ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกเเผ่นที่ 17
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๗
การติดตามเสด็จเจ้าชายเพชกัลดาราเมชครานี้พาหล่อนวุ่นวายใจอย่างไม่ควรเป็น ด้วยครั้งติดตามเสด็จประพาสตลาดคราที่แล้ว นลินนาแทบมิต้องกังวลสิ่งใด แท้จริง...หล่อนไม่ได้คิดอะไร นอกจากรับรู้ว่า จะได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยซ้ำ ทว่าครานี้กลับกังวลว้าวุ่นไปเสียหมด ไม่รู้ว่า ควรแต่งหน้าแต่งตัวอย่างไร แลที่น่าประหลาดใจที่สุด หล่อนกังวลว่า เจ้าชายหนุ่มจักพึงพระทัยหรือไม่
เมื่อราตรีที่แล้ว กว่าหล่อนจะข่มตาหลับได้ช่างยากเย็นอย่างยิ่ง กว่าหัวใจของหล่อนจะสงบลงก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง กระนั้นแม้รุ่งอรุณจะมาเยือน หากประสบการณ์เมื่อราตรียังคงแจ่มชัด กลิ่นพระกรัชกายและความอบอุ่นแห่งพระมังสายังคงตราตรึงอยู่ทุกอณู โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแย้มพระสรวลอ่อนจางภายใต้พระรัศมีแห่งเทพซินอันเด่นชัดในห้วงทรงจำ
ทาสผู้นำข่าวไปกราบทูลแด่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชยาตรากลับมา พร้อมแจ้งว่า อีกมินาน เจ้าชายหนุ่มจักเสด็จมารับหลังทรงจัดการกับพระภารกิจเรียบร้อย ได้ยินแค่นั้น หัวใจหล่อนก็พลันระทึก มือไม้เก้กังว้าวุ่นไปเสียหมด กระนั้นก็รู้สึกกังวลระคนปีติประสมกัน ช่างเป็นอารมณ์ประหลาดอันยากอธิบาย
นางทาสถูกระดมมาช่วยหล่อนแต่งกาย ด้วยมิรู้ว่า ต้องโดยเสด็จด้วยในวาระใด ร่างโปร่งบางบัดนี้จึงอยู่ในอาภรณ์เรียบหรูสีอ่อนมิสะดุดตา หากขับวรรณะสีงาช้างให้ลออตาปานนวลจันทร์ เกศาชโลมน้ำมันหอมปล่อยสยาย ส่วนถนิมพิมพาภรณ์นั้น หล่อนสวมใส่แต่พอดีในความคิดของผู้คนแถบนี้ เนื่องจากมีทาสนางหนึ่งแนะนำว่า “อย่างน้อยก็ควรใส่เจ้าค่ะ ข้างนอกเขาจะได้รู้ว่าเป็นสตรีชั้นสูง มิกล้ากระทำล่วงเกิน”
นลินนาจึงยอมสวมใส่เครื่องประดับหนักอึ้ง เฝ้าพร่ำสวดถึงมหาเทพีอิชทาร์ให้วันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี เพียงครู่ก็มีนางทาสวิ่งรี่มาแจ้งถึงการเสด็จมาของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช นักบวชสาวใจเต้นระทึก เจ้าชายหนุ่มเสด็จมารวดเร็วประหนึ่งวายุเทพอาดัด ร่างเพรียวค่อยลุกขึ้น สูดลมหายใจลึกยาว จากนั้นจึงก้าวย่างเนิ่นช้ามั่นคง บอกตนเองว่า ไม่มีอะไร จวบกระทั่งโผล่พ้นเงื้อมเงาวิหารจึงได้พบพระพักตร์ของผู้เสด็จมา
ท่ามกลางกระแสวุ่นวายของผู้คนที่มาสักการบูชา องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียประทับยืนโดดเด่นบนรถศึกเทียมอัสดร พระวรองค์ตระหง่านห่อหุ้มด้วยอาภรณ์อย่างบุรุษชนชั้นสูง ครานี้แปลกตรงเจ้าชายนาโบนัสซาร์มิได้เสด็จมาด้วย แต่มีซิน-มูบัลลิตมาแทน บ่งบอกว่า การเสด็จมาครั้งนี้เป็นการเสด็จส่วนพระองค์จริงๆ
อิริยาบถแห่งองค์รัชทายาทหนุ่มสง่างาม วันนี้พระพักตร์ดูแจ่มใสชอบกล ริมพระโอษฐ์มีรอยแย้มสรวลอ่อนละมุนประดับอยู่จาง ๆ พระฉวีขาวอย่างชนเซมิติคต้องสุริยแสงชวนดูผุดผาดนุ่มนวล วรองค์เบื้องหน้าพาร่างนักบวชสตรีตรึงนิ่งดุจต้องภวังค์ ครั้นคืนสติจึงรีบค้อมศีรษะถวายคำนับ และรับการถวายคารวะจากซิน-มูบัลลิต จากนั้นจึงทูลถามเสียงแผ่ว
“เจ้าชายนาโบนัสซาร์ไม่เสด็จมาด้วยหรือเพคะ?” หล่อนสงสัยด้วยปรกติเจ้าชายนาโบนัสซาร์มักตามเสด็จพระเชษฐาประดุจเงาตามตัว
หากเจ้าชายเพชกัลดาราเมชส่ายพระพักตร์ “วันนี้นาโบนัสซาร์ติดธุระสำคัญเลยมามิได้ เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง หากพร้อมแล้วจักได้ไปกันเลย?”
นลินนาพยักพักตร์ หากด้วยความไม่รู้จึงยังลังเล “แล้ววันนี้จะทรงพาหม่อมฉันไปไหนหรือเพคะ?”
เจ้าชายเชื้อสายคัชดูแย้มพระสรวล หากพระวาจามิเผยความใด “ตามมาเถิด เมื่อไปถึงเจ้าจะรู้เอง”
นลินนาเอียงคองุนงง กระนั้นก็ก้าวขึ้นรถศึกแต่โดยดี มือบางยึดพระภูษาตรงบั้นพระองค์แน่น กักเก็บความสงกาไว้ภายใน
หลังแล่นผ่านเคหสถานและตรอกซอยอันซับซ้อนวกวน รถศึกเทียมอัสดรก็แล่นเข้าสู่เขตหมู่บ้านช่างฝีมือ เสียงตีเหล็กตอกสลักหินดังเซ็งแซ่ก้องกังวาน รถศึกชะลอลงหน้าอาคารอิฐดิบฉาบสีขาวกว้างใหญ่โอ่โถง ร่างเพรียวก้าวลงจากรถศึก จับจ้องอาคารเบื้องหน้าอย่างงงงวย ขณะซิน-มูบัลลิตยังคงก้าวตามอย่างกระชั้นชิด นัยน์ตาสอดส่ายระวังระไวตามหน้าที่อารักขาของตน
พลันก้าวถึงซุ้มทวารอาคาร มานพหนุ่มแต่งกายดูดีผู้หนึ่งก็รีบปรี่ออกมาต้อนรับทันควัน กิริยาอาการพินอบพิเทาอย่างยิ่ง
“มาจากพระราชวังใช่ไหมขอรับ?”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพระพักตร์ พลางยื่นสาส์นประทับตราประทานให้ดู มานพหนุ่มจึงค้อมเคารพ แลนำเข้าสู่อาคารอย่างรู้งาน นลินนาเดินผ่านซุ้มทวาร กวาดมองสรรพสิ่งโดยรอบอย่างสนอกสนใจ
ส่วนแรกอันลุไปถึงคือ สถานทำการ ภายในมีคหบดีและพ่อค้าวาณิชเข้ามาใช้บริการพอสมควร ผนังอิฐดิบอันเจาะเป็นช่องหน้าต่างเล็กๆ แลประดับพรมขนสัตวสีสันสดใสพาให้บรรยากาศภายในปลอดโปร่งมิอับทึบดังเช่นวิหาร
มานพหนุ่มนำมาถึงหน้าโต๊ะสำริดลวดลายวิจิตร แล้วจึงผายมือเชื้อเชิญให้นั่งลง ก่อนนำแผ่นดินเหนียว พร้อมปากกากกวางลงตรงหน้า ตามมาด้วยหีบอ้ออันประจุด้วยแผ่นดินเผาพิมพ์ลายประทับต่างๆ เนตรเรียวงามยังคงจับจ้องสรรพสิ่งปานจะซึมซับลงไป ยังไม่ทราบว่า ตนถูกพามาด้วยการใดกันแน่
“ต้องการลายใดก็สามารถเลือกได้เลยนะขอรับ หรือจักให้ช่างของเราเป็นผู้ออกแบบให้ก็ย่อมได้”
มานพหนุ่มให้คำแนะนำ นักศึกษามานุษยวิทยาสาวนำแผ่นดินเหนียวขึ้นพินิจอย่างงงงวย จากนั้นจึงวางลงด้วยมิรู้ว่า ต้องกระทำอันใด ทว่าจนแล้วจนรอด องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมก็ยังคงประทับนิ่งมิไหวพระองค์ เนิ่นนานจนแผ่นมัตติกาเริ่มแห้งกระด้าง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงมีรับสั่งขึ้น
“เจ้าเขียนสิ นลินนา”
ทั้งที่กระแสรับสั่งสั้น แต่กลับพาให้อึ้งอั้นตาค้าง
“ให้ฉันเขียนอะไรเหรอคะ?” ร่างเพรียวงุนงง ทูลถามเป็นภาษาอราเมอิก มิทราบว่า ตนต้องเป็นผู้เขียนเอง
“ข้าอยากให้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ ท่าทางเจ้าน่าจะมีความสามารถทางนี้อยู่ มิต้องกังวล แค่เขียนในสิ่งที่เจ้าชอบก็พอแล้ว”
พระสุรเสียงนุ่มนวลพาให้เคลิบเคลิ้มได้ไม่ยากเย็น นลินนาเบือนมาจับจ้องแผ่นมัตติกานิ่ง แม้จะมีความหลงใหลในศิลปะ ทว่าเธอก็มิได้มีหัวทางวาดเขียนเท่าใดนัก ยิ่งออกแบบยิ่งแทบไม่เคย เพียงสามารถช่วยดูช่วยออกความเห็นได้เท่านั้น เมื่อต้องมาทำเอง จึงไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไร
นลินนากวาดมองไปยังผู้คนรอบข้าง คหบดีและพ่อค้าวาณิชส่วนใหญ่มักไม่สนใจด้านนี้ และเน้นทุ่มเงินให้ช่างฝีมือเท่านั้น ขอเพียงงานออกมางามต้องใจ นอกนั้นก็แทบมิได้สนใจสิ่งใดเลย แม้กระทั่งคุณค่าของมัน เธอจึงกลับมาพินิจลายต่างๆ ที่พนักงานคนเมื่อครู่นำมาให้ทัศนา ก็พบภาพพิมพ์ลวดลายแตกต่างกัน ทั้งลวดลายเทวตำนาน ลวดลายดาราศาสตร์ บ้างเป็นลายรุกขชาติบุปผชาติอ่อนช้อยงามสะพรั่ง ซึ่งนลินนาเคยเห็นมาแล้วทั้งตามพิพิธภัณฑ์และตำราด้านประวัติศาสตร์ เมื่อความคิดเริ่มก่อรูปร่างในคำนึง มือบางจึงค่อยๆ จรดปลายปากกาวาดลวดลายอันคุ้นเคย
หล่อนพลันนึกถึงภาพอันสลักเสลางดงามบนแผ่นศิลาในปราสาทขอมโบราณ ภาพท่อนมาลัยอันฉลุฉลักลายประณีต ทอดโค้งสวยงามดังธารน้ำไหล ทว่าท่อนมาลัยอันเลื่อนไหลงดงามกลับกำลังถูกกลืนกินด้วยอสูรกาย
‘หน้ากาล’ อสูรจอมอัปลักษณ์ พักตราใหญ่ เนตรเหลือกโปน สิ่งมีชีวิตประหลาดอันกลืนกินทุกสรรพสิ่ง แท้จริงคือปรัชญา...หน้ากาลก็คือกาลเวลา เมื่อกาลเวลาเป็นผู้สร้าง กาลเวลาย่อมเป็นผู้ทำลาย บุคลาธิษฐานแห่งธรรมถูกซุกซ่อนไว้ในรูปของอสูรกายหน้าถมึงทึง
ทั้งที่เคยยลภาพศิลปะอันลือลั่นมากมาย กระนั้นภาพทับหลังบนปราสาทขอมกลับติดตราในมโนนึกของหล่อนที่สุด บางทีอาจเพราะหล่อนตระหนักดีว่า โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรัง แม้จักรวรรดิบาบิโลเนียเองก็เฉกกัน สักวันจักต้องพังภินท์ไป
แผ่นมัตติกาว่างโล่งถูกเติมเต็ม องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทอดพระเนตรภาพเบื้องพระพักตร์อย่างสนเท่ห์ ทรงจับจ้องปิศาจรูปลักษณ์ประหลาดดุจฮัมบาบา...ปิศาจหน้าลำไส้แกะในมหากาพย์กิลกาเมช ภาพประหลาดตรงหน้าตอกย้ำว่า สิ่งที่นางกราบทูลเป็นความจริง นางคือสตรีจากดินแดนอันห่างไกลเกินกว่านักเดินทางผู้ใดจักยาตราไปถึง
แม้ภาพเบื้องพระพักตร์จักชวนอัศจรรย์ใจ กระนั้นก็ทรงยื่นแผ่นมัตติกาประทานแก่ผู้รอรับงานอย่างมิแคลงพระทัย ครั้นพนักงานรับงานไปก็พินิจภาพในหัตถ์อย่างพิศวง หากท้ายสุดก็กระทำตามหน้าที่ของตนแต่โดยดี
“จะรีบนำไปจัดการให้ทันทีขอรับ คาดว่า มิน่าเกินสนธยานี้ ส่วนงานที่ให้ทำมาก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วขอรับ แค่ลงลายคงมิกินเวลานาน”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพักตร์รับ ทรงประทับยืนขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับมานพหนุ่มค้อมกายเดินเข้าหลังร้านไป เมื่อดำเนินโผล่พ้นร่มเงาอาคารออกมา นลินนาผู้ตามเสด็จมาอย่างเงียบเชียบ จึงเอื้อนเอ่ยความสงสัยของตน
“เสร็จธุระแล้วหรือเพคะ?” เมื่อพ้นสายตาผู้อื่นจึงทูลถามเป็นภาษาอัคคัดได้ ทั้งที่อุตส่าห์แต่งกายตั้งนาน แต่กลับออกมาด้วยเรื่องเพียงนิดเดียว
เจ้าของวรองค์ตระหง่านเหลียวองค์มาตรัสตอบ “ใช่ ธุระมีเพียงเท่านี้”
ร่างเพรียวหน้ามุ่ยลงโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ตนกังวลว้าวุ่นไปเพื่อสิ่งใดกัน
พระราชโอรสองค์โตในกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาครั้นทอดพระเนตรอาการแง่งอนของสตรีตรงหน้าก็ทรงอดพระสรวลกับความน่ารักของนางมิได้ จึงรับสั่งออกไปว่า “คงอีกนานกว่างานที่สั่งไว้จะเสร็จ เจ้าอยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?”
เมื่อได้ยินกระแสรับสั่งเช่นนั้น ความขุ่นมัวก็ดูจะจางหายไปสิ้น นลินนารู้สึกว่า ตนเหมือนเด็กเล็กๆ ที่แค่เอาเรื่องเที่ยวเล่นมาล่อก็หลงลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าไปโดยสิ้นเชิง หล่อนคิดสะระตะ ลังเลว่า ควรทำเช่นใด กลับเข้าวิหารไปก็เบื่อแย่ ด้วยมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวเล่นแล้ว ซ้ำราตรียังต้องกลับไปเรียนต่ออีก ไปเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็เพิ่งได้พบกันเมื่อวาน ครุ่นคิดเนิ่นนานก็มีความคิดดีๆ ผุดวาบขึ้นมา
“หม่อมฉันอยากไปดูท่าเรือเพคะ” ร่างเพรียวกราบทูลอย่างตื่นเต้น “อยากเห็นว่า เขาขนถ่ายสินค้ากันอย่างไร แล้วก็อยากขึ้นไปดูบนกำแพงเมืองด้วยเพคะ”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชสดับคำกราบทูล พลางหันไปขอความเห็นจากองครักษ์คู่พระทัย “เจ้าว่าเช่นไรบ้าง ซิน-มูบัลลิต?”
