ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก
ตอน: บทที่ 12/1 แค่มองก็พอ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ชายชราผมสีดอกเลาสะดุ้งตื่นงัวเงีย สายเข้าจากแสงสุรีย์ที่โบกมือเรียกอยู่ริมฟุตบาทไม่ไกลจากจุดที่รถจอดมากนัก ทำให้ต้องหยิบร่มลงไปรับแทบไม่ทัน
“ขอโทษครับ” ทองยื่นร่มอีกคันส่งให้ “ผมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”
“ช้ามาก ฉันต่อตั้งหลายครั้ง นี่ลุงหลับเหรอคะ” แสงสุรีย์บ่นอุบจ้ำพรวดนำ พอขึ้นมานั่งบนรถได้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทองถึงกับหน้าเสียวิ่งอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับอย่างรีบร้อน
“ขอโทษครับคุณแสง”
“แสงไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แค่เป็นห่วง ลุงหลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ระวังขาดอากาศหายใจ คราวหน้าเปิดกระจกสักนิดสิจะได้หายใจสะดวก”
“ฝนตกกลัวละอองฝนสาดเข้ามา รถจะพาลมีกลิ่นอับ เดี๋ยวคุณอรจะบ่นเอา อีกอย่างพอดีอากาศเย็นสบายผมก็เลยดับเครื่องแล้วเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ”
“ก็นั่นสิคะ ไม่เห็นข่าวรึไง ลงบ๊อยบ่อยหลับลึกในรถนี่ถึงตายได้เชียวนะ”
ผู้จัดการสาวบ่นไปก็ถอดแว่นสายตาที่พร่ามัวเพราะละอองฝนออกมาเช็ดอย่างเร่งรีบ เหลือบมองกระจกมองหลังผ่านไปยังเบาะด้านหลังทีเปิดผ้าม่านกั้นแง้มไว้เล็กน้อย
“เป็นไงคะ ยายคนด้านหลังน่ะเรียบร้อยดีรึเปล่า”
“คนไหนครับ”
ทองสีหน้างุนงง คนฟังถึงกับขมวดคิ้วงงยิ่งกว่าถึงกับถามซ้ำ
“จะใครล่ะคะ เรามาตามใครก็คนนั้นแหละ แหมมาแทนลุงพงษ์แค่นี้ถึงกับรับมือยายตัวยุ่งไม่ไหวเหรอคะ”
แสงสุรีย์ทำเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่มองด้วยซ้ำเพราะยังเคืองอยู่จนไม่อยากจะเสวนาให้มากความ แต่สีหน้าของทองที่ยังคงงุนงงและคิ้วขมวดมุ่น ทำให้ผู้จัดการสาวแว่นเอะใจหันขวับไปมอง
“ไม่มี!” แสงสุรีย์ทุบแผงคอนโซลหน้ารถดังปัง “เป็นไปได้ยังไง ก็บอกแล้วว่าให้ลุงคอยดูเวลาออกมาจากร้าน”
“ผมยังไม่เห็นคุณอรออกมาเลยครับ นึกว่ายังตามหากันไม่เจอซะอีก”
ทองถึงกับหน้าเสีย คงเป็นเพราะเขาหลับทำให้ไม่เห็น แต่อรณีก็จำรถได้ ไม่น่าเป็นไปได้ว่าหล่อนจะไม่เห็นเช่นกัน
“จะบ้าไปแล้ว ช่างขยันหาเรื่องได้ทุกวันจริง ๆ” แสงสุรีย์โพล่งออกมา “หล่อนกำลังจะทำให้ฉันหมดความอดทนแล้วนะ”
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีครับคุณแสง”
“ไม่รู้แล้ว! ฉันจะบ้าตาย ออกรถไปก่อนเถอะค่ะ”
