ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก
ตอน: บทที่ 12/2 แค่มองก็พอ
“คิดอะไรแต่ละอย่าง” ภาณุส่ายหน้าระอา “ฉันไม่อยากหัวใจสีชมพูอะไรตอนนี้หรอก ตัวเองยังไม่สบายเลยจะเอาใครมาลำบากด้วยก็ใช่ที่ ทำงานเก็บเงินดีกว่าสบายใจดี”
ภาณุพ่นลมหายใจออกมาอย่างอึดอัด ไม่ใช่เพราะคำพูดของตัวเอง แต่เป็นเพราะเหลือบไปเห็นภาพใครบางคนในจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่มุมหนึ่งของร้านนั่นต่างหาก น่านฟ้ามองตามพอเห็นว่าเป็นใครก็ดีดนิ้วเปาะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ อรณีเป็นเพื่อนนายตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่หว่า ก่อนที่เราจะมาสนิทกัน พวกนายกี่คนนะที่ตาม ๆ กันอยู่เมื่อก่อน”
“สี่คน”
“นั่นแหละ ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ ไหน ๆ ยายนางก็จะได้เล่นภาคต่อประกบอรณีแล้วนี่ โครงการเสร็จเราจับเอาสองคนนี้มาโฆษณาโปรโมทคอนโด ทั้งหนังของอาฉันที่จะฉายได้กำไรสองต่อเลย นายว่าดีไหมวะ”
“อืม ก็ดี” ภาณุรับคำ
“เอาไว้จะลองติดต่อดู” น่านฟ้ายิ้มหมายมาดท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา
ภาณุยังคงจับจ้องในจอโทรทัศน์ไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้ความคิดวนเวียนหยุดลงแล้วหันมามองคนพูดเต็มตาก็คือเรื่องที่น่านฟ้าพูดถึงอดีตสมัยเรียน
มันสะกิดใจเขาอย่างจัง…
“นายไม่รู้อะไรสินะ เมื่อก่อนอรณีเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันตอนมอปลายด้วย นึกแล้วเสียดายเมื่อก่อนน่าจะจีบตอนยังเป็นนางแบบโนเนม ไม่งั้นป่านนี้ได้มีแฟนเป็นดาราดังแล้ว” น่านฟ้าเอ่ยกลั้วหัวเราะ
แต่ภาณุหัวเราะไม่ออก ได้แต่พูดเตือนสติ
“ระวังงานจะเข้าโดยไม่รู้ตัว คราวก่อนหมดเงินกับน้องอะไรต่อมิอะไรไปเท่าไหร่ยังไม่เข็ดอีก”
“คาสโนว่าฆ่าไม่ตายอย่างน่านฟ้าคนนี้ ต่อให้สิบอรณีก็ไม่คณนาหรอกน่า อย่าให้เจออีกก็แล้วกันคราวนี้ไม่ให้คลาดกันชัวร์”
ภาณุฟังแล้วได้แต่อึ้งพยายามฝืนยิ้มให้เป็นปกติทั้งที่ภายในใจกำลังเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อฟังคำพูดหมายมาดของเพื่อนรักจบ
ภาพของอรณีที่ปรากฏบนหน้าจอแอลซีดี รอยยิ้มสดใสน่ารักสวยบาดใจจนอยากเก็บไว้ไม่ให้ใครได้เห็นมันอีกเลยนอกจากเขาคนเดียว
ห้องทำงานของคุณหญิงรัตนาอยู่ถัดจากห้องจัดเลี้ยงขึ้นไปสามชั้น บรรยากาศภายในห้องกำลังตึงเครียดแทบจะถึงขีดสุด หลังจากคุณหญิงฟังข่าวจากพริมาที่ขึ้นมารายงานผลเสร็จ
“อะไรนะ! ปาร์ตี้หน้ากาก” คุณหญิงขึ้นเสียงสูงสีหน้าเคร่งขรึมเป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวแทบจะทันที
“ค่ะ” พริมาตอบยืนตัวลีบหน้าโต๊ะทำงาน
“ค่ะ... คำเดียวแค่นี้” คุณหญิงมองลอดแว่น “มีคำขยายความยาวให้ฉันฟังรึเปล่า”
“เมื่อกี้ดิฉันได้ยินเด็ก ๆ คุยกันว่าคุณหนูเข้าฉากแรกคืองานปาร์ตี้หน้ากาก เป็นตัวแสดงแทนคุณอรณีค่ะ”
“ตัวแสดงแทนเนี่ยนะ นี่มันเกินไปจริง ๆ ถอยไป ฉันจะไปดู”
“แต่คุณหญิงคะ งานยังถ่ายกันอยู่”
พริมาระล่ำระลัก กลัวคุณหญิงไปพ่นไฟในงานไม่พอ หล่อนอาจจะเจอข้อหาอีกาคาบข่าวมาบอกอีกมีหวังโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คุณหญิงรัตนาหาฟังไม่ ร่างอวบเจ้าเนื้อในชุดผ้าไหมชั้นดีผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าขึงขังบ่งบอกความไม่พอใจถึงขีดสุด
พริมาได้แต่ค้อมหัว ขยับถอยห่างเว้นที่ว่างให้คุณหญิงก้าวเดินออกจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่เฉียดหล่อนไปเพียงนิดพร้อมคำพูดสบถที่คนฟังถึงกับหน้าเสีย
“เสียแรงที่ให้เธออำนวยความสะดวก ฉันต้องรับสายท่าน สส. บ่นมาตามสายจนหูชาจนต้องแลกกับส่วนจัดเลี้ยงบนสตาร์บาร์เพียงเพื่อให้ลูกสาวคนเดียวของฉันไปเป็นสแตนด์อินแทนคนอื่น... ทุเรศที่สุด!”
