ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกเเผ่นที่ 16
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๖
วัตถุลี้ลับสีดำถูกวางลงเรียงรายเบื้องพระพักตร์เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลเจ้าชายนาโบนัสซาร์ ณ ที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนีย สุ้มเสียงแห่งนักบวชสตรีก้องกังวาน เปิดเผยทั้งชะตานคร และความลับของตัวนางเอง ทุกอย่างอื้ออึ้งในพระกรรณราวอยู่ในห้วงสุญญากาศ
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรพระพักตร์พระเชษฐา พระพักตร์เคร่งขรึมเรียบนิ่งดั่งผ้าขึงไว้ พระโอษฐ์รีดเรียบสนิท ไม่มีแม้กระทั่งพระอาการทอดถอนปัสสาสะ ทรงสดับ แลครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโอรสองค์ที่สามในกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาประทับนั่งมิไหวพระองค์ แทบมิเชื่อกับสิ่งอันได้สดับกับพระกรรณ ทั้งเรื่องชะตากรรมแห่งบาบิโลน ความวุ่นวาย และการก่อกบฏแห่งราชบัลลังก์ จวบกระทั่งสถานที่ที่นางจากมา
เจ้าชายหนุ่มทรงทราบดี คราพบนางที่วิหารอีซากีลา นางนุ่งอาภรณ์แปลกประหลาด กายเปียกชุ่ม ถุงผ้าลวดลายประหลาดที่พวกพระองค์เก็บมาได้นั้นซุกซ่อนความลับนานาประการของธิดาแห่งยุทธเทพี ทรงพยายามทำอะไรหลายอย่างเพื่อพิสูจน์วัตถุลี้ลับเหล่านั้น แต่ก็จนด้วยพระปรีชา วัตถุเหล่านี้มิอาจสร้างได้ในอาณาจักรใดๆ ที่พระองค์รู้จัก เป็นประจักษ์พยานว่า สิ่งที่สตรีเบื้องหน้าพระองค์กล่าวมาคือ ความจริง
บัดนี้ดวงหน้างดงามต้องแสงตะเกียงฉายแววเคร่งขรึม เรียวตาสีน้ำตาลเข้มเงยสบอย่างเด็ดเดี่ยว กลบเกลื่อนความหวาดหวั่นภายในใจได้สนิท เป็นอาการของผู้ยอมรับทุกอย่างโดยดุษณี ทรงทราบว่า ก่อนมา นางคงเตรียมใจรับผลมาเช่นเดียวกัน
เจ้าชายนาโบนัสซาร์แปรพระเนตรไปยังพระเชษฐา พระวรองค์ตระหง่านในพัสตราภรณ์สีเข้มประทับสง่าประดุจเทวรูปมหาเทพมาร์ดุค
ในที่สุด วรองค์นั้นก็ยอมขยับ มีเสียงทอดถอนพระปัสสาสะบ่งบอกพระอารมณ์อันสะกดกลั้นไว้ ก่อนจักมีกระแสรับสั่ง
“นี่คือ ทั้งหมดที่เจ้าทราบใช่หรือไม่?”
