ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: ตอนที่ 13

...๑๓...



“เป็นยังไงบ้างลูก หายไปตั้งนานได้เรื่องอะไรไหม”

“โห อา... ผมไม่อยู่บ้านตั้งหลายวัน มาถึงอาก็ถามเรื่องนี้เลยหรือครับ” พริษฐ์ทำแกล้งโอด หยิบน้ำขึ้นจิบท่วงท่าสบายๆ

พอได้คุยกับทิวไผ่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้เบาะแสของอัญชันมากนัก รวมทั้งยังไร้หนทางในการทำให้บิดาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะสมในการได้ครอบครองเรือนไทย ทว่าท่ามกลางความมืดมนวันนี้กลับได้เห็นแสงเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ เท่านั้นก็ทำให้เขาเบาใจไปอีกเปลาะหนึ่งว่า ตรงปลายสุดของเส้นทางยังมีทางออกรออยู่ ไม่ได้ตันไปเสียทีเดียว

“แล้วไปต่างจังหวัดเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม” พูดพลางนันทิยาก็ส่งค้อนวงโตไปให้หลานชายตัวดี รู้ทั้งรู้ว่าเธอร้อนใจยังมาทำหน้าระรื่นอยู่อีก มันน่าตีให้เจ็บนักเชียว แต่นันทิยายังยั้งมือเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่ายามพริษฐ์อยากแกล้งใคร หากไปเต้นตามก็จะเข้าทาง หลานชายตัวดียิ่งสนุก ทางที่ดีที่สุดคืออยู่เฉยๆ เดินตามน้ำไป พอเห็นว่าแกล้งไม่ขึ้นเจ้าตัวจะหยุดไปเอง

“สนุกครับ ไว้เราหาโอกาสไปเที่ยวกันนะครับ” พริษฐ์ชวน

การได้ไปเยือนเรือนไทยทำให้เขาคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ยามเด็ก เลยอยากให้ไปรำลึกความหลังด้วยกันอีกครั้ง

“จ้ะ ไว้ว่างๆ เรายกครอบครับไปอยู่ที่โน่นก็น่าจะดีเหมือนกัน ชวนพี่พินิจกับพี่เจนไปด้วย”

“แล้วนี่แม่ไปไหนเสียล่ะครับ” พริษฐ์มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของมารดา ส่วนบิดานั้นไม่ต้องถามถึงก็เดาได้ว่าคงอยู่ที่บริษัทนั่นละ

“ได้ยินว่าพริษฐ์กลับมาแล้ว เลยให้คนรถพาไปตลาด เห็นว่าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เราน่ะ” นันทิยาเล่าเรื่อยๆ นึกถึงท่าทางของพี่สะใภ้แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทุกครั้งเวลาพริษฐ์ออกเดินทางไม่ว่าจะเที่ยวหรือทำงานคราวละนานๆ กลับมาพี่สะใภ้จะออกอาการเช่นนี้เสมอ

“หรือครับ ดีจัง กำลังนึกอยากกินอาหารฝีมือแม่อยู่พอดี”

“ว่าแต่ไปคราวนี้พริษฐ์ได้เรื่องอะไรกลับมาบ้างหรือเปล่า” พอสบช่อง นันทิยาก็เข้าเรื่องที่อยากรู้ทันที

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ และนั่นก็ทำนันทิยาถึงกับหน้าเสีย ด้วยเจ้าตัวคาดหวังว่าการหอบโฉนดที่ดินหนีไปสืบเรื่องของอัญชันถึงต่างจังหวัดน่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง

“ไม่ได้อะไรเพิ่มเลยหรือลูก”

เป็นอีกครั้งที่พริษฐ์ต้องพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”

“อาไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ” ชายหนุ่มเอื้อมไปกุมมืออาสาวไว้แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ผมรับปากอาแล้วว่าจะไม่ยอมให้ใครก็ไม่รู้มาฮุบบ้านของเราไปเฉยๆ ผมต้องทำให้ได้ ต้องรักษาบ้านหลังนั้นไว้ให้คนในตระกูลเศรษฐสิทธ์”

น้ำเสียงหนักแน่นของหลานชายทำให้นันทิยาเบาใจไปมาก กระนั้นเธอยังไม่สามารถคลายใจได้ ตราบใดที่พินัยกรรมยังระบุให้ผู้รับบ้านหลังนั้นเป็นคนชื่ออัญชันอยู่ ซึ่งพริษฐ์เองก็เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นอาดี

“อาไม่ต้องคิดมากเรื่องพินัยกรรมนะครับ ตราบใดที่พ่อยังอยู่ พินัยกรรมก็ยังสามารถแก้ไขหรือยกเลิกได้อยู่ดี ระหว่างนี้เรายังมีเวลาแก้ไขอีกมาก”

“จ้ะ อาจะไม่คิดมาก ยังไงอาจะหาทางช่วยพริษฐ์สืบเรื่องนี้อีกทาง”

