ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: ตอนที่ 12
...๑๒...
“ฉันมีไอเดียจัดสวนมาให้คุณดูละ” แก้มแหม่มยื่นสมุดวาดภาพไปให้ชายหนุ่ม แล้วทรุดลงนั่งหน้าโต๊ะญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม “แต่บอกก่อนเลย ถ้าคุณคาดหวังจะเห็นภาพสวยๆ เหมือนพวกมืออาชีพหรือบริษัทใหญ่ๆ ที่เขาจบด้านนี้มาโดยตรง คงยากหน่อยนะ”
มือใหญ่เปิดสมุดขึ้นมอง พริษฐ์พอรู้มาเหมือนกันว่าแก้มแหม่มไม่ได้เรียนจบมาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ หญิงสาวเรียนในคณะที่เรียกว่าคนละด้านกับสิ่งที่ทำโดยสิ้นเชิง แต่เพราะรักและชอบ ประกอบกับมีหัวทางด้านนี้จึงสามารถทำได้ มองจากภาพร่างตรงหน้าแล้วเขาคิดว่าเธอทำได้ดีเลยทีเดียว
“ตรงตามที่คุณอยากได้หรือเปล่า”
ตอนคุยกันพริษฐ์บอกชัดเจนว่าไม่อยากโค่นไม้ยืนต้นต้นไหน เนื่องจากเสียดาย ซึ่งเธอก็เห็นด้วย จากการสำรวจพื้นที่พบว่าที่นี่ปลูกต้นไม้ตามแนวคิดของคนโบราณ คือ ‘อย่าปลูกไม้กลางดิน’ ความหมายตรงตัวอยู่แล้วคือให้ปลูกบริเวณรอบๆ ที่ดิน เว้นตรงกลางเอาไว้ เผื่อเวลาใดอยากปลูกบ้านจะได้ไม่ต้องโค่นต้นไม้ทิ้ง
ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา เมื่อก่อนเคยเป็นอย่างไร เธอก็ยังคงไว้ ส่วนที่ต้องออกแบบจริงๆ เป็นสวนหย่อมรอบๆ บ้านมากกว่า เธอเชื่อว่าเมื่อก่อนพื้นที่ส่วนนี้คงเป็นสวนสวย ลานหญ้านิ่มๆ บางทีพริษฐ์อาจเคยวิ่งเล่นซุกซนอยู่ตรงนั้นก็ได้
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม...วันๆ เห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำงาน ใบหน้าคมดูจริงจัง เธอนึกภาพตอนเขาวิ่งซุกซนไม่ออกจริงๆ
“ผมว่าตรงนี้โล่งไปหน่อยนะ”
“ตรงไหนคะ” หญิงสาวถาม ขยับไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่ม ชะโงกหน้ามองภาพร่างสวนบนโต๊ะ
“ข้างบ้านด้านนี้ ที่เป็นลานหญ้าเฉยๆ ผมว่ามันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังจุดที่เขาต้องการให้ปรับเปลี่ยน
“อืม” แก้มแหม่มมองบริเวณนั้นอย่างพิจารณา “มันโล่งอย่างที่คุณว่าจริงๆ ด้วย ตอนแรกฉันกลัวว่าจะรกไป”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ เขาพอนึกภาพออก...
“ถ้าลงต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ ล่ะ คุณว่ามันจะโอเคไหม”
“พวกสวนดอกไม้น่ะหรือคะ”
“ไม่รู้สิ ผมยังนึกไม่ออก อยากได้อะไรที่มันเข้ากับบรรยากาศบ้าน ไม่สมัยใหม่จ๋าจนเกินไป แต่ก็เก๋ ดูดีมีสไตล์”
“อะไรเก๋ๆ หรือ” คิ้วเรียวขมวดเป็นปม ชะโงกหน้าเพ่งภาพร่างตรงหน้าอย่างใช้ความคิด สมองก็จินตนาการว่าเอาสิ่งใดมาวางตรงนั้นแล้วทำให้สวนดูน่าสนใจขึ้น
ด้วยมัวแต่ใช้ความคิด สายตาเพ่งมองภาพร่างเขม็ง ร่างกายก็ขยับเข้าไปเบียดชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เปิดโอกาสให้คนข้างๆ พิจารณาได้ถนัดถนี่
ผู้หญิงกำลังนิ่วหน้าท่าทางเครียดข้างๆ เขา ช่างต่างจากยายตัวแสบสารพัดพิษซึ่งเคยทิ้งเขาเอาไว้ข้างทางโดยสิ้นเชิง เธอดูจริงจัง สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ผิดกับเวลาอื่นที่เธอจะกลายร่างเป็นเพียงเด็กสาวแสนซนอยากรู้อยากเห็น นับว่าเป็นความแตกต่างซึ่งมาผสมกันอยู่ในตัวแก้มแหม่มอย่างลงตัว
เธอดูมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่มากเกินไป ไม่เหมือนผู้หญิงเก่งๆ สมัยนี้ พวกเธอดูปราดเปรียว คล่องแคล่ว แต่หาความรน่าเอ็นดูไม่ได้ ผิดกับแก้มแหม่ม เขายอมรับว่าเธอเก่ง ผู้หญิงตัวเล็กๆ กำพร้าพ่อแม่สามารถหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง มิหนำซ้ำยังสามารถเลี้ยงดูคนอื่นได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสาวเก่ง แกร่ง แต่ไม่แข็งกร้าว น่าเอ็นดูและชวนอยู่ใกล้
ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจอย่างไม่รู้ตัว เขาเผลอจ้องใบหน้านวลนั้นนิ่งนาน กระทั่งแก้มแหม่มดึงตัวขึ้นมานั่งตรงๆ นั่นทำพริษฐ์ถึงกับสะดุ้ง เสหันไปมองอีกทางโดยอัตโนมัติเพื่อเกลื่อนพิรุธ โชคดียังเป็นของเขาเมื่อหญิงสาวเพียงแค่ย่นคิ้ว แต่ไม่ได้ติดใจอะไร
“ฉันนึกไอเดียออกอย่างหนึ่ง ไม่รู้คุณจะสนใจหรือเปล่า”
“อะไรครับ” เขาถาม พยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด เพื่อไม่ให้หญิงสาวจับได้ว่าเมื่อสักครู่เขาเผลอคิดอะไรนอกลู่นอกทาง
“เขาวงกตต้นไม้ ไม่สิ พุ่มไม้เตี้ยๆ น่ะ” พอเห็นพริษฐ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอก็อธิบายต่อ “เป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ สูงแค่ประมาณเข่า ถ้ามองจากระนาบสายตาก็จะเห็นเป็นแค่พุ่มไม้ธรรมดา แต่ถ้ามองจากมุมสูงหรือจากหน้าต่างบ้าน จะเห็นว่าพุ่มไม้เตี้ยนั้นจริงๆ แล้วปลูกเป็นเขาวงกต”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคุณ เขาวงกตแบบนั้น กระโดดข้ามก็ออกมาได้แล้ว” ชายหนุ่มค้าน “เขาวงกตก็ต้องสูงๆ สิ”
“คุณนี่ช่างไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย” หญิงสาวค้อนหน้าคว่ำ “คุณอยากได้อะไรเก๋ๆ ไม่ใช่หรือไง ถ้าเขาวงกตสูงๆ ไปสวนหลวงรอเก้าคุณก็ได้เล่นแล้ว ไม่เห็นต้องยกมาไว้ที่บ้านแบบนี้เลย อีกอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นก็บทบังทัศนียภาพของส่วนอื่นหมดน่ะสิ”
“อืม...ผมก็ลืมคิดไป งั้นเอาแบบที่คุณว่าแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวร่างแบบเขาวงกตเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะเอาให้คุณดูแล้วกันนะ แต่ตอนนี้คุณเลือกต้นไม้เผื่อไว้ก่อนดีกว่า ถ้าใช้ต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งหมด ฉันก็ต้องกะแล้วสั่งจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง”
“ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องต้นไม้ คุณมีต้นอะไรแนะนำไหม”
“ถ้าเอามาตัดแต่งเป็นพุ่ม ที่นิยมก็มีต้นชา”
“ชา” ใบหน้าของพริษฐ์เต็มไปด้วยคำถาม “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอกจากชาจะทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังเอามาปลูกประดับบ้านได้อีกด้วย”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า” เธอว่ากลั้วเสียงหัวเราะ “ชาที่ว่าเนี่ยไม่ใช่ชาเก็บยอดมาขาย แต่เป็นไม้ประดับ ชาข่อยน่ะคุณ เขานิยมปลูกเป็นกำแพงหรือดัดเป็นรูปทรงต่างๆ คุณพอนึกภาพออกไหม”
