็นเวลาอื่นพริษฐ์คงตอบกลับไปด้วยประโยคยืดยาวทำนองอวยพรให้อายุยืนพอกัน แต่นี่เขามีเรื่องไหว้วาน จึงได้แต่สงบปากสงบคำด้วยกลัวถูกปฏิเสธ “ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วยหน่อยว่ะ”
“เรื่องอะไร”
“อยากให้สืบข้อมูลของคนคนนึงให้หน่อย”
“เออ เดี๋ยว ฉันหาปากกาก่อน พอดีตอนนี้ไม่อยู่สำนักงานว่ะ”
พริษฐ์ไม่แปลกใจเท่าไร อาชีพนักสืบอย่างทิวไผ่ให้ทำงานนั่งโต๊ะ อยู่แต่ในออฟฟิศคงไม่มีรายได้เข้าบัญชีบริษัทแน่ๆ
“เอาละ ว่ามา”
“อัญชัน หิรัญรัตน... สืบให้หน่อยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน มีเบื้องหลังยังไง”
“นายอยากรู้ไปทำไม อธิบายได้ไหมวะ มันไม่ใช่นิสัยนายนี่หว่าที่คอยตามสืบข้อมูลใครต่อใคร” ทิวไผ่อดแปลกใจไม่ได้ ไม่บ่อยนักหรอกที่เพื่อนจะไหว้วานให้สืบหาข้อมูลของใครสักคน “เขาทำอะไรให้ หรือทำอะไรไม่ดีไว้ นายถึงต้องสืบหาเบื้องหลังน่ะ”
พริษฐ์ถอนหายใจเบาๆ ความจริงเขาตั้งใจให้มีคนรู้เรื่องที่จะทำน้อยที่สุด ขยับตัวทำอะไรจะได้สะดวก แต่ปิดทิวไผ่ไปคงไร้ประโยชน์ ลองอยากรู้ เจ้าเพื่อนตัวดีต้องหาทางสืบจนรู้ในที่สุด พริษฐ์จึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้เพื่อนฟัง รวมทั้งสิ่งที่กำลังคิดทำด้วย
“โอ๊ย... เหมือนละครหลังข่าวเลยว่ะ ผิดกันก็แต่นายยังเหลือมรดกไว้เลี้ยงตัวอีกเยอะแยะ นอกจากบ้านหลังนั้น”
เพื่อนแซวมาพร้อมเสียงหัวเราะที่ทำเอาคนเสียมรดกถึงกับฉิว ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงได้ดวลแข้งขากันบ้าง
“ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโว้ยไอ้ทิว เรื่องนี้ฉันซีเรียส”
“เออๆ ฉันเป็นนักสืบมาก็นาน เจอเรื่องแปลกๆ น้ำเน่ามาก็เยอะ แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคนใกล้ตัว ขอโทษว่ะ แล้วนายจะเอาข้อมูลเชิงลึกขนาดไหนวะ แล้วอยากได้เมื่อไหร่”
“ลึกที่สุด เร็วที่สุด”
เขาอยากรู้ว่าคนคนนี้ดีเด่ขนาดไหน บิดาถึงบอกว่าเธอควรได้รับบ้านหลังนั้นไปมากกว่าเขา และถ้ามีประวัติด่างพร้อยแม้แต่น้อย เขาจะใช้มันเป็นข้ออ้างหักล้างคำพูดของบิดา
คอยดูเถอะ อีกไม่นานหรอก เขาจะทำให้พ่อเปลี่ยนใจ ฉีกพินัยกรรมฉบับนั้นทิ้งให้ได้...พริษฐ์หมายมาด
“ได้ นายรอรับข้อมูลแล้วกัน ฉันจะส่งให้เป็นระยะๆ”
“ขอบใจทิว”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน”
วางสายจากเพื่อนแล้วพริษฐ์ก็ต่อสายหาเจนจิตเป็นลำดับต่อไป เขาขอร้องให้มารดาจัดกระเป๋าเดินทางให้ และกำชับไม่ให้บอกพินิจ ซึ่งท่านไม่ติดใจอะไรนอกจากหัวเราะมาตามสาย
เจนจิตรู้ดีว่าลูกชายมีนิสัยอย่างไร พองานไม่ยุ่งมากหรือมั่นใจว่าบิดาสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดคนเดียวได้ เขามักเก็บกระเป๋าหนีเที่ยวไปถ่ายรูปอย่างที่ชอบ ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน ท่านจึงรับปากให้เด็กจัดการให้
ดังนั้นพอไปถึงบ้านจึงมีกระเป๋าเดินทางรออยู่ในห้องนอน และยังแถมกระเป๋ากล้องพร้อมอุปกรณ์ครบชุดอีกหนึ่งใบ ชายหนุ่มจึงยิ้มน้อยๆ
มารดาคงคิดว่าเขาหนีไปเที่ยวถ่ายรูปอย่างที่ชอบ
เป็นอย่างนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ
ดังนั้นพริษฐ์จึงอาบน้ำแต่งตัว คว้ากระเป๋าเดินทาง แล็ปท็อปสำหรับทำงาน เปิดกระเป๋ากล้องหยิบกล้องมิลเลอร์เลสออกมา คราวนี้เขาไม่ได้เอากล้องตัวใหญ่และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไป เพราะไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปค้นหาความจริงต่างหาก
-----------------------------------
ตอนที่ 2 มาแล้วจ้า
ช่วงนี้กำลังไล่กวดอยู่
เลยมาลงไวนะคะ ลงทุกวันไม่เว้นวันหยุด เย้
และขอบคุณคุณตรีจิตรที่ติดตามกันด้วยค่ะ ^^
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2560, 14:40:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2560, 14:41:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1005
<< บทที่ 1 | บทที่ 3 >> |