Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 3

​​
บทเพลงที่3

Back in the cage



“ฉันชื่อโจ้นะ ร้องนำ ส่วนไอ้นี่ชื่อบอย เป็นมือกลอง” หนุ่มสกินเฮดกล่าวแนะนำตัวเอง ก่อนจะเพยิดหน้าไปที่ชายหนุ่มสวมแว่นที่ดูบึกบึนข้างกาย จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังหัวเราะร่วนอยู่กับกลุ่มผู้หญิงอีกสามคนตรงมุมด้านในสุดของโซฟา“แล้วคนโน้นชื่อโน้ต เป็นมือเบส”



“วงของเราชื่อ May-B ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะครับน้องเดย์” บอยยิ้มกว้างซึ่งทำให้เขาเป็นมิตรขึ้นมาทันที ต่างจากตอนที่ฉันเห็นเขาครั้งแรก บางทีอาจจะเป็นเพราะขนาดร่างกายของเขาที่ดูคล้ายๆ พวกนักเล่นกล้ามก็ได้ล่ะมั้งถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกเกร็งๆ ในตอนแรก



“คือว่าฉันเคยมาที่นี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเป็นครั้งแรกน่ะ” ฉันเปิดบทสนทนาอย่างกระตือรือร้น รู้สึกเหมือนได้มาเจอเพื่อนที่มีความชอบแบบเดียวกัน “แล้วก็ได้ฟังเพลงของวงMay-B เพราะมากๆ เลยล่ะ ได้ฟังแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกอยากจะร้องตามขึ้นมาเลย”



“เดย์ชอบร้องเพลงเหรอ” โจ้เอ่ยถาม พร้อมกับหันมามองฉันอย่างสนใจ ขณะเอื้อมมือไปหยิบแก้วช็อตมาจากโต๊ะเครื่องดื่มตรงหน้า



“เรียกได้ว่าบ้าเลยล่ะ ฉันรักการร้องเพลง แล้วก็ฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”



“โอ้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็หัวอกเดียวกันน่ะสิ” โจ้ยิ้มกว้างพร้อมกับยกแก้วช็อตขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วทำหน้าเหมือนคนเพิ่งกินของร้อนจัดมากจนจี๊ดขึ้นสมองเข้าไป ทำให้ฉันต้องพยายามกลั้นขำไม่ให้เผลอส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกไป



“ไม่เหมือนกันซะหน่อย เพราะโจ้ได้เป็นนักร้องแล้วนี่นา”



“ก็แค่วงดนตรีมือสมัครเล่นเท่านั้นเอง” เขาแย้งกลับมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ฟังดูเหมือนกำลังถ่อมตัว ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมายังไงชอบกล แม้ว่าเขาจะเป็นนักร้องมือสมัครเล่น แต่เขาก็ได้ร้องเพลงอย่างอิสระ มีคนยอมรับ ต่างจากฉันที่ไม่มีใครเลยสักคน



“ลองตั้งวงกับเพื่อนดูมั้ยล่ะ แบบพวกเราไง” บอยเสนอ แต่ฉันกลับทำได้แค่ยิ้มน้อยๆ ตอบเขากลับไป และพยายามไม่สนใจความรู้สึกหดหู่ที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ เพราะข้อเสนอของเขานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่าอยู่ๆ ฉันจะมีเพื่อนสนิทปรากฏตัวเพิ่มขึ้นมาอีกสักสองสามคน



“ฉันเพิ่งทะเลาะกับเพื่อนสนิทมา แล้วก็ทะเลาะกับพ่อแม่ด้วย...” ฉันตอบเสียงอ่อยอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังดีมั้ย พร้อมกับหันไปมองไนท์ที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ทางฝั่งตรงข้าม ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหันไปมองเขาทำไม เหมือนกับว่าฉันกำลังกังวลว่าไนท์จะรำคาญที่ฉันเอาแต่บ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้หรือเปล่า



เพราะคนเรามักจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ค่อยมีใครสนใจฟังปัญหาในใจของคนอื่นนักหรอก จากนั้นก็ชอบโยงปัญหานั้นเข้ากับเรื่องของตัวเอง แล้วเล่าประสบการณ์ทั้งหลายทั้งปวงต่อทันที โดยที่ไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายกำลังเล่าความไม่สบายใจของตัวเองอยู่แท้ๆ ไม่ได้อยากจะฟังเรื่องของคนอื่นเสียหน่อย



“ฉันก็เคยเหมือนกัน ทะเลาะกับพ่อแม่ โกรธกับเพื่อนเพราะเรื่องตั้งวงเนี่ย...” โจ้หันไปเทว้อดก้าใส่แก้วช็อตของตัวเอง แล้วหันมามองที่ฉันเหมือนเดิมขณะถือแก้วเอาไว้ในมือ “ตอนนั้นฉันอยู่ม.สาม พอตั้งวงกัน มันก็ต้องมีไปซ้อมที่บ้านเพื่อนอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยล่ะ พ่อแม่ฉันก็เลยโกรธมากที่ฉันเอาแต่ไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านเพื่อน แล้วก็บังคับให้ฉันออกจากวง ฉันก็ดิ้นรนอยู่ได้สักประมาณสองสามเดือนล่ะมั้ง แต่ก็ทนเสียงด่าของพ่อแม่ไม่ไหว ก็เลยต้องยอม”



โจ้ยกแก้วช็อตขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าขนมปังขาไก่ในถ้วยบนโต๊ะมาหยิบกินทีละสี่ห้าชิ้น



“...แล้วพอฉันออกจากวง ก็โดนเพื่อนเลิกคบ” เขายักไหล่ทีหนึ่งเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร “แต่สองปีต่อมาฉันก็ตั้งวงอีก โดนพ่อแม่ห้ามอีกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ฉันไม่สนละ พออายุยี่สิบฉันก็ย้ายออกมาอยู่หอ ตอนนี้ก็เลยได้เป็นอิสระซะที”



เรื่องของโจ้ทำให้ฉันรู้สึกเข้าใจเขาอยู่ไม่น้อย เพราะว่าฉันเองก็ถูกพ่อแม่คัดค้านเรื่องความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องเหมือนกัน



“เธอทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็พ่อแม่เรื่องอะไรเหรอ” เสียงเรียบๆ ของไนท์เอ่ยถาม ทำให้ฉันต้องหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะย้อนกลับมาถามเรื่องของฉัน



“...คือพ่อกับแม่อยากให้ฉันแอดเข้าคณะนิติ แต่ว่าฉันอยากร้องเพลง... ฉันไม่ได้อยากเรียนกฎหมาย” ฉันเริ่มต้นอธิบายอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเล่ายังไงดีสักเท่าไหร่ แต่พอพูดๆ ไปได้สักพักแล้วก็หยุดไม่ได้ เริ่มรู้สึกอยากจะระบายเรื่องที่กำลังอัดแน่นอยู่ในใจออกมาให้ใครสักคนได้ฟัง “...ฉันอยากเลือกเส้นทางเดินชีวิตของฉันเอง ดังนั้นฉันก็เลยเก็บกระเป๋าหนีออกจากบ้าน ไปอยู่บ้านเพื่อนที่ชื่อพลอย ฉันไว้ใจพลอยมากเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันก็นึกว่าพลอยจะเข้าข้างฉัน ช่วยสนับสนุนฉัน แต่พลอยกลับ...”



เมื่อเล่ามาจนถึงตรงนี้ฉันก็พูดต่อไม่ออก ฉันไม่อยากใช้คำว่าทรยศเลย สำหรับบางคนแล้วอาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่ฉันเสียใจและผิดหวังกับการกระทำของพลอยที่ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของฉันเสียป่นปี้มาก ซึ่งถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันเลยทีเดียว เมื่อฉันเชื่อใจใครแล้วฉันจะไว้ใจคนคนนั้นอย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากถูกหักหลังขึ้นมาเมื่อไหร่ความเชื่อใจนั้นก็จะลดฮวบลงจนเหลือศูนย์ในทันที และคงไม่มีวันสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อีกตลอดไป เนื่องจากฉันคงไม่สามารถลบความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะถูกหักหลังอีกครั้งให้ออกไปจากใจได้