“อืม...” พริษฐ์พยายามนึก “ผมเคยเห็นเขาปลูกกันตามหมู่บ้าน ริมรั้ว แล้วตัดเป็นพุ่มๆ ใบสีเขียวๆ หยักๆ”
“นั่นแหละๆ เมื่อก่อนตามต่างจังหวัดนิยมปลูกแทนรั้วบ้าน แต่เดี๋ยวนี้มีคนทำไม่มากแล้วละ ส่วนใหญ่หันไปสร้างกำแพงอิฐแทน แต่บ้านฉันยังมีอยู่นะ ฉันว่ามันสวยดี คุณจะไปดูก่อนตัดสินใจก็ได้”
พริษฐ์โบกมือปฏิเสธทันที
“อย่าดีกว่า ผมพอนึกภาพออกแล้ว ถ้ายังไงเอาเป็นชาข่อยแบบที่คุณว่าน่ะดีแล้ว คุณดูนี่เถอะ ผมอยากรู้ว่าตรงนี้คุณว่าจะใช้บานชื่นใช่ไหม หน้าตามันเป็นยังไง”
หญิงสาวไม่ตอบ แต่เอื้อมไปพลิกหน้ากระดาษที่ร่างภาพไว้ พริษฐ์ถึงได้รู้ว่านอกจากแบบร่างแล้ว หญิงสาวยังแนบรูปต้นไม้ซึ่งต้องใช้มาด้วย
“ฉันเขียนชื่อกำกับไว้แล้วว่าแต่ละต้นเป็นต้นอะไร คุณลองดูแล้วกันว่าแต่ละจุดที่ฉันเลือกต้นไม้มาถูกใจไหม ส่วนมากฉันก็เลือกให้เข้ากับภูมิอากาศ ที่นี่อากาศร้อนแดดแรงทั้งปี พอหน้าฝนฝนก็ตกหนักยาว เพราะฉะนั้นพืชบางชนิดปลูกที่นี่แล้วไม่ขึ้น หลักๆ ก็ตามที่เห็น”
พริษฐ์พลิกหน้ากระดาษดูไปเรื่อยๆ ต้นไม้ที่หญิงสาวแนบมาค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ อย่างเช่น หมากแดง ชบาหนู บานชื่น บานบุรี ลั่นทม และอีกมากมายซึ่งเขามองแล้วเทียบว่าแต่ละต้นนำไปปลูกตรงไหน ก็นับว่ามุมมองของแก้มแหม่มใช้ได้ทีเดียว เขามั่นใจว่าพอจัดเสร็จ สวนนี้ต้องสวยน่าดู ทว่ามีบางจุดที่เขาอยากปรับเปลี่ยน
“ตรงนี้” เขาชี้ไปยังจุดที่แก้มแหม่มวาดไว้ว่าจะลงชบาหนู
“คุณไม่ชอบชบาหนูหรือ ต้นนี้สวยและทนนะ แถมยังสามารถแต่งให้เข้ารูปทรงคล้ายๆ กำแพงได้ด้วย” หญิงสาวถาม
“เปล่าหรอก จากรูปที่คุณเอาให้ดูผมว่าสวยเลยละ แต่ผมอยากเปลี่ยนดาวเรืองตรงนี้มากกว่า”
ในแบบร่างสวน แก้มแหม่มใช้ดอกดาวเรืองสีเหลืองปลูกหลั่นจากชบาหนูเพื่อให้ได้สีที่ตัดกัน สีสดๆ จะทำให้บ้านดูสดชื่นขึ้น
“คุณอยากให้เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะคะ” หญิงสาวหยิบปากกาซึ่งพริษฐ์วางไว้บนโต๊ะมาเพื่อใช้แก้ข้อมูลต้นไม้ตามจุดต่างๆ
“กุหลาบหนู...” ชายหนุ่มตอบทันที เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอเห็นว่าถ้ามองจากหน้าต่างห้องนอนแล้วอยากเห็นกุหลาบหนูปลูกอยู่ตรงนี้ “ผมอยากให้คุณลงกุหลาบหนูแทนดาวเรือง”
“ค่ะ สีอะไรดีคะ”
“ขาว...เป็นสีขาวแล้วกัน ผมว่ามันตัดกับสีชบาดี”
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันปรับให้นะ” หญิงสาวบอก ไม่ขัดใจเจ้าของบ้าน เพราะมองแล้วสิ่งที่ชายหนุ่มติงนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดี หากเปลี่ยนแล้วแย่ลง เธอคงแย้งเหมือนกัน
“ขอบคุณครับ” พร้อมกันนั้นโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีอีเมลเข้ามา เขาจึงหยิบมาดู “ผมขอตัวสักครู่นะ”
“เชิญค่ะ” แก้มแหม่มเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วก้มลงแก้รายชื่อต้นไม้ซึ่งจะใช้ต่อ เธอทุ่มสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าไม่ได้สนใจอะไรอีก
กระทั่งได้ยินเสียงย่ำเท้ากลับมา ใบหน้าติดเคร่งเครียดของพริษฐ์ทำให้แปลกใจ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาหายไปคุยโทรศัพท์
“ผมต้องกลับกรุงเทพฯ”
“วันนี้เลยหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างตกใจ “ทำไมปุบปับจังคะ มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันช่วยไหม”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ เขารู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยของหญิงสาว ทว่าสำหรับปัญหานี้เธอคงช่วยอะไรไม่ได้
“เลขาฯ ผมจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้แล้ว ถ้ารีบไปก็คงทันขึ้นเครื่องพอดี” ชายหนุ่มบอก รีบลงมือเก็บของบนโต๊ะอย่างเร่งรีบ โดยมีแก้มแหม่มช่วยอยู่ใกล้ๆ
“ฉันว่าคุณไปเก็บกระเป๋าเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการต่อให้เอง” เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของชายหนุ่มแล้วเธอคิดว่าเรื่องที่ว่าคงไม่ใช่เล็กๆ และตรงนี้เหลือเพียงแค่เก็บโต๊ะ ของใช้บางชิ้นก็แค่เก็บเข้าที่เท่านั้นเธอจึงขันอาสาด้วยไม่อยากให้ชายหนุ่มเสียเวลาอีกแม้แต่นาทีเดียว
พริษฐ์มองหญิงสาวอย่างซาบซึ้ง เอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่ง ทำทุกอย่างแข่งกับเวลา
ตอนแก้มแหม่มเก็บของเสร็จ เดินออกมายังเฉลียงนั้นเป็นจังหวะเดียวกับพริษฐ์ซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดพร้อมสำหรับการเดินทาง ลากกระเป๋าออกมาพอดี
“ให้ฉันไปส่งไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องเอารถไปคืนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงนุ่ม
มือใหญ่แบออกตรงหน้า บนนั้นมีกุญแจบ้านทั้งพวงวางอยู่ แก้มแหม่มมองงงๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ชายหนุ่ม
“เอามาให้ฉันทำไมคะ”
“ระหว่างผมไม่อยู่อยากให้คุณช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หน่อย”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้แก้มแหม่มอึ้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะวางใจถึงขนาดยกกุญแจทั้งพวงให้ครอบครอง
“คุณไม่กลัวฉันเอาไปปั๊มเก็บไว้แล้วพาพวกมายกเค้าหรือ” กระนั้นแก้มแหม่มก็ยังไม่มีทีท่าจะยื่นมือไปรับ จนพริษฐ์ถือวิสาสะจับมือเล็กๆ แล้ววางกุญแจทั้งพวงแปะลงไป
“กลัวแต่ว่าพอโจรมายกเค้าแล้วไม่ได้อะไรกลับไป จะทำร้ายนางนกต่อแทนเพราะความหัวเสียนี่สิ”
พอเท้าเหยียบเมืองหลวง พริษฐ์ก็มุ่งหน้าเข้าบริษัทก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อจัดการเรื่องยุ่งที่เกิดขึ้น
ตอนอยู่เรือนไทย นลินอีเมลแจ้งให้เขาทราบว่าหนังซึ่งส่งไปให้ลูกค้าในต่างประเทศ คุณภาพด้อยกว่าตกลงกันไว้ในตอนแรก ทั้งที่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขากำชับนักกำชับหนาไว้ว่าอย่าให้เกิดขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ลูกค้าไม่พอใจมากและจะไม่เจรจากับฝ่ายใดนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย นลินแจ้งให้ทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกไม่กี่วันมิสเตอร์เฮนรี่จะเดินทางมาเมืองไทยพอดี และเขาก็สั่งให้นลินนัดมิสเตอร์เฮนรี่ให้ได้ ก่อนหน้านั้นต้องสืบหาต้นตอว่าความผิดพลาดด้วยว่าเกิดขึ้นจากอะไร