“แต่คุณหญิงคะ ตอนแรกที่ติดต่อเลขาท่าน สส. ท่านก็ตกลงแต่โดยดีเลยนะคะ”
“ดีสิยะ ถ้าฉันไม่เคลียร์อีกชั้นนึง มีเหรอที่จะเจรจาสำเร็จ ท่าน สส.เหมือนใครเสียที่ไหน ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เห็นทีต้องไปคุยกับนายผู้กำกับนั่นซะหน่อยแล้ว”
คุณหญิงพูดไปเดินนำไป พริมาก้าวตามแทบจะเป็นวิ่งตัดหน้าฉิวเฉียดไปเปิดประตูให้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปจากห้อง ปราณก็โผล่หน้ามาพอดี คุณหญิงถึงกับชะงักก่อนจะชักสีหน้าออกคำสั่งทันที
“มาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ พ่อตัวดี”
คุณหญิงหันหลังกลับเข้าไปในห้องแล้วกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหงุดหงิด ปราณก้าวตามเข้ามาสีหน้าเรียบเฉยควบคุมอารมณ์ได้ดี เมื่อเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยภายในห้อง คุณหญิงโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงสาวออกไปจากห้องทันที
“เป็นอะไรพี่” ปราณเอ่ยอย่างใจเย็นเมื่อเจอพี่สาวค้อนขวับเข้าให้
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี พี่รู้แล้วเรื่องนายผู้กำกับนั่นให้ลูกสาวฉันเป็นตัวสำรองแม่นางเอกสุดที่รักของเรา”
“โธ่ นึกว่าอะไร เรื่องเล็กน้อยเอง คิดมากระวังไหมร้อยไว้หลายเงินจะสูญเปล่าเพราะหน้าเหี่ยวเร็วแล้วพี่จะหงุดหงิดเอาได้นะ หมู่นี้เงินยิ่งหายากอยู่” ปราณเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
คุณหญิงขว้างค้อนวงใหญ่สวนกลับ กระแทกเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิดอีกรอบ
“หน้าฉัน เงินฉันย่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นตลกเปลี่ยนเรื่อง ความสวยของผู้หญิงนี่ไม่ใช่เรื่องขำ เราไม่มาเป็นผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าทำไมถึงต้องยอมเจ็บตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความสวยงามน่ะ”
“ก็ได้ ๆ ยอม” ปราณส่ายหน้า “ผมไม่ใช่ผู้หญิง รักสวยรักงามไม่เป็น แต่พี่น่าจะดีใจ ยิ่งไม่อยากให้ลูกเป็นดาราอยู่แล้ว ยายนางอาจจะยอมแพ้ก็ได้ถ้าเรื่องแค่นี้ทนไม่ไหวก็เข้าทางพี่”
ปราณยักไหล่หนำซ้ำยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน คุณหญิงเห็นท่าทางเฉยชาไม่รู้ร้อนหนาวของน้องชายแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอา
“แน่ละสิ พี่อยากให้ยายนางขยันเรียนให้สูงจบมาจะได้ทำงานที่บริษัท แค่นี้ทำจนตายก็ไม่มีวันหมดแล้ว แต่เรานั่นแหละแอบให้หลานไปแคสติ้งที่ดรีมแล้วยังจะมาพูดดี”
“ไม่เห็นเป็นไร เด็กมีความสามารถแคสผ่านมาได้ด้วยความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรเลยด้วยซ้ำ สมัยนี้หายากนะ ผมอยากสนับสนุนหลาน”
คุณหญิงรัตนาอ่อนลงแต่ก็ยังอดไม่ได้ มือเรียวเหี่ยวย่นตามวัยฟาดเข้าที่หลังน้องชายด้วยความหมั่นไส้
“นี่แน่ะ โทษฐานสนับสนุนหลานในทางที่ผิด จำเอาไว้นะ คราวหน้ามีอะไรปรึกษาพี่ก่อน ยายนางต้องเป็นอย่างใจพี่ต้องการ เข้าใจไหม”