“แล้วแต่ท่านนลินนาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ซิน-มูบัลลิตอมยิ้มกราบทูล “ส่วนเรื่องกำแพงเมือง หม่อมฉันมีสหายทำงานอยู่ที่นั่น คงขอขึ้นไปดูได้ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับการรับรองจากองครักษ์คู่พระทัย ทุกอย่างจึงราบรื่นไปได้ด้วยดี
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ยามนี้ตรงท่าน้ำคงกำลังคึกคักทีเดียว”
ธิดาแห่งอิชทาร์ยิ้มแย้ม นัยน์ตาเป็นประกายราวเด็กๆ
ภาพวุ่นวายตรงท่าเรือนั้นมิผิดแผกกับครานลินนาได้เห็นครั้งเดินทางไปเยือนวิหารแห่งนทีเทพอีเอนัก เรือสินค้ามากมายล่องแล่นจอดเทียบท่า มีทั้งเรือกกลำเล็กของชาวบ้านอันแล่นข้ามฟาก และเรือกกประสมไม้อันเป็นเรือสินค้าที่ล่องมาจากทางเหนือ กุลีกรรมกรขนถ่ายสินค้าขึ้นฝั่งเร่งรีบ เสียงต่อรองราคาและเสียงหย่อนก้อนโลหะบนตาชั่งดังอึงอล ถุงหนังบรรจุของเหลวถูกขนขึ้นฝั่งอย่างระมัดระวัง เรือทุกลำถูกเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนท้วมเดินมาตรวจตราการเก็บค่าธรรมเนียมและตรวจสอบสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าสูงค่าอันถูกบรรจุไว้ในถุงหนัง เครื่องดื่มที่ชาวเมโสโปเตเมียตอนใต้ขนานนามว่า เบียร์ชั้นยอดจากเทือกเขาหรือก็คือ เหล้าองุ่นนั่นเอง
ทั้งที่มีภาพตื่นตาตื่นใจมากมาย กระนั้นภาพอันติดตานลินนาที่สุดกลับเป็นภาพคนงานกำลังแยกชิ้นส่วนเรือ เรืออันประกอบด้วยกกประสมไม้ ชิ้นส่วนที่เป็นกกถูกทิ้งลงธาราไม่ไยดี ขณะชิ้นส่วนที่เป็นไม้ถูกขนขึ้นฝั่งอลวน นับว่าเป็นภาพแปลกตาอย่างยิ่ง เมื่อพบเรื่องชวนพิศวง จึงทูลถามเจ้าของวรองค์สูงทันควัน
“เขาทำอย่างนั้นกันทำไมหรือคะ?”
เมื่อทรงพบว่า นางช่างสงสัยอีกแล้วก็ทรงแย้มพระสรวลออกมา “นั่นเป็นการแยกเรือขาย” ตรัสตอบพลางทอดพระเนตรเรืออันโดนแยกเป็นส่วนๆ “พ่อค้าเหล่านี้จะล่องเรือมาตามกระแสน้ำ เมื่อมาถึงท่าและขายสินค้าได้จนหมดก็จักขายเรือทิ้ง เพราะการเอาเรือล่องขึ้นทวนน้ำนั้นลำบากอย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยเดินทางกลับไปทางบกแทน ระหว่างทางก็จะซื้อขายแลกเปลี่ยน เพื่อนำสินค้ากลับไปค้าขายยังนครของตน”
ธิดาแห่งอิชทาร์รับฟังอย่างอัศจรรย์ใจ แต่แล้วก็สงกา “แล้วจะคุ้มหรือคะ?” หล่อนทราบว่า เรือหนึ่งลำสนนราคาไม่ใช่น้อยๆ
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรนาง อดขันกับความช่างสงสัยของนางไม่ได้ “เฉพาะค่าเรืออาจไม่คุ้ม แต่พ่อค้าเหล่านี้มักขายไวน์ให้แก่ราชสำนักและคหบดีผู้มั่งคั่ง ลำพังบาบิลิมเราไม่สามารถผลิตไวน์ได้เอง เรามีเพียงองุ่นจำนวนเล็กน้อยจากราชอุทยานให้พอหมักบ่มได้เฉพาะดื่มกันในราชวงศ์เท่านั้น นอกนั้นต้องสั่งซื้อจากพ่อค้าที่อยู่ทางเทือกเขาตอนเหนือและได้รับเป็นบรรณาการจากดินแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนฮัตตู ราคาไวน์จำนวน ๑๘ ซิลา1ก็เทียบเท่ากับค่าจ้างต่ำสุดแล้ว ในปีๆ หนึ่ง เราจึงใช้จ่ายไปกับค่าไวน์มากมายทีเดียว”
ธิดาแห่งอิชทาร์ฟังอย่างไม่ประหลาดใจ ด้วยเห็นชัดเจนในงานเลี้ยงของราชสำนักแล้วว่า ต้องใช้ไวน์จำนวนมากขนาดไหน กระนั้นหล่อนกลับสงสัยว่า ที่ใดคือดินแดนฮัตตู ครุ่นคิดจนระลึกได้ว่า โจแอนเคยเล่าให้ฟัง
‘ว่ากันว่า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่สองทรงได้รับบรรณาการล้ำค่ามากมายจากดินแดนฮัตตู เพราะฮัตตูมีทั้งงาช้างและเหล้าองุ่น’
‘ฮัตตู ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?’ นลินนาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
‘ดินแดนฮัตตู ตอนนี้ก็ตรงประเทศซีเรียนั่นแหละ ว่ากันว่า ประเทศซีเรียในอดีตเคยมีช้าง แต่สูญพันธุ์ไปหมด เพราะการล่าช้างเอางาในอดีต นอกจากนี้ชาวซีเรียยังเป็นนักหมักไวน์ชั้นยอดอีกด้วย จึงไม่แปลกที่บาบิโลเนียจะเรียกร้องไวน์เป็นรายการของที่ต้องบรรณาการจากฮัตตู ขนาดไวน์ชั้นดีในราชสำนักอียิปต์ก็ยังใช้ชาวซีเรียที่อพยพไปอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์เป็นผู้หมักบ่ม’
นลินนาพลันคิดถึงสหายชาวอังกฤษจับใจ สำหรับเธอ โจแอนเปรียบเสมือนตำราประวัติศาสตร์เดินได้ เพื่อนเธอรอบรู้ไปเสียหมด เพราะมีบิดาเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บริติช แผนกตะวันออกกลาง
“นอกจากนี้การขนส่งไวน์ยังกระทำได้ลำบาก เพราะหากส่งมาทางบกจะเสียหาย จึงต้องบรรจุในถุงหนัง แล้วลำเลียงมาทางเรือเท่านั้น”
หล่อนฟังพลางพยักหน้ากับเกร็ดความรู้ใหม่ เหลือบดูการต่อรองชิ้นส่วนเรืออันดูราวจะถูกกดลงถูกแสนถูก ไม่คาดคิดว่า ไม้ในบาบิลิมส่วนหนึ่งมาจากเรือสินค้าพวกนี้
“เจ้าอยากดูอะไรอีกหรือไม่?” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม ทอดพระเนตรสุริยรัศมีอันแรงเริง พลางจรดมองพวงแก้มสีงาช้างอันขึ้นสีแดงจัด
นลินนาเหลียวกายไปกวาดมองจนถ้วนทั่ว ครั้นมิเห็นสิ่งใดให้ทัศนาต่อจึงส่ายหน้า จากนั้นจึงชะงักงัน เมื่อจู่ๆ พระหัตถ์หนาก็ทรงดึงผ้าคลุมไหล่สีอ่อนบนบ่าขึ้นคลุมศีรษะประทานให้เธอ นลินนางงงวย ด้วยสายพระเนตรที่ทอดมองเธอเมื่อครู่ช่างอ่อนโยนอย่างยิ่ง
เสียงฝ่าเท้ากระทบพื้นอิฐฟังหนักแน่นสมเป็นกำแพงอันปกปักบาบิลิมมาตลอดหลายกาลสมัย จากยอดกำแพงเมืองกว้างขวางพอให้รถศึกเทียมม้าสี่คันวิ่งแล่นสวนกันและมีป้อมตั้งห่างเป็นระยะคือ ภาพนคราบาบิโลนอันหดเล็กลงจนเห็นความพลุกพล่านแห่งกระแสชน เบื้องนอกกำแพงนคราอันโอบล้อมด้วยคูน้ำคือ ความกว้างสุดลูกหูลูกตาของท้องทะเลทราย แลเห็นบรรดากองคาราวานพากันมุ่งหน้าสู่มหานครอันรุ่งเรือง ไกลออกไปคือสถานีพักม้าอันมิเคยเว้นว่างผู้คน มีกองทหารลาดตะเวนทั้งตามกำแพงเมืองและเส้นทางการค้า ซ้ำยังมีทวารบาลพร้อมเจ้าพนักงานคอยควบคุมหนาแน่น ราวไม่ทิ้งช่องว่างใดให้แม้ภูตพรายเล็ดลอดเข้ามา
เหนือกำแพงเมืองตั้งตระหง่าน นลินนาจับจ้องภาพนคราเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้จะเคยทัศนาทิวทัศน์นี้มาแล้วคราไปเยือนราชอุทยาน ทว่าก็เป็นยามราตรีที่ทุกสิ่งหลับใหล ทุกอย่างปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่ใช่ภาพอันตระการตาและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้
เบื้องหลังนลินนาคือ เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลซิน-มูบัลลิตผู้เฝ้าติดตามรั้งท้าย นักบวชสาวยังคงสำรวจกำแพงเมืองอย่างลิงโลด นัยน์ตาเป็นประกายลุกวาว ฝ่ามือบางลูบไล้ไปตามสันกำแพง สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ศัตรูหลายต่อหลายสหัสวรรษมิอาจทลายมันลงได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำลายปราการนี้ลงมีเพียงหัตถ์แห่งกาลเวลา
เมื่อเธอสงกาสิ่งใด เจ้าชายแห่งบาบิลิมจักทรงเป็นผู้ตรัสตอบทุกครั้ง นิ้วพระหัตถ์ชี้แนะนำส่วนต่างๆ จนบัดนี้นลินนารู้จักผังเมืองบาบิลิมดีประหนึ่งหลังมือของตนเอง
“นั่นคือ กำแพงอันขีดกั้นเรากับจักรวรรดิเมเดส”
นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปยังกำแพงชั้นนอกอันกางกั้นครอบคลุมตลอดนครฝั่งตะวันออก ร่างเพรียวกวาดสายตาตาม นครฟากตะวันออกอันเป็นหัวใจของบาบิลิมถูกปิดล้อมด้วยกำแพงถึงสองชั้น หากกำแพงชั้นนอกกลับวางตัวเป็นแนวยาวขนานไปกับเทือกเขาสูงเสียดขึ้นไปทางเหนือจนนลินนาไม่อาจแลเห็นจุดสุดสิ้น
“กำแพงชั้นนอกจักตีล้อมนคราฟากตะวันออกไว้ทั้งหมด ขึ้นไปถึงทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของพระราชวังฤดูร้อน เมื่อย่างเข้าสู่เดือนดูซู2 เชื้อพระวงศ์คัชดูจักย้ายไปพำนักที่นั่น ด้วยอากาศแถบนั้นจะเย็นสบายกว่า เจ้ากำแพงนี่มิเพียงกางกั้นเราออกจากเมเดส...จักรวรรดิพันธมิตรของเราเท่านั้น หากกางกั้นเราออกจากศัตรู...ชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆ เฉกกัน”
แม้พระพักตร์และสุรเสียงราบเรียบ ทว่ากลับแฝงรอยดำริลึกซึ้ง นักบวชสาวสดับฟังสะดุดใจ ภาพแผนที่จักรวรรดิโบราณแถบตะวันออกใกล้ผุดขึ้นมา ดินแดนแถบนี้อุดมไปด้วยชนเผ่าเร่ร่อนมากมาย แต่ละชนเผ่าต่างรอวันผงาดเข้าครอบครองดินแดนแทนชนเผ่าดั้งเดิม เมื่อใดจักรวรรดิอ่อนแอ เมื่อนั้นคือการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครอง
พ้นเขตกำแพงชั้นนอก...เทือกเขาซากรอสทอดกายเหยียดยาวเป็นปราการชั้นเลิศระหว่างจักรวรรดิบาบิโลเนียอันรุ่งโรจน์ แลจักรวรรดิเปอร์เซียอันหลับใหลรอวันผงาด เทือกเขาซากรอสมิใช่เพียงปราการธรรมชาติชั้นดี หากยังเป็นที่ซุกซ่อนของชนเผ่ามากมายที่อยู่กันอย่างอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิใด
เมื่อใดชนเผ่าเร่ร่อน ณ ที่ราบสูงอิหร่านรวมตัวกัน และจักรวรรดิมหาอำนาจยังคงเมินเฉยไม่สนใจต่อความน่ากลัวนี้ เมื่อนั้นความพินาศย่อมมาเยือน จักรวรรดิมหาอำนาจแห่งยุคโบราณจะพาตัวเองไปสู่ความตาย
“นับแต่วิทยาการการถลุงเหล็กแพร่กระจายออกไป แม้แต่ชนเผ่าเร่ร่อนก็เป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเหล็กนั้นราคาถูก มีอยู่ดาษดื่น ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าทองแดงที่ราคาแพงและหาได้ยากกว่า การครอบครองอาวุธมิใช่สิ่งที่ยากอีกต่อไป”
นักบวชสาวนิ่งฟัง ตระหนักดีด้วยเป็นสิ่งที่เธอกราบทูลไปแล้ว นับแต่โลกเข้าสู่ยุคเหล็ก ความเท่าเทียมในการต่อสู้ก็บังเกิดขึ้น มีนักรบบนหลังอาชาเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งอาวุธทวีพลานุภาพมากขึ้นเท่าใด ความเหลื่อมล้ำในการสู้รบก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น บางคราทำให้ระหว่างนักรบเจนศึกกับนักรบฝึกหัดแทบมิมีความแตกต่างกัน แม้เป็นเพียงเกษตรกรหรือคนต้อนสัตว์ ขอเพียงจับศัสตราวุธก็พร้อมแปรเป็นนักรบ ชนเผ่าเร่ร่อนแม้ปกติจักครองตัวเป็นอิสระ ทว่าหากมีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็อาจพร้อมรวมตัวกันทุกเมื่อ
ยามนี้ ผู้ตระหนักถึงสิ่งนี้ที่สุดย่อมไม่พ้นกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาแลเจ้าชายเพชกัลดาราเมช จะทรงทำฉันใด นั่นคือสิ่งที่ต้องพิจารณา
“หากชนเผ่าภายใต้ปกครองของจักรวรรดิเมเดสต้องการรุกรานเข้ามา ทางเดียวที่จักเข้ามาได้คือทางนั้น” ทรงชี้ไปยังด้านเหนือของนครา “เพราะการข้ามเทือกเขาฝั่งบูรพาทิศย่อมมิใช่เรื่องง่าย ทั้งด้วยภูมิประเทศแลชนเผ่าที่กระจายตัวอยู่โดยรอบ การเข้ามาทางอ่าวด้านทิศใต้ยิ่งยากไปกว่าเดิม เพราะชนเผ่าเร่ร่อนไม่เชี่ยวชาญทางทะเล หากชนเผ่าใต้ปกครองเมเดสต้องการยาตราเข้าสู่บาบิลิมนั่นคือ หนทางเดียว”
พระสุรเสียงเรียบนิ่งแฝงความลึกในพระทัย ธิดาแห่งอิชทาร์สดับฟัง หวาดประหวั่น ใจหาย ในความเวิ้งว้างราบเรียบแห่งท้องทะเลทราย คล้ายแลเห็นฝุ่นฟุ้งตรลบอบอวล ภาพกองทัพม้าอันเกรียงไกร ห่าธนูอันปรายโปรยลงจากฟากฟ้าดุจวายุอุกกาบาตโถมถล่ม ความวินาศ และการนองเลือด การสูญเสียแห่งชีวิต แร้งกาอันบินว่อนแผดร้อง รอโฉบลงฉีกทึ้งกัดกินซากอสุภ เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงปะทะแห่งศัสตราวุธดังระงม เสียงยุทธมโหรีแห่งความตายจะดังอึงอลแทนเสียงรื่นเริงสังสรรค์แห่งงานเฉลิมฉลอง
กลิ่นมฤตยูจะอบอวลไปทั่วแผ่นดิน การร่ายรำแห่งยุทธเทพีจะบังเกิด แลมันจะไม่หยุดลงจนกว่าฝ่ายใดจะได้กำชัย
ร่างเพรียวทัศนาภาพเบื้องพักตร์ คล้ายรณภูมิผุดขึ้นต่อหน้า ดวงจิตภายในย้ำเตือน จักวรรรดิบาบิโลเนียจักต้องยาตราสู่สงคราม