พริษฐ์เดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในบริษัท โดยมีสายตาของพนักงานหลายคู่มองมาอย่างใคร่รู้ว่าทำไมท่านรองถึงได้มาโผล่บริษัทในสภาพกางเกงสแล็คสีดำกับเสื้อเชิ้ต ผิดกับทุกครั้งที่ต้องผูกไทคลุมทับด้วยสูทเต็มยศ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาถามสักคน
“นัดมิสเตอร์เฮนรี่ให้ผมได้หรือเปล่าคุณบัว”
“ทางเลขาฯ มิสเตอร์เฮนรี่ตอบรับมาแล้วค่ะว่าให้เข้าพบได้วันพฤหัสฯ”
“อีกสองวัน” พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ เวลามีอีกไม่มาก เพราะฉะนั้นเขาต้องสืบหาต้นเหตุให้ได้เร็วที่สุด “งั้นคุณเอาเอกสารและเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เข้าประชุมในอีกครึ่งชั่วโมง”
สั่งเสร็จพริษฐ์ก็หมุนตัวเข้าห้องทำงานอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของนลิน ดังนั้นพอเปิดประตูห้องทำงานจึงเห็นว่าบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของตนเองกำลังถูกยึดครอง
“พ่อ”
พริษฐ์ถอนหายใจออกมาแรงๆ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าบริษัทมีเรื่องจริงๆ หรือว่านี่เป็นแผนการเรียกตัวเขากลับของบิดากันแน่
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกลากไปวางหลบไว้หลังโซฟาแล้วชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงตรงหน้าบิดา ดวงตาคมดุถอดแบบมาจากโชติ จ้องมองหน้าบิดาแน่วนิ่งขณะถาม
“นี่แผนของพ่อใช่หรือเปล่า”
“แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้ชื่อเสียงบริษัทที่สั่งสมมานานต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้หรือไง”
เขาไม่น่าประมาทบิดาเลย เห็นหน้าตาท่าทางยิ้มแย้มเหมือนผู้ใหญ่ใจดีแบบนี้ซ่อนเล่ห์เอาไว้มากมาย ที่สำคัญลืมไปได้อย่างไรว่ามิสเตอร์เฮนรี่เป็นเพื่อนเก่าของบิดา นี่คงร่วมมือกันละสิ
“ไม่น่าเสียรู้เลย” พริษฐ์บ่นเบาๆ อย่างหัวเสีย “แล้วพ่อแลกกับอะไรมิสเตอร์เฮนรี่ถึงยอมร่วมมือขนาดนี้”
“ทำไมแกคิดแบบนั้น”
“มิสเตอร์เฮนรี่เป็นเพื่อนพ่อก็จริง แต่ไม่ใช่คนมีน้ำใจทำอะไรให้ใครฟรีๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้นพ่อบอกมาเถอะว่าครั้งนี้เราเสียอะไรไปบ้าง”
“ก็ไม่มาก แค่ขยายเครดิตจากสามสิบวันเป็นเก้าสิบวัน แล้วก็ส่วนลดอีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าล็อตหน้า”
นับว่าไม่มากอย่างที่เขากลัว เพราะกระแสเงินสดของบริษัทตอนนี้นับว่าคล่องตัว ถ้าจะมีลูกค้าสักรายจ่ายเงินช้าหน่อยก็ไม่ทำให้ธุรกิจสะดุดเท่าไร แต่ส่วนลดนี่สิ
“กี่เปอร์เซ็นต์ครับ”
พอพินิจบอกอัตราส่วนลดออกมา พริษฐ์ถึงกับคราง พอได้สติก็โวยวายเสียงดัง
“นั่นมันเกือบเท่าทุนของเราเลยนะครับ”
ทว่าพินิจเพียงไหวไหล่เบาๆ และท่าทางไม่ยี่หระของบิดาก็ทำให้พริษฐ์หัวเสียหนักขึ้นไปอีก น้ำเสียงต่อมาจึงออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“นี่พ่อยอมลงทุนขนาดนี้เพียงเพื่อเรียกผมกลับมาให้ห่างๆ บ้านหลังนั้นเท่านั้นหรือครับ”
“ฉันได้ยินมาว่าแกกำลังปรับปรุงบ้านหลังนั้นอยู่”
“คุณประเสริฐคงบอกพ่อหมดทุกอย่างอยู่แล้ว” คนเป็นลูกโต้ ในใจก็สรรเสริญทนายมือหนึ่งของบริษัทไปด้วย
นี่ถ้าไม่คิดว่าฝีมือดีทำงานซื่อสัตย์โดยเฉพาะกับบิดาของเขาแล้วละก็ เขาจะเชิญประเสริฐออกจากบริษัทเสียเดี๋ยวนี้ ค่าที่เป็นทนาย แต่เก็บความลับอะไรไม่ได้เลย
“แกจะใช้วิธีนี้ทำให้ฉันเปลี่ยนใจยกบ้านหลังนั้นให้หรือไง”
“น่าคิดเหมือนกันนะครับ” เขาตอบทั้งที่ไม่เคยคิดใช้วิธีนี้ทำให้บิดาเปลี่ยนใจเลยสักนิด ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ใช้กับบิดาไม่ได้ผลหรอก
“มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะไม่ว่าวิธีไหนก็เปลี่ยนใจพ่อแกไม่ได้”
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้นะครับบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นผมว่าพ่อเผื่อใจไว้บ้างก็ดี” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงยียวน ผุดลุกเดินไปยังประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“แล้วนั่นแกจะไปไหน” พินิจถามเสียงดังลั่น มองลูกชายตัวดีซึ่งหมุนตัวมามองกันแล้วพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มยียวน
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องเคลียร์แล้ว ผมก็ขอมีเวลาส่วนตัวบ้างสิครับ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินลิ่วๆ ออกไปทันที ทิ้งพินิจไว้กับความหงุดหงิด
สถานที่ซึ่งพริษฐ์หนีบิดามาคือบริษัทนักสืบของทิวไผ่ พอไปถึงพริษฐ์ก็ทิ้งตัวไปกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน จากไปอยู่ต่างจังหวัดเสียหลายวัน พอมาเจอถนนที่รถหนาแน่น คนขับรถอย่างเห็นแก่ตัว ก็เล่นเอาพริษฐ์หมดแรงไปเหมือนกัน
“ไปทำอะไรมาวะ ท่าทางหมดแรง”
พอทิวไผ่เอาน้ำเย็นๆ มาให้ พริษฐ์ก็กระเด้งตัวจากท่าทิ้งหลังจมไปกับโซฟาขึ้นนั่ง ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ โดยมีเจ้าของบริษัทเดินมาทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆ กัน
“เบื่อรถติด”
“อะไร ไปอยู่ต่างจังหวัดแค่ไม่กี่วัน กลับมาถึงกับรับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ได้เลยหรือ” ทิวไผ่เย้าไม่จริงจังนัก “ว่าแต่ลมอะไรหอบนายมาถึงนี่ ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าถ้ามีความคืบหน้ายังไงจะโทร.ไปบอก ไม่เห็นต้องแจ้นขึ้นมาจากใต้เลย งานที่โน่นเสร็จแล้วหรือไง”
“ยัง”
“อ้าว” คนเป็นเพื่อนร้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ ตลอดเวลาที่รู้จักสนิทสนมกันมา เขารู้ดีว่าเพื่อนไม่ใช่คนชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ พอไม่สำเร็จแล้วปล่อยทิ้งขว้าง
“พอดีที่นี่มีเรื่องเสียก่อน”
“ไอ้ท่าทางเหนื่อยๆ ทำท่าซังกะตายอยู่นี่เพราะเรื่องนี้หรือ” ทิวไผ่สันนิษฐานสาเหตุที่พริษฐ์ออกอาการแบบนี้คงไม่ใช่เพราะรถติดอย่างที่เจ้าตัวอ้างเสียแล้ว
“เรื่องเดิมนั่นแหละ”
นักสืบหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ พอเดาได้ว่าต้นเหตุซึ่งทำให้พริษฐ์เป็นแบบนี้ก็คงไม่พ้นปัญหาเรือนไทยหลังนั้นตามประสาครอบครัวผู้มีอันจะกิน
มีมากก็น่าปวดหัว มีน้อยก็ไม่พอกิน เฮ้อ...