ผู้จัดการสาวแว่นเอนหลังกับเบาะอย่างแรง สูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ ทองถึงกับทำตัวไม่ถูก แต่เร่งเครื่องรถออกไปทันที
ร้านอาหารกึ่งผับสไตล์อิตาเลียนริมถนนย่านพัทยากลางช่วงเกือบสิบเอ็ดโมงยังคงไม่คึกคักเท่าที่ควรเพราะฝนโปรยปรายไม่ยอมหยุด
ภาณุก้าวเข้ามาในร้านด้วยเนื้อตัวเปียกปอน หลังรับโทรศัพท์จากน่านฟ้าว่ามีเรื่องสำคัญทำให้ต้องแยกจากแสงสุรีย์ทันทีที่ออกจากร้านโดยไม่ทันได้ปรับความเข้าใจหรือรับรู้การหายตัวไปของอรณี
พอเข้ามาในร้านพนักงานก็กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ ภาณุยิ้มให้แต่สายตาสอดส่องมองหาคนที่นัดไว้แต่กลับไม่เห็นแม้เงา
“พอดีผมนัดเพื่อนไว้ เดี๋ยวขอโทรหาก่อนนะครับ” ภาณุโบกมือขอเวลานอก พลางหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาจะกดโทร แต่แล้วก็หน้าเสีย “แบตหมดตอนไหนเนี่ย แล้วกันสิตกลงนัดร้านนี้แน่รึเปล่า”
ชายหนุ่มหันรีหันขวางเก้กัง พนักงานต้อนรับถอยห่างรีรอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกจากมุมหนึ่งตามมาด้วยร่างสูงของชายหนุ่มลูกครึ่งลุกโบกมือเรียก
“เฮ้! ไอ้ณุ ทางนี้”
“มานานรึยัง” ภาณุเอ่ยถามทันทีที่ลงนั่งประจำที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“นานจนจะกินพิซซาสักสิบถาดได้ละมั้ง”
“งั้นก็ว่ามา” ภาณุตั้งท่าฟัง “อย่าให้เป็นเรื่องไร้สาระอีกก็แล้วกัน”
“ระดับไฮโซน่านฟ้า ไม่ไร้สาระเว้ย!”
หนุ่มลูกครึ่งทำยืดแต่เปลี่ยนสีหน้าฉับพลันที่บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ
“งั้นก็เล่าซะที ลีลาอยู่ได้”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มา ๆ กินก่อนดีกว่า ฉันสั่งพิซซ่าถาดใหญ่แบบสี่หน้าเผื่อนายด้วย เขาว่ากันว่าร้านนี้พิซซ่าดังและอร่อยมาก เลยอยากชิม”
“เออดีกินของหนักแต่ยังไม่เที่ยงเลย เบียร์นี่ก็ด้วยกินแต่หัววันเนี่ยนะ ครึ้มอกครึ้มใจอะไรมากมาย”
ภาณุดูออก น่านฟ้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจเขาเห็นสีหน้าที่แสดงออกไม่ค่อยสู้ดีจนน่าสงสัย
“ที่นี่น่าสนจริง ๆ โดยเฉพาะเจ้าของร้านสวยน่ารัก เซอร์วิสมายด์เยี่ยม สงสัยอีกหน่อยมาเปิดเฟสสามที่นี่ต้องมาใช้บริการร้านนี้บ่อย ๆ”
“คิดไปไกลเลยนะ” ภาณุแย้ง “ยังไม่ได้ตกลงเลยด้วยซ้ำ”
“เพราะใครล่ะ นัดกันกับคุณหญิงแม่ให้มารอตั้งแต่เช้า แต่หายหัวเฉยเลย ฉันกับยายนางโดนบูชายัญเพราะนายเลย”
“ไม่เห็นรู้เรื่อง ใครนัดใคร งง”