“ลงไปเบื้องล่างเถิด จากตรงนี้ไม่มีสิ่งใดให้ดูแล้ว”
พระวาจามิอาจจับได้ถึงพระอารมณ์ สายพระเนตรอันจรดมองนคราแห่งพระองค์ช่างล้ำลึกสุดหยั่งคาด นลินนาจับมองภาพเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก้าวลงตามขั้นบันไดด้วยหัวใจหนักอึ้ง
ตระหนักดี...ยามนี้ราชสีห์แห่งบาบิโลเนียกำลังประเมินศัตรูของมัน
แม้หมดอารมณ์จะเชยชมนคราอีกต่อไป ทว่าสนธยากาลก็ยังไม่มาเยือน สตรีจากอนาคตกาลจึงตัดสินใจมาเดินเล่นในนคราแทน อย่างน้อยก็ได้สำรวจผู้คนในเมืองโบราณที่ยังมีชีวิตแห่งนี้ เมื่อเดินเล่นเพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไปกับสิ่งล่อต่อล่อใจ ความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจจึงค่อยผ่อนเพลาลง หล่อนพยายามตักตวงความสุขในห้วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ด้วยมิทราบว่า จะมีความสุขเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด เพราะบทเรียนของเธอเข้มงวดกวดขันเข้าทุกที แววจักษุแห่งหัวหน้านักบวชอันเคยเมตตาปรานี บัดนี้เจือรอยเคร่งเครียดราวเก็บซ่อนความลับบางประการไว้ภายใน
ปกตินลินนาไม่ค่อยได้จับจ่ายซื้อของอะไรด้วยตนเองนัก เพราะส่วนใหญ่จะใช้ของของวิหาร ทว่าจากการสังเกตสังกาผู้คนรอบข้าง นลินนาก็พอเข้าใจระบบแลกเปลี่ยนของผู้คนในอดีตอยู่บ้าง จึงตระเตรียมก้อนโลหะไว้หลากหลายขนาด หมั่นสังเกตตาชั่งของบรรดาพ่อค้าที่แม้กฎหมายจะบัญญัติไว้ออกเข้มงวด ทว่าก็ยังมิวายมีผู้ริอ่านคดโกงจนต้องโทษอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเธอออกมานินซาจึงกำชับให้เธอเตรียมผงโลหะหรือโลหะก้อนเล็กๆไว้ด้วย เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยสะดวก เนื่องจากจะมานั่งตัดแบ่งโลหะหรือหาของแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่าเท่าเทียมก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
สุริยันคล้อยต่ำลง หากทั้งสามยังคงดำเนินอยู่ใจกลางนคร กระเพาะอันว่างโหวงถูกเติมเต็มด้วยขนมปังมะเดื่อกับเหล้าอินทผาลัมให้พอกลบเสียงร้องครวญคราง ความมั่งคั่งของบาบิลิมพาให้ทั่วตลาดเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดส่งกลิ่นอบอวลประชันกัน ภาษาอราเมอิกถูกขับขานออกไปด้วยหลากสำเนียงเอ็ดอึง
ครั้นเดินจนเริ่มเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทั้งสามจึงหยุดพักยังร้านอาหารแห่งหนึ่งอันเนืองแน่นไปด้วยนักเดินทาง เสียงบอกเล่าการผจญภัยของนักแสวงโชคดังอึงมี่ พาให้นลินนาผู้หลงใหลในเรื่องราวแห่งท้องทะเลทรายอดเงี่ยหูฟังด้วยความใคร่รู้ไม่ได้
ขนมปังอบจากเตาร้อนๆ และเบียร์เย็นฉ่ำชั้นดีถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะ ตามมาด้วยเนื้อสัตว์อบและไส้กรอกอันทำจากเนื้อสัตว์บดปรุงเครื่องเทศยัดในลำไส้
เสียงบอกเล่าการผจญภัยยังคงดังไม่ขาดสาย เรียกผู้สัญจรไปมาให้มานั่งสมทบฟัง ตัวนลินนาเองครั้นสดับนานเข้าจึงขอประทานอนุญาตจากเจ้าชายแห่งบาบิลิมไปล้อมวงฟังด้วย
“สมัยหนุ่มๆ พ่อข้าคือ คหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดผู้หนึ่งในเมืองทีเดียวเชียวล่ะ แต่แทนที่พ่อข้าจะให้ข้าสืบทอดกิจการดีๆ กลับมอบทรัพย์สินให้ข้าจำนวนหนึ่ง แล้วให้ข้าออกมาแสวงโชคเอาเอง ตัวข้าตอนหนุ่ม ๆ นั้นทั้งโง่ทั้งซื่อ ทั้งที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองอิริดู นครแห่งเทพอีเอผู้ทรงปัญญา ข้าตัดสินใจเดินทางจากอิริดูไปยังเมืองซิปปาร์ แต่ระหว่างเดินทางไปกับกองคาราวานลาก็ถูกกองโจรดักปล้น พวกมันตัดหูข้าแหว่งไปข้างหนึ่ง”
บุรุษวัยกลางคนผู้ใช้ชีวิตมาอย่างสมบุกสมบันเล่า พลางเอียงหน้าให้เห็นหูข้างซ้ายอันไม่สมประกอบ พาให้หลายผู้อดสูดปากด้วยความเสียวไส้แทนไม่ได้
“แต่โชคดีที่พวกมันไม่เจอทรัพย์สินที่ข้าเก็บซ่อนไว้ในห่อผ้า ข้าจึงพอมีทรัพย์สินติดตัวอยู่บ้าง จึงซื้อลาตัวหนึ่ง แล้วเดินทางไปทาสรับใช้หนุ่มที่บิดาข้าเป็นผู้สรรหามาให้ ข้าเดินทางไปตามนครต่างๆ เจอผู้ร่วมทางมากหน้าหลายตา ถูกโกงไปหลายต่อหลายครั้งจนหมดตัว ท้ายสุดก็ถูกขายตกไปเป็นทาส แต่โชคดีที่นายข้ามองออกว่า ข้าเป็นบุตรคหบดี จึงเอ็นดูข้าเป็นพิเศษ ระหว่างนั้นข้าจึงได้เก็บหอมรอมริบก่อร่างสร้างตัว ปลดตนเองจากการเป็นทาส นายข้าเมื่อเห็นว่า ข้าเป็นผู้ขยันขันแข็งและไว้ใจได้ ประกอบกับเขามีบุตรสาวอยู่นางเดียว เขาจึงยกบุตรีและกิจการตลอดจนสมบัติพัสถานทั้งหลายให้ข้าเป็นผู้สืบต่อ ข้าจึงขนทรัพย์สินและเมียที่ยังสาวกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน วันที่ข้ากลับมาถึง พ่อข้าต้อนรับข้าด้วยงานเลี้ยงอันหรูหรา ส่วนแม่ข้านางสิ้นใจก่อนข้ากลับมาสองปี ตอนนี้กิจการของข้าถือว่า กำลังรุ่งเรืองทีเดียว เมียข้าเองก็ให้กำเนิดบุตรถึงแปดคน”
ต่อจากนั้นสารพันเรื่องราวก็หลั่งไหลออกจากปากของผู้ที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ เหล่าพ่อค้านักเดินทางต่างใช้ช่วงชีวิตสั่งสมเรื่องราว เพื่อรอวันขับขานตำนานของตนเอง รอจนกระแสเรื่องราวยุติลง นักบวชสตรีผู้นิ่งฟังการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผู้อื่นมาครู่ใหญ่จึงได้ทีเล่านิทานลึกลับของตนบ้าง ผู้ฟังอันแวดล้อมอยู่ล้วนประหลาดใจ หากสุดท้ายก็ยินยอมฟังแต่โดยดี
ทุกผู้ล้วนเงียบหยุดฟัง มิเว้นกระทั่งเจ้าชายแห่งบาบิโลเนียแลองครักษ์หนุ่มร่างกำยำ เมื่อสรรพเสียงเงียบงัน นักบวชสตรีจึงเริ่มขับขานนิทานของตน
หล่อนเล่าถึงจอมโจรผู้ทำบาปมาทั้งชีวิตจนมั่งคั่งมหาศาลเกินผู้ใด กระทั่งบั้นปลายแห่งชีวิตมาเยือน ชายชราจึงเริ่มหวาดกลัวต่อการลงทัณฑ์แห่งทวยเทพ ณ ที่ที่วิญญาณทุกดวงมิอาจหลีกหนีการถูกพิพากษาได้ ชายชราจึงเริ่มคิดหาหนทาง ท้ายสุดก็ตัดสินใจติดสินบนเทพเจ้าผู้บันทึกความดีความชั่ว จอมโจรชราเริ่มเพียรบริจาคทานให้แด่นักบวชและผู้ยากไร้ สร้างเทวรูปทองคำประดับอัญมณีไว้เซ่นสรวงบูชาในวิหารส่วนตัว จนเทพเจ้าพระองค์นั้นพอพระทัย ยอมบอกอุบายในการหลีกเลี่ยงการเข้าสู่โลกแห่งความตายอันน่าหวาดกลัว จวบจนจอมโจรชราสามารถรอดพ้นการลงทัณฑ์ไปได้ชั่วนิจนิรันดร์3
สุริยเทพชามาชโคจรต่ำลง เชิญชวนผู้ฟังนิทานปริศนาให้นึกถึงแดนปรภพอันมืดมิดเต็มไปฝุ่นควันที่มหาเทพีอิชทาร์เคยเสด็จไปเยือน เมื่อนิทานสิ้นสุดลง ทุกผู้จึงค่อยรู้ตัวดังคลายมนตร์สะกด องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าอย่างหลากพระทัยเช่นเดียวกับองครักษ์ประจำพระองค์ ทรงรู้สึกว่า...นางช่างเป็นปริศนาดุจความลับแห่งห้วงจักรวาล
สำรับถูกจัดการเรียบร้อย ซิน-มูบัลลิตจึงเป็นผู้จัดการค่าอาหารต่างๆ เสียงทุ้มหนักประหลาดที่กระทบลงบนถาดโลหะ เชิญชวนให้ร่างอันห่อหุ้มด้วยอาภรณ์เรียบหรูจรดเนตรมอง
บนถาดคือ แผ่นโลหะประทับตราสิงห์บิดเบี้ยว คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างรู้สึกคุ้นตาชอบกล
“นี่คือสิ่งใดหรือท่าน?” ซิน-มูบัลลิตเอ่ยถาม คราได้รับโลหะรูปทรงแปลกตามา ทั้งยังเป็นโลหะผสม
“อ้อ เห็นว่า เป็นโลหะเงินผสมทองน่ะท่าน แต่นำโลหะมาตัดแบ่งตามขนาดและน้ำหนักเอาเลย แล้วประทับตรารับรอง มิต้องใช้ตาชั่งวัดให้เสียเวลา เห็นว่า ที่ลิเดียกำลังเป็นที่นิยมทีเดียว ในนครบาบิลิมนานๆ ทีก็จักมีให้เห็นบ้าง เป็นอะไรที่สะดวกทีเดียว”
ด้วยเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย และมีตราแห่งกษัตริย์ลิเดียประทับรับรอง ซิน-มูบัลลิตจึงยินยอมรับโลหะรูปทรงแปลกตามา นลินนาจับจ้องโลหะทรงรีบิดเบี้ยวนิ่งอย่างเด็กน้อยขี้สงสัย
“ฉันขอเจ้านี่ได้ไหมคะ ซิน-มูบัลลิต?”
องครักษ์หนุ่มงุนงง ก่อนจะยินยอมแต่โดยดี “ขอรับ”
แผ่นโลหะถูกวางบนมือบาง นลินนาจับจ้องโลหะทรงรีบิดเบี้ยวไม่วางตา ก่อนนัยน์ตาเบิ่งกว้าง ตระหนักว่า สิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของตนคือ เหรียญกษาปณ์ยุคแรกของโลก แม้รูปทรงจะไม่ได้ประณีตซับซ้อนด้วยเทคนิควิธีและการป้องกันการปลอมแปลงอย่างยุคปัจจุบัน หากเหรียญทรงรีบิดเบี้ยวนี้ก็คือ จุดเริ่มต้นของระบบการเงินอันซับซ้อนของโลก
ในนัยน์ตาบังเกิดประกายสั่นระริกลุกวาว รีบเก็บเหรียญโบราณล้ำค่าลงถุงหนังข้างเอว ใครจะคิดว่า ของสำคัญเช่นนี้จะเดินทางมาไกลราวเทวะดลบันดาล
ครั้นจัดการค่าอาหารเสร็จ แสงสีส้มแดงก็จับไปทั่วฟากฟ้าบาบิโลน เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตร เบือนมามีพระบัญชา
“รีบไปเถิด ป่านนี้ของที่สั่งไว้คงได้แล้ว”
นลินนาพยักพักตร์รับฟัง ยังคงตื่นเต้นกับการพบเหรียญโบราณจนหลงลืมไปสนิทว่า วันนี้หล่อนออกมาด้วยเหตุอันใด
ทั้งสามร่างก้าวเข้าสู่อาคารอิฐดิบอันไม่พลุกพล่านเท่ายามเช้า เสียงตอกสลักศิลาตีเหล็กซาลงจนเกือบเงียบกริบแทนที่ด้วยสุ้มเสียงสกุณาอันบินร่อนกลับรังรวงราวประสงค์หลีกหนีรัตติกาลอันเริ่มโรยตัวลงมา
ด้านมานพหนุ่มครั้นเห็นลูกค้าจากราชสำนักยาตราเข้ามาจึงรีบจรลีไปนำสินค้ามาให้อย่างว่องไว ก่อนเดินกลับมาพร้อมกล่องทองคำลวดลายงดงาม
“เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ ช่างของเราเร่งทำอย่างสุดฝีมือ”
นักบวชสาวจรดมองกล่องทองคำ รับรู้ว่า ตนมาทั้งวันเพื่อเจ้ากล่องนี้ ทว่าพลันพระหัตถ์หนารับของมา แล้วเปิดกล่องออกอ้า นัยน์ตาเรียวสีน้ำตาลเข้มก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ด้วยสิ่งอันนอนแน่นิ่งในนั้นคือ ก้อนศิลาสีโลหิตเกลากลึงเป็นทรงกระบอก สลักเสลาลายได้อย่างประณีตพิสดาร หนำซ้ำยังจำลองลวดลายที่หล่อนวาดไว้ได้ไม่ผิดเพี้ยน เผลอๆ อาจงามกว่าที่หล่อนวาดด้วยซ้ำ เนื่องจากความชำนิชำนาญของช่างฝีมือ
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรก้อนศิลาทรงกระบอกเบื้องพระพักตร์อย่างพอพระทัย ช่างสลักของที่นี่สลักงานได้อย่างงดงามสมทำงานให้แด่ราชสำนัก ทรงทราบ...ก้อนศิลานี้จะงดงามแลทรงคุณค่า หากมีผู้ที่เล็งเห็นคุณค่าใช้มัน พระโอษฐ์อิ่มแดงคลี่รอยแย้มสรวลก่อนรับสั่งด้วยสุรเสียงนุ่มละมุน
“นลินนา สิ่งนี้ข้าให้เจ้า”
พระกระแสรับสั่งพานักบวชสาวตกตะลึงพรึงเพริด
หล่อนจับมองก้อนศิลาสลักเสลางามประหลาดตรงหน้า ก่อนจะยิ่งชะงักงัน เมื่อเจ้าชายหนุ่มประทานกล่องทองคำให้องครักษ์นำไปถือ แลนำตราประทับศิลาผูกประทานที่ข้อมือเธอแทนที่ตราประทับของวิหาร หล่อนจับมองอย่างงงงวย มิคิดว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทำตราประทับนี้เพื่อเธอ แล้วเหตุใดมิทรงตรัสบอกแต่แรก ไยต้องปิดเงียบมาถึงบัดนี้
กระนั้นความงดงามของมันก็พาให้หล่อนอดชื่นชมมิได้ แต่ไหนแต่ไร นลินนามิเคยสนใจทั้งเพชรนิลจินดา เครื่องสำอาง หรือดอกไม้ลดาวัลย์อย่างผู้หญิงทั่วไป หล่อนชมชอบของที่มีคุณค่าและสามารถใช้การได้ อย่างตำรับตำรา เครื่องเขียน หรือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มากกว่า ด้วยหากได้สิ่งของอันงดงาม แต่ใช้การไม่ได้ หล่อนจะเพียงตั้งไว้ประดับเฉยๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ใช้การได้ ทุกคราที่ใช้ หล่อนจะนึกถึงผู้ให้มัน
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงรู้ใจเธอราวทอดพระเนตรเห็นทะลุปรุโปร่ง
หล่อนลูบคลำก้อนศิลาเย็นเฉียบ ละไออบอุ่นพลันอายอวลไปทั่วหัวใจ ริมฝีปากคลี่แย้มอย่างเป็นสุข ก่อนทูลถามเป็นภาษาอราเมอิก “ทำไมถึงทำให้ฉันเหรอคะ?”