“คราวนี้พ่อนายแก้เกมยังไงล่ะ ถึงทำให้นายแจ้นกลับมาแบบนี้” ทิวไผ่อยากรู้ว่าพินิจแก้เกมลูกชายอย่างไร หลังจากพริษฐ์สร้างวีรกรรมฉกโฉนดที่ดินที่ตั้งของเรือนไทยหลังนั้นมาไว้กับตัว เพื่อป้องกันว่าระหว่างที่หาทางให้พินิจเปลี่ยนหรือยกเลิกพินัยกรรม ที่ดินผืนนั้นจะไม่ถูกโอนไปให้ผู้หญิงปริศนาเสียก่อน แถมยังขู่ตบท้ายด้วยว่า หากบิดาไปแจ้งความว่าโฉนดที่ดินหายเพื่อทำเรื่องออกฉบับใหม่ พริษฐ์จะไปบอกตำรวจว่าบิดาแจ้งความเท็จ
เรียกได้ว่าแสบสะบัดไปเลย
“เอ็งจำมิสเตอร์เฮนรี่ได้ไหม”
“เพื่อนสนิทกับลุงพินิจน่ะหรือ”
“นั่นแหละ” พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ แล้วเล่าต่อ “สองคนนั้นเขาร่วมมือกันสร้างเรื่องว่าบริษัทส่งหนังคุณภาพต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้ไปให้ จะเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ถ้าอยากเจรจาก็จะคุยกับฉันคนเดียวเท่านั้น”
“แล้วพอนายกลับมาก็กลายเป็นเรื่องโกหกไปงั้นสิ”
“เออสิวะ เสียรู้พ่อก็เจ็บใจพอแรงแล้ว นายรู้หรือเปล่าว่าฉันต้องเสียอะไรให้มิสเตอร์เฮนรี่บ้าง ทั้งส่วนลดทั้งเครดิตการจ่ายเงิน” คิดถึงเรื่องนี้ทีไร พริษฐ์ก็อดหัวเสียไม่ได้ทุกครั้ง
“พอทำอะไรไม่ได้ นายก็มาฟาดงวงฟาดงาให้ฉันดูงั้นสิ” ทิวไผ่เย้ากลั้วเสียงหัวเราะ เรื่องนี้คงทำให้พริษฐ์หัวเสียน่าดู
“ฉันละเชื่อจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นคงมีความสำคัญน่าดู พ่อถึงยอมมิสเตอร์เฮนรี่ขนาดนั้น” พริษฐ์บ่นอย่างไม่พอใจ ตัวเขาพยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัทมาโดยตลอด แต่บิดากลับยอมเสียเพียงเพื่อเรียกตัวเขากลับบ้านเท่านั้น “แล้วหลายวันมานี้นายไม่ได้อะไรคืบหน้าเลยหรือ”
ท่าทางส่ายหน้าเบาๆ ของเพื่อนเรียกเสียงถอนหายใจจากพริษฐ์ได้อีกครั้ง
“จนปัญญาจริงๆ ว่ะ นายแน่ใจนะว่าคุณอัญชันคนนี้มีชีวิตอยู่ในโลกจริงๆ น่ะ” ทิวไผ่ชักไม่แน่ใจ “ทำไมดูไร้ตัวตนชอบกล หรือพ่อนายแค่อุปโลกน์ขึ้นมาเฉยๆ”
“พ่อฉันคงไม่ยกสมบัติให้คนไม่มีตัวตนหรอกทิว” พริษฐ์แย้งเสียงจริงจังด้วยคิดไม่ออกว่าบิดาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร “อีกอย่างท่านดูจริงจังกับเรื่องนี้เกินกว่าจะทำเล่นๆ คนชื่ออัญชันนี่ต้องมีตัวตนจริงๆ”
“ฉันก็พูดเล่นคะนองปากไปอย่างนั้นเองแหละ แล้วนี่นายจะทำยังไงต่อไป”
“ยังไม่รู้เลย” เขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้รู้สึกมืดแปดด้านไปหมด “คงต้องให้นายช่วยสืบต่อไปก่อน ส่วนทางนี้ฉันจะคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อแผนไม่เป็นไปตามที่คิด ยังไงจะได้มีทางออก”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” นักสืบหนุ่มรับปาก ยกมือขึ้นลูบคางด้วยท่าทางครุ่นคิด “นายว่าพ่อนายจะรู้จักคนชื่ออัญชันนี่ดีแค่ไหนวะ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นจะยกบ้านให้ทั้งหลังหรือไง เผลอๆ ฉันว่าทนายประเสริฐนี่เป็นอีกคนที่รู้อะไรดีๆ ด้วยซ้ำ ติดแต่จงรักภักดีกับพ่อฉันเหลือเกิน ถามอะไรก็ไม่ปริปาก เอาเข้าจริงฉันชักไม่แน่ใจว่าใครเซ็นอนุมัติเงินเดือนให้กันแน่”
พูดแล้วก็อดเจ็บใจเล็กๆ ไม่ได้ เวลาเขาถามกลับอุบเงียบกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ทีเรื่องของเขาละเอาไปขายบิดาจนหมด จงรักภักดีกันจริงๆ ให้ตายสิ
คิดถึงตรงนี้ดวงตาสีเข้มของพริษฐ์ก็สว่างวาบ ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่คนใกล้ตัวมาเห็นคงอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มหันไปมองทิวไผ่ แววตาของเพื่อนบอกว่าคิดอะไรไม่ต่างจากเขานัก เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ นักสืบหนุ่มก็เดินไปยกหูโทรศัพท์ทันที
“ฉันมีไอเดียจัดสวนมาให้คุณดูละ” แก้มแหม่มยื่นสมุดวาดภาพไปให้ชายหนุ่ม แล้วทรุดลงนั่งหน้าโต๊ะญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม “แต่บอกก่อนเลย ถ้าคุณคาดหวังจะเห็นภาพสวยๆ เหมือนพวกมืออาชีพหรือบริษัทใหญ่ๆ ที่เขาจบด้านนี้มาโดยตรง คงยากหน่อยนะ”
มือใหญ่เปิดสมุดขึ้นมอง พริษฐ์พอรู้มาเหมือนกันว่าแก้มแหม่มไม่ได้เรียนจบมาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ หญิงสาวเรียนในคณะที่เรียกว่าคนละด้านกับสิ่งที่ทำโดยสิ้นเชิง แต่เพราะรักและชอบ ประกอบกับมีหัวทางด้านนี้จึงสามารถทำได้ มองจากภาพร่างตรงหน้าแล้วเขาคิดว่าเธอทำได้ดีเลยทีเดียว
“ตรงตามที่คุณอยากได้หรือเปล่า”
ตอนคุยกันพริษฐ์บอกชัดเจนว่าไม่อยากโค่นไม้ยืนต้นต้นไหน เนื่องจากเสียดาย ซึ่งเธอก็เห็นด้วย จากการสำรวจพื้นที่พบว่าที่นี่ปลูกต้นไม้ตามแนวคิดของคนโบราณ คือ ‘อย่าปลูกไม้กลางดิน’ ความหมายตรงตัวอยู่แล้วคือให้ปลูกบริเวณรอบๆ ที่ดิน เว้นตรงกลางเอาไว้ เผื่อเวลาใดอยากปลูกบ้านจะได้ไม่ต้องโค่นต้นไม้ทิ้ง
ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา เมื่อก่อนเคยเป็นอย่างไร เธอก็ยังคงไว้ ส่วนที่ต้องออกแบบจริงๆ เป็นสวนหย่อมรอบๆ บ้านมากกว่า เธอเชื่อว่าเมื่อก่อนพื้นที่ส่วนนี้คงเป็นสวนสวย ลานหญ้านิ่มๆ บางทีพริษฐ์อาจเคยวิ่งเล่นซุกซนอยู่ตรงนั้นก็ได้
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม...วันๆ เห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำงาน ใบหน้าคมดูจริงจัง เธอนึกภาพตอนเขาวิ่งซุกซนไม่ออกจริงๆ
“ผมว่าตรงนี้โล่งไปหน่อยนะ”
“ตรงไหนคะ” หญิงสาวถาม ขยับไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่ม ชะโงกหน้ามองภาพร่างสวนบนโต๊ะ
“ข้างบ้านด้านนี้ ที่เป็นลานหญ้าเฉยๆ ผมว่ามันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังจุดที่เขาต้องการให้ปรับเปลี่ยน