“โธ่... ยิ่งกว่าเข้าใจซะอีกครับ แก่ปูนนี้เมื่อไหร่จะเลิกตีผมซะที ผมมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ ยายนางมีศักยภาพในตัวเองเพียงพอไม่ต้องกลัวว่าแกจะออกนอกลู่นอกทาง ผมคอยดูแลอยู่ไม่มีทางที่ผมจะไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหลานและเมื่อผมเลือกแล้วรับรองได้เลยว่ามันคุ้มค่าแน่นอน”
ปราณสัญญาเป็นมั่นเหมาะ น้ำเสียงจริงจังจนคุณหญิงรัตนาได้แต่มองค้อน
“จะคอยดูก็แล้วกัน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรยายนางต้องออกจากวงการทันที พี่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งยายนางเอกเทวดาของเรา พี่ขอเตือนไว้ก่อน”
คุณหญิงรัตนาเอ่ยสำทับ ปราณพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ตอบรับคำอย่างพอใจแต่ก็หนักใจไม่น้อย
กว่ารถตู้จะเลี้ยวเข้ามาจอดยังทางเข้าหน้าล็อบบี้ของโรงแรม ก็เกือบเที่ยงวันฝนเริ่มซาเม็ดลงไปมาก แสงสุรีย์ก้าวลงจากรถด้วยความรีบร้อน ขณะเดียวกับทองวิ่งไปเปิดท้ายหยิบถุงพะรุงพะรังที่ซื้อมาเป็นบรรณาการกองถ่ายเต็มสองมือตามเข้าไปภายในโรงแรม
ผู้จัดการสาวแว่นถึงกับหน้าเครียด เมื่อมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเป้าหมาย ใบหน้านวลซีดเซียวมีร่องรอยกังวล หล่อนสูดลมหายใจลึกแล้วหันมาเร่งคนหิ้วของวิ่งตามมา
“เร็วสิคะ แสงมือเย็นไปหมดจะแก้ตัวกับคุณชัชยังไงดี ลุงช่วยคิดหน่อยสิคะ”
“โธ่... คุณแสงครับ ผมก็เพิ่งมารับใช้คุณ ๆ ได้สองวัน พอพี่พงษ์หายป่วยผมก็จะกลับไปขับให้ทีมงานตามเดิม ไม่ไหวแล้วขับให้คุณอร หัวใจจะวาย” ทองแก้เก้อก้าวมายืนเคียงกันหน้าประตู
“โอย เครียดจริง ๆ เบื่อนักกับการโกหกเนี่ย”
“ยังไงก็ยอมรับผิดไปเถอะนะครับ ทีมงานคงไม่ใจร้ายกับคุณอรหรอก”
“แหงสิคะ กับอรจะทำอะไรได้คนที่ตายคือแสงนี่แหละ วันนี้มีแววตายหลายรอบเลย ทั้งคุณชัช ท่านประธาน วันนี้คงเป็นวันที่แย่ที่สุดของแสงเลยล่ะค่ะ” แสงสุรีย์หน้าเบ้ ดวงหน้าเรียวภายใต้กรอบแว่นสายตาหนาซีดสนิท
ทันใดนั้นประตูห้องจัดเลี้ยงบานใหญ่สีทองก็เปิดกว้าง ผู้จัดการสาวถึงกับสะดุ้งโหยงหน้าซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิท ทันทีที่เห็นหน้าคนเปิดประตูมายืนจังก้าอยู่
“อ้าว! คุณแสงมายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรตรงนี้”
“ขอโทษนะคะ... คุณชัช”
ผู้จัดการสาวแว่นค้อมตัวลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือเรียวกุมกันแน่นเหนือท้องน้อยด้วยความหวั่นว่าจะโดนเอ็ดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่
“ขอโทษอะไรคุณแสง” ชัชพลถามกลับ
“แสงต้องขอโทษจริง ๆ ขอโทษมาก ๆ เลยนะคะที่ทำให้กองถ่ายเสียหาย คือแสงตามหาอรไม่เจอค่ะ คุณชัช”
“หืม...” ชัชพลหรี่ตามอง
“คือแสงไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่าขอโทษ รอบหน้าจะไม่ให้ผิดพลาดอีกค่ะ”
ผู้จัดการสาวแว่นขอโทษขอโพยยกใหญ่ แต่เสียงของคนคุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลังผู้กำกับหนุ่มที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน”
