Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 2
บทเพลงที่ 2
Where do I belong?
สามวัน เป็นระยะเวลาที่พวกเราทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพังอย่างเป็นอิสระก่อนที่พ่อแม่ของพลอยจะกลับมา ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นฉันมายืนต้อนรับพวกเขาพร้อมๆ กับพลอย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงให้การต้อนรับฉันอย่างดี ราวกับว่าฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเหมือนทุกครั้ง
ครอบครัวของพลอยเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่งเลยทีเดียว พ่อแม่ของพลอยเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของพลอยซึ่งต่างจากพ่อแม่ของฉันลิบลิ่ว แม้ว่าพลอยจะไม่เรียนหมอเหมือนอย่างพวกเขาหรือพี่เพชร พ่อแม่ของพลอยก็ไม่เคยว่าอะไร แถมยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอิจฉาพลอยไม่น้อยที่ได้เลือกเส้นทางเดินในชีวิตตามความชอบของตนเอง
หลายวันถัดจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รอลุ้นผลแอดมิชชั่นไปพร้อมๆ กับเพื่อนรัก จนในที่สุดผลแอดมิชชั่นก็ออกมาอย่างเป็นทางการโดยที่พลอยติดคณะบัญชีของมหาวิทยาลัยภูมิฤดี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ
“ยินดีด้วยนะพลอย” ฉันกล่าวแสดงความยินดีกับเพื่อนจากใจจริง
“แบบนี้ต้องฉลอง” เพชร พี่ชายของพลอยยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ฟังข่าวดีจากพวกเรา พี่เพชรอายุมากกว่าพวกเราสี่ปี และกำลังเรียนอยู่ปีห้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่ภูมิฤดีเช่นเดียวกันกับพลอย ดูจากรอยยิ้มแล้วพี่เพชรคงจะดีใจไม่น้อยที่พลอยจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกไปถึงพี่ชายของตัวเอง
ถ้าพี่แดนรักฉันแบบที่พี่เพชรรักพลอยบ้างก็คงจะดี
แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่แดนหรอก ทั้งพ่อและแม่ด้วยนั่นแหละ พอคิดเรื่องนี้แล้วฉันก็มักจะเผลอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกน้อยใจอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่ทุกคนได้ฟังข่าวน่ายินดี พ่อแม่ของพลอยจึงตัดสินใจจะจัดงานฉลองเล็กๆ กันเองภายในครอบครัว ซึ่งก็คือการทำอาหารเย็นด้วยกัน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการทำอาหารด้วยกัน แต่คนที่ทำจริงๆ ก็มีแค่แม่ของพลอยและพลอยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งฉันนั้นจะมีหน้าที่นอนเลื้อยอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น รออาหารมาเสิร์ฟถึงที่
ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนที่จะทำอาหารเป็นนี่นา
“แล้วหนูเดย์ว่ายังไงจ๊ะลูก จะขนของลงมารอแม่หนูเลยมั้ยจ๊ะ” แม่ของพลอยยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะรับแขกพร้อมกับหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นทุกที แต่ฉันกลับต้องขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฉันต้องขนของมารอแม่ด้วยล่ะ
“ฉันโทรไปบอกเองแหละ” พลอยยกถาดแก้วน้ำเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นเป็นคนที่สอง เธอพูดเฉลยด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรและเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของฉันโดยสิ้นเชิง
ฉันหันไปจ้องพลอยเขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างนี้กับฉันได้ลงคอ พร้อมทั้งเพ่งสายตาคอยจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนด้วยความโกรธและผิดหวัง ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ เปิดใจกับพลอยซึ่งเป็นเพื่อนสนิท แต่พลอยกลับหักหลังฉัน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกทรยศและถูกทอดทิ้งภายในชั่วพริบตา แถมยังมาทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยเนี่ยนะ ไม่สิ พลอยคงไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของฉันด้วยซ้ำว่าฉันจะรู้สึกยังไง ในเมื่อเจ้าตัวหันไปพูดคุยหัวเราะร่วนไปพร้อมๆ กับพี่เพชรซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมอีกด้านหนึ่งโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจฉันเลยสักนิดว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่เพียงคนเดียวภายในโลกใบนี้ ที่นี่ไม่มีที่สำหรับฉัน จริงๆ แล้วมันก็เป็นบ้านของพลอย ครอบครัวของพลอย ฉันเป็นคนนอกที่เข้ามาอาศัยอยู่โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกต้อนรับฉันเสียด้วยซ้ำ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ จะหน้าด้านอยู่ในบ้านของพวกเขาต่อทำไม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็กลับบ้านของตัวเองไม่ได้ จะว่าไปแล้วฉันไม่รู้สึกเลยด้วยว่าที่นั่นเป็นบ้านของฉัน ทั้งพ่อแม่และพี่แดนต่างก็ไม่มีใครยอมรับฉัน แล้วตอนนี้พลอยก็เขี่ยฉันทิ้งด้วยอีกคน ในโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจฉัน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“นั่นหนูเดย์จะไปไหนจ๊ะลูก” แม่ของพลอยเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันคว้ากระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง แล้วลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณทุกๆ คนมากค่ะ” ฉันหยุดยืนอยู่ตรงประตูแล้วหันไปกล่าวเสียงเรียบจนฟังดูเหมือนไร้อารมณ์ ท่าทีเย็นชาอย่างเห็นได้ชัดของฉันคงจะทำให้พวกเขาสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะแต่ละคนหันไปมองหน้ากันเองอย่างงงๆ ก่อนที่พลอยจะรีบเดินเข้ามาหาฉัน
แต่ฉันไม่อยากยืนเป็นส่วนเกินของครอบครัวแสนสุขนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุเดือด พร้อมกับรีบวิ่งออกมาจากบ้านของพลอยทันที ในเมื่อพลอยอยากส่งตัวฉันกลับไปหาพ่อแม่นัก ก็เอาไปแต่กระเป๋ากับเสื้อผ้าก็แล้วกัน เพราะฉันจะไม่มีวันยอมเป็นหุ่นเชิดทำตามความต้องการของใครทั้งนั้น