“อืม” แก้มแหม่มมองบริเวณนั้นอย่างพิจารณา “มันโล่งอย่างที่คุณว่าจริงๆ ด้วย ตอนแรกฉันกลัวว่าจะรกไป”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ เขาพอนึกภาพออก...
“ถ้าลงต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ ล่ะ คุณว่ามันจะโอเคไหม”
“พวกสวนดอกไม้น่ะหรือคะ”
“ไม่รู้สิ ผมยังนึกไม่ออก อยากได้อะไรที่มันเข้ากับบรรยากาศบ้าน ไม่สมัยใหม่จ๋าจนเกินไป แต่ก็เก๋ ดูดีมีสไตล์”
“อะไรเก๋ๆ หรือ” คิ้วเรียวขมวดเป็นปม ชะโงกหน้าเพ่งภาพร่างตรงหน้าอย่างใช้ความคิด สมองก็จินตนาการว่าเอาสิ่งใดมาวางตรงนั้นแล้วทำให้สวนดูน่าสนใจขึ้น
ด้วยมัวแต่ใช้ความคิด สายตาเพ่งมองภาพร่างเขม็ง ร่างกายก็ขยับเข้าไปเบียดชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เปิดโอกาสให้คนข้างๆ พิจารณาได้ถนัดถนี่
ผู้หญิงกำลังนิ่วหน้าท่าทางเครียดข้างๆ เขา ช่างต่างจากยายตัวแสบสารพัดพิษซึ่งเคยทิ้งเขาเอาไว้ข้างทางโดยสิ้นเชิง เธอดูจริงจัง สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ผิดกับเวลาอื่นที่เธอจะกลายร่างเป็นเพียงเด็กสาวแสนซนอยากรู้อยากเห็น นับว่าเป็นความแตกต่างซึ่งมาผสมกันอยู่ในตัวแก้มแหม่มอย่างลงตัว
เธอดูมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่มากเกินไป ไม่เหมือนผู้หญิงเก่งๆ สมัยนี้ พวกเธอดูปราดเปรียว คล่องแคล่ว แต่หาความรน่าเอ็นดูไม่ได้ ผิดกับแก้มแหม่ม เขายอมรับว่าเธอเก่ง ผู้หญิงตัวเล็กๆ กำพร้าพ่อแม่สามารถหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง มิหนำซ้ำยังสามารถเลี้ยงดูคนอื่นได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสาวเก่ง แกร่ง แต่ไม่แข็งกร้าว น่าเอ็นดูและชวนอยู่ใกล้
ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจอย่างไม่รู้ตัว เขาเผลอจ้องใบหน้านวลนั้นนิ่งนาน กระทั่งแก้มแหม่มดึงตัวขึ้นมานั่งตรงๆ นั่นทำพริษฐ์ถึงกับสะดุ้ง เสหันไปมองอีกทางโดยอัตโนมัติเพื่อเกลื่อนพิรุธ โชคดียังเป็นของเขาเมื่อหญิงสาวเพียงแค่ย่นคิ้ว แต่ไม่ได้ติดใจอะไร
“ฉันนึกไอเดียออกอย่างหนึ่ง ไม่รู้คุณจะสนใจหรือเปล่า”
“อะไรครับ” เขาถาม พยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด เพื่อไม่ให้หญิงสาวจับได้ว่าเมื่อสักครู่เขาเผลอคิดอะไรนอกลู่นอกทาง
“เขาวงกตต้นไม้ ไม่สิ พุ่มไม้เตี้ยๆ น่ะ” พอเห็นพริษฐ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอก็อธิบายต่อ “เป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ สูงแค่ประมาณเข่า ถ้ามองจากระนาบสายตาก็จะเห็นเป็นแค่พุ่มไม้ธรรมดา แต่ถ้ามองจากมุมสูงหรือจากหน้าต่างบ้าน จะเห็นว่าพุ่มไม้เตี้ยนั้นจริงๆ แล้วปลูกเป็นเขาวงกต”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคุณ เขาวงกตแบบนั้น กระโดดข้ามก็ออกมาได้แล้ว” ชายหนุ่มค้าน “เขาวงกตก็ต้องสูงๆ สิ”
“คุณนี่ช่างไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย” หญิงสาวค้อนหน้าคว่ำ “คุณอยากได้อะไรเก๋ๆ ไม่ใช่หรือไง ถ้าเขาวงกตสูงๆ ไปสวนหลวงรอเก้าคุณก็ได้เล่นแล้ว ไม่เห็นต้องยกมาไว้ที่บ้านแบบนี้เลย อีกอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นก็บทบังทัศนียภาพของส่วนอื่นหมดน่ะสิ”
“อืม...ผมก็ลืมคิดไป งั้นเอาแบบที่คุณว่าแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวร่างแบบเขาวงกตเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะเอาให้คุณดูแล้วกันนะ แต่ตอนนี้คุณเลือกต้นไม้เผื่อไว้ก่อนดีกว่า ถ้าใช้ต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งหมด ฉันก็ต้องกะแล้วสั่งจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง”
“ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องต้นไม้ คุณมีต้นอะไรแนะนำไหม”
“ถ้าเอามาตัดแต่งเป็นพุ่ม ที่นิยมก็มีต้นชา”
“ชา” ใบหน้าของพริษฐ์เต็มไปด้วยคำถาม “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอกจากชาจะทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังเอามาปลูกประดับบ้านได้อีกด้วย”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า” เธอว่ากลั้วเสียงหัวเราะ “ชาที่ว่าเนี่ยไม่ใช่ชาเก็บยอดมาขาย แต่เป็นไม้ประดับ ชาข่อยน่ะคุณ เขานิยมปลูกเป็นกำแพงหรือดัดเป็นรูปทรงต่างๆ คุณพอนึกภาพออกไหม”
“อืม...” พริษฐ์พยายามนึก “ผมเคยเห็นเขาปลูกกันตามหมู่บ้าน ริมรั้ว แล้วตัดเป็นพุ่มๆ ใบสีเขียวๆ หยักๆ”
“นั่นแหละๆ เมื่อก่อนตามต่างจังหวัดนิยมปลูกแทนรั้วบ้าน แต่เดี๋ยวนี้มีคนทำไม่มากแล้วละ ส่วนใหญ่หันไปสร้างกำแพงอิฐแทน แต่บ้านฉันยังมีอยู่นะ ฉันว่ามันสวยดี คุณจะไปดูก่อนตัดสินใจก็ได้”
พริษฐ์โบกมือปฏิเสธทันที
“อย่าดีกว่า ผมพอนึกภาพออกแล้ว ถ้ายังไงเอาเป็นชาข่อยแบบที่คุณว่าน่ะดีแล้ว คุณดูนี่เถอะ ผมอยากรู้ว่าตรงนี้คุณว่าจะใช้บานชื่นใช่ไหม หน้าตามันเป็นยังไง”
หญิงสาวไม่ตอบ แต่เอื้อมไปพลิกหน้ากระดาษที่ร่างภาพไว้ พริษฐ์ถึงได้รู้ว่านอกจากแบบร่างแล้ว หญิงสาวยังแนบรูปต้นไม้ซึ่งต้องใช้มาด้วย
“ฉันเขียนชื่อกำกับไว้แล้วว่าแต่ละต้นเป็นต้นอะไร คุณลองดูแล้วกันว่าแต่ละจุดที่ฉันเลือกต้นไม้มาถูกใจไหม ส่วนมากฉันก็เลือกให้เข้ากับภูมิอากาศ ที่นี่อากาศร้อนแดดแรงทั้งปี พอหน้าฝนฝนก็ตกหนักยาว เพราะฉะนั้นพืชบางชนิดปลูกที่นี่แล้วไม่ขึ้น หลักๆ ก็ตามที่เห็น”
พริษฐ์พลิกหน้ากระดาษดูไปเรื่อยๆ ต้นไม้ที่หญิงสาวแนบมาค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ อย่างเช่น หมากแดง ชบาหนู บานชื่น บานบุรี ลั่นทม และอีกมากมายซึ่งเขามองแล้วเทียบว่าแต่ละต้นนำไปปลูกตรงไหน ก็นับว่ามุมมองของแก้มแหม่มใช้ได้ทีเดียว เขามั่นใจว่าพอจัดเสร็จ สวนนี้ต้องสวยน่าดู ทว่ามีบางจุดที่เขาอยากปรับเปลี่ยน