อรณีก้าวเข้ามายืนข้างชัชพล ร่างระหงงดงามในชุดราตรีสีงาช้างปักลูกไม้ดิ้นเงินผสมลูกปัดมุกและเพชรแพรวพราว ในมือมีหน้ากากขนนกสีขาวสะอาดตาโบกสะบัดเบา ๆ ขับไล่ความร้อนอบอ้าวภายนอกห้องที่ตกกระทบผิวนวลให้รู้สึกรำคาญไม่สบายตัว
“อร! อร นี่มาอยู่นี่ได้ยังไง”
“ก็เจ้ไล่ให้อรกลับมาก่อน จำไม่ได้เหรอคะ” อรณีถามย้ำ
ดวงหน้านวลขมวดมุ่นที่เห็นผู้จัดการจอมเฮี๊ยบตื่นเต้นเกินเหตุ ชัชพลกระแอมเป็นสัญญาณก่อนพูดแทรกขึ้นแทน
“ถ่ายเสร็จไปถึงไหนแล้ว เจ้เพิ่งมา เป็นผู้จัดการประสาอะไร ปล่อยให้นักแสดงของตัวเองเดินฝ่าสายฝนมาตัวเปียกมะล่อกมะแล่กยังกะนางเอกมิวสิควิดีโอ”
“อะไรนะคะ! เจ้บอกแล้วให้ไปรอที่รถ ทำไมไม่ไปเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงคิวงานได้ปั่นป่วนกันพอดี” แสงสุรีย์โวย
อรณีชักสีหน้าใส่ทันทีที่โดนเอ็ดต่อหน้าชัชพลและทีมงานที่เดินเข้าออกไม่ไกล
“จะมีสักครั้งไหมที่ห่วงคนมากกว่างาน แค่เดินตากฝนมาแค่นี้อรไม่ตายง่าย ๆ หรอก ยังจะอยู่เป็นก้างขวางคอใครบางคนไปอีกนาน”
“ทำไมพูดแบบนี้” แสงสุรีย์หน้าเสีย “เลิกประชดประชันซะทีเถอะ”
“ก็หรือไม่จริง” อรณีเถียงไม่ลดละ
“ก็ฟังก่อนได้ไหมล่ะ เอะอะใช้แต่อารมณ์”
ผู้จัดการสาวที่อารมณ์กำลังขึ้นได้ที่หลังถูกพาดพิงเพราะสาเหตุเมื่อตอนสายเกี่ยวกับภาณุก็นึกโมโห
ชัชพลเห็นท่าไม่ดีรีบขัด ก่อนที่ผู้จัดการส่วนตัวกับนักแสดงสาวในสังกัดจะทะเลาะกันลุกลาม
“ค่อยตกลงกันทีหลังได้ไหม จะไปเล่นมิวสิคอะไรก็ขอให้ผ่านงานวันนี้ไปให้ได้ก่อนเถอะ”
อรณีเหลือบตามองผู้กำกับหนุ่มแล้วปรายตาไปทางแสงสุรีย์
“พี่ชัชก็พูดเกินไป แค่เป็นนางเอกหนังก็อย่างกับเป็นนักโทษจะแย่อยู่แล้ว จะให้ควบตำแหน่งนางเอกมิวสิคอีกหรือคะ คงต้องบิวท์อารมณ์กันน่าดูเลย อรไม่ได้สารพัดประโยชน์ถึงจะรับงานจับฉ่ายขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“อรณี!” แสงสุรีย์ขึ้นเสียงใส่
“ทำไมคะ” หญิงสาวถามกลับเดินเยื้องย่างเข้าหา “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อรยังไปไหนไม่ได้ ป่วยก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ ตราบใดที่สัญญามันยังค้ำคอ”
“เลิกเถียงกันซะทีได้ไหม พี่ขอเถอะนะอร”
อรณีเหลือบตามองผู้กำกับหนุ่ม แล้วยิ้มหวานใส่ผู้จัดการส่วนตัว ไม่ทันที่แสงสุรีย์จะได้พูดอะไรต่อ ปลายหางตาก็รับรู้ถึงรังสีอำมหิตจากใครบางคนที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาทางที่หล่อนยืนอยู่และท่าทางจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะหน้าตาแสดงความหงุดหงิดสุด ๆ นั่นเอง
++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยค่ะ
อาจจะไม่ค่อยได้มาลง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^^
ภาณุพ่นลมหายใจออกมาอย่างอึดอัด ไม่ใช่เพราะคำพูดของตัวเอง แต่เป็นเพราะเหลือบไปเห็นภาพใครบางคนในจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่มุมหนึ่งของร้านนั่นต่างหาก น่านฟ้ามองตามพอเห็นว่าเป็นใครก็ดีดนิ้วเปาะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ อรณีเป็นเพื่อนนายตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่หว่า ก่อนที่เราจะมาสนิทกัน พวกนายกี่คนนะที่ตาม ๆ กันอยู่เมื่อก่อน”