พูดถึงพลอยแล้วก็ทำให้รู้สึกเศร้าเหลือเกิน พลอยเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน เมื่อไม่มีพลอย ฉันก็ไม่เหลือใครอีกต่อไป



“...พลอยโทรไปบอกแม่ว่าฉันอยู่ที่บ้านเค้า ฉันก็เลยหนีออกมาจากบ้านของพลอย โดยที่ไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้ฉันจะไปอยู่ที่ไหน”



ไนท์นั่งฟังเงียบๆ โดยไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ฟังที่ดี และทำให้ฉันสบายใจขึ้นมากที่มีคนรับฟังอย่างจริงจัง



เพราะในเวลาที่คนเราระบายปัญหาในใจออกมานั้น บางครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากใคร ขอแค่มีคนรับฟัง ขอแค่มีใครสักคนได้รับรู้ความไม่สบายใจของเราและคอยอยู่เคียงข้างเราก็เพียงพอแล้ว



ฉันหันไปสบตากับไนท์ซึ่งกำลังมองมาที่ฉันด้วยเช่นกัน เขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มจางๆ พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ ทีหนึ่ง ราวกับต้องการที่จะบอกว่าเขาเข้าใจฉัน จึงทำให้ฉันต้องยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วยความตื้นตันใจพร้อมกับอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีที่ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้ ยังมีคนที่เข้าใจฉันอยู่



พอได้พูดระบายอารมณ์ออกไปแล้ว ฉันก็กลับมาอารมณ์ดี ยิ้มแย้มร่าเริงเหมือนเดิมแล้วหันไปคุยเรื่องอื่นกับโจ้และบอยต่อ สองคนนั้นคุยเก่งมาก โดยเฉพาะโจ้ที่เล่าเรื่องตลกสมัยเรียนม.ปลายของตัวเองให้ทุกคนฟัง เรื่องที่เขาชอบมาสายจนถูกอาจารย์หมายหัว เขาจึงร้องเพลงรักให้กับอาจารย์คนนั้น แล้วก็เขียนจดหมายรักไปแปะที่โต๊ะทำงานของอาจารย์ทุกๆ เช้าอยู่เทอมหนึ่งเต็มๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องล้อเลียนของคนทั้งโรงเรียนไปโดยปริยาย



ส่วนไนท์ก็ยังคงนั่งฟังพวกเราเงียบๆ ไม่พูดแสดงความคิดเห็นอะไรเท่าไหร่ และเอาแต่นั่งฟังคนอื่นๆ อย่างเดียว จึงทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เขาก็ชอบอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากอยู่เสมอ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารักมากเลยทีเดียวจนถึงกับทำให้ฉันรู้สึกอยากจะนั่งมองรอยยิ้มของเขาไปเรื่อยๆ



แต่พอเขาหันมามองทางนี้ ฉันก็ต้องรีบหลบสายตาของเขาด้วยความเขินเพราะกลัวว่าไนท์จะจับได้ว่าฉันกำลังลอบมองเขาอยู่



“เฮ้ย ปิดเพลงแล้วมาร้องกันเองดีกว่า” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับโน้ตตะโกนเสียงดังขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงร้องเฮออกมาพร้อมกันดังลั่น แล้วก็มีใครสักคนปิดเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ ห้องทั้งห้องจึงถูกความเงียบเข้าครอบคลุมในทันใด



“เดย์อยากร้องเพลงมั้ย” โจ้หันมาถามพร้อมกับเพยิดหน้าไปที่ไมค์ ซึ่งทำให้ฉันต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความตื่นเต้น



“จะให้ฉันร้องจริงเหรอ”



“อยากร้องเพลงอะไรบอกมาได้เลย” บอยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปประจำที่ที่กลองชุด เขาหันไปมองกลุ่มคนสี่ห้าคนที่นั่งจับกลุ่มกันแถวนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขอร้องเสียงเรียบๆ “ใครก็ได้มาเล่นกีตาร์ให้หน่อย”