“ขอบคุณครับ” พริษฐ์รู้ดี แม้นันทิยาไม่ได้เข้าไปจับงานในบริษัทเป็นชิ้นเป็นอัน มีรายได้เป็นเงินปันผลจากหุ้นในบริษัทเท่านั้น กระนั้นก็ยังมีคนคอยเป็นหูเป็นตาและวางใจได้อยู่ในบริษัทหลายคน หนึ่งในนั้นคงเป็นคนที่เห็นเขาเข้าไปในบริษัทแล้วโทรศัพท์มารายงานทุกคนที่บ้าน ถึงรู้ว่าเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว

“พริษฐ์มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไหมลูก อาก็กระไร หลานเพิ่งกลับมาก็ชวนคุยอยู่ได้”

“ผมเข้าใจครับ อากำลังกังวล” ชายหนุ่มขยับเข้าไปกอดเอวอาสาวเอาไว้หลวมๆ อย่างออดอ้อน ไม่อยากให้อาคิดมาก ทั้งที่เมื่อแรกก็เป็นฝ่ายแกล้งถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้แท้ๆ

“จ้ะ ขอบใจมากหลานอา ถ้าไม่ได้พริษฐ์ อาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” นันทิยาตบแขนหลานชายที่ยังกอดเอวของตนเอาไว้หลวมๆ พลางแกะออก “อาว่าพริษฐ์ไปอาบน้ำเถอะ อีกประเดี๋ยวแม่ของเราก็คงกลับมา”

“ครับ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ ถ้าแม่มา บอกว่าผมอยากกินกุยช่ายผัดกับตับนะครับ”

“แล้วอาจะบอกแม่เราให้” นันทิยารับคำ

“อ้อ...อาครับ ผมมีอะไรจะถามอาสักอย่าง”

นันทิยาเลิกคิ้ว งงกับท่าทางของหลานชาย ตอนแรกบอกจะไปอาบน้ำ แต่จู่ๆ กลับเดินมานั่งข้างๆ กันอีกครั้ง

“มีอะไรหรือพริษฐ์ ท่าทางไม่ค่อยสบายใจ เกี่ยวกับเรื่องคนชื่ออัญชันหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับเขาหรือเรื่องพินัยกรรมอะไรนั่นหรอก ผมแค่มีเรื่องสงสัยอยู่อย่าง ในบ้านเรามีคนชื่อเดือนไหมครับ”

“เดือน...เดือนหรือ”

“ครับ ตระกูลเรามีใครชื่อเดือนไหม” ถึงได้รับการยืนยันจากปากมารดาแล้วว่าท่านไม่เคยได้ยินใครพูดถึงคนชื่อเดือนมาก่อน และคงไม่มีญาติคนไหนชื่อนี้ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความจริงจากปากนันทิยาอีกครั้ง เพราะมารดานั้นเป็นแค่ลูกสะใภ้ การไม่เคยได้ยินหรือรู้จักก็ไม่ได้หมายความว่าคนชื่อนี้ไม่มีชีวิตอยู่จริง

“เดือนหรือ ไม่มีนะ”

“แน่นะครับ”

“จ้ะ พริษฐ์มีอะไรหรือเปล่า จำได้ว่าเราถามถึงคนชื่อเดือนกับอานี่เป็นครั้งที่สองแล้ว” นันทิยายังคงสงสัยกับอาการแปลกๆ ของหลานชาย ดูเหมือนชื่อนี้จะมีความสำคัญไม่น้อย คราวนั้นคุยกันทางโทรศัพท์ก็ไม่ทันได้ซักรายละเอียด พ่อหลานชายตัวดีชิงวางสายไปเสียก่อน

“ตอนผมไปต่างจังหวัด มีคนถามถึงคนชื่อนี้คิดว่าเป็นญาติกับเรา แต่ผมไม่รู้จักแล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยสงสัยนิดหน่อยครับ” เขาแก้ตัวเสียงนิ่ง ปกปิดบางอย่างเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

เขาไม่รู้จะเล่าความจริงให้อาสาวฟังได้อย่างไร ขืนบอกไปคงกลายเป็นพวกงมงายเหมือนเคยปรามาสแก้มแหม่มไว้อีกคนแน่

“เท่าที่อารู้ เราไม่มีญาติสายไหนชื่อเดือนเลย พริษฐ์ก็รู้ว่าครอบครัวเราค่อนข้างมีลูกยาก ดีหน่อยที่มีลูกชายไว้สืบสกุล ไม่งั้นคงสิ้นคนในตระกูลไปแล้ว”

ศีรษะทุยพยักเบาๆ อย่างเข้าใจ เพราะคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์มีไม่มากนั่นละ เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจนักว่าไม่มีใครชื่อเดือน ทว่าท่าทางแน่วแน่ มั่นใจของแก้มแหม่มก็ทำให้เขาฉุกคิด เขาอาจพลาดอะไรไป พอมาได้ยินจากปากนันทิยา ความมั่นใจก็กลับมาอีกครั้ง

“แล้วพริษฐ์ตอบเขาไปว่ายังไงล่ะลูก”

“ก็บอกแบบที่อาบอกนี่ละครับว่าไม่มีใครชื่อเดือนจริงๆ เขาคงเข้าใจผิดไปเอง”

“แล้วเขาเชื่อไหม”

“ก็คงจะเชื่อมั้งครับ ผมไม่แน่ใจ” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าแก้มแหม่มไม่มีทีท่าเชื่อกันเลย เผลอๆ ตอนนี้อาจกำลังเดินพิสูจน์อยู่ก็เป็นได้