“สี่คน”
“นั่นแหละ ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ ไหน ๆ ยายนางก็จะได้เล่นภาคต่อประกบอรณีแล้วนี่ โครงการเสร็จเราจับเอาสองคนนี้มาโฆษณาโปรโมทคอนโด ทั้งหนังของอาฉันที่จะฉายได้กำไรสองต่อเลย นายว่าดีไหมวะ”
“อืม ก็ดี” ภาณุรับคำ
“เอาไว้จะลองติดต่อดู” น่านฟ้ายิ้มหมายมาดท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา
ภาณุยังคงจับจ้องในจอโทรทัศน์ไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้ความคิดวนเวียนหยุดลงแล้วหันมามองคนพูดเต็มตาก็คือเรื่องที่น่านฟ้าพูดถึงอดีตสมัยเรียน
มันสะกิดใจเขาอย่างจัง…
“นายไม่รู้อะไรสินะ เมื่อก่อนอรณีเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันตอนมอปลายด้วย นึกแล้วเสียดายเมื่อก่อนน่าจะจีบตอนยังเป็นนางแบบโนเนม ไม่งั้นป่านนี้ได้มีแฟนเป็นดาราดังแล้ว” น่านฟ้าเอ่ยกลั้วหัวเราะ
แต่ภาณุหัวเราะไม่ออก ได้แต่พูดเตือนสติ
“ระวังงานจะเข้าโดยไม่รู้ตัว คราวก่อนหมดเงินกับน้องอะไรต่อมิอะไรไปเท่าไหร่ยังไม่เข็ดอีก”
“คาสโนว่าฆ่าไม่ตายอย่างน่านฟ้าคนนี้ ต่อให้สิบอรณีก็ไม่คณนาหรอกน่า อย่าให้เจออีกก็แล้วกันคราวนี้ไม่ให้คลาดกันชัวร์”
ภาณุฟังแล้วได้แต่อึ้งพยายามฝืนยิ้มให้เป็นปกติทั้งที่ภายในใจกำลังเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อฟังคำพูดหมายมาดของเพื่อนรักจบ
ภาพของอรณีที่ปรากฏบนหน้าจอแอลซีดี รอยยิ้มสดใสน่ารักสวยบาดใจจนอยากเก็บไว้ไม่ให้ใครได้เห็นมันอีกเลยนอกจากเขาคนเดียว
ห้องทำงานของคุณหญิงรัตนาอยู่ถัดจากห้องจัดเลี้ยงขึ้นไปสามชั้น บรรยากาศภายในห้องกำลังตึงเครียดแทบจะถึงขีดสุด หลังจากคุณหญิงฟังข่าวจากพริมาที่ขึ้นมารายงานผลเสร็จ
“อะไรนะ! ปาร์ตี้หน้ากาก” คุณหญิงขึ้นเสียงสูงสีหน้าเคร่งขรึมเป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวแทบจะทันที
“ค่ะ” พริมาตอบยืนตัวลีบหน้าโต๊ะทำงาน
“ค่ะ... คำเดียวแค่นี้” คุณหญิงมองลอดแว่น “มีคำขยายความยาวให้ฉันฟังรึเปล่า”
“เมื่อกี้ดิฉันได้ยินเด็ก ๆ คุยกันว่าคุณหนูเข้าฉากแรกคืองานปาร์ตี้หน้ากาก เป็นตัวแสดงแทนคุณอรณีค่ะ”
“ตัวแสดงแทนเนี่ยนะ นี่มันเกินไปจริง ๆ ถอยไป ฉันจะไปดู”
“แต่คุณหญิงคะ งานยังถ่ายกันอยู่”
พริมาระล่ำระลัก กลัวคุณหญิงไปพ่นไฟในงานไม่พอ หล่อนอาจจะเจอข้อหาอีกาคาบข่าวมาบอกอีกมีหวังโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คุณหญิงรัตนาหาฟังไม่ ร่างอวบเจ้าเนื้อในชุดผ้าไหมชั้นดีผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าขึงขังบ่งบอกความไม่พอใจถึงขีดสุด
พริมาได้แต่ค้อมหัว ขยับถอยห่างเว้นที่ว่างให้คุณหญิงก้าวเดินออกจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่เฉียดหล่อนไปเพียงนิดพร้อมคำพูดสบถที่คนฟังถึงกับหน้าเสีย
“เสียแรงที่ให้เธออำนวยความสะดวก ฉันต้องรับสายท่าน สส. บ่นมาตามสายจนหูชาจนต้องแลกกับส่วนจัดเลี้ยงบนสตาร์บาร์เพียงเพื่อให้ลูกสาวคนเดียวของฉันไปเป็นสแตนด์อินแทนคนอื่น... ทุเรศที่สุด!”