“ตรงนี้” เขาชี้ไปยังจุดที่แก้มแหม่มวาดไว้ว่าจะลงชบาหนู
“คุณไม่ชอบชบาหนูหรือ ต้นนี้สวยและทนนะ แถมยังสามารถแต่งให้เข้ารูปทรงคล้ายๆ กำแพงได้ด้วย” หญิงสาวถาม
“เปล่าหรอก จากรูปที่คุณเอาให้ดูผมว่าสวยเลยละ แต่ผมอยากเปลี่ยนดาวเรืองตรงนี้มากกว่า”
ในแบบร่างสวน แก้มแหม่มใช้ดอกดาวเรืองสีเหลืองปลูกหลั่นจากชบาหนูเพื่อให้ได้สีที่ตัดกัน สีสดๆ จะทำให้บ้านดูสดชื่นขึ้น
“คุณอยากให้เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะคะ” หญิงสาวหยิบปากกาซึ่งพริษฐ์วางไว้บนโต๊ะมาเพื่อใช้แก้ข้อมูลต้นไม้ตามจุดต่างๆ
“กุหลาบหนู...” ชายหนุ่มตอบทันที เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอเห็นว่าถ้ามองจากหน้าต่างห้องนอนแล้วอยากเห็นกุหลาบหนูปลูกอยู่ตรงนี้ “ผมอยากให้คุณลงกุหลาบหนูแทนดาวเรือง”
“ค่ะ สีอะไรดีคะ”
“ขาว...เป็นสีขาวแล้วกัน ผมว่ามันตัดกับสีชบาดี”
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันปรับให้นะ” หญิงสาวบอก ไม่ขัดใจเจ้าของบ้าน เพราะมองแล้วสิ่งที่ชายหนุ่มติงนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดี หากเปลี่ยนแล้วแย่ลง เธอคงแย้งเหมือนกัน
“ขอบคุณครับ” พร้อมกันนั้นโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีอีเมลเข้ามา เขาจึงหยิบมาดู “ผมขอตัวสักครู่นะ”
“เชิญค่ะ” แก้มแหม่มเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วก้มลงแก้รายชื่อต้นไม้ซึ่งจะใช้ต่อ เธอทุ่มสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าไม่ได้สนใจอะไรอีก
กระทั่งได้ยินเสียงย่ำเท้ากลับมา ใบหน้าติดเคร่งเครียดของพริษฐ์ทำให้แปลกใจ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาหายไปคุยโทรศัพท์
“ผมต้องกลับกรุงเทพฯ”
“วันนี้เลยหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างตกใจ “ทำไมปุบปับจังคะ มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันช่วยไหม”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ เขารู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยของหญิงสาว ทว่าสำหรับปัญหานี้เธอคงช่วยอะไรไม่ได้
“เลขาฯ ผมจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้แล้ว ถ้ารีบไปก็คงทันขึ้นเครื่องพอดี” ชายหนุ่มบอก รีบลงมือเก็บของบนโต๊ะอย่างเร่งรีบ โดยมีแก้มแหม่มช่วยอยู่ใกล้ๆ
“ฉันว่าคุณไปเก็บกระเป๋าเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการต่อให้เอง” เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของชายหนุ่มแล้วเธอคิดว่าเรื่องที่ว่าคงไม่ใช่เล็กๆ และตรงนี้เหลือเพียงแค่เก็บโต๊ะ ของใช้บางชิ้นก็แค่เก็บเข้าที่เท่านั้นเธอจึงขันอาสาด้วยไม่อยากให้ชายหนุ่มเสียเวลาอีกแม้แต่นาทีเดียว
พริษฐ์มองหญิงสาวอย่างซาบซึ้ง เอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่ง ทำทุกอย่างแข่งกับเวลา
ตอนแก้มแหม่มเก็บของเสร็จ เดินออกมายังเฉลียงนั้นเป็นจังหวะเดียวกับพริษฐ์ซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดพร้อมสำหรับการเดินทาง ลากกระเป๋าออกมาพอดี
“ให้ฉันไปส่งไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องเอารถไปคืนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงนุ่ม
มือใหญ่แบออกตรงหน้า บนนั้นมีกุญแจบ้านทั้งพวงวางอยู่ แก้มแหม่มมองงงๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ชายหนุ่ม
“เอามาให้ฉันทำไมคะ”
“ระหว่างผมไม่อยู่อยากให้คุณช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หน่อย”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้แก้มแหม่มอึ้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะวางใจถึงขนาดยกกุญแจทั้งพวงให้ครอบครอง
“คุณไม่กลัวฉันเอาไปปั๊มเก็บไว้แล้วพาพวกมายกเค้าหรือ” กระนั้นแก้มแหม่มก็ยังไม่มีทีท่าจะยื่นมือไปรับ จนพริษฐ์ถือวิสาสะจับมือเล็กๆ แล้ววางกุญแจทั้งพวงแปะลงไป
“กลัวแต่ว่าพอโจรมายกเค้าแล้วไม่ได้อะไรกลับไป จะทำร้ายนางนกต่อแทนเพราะความหัวเสียนี่สิ”
พอเท้าเหยียบเมืองหลวง พริษฐ์ก็มุ่งหน้าเข้าบริษัทก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อจัดการเรื่องยุ่งที่เกิดขึ้น
ตอนอยู่เรือนไทย นลินอีเมลแจ้งให้เขาทราบว่าหนังซึ่งส่งไปให้ลูกค้าในต่างประเทศ คุณภาพด้อยกว่าตกลงกันไว้ในตอนแรก ทั้งที่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขากำชับนักกำชับหนาไว้ว่าอย่าให้เกิดขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ลูกค้าไม่พอใจมากและจะไม่เจรจากับฝ่ายใดนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย นลินแจ้งให้ทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกไม่กี่วันมิสเตอร์เฮนรี่จะเดินทางมาเมืองไทยพอดี และเขาก็สั่งให้นลินนัดมิสเตอร์เฮนรี่ให้ได้ ก่อนหน้านั้นต้องสืบหาต้นตอว่าความผิดพลาดด้วยว่าเกิดขึ้นจากอะไร
พริษฐ์เดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในบริษัท โดยมีสายตาของพนักงานหลายคู่มองมาอย่างใคร่รู้ว่าทำไมท่านรองถึงได้มาโผล่บริษัทในสภาพกางเกงสแล็คสีดำกับเสื้อเชิ้ต ผิดกับทุกครั้งที่ต้องผูกไทคลุมทับด้วยสูทเต็มยศ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาถามสักคน
“นัดมิสเตอร์เฮนรี่ให้ผมได้หรือเปล่าคุณบัว”
“ทางเลขาฯ มิสเตอร์เฮนรี่ตอบรับมาแล้วค่ะว่าให้เข้าพบได้วันพฤหัสฯ”