ฉันเร่งฝีเท้า วิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก หลังจากวิ่งมาได้พักใหญ่จนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่นอน ฉันก็ลดฝีเท้าลงพร้อมกับยืนหายใจหอบด้วยความเหนื่อย
ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้นี่มันช่างเป็นยาพิษที่กัดกินหัวใจจนปวดร้าวมากเหลือเกิน ฉันเดินเลาะริมถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ ก้มหน้ามองพื้น แล้วก็ต้องกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัดเมื่อคิดถึงใบหน้าของพลอยขึ้นมา ทั้งโกรธและเจ็บในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนหมดรูป พ่อคงจะกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างผู้ชนะอยู่แน่ๆ ที่ฉันจะต้องซมซานกลับไปหาพ่อเหมือนเดิม จากแต่ก่อนที่ฉันเคยมีพลอยอยู่เคียงข้าง ตอนนี้กลับไม่เหลือใครอีกต่อไปแล้ว อยู่ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเพียงลำพัง
...เหงาเหลือเกิน
คิดๆ แล้วก็อยากจะร้องไห้ แต่ฉันไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องมาเสียน้ำตาให้กับความเหงา ฉันไม่อยากเป็นเด็ก ฉันไม่อยากอ่อนแอ ความเป็นเด็กคือสิ่งที่พวกพ่อแม่ชอบนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับลูกให้เต้นไปตามที่ตนเองต้องการ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่แสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาเด็ดขาด ฉันจะไม่ยอมเป็นเด็กที่คอยรับคำบัญชาใครอีกต่อไป
น่าหงุดหงิด น่าโมโห ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่ารำคาญที่สุด ฉันรู้ตัวเองดีว่ากำลังหนีอยู่ แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหนฉันก็ไม่ได้พบกับทางออกเสียที ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ อยากไปไหนก็ได้ที่จะสามารถขจัดความรู้สึกที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอกให้มันหายไปซะ
ฉันโบกรถแท็กซี่พร้อมกับบอกให้ไปยังเดอะมิราเคิลซึ่งเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉันในขณะนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก
ยี่สิบนาทีผ่านไปฉันก็มาถึงหน้าทางเข้าผับเดอะมิราเคิล คนไม่เยอะเท่าอาทิตย์ที่แล้วซึ่งเป็นตอนที่ฉันมาที่นี่กับพลอยครั้งแรก น่าจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าตอนนั้น คนจึงยังไม่ค่อยมากัน
หลังจากจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่ ฉันก็รีบลงจากรถมาแล้วเดินตรงไปที่หน้าทางเข้าซึ่งมีการ์ดสองคนยืนประจำอยู่ แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดชะงักพร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่ มองการ์ดทั้งสองคนด้วยสีหน้าซีดเผือดทันทีเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าฉันไม่มีบัตรประชาชนปลอมแบบพลอย แล้ววันนี้ฉันก็ไม่ได้แต่งตัวแบบจัดเต็มเท่าวันนั้นอีกต่างหาก แม้ว่าเสื้อผ้าทุกตัวและกระเป๋าสะพายของฉันจะเป็นสไตล์พังก์ร็อกอยู่แล้ว แต่ว่าฉันไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด แถมยังวิ่งพรวดพราดออกมาโดยไม่ทันได้คิดจนถึงกับลืมรองเท้าบูทส้นตึกไว้ที่บ้านพลอยอีกด้วย เพราะฉะนั้นรองเท้าแตะธรรมดาที่กำลังใส่อยู่ในตอนนี้จึงทำให้ฉันดูจืดไปเลย
แต่ฉันก็ทำใจกล้าไปยืนเข้าแถวอยู่กับคนอื่นๆ บางทีการ์ดอาจจะจำฉันได้ก็ได้ แต่มันก็เป็นได้แค่ความหวังที่แสนจะริบหรี่ ฉันเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น การ์ดจะไปจำหน้าฉันได้ยังไงกัน
แถวค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทำให้ฉันเข้าใกล้ประตูทางเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ ด้วยความลุ้นระทึกทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะไปผ่านด่านทดสอบมหาโหดอะไรสักอย่างอยู่ แต่แล้วอาการตื่นเต้นก็หายวับไปในพริบตาพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังในทันใดหลังจากที่การ์ดคนหนึ่งถามหาบัตรประชาชนของฉัน เมื่อฉันตอบไปว่าไม่มีเขาก็มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้าไม่อนุญาตให้ฉันผ่านประตูเข้าไป
พอโดนห้ามไม่ให้เข้า ฉันจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของผับเพราะจำได้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ตรงลานจอดรถ ฉันเดินขึ้นบันไดไปตรงระเบียงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะทำอาชญากรรมอะไรสักอย่างอยู่ ตรงราวระเบียงมีคนยืนพิงอยู่แต่ฉันพยายามไม่สนใจเขา แล้วเดินผ่านไปที่ประตูก่อนจะลองเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูพร้อมด้วยอาการหัวใจเต้นระรัว
บ้าชะมัด! ประตูล็อก
ประตูนี่คงจะออกแบบมาให้ล็อกอัตโนมัติเหมือนกับประตูห้องพักของโรงแรมแน่ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จนปัญญาแล้วว่าจะแอบเข้าไปได้ยังไง
ดังนั้นฉันจึงกลับหลังหันไปที่ระเบียง เท้าแขนลงบนราวแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด
คืนนี้เยี่ยมจริงๆ ถูกเพื่อนหักหลัง พอจะมาปลดปล่อยอารมณ์ก็ถูกห้ามไม่ให้เข้า แล้วพอจะแอบเข้า ประตูก็ดันล็อกเข้าไม่ได้อีก ช่างเป็นคืนบัดซบที่น่ารำคาญที่สุด
ควันบุหรี่ลอยมาแตะจมูกทำให้ฉันหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง ซึ่งมีใครคนหนึ่งกำลังยืนพิงระเบียงสูบบุหรี่อยู่
“ฉันขอสักมวนได้มั้ย” ฉันเดินเข้าไปยืนข้างๆ เขา พูดเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว รู้สึกอยากทำอะไรที่มันบ้าระห่ำ ยิ่งขัดคำสั่งของพ่อได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างเรื่องลองบุหรี่เป็นต้น บางทีคราวนี้ฉันอาจจะได้รู้เสียทีว่าทำไมคนมากมายถึงได้ติดใจในรสชาติประหลาดๆ ของมันนักก็ได้
ชายหนุ่มยื่นซองบุหรี่มาให้ ฉันยื่นมือออกไปรับมาทันทีพร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมา พอดีกับที่คนข้างกายได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อจุดบุหรี่ให้กับฉันด้วยไฟแช็กในมือของเขา
จะว่าไป เหมือนจะคุ้นๆ อยู่ว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน...