“แต่คุณหญิงคะ ตอนแรกที่ติดต่อเลขาท่าน สส. ท่านก็ตกลงแต่โดยดีเลยนะคะ”
“ดีสิยะ ถ้าฉันไม่เคลียร์อีกชั้นนึง มีเหรอที่จะเจรจาสำเร็จ ท่าน สส.เหมือนใครเสียที่ไหน ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เห็นทีต้องไปคุยกับนายผู้กำกับนั่นซะหน่อยแล้ว”
คุณหญิงพูดไปเดินนำไป พริมาก้าวตามแทบจะเป็นวิ่งตัดหน้าฉิวเฉียดไปเปิดประตูให้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปจากห้อง ปราณก็โผล่หน้ามาพอดี คุณหญิงถึงกับชะงักก่อนจะชักสีหน้าออกคำสั่งทันที
“มาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ พ่อตัวดี”
คุณหญิงหันหลังกลับเข้าไปในห้องแล้วกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหงุดหงิด ปราณก้าวตามเข้ามาสีหน้าเรียบเฉยควบคุมอารมณ์ได้ดี เมื่อเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยภายในห้อง คุณหญิงโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงสาวออกไปจากห้องทันที
“เป็นอะไรพี่” ปราณเอ่ยอย่างใจเย็นเมื่อเจอพี่สาวค้อนขวับเข้าให้
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี พี่รู้แล้วเรื่องนายผู้กำกับนั่นให้ลูกสาวฉันเป็นตัวสำรองแม่นางเอกสุดที่รักของเรา”
“โธ่ นึกว่าอะไร เรื่องเล็กน้อยเอง คิดมากระวังไหมร้อยไว้หลายเงินจะสูญเปล่าเพราะหน้าเหี่ยวเร็วแล้วพี่จะหงุดหงิดเอาได้นะ หมู่นี้เงินยิ่งหายากอยู่” ปราณเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
คุณหญิงขว้างค้อนวงใหญ่สวนกลับ กระแทกเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิดอีกรอบ
“หน้าฉัน เงินฉันย่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นตลกเปลี่ยนเรื่อง ความสวยของผู้หญิงนี่ไม่ใช่เรื่องขำ เราไม่มาเป็นผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าทำไมถึงต้องยอมเจ็บตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความสวยงามน่ะ”
“ก็ได้ ๆ ยอม” ปราณส่ายหน้า “ผมไม่ใช่ผู้หญิง รักสวยรักงามไม่เป็น แต่พี่น่าจะดีใจ ยิ่งไม่อยากให้ลูกเป็นดาราอยู่แล้ว ยายนางอาจจะยอมแพ้ก็ได้ถ้าเรื่องแค่นี้ทนไม่ไหวก็เข้าทางพี่”
ปราณยักไหล่หนำซ้ำยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน คุณหญิงเห็นท่าทางเฉยชาไม่รู้ร้อนหนาวของน้องชายแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอา
“แน่ละสิ พี่อยากให้ยายนางขยันเรียนให้สูงจบมาจะได้ทำงานที่บริษัท แค่นี้ทำจนตายก็ไม่มีวันหมดแล้ว แต่เรานั่นแหละแอบให้หลานไปแคสติ้งที่ดรีมแล้วยังจะมาพูดดี”
“ไม่เห็นเป็นไร เด็กมีความสามารถแคสผ่านมาได้ด้วยความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรเลยด้วยซ้ำ สมัยนี้หายากนะ ผมอยากสนับสนุนหลาน”
คุณหญิงรัตนาอ่อนลงแต่ก็ยังอดไม่ได้ มือเรียวเหี่ยวย่นตามวัยฟาดเข้าที่หลังน้องชายด้วยความหมั่นไส้
“นี่แน่ะ โทษฐานสนับสนุนหลานในทางที่ผิด จำเอาไว้นะ คราวหน้ามีอะไรปรึกษาพี่ก่อน ยายนางต้องเป็นอย่างใจพี่ต้องการ เข้าใจไหม”