หล่อนสงสัยอย่างยิ่ง แม้ไม่แปลกเลยสำหรับราชวงศ์คัชดูอันมั่งคั่งที่สามารถประทานของล้ำค่าแก่ข้าราชบริพารได้ราวกับการนำน้ำมันดินอันมีมากมายในดินแดนแถบนี้ไปเทเล่น
หากพระพักตร์ของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชกลับมีเพียงรอยแย้มสรวลปรากฏเท่านั้น “ข้าคิดว่า เจ้าคงไม่มีตราประทับเป็นของตนเอง”
นักบวชสาวนิ่งขึงไปครู่ ด้วยตนยังไม่มีจริงๆ
“ต่อจากนี้เราอาจต้องส่งสาส์นถึงกัน หากเจ้าใช้ตราประทับนี้ประทับมา ข้าจักได้รู้ว่า สาส์นนั้นมาจากเจ้า ที่สำคัญ...เจ้าก็บรรลุนิติภาวะแล้ว สมควรมีตราประทับเป็นของตนเอง เผื่อใช้ผนึกของ หรือทำธุรกรรมอันใด จะได้ไม่ต้องไปใช้รวมกับคนอื่น”
หล่อนรับฟังพระวาจาอันเปี่ยมไปด้วยเหตุผล ตระหนักได้ว่า หีบของของเธอยังคงผนึกด้วยตราประทับของวิหารอยู่ หากมีผู้ใดเปิดขึ้น แล้วประทับตราลงไปใหม่ก็ยากจะรู้ว่า เป็นฝีมือใคร การที่เธอมีตราประทับของตนถือเป็นเรื่องสมควร เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงเปี่ยมด้วยปรีชาญาณและรอบคอบเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะรักษาอย่างดี”
ร่างเพรียวยิ้มแป้น ฝ่ามือบางยังคงลูบไล้ก้อนศิลาสีโลหิต มองลายหน้ากาลอันถมึงทึง ทว่าบัดนี้ด้วยความปีติยินดี แม้เนตรเหลือกโปนก็ดูน่ารักขึ้นได้
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรอาการยินดีของสตรีตรงหน้า ศิลาสีโลหิตช่างเข้ากับผิวสีงาช้างของนางอย่างทรงตรึกตรองไว้จริงๆ ยอมรับว่า ทรงดำริถูกเรื่องการทำตราประทับให้นาง
ครั้นทอดพระเนตรว่า สุริยเทพชามาชกำลังเสด็จลับจากขอบนภาจึงมีรับสั่งให้ทุกคนโดยเสด็จกลับ
ร่างเพรียวสั่นศีรษะรับอย่างเห็นดี เดินตามเสด็จไป ขณะจิตใจยังคงจดจ่อกับตราประทับหินคาร์เนเลียนสีแดงงดงาม
องค์ขัตติยะหนุ่มนำเธอมาส่งคืนวิหารได้ทันก่อนจันทรเทพจักโคจรขึ้นครองโพยมมณฑล บัดนี้เสียงสังวัธยายมนตรายามสนธยากาลสงัดเงียบลงแล้ว คงเหลือเพียงเสียงกลองและเขาสัตว์อันลากช้าบรรเลงเป็นจังหวะสุดท้าย เจ้าชายหนุ่มแลองครักษ์คู่พระทัยทรงสวดสดุดีแด่มหาเทพีอิชทาร์ มหาเทพีผู้ครอบครองความศรัทธาของชาวเมโสโปเตเมีย ท่ามกลางเทพบุรุษได้อย่างน่าอัศจรรย์
นักบวชสาวยังคงเคล้าคลึงตราประทับศิลาบนข้อมืออย่างเพลิดเพลิน ครั้นรถศึกตะบึงลับสายตาไป นลินนาจึงกรายผ่านสิงห์อารักษ์หน้าวิหารขึ้นสู่ด้านบน
ในมณฑลพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้สาวกแห่งมหาเทพีต่างพากันแยกย้ายหลังจบพิธี มีเพียงหัวหน้านักบวชผู้ยังคงภาวนาอยู่ในห้องบูชาชั้นใน
ร่างอันเด่นชัดในคลองสายตาของนลินนาที่สุดคือ นินซา ยามนี้ ร่างของนักบวชพี่เลี้ยงสาวสะอาดปราศจากมลทิน กลิ่นไหม้ของกำยานมดยอบติดตรึงตามอาภรณ์และผิวกาย ทั้งที่เมื่อครู่แววเนตรสงบนิ่ง ทว่าครั้นประสบพักตร์ของสตรีผู้หายหน้าไปทั้งวันก็บังเกิดประกายแวววาวในนัยน์ตาทันที
“วันนี้เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?” นักบวชพี่เลี้ยงถามประหนึ่งเป็นมารดา
“หลายอย่างเลยแหละ ทรงพาไปเที่ยวมาหลายที่เลย จริงๆ ที่ไปวันนี้ เพราะจะทรงทำนี่ให้ แต่อยากให้ฉันเลือกลายเอง” ว่าพลางยกตราประทับศิลาขึ้นอวด ใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาเป็นประกาย ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มแจ่มใสตลอดเวลา บอกเล่าเรื่องราวในวันนี้ด้วยความเริงร่า เอ่ยถึงพระนามองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียหลายต่อหลายครั้งจนชวนสะดุดใจ
“หากแค่ทำตราประทับ เหตุใดต้องพาหายไปทั้งวัน?”
คำถามของนินซา พาให้ผู้ถูกถามนิ่งคิด ด้วยตนก็ยังคงหาเหตุผลไม่ได้
ด้านนินซา ครั้นเห็นผู้ถูกถามนิ่งอั้นไปเช่นนั้นก็แย้มละไม คำทำนายแห่งนางมิเคยผิดเพี้ยน
นลินนาจักได้พบกับบุรุษผู้เป็นดั่งโชคชะตา
“ที่เสด็จไปวันนี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
พลันเจ้าชายองค์ที่สามแห่งราชวงศ์คัชดูยาตราเข้ามา มหาดเล็กจึงหยุดงานทันควัน
บัดนี้พระวรองค์สูงสง่าแห่งองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียหลงเหลือเพียงทูนิกผ้าฝ้ายเนื้อบางชั้นเดียวห่อหุ้มพระวรกาย พัสตราภรณ์ขนสัตว์หนารุ่มร่ามถูกปลดเปลื้อง เผยให้เห็นพระมังสาอันเรียบเนียน มีรอยต้องศัสตราวุธเป็นบางส่วนอันบังเกิดจากการฝึกฝน เพื่อความเป็นกษัตริย์นักรบดั่งกษัตริย์ทุกพระองค์ผู้ปกป้องบาบิโลเนีย
พลันพยักพักตร์ มหาดเล็กจึงหายไปจากห้องสรงราวละอองหมอกยามต้องประกายแดด
ทูนิกชั้นเดียวถูกปลดเปลื้องลง หลงเหลือเพียงพระวรกายเปล่าเปลือย
“ก็สนุกดี” รับสั่ง ขณะก้าวลงสู่อ่างสรง รอยแย้มพระสรวลละไมผุดขึ้นจาง ๆ
แม้เห็นเพียงเบื้องพระปฤษฎางค์ หากเจ้าชายนาโบนัสซาร์ย่อมทราบดี วันนี้พระเชษฐาทรงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แค่นี้ก็ทรงทราบว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้น
“ความจริง หม่อมฉันคิดว่า เสด็จพี่มิเห็นต้องเสด็จไปเอง ทรงสั่งช่างหลวงเอาก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องลายก็ส่งคนไปรับมาจากนางเท่านั้น มิเห็นต้องเสด็จไปจัดการเองให้ยุ่งยาก หนำซ้ำศิลาก้อนที่ทำเป็นตราประทับให้นาง ยังเป็นศิลาของเสด็จพี่เอง”
แม้พระอนุชาจักกราบทูลยาวเหยียด หากพระเชษฐายังคงเงียบงัน มิเอื้อนเอ่ยวจนาใด ๆ เจ้าชายนาโบนัสซาร์ปรารถนาจะทรงทราบเหลือเกินว่า ถ้านลินนารู้ว่า ตราประทับของนางสรรค์จากศิลาที่เสด็จพี่เพชกัลดาราเมชซื้อตั้งแต่ครั้งเสด็จประพาสตลาดรอบที่แล้วจะเป็นอย่างไร ศิลาอันองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียมักนำขึ้นมาทอดพระเนตรแลเคล้าคลึงในพระหัตถ์ทุกครั้งในยามว่าง
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทรงทราบ ความรักมักบังเกิดขึ้นยามเราไม่รู้ตัวแลไม่ทันตั้งตัว แปรผู้ทรงสติเป็นผู้ขาดสติ และแปรผู้ทรงปัญญาเป็นผู้โง่เขลาโง่งม ความรักเป็นสิ่งที่งดงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
“แล้วเจ้าได้กราบทูลเรื่องนั้นต่อเสด็จพ่อและซามูลาเอลหรือยัง?”
องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียมักโปรดรับสั่งว่า ‘เรื่องนั้น’ ด้วยจงใจให้รู้เฉพาะวงใน และเรื่องนั้นในยามนี้ก็หมายถึง เรื่องที่ธิดาแห่งอิชทาร์กราบทูลเมื่อราตรีที่แล้ว
พระอนุชาส่ายพระเศียร “ยังพ่ะย่ะค่ะ เรื่องกราบทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันเห็นว่า ควรเป็นหน้าที่ของเสด็จพี่ ส่วนเสด็จพี่ซามูลาเอล หม่อมฉันเห็นว่า ควรหาจังหวะกราบทูลดี ๆ ด้วยขืนเสด็จพี่ซามูลาเอลทรงทราบ เรื่องนี้อาจมิยุติลงง่าย ๆ แลถ้าไม่ทรงทราบ พอมาทราบเองในภายหลังก็อาจกริ้วได้อีก”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพระพักตร์อย่างเห็นงาม นาโบนัสซาร์เข้าใจอุปนิสัยของซามูลาเอลดี
ต่อไปนี้จักทำอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ต้องมีพระดำริอย่างถี่ถ้วน กระนั้นก็ทรงทราบดี หากต้องการบำราบศึกนอก สิ่งที่ต้องทรงจัดการก่อนคือ ศึกใน
1 ซิลา(sila) เป็นหน่วยวัดปริมาณของเหลว เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน 1 ซิลาจะเท่ากับประมาณ 1 ลิตร
2 เดือนดูซู(Du'ûzu) เทียบได้กับเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมในยุคปัจจุบัน มีประมาณ 29 วัน เนื่องจากบาบิโลเนียใช้ปฏิทินแบบจันทรคติ ทำให้จำนวนวันในแต่ละเดือนไม่ค่อยแน่นอน
3 อ้างอิงเค้าโครงจากวรรณกรรมสันสกฤตเรื่อง “สิงหวิกรม”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เซธ-เวเรทกลับมาแล้วค่า ขอประทานโทษที่หายไปนานนะคะ ส่วนหนึ่งเพราะว่า ช่วงนี้สภาพอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไร และตอนเขียนร่างแรกคือ การเขียนมั่วๆ เลย ทั้งอารมณ์ และบรรยากาศของเรื่องเลยไม่ได้ ทำให้ต้องนั่งรื้อใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ ก็เลยปริ้นท์งานออกมา แล้วใช้นั่งเขียนแก้แทน ในเวลาตันๆ เขียนงานไม่ออก การเปลี่ยนจากพิมพ์งานในคอมฯ มาเขียนในกระดาษนี่ช่วยได้ดีทุกครั้งเลยค่ะ ถึงอย่างไรก็ขอโทษนะคะที่บอกว่า ปิดเทอมจะมาต่อ แต่ดันมาต่อได้นิดเดียว ก็เลยขอแก้ตัวด้วยความยาวของตอนนี้แล้วกันนะคะ
เห็นมีคนบ่นว่า พระ-นางเราไม่หวานสักที แถมเนื้อเรื่องเราก็เครียดมาหลายตอนแล้ว เลยคิดว่า เอาผ่อนคลายๆ สักตอนแล้วกัน ซึ่งเซธก็ยังรู้สึกว่า มันก็ไม่ผ่อนคลายเท่าไรนะ แต่ก็ถือว่า ผ่อนคลายแล้วกันค่ะ เพราะตอนถัดไปเนื้อเรื่องก็อาจกลับมาหนักเหมือนเดิม ถึงอย่างไรก็คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ เห็นตอนที่แล้วมีคนมาคอมเมนต์ดีใจมากๆ เลยค่ะ ช่วงนั้นกำลังเครียดอยู่พอดี พออ่านคอมเมนต์เสร็จ ก็รีบไปโม้กับพื่อนหน้าบานเลยค่ะ ไม่คิดว่า จะมีคนอ่านที่เป็นนักเรียนด้วย และก็ดีใจมากๆ ที่นิยายของเซธทำให้ทำข้อสอบได้นะคะ อยากรู้มากเลยค่ะว่า คำถามในข้อสอบคืออะไร ที่นิยายเซธฯช่วยให้ตอบได้
ถึงอย่างไรก็สามารถคอมเมนต์ติชมกันได้นะคะ เป็นตอนที่ไม่มีอะไร แต่เขียนออกมาได้ยาวมาก อืดไป อะไรยังไงก็บอกได้นะคะ เอาจริงๆ การเขียนนิยายก็เหมือนการทำอาหารค่ะ ถ้าอยากกินรสชาติแบบไหนก็สามารถบอกได้นะคะ แต่แม่ครัวจะทำได้ถูกปากหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ค่ะ
การติดตามเสด็จเจ้าชายเพชกัลดาราเมชครานี้พาหล่อนวุ่นวายใจอย่างไม่ควรเป็น ด้วยครั้งติดตามเสด็จประพาสตลาดคราที่แล้ว นลินนาแทบมิต้องกังวลสิ่งใด แท้จริง...หล่อนไม่ได้คิดอะไร นอกจากรับรู้ว่า จะได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยซ้ำ ทว่าครานี้กลับกังวลว้าวุ่นไปเสียหมด ไม่รู้ว่า ควรแต่งหน้าแต่งตัวอย่างไร แลที่น่าประหลาดใจที่สุด หล่อนกังวลว่า เจ้าชายหนุ่มจักพึงพระทัยหรือไม่
เมื่อราตรีที่แล้ว กว่าหล่อนจะข่มตาหลับได้ช่างยากเย็นอย่างยิ่ง กว่าหัวใจของหล่อนจะสงบลงก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง กระนั้นแม้รุ่งอรุณจะมาเยือน หากประสบการณ์เมื่อราตรียังคงแจ่มชัด กลิ่นพระกรัชกายและความอบอุ่นแห่งพระมังสายังคงตราตรึงอยู่ทุกอณู โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแย้มพระสรวลอ่อนจางภายใต้พระรัศมีแห่งเทพซินอันเด่นชัดในห้วงทรงจำ
ทาสผู้นำข่าวไปกราบทูลแด่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชยาตรากลับมา พร้อมแจ้งว่า อีกมินาน เจ้าชายหนุ่มจักเสด็จมารับหลังทรงจัดการกับพระภารกิจเรียบร้อย ได้ยินแค่นั้น หัวใจหล่อนก็พลันระทึก มือไม้เก้กังว้าวุ่นไปเสียหมด กระนั้นก็รู้สึกกังวลระคนปีติประสมกัน ช่างเป็นอารมณ์ประหลาดอันยากอธิบาย
นางทาสถูกระดมมาช่วยหล่อนแต่งกาย ด้วยมิรู้ว่า ต้องโดยเสด็จด้วยในวาระใด ร่างโปร่งบางบัดนี้จึงอยู่ในอาภรณ์เรียบหรูสีอ่อนมิสะดุดตา หากขับวรรณะสีงาช้างให้ลออตาปานนวลจันทร์ เกศาชโลมน้ำมันหอมปล่อยสยาย ส่วนถนิมพิมพาภรณ์นั้น หล่อนสวมใส่แต่พอดีในความคิดของผู้คนแถบนี้ เนื่องจากมีทาสนางหนึ่งแนะนำว่า “อย่างน้อยก็ควรใส่เจ้าค่ะ ข้างนอกเขาจะได้รู้ว่าเป็นสตรีชั้นสูง มิกล้ากระทำล่วงเกิน”
นลินนาจึงยอมสวมใส่เครื่องประดับหนักอึ้ง เฝ้าพร่ำสวดถึงมหาเทพีอิชทาร์ให้วันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี เพียงครู่ก็มีนางทาสวิ่งรี่มาแจ้งถึงการเสด็จมาของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช นักบวชสาวใจเต้นระทึก เจ้าชายหนุ่มเสด็จมารวดเร็วประหนึ่งวายุเทพอาดัด ร่างเพรียวค่อยลุกขึ้น สูดลมหายใจลึกยาว จากนั้นจึงก้าวย่างเนิ่นช้ามั่นคง บอกตนเองว่า ไม่มีอะไร จวบกระทั่งโผล่พ้นเงื้อมเงาวิหารจึงได้พบพระพักตร์ของผู้เสด็จมา
ท่ามกลางกระแสวุ่นวายของผู้คนที่มาสักการบูชา องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียประทับยืนโดดเด่นบนรถศึกเทียมอัสดร พระวรองค์ตระหง่านห่อหุ้มด้วยอาภรณ์อย่างบุรุษชนชั้นสูง ครานี้แปลกตรงเจ้าชายนาโบนัสซาร์มิได้เสด็จมาด้วย แต่มีซิน-มูบัลลิตมาแทน บ่งบอกว่า การเสด็จมาครั้งนี้เป็นการเสด็จส่วนพระองค์จริงๆ
อิริยาบถแห่งองค์รัชทายาทหนุ่มสง่างาม วันนี้พระพักตร์ดูแจ่มใสชอบกล ริมพระโอษฐ์มีรอยแย้มสรวลอ่อนละมุนประดับอยู่จาง ๆ พระฉวีขาวอย่างชนเซมิติคต้องสุริยแสงชวนดูผุดผาดนุ่มนวล วรองค์เบื้องหน้าพาร่างนักบวชสตรีตรึงนิ่งดุจต้องภวังค์ ครั้นคืนสติจึงรีบค้อมศีรษะถวายคำนับ และรับการถวายคารวะจากซิน-มูบัลลิต จากนั้นจึงทูลถามเสียงแผ่ว
“เจ้าชายนาโบนัสซาร์ไม่เสด็จมาด้วยหรือเพคะ?” หล่อนสงสัยด้วยปรกติเจ้าชายนาโบนัสซาร์มักตามเสด็จพระเชษฐาประดุจเงาตามตัว
หากเจ้าชายเพชกัลดาราเมชส่ายพระพักตร์ “วันนี้นาโบนัสซาร์ติดธุระสำคัญเลยมามิได้ เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง หากพร้อมแล้วจักได้ไปกันเลย?”
นลินนาพยักพักตร์ หากด้วยความไม่รู้จึงยังลังเล “แล้ววันนี้จะทรงพาหม่อมฉันไปไหนหรือเพคะ?”
เจ้าชายเชื้อสายคัชดูแย้มพระสรวล หากพระวาจามิเผยความใด “ตามมาเถิด เมื่อไปถึงเจ้าจะรู้เอง”
นลินนาเอียงคองุนงง กระนั้นก็ก้าวขึ้นรถศึกแต่โดยดี มือบางยึดพระภูษาตรงบั้นพระองค์แน่น กักเก็บความสงกาไว้ภายใน
หลังแล่นผ่านเคหสถานและตรอกซอยอันซับซ้อนวกวน รถศึกเทียมอัสดรก็แล่นเข้าสู่เขตหมู่บ้านช่างฝีมือ เสียงตีเหล็กตอกสลักหินดังเซ็งแซ่ก้องกังวาน รถศึกชะลอลงหน้าอาคารอิฐดิบฉาบสีขาวกว้างใหญ่โอ่โถง ร่างเพรียวก้าวลงจากรถศึก จับจ้องอาคารเบื้องหน้าอย่างงงงวย ขณะซิน-มูบัลลิตยังคงก้าวตามอย่างกระชั้นชิด นัยน์ตาสอดส่ายระวังระไวตามหน้าที่อารักขาของตน
พลันก้าวถึงซุ้มทวารอาคาร มานพหนุ่มแต่งกายดูดีผู้หนึ่งก็รีบปรี่ออกมาต้อนรับทันควัน กิริยาอาการพินอบพิเทาอย่างยิ่ง
“มาจากพระราชวังใช่ไหมขอรับ?”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพระพักตร์ พลางยื่นสาส์นประทับตราประทานให้ดู มานพหนุ่มจึงค้อมเคารพ แลนำเข้าสู่อาคารอย่างรู้งาน นลินนาเดินผ่านซุ้มทวาร กวาดมองสรรพสิ่งโดยรอบอย่างสนอกสนใจ
ส่วนแรกอันลุไปถึงคือ สถานทำการ ภายในมีคหบดีและพ่อค้าวาณิชเข้ามาใช้บริการพอสมควร ผนังอิฐดิบอันเจาะเป็นช่องหน้าต่างเล็กๆ แลประดับพรมขนสัตวสีสันสดใสพาให้บรรยากาศภายในปลอดโปร่งมิอับทึบดังเช่นวิหาร
มานพหนุ่มนำมาถึงหน้าโต๊ะสำริดลวดลายวิจิตร แล้วจึงผายมือเชื้อเชิญให้นั่งลง ก่อนนำแผ่นดินเหนียว พร้อมปากกากกวางลงตรงหน้า ตามมาด้วยหีบอ้ออันประจุด้วยแผ่นดินเผาพิมพ์ลายประทับต่างๆ เนตรเรียวงามยังคงจับจ้องสรรพสิ่งปานจะซึมซับลงไป ยังไม่ทราบว่า ตนถูกพามาด้วยการใดกันแน่
“ต้องการลายใดก็สามารถเลือกได้เลยนะขอรับ หรือจักให้ช่างของเราเป็นผู้ออกแบบให้ก็ย่อมได้”
มานพหนุ่มให้คำแนะนำ นักศึกษามานุษยวิทยาสาวนำแผ่นดินเหนียวขึ้นพินิจอย่างงงงวย จากนั้นจึงวางลงด้วยมิรู้ว่า ต้องกระทำอันใด ทว่าจนแล้วจนรอด องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมก็ยังคงประทับนิ่งมิไหวพระองค์ เนิ่นนานจนแผ่นมัตติกาเริ่มแห้งกระด้าง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงมีรับสั่งขึ้น
“เจ้าเขียนสิ นลินนา”
ทั้งที่กระแสรับสั่งสั้น แต่กลับพาให้อึ้งอั้นตาค้าง
“ให้ฉันเขียนอะไรเหรอคะ?” ร่างเพรียวงุนงง ทูลถามเป็นภาษาอราเมอิก มิทราบว่า ตนต้องเป็นผู้เขียนเอง
“ข้าอยากให้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ ท่าทางเจ้าน่าจะมีความสามารถทางนี้อยู่ มิต้องกังวล แค่เขียนในสิ่งที่เจ้าชอบก็พอแล้ว”
พระสุรเสียงนุ่มนวลพาให้เคลิบเคลิ้มได้ไม่ยากเย็น นลินนาเบือนมาจับจ้องแผ่นมัตติกานิ่ง แม้จะมีความหลงใหลในศิลปะ ทว่าเธอก็มิได้มีหัวทางวาดเขียนเท่าใดนัก ยิ่งออกแบบยิ่งแทบไม่เคย เพียงสามารถช่วยดูช่วยออกความเห็นได้เท่านั้น เมื่อต้องมาทำเอง จึงไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไร
นลินนากวาดมองไปยังผู้คนรอบข้าง คหบดีและพ่อค้าวาณิชส่วนใหญ่มักไม่สนใจด้านนี้ และเน้นทุ่มเงินให้ช่างฝีมือเท่านั้น ขอเพียงงานออกมางามต้องใจ นอกนั้นก็แทบมิได้สนใจสิ่งใดเลย แม้กระทั่งคุณค่าของมัน เธอจึงกลับมาพินิจลายต่างๆ ที่พนักงานคนเมื่อครู่นำมาให้ทัศนา ก็พบภาพพิมพ์ลวดลายแตกต่างกัน ทั้งลวดลายเทวตำนาน ลวดลายดาราศาสตร์ บ้างเป็นลายรุกขชาติบุปผชาติอ่อนช้อยงามสะพรั่ง ซึ่งนลินนาเคยเห็นมาแล้วทั้งตามพิพิธภัณฑ์และตำราด้านประวัติศาสตร์ เมื่อความคิดเริ่มก่อรูปร่างในคำนึง มือบางจึงค่อยๆ จรดปลายปากกาวาดลวดลายอันคุ้นเคย
หล่อนพลันนึกถึงภาพอันสลักเสลางดงามบนแผ่นศิลาในปราสาทขอมโบราณ ภาพท่อนมาลัยอันฉลุฉลักลายประณีต ทอดโค้งสวยงามดังธารน้ำไหล ทว่าท่อนมาลัยอันเลื่อนไหลงดงามกลับกำลังถูกกลืนกินด้วยอสูรกาย
‘หน้ากาล’ อสูรจอมอัปลักษณ์ พักตราใหญ่ เนตรเหลือกโปน สิ่งมีชีวิตประหลาดอันกลืนกินทุกสรรพสิ่ง แท้จริงคือปรัชญา...หน้ากาลก็คือกาลเวลา เมื่อกาลเวลาเป็นผู้สร้าง กาลเวลาย่อมเป็นผู้ทำลาย บุคลาธิษฐานแห่งธรรมถูกซุกซ่อนไว้ในรูปของอสูรกายหน้าถมึงทึง
ทั้งที่เคยยลภาพศิลปะอันลือลั่นมากมาย กระนั้นภาพทับหลังบนปราสาทขอมกลับติดตราในมโนนึกของหล่อนที่สุด บางทีอาจเพราะหล่อนตระหนักดีว่า โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรัง แม้จักรวรรดิบาบิโลเนียเองก็เฉกกัน สักวันจักต้องพังภินท์ไป
แผ่นมัตติกาว่างโล่งถูกเติมเต็ม องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทอดพระเนตรภาพเบื้องพระพักตร์อย่างสนเท่ห์ ทรงจับจ้องปิศาจรูปลักษณ์ประหลาดดุจฮัมบาบา...ปิศาจหน้าลำไส้แกะในมหากาพย์กิลกาเมช ภาพประหลาดตรงหน้าตอกย้ำว่า สิ่งที่นางกราบทูลเป็นความจริง นางคือสตรีจากดินแดนอันห่างไกลเกินกว่านักเดินทางผู้ใดจักยาตราไปถึง
แม้ภาพเบื้องพระพักตร์จักชวนอัศจรรย์ใจ กระนั้นก็ทรงยื่นแผ่นมัตติกาประทานแก่ผู้รอรับงานอย่างมิแคลงพระทัย ครั้นพนักงานรับงานไปก็พินิจภาพในหัตถ์อย่างพิศวง หากท้ายสุดก็กระทำตามหน้าที่ของตนแต่โดยดี
“จะรีบนำไปจัดการให้ทันทีขอรับ คาดว่า มิน่าเกินสนธยานี้ ส่วนงานที่ให้ทำมาก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วขอรับ แค่ลงลายคงมิกินเวลานาน”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพักตร์รับ ทรงประทับยืนขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับมานพหนุ่มค้อมกายเดินเข้าหลังร้านไป เมื่อดำเนินโผล่พ้นร่มเงาอาคารออกมา นลินนาผู้ตามเสด็จมาอย่างเงียบเชียบ จึงเอื้อนเอ่ยความสงสัยของตน
“เสร็จธุระแล้วหรือเพคะ?” เมื่อพ้นสายตาผู้อื่นจึงทูลถามเป็นภาษาอัคคัดได้ ทั้งที่อุตส่าห์แต่งกายตั้งนาน แต่กลับออกมาด้วยเรื่องเพียงนิดเดียว
เจ้าของวรองค์ตระหง่านเหลียวองค์มาตรัสตอบ “ใช่ ธุระมีเพียงเท่านี้”
ร่างเพรียวหน้ามุ่ยลงโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ตนกังวลว้าวุ่นไปเพื่อสิ่งใดกัน
พระราชโอรสองค์โตในกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาครั้นทอดพระเนตรอาการแง่งอนของสตรีตรงหน้าก็ทรงอดพระสรวลกับความน่ารักของนางมิได้ จึงรับสั่งออกไปว่า “คงอีกนานกว่างานที่สั่งไว้จะเสร็จ เจ้าอยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?”
เมื่อได้ยินกระแสรับสั่งเช่นนั้น ความขุ่นมัวก็ดูจะจางหายไปสิ้น นลินนารู้สึกว่า ตนเหมือนเด็กเล็กๆ ที่แค่เอาเรื่องเที่ยวเล่นมาล่อก็หลงลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าไปโดยสิ้นเชิง หล่อนคิดสะระตะ ลังเลว่า ควรทำเช่นใด กลับเข้าวิหารไปก็เบื่อแย่ ด้วยมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวเล่นแล้ว ซ้ำราตรียังต้องกลับไปเรียนต่ออีก ไปเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็เพิ่งได้พบกันเมื่อวาน ครุ่นคิดเนิ่นนานก็มีความคิดดีๆ ผุดวาบขึ้นมา
“หม่อมฉันอยากไปดูท่าเรือเพคะ” ร่างเพรียวกราบทูลอย่างตื่นเต้น “อยากเห็นว่า เขาขนถ่ายสินค้ากันอย่างไร แล้วก็อยากขึ้นไปดูบนกำแพงเมืองด้วยเพคะ”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชสดับคำกราบทูล พลางหันไปขอความเห็นจากองครักษ์คู่พระทัย “เจ้าว่าเช่นไรบ้าง ซิน-มูบัลลิต?”