“อีกสองวัน” พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ เวลามีอีกไม่มาก เพราะฉะนั้นเขาต้องสืบหาต้นเหตุให้ได้เร็วที่สุด “งั้นคุณเอาเอกสารและเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เข้าประชุมในอีกครึ่งชั่วโมง”
สั่งเสร็จพริษฐ์ก็หมุนตัวเข้าห้องทำงานอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของนลิน ดังนั้นพอเปิดประตูห้องทำงานจึงเห็นว่าบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของตนเองกำลังถูกยึดครอง
“พ่อ”
พริษฐ์ถอนหายใจออกมาแรงๆ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าบริษัทมีเรื่องจริงๆ หรือว่านี่เป็นแผนการเรียกตัวเขากลับของบิดากันแน่
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกลากไปวางหลบไว้หลังโซฟาแล้วชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงตรงหน้าบิดา ดวงตาคมดุถอดแบบมาจากโชติ จ้องมองหน้าบิดาแน่วนิ่งขณะถาม
“นี่แผนของพ่อใช่หรือเปล่า”
“แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้ชื่อเสียงบริษัทที่สั่งสมมานานต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้หรือไง”
เขาไม่น่าประมาทบิดาเลย เห็นหน้าตาท่าทางยิ้มแย้มเหมือนผู้ใหญ่ใจดีแบบนี้ซ่อนเล่ห์เอาไว้มากมาย ที่สำคัญลืมไปได้อย่างไรว่ามิสเตอร์เฮนรี่เป็นเพื่อนเก่าของบิดา นี่คงร่วมมือกันละสิ
“ไม่น่าเสียรู้เลย” พริษฐ์บ่นเบาๆ อย่างหัวเสีย “แล้วพ่อแลกกับอะไรมิสเตอร์เฮนรี่ถึงยอมร่วมมือขนาดนี้”
“ทำไมแกคิดแบบนั้น”
“มิสเตอร์เฮนรี่เป็นเพื่อนพ่อก็จริง แต่ไม่ใช่คนมีน้ำใจทำอะไรให้ใครฟรีๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้นพ่อบอกมาเถอะว่าครั้งนี้เราเสียอะไรไปบ้าง”
“ก็ไม่มาก แค่ขยายเครดิตจากสามสิบวันเป็นเก้าสิบวัน แล้วก็ส่วนลดอีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าล็อตหน้า”
นับว่าไม่มากอย่างที่เขากลัว เพราะกระแสเงินสดของบริษัทตอนนี้นับว่าคล่องตัว ถ้าจะมีลูกค้าสักรายจ่ายเงินช้าหน่อยก็ไม่ทำให้ธุรกิจสะดุดเท่าไร แต่ส่วนลดนี่สิ
“กี่เปอร์เซ็นต์ครับ”
พอพินิจบอกอัตราส่วนลดออกมา พริษฐ์ถึงกับคราง พอได้สติก็โวยวายเสียงดัง
“นั่นมันเกือบเท่าทุนของเราเลยนะครับ”
ทว่าพินิจเพียงไหวไหล่เบาๆ และท่าทางไม่ยี่หระของบิดาก็ทำให้พริษฐ์หัวเสียหนักขึ้นไปอีก น้ำเสียงต่อมาจึงออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“นี่พ่อยอมลงทุนขนาดนี้เพียงเพื่อเรียกผมกลับมาให้ห่างๆ บ้านหลังนั้นเท่านั้นหรือครับ”
“ฉันได้ยินมาว่าแกกำลังปรับปรุงบ้านหลังนั้นอยู่”
“คุณประเสริฐคงบอกพ่อหมดทุกอย่างอยู่แล้ว” คนเป็นลูกโต้ ในใจก็สรรเสริญทนายมือหนึ่งของบริษัทไปด้วย
นี่ถ้าไม่คิดว่าฝีมือดีทำงานซื่อสัตย์โดยเฉพาะกับบิดาของเขาแล้วละก็ เขาจะเชิญประเสริฐออกจากบริษัทเสียเดี๋ยวนี้ ค่าที่เป็นทนาย แต่เก็บความลับอะไรไม่ได้เลย
“แกจะใช้วิธีนี้ทำให้ฉันเปลี่ยนใจยกบ้านหลังนั้นให้หรือไง”
“น่าคิดเหมือนกันนะครับ” เขาตอบทั้งที่ไม่เคยคิดใช้วิธีนี้ทำให้บิดาเปลี่ยนใจเลยสักนิด ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ใช้กับบิดาไม่ได้ผลหรอก
“มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะไม่ว่าวิธีไหนก็เปลี่ยนใจพ่อแกไม่ได้”
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้นะครับบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นผมว่าพ่อเผื่อใจไว้บ้างก็ดี” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงยียวน ผุดลุกเดินไปยังประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“แล้วนั่นแกจะไปไหน” พินิจถามเสียงดังลั่น มองลูกชายตัวดีซึ่งหมุนตัวมามองกันแล้วพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มยียวน
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องเคลียร์แล้ว ผมก็ขอมีเวลาส่วนตัวบ้างสิครับ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินลิ่วๆ ออกไปทันที ทิ้งพินิจไว้กับความหงุดหงิด
สถานที่ซึ่งพริษฐ์หนีบิดามาคือบริษัทนักสืบของทิวไผ่ พอไปถึงพริษฐ์ก็ทิ้งตัวไปกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน จากไปอยู่ต่างจังหวัดเสียหลายวัน พอมาเจอถนนที่รถหนาแน่น คนขับรถอย่างเห็นแก่ตัว ก็เล่นเอาพริษฐ์หมดแรงไปเหมือนกัน
“ไปทำอะไรมาวะ ท่าทางหมดแรง”
พอทิวไผ่เอาน้ำเย็นๆ มาให้ พริษฐ์ก็กระเด้งตัวจากท่าทิ้งหลังจมไปกับโซฟาขึ้นนั่ง ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ โดยมีเจ้าของบริษัทเดินมาทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆ กัน
“เบื่อรถติด”
“อะไร ไปอยู่ต่างจังหวัดแค่ไม่กี่วัน กลับมาถึงกับรับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ได้เลยหรือ” ทิวไผ่เย้าไม่จริงจังนัก “ว่าแต่ลมอะไรหอบนายมาถึงนี่ ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าถ้ามีความคืบหน้ายังไงจะโทร.ไปบอก ไม่เห็นต้องแจ้นขึ้นมาจากใต้เลย งานที่โน่นเสร็จแล้วหรือไง”
“ยัง”
“อ้าว” คนเป็นเพื่อนร้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ ตลอดเวลาที่รู้จักสนิทสนมกันมา เขารู้ดีว่าเพื่อนไม่ใช่คนชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ พอไม่สำเร็จแล้วปล่อยทิ้งขว้าง
“พอดีที่นี่มีเรื่องเสียก่อน”
“ไอ้ท่าทางเหนื่อยๆ ทำท่าซังกะตายอยู่นี่เพราะเรื่องนี้หรือ” ทิวไผ่สันนิษฐานสาเหตุที่พริษฐ์ออกอาการแบบนี้คงไม่ใช่เพราะรถติดอย่างที่เจ้าตัวอ้างเสียแล้ว
“เรื่องเดิมนั่นแหละ”
นักสืบหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ พอเดาได้ว่าต้นเหตุซึ่งทำให้พริษฐ์เป็นแบบนี้ก็คงไม่พ้นปัญหาเรือนไทยหลังนั้นตามประสาครอบครัวผู้มีอันจะกิน
มีมากก็น่าปวดหัว มีน้อยก็ไม่พอกิน เฮ้อ...