หลายคนหันไปมองหน้ากันเองโดยที่ไม่มีใครขยับเคลื่อนไหวอะไร ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะไม่ค่อยสนใจบอยสักเท่าไหร่ แต่แล้วก็มีฉันผมสั้นคนหนึ่งลุกจากโซฟา เดินไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้ามาสะพาย



เมื่อพวกเขามีท่าทีว่าจะให้ฉันร้องเพลงแน่นอนแล้ว ฉันจึงรีบวิ่งไปที่ไมค์บ้างโดยที่ไม่สามารถหุบรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีดของตัวเองลงได้



“ฉันอยากร้องเพลงของวง May-B เพลงที่เล่นเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ เพราะมากเลย” ฉันนึกย้อนไปถึงเพลงแสนไพเราะทั้งสามเพลง แม้ว่าฉันจะจำเนื้อเพลงไม่ได้ แต่ก็ยังพอจำทำนองได้ ดังนั้นฉันจึงเริ่มร้องเสียงทำนองในความทรงจำออกมา เผื่อจะมีใครสักคนนึกออกว่าเป็นเพลงอะไร



“เพลงนี้...” บอยทำหน้านึกพลางขยับศีรษะน้อยๆ ไปตามจังหวะเสียงของฉัน และแค่ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็หันมายิ้มแป้น “รู้แล้วล่ะ”



บอยหันไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับสาวผมสั้น จากนั้นเธอก็หันมาทางฉันพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ แล้วจับสายกีตาร์ ดีดเป็นทำนองเพลงที่ฉันรู้สึกค่อยๆ คุ้นหูขึ้นมาทีละนิดๆ



เนื่องจากฉันจำเนื้อร้องไม่ได้จึงได้แต่จับไมค์แล้วร้องเสียงคลอไปพร้อมกับทำนอง ซึ่งคงจะน่าหัวเราะเยาะไม่น้อยเพราะมีบางคนหลุดขำพรืดออกมา แต่ฉันไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เมื่อใดที่ฉันได้จับไมค์แล้วก็จะไม่มีอะไรมาทำให้ฉันหยุดร้องได้ นอกจากโลกจะแตก หรือน้ำจะท่วมโลกเท่านั้น



เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันก็คือการร้องเพลง



และแล้วทันใดนั้นเองเสียงร้องคู่ไปพร้อมกับฉันของใครบางคนก็ดังขึ้น พอฉันหันไปมองจึงเห็นว่าโจ้ลุกยืนจากโซฟา มือขวาถือไมค์ กำลังเปล่งเสียงร้องเนื้อเพลงออกมาทีละคำได้อย่างสวยงามดังเช่นเสียงเพลงในความทรงจำของฉันโดยไม่มีผิดเพี้ยน



สมแล้วที่เขาเป็นเจ้าของบทเพลงอันไพเราะบทนี้



หลังจากที่ได้ฟังโจ้ร้องไปสักพัก ฉันก็เริ่มจับเนื้อร้องได้แล้วจึงเริ่มร้องไปพร้อมๆ กันกับเขา เพลงนี้ช่างเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเศร้าอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ดนตรีฟังดูสดใสร่าเริงเหมือนเป็นทำนองแห่งความสุข แต่เนื้อเพลงกลับฟังดูกำกวมและเหมือนจะมีความหมายไปในทางตรงกันข้ามเสียมากกว่า



บทเพลง...เปรียบเสมือนกับจิตใจของผู้ประพันธ์ที่ถูกบรรจงกลั่นกรองออกมาอย่างประณีต และต้องอาศัยการตีความในการทำความเข้าใจเพลงในแต่ละเพลงซึ่งมีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เนื่องจากจิตใจของคนเรานั้นซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตเสียอีก



เพราะเหตุนี้ฉันถึงรู้สึกชื่นชมเหล่านักแต่งเพลงที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างสวยงาม



“เดย์ร้องเพลงเพราะเหมือนกันนะเนี่ย” โจ้กล่าวชมทันทีที่ฉันร้องเนื้อร้องท่อนสุดท้ายจบ ซึ่งเป็นตอนที่ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าโจ้ปล่อยให้ฉันกลับไปร้องเดี่ยวต่อเหมือนเดิม โดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเขาหยุดร้องไปตั้งแต่เมื่อไหร่



“ก็เพราะว่าเพลงมันเพราะมากๆ อยู่แล้วนี่นา” ฉันตอบพร้อมด้วยยิ้มแป้น พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขันจากใจจริงเพราะว่าฉันต้องการให้พวกเขาได้รับรู้ว่าเพลงของวง May-B นั้นสุดยอดแค่ไหน



“นี่เธอชอบเพลงของพวกเรามากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”



“อื้อ!”