เขาไม่อยู่แบบนี้ คงเป็นโอกาสเหมาะเลยทีเดียว



พอนายจ้างไม่อยู่ ใช่ว่าแก้มแหม่มจะอู้งาน เธอยังคุมคนทำงานอย่างแข็งขัน และตัวเองก็ลงมือทำไปด้วย พร้อมๆ กันนั้นหญิงสาวยังแบ่งเวลาไปดูแลการซ่อมแซมตัวเรือนที่ผุพัง ตรงไหนที่เธอรู้สึกว่าผู้รับเหมาทำงานไม่ดีก็จะคอยติติงและกำชับให้ทำอย่างดี เรียกได้ว่าพริษฐ์มาเห็นคงวางใจว่าฝากบ้านไว้ถูกคนจริงๆ

ยามไม่วุ่นวายกับงานมากนัก คนงานมักเห็นนายจ้างของตนเดินท่อมๆ ไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างเข้าใจว่าแก้มแหม่มคงเดินตรวจงานหรือสำรวจความเรียบร้อยไปตามประสา ‘คุณนายละเอียด’ ในเรื่องงาน ทว่าใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่

ขณะพริษฐ์ไม่อยู่ทางของแก้มแหม่มก็สะดวก หญิงสาวจึงไม่พลาดคอยพิสูจน์ทฤษฎีของตนเอง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน พอรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คนงานส่วนหนึ่งอาศัยชายคาบ้านนั่งรับประทานอาหาร บ้างก็พูดคุยกันอย่างออกรส รอเวลาลุยงานในตอนบ่ายอีกครั้ง ทางด้านแก้มแหม่มก็ปลีกตัวออกมา

นับตั้งแต่โดนพริษฐ์จับได้และหาว่าเธองมงาย เรื่องผีเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เขาจะไม่มีทางเชื่อเรื่องเดือนเด็ดขาด หลังจากนั้นเธอก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะแอบสืบหาข้อเท็จจริงอย่างลับๆ ได้ความเมื่อไรจะเอาไปตอกพริษฐ์ให้หน้าหงาย แล้วเธอก็จะได้หัวเราะด้วยความสะใจ

กิ่งไม้อันเล็กถูกกวัดแกว่งไปมาอย่างไร้จุดหมายขณะเจ้าตัวเดินสำรวจพื้นที่ไปทั่ว หวังใจว่านาทีใดนาทีหนึ่งอาจวูบหลับไปไม่รู้ตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับเธอสักที

“พี่ชมพู่คร้าบ พี่ชมพู่”

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากทางเรือนไทย ทำให้หญิงสาวต้องเบือนหน้ากลับไปมอง เห็นยอดวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เพราะวิ่งมาไกลท่ามกลางอากาศร้อนยามบ่าย พอมาถึงเด็กชายก็ถึงกับยืนหอบแฮกพูดไม่ออก จนแก้มแหม่มต้องเป็นฝ่ายปริปากถาม

“มีอะไรหรือยอด”

“เขาเอาต้นไม้มาส่งครับพี่ชมพู่”

“ต้นไม้...วันนี้พี่ไม่ได้นัดให้ใครเอาต้นไม้มาส่งนี่ เรายังเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จเลย อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงเวลาเอากล้าไม้ลงดิน ทำไมเขาถึงมาวันนี้ล่ะ”

ยอดจนปัญญาจนต้องส่ายหน้าหวือ ซึ่งแก้มแหม่มก็เข้าใจ ถึงยอดเคยตามช่วยงานเธอบ่อยๆ แต่ยังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องอะไร

“ว่าแต่เขาเอาอะไรมาส่ง” เธอจำได้ว่าสั่งชาข่อยและหญ้านวลน้อยเอาไว้ ทว่ายังไม่มีชนิดไหนต้องใช้เร็วๆ นี้เลยสักอย่าง

“ชาข่อยครับ” ยอดตอบเสียงอ่อยอย่างหวาดๆ

“มาได้ยังไง อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงวันนัด อะไรๆ ก็ไม่ได้เตรียมสักอย่าง” บ่นพลางร่างบอบบางก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังเรือนไทยอย่างรีบร้อน ชนิดที่ยอดเห็นแล้วได้แต่กลัวแทนคนส่งต้นไม้

เด็กชายรู้ดีว่าเรื่องงานนั้นพี่ชมพู่เฮี้ยบแค่ไหน ถ้านัดแล้วเบี้ยวนัดโดยไม่แจ้งล่วงหน้าไม่ได้เด็ดขาด นอกจากมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ เท่านั้น ใครไม่มาตามนัดมีตามไปเอาเรื่องถึงที่ นี่สถานที่พักต้นไม้ยังไม่มี ไม่อยากคิดเลยว่าจะโดนอะไรบ้าง

เด็กชายกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ แล้ววิ่งตามแก้มแหม่มกลับไปทางเดิม ใจได้แต่ภาวนาให้คนส่งต้นไม้ไม่โดนอะไรมากนัก ตอนไปถึงแก้มแหม่มยืนคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากรถปิ๊กอัพ มีคนขับรถส่งต้นไม้ยืนหน้าจ๋อยอยู่ใกล้ๆ กัน