“แล้วแต่ท่านนลินนาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ซิน-มูบัลลิตอมยิ้มกราบทูล “ส่วนเรื่องกำแพงเมือง หม่อมฉันมีสหายทำงานอยู่ที่นั่น คงขอขึ้นไปดูได้ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับการรับรองจากองครักษ์คู่พระทัย ทุกอย่างจึงราบรื่นไปได้ด้วยดี
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ยามนี้ตรงท่าน้ำคงกำลังคึกคักทีเดียว”
ธิดาแห่งอิชทาร์ยิ้มแย้ม นัยน์ตาเป็นประกายราวเด็กๆ
ภาพวุ่นวายตรงท่าเรือนั้นมิผิดแผกกับครานลินนาได้เห็นครั้งเดินทางไปเยือนวิหารแห่งนทีเทพอีเอนัก เรือสินค้ามากมายล่องแล่นจอดเทียบท่า มีทั้งเรือกกลำเล็กของชาวบ้านอันแล่นข้ามฟาก และเรือกกประสมไม้อันเป็นเรือสินค้าที่ล่องมาจากทางเหนือ กุลีกรรมกรขนถ่ายสินค้าขึ้นฝั่งเร่งรีบ เสียงต่อรองราคาและเสียงหย่อนก้อนโลหะบนตาชั่งดังอึงอล ถุงหนังบรรจุของเหลวถูกขนขึ้นฝั่งอย่างระมัดระวัง เรือทุกลำถูกเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนท้วมเดินมาตรวจตราการเก็บค่าธรรมเนียมและตรวจสอบสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าสูงค่าอันถูกบรรจุไว้ในถุงหนัง เครื่องดื่มที่ชาวเมโสโปเตเมียตอนใต้ขนานนามว่า เบียร์ชั้นยอดจากเทือกเขาหรือก็คือ เหล้าองุ่นนั่นเอง
ทั้งที่มีภาพตื่นตาตื่นใจมากมาย กระนั้นภาพอันติดตานลินนาที่สุดกลับเป็นภาพคนงานกำลังแยกชิ้นส่วนเรือ เรืออันประกอบด้วยกกประสมไม้ ชิ้นส่วนที่เป็นกกถูกทิ้งลงธาราไม่ไยดี ขณะชิ้นส่วนที่เป็นไม้ถูกขนขึ้นฝั่งอลวน นับว่าเป็นภาพแปลกตาอย่างยิ่ง เมื่อพบเรื่องชวนพิศวง จึงทูลถามเจ้าของวรองค์สูงทันควัน
“เขาทำอย่างนั้นกันทำไมหรือคะ?”
เมื่อทรงพบว่า นางช่างสงสัยอีกแล้วก็ทรงแย้มพระสรวลออกมา “นั่นเป็นการแยกเรือขาย” ตรัสตอบพลางทอดพระเนตรเรืออันโดนแยกเป็นส่วนๆ “พ่อค้าเหล่านี้จะล่องเรือมาตามกระแสน้ำ เมื่อมาถึงท่าและขายสินค้าได้จนหมดก็จักขายเรือทิ้ง เพราะการเอาเรือล่องขึ้นทวนน้ำนั้นลำบากอย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยเดินทางกลับไปทางบกแทน ระหว่างทางก็จะซื้อขายแลกเปลี่ยน เพื่อนำสินค้ากลับไปค้าขายยังนครของตน”
ธิดาแห่งอิชทาร์รับฟังอย่างอัศจรรย์ใจ แต่แล้วก็สงกา “แล้วจะคุ้มหรือคะ?” หล่อนทราบว่า เรือหนึ่งลำสนนราคาไม่ใช่น้อยๆ
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรนาง อดขันกับความช่างสงสัยของนางไม่ได้ “เฉพาะค่าเรืออาจไม่คุ้ม แต่พ่อค้าเหล่านี้มักขายไวน์ให้แก่ราชสำนักและคหบดีผู้มั่งคั่ง ลำพังบาบิลิมเราไม่สามารถผลิตไวน์ได้เอง เรามีเพียงองุ่นจำนวนเล็กน้อยจากราชอุทยานให้พอหมักบ่มได้เฉพาะดื่มกันในราชวงศ์เท่านั้น นอกนั้นต้องสั่งซื้อจากพ่อค้าที่อยู่ทางเทือกเขาตอนเหนือและได้รับเป็นบรรณาการจากดินแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนฮัตตู ราคาไวน์จำนวน ๑๘ ซิลา1ก็เทียบเท่ากับค่าจ้างต่ำสุดแล้ว ในปีๆ หนึ่ง เราจึงใช้จ่ายไปกับค่าไวน์มากมายทีเดียว”
ธิดาแห่งอิชทาร์ฟังอย่างไม่ประหลาดใจ ด้วยเห็นชัดเจนในงานเลี้ยงของราชสำนักแล้วว่า ต้องใช้ไวน์จำนวนมากขนาดไหน กระนั้นหล่อนกลับสงสัยว่า ที่ใดคือดินแดนฮัตตู ครุ่นคิดจนระลึกได้ว่า โจแอนเคยเล่าให้ฟัง
‘ว่ากันว่า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่สองทรงได้รับบรรณาการล้ำค่ามากมายจากดินแดนฮัตตู เพราะฮัตตูมีทั้งงาช้างและเหล้าองุ่น’
‘ฮัตตู ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?’ นลินนาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
‘ดินแดนฮัตตู ตอนนี้ก็ตรงประเทศซีเรียนั่นแหละ ว่ากันว่า ประเทศซีเรียในอดีตเคยมีช้าง แต่สูญพันธุ์ไปหมด เพราะการล่าช้างเอางาในอดีต นอกจากนี้ชาวซีเรียยังเป็นนักหมักไวน์ชั้นยอดอีกด้วย จึงไม่แปลกที่บาบิโลเนียจะเรียกร้องไวน์เป็นรายการของที่ต้องบรรณาการจากฮัตตู ขนาดไวน์ชั้นดีในราชสำนักอียิปต์ก็ยังใช้ชาวซีเรียที่อพยพไปอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์เป็นผู้หมักบ่ม’
นลินนาพลันคิดถึงสหายชาวอังกฤษจับใจ สำหรับเธอ โจแอนเปรียบเสมือนตำราประวัติศาสตร์เดินได้ เพื่อนเธอรอบรู้ไปเสียหมด เพราะมีบิดาเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บริติช แผนกตะวันออกกลาง
“นอกจากนี้การขนส่งไวน์ยังกระทำได้ลำบาก เพราะหากส่งมาทางบกจะเสียหาย จึงต้องบรรจุในถุงหนัง แล้วลำเลียงมาทางเรือเท่านั้น”
หล่อนฟังพลางพยักหน้ากับเกร็ดความรู้ใหม่ เหลือบดูการต่อรองชิ้นส่วนเรืออันดูราวจะถูกกดลงถูกแสนถูก ไม่คาดคิดว่า ไม้ในบาบิลิมส่วนหนึ่งมาจากเรือสินค้าพวกนี้
“เจ้าอยากดูอะไรอีกหรือไม่?” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม ทอดพระเนตรสุริยรัศมีอันแรงเริง พลางจรดมองพวงแก้มสีงาช้างอันขึ้นสีแดงจัด
นลินนาเหลียวกายไปกวาดมองจนถ้วนทั่ว ครั้นมิเห็นสิ่งใดให้ทัศนาต่อจึงส่ายหน้า จากนั้นจึงชะงักงัน เมื่อจู่ๆ พระหัตถ์หนาก็ทรงดึงผ้าคลุมไหล่สีอ่อนบนบ่าขึ้นคลุมศีรษะประทานให้เธอ นลินนางงงวย ด้วยสายพระเนตรที่ทอดมองเธอเมื่อครู่ช่างอ่อนโยนอย่างยิ่ง
เสียงฝ่าเท้ากระทบพื้นอิฐฟังหนักแน่นสมเป็นกำแพงอันปกปักบาบิลิมมาตลอดหลายกาลสมัย จากยอดกำแพงเมืองกว้างขวางพอให้รถศึกเทียมม้าสี่คันวิ่งแล่นสวนกันและมีป้อมตั้งห่างเป็นระยะคือ ภาพนคราบาบิโลนอันหดเล็กลงจนเห็นความพลุกพล่านแห่งกระแสชน เบื้องนอกกำแพงนคราอันโอบล้อมด้วยคูน้ำคือ ความกว้างสุดลูกหูลูกตาของท้องทะเลทราย แลเห็นบรรดากองคาราวานพากันมุ่งหน้าสู่มหานครอันรุ่งเรือง ไกลออกไปคือสถานีพักม้าอันมิเคยเว้นว่างผู้คน มีกองทหารลาดตะเวนทั้งตามกำแพงเมืองและเส้นทางการค้า ซ้ำยังมีทวารบาลพร้อมเจ้าพนักงานคอยควบคุมหนาแน่น ราวไม่ทิ้งช่องว่างใดให้แม้ภูตพรายเล็ดลอดเข้ามา
เหนือกำแพงเมืองตั้งตระหง่าน นลินนาจับจ้องภาพนคราเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้จะเคยทัศนาทิวทัศน์นี้มาแล้วคราไปเยือนราชอุทยาน ทว่าก็เป็นยามราตรีที่ทุกสิ่งหลับใหล ทุกอย่างปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่ใช่ภาพอันตระการตาและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้
เบื้องหลังนลินนาคือ เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลซิน-มูบัลลิตผู้เฝ้าติดตามรั้งท้าย นักบวชสาวยังคงสำรวจกำแพงเมืองอย่างลิงโลด นัยน์ตาเป็นประกายลุกวาว ฝ่ามือบางลูบไล้ไปตามสันกำแพง สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ศัตรูหลายต่อหลายสหัสวรรษมิอาจทลายมันลงได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำลายปราการนี้ลงมีเพียงหัตถ์แห่งกาลเวลา
เมื่อเธอสงกาสิ่งใด เจ้าชายแห่งบาบิลิมจักทรงเป็นผู้ตรัสตอบทุกครั้ง นิ้วพระหัตถ์ชี้แนะนำส่วนต่างๆ จนบัดนี้นลินนารู้จักผังเมืองบาบิลิมดีประหนึ่งหลังมือของตนเอง
“นั่นคือ กำแพงอันขีดกั้นเรากับจักรวรรดิเมเดส”
นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปยังกำแพงชั้นนอกอันกางกั้นครอบคลุมตลอดนครฝั่งตะวันออก ร่างเพรียวกวาดสายตาตาม นครฟากตะวันออกอันเป็นหัวใจของบาบิลิมถูกปิดล้อมด้วยกำแพงถึงสองชั้น หากกำแพงชั้นนอกกลับวางตัวเป็นแนวยาวขนานไปกับเทือกเขาสูงเสียดขึ้นไปทางเหนือจนนลินนาไม่อาจแลเห็นจุดสุดสิ้น
“กำแพงชั้นนอกจักตีล้อมนคราฟากตะวันออกไว้ทั้งหมด ขึ้นไปถึงทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของพระราชวังฤดูร้อน เมื่อย่างเข้าสู่เดือนดูซู2 เชื้อพระวงศ์คัชดูจักย้ายไปพำนักที่นั่น ด้วยอากาศแถบนั้นจะเย็นสบายกว่า เจ้ากำแพงนี่มิเพียงกางกั้นเราออกจากเมเดส...จักรวรรดิพันธมิตรของเราเท่านั้น หากกางกั้นเราออกจากศัตรู...ชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆ เฉกกัน”
แม้พระพักตร์และสุรเสียงราบเรียบ ทว่ากลับแฝงรอยดำริลึกซึ้ง นักบวชสาวสดับฟังสะดุดใจ ภาพแผนที่จักรวรรดิโบราณแถบตะวันออกใกล้ผุดขึ้นมา ดินแดนแถบนี้อุดมไปด้วยชนเผ่าเร่ร่อนมากมาย แต่ละชนเผ่าต่างรอวันผงาดเข้าครอบครองดินแดนแทนชนเผ่าดั้งเดิม เมื่อใดจักรวรรดิอ่อนแอ เมื่อนั้นคือการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครอง
พ้นเขตกำแพงชั้นนอก...เทือกเขาซากรอสทอดกายเหยียดยาวเป็นปราการชั้นเลิศระหว่างจักรวรรดิบาบิโลเนียอันรุ่งโรจน์ แลจักรวรรดิเปอร์เซียอันหลับใหลรอวันผงาด เทือกเขาซากรอสมิใช่เพียงปราการธรรมชาติชั้นดี หากยังเป็นที่ซุกซ่อนของชนเผ่ามากมายที่อยู่กันอย่างอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิใด
เมื่อใดชนเผ่าเร่ร่อน ณ ที่ราบสูงอิหร่านรวมตัวกัน และจักรวรรดิมหาอำนาจยังคงเมินเฉยไม่สนใจต่อความน่ากลัวนี้ เมื่อนั้นความพินาศย่อมมาเยือน จักรวรรดิมหาอำนาจแห่งยุคโบราณจะพาตัวเองไปสู่ความตาย
“นับแต่วิทยาการการถลุงเหล็กแพร่กระจายออกไป แม้แต่ชนเผ่าเร่ร่อนก็เป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเหล็กนั้นราคาถูก มีอยู่ดาษดื่น ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าทองแดงที่ราคาแพงและหาได้ยากกว่า การครอบครองอาวุธมิใช่สิ่งที่ยากอีกต่อไป”
นักบวชสาวนิ่งฟัง ตระหนักดีด้วยเป็นสิ่งที่เธอกราบทูลไปแล้ว นับแต่โลกเข้าสู่ยุคเหล็ก ความเท่าเทียมในการต่อสู้ก็บังเกิดขึ้น มีนักรบบนหลังอาชาเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งอาวุธทวีพลานุภาพมากขึ้นเท่าใด ความเหลื่อมล้ำในการสู้รบก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น บางคราทำให้ระหว่างนักรบเจนศึกกับนักรบฝึกหัดแทบมิมีความแตกต่างกัน แม้เป็นเพียงเกษตรกรหรือคนต้อนสัตว์ ขอเพียงจับศัสตราวุธก็พร้อมแปรเป็นนักรบ ชนเผ่าเร่ร่อนแม้ปกติจักครองตัวเป็นอิสระ ทว่าหากมีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็อาจพร้อมรวมตัวกันทุกเมื่อ
ยามนี้ ผู้ตระหนักถึงสิ่งนี้ที่สุดย่อมไม่พ้นกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาแลเจ้าชายเพชกัลดาราเมช จะทรงทำฉันใด นั่นคือสิ่งที่ต้องพิจารณา
“หากชนเผ่าภายใต้ปกครองของจักรวรรดิเมเดสต้องการรุกรานเข้ามา ทางเดียวที่จักเข้ามาได้คือทางนั้น” ทรงชี้ไปยังด้านเหนือของนครา “เพราะการข้ามเทือกเขาฝั่งบูรพาทิศย่อมมิใช่เรื่องง่าย ทั้งด้วยภูมิประเทศแลชนเผ่าที่กระจายตัวอยู่โดยรอบ การเข้ามาทางอ่าวด้านทิศใต้ยิ่งยากไปกว่าเดิม เพราะชนเผ่าเร่ร่อนไม่เชี่ยวชาญทางทะเล หากชนเผ่าใต้ปกครองเมเดสต้องการยาตราเข้าสู่บาบิลิมนั่นคือ หนทางเดียว”
พระสุรเสียงเรียบนิ่งแฝงความลึกในพระทัย ธิดาแห่งอิชทาร์สดับฟัง หวาดประหวั่น ใจหาย ในความเวิ้งว้างราบเรียบแห่งท้องทะเลทราย คล้ายแลเห็นฝุ่นฟุ้งตรลบอบอวล ภาพกองทัพม้าอันเกรียงไกร ห่าธนูอันปรายโปรยลงจากฟากฟ้าดุจวายุอุกกาบาตโถมถล่ม ความวินาศ และการนองเลือด การสูญเสียแห่งชีวิต แร้งกาอันบินว่อนแผดร้อง รอโฉบลงฉีกทึ้งกัดกินซากอสุภ เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงปะทะแห่งศัสตราวุธดังระงม เสียงยุทธมโหรีแห่งความตายจะดังอึงอลแทนเสียงรื่นเริงสังสรรค์แห่งงานเฉลิมฉลอง
กลิ่นมฤตยูจะอบอวลไปทั่วแผ่นดิน การร่ายรำแห่งยุทธเทพีจะบังเกิด แลมันจะไม่หยุดลงจนกว่าฝ่ายใดจะได้กำชัย
ร่างเพรียวทัศนาภาพเบื้องพักตร์ คล้ายรณภูมิผุดขึ้นต่อหน้า ดวงจิตภายในย้ำเตือน จักวรรรดิบาบิโลเนียจักต้องยาตราสู่สงคราม