สตรีผู้อ้างว่ามาจากอนาคตกาลพยักหน้า เสียงสงบนิ่งแฝงแววหวาดหวั่น “เพคะ...นี่คือทุกอย่างที่หม่อมฉันทราบ”
เนตรคมราวดาบเหล็กก้มลงสบ ทอดพระเนตรนัยน์ตาเรียวอันปราศจากแววโป้ปดใด ๆ กระนั้นกลับทรงทำพระทัยเชื่อยาก สตรีนางหนึ่งผู้มาจากอนาคต ในยุคที่อาณาจักรแห่งพระองค์ถล่มราบเป็นกองดิน เป็นดินแดนอันไม่สงบและเต็มไปด้วยสงคราม ตลอดจนความขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจในยุคนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ...ทั้งพระองค์ และพระบิดา ตลอดจนพระญาติหลายพระองค์มิเคยมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ แลที่น่าคับแค้น บาบิโลเนียสิ้นชาติด้วยความอ่อนแอของตนเอง แลด้วยชนเผ่าเร่ร่อนอันเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเมเดส
สตรีเบื้องพระพักตร์นั่งไม่ไหวติง ก่อนจักกราบทูล “ที่หม่อมฉันมากราบทูลก็เพื่อให้พระองค์ได้รับทราบ เราต้องร่วมกันหาทางแก้ ขณะนี้หม่อมฉันไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับบาบิลิมทั้งสิ้น ไม่รู้ว่า นอกอาณาเขตของราชอาณาจักรไปเป็นเช่นไร รู้เพียงเราต้องป้องกันทั้งศึกนอก และศึกใน ตอนนี้บัลลังก์บาบิลิมมั่นคงขึ้น เพราะตอนนี้พระองค์ได้สิทธิปกครองร่วมกับพระราชบิดา แต่ปัญหาคือ แม่ทัพเนริกลิสซาร์ แลขุนนางนาโบนิดัส เป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียในประวัติศาสตร์ยุคของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ทราบว่า พวกเขาจะทำอย่างไร แต่ถ้าตอนนี้บัลลังก์แห่งบาบิลิมเข้มแข็งดี แน่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่อาจหาทางมายึดครองราชบัลลังก์ได้ ที่น่ากลัวคือ คนเร่ร่อน เท่าที่ทราบ หม่อมฉันรู้เพียงว่า กองทัพของพวกเขาร้ายกาจนัก เลียนแบบการรบของพวกซูบาร์ตู เชี่ยวชาญทั้งการขี่ม้าและธนู เราไม่สามารถรบระยะประชิดกับพวกเขาได้เลย แต่ตราบใดที่เหตุยังไม่เกิด หม่อมฉันมิอยากให้บาบิโลเนียยกทัพไปกำราบ...”
ร่างสูงโปร่งกราบทูลยาวเหยียด ก่อนจักชะงักปากเมื่อรู้ว่า ตนกราบทูลมากเกินไป จึงอุบเงียบลง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชยังคงประทับนิ่ง แล้วจึงรับสั่ง
“ข้าเข้าใจความเป็นห่วงของเจ้าดีนลินนา” พระโอษฐ์เม้มสนิทของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชผุดรอยแย้มพระสรวล ทว่าหญิงสาวไม่เข้าใจว่า มันเป็นรอยยิ้มปลอบประโลมเธอ ฤารอยยิ้มขมขื่นกันแน่ “แต่บาบิโลเนีย ไม่สิ...ดินแดนแถบนี้ต้องเผชิญกับการรุกรานของชนเร่ร่อนอยู่ตลอด ชาวคัชดูเอง แต่เดิมเองก็เป็นชนเร่ร่อน ข้าจึงทราบดีว่า มันเป็นวัฏจักรของดินแดนแห่งเรา ราชบัลลังก์หากมีกษัตริย์ผู้เปี่ยมความสามารถ มีหรือที่จักมีผู้กบฏได้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น แลการมีอยู่ของราชวงศ์คัชดูก็คงเป็นที่ประจักษ์แก่เจ้าแล้วว่า ทวยเทพยังคงโปรดพวกเราอยู่ เจ้าอย่าได้กังวล”
สตรีจากอนาคตกาลนิ่งฟัง กำลังคิดว่า องค์รัชทายาทหนุ่มปลอบใจเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่ตระหนักคือ หล่อนคิดถูกที่มากราบทูลเจ้าชายแห่งบาบิลิม ความอึดอัดคับข้องใจเบาบางลง นลินนารับรู้เพียงว่า มิว่า ยามใดก็ตาม เจ้าชายเพชกัลป์ดาราเมชทรงเป็นที่พึ่งได้เสมอ
ด้วยบรรยากาศอึดอัดยังคงดำเนินไป เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงทรงทำลายบรรยากาศนั้นลง “ใช่แล้ว นลินนา นี่คือปัญหาของพวกเรา เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย อีกมินานจักถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าคิดว่า เจ้าคงให้เกียรติร่วมโต๊ะกับเรา เสด็จพ่อตรัสถึงเจ้ามาหลายคราแล้วว่า อยากให้เจ้าร่วมโต๊ะด้วย หวังว่า เจ้าคงไม่ปฏิเสธ”
หญิงสาวรับฟังด้วยความตกตะลึง มิคิดว่า การมากราบทูลเรื่องสำคัญจะนำพามาถึงเรื่องนี้ได้
“แต่หม่อมฉันว่า...”