“นั่นไง!” น่านฟ้าตบเข่าฉาด “นึกแล้วว่ายายนางต้องมั่ว มีอย่างที่ไหนให้คุณหญิงแม่มารอบอกว่านัดนายไว้ คุณหญิงแม่ก็รอไปบ่นไป ฉันรำคาญเลยหนีออกมาเนี่ย แล้วนายล่ะไปไหนมา”
คนเจอคำถามไม่ทันตั้งตัวถึงกับยิ้มไม่ออกเพราะลืมนึกถึงภารกิจที่ต้องทำให้ต้องทิ้งงานยุ่ง ๆ ที่กรุงเทพมาถึงพัทยาแต่เกลับเป็นห่วงอรณีที่หายตัวไปมากกว่าจนลืมเรื่องที่ต้องติดต่อที่ดินกับคุณหญิงรัตนาเสียสนิท
“ทำไมเงียบไป มีอะไรรึเปล่าหรือมีเรื่องอะไรบอกได้นะ”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร คิดเรื่องงานเพลิน ว่าแต่นายนัดฉันมาที่นี่ต้องมีอะไรแน่ ไม่งั้นก็คุยทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
ภาณุเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาเพื่อนรักที่นั่งตรงข้ามกันมองไกลออกไปนอกหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่
“เออ... มี อยากจะให้นายดูอะไรให้หน่อย โน่น”
พูดไม่พูดเปล่าน่านฟ้าบุ้ยใบ้ไปทางฝั่งตรงข้ามที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมขนาดสี่ชั้นค่อนข้างเก่าสไตล์จีนโบราณที่ดูแปลกแยกอยู่เพียงตึกเดียวในย่านใจกลางเมือง ภาณุมองตามสีหน้างุนงง
“ซีเฮ้าส์โฮเต็ล เคยได้ยินที่ไหนนะ” หันมาถามอีกรอบ “ทำไม”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” น่านฟ้ายักไหล่ “มีคนบอกมาว่าเจ้าของโรงแรมนี้กำลังหาคนมาเทคโอเวอร์อยู่ เห็นว่าติดหนี้พนันจนหมดตัวต้องเอาโรงแรมเก่าแก่ของตระกูลมาเร่ขาย นายว่าถ้าฉันจะให้คุณหญิงแม่ซื้อแล้วทุบทิ้งเป็นคอนโดเฟสใหม่ของเราจะดีไหมวะ”
ภาณุครุ่นคิดไม่ละสายตาจากตึกเก่า สักพักก็ส่ายหน้าทำเอาสถาปนิกหนุ่มหน้าเสีย
“ฉันว่าแค่ราคาที่ก็คงหลายร้อยล้าน” ภาณุประเมินด้วยสายตา “ที่จอดรถก็น้อยแถมดูแออัดพิกล”
“แต่ทำเลสวยนะเว้ย ดูสิติดถนนใหญ่ สายหลักน่าสนใจกว่าที่คนมาเสนอคุณหญิงแม่ตั้งเยอะ ขายไม่แพงด้วย ที่ดินสามไร่ ไม่กี่ร้อยล้านแค่นั้นเอง”
“นี่นะไม่แพงของนาย” ภาณุเบนสายตามาทางเพื่อนรัก “งานนี้คงมีซัมติงกับสาวไหนสักคนเมื่อคืนรึเปล่า ระวังตัวหน่อยเจอพวกสิบแปดมงกุฎจะหาว่าไม่เตือน”
“เฮ้ย! ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” น่านฟ้าโบกไม้โบกมือกลบเกลื่อน “น้องเค้าก็แค่เสนอขาย”
“นั่นไง... ว่าแล้ว”
“ฉันยังไม่ได้ตกลง เลยเรียกนายมาดูเผื่อช่วยพูดกับแม่ให้”
“ไม่เอาว่ะ” ภาณุบอกปัดไม่ต้องคิด “ฉันไม่อยากซวยเพราะผู้หญิงของนายอีก”
ภาณุยืนกรานกระต่ายขาเดียวและไม่อาสาไปบอกคุณหญิงรัตนาแน่นอน น่านฟ้าถอนใจหนักหน่วง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหงุดหงิด
“นึกแล้ว ถึงว่าสิว่านายเบตกระซิบก่อนมาว่าถ้าให้นายมาช่วยดูรับรองไม่ผ่าน”
“ธิเบตอีกแล้ว” ภาณุวางแก้วกาแฟทันทีจ้องเพื่อนรักด้วยท่าทางจริงจัง “นายไว้ใจคนมากเกินไป ระวังจะลำบาก”
“ไม่หรอกน่า เบตก็คนดี ๆ กัน แนะนำสาวสวยคนนั้นมาให้ฉันก็เลยมาดูเอง”
“คนดีกันก็เลยอาสาพร้อมค่าคอมมิชชั่นหลายเงินสินะ คิดจะจับเสือมือเปล่ากันทั้งนั้น” ภาณุอดที่จะค่อนไม่ได้เพราะไม่ไว้ใจธิเบตเป็นทุนเดิม
“เอาน่า... ของแบบนี้ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้เยอะกว่านี้อีก ฉันฝันจะทำคอนโดโค้งรับลมรอบทิศทางแห่งแรกในเมืองไทย แค่ฝันถึงยังไม่เป็นรูปเป็นร่างก็ตื่นเต้นแล้วว่ะ”
“เออ... ไอ้คนรวยมันก็น่าสนใจดีถ้าทำได้ แต่ที่ดินแถวนี้แพงหูฉี่ นี่ถ้าแออัดขนาดนี้เป็นแถว ๆ ทางไปวอล์กกิ้งสตรีทจะไม่ว่าสักคำ อยู่ในเขตย่านการค้าอีกต่างหาก จะว่าแพงก็ไม่โขกราคาแบบที่นายบอกที่สำคัญไม่ต้องเสียค่ารื้อถอนให้ยุ่งยาก”
“แต่มันจอแจเกินไป ไม่สมระดับไฮเอ็นด์อย่างเรา” น่านฟ้าแย้ง
“ก็ตามใจนาย”
ภาณุหมดคำพูด เอนหลังพิงพนักปรายตามองซีเฮ้าส์โฮเต็ลครุ่นคิด
“อ้าว..ไอ้นี่ ถึงจะแพงแต่ก็ถูกกว่าถนนเลียบหาดนะแถวนั้นเบาะ ๆ ติดสุขุมวิทก็ไร่ละสามร้อยล้านแล้ว”
“ก็รู้ไง... ถึงบอกว่าคุ้มค่าความเสี่ยงรึยัง คอนโดมิเนียมเฟสสามจะทำกี่ตึก กี่ชั้น รูปทรงแบบไหน มีอะไรบ้าง ที่จอดรถ สันทนาการ ไม่เตรียมพร้อมอะไรสักอย่างแค่มาดูที่ก็คิดแต่จะจ่ายเงินแล้ว ดูให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อสิ”
“เออก็ได้ พ่อขงเบ้งวิศวกรรม หมดกันดับฝันกันกลางวันแสก ๆ เลย นายคิดว่าไม่โอเคเลยหรือวะ ฉันจะปฏิเสธน้องเขา”
“ไม่โอเค แค่มีเงินอะไรก็เสกสรรบันดาลได้ก็จริง แต่อยากจะบอกว่าลงทุนอะไรให้คิดให้ดี คุณหญิงแม่นายน่ะเก่งมากนะ ท่านมองอะไรมักไม่ค่อยพลาด นายต้องเรียนรู้งานจากท่านให้มาก เผื่อเอาไว้คุณนางก็ยังเด็กมีอะไรนายนั่นแหละที่ต้องดูแลกิจการของครอบครัว”
น่านฟ้าถึงกับห่อเหี่ยวเมื่อฟังจบ แต่ก็เบนประเด็นไปได้อย่างหน้าตาเฉยจนคนฟังแทบสำลักทีเดียว
“ไม่เห็นยากนี่หว่า... นายก็มาเป็นน้องเขยแล้วมาบริหารงานแทน ส่วนฉันจะได้ไปท่องเที่ยวรอบโลก ถ่ายรูปแบบที่ชอบแล้วก็หาเมียแหม่มสักคน เอาแบบสวย ๆ ลูกออกมาจะได้สวยแบบยายนางไง ลูกชายจะได้วัดรอยเท้าคุณหญิงแม่เปี๊ยบเลย”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทีติดตามอ่านค่า
ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488