ฉันสำลักควันบุหรี่ออกมานิดหน่อย แต่ก็น่าดีใจไม่น้อยที่ครั้งนี้ฉันไม่รู้สึกมึนหัวเท่าสองครั้งแรก ครั้งนี้ฉันรู้สึกโล่งๆ เหมือนกับว่าความรู้สึกที่เบียดอัดแน่นอยู่ภายในใจทั้งหลายนั้นได้คลายออกจากกันทีละนิด แต่ก็ยังช้าเกินไปจนน่ารำคาญอยู่ดี ทำให้ฉันต้องยัดบุหรี่เข้าปากซ้ำอีกรอบพร้อมกับตั้งสมาธิอยู่กับการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นควันออกมาจากปากเบาๆ อย่างเซ็งๆ
เสียงหัวเราะขำขันน้อยๆ ดังมาจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ ฉันรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันทีเพราะคิดว่าถูกเขาหัวเราะเยาะ รวมทั้งยังรู้สึกยัวะที่วันนี้มีเรื่องน่าโมโหเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นฉันจึงหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่อย่างไม่พอใจ
“ฉันเดาว่าวันนี้ฉันคงชอบบุหรี่” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบพลางอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก อารมณ์ขุ่นมัวของฉันหายวับไปในทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
มือคีย์บอร์ดแห่งวง May-B
“นายจำฉันได้ด้วยเหรอ” ฉันกล่าวทักด้วยความตื่นเต้น สีหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสโดยพลัน พร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจและดีใจที่เขาจำฉันได้ด้วย
“เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ฉันยังไม่แก่นะ” เสียงนุ่มตอบกลับมาขณะอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
รอยยิ้มนั่น ใช่แล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารัก ดูอบอุ่นมากๆ เลย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะยิ้มตามเขา ดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก ทั้งตื่นเต้นที่ได้เจอเขา แล้วก็ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งหนึ่งด้วย
อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องบัดซบไปซะหมด
“แต่ก็คงแก่กว่าฉันอยู่ดี” ฉันหรี่ตาลงพร้อมกับเพ่งมองไปที่ชายหนุ่มอย่างสำรวจ วันนี้เขาสวมหมวกไหมพรมสีเข้มจึงเป็นสาเหตุทำให้ฉันจำเขาไม่ได้ในตอนแรก ตรงแขนทั้งสองข้างมีปลอกแขนยาวสีเข้มตัดกับเสื้อสีขาวโพลน ซึ่งฉันค่อนข้างมั่นใจว่าในวันแรกที่เจอกันนั้นฉันก็เห็นเขาใส่ปลอกแขนแบบนี้เหมือนกัน บางทีคงจะเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขาเอง
“ฉันอายุยี่สิบเอ็ด เธออายุเท่าไหร่ล่ะ”
พอโดนถามเรื่องอายุ ฉันก็หุบยิ้มลงทันควันราวกับว่ามันได้กลายเป็นปมด้อยของตัวเองไปเสียแล้ว
“...สิบเจ็ด” ฉันตอบเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกด้อยกว่าโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเจ็บใจที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ฉันต้องโดนเขามองว่าเป็นเด็กเหมือนอย่างคนอื่นๆ แน่นอน แล้วก็จะถูกแบ่งกั้นด้วยเส้นระดับความอาวุโส จากนั้นก็จะถูกปฏิบัติด้วยเหมือนกับว่าฉันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ
ฉันไม่ได้อยากถูกมองว่าเป็นเด็ก ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเอ็นดู ฉันอยากได้ความเท่าเทียมกันต่างหาก
แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น ต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่มักจะก่อกำแพงความอาวุโสกว่าขึ้นมากั้น แล้ววางตัวเปลี่ยนไปจากเดิมทันทีที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า
ยิ่งคิดเรื่องอายุของตัวเองมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจที่เข้าไปข้างในเดอะมิราเคิลไม่ได้ ช่างน่าอิจฉาเขาเหลือเกินที่อายุถึงแล้ว จึงเข้าไปสัมผัสความสนุกสนานข้างในได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้
“ดีจังนะ ฉันสิมาคนเดียวแถมเข้าก็ไม่ได้เพราะอายุไม่ถึง มาเสียเที่ยวชะมัด” ฉันละสายตาจากเขาไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วพ่นควันออกมาจากปากอย่างเซ็งๆ แม้ว่าชักจะรู้สึกสมองโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น เหม็นก็เหม็น รสชาติก็ประหลาด แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสยังไง แถมยังทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจมควันอยู่อีกต่างหาก
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนข้างกายเรียกให้ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง พร้อมกับเอาบุหรี่ออกจากปากเนื่องจากทนสูบต่อไปไม่ไหว ฉันเห็นเขายังคงยิ้มน้อยๆ มองมาที่ฉันอยู่เช่นเดิม แต่ครู่หนึ่งถัดมาเขาก็ละสายตาไป แล้วเดินไปยังประตูทางเข้าเดอะมิราเคิลที่ฉันเพิ่งจะพยายามเปิดมันเมื่อกี้นี้