“ลงไปเบื้องล่างเถิด จากตรงนี้ไม่มีสิ่งใดให้ดูแล้ว”
พระวาจามิอาจจับได้ถึงพระอารมณ์ สายพระเนตรอันจรดมองนคราแห่งพระองค์ช่างล้ำลึกสุดหยั่งคาด นลินนาจับมองภาพเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก้าวลงตามขั้นบันไดด้วยหัวใจหนักอึ้ง
ตระหนักดี...ยามนี้ราชสีห์แห่งบาบิโลเนียกำลังประเมินศัตรูของมัน
แม้หมดอารมณ์จะเชยชมนคราอีกต่อไป ทว่าสนธยากาลก็ยังไม่มาเยือน สตรีจากอนาคตกาลจึงตัดสินใจมาเดินเล่นในนคราแทน อย่างน้อยก็ได้สำรวจผู้คนในเมืองโบราณที่ยังมีชีวิตแห่งนี้ เมื่อเดินเล่นเพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไปกับสิ่งล่อต่อล่อใจ ความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจจึงค่อยผ่อนเพลาลง หล่อนพยายามตักตวงความสุขในห้วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ด้วยมิทราบว่า จะมีความสุขเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด เพราะบทเรียนของเธอเข้มงวดกวดขันเข้าทุกที แววจักษุแห่งหัวหน้านักบวชอันเคยเมตตาปรานี บัดนี้เจือรอยเคร่งเครียดราวเก็บซ่อนความลับบางประการไว้ภายใน
ปกตินลินนาไม่ค่อยได้จับจ่ายซื้อของอะไรด้วยตนเองนัก เพราะส่วนใหญ่จะใช้ของของวิหาร ทว่าจากการสังเกตสังกาผู้คนรอบข้าง นลินนาก็พอเข้าใจระบบแลกเปลี่ยนของผู้คนในอดีตอยู่บ้าง จึงตระเตรียมก้อนโลหะไว้หลากหลายขนาด หมั่นสังเกตตาชั่งของบรรดาพ่อค้าที่แม้กฎหมายจะบัญญัติไว้ออกเข้มงวด ทว่าก็ยังมิวายมีผู้ริอ่านคดโกงจนต้องโทษอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเธอออกมานินซาจึงกำชับให้เธอเตรียมผงโลหะหรือโลหะก้อนเล็กๆไว้ด้วย เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยสะดวก เนื่องจากจะมานั่งตัดแบ่งโลหะหรือหาของแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่าเท่าเทียมก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
สุริยันคล้อยต่ำลง หากทั้งสามยังคงดำเนินอยู่ใจกลางนคร กระเพาะอันว่างโหวงถูกเติมเต็มด้วยขนมปังมะเดื่อกับเหล้าอินทผาลัมให้พอกลบเสียงร้องครวญคราง ความมั่งคั่งของบาบิลิมพาให้ทั่วตลาดเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดส่งกลิ่นอบอวลประชันกัน ภาษาอราเมอิกถูกขับขานออกไปด้วยหลากสำเนียงเอ็ดอึง
ครั้นเดินจนเริ่มเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทั้งสามจึงหยุดพักยังร้านอาหารแห่งหนึ่งอันเนืองแน่นไปด้วยนักเดินทาง เสียงบอกเล่าการผจญภัยของนักแสวงโชคดังอึงมี่ พาให้นลินนาผู้หลงใหลในเรื่องราวแห่งท้องทะเลทรายอดเงี่ยหูฟังด้วยความใคร่รู้ไม่ได้
ขนมปังอบจากเตาร้อนๆ และเบียร์เย็นฉ่ำชั้นดีถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะ ตามมาด้วยเนื้อสัตว์อบและไส้กรอกอันทำจากเนื้อสัตว์บดปรุงเครื่องเทศยัดในลำไส้
เสียงบอกเล่าการผจญภัยยังคงดังไม่ขาดสาย เรียกผู้สัญจรไปมาให้มานั่งสมทบฟัง ตัวนลินนาเองครั้นสดับนานเข้าจึงขอประทานอนุญาตจากเจ้าชายแห่งบาบิลิมไปล้อมวงฟังด้วย
“สมัยหนุ่มๆ พ่อข้าคือ คหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดผู้หนึ่งในเมืองทีเดียวเชียวล่ะ แต่แทนที่พ่อข้าจะให้ข้าสืบทอดกิจการดีๆ กลับมอบทรัพย์สินให้ข้าจำนวนหนึ่ง แล้วให้ข้าออกมาแสวงโชคเอาเอง ตัวข้าตอนหนุ่ม ๆ นั้นทั้งโง่ทั้งซื่อ ทั้งที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองอิริดู นครแห่งเทพอีเอผู้ทรงปัญญา ข้าตัดสินใจเดินทางจากอิริดูไปยังเมืองซิปปาร์ แต่ระหว่างเดินทางไปกับกองคาราวานลาก็ถูกกองโจรดักปล้น พวกมันตัดหูข้าแหว่งไปข้างหนึ่ง”
บุรุษวัยกลางคนผู้ใช้ชีวิตมาอย่างสมบุกสมบันเล่า พลางเอียงหน้าให้เห็นหูข้างซ้ายอันไม่สมประกอบ พาให้หลายผู้อดสูดปากด้วยความเสียวไส้แทนไม่ได้
“แต่โชคดีที่พวกมันไม่เจอทรัพย์สินที่ข้าเก็บซ่อนไว้ในห่อผ้า ข้าจึงพอมีทรัพย์สินติดตัวอยู่บ้าง จึงซื้อลาตัวหนึ่ง แล้วเดินทางไปทาสรับใช้หนุ่มที่บิดาข้าเป็นผู้สรรหามาให้ ข้าเดินทางไปตามนครต่างๆ เจอผู้ร่วมทางมากหน้าหลายตา ถูกโกงไปหลายต่อหลายครั้งจนหมดตัว ท้ายสุดก็ถูกขายตกไปเป็นทาส แต่โชคดีที่นายข้ามองออกว่า ข้าเป็นบุตรคหบดี จึงเอ็นดูข้าเป็นพิเศษ ระหว่างนั้นข้าจึงได้เก็บหอมรอมริบก่อร่างสร้างตัว ปลดตนเองจากการเป็นทาส นายข้าเมื่อเห็นว่า ข้าเป็นผู้ขยันขันแข็งและไว้ใจได้ ประกอบกับเขามีบุตรสาวอยู่นางเดียว เขาจึงยกบุตรีและกิจการตลอดจนสมบัติพัสถานทั้งหลายให้ข้าเป็นผู้สืบต่อ ข้าจึงขนทรัพย์สินและเมียที่ยังสาวกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน วันที่ข้ากลับมาถึง พ่อข้าต้อนรับข้าด้วยงานเลี้ยงอันหรูหรา ส่วนแม่ข้านางสิ้นใจก่อนข้ากลับมาสองปี ตอนนี้กิจการของข้าถือว่า กำลังรุ่งเรืองทีเดียว เมียข้าเองก็ให้กำเนิดบุตรถึงแปดคน”
ต่อจากนั้นสารพันเรื่องราวก็หลั่งไหลออกจากปากของผู้ที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ เหล่าพ่อค้านักเดินทางต่างใช้ช่วงชีวิตสั่งสมเรื่องราว เพื่อรอวันขับขานตำนานของตนเอง รอจนกระแสเรื่องราวยุติลง นักบวชสตรีผู้นิ่งฟังการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผู้อื่นมาครู่ใหญ่จึงได้ทีเล่านิทานลึกลับของตนบ้าง ผู้ฟังอันแวดล้อมอยู่ล้วนประหลาดใจ หากสุดท้ายก็ยินยอมฟังแต่โดยดี
ทุกผู้ล้วนเงียบหยุดฟัง มิเว้นกระทั่งเจ้าชายแห่งบาบิโลเนียแลองครักษ์หนุ่มร่างกำยำ เมื่อสรรพเสียงเงียบงัน นักบวชสตรีจึงเริ่มขับขานนิทานของตน
หล่อนเล่าถึงจอมโจรผู้ทำบาปมาทั้งชีวิตจนมั่งคั่งมหาศาลเกินผู้ใด กระทั่งบั้นปลายแห่งชีวิตมาเยือน ชายชราจึงเริ่มหวาดกลัวต่อการลงทัณฑ์แห่งทวยเทพ ณ ที่ที่วิญญาณทุกดวงมิอาจหลีกหนีการถูกพิพากษาได้ ชายชราจึงเริ่มคิดหาหนทาง ท้ายสุดก็ตัดสินใจติดสินบนเทพเจ้าผู้บันทึกความดีความชั่ว จอมโจรชราเริ่มเพียรบริจาคทานให้แด่นักบวชและผู้ยากไร้ สร้างเทวรูปทองคำประดับอัญมณีไว้เซ่นสรวงบูชาในวิหารส่วนตัว จนเทพเจ้าพระองค์นั้นพอพระทัย ยอมบอกอุบายในการหลีกเลี่ยงการเข้าสู่โลกแห่งความตายอันน่าหวาดกลัว จวบจนจอมโจรชราสามารถรอดพ้นการลงทัณฑ์ไปได้ชั่วนิจนิรันดร์3
สุริยเทพชามาชโคจรต่ำลง เชิญชวนผู้ฟังนิทานปริศนาให้นึกถึงแดนปรภพอันมืดมิดเต็มไปฝุ่นควันที่มหาเทพีอิชทาร์เคยเสด็จไปเยือน เมื่อนิทานสิ้นสุดลง ทุกผู้จึงค่อยรู้ตัวดังคลายมนตร์สะกด องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าอย่างหลากพระทัยเช่นเดียวกับองครักษ์ประจำพระองค์ ทรงรู้สึกว่า...นางช่างเป็นปริศนาดุจความลับแห่งห้วงจักรวาล
สำรับถูกจัดการเรียบร้อย ซิน-มูบัลลิตจึงเป็นผู้จัดการค่าอาหารต่างๆ เสียงทุ้มหนักประหลาดที่กระทบลงบนถาดโลหะ เชิญชวนให้ร่างอันห่อหุ้มด้วยอาภรณ์เรียบหรูจรดเนตรมอง
บนถาดคือ แผ่นโลหะประทับตราสิงห์บิดเบี้ยว คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างรู้สึกคุ้นตาชอบกล
“นี่คือสิ่งใดหรือท่าน?” ซิน-มูบัลลิตเอ่ยถาม คราได้รับโลหะรูปทรงแปลกตามา ทั้งยังเป็นโลหะผสม
“อ้อ เห็นว่า เป็นโลหะเงินผสมทองน่ะท่าน แต่นำโลหะมาตัดแบ่งตามขนาดและน้ำหนักเอาเลย แล้วประทับตรารับรอง มิต้องใช้ตาชั่งวัดให้เสียเวลา เห็นว่า ที่ลิเดียกำลังเป็นที่นิยมทีเดียว ในนครบาบิลิมนานๆ ทีก็จักมีให้เห็นบ้าง เป็นอะไรที่สะดวกทีเดียว”
ด้วยเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย และมีตราแห่งกษัตริย์ลิเดียประทับรับรอง ซิน-มูบัลลิตจึงยินยอมรับโลหะรูปทรงแปลกตามา นลินนาจับจ้องโลหะทรงรีบิดเบี้ยวนิ่งอย่างเด็กน้อยขี้สงสัย
“ฉันขอเจ้านี่ได้ไหมคะ ซิน-มูบัลลิต?”
องครักษ์หนุ่มงุนงง ก่อนจะยินยอมแต่โดยดี “ขอรับ”
แผ่นโลหะถูกวางบนมือบาง นลินนาจับจ้องโลหะทรงรีบิดเบี้ยวไม่วางตา ก่อนนัยน์ตาเบิ่งกว้าง ตระหนักว่า สิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของตนคือ เหรียญกษาปณ์ยุคแรกของโลก แม้รูปทรงจะไม่ได้ประณีตซับซ้อนด้วยเทคนิควิธีและการป้องกันการปลอมแปลงอย่างยุคปัจจุบัน หากเหรียญทรงรีบิดเบี้ยวนี้ก็คือ จุดเริ่มต้นของระบบการเงินอันซับซ้อนของโลก
ในนัยน์ตาบังเกิดประกายสั่นระริกลุกวาว รีบเก็บเหรียญโบราณล้ำค่าลงถุงหนังข้างเอว ใครจะคิดว่า ของสำคัญเช่นนี้จะเดินทางมาไกลราวเทวะดลบันดาล
ครั้นจัดการค่าอาหารเสร็จ แสงสีส้มแดงก็จับไปทั่วฟากฟ้าบาบิโลน เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตร เบือนมามีพระบัญชา
“รีบไปเถิด ป่านนี้ของที่สั่งไว้คงได้แล้ว”
นลินนาพยักพักตร์รับฟัง ยังคงตื่นเต้นกับการพบเหรียญโบราณจนหลงลืมไปสนิทว่า วันนี้หล่อนออกมาด้วยเหตุอันใด
ทั้งสามร่างก้าวเข้าสู่อาคารอิฐดิบอันไม่พลุกพล่านเท่ายามเช้า เสียงตอกสลักศิลาตีเหล็กซาลงจนเกือบเงียบกริบแทนที่ด้วยสุ้มเสียงสกุณาอันบินร่อนกลับรังรวงราวประสงค์หลีกหนีรัตติกาลอันเริ่มโรยตัวลงมา
ด้านมานพหนุ่มครั้นเห็นลูกค้าจากราชสำนักยาตราเข้ามาจึงรีบจรลีไปนำสินค้ามาให้อย่างว่องไว ก่อนเดินกลับมาพร้อมกล่องทองคำลวดลายงดงาม
“เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ ช่างของเราเร่งทำอย่างสุดฝีมือ”
นักบวชสาวจรดมองกล่องทองคำ รับรู้ว่า ตนมาทั้งวันเพื่อเจ้ากล่องนี้ ทว่าพลันพระหัตถ์หนารับของมา แล้วเปิดกล่องออกอ้า นัยน์ตาเรียวสีน้ำตาลเข้มก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ด้วยสิ่งอันนอนแน่นิ่งในนั้นคือ ก้อนศิลาสีโลหิตเกลากลึงเป็นทรงกระบอก สลักเสลาลายได้อย่างประณีตพิสดาร หนำซ้ำยังจำลองลวดลายที่หล่อนวาดไว้ได้ไม่ผิดเพี้ยน เผลอๆ อาจงามกว่าที่หล่อนวาดด้วยซ้ำ เนื่องจากความชำนิชำนาญของช่างฝีมือ
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรก้อนศิลาทรงกระบอกเบื้องพระพักตร์อย่างพอพระทัย ช่างสลักของที่นี่สลักงานได้อย่างงดงามสมทำงานให้แด่ราชสำนัก ทรงทราบ...ก้อนศิลานี้จะงดงามแลทรงคุณค่า หากมีผู้ที่เล็งเห็นคุณค่าใช้มัน พระโอษฐ์อิ่มแดงคลี่รอยแย้มสรวลก่อนรับสั่งด้วยสุรเสียงนุ่มละมุน
“นลินนา สิ่งนี้ข้าให้เจ้า”
พระกระแสรับสั่งพานักบวชสาวตกตะลึงพรึงเพริด
หล่อนจับมองก้อนศิลาสลักเสลางามประหลาดตรงหน้า ก่อนจะยิ่งชะงักงัน เมื่อเจ้าชายหนุ่มประทานกล่องทองคำให้องครักษ์นำไปถือ แลนำตราประทับศิลาผูกประทานที่ข้อมือเธอแทนที่ตราประทับของวิหาร หล่อนจับมองอย่างงงงวย มิคิดว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทำตราประทับนี้เพื่อเธอ แล้วเหตุใดมิทรงตรัสบอกแต่แรก ไยต้องปิดเงียบมาถึงบัดนี้
กระนั้นความงดงามของมันก็พาให้หล่อนอดชื่นชมมิได้ แต่ไหนแต่ไร นลินนามิเคยสนใจทั้งเพชรนิลจินดา เครื่องสำอาง หรือดอกไม้ลดาวัลย์อย่างผู้หญิงทั่วไป หล่อนชมชอบของที่มีคุณค่าและสามารถใช้การได้ อย่างตำรับตำรา เครื่องเขียน หรือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มากกว่า ด้วยหากได้สิ่งของอันงดงาม แต่ใช้การไม่ได้ หล่อนจะเพียงตั้งไว้ประดับเฉยๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ใช้การได้ ทุกคราที่ใช้ หล่อนจะนึกถึงผู้ให้มัน
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงรู้ใจเธอราวทอดพระเนตรเห็นทะลุปรุโปร่ง
หล่อนลูบคลำก้อนศิลาเย็นเฉียบ ละไออบอุ่นพลันอายอวลไปทั่วหัวใจ ริมฝีปากคลี่แย้มอย่างเป็นสุข ก่อนทูลถามเป็นภาษาอราเมอิก “ทำไมถึงทำให้ฉันเหรอคะ?”