ขอบคุณมากค่า ^__^
“ขอโทษครับ” ทองยื่นร่มอีกคันส่งให้ “ผมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”
“ช้ามาก ฉันต่อตั้งหลายครั้ง นี่ลุงหลับเหรอคะ” แสงสุรีย์บ่นอุบจ้ำพรวดนำ พอขึ้นมานั่งบนรถได้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทองถึงกับหน้าเสียวิ่งอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับอย่างรีบร้อน
“ขอโทษครับคุณแสง”
“แสงไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แค่เป็นห่วง ลุงหลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ระวังขาดอากาศหายใจ คราวหน้าเปิดกระจกสักนิดสิจะได้หายใจสะดวก”
“ฝนตกกลัวละอองฝนสาดเข้ามา รถจะพาลมีกลิ่นอับ เดี๋ยวคุณอรจะบ่นเอา อีกอย่างพอดีอากาศเย็นสบายผมก็เลยดับเครื่องแล้วเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ”
“ก็นั่นสิคะ ไม่เห็นข่าวรึไง ลงบ๊อยบ่อยหลับลึกในรถนี่ถึงตายได้เชียวนะ”
ผู้จัดการสาวบ่นไปก็ถอดแว่นสายตาที่พร่ามัวเพราะละอองฝนออกมาเช็ดอย่างเร่งรีบ เหลือบมองกระจกมองหลังผ่านไปยังเบาะด้านหลังทีเปิดผ้าม่านกั้นแง้มไว้เล็กน้อย
“เป็นไงคะ ยายคนด้านหลังน่ะเรียบร้อยดีรึเปล่า”
“คนไหนครับ”
ทองสีหน้างุนงง คนฟังถึงกับขมวดคิ้วงงยิ่งกว่าถึงกับถามซ้ำ
“จะใครล่ะคะ เรามาตามใครก็คนนั้นแหละ แหมมาแทนลุงพงษ์แค่นี้ถึงกับรับมือยายตัวยุ่งไม่ไหวเหรอคะ”
แสงสุรีย์ทำเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่มองด้วยซ้ำเพราะยังเคืองอยู่จนไม่อยากจะเสวนาให้มากความ แต่สีหน้าของทองที่ยังคงงุนงงและคิ้วขมวดมุ่น ทำให้ผู้จัดการสาวแว่นเอะใจหันขวับไปมอง
“ไม่มี!” แสงสุรีย์ทุบแผงคอนโซลหน้ารถดังปัง “เป็นไปได้ยังไง ก็บอกแล้วว่าให้ลุงคอยดูเวลาออกมาจากร้าน”
“ผมยังไม่เห็นคุณอรออกมาเลยครับ นึกว่ายังตามหากันไม่เจอซะอีก”
ทองถึงกับหน้าเสีย คงเป็นเพราะเขาหลับทำให้ไม่เห็น แต่อรณีก็จำรถได้ ไม่น่าเป็นไปได้ว่าหล่อนจะไม่เห็นเช่นกัน
“จะบ้าไปแล้ว ช่างขยันหาเรื่องได้ทุกวันจริง ๆ” แสงสุรีย์โพล่งออกมา “หล่อนกำลังจะทำให้ฉันหมดความอดทนแล้วนะ”
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีครับคุณแสง”
“ไม่รู้แล้ว! ฉันจะบ้าตาย ออกรถไปก่อนเถอะค่ะ”
ผู้จัดการสาวแว่นเอนหลังกับเบาะอย่างแรง สูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ ทองถึงกับทำตัวไม่ถูก แต่เร่งเครื่องรถออกไปทันที
ร้านอาหารกึ่งผับสไตล์อิตาเลียนริมถนนย่านพัทยากลางช่วงเกือบสิบเอ็ดโมงยังคงไม่คึกคักเท่าที่ควรเพราะฝนโปรยปรายไม่ยอมหยุด