“คราวนี้พ่อนายแก้เกมยังไงล่ะ ถึงทำให้นายแจ้นกลับมาแบบนี้” ทิวไผ่อยากรู้ว่าพินิจแก้เกมลูกชายอย่างไร หลังจากพริษฐ์สร้างวีรกรรมฉกโฉนดที่ดินที่ตั้งของเรือนไทยหลังนั้นมาไว้กับตัว เพื่อป้องกันว่าระหว่างที่หาทางให้พินิจเปลี่ยนหรือยกเลิกพินัยกรรม ที่ดินผืนนั้นจะไม่ถูกโอนไปให้ผู้หญิงปริศนาเสียก่อน แถมยังขู่ตบท้ายด้วยว่า หากบิดาไปแจ้งความว่าโฉนดที่ดินหายเพื่อทำเรื่องออกฉบับใหม่ พริษฐ์จะไปบอกตำรวจว่าบิดาแจ้งความเท็จ
เรียกได้ว่าแสบสะบัดไปเลย
“เอ็งจำมิสเตอร์เฮนรี่ได้ไหม”
“เพื่อนสนิทกับลุงพินิจน่ะหรือ”
“นั่นแหละ” พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ แล้วเล่าต่อ “สองคนนั้นเขาร่วมมือกันสร้างเรื่องว่าบริษัทส่งหนังคุณภาพต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้ไปให้ จะเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ถ้าอยากเจรจาก็จะคุยกับฉันคนเดียวเท่านั้น”
“แล้วพอนายกลับมาก็กลายเป็นเรื่องโกหกไปงั้นสิ”
“เออสิวะ เสียรู้พ่อก็เจ็บใจพอแรงแล้ว นายรู้หรือเปล่าว่าฉันต้องเสียอะไรให้มิสเตอร์เฮนรี่บ้าง ทั้งส่วนลดทั้งเครดิตการจ่ายเงิน” คิดถึงเรื่องนี้ทีไร พริษฐ์ก็อดหัวเสียไม่ได้ทุกครั้ง
“พอทำอะไรไม่ได้ นายก็มาฟาดงวงฟาดงาให้ฉันดูงั้นสิ” ทิวไผ่เย้ากลั้วเสียงหัวเราะ เรื่องนี้คงทำให้พริษฐ์หัวเสียน่าดู
“ฉันละเชื่อจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นคงมีความสำคัญน่าดู พ่อถึงยอมมิสเตอร์เฮนรี่ขนาดนั้น” พริษฐ์บ่นอย่างไม่พอใจ ตัวเขาพยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัทมาโดยตลอด แต่บิดากลับยอมเสียเพียงเพื่อเรียกตัวเขากลับบ้านเท่านั้น “แล้วหลายวันมานี้นายไม่ได้อะไรคืบหน้าเลยหรือ”
ท่าทางส่ายหน้าเบาๆ ของเพื่อนเรียกเสียงถอนหายใจจากพริษฐ์ได้อีกครั้ง
“จนปัญญาจริงๆ ว่ะ นายแน่ใจนะว่าคุณอัญชันคนนี้มีชีวิตอยู่ในโลกจริงๆ น่ะ” ทิวไผ่ชักไม่แน่ใจ “ทำไมดูไร้ตัวตนชอบกล หรือพ่อนายแค่อุปโลกน์ขึ้นมาเฉยๆ”
“พ่อฉันคงไม่ยกสมบัติให้คนไม่มีตัวตนหรอกทิว” พริษฐ์แย้งเสียงจริงจังด้วยคิดไม่ออกว่าบิดาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร “อีกอย่างท่านดูจริงจังกับเรื่องนี้เกินกว่าจะทำเล่นๆ คนชื่ออัญชันนี่ต้องมีตัวตนจริงๆ”
“ฉันก็พูดเล่นคะนองปากไปอย่างนั้นเองแหละ แล้วนี่นายจะทำยังไงต่อไป”
“ยังไม่รู้เลย” เขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้รู้สึกมืดแปดด้านไปหมด “คงต้องให้นายช่วยสืบต่อไปก่อน ส่วนทางนี้ฉันจะคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อแผนไม่เป็นไปตามที่คิด ยังไงจะได้มีทางออก”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” นักสืบหนุ่มรับปาก ยกมือขึ้นลูบคางด้วยท่าทางครุ่นคิด “นายว่าพ่อนายจะรู้จักคนชื่ออัญชันนี่ดีแค่ไหนวะ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นจะยกบ้านให้ทั้งหลังหรือไง เผลอๆ ฉันว่าทนายประเสริฐนี่เป็นอีกคนที่รู้อะไรดีๆ ด้วยซ้ำ ติดแต่จงรักภักดีกับพ่อฉันเหลือเกิน ถามอะไรก็ไม่ปริปาก เอาเข้าจริงฉันชักไม่แน่ใจว่าใครเซ็นอนุมัติเงินเดือนให้กันแน่”
พูดแล้วก็อดเจ็บใจเล็กๆ ไม่ได้ เวลาเขาถามกลับอุบเงียบกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ทีเรื่องของเขาละเอาไปขายบิดาจนหมด จงรักภักดีกันจริงๆ ให้ตายสิ
คิดถึงตรงนี้ดวงตาสีเข้มของพริษฐ์ก็สว่างวาบ ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่คนใกล้ตัวมาเห็นคงอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มหันไปมองทิวไผ่ แววตาของเพื่อนบอกว่าคิดอะไรไม่ต่างจากเขานัก เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ นักสืบหนุ่มก็เดินไปยกหูโทรศัพท์ทันที
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2560, 13:06:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2560, 13:06:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 943
<< บทที่ 11 | ตอนที่ 13 >> |