“ตอนแรกเราตกลงวันส่งต้นไม้กันเอาไว้แล้วนี่คะลุง มาส่งให้ก่อนกำหนดแบบนี้ก็แย่สิ ที่ทางจะวางต้นไม้ก็ไม่ได้เตรียมไว้ สแลนสักผืนก็ไม่มี”

เสียงโวยวายไม่เบานักเรียกสายตาหลายคู่จากคนงานซึ่งนั่งพักอยู่ไม่ไกลแถวนั้นให้หันมามอง แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรสักคน ด้วยรู้ว่าแก้มแหม่มนั้นเป็นคนเช่นไร ยกเว้นบางคนที่ส่งยิ้มพร้อมกำลังใจมาให้คนขับรถ

เพียงไม่นานท่าทางเอาเรื่องของแก้มแหม่มในตอนแรกก็เริ่มอ่อนลง จนคนงานซึ่งนั่งลุ้นชะตากรรมของคนขับรถส่งต้นไม้ถึงกับลอบยิ้ม ในใจก็ได้แต่สงสัยว่าคู่สนทนาให้เหตุผลกับแก้มแหม่มว่าอย่างไร อาการของหญิงสาวถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ โดยเฉพาะคนขับรถซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก

“ค่ะๆ ขอบคุณมากค่ะลุง”

“ให้เอาต้นไม้ลงเลยไหมครับ” พอเห็นท่าทางของหญิงสาวไม่น่ากลัวอย่างตอนแรก คนขับรถก็กล้าเดินเข้ามาถาม

“ขอดูก่อนว่าจะให้เอาลงตรงไหนนะคะ” แก้มแหม่มตอบ มือก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย

เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก ทำให้ไม่ได้เตรียมสแลนให้ร่มเอาไว้ แก้มแหม่มจึงมองหาบริเวณเหมาะๆ ในการเอาต้นไม้ไปพักไว้ก่อน เธอหมายตาบริเวณใต้ร่มไม้ซึ่งแดดสามารถส่องถึงรำไร

“น้าถอยรถไปตรงโน้นนะ เอากระบะหลังเข้าไป” หญิงสาวชี้ไปยังจุดที่หมายตา แล้วหันไปสั่งกับเด็กชาย “ยอดไปตามคนงานผู้ชายมาสักสามสี่คน มาช่วยกันขนต้นไม้ลงจากรถ”

สิ้นคำสั่งเด็กชายก็วิ่งจู๊ดไปยังจุดที่คนงานนั่งพักผ่อนกันอยู่ทันที ทางด้านแก้มแหม่มก็หันมากำกับคนรถให้ถอยไปยังจุดที่เล็งเอาไว้ เปิดท้ายกระบะแล้วเริ่มลงมือลำเลียงต้นไม้ลงทันที พอคนงานมาถึงเห็นหญิงสาวกระโดดขึ้นไปขนต้นไม้อยู่บนกระบะก็ออกปาก

“หนูชมพู่ไปพักเถอะ เดี๋ยวตรงนี้พวกผู้ชายทำกันเอง” หนึ่งในคนงานชายซึ่งยอดไปตามมาเอ่ยทันที โดยคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย “ปล่อยให้พวกผู้ชายทำเถอะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้า อีกเดี๋ยวจะมีตามมาอีกคัน ช่วยๆ กันจะได้เสร็จไวๆ” หญิงสาวไม่ฟังเสียง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลำเลียงต้นไม้ลงจากรถอย่างแข็งขัน

ด้วยทำงานร่วมกันมาหลายครั้งแล้วจึงรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี คนงานที่เหลือจึงกรูกันเข้าไปช่วยโดยไม่พูดอะไรอีก ชาข่อยจำนวนมากจึงถูกลำเลียงลงจากกระบะรถแล้วนำไปวางเรียงกันอยู่ในจุดที่แก้มแหม่มกำหนด พอคันแรกหมด คันที่สองก็ตามมา

ทุกคนทำงานกันอย่างแข็งขันโดยไม่อนาทรต่อความร้อนระอุของแดดยามบ่าย ด้วยหวังให้งานเสร็จอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะแก้มแหม่มนั้นตอนนี้มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพรายไปทั่วไรผม บางส่วนเริ่มไหลลงมาจากขมับน่ารำคาญจนเจ้าตัวต้องยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด พร้อมกันนั้นก็ถอดหมวกฟางที่สวมอยู่พัดลมเข้าหาตัวเพื่อไล่ความร้อน

“น้าว่าหนูชมพู่ไปพักก่อนดีกว่า ดูหน้าตาไม่ค่อยดีเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้า” หญิงสาวแย้งทันที ส่งยิ้มขอบคุณในความห่วงใยไปให้

“ไปเถอะครับ ไปพักเถอะ เดี๋ยวตรงนี้น้าจัดการกันเอง เหลือไม่เยอะแล้ว อีกไม่นานก็คงเสร็จ”

“งั้นทำให้เสร็จก่อนแล้วชมพู่ค่อยพักค่ะ”