ภาณุก้าวเข้ามาในร้านด้วยเนื้อตัวเปียกปอน หลังรับโทรศัพท์จากน่านฟ้าว่ามีเรื่องสำคัญทำให้ต้องแยกจากแสงสุรีย์ทันทีที่ออกจากร้านโดยไม่ทันได้ปรับความเข้าใจหรือรับรู้การหายตัวไปของอรณี
พอเข้ามาในร้านพนักงานก็กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ ภาณุยิ้มให้แต่สายตาสอดส่องมองหาคนที่นัดไว้แต่กลับไม่เห็นแม้เงา
“พอดีผมนัดเพื่อนไว้ เดี๋ยวขอโทรหาก่อนนะครับ” ภาณุโบกมือขอเวลานอก พลางหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาจะกดโทร แต่แล้วก็หน้าเสีย “แบตหมดตอนไหนเนี่ย แล้วกันสิตกลงนัดร้านนี้แน่รึเปล่า”
ชายหนุ่มหันรีหันขวางเก้กัง พนักงานต้อนรับถอยห่างรีรอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกจากมุมหนึ่งตามมาด้วยร่างสูงของชายหนุ่มลูกครึ่งลุกโบกมือเรียก
“เฮ้! ไอ้ณุ ทางนี้”
“มานานรึยัง” ภาณุเอ่ยถามทันทีที่ลงนั่งประจำที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“นานจนจะกินพิซซาสักสิบถาดได้ละมั้ง”
“งั้นก็ว่ามา” ภาณุตั้งท่าฟัง “อย่าให้เป็นเรื่องไร้สาระอีกก็แล้วกัน”
“ระดับไฮโซน่านฟ้า ไม่ไร้สาระเว้ย!”
หนุ่มลูกครึ่งทำยืดแต่เปลี่ยนสีหน้าฉับพลันที่บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ
“งั้นก็เล่าซะที ลีลาอยู่ได้”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มา ๆ กินก่อนดีกว่า ฉันสั่งพิซซ่าถาดใหญ่แบบสี่หน้าเผื่อนายด้วย เขาว่ากันว่าร้านนี้พิซซ่าดังและอร่อยมาก เลยอยากชิม”
“เออดีกินของหนักแต่ยังไม่เที่ยงเลย เบียร์นี่ก็ด้วยกินแต่หัววันเนี่ยนะ ครึ้มอกครึ้มใจอะไรมากมาย”
ภาณุดูออก น่านฟ้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจเขาเห็นสีหน้าที่แสดงออกไม่ค่อยสู้ดีจนน่าสงสัย
“ที่นี่น่าสนจริง ๆ โดยเฉพาะเจ้าของร้านสวยน่ารัก เซอร์วิสมายด์เยี่ยม สงสัยอีกหน่อยมาเปิดเฟสสามที่นี่ต้องมาใช้บริการร้านนี้บ่อย ๆ”
“คิดไปไกลเลยนะ” ภาณุแย้ง “ยังไม่ได้ตกลงเลยด้วยซ้ำ”
“เพราะใครล่ะ นัดกันกับคุณหญิงแม่ให้มารอตั้งแต่เช้า แต่หายหัวเฉยเลย ฉันกับยายนางโดนบูชายัญเพราะนายเลย”
“ไม่เห็นรู้เรื่อง ใครนัดใคร งง”
“นั่นไง!” น่านฟ้าตบเข่าฉาด “นึกแล้วว่ายายนางต้องมั่ว มีอย่างที่ไหนให้คุณหญิงแม่มารอบอกว่านัดนายไว้ คุณหญิงแม่ก็รอไปบ่นไป ฉันรำคาญเลยหนีออกมาเนี่ย แล้วนายล่ะไปไหนมา”
คนเจอคำถามไม่ทันตั้งตัวถึงกับยิ้มไม่ออกเพราะลืมนึกถึงภารกิจที่ต้องทำให้ต้องทิ้งงานยุ่ง ๆ ที่กรุงเทพมาถึงพัทยาแต่เกลับเป็นห่วงอรณีที่หายตัวไปมากกว่าจนลืมเรื่องที่ต้องติดต่อที่ดินกับคุณหญิงรัตนาเสียสนิท