ทีแรกหล่อนคิดว่า จะปฏิเสธ ทว่าสิ้นหนทางเสียแล้ว “นลินนา เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย ข้าคิดว่า เสด็จพี่ก็อยากให้เจ้าอยู่ด้วย”
สตรีจากอนาคตกาลฟัง พลางหันไปทางราชโอรสองค์โตแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ทว่าผู้ถูกกล่าวถึงกลับประทับนิ่ง แปรสายพระเนตรไปยังโต๊ะทรงงานอันเต็มไปด้วยแผ่นดินเหนียวเผาไฟ
ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าดังก้องเข้ามา พร้อมกับเสียงกราบทูลที่ดังตะโกนมาไกล ๆ ด้วยองค์รัชทายาทหนุ่มมีพระบัญชาตั้งแต่พาเธอย่างกรายมายังที่พำนักส่วนพระองค์ว่า ห้ามผู้ใดเข้าใกล้บริเวณนี้เป็นอันขาด เพื่อกันมิให้ข้อกราบทูลของเธอรั่วไหลออกไป ดังนั้น ทุกผู้ที่มาเข้าเฝ้าจึงต้องเดินฝีเท้าดังชัด และตะเบ็งเสียงกราบทูล เพื่อแสดงตน และความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มาดักฟัง
“ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สดับดังนั้น เจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็แย้มพระสรวลละมุนกว้างทันที นลินนาจึงจำยอมอย่างเสียมิได้ นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตนใส่ลงกระเป๋าดังเดิม และวางตรงเก้าอี้ เพราะคงนำติดตัวไปรับประทานอาหารเย็นด้วยไม่ได้
ครั้นเห็นอาการยินยอมของนักบวชสตรีเบื้องหน้าพระองค์ เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงแย้มพระสรวลพึงพระทัย แล้วทรงพระดำเนินนำไปอย่างรู้งาน ทิ้งพระเชษฐาพระองค์โตไว้เพียงลำพัง เพื่อให้ทรงครุ่นคิดสักพัก
คล้อยหลังพระอนุชาและธิดาแห่งอิชทาร์ไป โอรสแห่งมาร์ดุคจึงค่อยคลายพระอิริยาบถ พระเนตรสีเข้มฉายแววล้ำลึกครุ่นคิด ดำริถึงสิ่งที่นลินนากราบทูลให้พระองค์ฟัง แม้ทุกอย่างจักเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสให้นลินนาฟังไป ทว่าจักทรงทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งแม่ทัพเนริกลิสซาร์ ขุนนางนาโบนิดัส และชนเร่ร่อนใต้อำนาจอาณาจักรเมเดส ด้านชนเร่ร่อนทรงทราบว่า ชาวเมเดสต้องเป็นผู้จัดการ ด้วยความเป็นพันธมิตรกันในสมัยพระอัยกา การจัดการเรื่องนี้มิยากเย็น เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจของทางเมเดสเป็นทุนเดิม แต่ทางฝั่งบาบิลิมเล่าจักจัดการฉันใด ทรงทราบ...นี่มิใช่งานง่ายเลย
บรรยากาศบนโต๊ะเสวยเป็นไปอย่างครื้นเครง ในประดาพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาดูจะพระอารมณ์ดีที่สุด เนื่องจากแต่ก่อนบนโต๊ะเสวยจักมีสตรีเพียงสองนางคือ พระมารดาแลตัวพระองค์เอง ถึงกระนั้นพระมารดาก็มักเสวยด้วยพระอิริยาบถสง่านุ่มนวล ตรัสนับคำได้ ผู้จรรโลงให้พระกระยาหารคล่องคอจึงมีเพียงเจ้าชายนาโบนัสซาร์และเจ้าหญิงพระองค์น้อยเท่านั้น แลครั้งนี้เจ้าหญิงพระองค์น้อยก็ยิ่งพระอารมณ์ดีขึ้นไปอีก เมื่อมีพระสหายหญิงนั่งชิดกัน
“คราวหน้าเสด็จพ่อเชิญท่านนลินนามาที่นี่บ่อย ๆ นะเพคะ มาแค่ร่วมโต๊ะเสวยก็ยังดี วันก่อนหม่อมฉันกับท่านนลินนาเดินเล่นกันสนุกมากเลยเพคะ”