หญิงสาวยังคงดื้อดึง มือหยิบถุงต้นกล้าชาข่อยได้ก็เดินแกมวิ่งไปยังจุดพักต้นไม้ แล้ววิ่งกลับมาขนอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนคนเตือนได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ไม่พูดอะไรอีก หันมาสนใจงานของตนเองต่อ

ระหว่างทางเดินกลับไปยังรถบรรทุกต้นไม้ จู่ๆ แก้มแหม่มก็เริ่มรู้สึกว่าแสงแดดซึ่งเคยสว่างจ้าค่อยๆ กลายเป็นสีเหลือง ดวงตาเริ่มพร่าพราย รู้สึกสมองและหูอื้อ คล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ แก้มแหม่มยังไม่ได้ทบทวนว่าตัวเองเป็นอะไรก็รู้สึกสติดิ่งวูบ!






หญิงสาวร่างระหงเดินไปมาอยู่ในห้องนอน สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย บ่อยครั้งใบหน้าสวยสะชะแง้มองไปทางหน้าต่างราวกับรอใครสักคน พอไม่เห็นก็กลับมานั่งปุลงบนเตียง สีหน้ายังไม่คลายความกังวล ครั้นพอได้ยินเสียงกุกกัก ใบหน้าก็ชื่นขึ้น หญิงสาวรีบลุกไปมองตรงหน้าต่าง แต่พบเพียงความว่างเปล่า บ่อยครั้งเข้าพอเกิดเสียงแปลกๆ ขึ้นอีก หญิงสาวก็ไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าคงเป็นเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันจากแรงลม

แอ๊ด...

เช่นเดียวกับครั้งนี้ พอมีเสียงดังขึ้น เดือนก็ไม่ให้ความสนใจ หญิงสาวจมอยู่กับความคิดวกวนของตนเองจนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีผู้บุกรุกก้าวเข้ามาในห้องนอน

สาวเจ้าสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้อยู่ภายในห้องนอนเพียงลำพัง สัญชาตญาณทำให้หันขวับไปมอง พอเห็นว่าใครคือต้นเหตุทำให้เตียงนอนยุบยวบเท่านั้น หญิงสาวก็โผเข้าสู่อ้อมอกแกร่งทันใด

‘พี่เทิด...ช่วยเดือนด้วย’

‘เกิดอะไรขึ้นหรือเดือน’ มือใหญ่ตระกองร่างแน่งน้อยไว้ในอ้อมกอด กายอันสั่นระริกของคนรักทำให้เทิดสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรง สับสนและกระวนกระวายภายในใจของสาวเจ้า “มีอะไร ใครทำอะไรเดือน...เพราะแบบนี้ใช่ไหมเดือนถึงให้แก้วไปตามพี่ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยลักลอบพบกันเหมือนพวกลักกินขโมยกิน พี่ให้เกียรติเดือนมาตลอด แต่วันนี้ทำไมเดือนถึงให้พี่ปีนเข้ามาหา เกิดอะไรขึ้น บอกพี่มาสิเดือน”

พฤติกรรมแปลกๆ ของคนรักทำให้เทิดยิ่งร้อนใจเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มพยายามดันร่างแน่งน้อยออกจากอก อยากมองหน้าเธอชัดๆ ขณะไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

หยาดน้ำใสๆ หลั่งรินออกจากดวงตาคู่สวยไม่ต่างจากคมมีดกรีดลงมาบนหัวใจของเขาจนเจ็บแปลบ กายและใจร้อนรุ่ม หญิงสาวสบตาเทิดอยู่เพียงครู่เดียวก็โผเข้ากอดคนรักแน่นอีกครั้ง

‘เพราะมันใช่ไหม’

สิ้นคำถามราวกับคำราม ร่างบอบบางสะดุ้งเฮือก เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเทิด เขารู้แล้วว่าเธอร้องไห้เพราะใคร

เทิดขบกรามแน่นอย่างระงับอารมณ์ เขารักและให้เกียรติคนรัก ทะนุถนอมราวกับมณีอันล้ำค่า ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำให้เธอหลั่งน้ำตา แล้วมันกล้าดียังไงทำให้ดวงใจเขาเป็นแบบนี้ แขนแข็งแรงรัดร่างระหงแน่นเข้าราวกับปลุกปลอบ แม้ยามนี้อยากแล่นไปเอาเลือดหัวตัวต้นเหตุออกด้วยความคั่งแค้นแค่ไหน เขาก็ไม่อาจปล่อยคนรักเอาไว้ลำพังได้

รอจนร่างบอบบางถอนสะอื้น เทิดจึงค่อยๆ ดันร่างคนรักออกจากอ้อมอก ใช้นิ้วเกลี่ยคราบน้ำตาบนแก้มนวลออกเบาๆ อย่างนุ่มนวล รอยสัมผัสเต็มไปด้วยความอาทรจนเดือนเกือบเสียน้ำตาอีกครั้ง

‘มีอะไร เล่าให้พี่ฟังได้ไหม’

‘เราต้องหนีแล้วค่ะ’ หญิงสาวบอกน้ำเสียงร้อนรน ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็ก