ฉันอ้าปากตั้งใจจะบอกเขาว่าประตูล็อกอยู่ แต่แล้วก็ต้องหุบลงทันควันเมื่อเห็นเขาล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ฉันยืนมองเขาไขกุญแจเปิดประตูด้วยความงุนงงอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีกุญแจ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอนาถตัวเองที่ซื่อบื้อจนนึกเรื่องนี้ไม่ออกได้ยังไง เขาเป็นมือคีย์บอร์ดของวง May-B แถมยังเคยบอกกับฉันว่าเล่นกีตาร์ประจำอยู่ที่นี่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเขาก็ควรที่จะต้องมีกุญแจชุดหนึ่งพกเอาไว้อยู่แล้ว
แต่แทนที่เขาจะเดินผ่านประตูเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มกลับหันมาทางฉันโดยที่ยังคงอมยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม
“เข้ามาด้วยกันมั้ย” เสียงนุ่มกล่าวชวนพร้อมกับเอียงศีรษะน้อยๆ ไปทางทิศด้านในตึก
ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไรแน่เหรอ ฉันอายุไม่ถึงนะ” แม้ว่าจะพูดด้วยท่าทีลังเล แต่ฉันกลับไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉันไม่สนใจเรื่องอายุหรอก อายุเป็นแค่ตัวเลขที่ไม่สามารถใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ของใครได้ ห่างกันแค่ปีสองปีมันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายเลย”
ฉันยืนมองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้นอีกอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน เหมือนจะชื่นชมเขามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ความรู้สึกหลากหลายกำลังอัดแน่นอยู่ภายในอกจนฉันแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
ดีใจ? ตื้นตันใจ? มีความสุข? มันเหมือนกันว่าฉันได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ตามหามานาน ใครสักคนที่คิดเหมือนฉัน เข้าใจฉัน
“จะว่าไป ฉันชื่อเดย์นะ” ฉันบอกเสียงใสขณะวิ่งเข้าไปหาเขา แล้วหยุดยืนข้างๆ เพื่อรอให้เขาเป็นฝ่ายบอกชื่อของตัวเองบ้าง
“ไนท์” เสียงนุ่มตอบกลับมา ทำให้ฉันต้องทำตาโตด้วยความยินดี พร้อมกับรู้สึกหัวใจพองโตเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าเลยทีเดียว เนื่องจากชื่อของเรามีความหมายเกี่ยวพันกัน บางทีไนท์อาจจะถูกลิขิตมาให้เป็นเพื่อนคนแรกที่เข้าใจฉันก็ได้
ฉันเดินตามไนท์เข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็พาฉันขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งถูกกำหนดให้เป็นโซนวีไอพี แล้วเข้าไปในห้องๆ หนึ่งพร้อมกับบอกว่าเป็นห้องซ้อมดนตรีก่อนขึ้นเวทีของพวกเขา ซึ่งเป็นห้องเก็บเสียงที่มีขนาดกว้างพอสมควร
เสียงเพลงดังสวนออกมาจากห้องทันทีที่ไนท์เปิดประตูเข้าไป ภายในมีเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดวางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง มีคนร่วมยี่สิบคนหรืออาจจะเกินกว่านั้นกำลังพูดคุยเฮฮากันอย่างคึกคัก หลายคนส่งเสียงหัวเราะดังร่วมไปกับเสียงเพลง มองดูแล้วเหมือนทุกคนกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้งานหนึ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“พาใครมาวะไนท์” เสียงร้องทักดังมาจากชายหนุ่มเจ้าของทรงผมสกินเฮดที่ฉันเคยเห็นบนเวทีเมื่ออาทิตย์ก่อน เขากำลังนั่งพาดแขนอยู่ตรงริมสุดของโซฟาสีแดงสด ซึ่งมีความยาวไปจนถึงสุดมุมอีกด้านหนึ่งของห้อง
“เขาชื่อเดย์ มาคนเดียว ฉันก็เลยคิดว่าอาจจะเหงา” ไนท์หันไปปิดประตูเมื่อพวกเราเดินเข้ามายืนข้างใน จากนั้นเขาก็ผละออกจากฉันไปที่โต๊ะตรงหน้าโซฟา ซึ่งมีขนมและเครื่องดื่มหลายประเภทวางเกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะ ก่อนจะก้มหยิบแก้วไวน์ใบหนึ่งขึ้นมาจิบนิดๆ
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันผงกหัวน้อยๆ ให้กับหนุ่มสกินเฮดอย่างรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะต้องขออนุญาตเข้าห้องก่อนหรือเปล่า
ไนท์เดินเข้ามาคว้าแขนของฉันแล้วดึงไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ก้มหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นมาอีกใบหนึ่ง แล้วยื่นส่งมาให้
พอฉันยื่นมือไปรับแก้วมาถือเอาไว้ เขาก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นน้อยๆ พลางอมยิ้มตรงมุมปากอยู่เช่นเดิม ฉันยิ้มร่าออกมาอย่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะชนแก้ว
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของพวกเรา”
“อื้อ” ฉันพยักหน้าแข็งขันอย่างรู้สึกตื่นเต้น พร้อมกับยื่นแก้วไปชนกับแก้วของเขา
เสียงชนแก้วดังเบาๆ ก่อนที่ฉันและไนท์จะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นเสมือนสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาของความสนุกสนาน ใช่แล้ว ปาร์ตี้ เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่ายรำอยู่บนสวรรค์
ไม่แน่ว่าบางที...ฉันอาจจะค้นพบที่ของตัวเองแล้วก็ได้
***+++***+++***+++***
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
Where do I belong?