“ทำไมเงียบไป มีอะไรรึเปล่าหรือมีเรื่องอะไรบอกได้นะ”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร คิดเรื่องงานเพลิน ว่าแต่นายนัดฉันมาที่นี่ต้องมีอะไรแน่ ไม่งั้นก็คุยทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
ภาณุเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาเพื่อนรักที่นั่งตรงข้ามกันมองไกลออกไปนอกหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่
“เออ... มี อยากจะให้นายดูอะไรให้หน่อย โน่น”
พูดไม่พูดเปล่าน่านฟ้าบุ้ยใบ้ไปทางฝั่งตรงข้ามที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมขนาดสี่ชั้นค่อนข้างเก่าสไตล์จีนโบราณที่ดูแปลกแยกอยู่เพียงตึกเดียวในย่านใจกลางเมือง ภาณุมองตามสีหน้างุนงง
“ซีเฮ้าส์โฮเต็ล เคยได้ยินที่ไหนนะ” หันมาถามอีกรอบ “ทำไม”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” น่านฟ้ายักไหล่ “มีคนบอกมาว่าเจ้าของโรงแรมนี้กำลังหาคนมาเทคโอเวอร์อยู่ เห็นว่าติดหนี้พนันจนหมดตัวต้องเอาโรงแรมเก่าแก่ของตระกูลมาเร่ขาย นายว่าถ้าฉันจะให้คุณหญิงแม่ซื้อแล้วทุบทิ้งเป็นคอนโดเฟสใหม่ของเราจะดีไหมวะ”
ภาณุครุ่นคิดไม่ละสายตาจากตึกเก่า สักพักก็ส่ายหน้าทำเอาสถาปนิกหนุ่มหน้าเสีย
“ฉันว่าแค่ราคาที่ก็คงหลายร้อยล้าน” ภาณุประเมินด้วยสายตา “ที่จอดรถก็น้อยแถมดูแออัดพิกล”
“แต่ทำเลสวยนะเว้ย ดูสิติดถนนใหญ่ สายหลักน่าสนใจกว่าที่คนมาเสนอคุณหญิงแม่ตั้งเยอะ ขายไม่แพงด้วย ที่ดินสามไร่ ไม่กี่ร้อยล้านแค่นั้นเอง”
“นี่นะไม่แพงของนาย” ภาณุเบนสายตามาทางเพื่อนรัก “งานนี้คงมีซัมติงกับสาวไหนสักคนเมื่อคืนรึเปล่า ระวังตัวหน่อยเจอพวกสิบแปดมงกุฎจะหาว่าไม่เตือน”
“เฮ้ย! ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” น่านฟ้าโบกไม้โบกมือกลบเกลื่อน “น้องเค้าก็แค่เสนอขาย”
“นั่นไง... ว่าแล้ว”
“ฉันยังไม่ได้ตกลง เลยเรียกนายมาดูเผื่อช่วยพูดกับแม่ให้”
“ไม่เอาว่ะ” ภาณุบอกปัดไม่ต้องคิด “ฉันไม่อยากซวยเพราะผู้หญิงของนายอีก”
ภาณุยืนกรานกระต่ายขาเดียวและไม่อาสาไปบอกคุณหญิงรัตนาแน่นอน น่านฟ้าถอนใจหนักหน่วง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหงุดหงิด
“นึกแล้ว ถึงว่าสิว่านายเบตกระซิบก่อนมาว่าถ้าให้นายมาช่วยดูรับรองไม่ผ่าน”
“ธิเบตอีกแล้ว” ภาณุวางแก้วกาแฟทันทีจ้องเพื่อนรักด้วยท่าทางจริงจัง “นายไว้ใจคนมากเกินไป ระวังจะลำบาก”
“ไม่หรอกน่า เบตก็คนดี ๆ กัน แนะนำสาวสวยคนนั้นมาให้ฉันก็เลยมาดูเอง”