สาเหตุที่เทิดมองไม่เห็นตั้งแต่ตอนเข้ามาเพราะหญิงสาวซุกเอาไว้มุมหนึ่งใกล้ๆ ตู้เสื้อผ้า

เทิดนิ่งไป ไม่คิดว่าสาเหตุซึ่งหญิงสาวให้แก้วไปตามเขามาจะร้ายแรงถึงขนาดต้องหนีตามกันไปแบบนี้ เขารักเธอ อยากแต่งงานกับเธอก็จริง แต่ไม่เคยคิดใช้วิธีนี้

‘เราไม่ควรทำแบบนี้ พี่รักเดือน อยากแต่งงานกับเดือนอย่างถูกต้องและให้เกียรติ คุณท่านไม่ชอบพี่หรือ’

หญิงสาวส่ายหน้าหวือทันที

‘ไม่ชอบหรือว่าไม่ใช่’ เทิดถาม ตลอดเวลาเขาเข้าตามตรอกออกตามประตูเสมอ ไม่มีสักครั้งพ่อแม่บุญธรรมของคนรักแสดงท่าทีรังเกียจเด็กวัดจนๆ อย่างเขา คิดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง เขามั่นใจว่าทั้งสองท่านพอใจด้วยซ้ำที่เขาทำอะไรอยู่ในลู่ทาง ไม่น่าที่ท่านทั้งสองจะรังเกียจเขา ดังนั้นจึงตีความอาการส่ายหน้าของเดือนเป็นอย่างหลัง

‘ถ้าไม่ใช่ท่านทั้งสอง แล้วทำไมเราต้องทำแบบนี้’

ท่าทางนิ่งเฉยเอาแต่ยืนเม้มปากของคนรักทำให้อารมณ์ของเทิดพุ่งสูงขึ้นไปอีก ชายหนุ่มกระชากร่างระหงเข้ามาใกล้ จับแขนเล็กๆ ล็อกเอาไว้แน่นไม่ยอมให้คนรักหนีไปไหน พอหญิงสาวเบือนหน้าไปอีกทาง เขาก็ใช้มือใหญ่บังคับใบหน้าหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย

‘อย่าหลบตาพี่เดือน บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราต้องทำอะไรที่เป็นการลบหลู่เกียรติของเดือน เกียรติของคุณท่านแบบนี้’

สีหน้าดุดัน น้ำเสียงคาดคั้น นั่นไม่ทำให้เดือนกลัวสักนิด เธอกลับรู้สึกตื้นตันใจ...แม้ยามนี้เขาก็ยังเป็นห่วงเกียรติของเธอ เพราะแบบนี้เธอถึงได้รักเขานักหนา หญิงสาวโผเข้ากอดคนรักเอาไว้แน่น ร้องไห้ไปกับอกของชายหนุ่ม

แล้วเธอจะกล้าเล่าเรื่องนั้นให้เขารู้ได้อย่างไรกัน...

เทิดไม่เข้าใจอาการของหญิงสาวนัก ทว่าน้ำตาซึ่งไหลชุ่มอกก็สามารถลดอุณหภูมิอันรุ่มร้อนของเขาลงได้บ้าง มือใหญ่เลื่อนขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างปลอบประโลม แนบหน้าไปกับเรือนผมนุ่ม พร่ำปลอบประโลม

‘ไม่เป็นไรนะเดือน อย่าร้อง เดือนก็รู้ว่าพี่ทำอะไรไม่ถูกเวลาเห็นน้ำตาของเดือน ใจเย็นๆ นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะอยู่กับเดือนเสมอ จะไม่ไปไหน’

‘จริงๆ นะคะ’ น้ำเสียงอู้อี้ดังออกมาจากอกแกร่ง

‘จริงจ้ะ’ เขาให้คำมั่น ‘เดือนไม่เชื่อพี่หรือ’

‘เชื่อค่ะ เดือนเชื่อว่าพี่เทิดจะไม่ผิดสัญญากับเดือน’

‘รู้ก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นหยุดร้องไห้ แล้วมาพูดกันดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น’ ชายหนุ่มปะเหลาะ ค่อยๆ ตะล่อมให้หญิงสาวพูด เทิดดันคนรักออกจากอกแล้วจูงไปนั่งลงบนเตียง ก่อนขยับไปประชิด มือใหญ่ป้ายน้ำตาบนแก้มนวลออกอย่างเบามือ ‘เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังจ๊ะว่าเกิดอะไรขึ้น’

‘ไม่เล่าได้ไหมคะ เราหนีไปกันเลย นะคะพี่เทิด นะ’ หญิงสาวอ้อนวอน แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจทำอย่างที่เธอขอร้องได้

‘พี่คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเดือน พี่บอกเราไปแล้วว่าพี่จะไม่ทำอะไรที่เป็นการดูหมิ่นเดือนหรือว่าคุณท่านทั้งสอง’

‘พี่เทิดไม่รักเดือนแล้วหรือคะ’ พอไม่ได้อย่างใจหญิงสาวก็เริ่มใช้ลูกไม้ ซึ่งคิดว่าเทิดคงตามใจ แต่กลับใช้ไม่ได้ผลในครั้งนี้