สามวัน เป็นระยะเวลาที่พวกเราทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพังอย่างเป็นอิสระก่อนที่พ่อแม่ของพลอยจะกลับมา ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นฉันมายืนต้อนรับพวกเขาพร้อมๆ กับพลอย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงให้การต้อนรับฉันอย่างดี ราวกับว่าฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเหมือนทุกครั้ง
ครอบครัวของพลอยเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่งเลยทีเดียว พ่อแม่ของพลอยเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของพลอยซึ่งต่างจากพ่อแม่ของฉันลิบลิ่ว แม้ว่าพลอยจะไม่เรียนหมอเหมือนอย่างพวกเขาหรือพี่เพชร พ่อแม่ของพลอยก็ไม่เคยว่าอะไร แถมยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอิจฉาพลอยไม่น้อยที่ได้เลือกเส้นทางเดินในชีวิตตามความชอบของตนเอง
หลายวันถัดจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รอลุ้นผลแอดมิชชั่นไปพร้อมๆ กับเพื่อนรัก จนในที่สุดผลแอดมิชชั่นก็ออกมาอย่างเป็นทางการโดยที่พลอยติดคณะบัญชีของมหาวิทยาลัยภูมิฤดี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ
“ยินดีด้วยนะพลอย” ฉันกล่าวแสดงความยินดีกับเพื่อนจากใจจริง
“แบบนี้ต้องฉลอง” เพชร พี่ชายของพลอยยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ฟังข่าวดีจากพวกเรา พี่เพชรอายุมากกว่าพวกเราสี่ปี และกำลังเรียนอยู่ปีห้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่ภูมิฤดีเช่นเดียวกันกับพลอย ดูจากรอยยิ้มแล้วพี่เพชรคงจะดีใจไม่น้อยที่พลอยจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกไปถึงพี่ชายของตัวเอง
ถ้าพี่แดนรักฉันแบบที่พี่เพชรรักพลอยบ้างก็คงจะดี
แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่แดนหรอก ทั้งพ่อและแม่ด้วยนั่นแหละ พอคิดเรื่องนี้แล้วฉันก็มักจะเผลอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกน้อยใจอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่ทุกคนได้ฟังข่าวน่ายินดี พ่อแม่ของพลอยจึงตัดสินใจจะจัดงานฉลองเล็กๆ กันเองภายในครอบครัว ซึ่งก็คือการทำอาหารเย็นด้วยกัน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการทำอาหารด้วยกัน แต่คนที่ทำจริงๆ ก็มีแค่แม่ของพลอยและพลอยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งฉันนั้นจะมีหน้าที่นอนเลื้อยอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น รออาหารมาเสิร์ฟถึงที่
ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนที่จะทำอาหารเป็นนี่นา
“แล้วหนูเดย์ว่ายังไงจ๊ะลูก จะขนของลงมารอแม่หนูเลยมั้ยจ๊ะ” แม่ของพลอยยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะรับแขกพร้อมกับหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นทุกที แต่ฉันกลับต้องขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฉันต้องขนของมารอแม่ด้วยล่ะ
“ฉันโทรไปบอกเองแหละ” พลอยยกถาดแก้วน้ำเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นเป็นคนที่สอง เธอพูดเฉลยด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรและเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของฉันโดยสิ้นเชิง
ฉันหันไปจ้องพลอยเขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างนี้กับฉันได้ลงคอ พร้อมทั้งเพ่งสายตาคอยจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนด้วยความโกรธและผิดหวัง ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ เปิดใจกับพลอยซึ่งเป็นเพื่อนสนิท แต่พลอยกลับหักหลังฉัน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกทรยศและถูกทอดทิ้งภายในชั่วพริบตา แถมยังมาทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยเนี่ยนะ ไม่สิ พลอยคงไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของฉันด้วยซ้ำว่าฉันจะรู้สึกยังไง ในเมื่อเจ้าตัวหันไปพูดคุยหัวเราะร่วนไปพร้อมๆ กับพี่เพชรซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมอีกด้านหนึ่งโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจฉันเลยสักนิดว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่เพียงคนเดียวภายในโลกใบนี้ ที่นี่ไม่มีที่สำหรับฉัน จริงๆ แล้วมันก็เป็นบ้านของพลอย ครอบครัวของพลอย ฉันเป็นคนนอกที่เข้ามาอาศัยอยู่โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกต้อนรับฉันเสียด้วยซ้ำ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ จะหน้าด้านอยู่ในบ้านของพวกเขาต่อทำไม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็กลับบ้านของตัวเองไม่ได้ จะว่าไปแล้วฉันไม่รู้สึกเลยด้วยว่าที่นั่นเป็นบ้านของฉัน ทั้งพ่อแม่และพี่แดนต่างก็ไม่มีใครยอมรับฉัน แล้วตอนนี้พลอยก็เขี่ยฉันทิ้งด้วยอีกคน ในโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจฉัน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“นั่นหนูเดย์จะไปไหนจ๊ะลูก” แม่ของพลอยเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันคว้ากระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง แล้วลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณทุกๆ คนมากค่ะ” ฉันหยุดยืนอยู่ตรงประตูแล้วหันไปกล่าวเสียงเรียบจนฟังดูเหมือนไร้อารมณ์ ท่าทีเย็นชาอย่างเห็นได้ชัดของฉันคงจะทำให้พวกเขาสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะแต่ละคนหันไปมองหน้ากันเองอย่างงงๆ ก่อนที่พลอยจะรีบเดินเข้ามาหาฉัน
แต่ฉันไม่อยากยืนเป็นส่วนเกินของครอบครัวแสนสุขนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุเดือด พร้อมกับรีบวิ่งออกมาจากบ้านของพลอยทันที ในเมื่อพลอยอยากส่งตัวฉันกลับไปหาพ่อแม่นัก ก็เอาไปแต่กระเป๋ากับเสื้อผ้าก็แล้วกัน เพราะฉันจะไม่มีวันยอมเป็นหุ่นเชิดทำตามความต้องการของใครทั้งนั้น
ฉันเร่งฝีเท้า วิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก หลังจากวิ่งมาได้พักใหญ่จนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่นอน ฉันก็ลดฝีเท้าลงพร้อมกับยืนหายใจหอบด้วยความเหนื่อย
ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้นี่มันช่างเป็นยาพิษที่กัดกินหัวใจจนปวดร้าวมากเหลือเกิน ฉันเดินเลาะริมถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ ก้มหน้ามองพื้น แล้วก็ต้องกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัดเมื่อคิดถึงใบหน้าของพลอยขึ้นมา ทั้งโกรธและเจ็บในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนหมดรูป พ่อคงจะกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างผู้ชนะอยู่แน่ๆ ที่ฉันจะต้องซมซานกลับไปหาพ่อเหมือนเดิม จากแต่ก่อนที่ฉันเคยมีพลอยอยู่เคียงข้าง ตอนนี้กลับไม่เหลือใครอีกต่อไปแล้ว อยู่ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเพียงลำพัง
...เหงาเหลือเกิน
คิดๆ แล้วก็อยากจะร้องไห้ แต่ฉันไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องมาเสียน้ำตาให้กับความเหงา ฉันไม่อยากเป็นเด็ก ฉันไม่อยากอ่อนแอ ความเป็นเด็กคือสิ่งที่พวกพ่อแม่ชอบนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับลูกให้เต้นไปตามที่ตนเองต้องการ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่แสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาเด็ดขาด ฉันจะไม่ยอมเป็นเด็กที่คอยรับคำบัญชาใครอีกต่อไป
น่าหงุดหงิด น่าโมโห ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่ารำคาญที่สุด ฉันรู้ตัวเองดีว่ากำลังหนีอยู่ แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหนฉันก็ไม่ได้พบกับทางออกเสียที ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ อยากไปไหนก็ได้ที่จะสามารถขจัดความรู้สึกที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอกให้มันหายไปซะ
ฉันโบกรถแท็กซี่พร้อมกับบอกให้ไปยังเดอะมิราเคิลซึ่งเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉันในขณะนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก
ยี่สิบนาทีผ่านไปฉันก็มาถึงหน้าทางเข้าผับเดอะมิราเคิล คนไม่เยอะเท่าอาทิตย์ที่แล้วซึ่งเป็นตอนที่ฉันมาที่นี่กับพลอยครั้งแรก น่าจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าตอนนั้น คนจึงยังไม่ค่อยมากัน
หลังจากจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่ ฉันก็รีบลงจากรถมาแล้วเดินตรงไปที่หน้าทางเข้าซึ่งมีการ์ดสองคนยืนประจำอยู่ แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดชะงักพร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่ มองการ์ดทั้งสองคนด้วยสีหน้าซีดเผือดทันทีเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าฉันไม่มีบัตรประชาชนปลอมแบบพลอย แล้ววันนี้ฉันก็ไม่ได้แต่งตัวแบบจัดเต็มเท่าวันนั้นอีกต่างหาก แม้ว่าเสื้อผ้าทุกตัวและกระเป๋าสะพายของฉันจะเป็นสไตล์พังก์ร็อกอยู่แล้ว แต่ว่าฉันไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด แถมยังวิ่งพรวดพราดออกมาโดยไม่ทันได้คิดจนถึงกับลืมรองเท้าบูทส้นตึกไว้ที่บ้านพลอยอีกด้วย เพราะฉะนั้นรองเท้าแตะธรรมดาที่กำลังใส่อยู่ในตอนนี้จึงทำให้ฉันดูจืดไปเลย
แต่ฉันก็ทำใจกล้าไปยืนเข้าแถวอยู่กับคนอื่นๆ บางทีการ์ดอาจจะจำฉันได้ก็ได้ แต่มันก็เป็นได้แค่ความหวังที่แสนจะริบหรี่ ฉันเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น การ์ดจะไปจำหน้าฉันได้ยังไงกัน
แถวค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทำให้ฉันเข้าใกล้ประตูทางเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ ด้วยความลุ้นระทึกทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะไปผ่านด่านทดสอบมหาโหดอะไรสักอย่างอยู่ แต่แล้วอาการตื่นเต้นก็หายวับไปในพริบตาพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังในทันใดหลังจากที่การ์ดคนหนึ่งถามหาบัตรประชาชนของฉัน เมื่อฉันตอบไปว่าไม่มีเขาก็มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้าไม่อนุญาตให้ฉันผ่านประตูเข้าไป
พอโดนห้ามไม่ให้เข้า ฉันจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของผับเพราะจำได้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ตรงลานจอดรถ ฉันเดินขึ้นบันไดไปตรงระเบียงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะทำอาชญากรรมอะไรสักอย่างอยู่ ตรงราวระเบียงมีคนยืนพิงอยู่แต่ฉันพยายามไม่สนใจเขา แล้วเดินผ่านไปที่ประตูก่อนจะลองเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูพร้อมด้วยอาการหัวใจเต้นระรัว
บ้าชะมัด! ประตูล็อก
ประตูนี่คงจะออกแบบมาให้ล็อกอัตโนมัติเหมือนกับประตูห้องพักของโรงแรมแน่ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จนปัญญาแล้วว่าจะแอบเข้าไปได้ยังไง
ดังนั้นฉันจึงกลับหลังหันไปที่ระเบียง เท้าแขนลงบนราวแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด
คืนนี้เยี่ยมจริงๆ ถูกเพื่อนหักหลัง พอจะมาปลดปล่อยอารมณ์ก็ถูกห้ามไม่ให้เข้า แล้วพอจะแอบเข้า ประตูก็ดันล็อกเข้าไม่ได้อีก ช่างเป็นคืนบัดซบที่น่ารำคาญที่สุด
ควันบุหรี่ลอยมาแตะจมูกทำให้ฉันหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง ซึ่งมีใครคนหนึ่งกำลังยืนพิงระเบียงสูบบุหรี่อยู่
“ฉันขอสักมวนได้มั้ย” ฉันเดินเข้าไปยืนข้างๆ เขา พูดเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว รู้สึกอยากทำอะไรที่มันบ้าระห่ำ ยิ่งขัดคำสั่งของพ่อได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างเรื่องลองบุหรี่เป็นต้น บางทีคราวนี้ฉันอาจจะได้รู้เสียทีว่าทำไมคนมากมายถึงได้ติดใจในรสชาติประหลาดๆ ของมันนักก็ได้
ชายหนุ่มยื่นซองบุหรี่มาให้ ฉันยื่นมือออกไปรับมาทันทีพร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมา พอดีกับที่คนข้างกายได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อจุดบุหรี่ให้กับฉันด้วยไฟแช็กในมือของเขา
จะว่าไป เหมือนจะคุ้นๆ อยู่ว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน...