“ถ้างั้นเธอก็ต้องไปชมไอ้ไนท์ เพราะว่ามันเป็นคนแต่ง” บอยพูดพร้อมกับเพยิดหน้าไปทางชายหนุ่มเจ้าของชื่อซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตรงริมโซฟาใกล้กับประตูทางออก



“ไนท์เป็นคนแต่งเพลงนี้เหรอ” ฉันร้องถามอย่างตื่นเต้น รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดในอก เหมือนกับว่าในใจของฉันกำลังมีอะไรบางอย่างไหลทะลักเข้ามา



“ทุกเพลงของวงเราเลยล่ะ”



ฉันหันขวับไปที่ไนท์อีกครั้ง เขาอายุแค่ยี่สิบเอ็ดเท่านั้นเอง แต่กลับแต่งเพลงได้ไพเราะและมีเสน่ห์มากเหลือเกิน ทั้งเก่งและเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งคิดเรื่องของเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ฉันต้องรู้สึกนับถือในความยอดเยี่ยมของเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกชื่นชมใครเท่านี้มาก่อน



ฉันวิ่งกลับไปหาไนท์พร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างตื่นเต้น รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้กลายเป็นแฟนคลับของเขาอย่างเต็มตัวไปเสียแล้ว รวมทั้งปลื้มใจไม่น้อยที่ได้มีโอกาสมาใกล้ชิดกับไอดอลที่แสนน่ายกย่องอย่างเขาเช่นนี้



“เพลงของ May-B เพราะมากๆ เลยล่ะ” ฉันโพล่งออกมาเสียงดังอย่างห้ามตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางชื่นชมจนเกินเหตุออกมาไม่ได้



“ขอบคุณนะ” ไนท์อมยิ้มน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ทั้งๆ ที่เขาควรจะเป็นฝ่ายเขินที่โดนชมแท้ๆ แต่กลับเป็นฉันที่ยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยความรู้สึกเขินอายจนต้องร้องกรี๊ดอยู่ในใจแทน



“เฮ้ย เดี๋ยวกูกลับก่อนว่ะ จะตีสามแล้ว พรุ่งนี้มีงานด่วน” เสียงของโน้ตเรียกให้ทั้งฉันและไนท์หันไปมองเขา โน้ตกำลังก้มเก็บขยะบนพื้น แต่ผมยาวๆ ของเขากลับปรกหน้าปรกตาจนเขาต้องถามหายางมัดผมจากคนรอบข้าง



“กูคงนอนค้างที่นี่เลยว่ะ มึงโทรมาปลุกกูด้วยก็แล้วกัน” บอยลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดตัวขี้เกียจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินมาช่วยโน้ตเก็บขยะด้วยอีกแรง



ฉันละสายตาจากพวกเขาสองคนมายังพื้นว่างๆ ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหดหู่ สัญญาณของงานเลี้ยงแสนสุขกำลังจะจบลง แล้วฉันก็ต้องกลับไปเผชิญกับความเป็นจริงในที่สุด



กลับไปเป็นเด็กสาวที่ไร้ที่อยู่ต่อไป...