“โธ่... ยิ่งกว่าเข้าใจซะอีกครับ แก่ปูนนี้เมื่อไหร่จะเลิกตีผมซะที ผมมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ ยายนางมีศักยภาพในตัวเองเพียงพอไม่ต้องกลัวว่าแกจะออกนอกลู่นอกทาง ผมคอยดูแลอยู่ไม่มีทางที่ผมจะไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหลานและเมื่อผมเลือกแล้วรับรองได้เลยว่ามันคุ้มค่าแน่นอน”
ปราณสัญญาเป็นมั่นเหมาะ น้ำเสียงจริงจังจนคุณหญิงรัตนาได้แต่มองค้อน
“จะคอยดูก็แล้วกัน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรยายนางต้องออกจากวงการทันที พี่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งยายนางเอกเทวดาของเรา พี่ขอเตือนไว้ก่อน”
คุณหญิงรัตนาเอ่ยสำทับ ปราณพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ตอบรับคำอย่างพอใจแต่ก็หนักใจไม่น้อย
กว่ารถตู้จะเลี้ยวเข้ามาจอดยังทางเข้าหน้าล็อบบี้ของโรงแรม ก็เกือบเที่ยงวันฝนเริ่มซาเม็ดลงไปมาก แสงสุรีย์ก้าวลงจากรถด้วยความรีบร้อน ขณะเดียวกับทองวิ่งไปเปิดท้ายหยิบถุงพะรุงพะรังที่ซื้อมาเป็นบรรณาการกองถ่ายเต็มสองมือตามเข้าไปภายในโรงแรม
ผู้จัดการสาวแว่นถึงกับหน้าเครียด เมื่อมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเป้าหมาย ใบหน้านวลซีดเซียวมีร่องรอยกังวล หล่อนสูดลมหายใจลึกแล้วหันมาเร่งคนหิ้วของวิ่งตามมา
“เร็วสิคะ แสงมือเย็นไปหมดจะแก้ตัวกับคุณชัชยังไงดี ลุงช่วยคิดหน่อยสิคะ”
“โธ่... คุณแสงครับ ผมก็เพิ่งมารับใช้คุณ ๆ ได้สองวัน พอพี่พงษ์หายป่วยผมก็จะกลับไปขับให้ทีมงานตามเดิม ไม่ไหวแล้วขับให้คุณอร หัวใจจะวาย” ทองแก้เก้อก้าวมายืนเคียงกันหน้าประตู
“โอย เครียดจริง ๆ เบื่อนักกับการโกหกเนี่ย”
“ยังไงก็ยอมรับผิดไปเถอะนะครับ ทีมงานคงไม่ใจร้ายกับคุณอรหรอก”
“แหงสิคะ กับอรจะทำอะไรได้คนที่ตายคือแสงนี่แหละ วันนี้มีแววตายหลายรอบเลย ทั้งคุณชัช ท่านประธาน วันนี้คงเป็นวันที่แย่ที่สุดของแสงเลยล่ะค่ะ” แสงสุรีย์หน้าเบ้ ดวงหน้าเรียวภายใต้กรอบแว่นสายตาหนาซีดสนิท
ทันใดนั้นประตูห้องจัดเลี้ยงบานใหญ่สีทองก็เปิดกว้าง ผู้จัดการสาวถึงกับสะดุ้งโหยงหน้าซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิท ทันทีที่เห็นหน้าคนเปิดประตูมายืนจังก้าอยู่
“อ้าว! คุณแสงมายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรตรงนี้”
“ขอโทษนะคะ... คุณชัช”
ผู้จัดการสาวแว่นค้อมตัวลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือเรียวกุมกันแน่นเหนือท้องน้อยด้วยความหวั่นว่าจะโดนเอ็ดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่
“ขอโทษอะไรคุณแสง” ชัชพลถามกลับ
“แสงต้องขอโทษจริง ๆ ขอโทษมาก ๆ เลยนะคะที่ทำให้กองถ่ายเสียหาย คือแสงตามหาอรไม่เจอค่ะ คุณชัช”
“หืม...” ชัชพลหรี่ตามอง
“คือแสงไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่าขอโทษ รอบหน้าจะไม่ให้ผิดพลาดอีกค่ะ”
ผู้จัดการสาวแว่นขอโทษขอโพยยกใหญ่ แต่เสียงของคนคุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลังผู้กำกับหนุ่มที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน”