“คนดีกันก็เลยอาสาพร้อมค่าคอมมิชชั่นหลายเงินสินะ คิดจะจับเสือมือเปล่ากันทั้งนั้น” ภาณุอดที่จะค่อนไม่ได้เพราะไม่ไว้ใจธิเบตเป็นทุนเดิม
“เอาน่า... ของแบบนี้ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้เยอะกว่านี้อีก ฉันฝันจะทำคอนโดโค้งรับลมรอบทิศทางแห่งแรกในเมืองไทย แค่ฝันถึงยังไม่เป็นรูปเป็นร่างก็ตื่นเต้นแล้วว่ะ”
“เออ... ไอ้คนรวยมันก็น่าสนใจดีถ้าทำได้ แต่ที่ดินแถวนี้แพงหูฉี่ นี่ถ้าแออัดขนาดนี้เป็นแถว ๆ ทางไปวอล์กกิ้งสตรีทจะไม่ว่าสักคำ อยู่ในเขตย่านการค้าอีกต่างหาก จะว่าแพงก็ไม่โขกราคาแบบที่นายบอกที่สำคัญไม่ต้องเสียค่ารื้อถอนให้ยุ่งยาก”
“แต่มันจอแจเกินไป ไม่สมระดับไฮเอ็นด์อย่างเรา” น่านฟ้าแย้ง
“ก็ตามใจนาย”
ภาณุหมดคำพูด เอนหลังพิงพนักปรายตามองซีเฮ้าส์โฮเต็ลครุ่นคิด
“อ้าว..ไอ้นี่ ถึงจะแพงแต่ก็ถูกกว่าถนนเลียบหาดนะแถวนั้นเบาะ ๆ ติดสุขุมวิทก็ไร่ละสามร้อยล้านแล้ว”
“ก็รู้ไง... ถึงบอกว่าคุ้มค่าความเสี่ยงรึยัง คอนโดมิเนียมเฟสสามจะทำกี่ตึก กี่ชั้น รูปทรงแบบไหน มีอะไรบ้าง ที่จอดรถ สันทนาการ ไม่เตรียมพร้อมอะไรสักอย่างแค่มาดูที่ก็คิดแต่จะจ่ายเงินแล้ว ดูให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อสิ”
“เออก็ได้ พ่อขงเบ้งวิศวกรรม หมดกันดับฝันกันกลางวันแสก ๆ เลย นายคิดว่าไม่โอเคเลยหรือวะ ฉันจะปฏิเสธน้องเขา”
“ไม่โอเค แค่มีเงินอะไรก็เสกสรรบันดาลได้ก็จริง แต่อยากจะบอกว่าลงทุนอะไรให้คิดให้ดี คุณหญิงแม่นายน่ะเก่งมากนะ ท่านมองอะไรมักไม่ค่อยพลาด นายต้องเรียนรู้งานจากท่านให้มาก เผื่อเอาไว้คุณนางก็ยังเด็กมีอะไรนายนั่นแหละที่ต้องดูแลกิจการของครอบครัว”
น่านฟ้าถึงกับห่อเหี่ยวเมื่อฟังจบ แต่ก็เบนประเด็นไปได้อย่างหน้าตาเฉยจนคนฟังแทบสำลักทีเดียว
“ไม่เห็นยากนี่หว่า... นายก็มาเป็นน้องเขยแล้วมาบริหารงานแทน ส่วนฉันจะได้ไปท่องเที่ยวรอบโลก ถ่ายรูปแบบที่ชอบแล้วก็หาเมียแหม่มสักคน เอาแบบสวย ๆ ลูกออกมาจะได้สวยแบบยายนางไง ลูกชายจะได้วัดรอยเท้าคุณหญิงแม่เปี๊ยบเลย”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทีติดตามอ่านค่า
ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488
ขอบคุณมากค่า ^__^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2560, 21:37:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2560, 21:37:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 981
<< บทที่ 11/2 หน้ากาก | บทที่ 12/2 แค่มองก็พอ >> |