‘มันไม่เกี่ยวกับรักหรือไม่รัก แต่พี่ทำไม่ได้’ ชายหนุ่มคว้ามือเล็กมากุมไว้ ไม่ไยดีกับอาการสะบัดของเจ้าตัว

‘ถ้าพี่เทิดไม่พาเดือนหนี เดือนจะหนีไปคนเดียว’

‘เดือนของพี่ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ไร้เหตุผลแบบนี้นี่’

เมื่อได้รับการปฏิเสธหลายหนเข้า หญิงสาวก็เริ่มน้อยใจ ทำไมเขาไม่เข้าใจเธอบ้าง น้ำตาที่แห้งเหือดไปทะลักเหมือนเขื่อนแตก หญิงสาวตะโกนเสียงดังอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

‘เดือนกลัว ได้ยินไหมคะว่าเดือนกลัว’

‘กลัวอะไร บอกพี่ได้ไหม’ ยามหญิงสาวร้อน ชายหนุ่มก็พร้อมจะใจเย็น แววตาเหมือนเด็กหลงทางของหญิงสาวทำให้เทิดดึงร่างระหงมากอดอีกครั้ง ‘ใครทำอะไร เดือนถึงต้องหนีแบบนี้ บอกพี่นะจ๊ะคนดี พี่จะจัดการให้’

‘มะ...มัน...มันจะปล้ำเดือน’ เสียงของหญิงสาวไม่ดังเกินไปกว่ากระซิบ แต่กับเทิดเหมือนใครมาตะโกนอยู่ริมหูจนก้องไปมาในหัว

‘ใคร...ใครที่มันทำแบบนี้’ ชายหนุ่มดันร่างหญิงสาวออกห่าง ถามเสียงเข้ม “อย่าหลบตาเดือน บอกพี่มา”

‘พี่เทิด’ มือบางแตะไปบนท่อนแขนกำยำอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอไม่เคยเห็นคนรักมีสีหน้าน่ากลัวแบบนี้มาก่อน เหมือนเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก นั่นทำให้เธอกลัวใจของเขาเป็นอย่างมาก

สีหน้าวิงวอนของคนรักทำให้เทิดต้องสูดหายใจเข้าปอดหนักๆ อย่างระงับอารมณ์ ทั้งที่ใจนั้นอยากแล่นไปจัดการกับคนที่กล้ามาแตะต้องคนรักของเขา แม้เธอจะยังไม่เอ่ยออกมาว่าใคร แต่เขาก็พอเดาได้ว่ามันผู้นั้นเป็นใคร

‘บอกพี่มาเดือน’

‘พี่เทิดต้องสัญญากับเดือนก่อนว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม’

‘พี่สัญญา’

ถึงชายหนุ่มจะให้คำมั่นและเธอก็รู้ว่าเทิดนั้นรักษาคำพูดของตัวเองแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ไม่กล้าพูดออกมาอยู่ดี จึงได้แต่นั่งอ้ำๆ อึ้งๆ

‘มันใช่ไหม’

หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ พอเห็นท่าทางชายหนุ่มเหมือนจะแล่นไปทำร้ายต้นเหตุ เธอก็คว้าแขนกำยำเอาไว้ก่อน

‘พี่เทิดสัญญากับเดือนแล้วว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม’

‘มันทำร้ายเดือนนะ จะให้พี่นั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ได้ยังไง’

‘แต่ตอนนี้เดือนก็ปลอดภัยแล้วนะจ๊ะ’ หญิงสาวแย้งเสียงนุ่ม เอาน้ำเย็นเข้าลูบความใจร้อนของคนรัก ‘นะคะพี่เทิด อย่าทำอะไรให้ยุ่งไปกว่านี้อีกเลย’

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาดังเฮือก ทว่าก็ยอมนั่งลงตามแรงฉุดแต่โดยดี

‘ทำไมก่อนหน้านี้เดือนไม่เคยเล่าให้พี่ฟังเลยว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น’

‘เดือนไม่อยากให้พี่เทิดเป็นกังวล เลยไม่ได้บอก’

‘สุดท้ายเดือนก็ทำให้พี่เป็นห่วงอยู่ดี’

หญิงสาวรู้ว่าคนรักกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงโน้มไปกราบกับอกของชายหนุ่ม ช้อนตาขึ้นออดอ้อน

‘เดือนขอโทษนะคะ’

‘เอาเถอะ พี่จะยกโทษให้’

นั่นละรอยยิ้มจึงระบายเต็มใบหน้าสวย ก่อนรอยยิ้มของหญิงสาวจางไปอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องซึ่งกำลังเป็นกังวล

‘แบบนี้พี่เทิดพาเดือนหนีได้แล้วใช่ไหมคะ’

‘ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือเดือน ให้พี่มาขอเดือนกับคุณท่านดีกว่าไหม’ ชายหนุ่มเสนอทางออกอื่นที่น่าจะดีกว่าการหนีตามกันไป อาการส่ายหน้าปฏิเสธของหญิงสาวก็ทำให้เทิดหนักใจ ‘มีอะไรมากกว่านี้หรือเปล่าเดือน’

‘ถ้าขืนยังอยู่ต่อไปแบบนี้ กว่าเราจะได้แต่งงานกันต้องมีสักวันที่เดือนพลาดท่าจนได้ เดือนไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เดือนจะฆ่าตัวตาย’