ฉันสำลักควันบุหรี่ออกมานิดหน่อย แต่ก็น่าดีใจไม่น้อยที่ครั้งนี้ฉันไม่รู้สึกมึนหัวเท่าสองครั้งแรก ครั้งนี้ฉันรู้สึกโล่งๆ เหมือนกับว่าความรู้สึกที่เบียดอัดแน่นอยู่ภายในใจทั้งหลายนั้นได้คลายออกจากกันทีละนิด แต่ก็ยังช้าเกินไปจนน่ารำคาญอยู่ดี ทำให้ฉันต้องยัดบุหรี่เข้าปากซ้ำอีกรอบพร้อมกับตั้งสมาธิอยู่กับการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นควันออกมาจากปากเบาๆ อย่างเซ็งๆ
เสียงหัวเราะขำขันน้อยๆ ดังมาจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ ฉันรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันทีเพราะคิดว่าถูกเขาหัวเราะเยาะ รวมทั้งยังรู้สึกยัวะที่วันนี้มีเรื่องน่าโมโหเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นฉันจึงหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่อย่างไม่พอใจ
“ฉันเดาว่าวันนี้ฉันคงชอบบุหรี่” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบพลางอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก อารมณ์ขุ่นมัวของฉันหายวับไปในทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
มือคีย์บอร์ดแห่งวง May-B
“นายจำฉันได้ด้วยเหรอ” ฉันกล่าวทักด้วยความตื่นเต้น สีหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสโดยพลัน พร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจและดีใจที่เขาจำฉันได้ด้วย
“เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ฉันยังไม่แก่นะ” เสียงนุ่มตอบกลับมาขณะอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
รอยยิ้มนั่น ใช่แล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารัก ดูอบอุ่นมากๆ เลย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะยิ้มตามเขา ดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก ทั้งตื่นเต้นที่ได้เจอเขา แล้วก็ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งหนึ่งด้วย
อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องบัดซบไปซะหมด
“แต่ก็คงแก่กว่าฉันอยู่ดี” ฉันหรี่ตาลงพร้อมกับเพ่งมองไปที่ชายหนุ่มอย่างสำรวจ วันนี้เขาสวมหมวกไหมพรมสีเข้มจึงเป็นสาเหตุทำให้ฉันจำเขาไม่ได้ในตอนแรก ตรงแขนทั้งสองข้างมีปลอกแขนยาวสีเข้มตัดกับเสื้อสีขาวโพลน ซึ่งฉันค่อนข้างมั่นใจว่าในวันแรกที่เจอกันนั้นฉันก็เห็นเขาใส่ปลอกแขนแบบนี้เหมือนกัน บางทีคงจะเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขาเอง
“ฉันอายุยี่สิบเอ็ด เธออายุเท่าไหร่ล่ะ”
พอโดนถามเรื่องอายุ ฉันก็หุบยิ้มลงทันควันราวกับว่ามันได้กลายเป็นปมด้อยของตัวเองไปเสียแล้ว
“...สิบเจ็ด” ฉันตอบเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกด้อยกว่าโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเจ็บใจที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ฉันต้องโดนเขามองว่าเป็นเด็กเหมือนอย่างคนอื่นๆ แน่นอน แล้วก็จะถูกแบ่งกั้นด้วยเส้นระดับความอาวุโส จากนั้นก็จะถูกปฏิบัติด้วยเหมือนกับว่าฉันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ
ฉันไม่ได้อยากถูกมองว่าเป็นเด็ก ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเอ็นดู ฉันอยากได้ความเท่าเทียมกันต่างหาก
แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น ต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่มักจะก่อกำแพงความอาวุโสกว่าขึ้นมากั้น แล้ววางตัวเปลี่ยนไปจากเดิมทันทีที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า
ยิ่งคิดเรื่องอายุของตัวเองมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจที่เข้าไปข้างในเดอะมิราเคิลไม่ได้ ช่างน่าอิจฉาเขาเหลือเกินที่อายุถึงแล้ว จึงเข้าไปสัมผัสความสนุกสนานข้างในได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้
“ดีจังนะ ฉันสิมาคนเดียวแถมเข้าก็ไม่ได้เพราะอายุไม่ถึง มาเสียเที่ยวชะมัด” ฉันละสายตาจากเขาไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วพ่นควันออกมาจากปากอย่างเซ็งๆ แม้ว่าชักจะรู้สึกสมองโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น เหม็นก็เหม็น รสชาติก็ประหลาด แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสยังไง แถมยังทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจมควันอยู่อีกต่างหาก
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนข้างกายเรียกให้ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง พร้อมกับเอาบุหรี่ออกจากปากเนื่องจากทนสูบต่อไปไม่ไหว ฉันเห็นเขายังคงยิ้มน้อยๆ มองมาที่ฉันอยู่เช่นเดิม แต่ครู่หนึ่งถัดมาเขาก็ละสายตาไป แล้วเดินไปยังประตูทางเข้าเดอะมิราเคิลที่ฉันเพิ่งจะพยายามเปิดมันเมื่อกี้นี้