หล่อนสงสัยอย่างยิ่ง แม้ไม่แปลกเลยสำหรับราชวงศ์คัชดูอันมั่งคั่งที่สามารถประทานของล้ำค่าแก่ข้าราชบริพารได้ราวกับการนำน้ำมันดินอันมีมากมายในดินแดนแถบนี้ไปเทเล่น
หากพระพักตร์ของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชกลับมีเพียงรอยแย้มสรวลปรากฏเท่านั้น “ข้าคิดว่า เจ้าคงไม่มีตราประทับเป็นของตนเอง”
นักบวชสาวนิ่งขึงไปครู่ ด้วยตนยังไม่มีจริงๆ
“ต่อจากนี้เราอาจต้องส่งสาส์นถึงกัน หากเจ้าใช้ตราประทับนี้ประทับมา ข้าจักได้รู้ว่า สาส์นนั้นมาจากเจ้า ที่สำคัญ...เจ้าก็บรรลุนิติภาวะแล้ว สมควรมีตราประทับเป็นของตนเอง เผื่อใช้ผนึกของ หรือทำธุรกรรมอันใด จะได้ไม่ต้องไปใช้รวมกับคนอื่น”
หล่อนรับฟังพระวาจาอันเปี่ยมไปด้วยเหตุผล ตระหนักได้ว่า หีบของของเธอยังคงผนึกด้วยตราประทับของวิหารอยู่ หากมีผู้ใดเปิดขึ้น แล้วประทับตราลงไปใหม่ก็ยากจะรู้ว่า เป็นฝีมือใคร การที่เธอมีตราประทับของตนถือเป็นเรื่องสมควร เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงเปี่ยมด้วยปรีชาญาณและรอบคอบเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะรักษาอย่างดี”
ร่างเพรียวยิ้มแป้น ฝ่ามือบางยังคงลูบไล้ก้อนศิลาสีโลหิต มองลายหน้ากาลอันถมึงทึง ทว่าบัดนี้ด้วยความปีติยินดี แม้เนตรเหลือกโปนก็ดูน่ารักขึ้นได้
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทอดพระเนตรอาการยินดีของสตรีตรงหน้า ศิลาสีโลหิตช่างเข้ากับผิวสีงาช้างของนางอย่างทรงตรึกตรองไว้จริงๆ ยอมรับว่า ทรงดำริถูกเรื่องการทำตราประทับให้นาง
ครั้นทอดพระเนตรว่า สุริยเทพชามาชกำลังเสด็จลับจากขอบนภาจึงมีรับสั่งให้ทุกคนโดยเสด็จกลับ
ร่างเพรียวสั่นศีรษะรับอย่างเห็นดี เดินตามเสด็จไป ขณะจิตใจยังคงจดจ่อกับตราประทับหินคาร์เนเลียนสีแดงงดงาม
องค์ขัตติยะหนุ่มนำเธอมาส่งคืนวิหารได้ทันก่อนจันทรเทพจักโคจรขึ้นครองโพยมมณฑล บัดนี้เสียงสังวัธยายมนตรายามสนธยากาลสงัดเงียบลงแล้ว คงเหลือเพียงเสียงกลองและเขาสัตว์อันลากช้าบรรเลงเป็นจังหวะสุดท้าย เจ้าชายหนุ่มแลองครักษ์คู่พระทัยทรงสวดสดุดีแด่มหาเทพีอิชทาร์ มหาเทพีผู้ครอบครองความศรัทธาของชาวเมโสโปเตเมีย ท่ามกลางเทพบุรุษได้อย่างน่าอัศจรรย์
นักบวชสาวยังคงเคล้าคลึงตราประทับศิลาบนข้อมืออย่างเพลิดเพลิน ครั้นรถศึกตะบึงลับสายตาไป นลินนาจึงกรายผ่านสิงห์อารักษ์หน้าวิหารขึ้นสู่ด้านบน
ในมณฑลพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้สาวกแห่งมหาเทพีต่างพากันแยกย้ายหลังจบพิธี มีเพียงหัวหน้านักบวชผู้ยังคงภาวนาอยู่ในห้องบูชาชั้นใน
ร่างอันเด่นชัดในคลองสายตาของนลินนาที่สุดคือ นินซา ยามนี้ ร่างของนักบวชพี่เลี้ยงสาวสะอาดปราศจากมลทิน กลิ่นไหม้ของกำยานมดยอบติดตรึงตามอาภรณ์และผิวกาย ทั้งที่เมื่อครู่แววเนตรสงบนิ่ง ทว่าครั้นประสบพักตร์ของสตรีผู้หายหน้าไปทั้งวันก็บังเกิดประกายแวววาวในนัยน์ตาทันที
“วันนี้เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?” นักบวชพี่เลี้ยงถามประหนึ่งเป็นมารดา
“หลายอย่างเลยแหละ ทรงพาไปเที่ยวมาหลายที่เลย จริงๆ ที่ไปวันนี้ เพราะจะทรงทำนี่ให้ แต่อยากให้ฉันเลือกลายเอง” ว่าพลางยกตราประทับศิลาขึ้นอวด ใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาเป็นประกาย ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มแจ่มใสตลอดเวลา บอกเล่าเรื่องราวในวันนี้ด้วยความเริงร่า เอ่ยถึงพระนามองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียหลายต่อหลายครั้งจนชวนสะดุดใจ
“หากแค่ทำตราประทับ เหตุใดต้องพาหายไปทั้งวัน?”
คำถามของนินซา พาให้ผู้ถูกถามนิ่งคิด ด้วยตนก็ยังคงหาเหตุผลไม่ได้
ด้านนินซา ครั้นเห็นผู้ถูกถามนิ่งอั้นไปเช่นนั้นก็แย้มละไม คำทำนายแห่งนางมิเคยผิดเพี้ยน
นลินนาจักได้พบกับบุรุษผู้เป็นดั่งโชคชะตา
“ที่เสด็จไปวันนี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
พลันเจ้าชายองค์ที่สามแห่งราชวงศ์คัชดูยาตราเข้ามา มหาดเล็กจึงหยุดงานทันควัน
บัดนี้พระวรองค์สูงสง่าแห่งองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียหลงเหลือเพียงทูนิกผ้าฝ้ายเนื้อบางชั้นเดียวห่อหุ้มพระวรกาย พัสตราภรณ์ขนสัตว์หนารุ่มร่ามถูกปลดเปลื้อง เผยให้เห็นพระมังสาอันเรียบเนียน มีรอยต้องศัสตราวุธเป็นบางส่วนอันบังเกิดจากการฝึกฝน เพื่อความเป็นกษัตริย์นักรบดั่งกษัตริย์ทุกพระองค์ผู้ปกป้องบาบิโลเนีย
พลันพยักพักตร์ มหาดเล็กจึงหายไปจากห้องสรงราวละอองหมอกยามต้องประกายแดด
ทูนิกชั้นเดียวถูกปลดเปลื้องลง หลงเหลือเพียงพระวรกายเปล่าเปลือย
“ก็สนุกดี” รับสั่ง ขณะก้าวลงสู่อ่างสรง รอยแย้มพระสรวลละไมผุดขึ้นจาง ๆ
แม้เห็นเพียงเบื้องพระปฤษฎางค์ หากเจ้าชายนาโบนัสซาร์ย่อมทราบดี วันนี้พระเชษฐาทรงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แค่นี้ก็ทรงทราบว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้น
“ความจริง หม่อมฉันคิดว่า เสด็จพี่มิเห็นต้องเสด็จไปเอง ทรงสั่งช่างหลวงเอาก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องลายก็ส่งคนไปรับมาจากนางเท่านั้น มิเห็นต้องเสด็จไปจัดการเองให้ยุ่งยาก หนำซ้ำศิลาก้อนที่ทำเป็นตราประทับให้นาง ยังเป็นศิลาของเสด็จพี่เอง”
แม้พระอนุชาจักกราบทูลยาวเหยียด หากพระเชษฐายังคงเงียบงัน มิเอื้อนเอ่ยวจนาใด ๆ เจ้าชายนาโบนัสซาร์ปรารถนาจะทรงทราบเหลือเกินว่า ถ้านลินนารู้ว่า ตราประทับของนางสรรค์จากศิลาที่เสด็จพี่เพชกัลดาราเมชซื้อตั้งแต่ครั้งเสด็จประพาสตลาดรอบที่แล้วจะเป็นอย่างไร ศิลาอันองค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียมักนำขึ้นมาทอดพระเนตรแลเคล้าคลึงในพระหัตถ์ทุกครั้งในยามว่าง
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทรงทราบ ความรักมักบังเกิดขึ้นยามเราไม่รู้ตัวแลไม่ทันตั้งตัว แปรผู้ทรงสติเป็นผู้ขาดสติ และแปรผู้ทรงปัญญาเป็นผู้โง่เขลาโง่งม ความรักเป็นสิ่งที่งดงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
“แล้วเจ้าได้กราบทูลเรื่องนั้นต่อเสด็จพ่อและซามูลาเอลหรือยัง?”
องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียมักโปรดรับสั่งว่า ‘เรื่องนั้น’ ด้วยจงใจให้รู้เฉพาะวงใน และเรื่องนั้นในยามนี้ก็หมายถึง เรื่องที่ธิดาแห่งอิชทาร์กราบทูลเมื่อราตรีที่แล้ว
พระอนุชาส่ายพระเศียร “ยังพ่ะย่ะค่ะ เรื่องกราบทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันเห็นว่า ควรเป็นหน้าที่ของเสด็จพี่ ส่วนเสด็จพี่ซามูลาเอล หม่อมฉันเห็นว่า ควรหาจังหวะกราบทูลดี ๆ ด้วยขืนเสด็จพี่ซามูลาเอลทรงทราบ เรื่องนี้อาจมิยุติลงง่าย ๆ แลถ้าไม่ทรงทราบ พอมาทราบเองในภายหลังก็อาจกริ้วได้อีก”
เจ้าชายเพชกัลดาราเมชพยักพระพักตร์อย่างเห็นงาม นาโบนัสซาร์เข้าใจอุปนิสัยของซามูลาเอลดี
ต่อไปนี้จักทำอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ต้องมีพระดำริอย่างถี่ถ้วน กระนั้นก็ทรงทราบดี หากต้องการบำราบศึกนอก สิ่งที่ต้องทรงจัดการก่อนคือ ศึกใน
1 ซิลา(sila) เป็นหน่วยวัดปริมาณของเหลว เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน 1 ซิลาจะเท่ากับประมาณ 1 ลิตร
2 เดือนดูซู(Du'ûzu) เทียบได้กับเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมในยุคปัจจุบัน มีประมาณ 29 วัน เนื่องจากบาบิโลเนียใช้ปฏิทินแบบจันทรคติ ทำให้จำนวนวันในแต่ละเดือนไม่ค่อยแน่นอน
3 อ้างอิงเค้าโครงจากวรรณกรรมสันสกฤตเรื่อง “สิงหวิกรม”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เซธ-เวเรทกลับมาแล้วค่า ขอประทานโทษที่หายไปนานนะคะ ส่วนหนึ่งเพราะว่า ช่วงนี้สภาพอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไร และตอนเขียนร่างแรกคือ การเขียนมั่วๆ เลย ทั้งอารมณ์ และบรรยากาศของเรื่องเลยไม่ได้ ทำให้ต้องนั่งรื้อใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ ก็เลยปริ้นท์งานออกมา แล้วใช้นั่งเขียนแก้แทน ในเวลาตันๆ เขียนงานไม่ออก การเปลี่ยนจากพิมพ์งานในคอมฯ มาเขียนในกระดาษนี่ช่วยได้ดีทุกครั้งเลยค่ะ ถึงอย่างไรก็ขอโทษนะคะที่บอกว่า ปิดเทอมจะมาต่อ แต่ดันมาต่อได้นิดเดียว ก็เลยขอแก้ตัวด้วยความยาวของตอนนี้แล้วกันนะคะ
เห็นมีคนบ่นว่า พระ-นางเราไม่หวานสักที แถมเนื้อเรื่องเราก็เครียดมาหลายตอนแล้ว เลยคิดว่า เอาผ่อนคลายๆ สักตอนแล้วกัน ซึ่งเซธก็ยังรู้สึกว่า มันก็ไม่ผ่อนคลายเท่าไรนะ แต่ก็ถือว่า ผ่อนคลายแล้วกันค่ะ เพราะตอนถัดไปเนื้อเรื่องก็อาจกลับมาหนักเหมือนเดิม ถึงอย่างไรก็คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ เห็นตอนที่แล้วมีคนมาคอมเมนต์ดีใจมากๆ เลยค่ะ ช่วงนั้นกำลังเครียดอยู่พอดี พออ่านคอมเมนต์เสร็จ ก็รีบไปโม้กับพื่อนหน้าบานเลยค่ะ ไม่คิดว่า จะมีคนอ่านที่เป็นนักเรียนด้วย และก็ดีใจมากๆ ที่นิยายของเซธทำให้ทำข้อสอบได้นะคะ อยากรู้มากเลยค่ะว่า คำถามในข้อสอบคืออะไร ที่นิยายเซธฯช่วยให้ตอบได้
ถึงอย่างไรก็สามารถคอมเมนต์ติชมกันได้นะคะ เป็นตอนที่ไม่มีอะไร แต่เขียนออกมาได้ยาวมาก อืดไป อะไรยังไงก็บอกได้นะคะ เอาจริงๆ การเขียนนิยายก็เหมือนการทำอาหารค่ะ ถ้าอยากกินรสชาติแบบไหนก็สามารถบอกได้นะคะ แต่แม่ครัวจะทำได้ถูกปากหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ค่ะ
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2560, 20:54:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2560, 20:54:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 708
<< มัตติกาจารึกเเผ่นที่ 16 |
แว่นใส 5 ส.ค. 2560, 17:36:17 น.
ออกเดตใช่ไหมนะงานนี้
ออกเดตใช่ไหมนะงานนี้