‘ไม่ได้นะเดือน ทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเดือนทำแบบนั้นแล้วพี่จะอยู่ยังไง’ ชายหนุ่มปรามเสียงสั่น แค่คิดว่าจะไม่มีหญิงสาวอยู่ข้างๆ ใจเขาก็จะขาดรอนๆ

‘ถ้าอย่างนั้นพี่เทิดพาเดือนหนีไปนะคะ นะ’ หญิงสาววิงวอนเสียงน่าสงสาร

ชายหนุ่มหยุดคิดเพียงไม่นานก็ตอบตกลง หญิงสาวจึงคว้ากระเป๋าเสื้อผ้ามากอดไว้ทันที

‘ไป งั้นเราไปกัน’ เทิดชะงัก ‘เดือนจะไปลาคุณท่านก่อนไหม อย่างน้อยท่านก็จะได้มั่นใจว่าลูกสาวของท่านจะไม่ไปตกระกำลำบากที่ไหน พี่สัญญาว่าจะดูแลเดือนเป็นอย่างดี’

หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ

เทิดเข้าใจว่าสาเหตุที่เจ้าตัวปฏิเสธก็เพราะเกรงว่าหากไปลาจริงๆ อาจตัดใจหนีตามกันไปไม่ได้ จึงไม่ทักท้วงอะไร ชายหนุ่มรับประเป๋าเสื้อผ้าของเธอมาถือไว้ แล้วหันรีหันขวางมองหน้าต่างสลับกับประตูห้องนอนของคนรัก

ตอนแรกเขาอาศัยปีนต้นไม้ซึ่งปลูกอยู่ติดกับตัวบ้านแล้วโหนตัวผ่านหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวเข้ามา ขาออกลำพังตัวเขาคนเดียวคงไม่ลำบากอะไร ทว่ากับเดือนเขาไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะสามารถปีนออกไปอย่างเขาได้หรือเปล่า

‘ไปทางประตูดีกว่าเดือน’

หญิงสาวพยักหน้าทันที

‘ทางไหนก็ได้ค่ะ ถ้ามีพี่เทิดไปด้วยทางไหน เดือนก็ไป’

ชายหนุ่มยิ้ม กระชับมือเล็กๆ นั้นอย่างให้กำลังใจ แล้วจับจูงหญิงสาวออกเดินไปด้วยกัน ยังไม่ทันเดินไปถึงประตูด้วยซ้ำ เสียงเคาะปังๆ ก็ดังขึ้น

‘เดือน เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เดือน!’

เสียงอ้อแอ้ไม่เบานักซึ่งลอดเข้ามาทำชายหนุ่มชะงัก ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้หญิงสาวเงียบ

‘เดือน ฉันบอกให้เปิดประตูไง!’

‘ท่าทางเราจะออกทางประตูไม่ได้แล้วล่ะเดือน’ ชายหนุ่มหันมากระซิบหญิงสาวเสียงเบา ‘ทางหน้าต่างไหวไหมเดือน’

‘ตอนนี้ ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ’

‘ไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับพี่ เดือนไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พี่รับรองว่าเดือนจะปลอดภัย’

‘ค่ะ’

สองร่างย่องไปทางหน้าต่างอย่างเงียบกริบ ด้วยกลัวคนอีกฟากของประตูจะรู้ เทิดชะโงกออกไปประเมินความสูงระหว่างพื้นดินกับตัวห้อง ก็พบว่าไม่สูงเท่าไร สามารถกระโดดลงไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

‘เราต้องกระโดดลงไป เดือนกลัวไหม’

‘ไม่ค่ะ’

‘แน่ใจนะ’ เขาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

‘พี่เทิดไม่ต้องเป็นห่วง เดือนไม่กลัวจริงๆ ค่ะ’

‘ถ้าอย่างนั้นพี่จะลงไปก่อน แล้วเดือนกระโดนตามลงไปนะ’ มั่นใจแล้วว่าหญิงสาวทำได้จริงๆ เทิดจึงโยนกระเป๋าเสื้อผ้าลงไป ตามด้วยตัวเขา ‘ลงมาเลยเดือน พี่จะคอยระวังให้’

ชายหนุ่มระวังไม่ให้เสียงดังจนคนในบ้านคนอื่นได้ยิน มองคนรักปีนขึ้นไปนั่งบนวงกบหน้าต่าง เขาแปลกใจที่เห็นหญิงสาวไม่กระโดดลงมาสักที จนต้องย้ำอีกครั้ง

‘เป็นอะไรไปเดือน ลงมาเร็ว พี่รอรับอยู่ด้านล่าง ไม่ต้องกลัวหรอกจ้ะ’

เพราะเทิดอยู่ด้านล่างจึงไม่เห็นและได้ยินเสียงทุบประตูห้องนอนของหญิงสาวซึ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวว่าคนอีกฝั่งจะเข้ามาได้ทำให้หญิงสาวพะวักพะวนจนเสียจังหวะ กว่าจะรู้ตัวก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออกดังผลัวะ!






เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2560, 10:31:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ค. 2560, 10:31:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 948





<< ตอนที่ 12   บทที่ 14 [1/2] >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account