แต่ฉันก็ไม่อยากนอนข้างถนน แล้วก็ไม่อยากกลับบ้านหรือไปบ้านพลอยเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องไปง้อพวกเขา



“คิดมากเรื่องที่บ้านอยู่เหรอ” เสียงเรียบของไนท์ทำให้ฉันสะดุ้งน้อยๆ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เพราะมันเหมือนกับว่าเขาอ่านใจฉันได้อย่างนั้นแหละ



“อือ...” เสียงพึมพำตอบกลับไป “ฉันคงต้องไปกระเป๋าที่บ้านพลอยก่อน แต่ยังไงฉันก็ไม่กลับไปที่บ้านแน่”



“เธอก็มานอนค้างที่นี่เลยสิ” โจ้เอ่ยเสนอด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วชี้นิ้วไปทางบอยที่กำลังเก็บของอยู่ตรงมุมด้านในสุดของห้องพร้อมกับคนอื่นๆ “ไอ้บอยมันก็ค้าง พิมคนที่เล่นกีตาร์เมื่อกี้ก็ด้วย อยู่กันหลายคนเลยล่ะ”



“แต่มันจะเป็นการรบกวนมากไปรึเปล่าน่ะ...”



“อย่าคิดมากน่าน้องเดย์ เมื่อกี้ก็จ่ายค่าเช่าเป็นเสียงเพลงเพราะๆ ไปแล้วไง” มือกีตาร์สาวผมสั้น หรือพิมตะโกนข้ามห้องมาพร้อมกับหัวเราะขบขันเบาๆ



ฉันยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นข้อเสนอที่ฟังดูไม่เลวดีเหมือนกัน แล้วก็คงตัดปัญหาเรื่องที่อยู่ในคืนนี้ไปได้



“ถ้างั้นก็...ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” ฉันกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกซึ้งใจที่พวกเขาให้การสนับสนุนช่วยเหลือฉันถึงเพียงนี้



จากนั้นฉันก็ขอตัวกลับไปเอาของที่บ้านพลอย แล้วออกมาจากห้องซ้อมดนดรีไป เดินตามทางที่ไนท์พาฉันมาเมื่อครู่



เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างสุดฉันก็เห็นว่าความคึกคักสนุกสนานได้จืดจางลงไปมาก ก่อนที่จะเดินเลี้ยวเข้าไปในซอกที่เป็นทางไปห้องน้ำ ตรงไปยังประตูทางออกซึ่งอยู่หน้าห้องน้ำ แล้วเปิดประตูออกไปข้างนอก



“เดย์!” เสียงของโจ้ดังมาจากข้างหลังเรียกให้ฉันหันกลับไปมองเขา โจ้วิ่งเข้ามาตีเสมอแล้วชี้นิ้วไปยังทิศที่เป็นถนนใหญ่



“เดี๋ยวฉันเดินไปเรียกแท็กซี่เป็นเพื่อน”



“มีบริการเดินไปส่งแฟนคลับด้วยเหรอเนี่ย” ฉันเอียงคอมองเขา พลางอมยิ้มไปด้วยอย่างขำขัน



“ใช่แล้ว แฟนคลับเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับวงเรา” โจ้แกล้งทำเป็นยืดอกตอบด้วยเสียงหนักแน่น ซึ่งทำให้ฉันต้องหลุดขำพรืดออกมา



พวกเราเดินคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ จนถึงถนนใหญ่ โดยที่โจ้แทบจะเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียวเพราะว่าเขาเป็นคนพูดเก่งและชอบเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง จนกระทั่งฉันก็เรียกรถแท็กซี่หลังจากที่ยืนอยู่ตรงริมถนนได้สักประมาณสามนาที โจ้ก็โบกมือลา แล้ววิ่งกลับไปยังทางเดิมที่พวกเราเดินผ่านมา



ฉันบอกจุดหมายปลายทางเป็นบ้านของพลอย แต่เนื่องจากคนขับรถไม่ค่อยรู้เส้นทางจึงทำให้ฉันต้องคอยบอกทางให้ไปตลอดจนถึงที่หมาย



เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านของอดีตเพื่อนสนิท ฉันก็ควักเงินจ่ายค่ารถ แล้วลงไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว รู้สึกว่าแขนขาของตัวเองกำลังเกร็งด้วยความอึดอัดที่จะต้องเผชิญหน้ากับพลอยอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออกมาทีละนิดเพื่อคลายความรู้สึกที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจ



“เดย์...” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางข้างหลัง ฉันรีบหันขวับไปยังที่มาของเสียงทันทีก่อนที่จะต้องเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์เดือดอย่างฉับพลันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร



พี่แดน พี่ชายสุดประเสริฐของฉันนั่นเอง



“พ่อก็มานะ นั่งอยู่ในรถน่ะ” พี่แดนบุ้ยหน้าไปทางรถยนต์คันใหญ่สีดำสนิทซึ่งจอดอยู่ริมรั้วของบ้านข้างๆ สีดำทำให้ตัวรถกลืนไปกับสภาพแวดล้อมยามค่ำคืน จึงทำให้ฉันไม่ทันสังเกตเห็นรถของพี่ชายตัวเอง



“ฉัน ไม่ กลับ” ฉันเน้นเสียงหนักทีละคำอย่างชัดเจน แล้วเหลือบสายตาไปที่รถ จากนั้นก็ต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อเห็นพ่อกำลังเปิดประตูลงมาจากรถ



“หนูพลอยเขาคืนกระเป๋าของแกมาให้พ่อแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้แกไม่เหลือของอะไรอีกแล้ว” พ่อพูดเสียงต่ำอย่างเย็นชา ถลึงตามาที่ฉันเขม็งราวกับว่าฉันเพิ่งไปฆ่าคนมาอย่างนั้นแหละ



ฉันกลอกตาขึ้นอย่างนึกสมเพชตัวเองก่อนที่จะต้องแค่นหัวเราะออกมา หึ ฟังแล้วอยากจะขำ ไม่เหลืออะไรอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่มีอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก เพราะว่าพ่อกับแม่ประเคนทุกสิ่งทุกอย่างไปให้พี่แดนหมดแล้วยังไงล่ะ



“มาขึ้นรถเดี๋ยวนี้ เดย์” พ่อออกคำสั่งเสียงเหี้ยม แต่ฉันจะไม่ยอมทำตามแน่ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามฉันจะไม่ยอมให้พ่อเอาอิสระของฉันไปเด็ดขาด เพราะว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่ในตอนนี้



“ไม่มีวัน” ฉันใช้เสียงต่ำสวนพ่อกลับไปบ้าง พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ อย่างพยายามที่จะอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายให้ได้ ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟลงในกองเพลิง ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตาม ยังไงฉันก็ไม่เคยดูดีในสายตาของพ่ออยู่แล้ว



...ก็ฉันไม่ใช่พี่แดนนี่



“แกมาขึ้นรถเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะระงับบัตรแก!” พ่อตวาดเสียงลั่น ทำให้ฉันต้องจ้องพ่อกลับด้วยอารมณ์เดือดที่กำลังทวีเพิ่มขึ้นสูงอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะเรื่องที่พ่อตวาดใส่ แต่เป็นเรื่องบัตรเครดิตต่างหาก ฉันกำหมัดแน่นอย่างฉุนเฉียว นี่พ่อเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันไม่พอหรือยังไง ถึงได้คิดจะมาแย่งอิสระไปจากฉันด้วย ทำไมกัน ทำไม!



“ทำตามที่พ่อพูดเถอะเดย์” เสียงเครียดของพี่แดนยิ่งทำให้ฉันฉุนขาดมากกว่าเดิม นี่มันเหมือนกับว่าเป็นการตอกย้ำในความพ่ายแพ้ของฉันไม่มีผิดเลย แม้แต่อิสระของตัวเอง ฉันก็ยังถูกพ่อแย่งชิงไป ฉันไม่เหลืออะไรแล้วทั้งนั้น ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ!



ฉันถลึงตาใส่ผู้เป็นพ่ออย่างโกรธแค้น ยืนนิ่งอยู่กับที่อยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาทีละข้างเดินไปที่รถช้าๆ พร้อมกับทำสงครามทางสายตากับพ่ออย่างไม่เกรงกลัว แล้วยอมเข้าไปนั่งในรถตามที่พ่อต้องการในที่สุด



***+++***+++***+++***

//โปรดติดตามตอนต่อไป//






LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2560, 00:00:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2560, 15:22:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 835





<< ​บทเพลงที่ 2    บทเพลงที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account