อรณีก้าวเข้ามายืนข้างชัชพล ร่างระหงงดงามในชุดราตรีสีงาช้างปักลูกไม้ดิ้นเงินผสมลูกปัดมุกและเพชรแพรวพราว ในมือมีหน้ากากขนนกสีขาวสะอาดตาโบกสะบัดเบา ๆ ขับไล่ความร้อนอบอ้าวภายนอกห้องที่ตกกระทบผิวนวลให้รู้สึกรำคาญไม่สบายตัว
“อร! อร นี่มาอยู่นี่ได้ยังไง”
“ก็เจ้ไล่ให้อรกลับมาก่อน จำไม่ได้เหรอคะ” อรณีถามย้ำ
ดวงหน้านวลขมวดมุ่นที่เห็นผู้จัดการจอมเฮี๊ยบตื่นเต้นเกินเหตุ ชัชพลกระแอมเป็นสัญญาณก่อนพูดแทรกขึ้นแทน
“ถ่ายเสร็จไปถึงไหนแล้ว เจ้เพิ่งมา เป็นผู้จัดการประสาอะไร ปล่อยให้นักแสดงของตัวเองเดินฝ่าสายฝนมาตัวเปียกมะล่อกมะแล่กยังกะนางเอกมิวสิควิดีโอ”
“อะไรนะคะ! เจ้บอกแล้วให้ไปรอที่รถ ทำไมไม่ไปเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงคิวงานได้ปั่นป่วนกันพอดี” แสงสุรีย์โวย
อรณีชักสีหน้าใส่ทันทีที่โดนเอ็ดต่อหน้าชัชพลและทีมงานที่เดินเข้าออกไม่ไกล
“จะมีสักครั้งไหมที่ห่วงคนมากกว่างาน แค่เดินตากฝนมาแค่นี้อรไม่ตายง่าย ๆ หรอก ยังจะอยู่เป็นก้างขวางคอใครบางคนไปอีกนาน”
“ทำไมพูดแบบนี้” แสงสุรีย์หน้าเสีย “เลิกประชดประชันซะทีเถอะ”
“ก็หรือไม่จริง” อรณีเถียงไม่ลดละ
“ก็ฟังก่อนได้ไหมล่ะ เอะอะใช้แต่อารมณ์”
ผู้จัดการสาวที่อารมณ์กำลังขึ้นได้ที่หลังถูกพาดพิงเพราะสาเหตุเมื่อตอนสายเกี่ยวกับภาณุก็นึกโมโห
ชัชพลเห็นท่าไม่ดีรีบขัด ก่อนที่ผู้จัดการส่วนตัวกับนักแสดงสาวในสังกัดจะทะเลาะกันลุกลาม
“ค่อยตกลงกันทีหลังได้ไหม จะไปเล่นมิวสิคอะไรก็ขอให้ผ่านงานวันนี้ไปให้ได้ก่อนเถอะ”
อรณีเหลือบตามองผู้กำกับหนุ่มแล้วปรายตาไปทางแสงสุรีย์
“พี่ชัชก็พูดเกินไป แค่เป็นนางเอกหนังก็อย่างกับเป็นนักโทษจะแย่อยู่แล้ว จะให้ควบตำแหน่งนางเอกมิวสิคอีกหรือคะ คงต้องบิวท์อารมณ์กันน่าดูเลย อรไม่ได้สารพัดประโยชน์ถึงจะรับงานจับฉ่ายขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“อรณี!” แสงสุรีย์ขึ้นเสียงใส่
“ทำไมคะ” หญิงสาวถามกลับเดินเยื้องย่างเข้าหา “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อรยังไปไหนไม่ได้ ป่วยก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ ตราบใดที่สัญญามันยังค้ำคอ”
“เลิกเถียงกันซะทีได้ไหม พี่ขอเถอะนะอร”
อรณีเหลือบตามองผู้กำกับหนุ่ม แล้วยิ้มหวานใส่ผู้จัดการส่วนตัว ไม่ทันที่แสงสุรีย์จะได้พูดอะไรต่อ ปลายหางตาก็รับรู้ถึงรังสีอำมหิตจากใครบางคนที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาทางที่หล่อนยืนอยู่และท่าทางจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะหน้าตาแสดงความหงุดหงิดสุด ๆ นั่นเอง
++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยค่ะ
อาจจะไม่ค่อยได้มาลง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2560, 18:05:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2560, 18:05:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 938
<< บทที่ 12/1 แค่มองก็พอ |