ฉันอ้าปากตั้งใจจะบอกเขาว่าประตูล็อกอยู่ แต่แล้วก็ต้องหุบลงทันควันเมื่อเห็นเขาล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ฉันยืนมองเขาไขกุญแจเปิดประตูด้วยความงุนงงอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีกุญแจ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอนาถตัวเองที่ซื่อบื้อจนนึกเรื่องนี้ไม่ออกได้ยังไง เขาเป็นมือคีย์บอร์ดของวง May-B แถมยังเคยบอกกับฉันว่าเล่นกีตาร์ประจำอยู่ที่นี่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเขาก็ควรที่จะต้องมีกุญแจชุดหนึ่งพกเอาไว้อยู่แล้ว
แต่แทนที่เขาจะเดินผ่านประตูเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มกลับหันมาทางฉันโดยที่ยังคงอมยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม
“เข้ามาด้วยกันมั้ย” เสียงนุ่มกล่าวชวนพร้อมกับเอียงศีรษะน้อยๆ ไปทางทิศด้านในตึก
ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไรแน่เหรอ ฉันอายุไม่ถึงนะ” แม้ว่าจะพูดด้วยท่าทีลังเล แต่ฉันกลับไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉันไม่สนใจเรื่องอายุหรอก อายุเป็นแค่ตัวเลขที่ไม่สามารถใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ของใครได้ ห่างกันแค่ปีสองปีมันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายเลย”
ฉันยืนมองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้นอีกอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน เหมือนจะชื่นชมเขามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ความรู้สึกหลากหลายกำลังอัดแน่นอยู่ภายในอกจนฉันแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
ดีใจ? ตื้นตันใจ? มีความสุข? มันเหมือนกันว่าฉันได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ตามหามานาน ใครสักคนที่คิดเหมือนฉัน เข้าใจฉัน
“จะว่าไป ฉันชื่อเดย์นะ” ฉันบอกเสียงใสขณะวิ่งเข้าไปหาเขา แล้วหยุดยืนข้างๆ เพื่อรอให้เขาเป็นฝ่ายบอกชื่อของตัวเองบ้าง
“ไนท์” เสียงนุ่มตอบกลับมา ทำให้ฉันต้องทำตาโตด้วยความยินดี พร้อมกับรู้สึกหัวใจพองโตเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าเลยทีเดียว เนื่องจากชื่อของเรามีความหมายเกี่ยวพันกัน บางทีไนท์อาจจะถูกลิขิตมาให้เป็นเพื่อนคนแรกที่เข้าใจฉันก็ได้
ฉันเดินตามไนท์เข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็พาฉันขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งถูกกำหนดให้เป็นโซนวีไอพี แล้วเข้าไปในห้องๆ หนึ่งพร้อมกับบอกว่าเป็นห้องซ้อมดนตรีก่อนขึ้นเวทีของพวกเขา ซึ่งเป็นห้องเก็บเสียงที่มีขนาดกว้างพอสมควร
เสียงเพลงดังสวนออกมาจากห้องทันทีที่ไนท์เปิดประตูเข้าไป ภายในมีเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดวางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง มีคนร่วมยี่สิบคนหรืออาจจะเกินกว่านั้นกำลังพูดคุยเฮฮากันอย่างคึกคัก หลายคนส่งเสียงหัวเราะดังร่วมไปกับเสียงเพลง มองดูแล้วเหมือนทุกคนกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้งานหนึ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“พาใครมาวะไนท์” เสียงร้องทักดังมาจากชายหนุ่มเจ้าของทรงผมสกินเฮดที่ฉันเคยเห็นบนเวทีเมื่ออาทิตย์ก่อน เขากำลังนั่งพาดแขนอยู่ตรงริมสุดของโซฟาสีแดงสด ซึ่งมีความยาวไปจนถึงสุดมุมอีกด้านหนึ่งของห้อง
“เขาชื่อเดย์ มาคนเดียว ฉันก็เลยคิดว่าอาจจะเหงา” ไนท์หันไปปิดประตูเมื่อพวกเราเดินเข้ามายืนข้างใน จากนั้นเขาก็ผละออกจากฉันไปที่โต๊ะตรงหน้าโซฟา ซึ่งมีขนมและเครื่องดื่มหลายประเภทวางเกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะ ก่อนจะก้มหยิบแก้วไวน์ใบหนึ่งขึ้นมาจิบนิดๆ
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันผงกหัวน้อยๆ ให้กับหนุ่มสกินเฮดอย่างรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะต้องขออนุญาตเข้าห้องก่อนหรือเปล่า
ไนท์เดินเข้ามาคว้าแขนของฉันแล้วดึงไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ก้มหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นมาอีกใบหนึ่ง แล้วยื่นส่งมาให้
พอฉันยื่นมือไปรับแก้วมาถือเอาไว้ เขาก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นน้อยๆ พลางอมยิ้มตรงมุมปากอยู่เช่นเดิม ฉันยิ้มร่าออกมาอย่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะชนแก้ว
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของพวกเรา”
“อื้อ” ฉันพยักหน้าแข็งขันอย่างรู้สึกตื่นเต้น พร้อมกับยื่นแก้วไปชนกับแก้วของเขา
เสียงชนแก้วดังเบาๆ ก่อนที่ฉันและไนท์จะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นเสมือนสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาของความสนุกสนาน ใช่แล้ว ปาร์ตี้ เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่ายรำอยู่บนสวรรค์
ไม่แน่ว่าบางที...ฉันอาจจะค้นพบที่ของตัวเองแล้วก็ได้
***+++***+++***+++***
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2560, 00:25:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2560, 15:22:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 788
<< บทเพลงที่ 1 | บทเพลงที่ 3 >> |