เจ้าหญิงพระองค์น้อยกราบทูลเสด็จพ่อด้วยพระอิริยาบถน่าเอ็นดู ปรกติ...กษัตริย์อาเคอร์ดูอานามักทำพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่ตลอด แต่ยามมีพระปฏิสันถารกับพระธิดา พระเนตรสงบนิ่งนั้นมักมีแววปรานีอย่างยิ่ง ด้วยทรงมีพระโอรสถึงสี่พระองค์ แต่มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว ก็ย่อมเป็นแก้วตาดวงใจเป็นธรรมดา
“มิได้หรอกนันนา นักบวชมีกิจมากมายต้องกระทำ ท่านนลินนาเองก็มีเรียนเช่นกัน คงจักเทียวไปเทียวมาเพราะเจ้าไม่ได้”
ครั้นได้ยินกระแสรับสั่งดังนั้น พระพักตร์อ่อนใสก็มุ่ยลงทันควัน “โธ่ เสด็จพ่อก็....” พระอิริยาบถเช่นนั้นเรียกเสียงสรวลจากประดาผู้ร่วมโต๊ะได้เป็นอย่างดี
นลินนาเองก็พลอยเริงรื่นไปด้วย รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นอย่างครอบครัวจริงๆ ด้วยครอบครัวของนลินนาหากนับจริง ๆ ก็มีเพียงมารดากับตัวเธอ การร่วมโต๊ะกันแต่ละครั้งล้วนเงียบเหงา แม้จะมีการพูดคุยกับบ้าง แต่ท่าทางมารดาที่หลายครั้งเคร่งเครียดกับงานก็ทำให้นลินนาไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ หลายคราความกังวลหลายอย่างจึงมักถูกเก็บไว้กับตัว
“แล้วท่านนลินนาเล่า ข้าทราบมาจากหัวหน้านักบวชว่า การเรียนของท่านก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้กำลังเรียนอะไรหรือ?” กษัตริย์อาเคอร์ดูอานามีกระแสรับสั่งถามเป็นภาษาอัคคัดด้วยความเอ็นดู นักบวชสาวรู้สึกราวกับเป็นธิดาองค์หนึ่งของพระองค์
“ตอนนี้หม่อมฉันกำลังศึกษาโหราศาสตร์ดาราศาสตร์เพคะ แล้วก็กำลังฝึกเล่นดนตรีอยู่ นักบวชพี่เลี้ยงบอกแก่หม่อมฉันว่า ถ้าเล่นดนตรีได้คล่องแล้ว จะให้หม่อมฉันฝึกร่ายรำบูชา”
“ถ้าเรื่องดนตรีมีอะไรท่านควรปรึกษานาโบนัสซาร์ เรื่องดนตรีไม่มีใครเก่งไปกว่าเขา เขาบรรเลงพิณได้ไพเราะมาก”
“ใช่ นลินนา ถ้าเจ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้ แต่เอาจริงๆ เสด็จพี่ราเมชเองก็เก่งไม่ด้อยกว่าข้า เจ้าให้เสด็จพี่สอนจักดีกว่า” เจ้าชายนาโบนัสซาร์รับสั่งอย่างแจ่มใส พระโอษฐ์อมยิ้ม ส่วนหญิงสาวจากอนาคตกาลยิ้มแหย ไม่ทราบว่า รู้สึกไปเองหรือไม่ว่า เจ้าชายนาโบนัสซาร์พยายามให้เธอใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิม
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเองก็มีนักดนตรีที่วิหารคอยช่วยฝึกปรืออยู่เช่นกัน”
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตร พลางทำพระพักตร์เสียดาย เมื่อการสนทนาขาดช่วง เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาผู้คอยท่าอยู่แล้วจึงชิงกราบทูลพระบิดาอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมีบางสิ่งจะทูลขอเพคะ”
พระหัตถ์ที่กำลังบิขนมปังธัญพืชจิ้มแกงใส่โอษฐ์ชะงักลง “อะไรหรือนันนา?”
เจ้าหญิงพระองค์น้อยหันมาทางพระสหาย แล้วจึงหันไปมีรับสั่งแจ่มใสกับพระบิดา “หม่อมฉันอยากเป็นภัณฑารักษ์ที่พระราชวังเหนือเพคะ!”
สิ้นรับสั่ง ทั่วห้องเสวยก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุม นักบวชสาวมือเย็นเยียบ ใจเสียววาบ เนื้อไก่ที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเข้าปากรสชาติฝืดเฝื่อนในทันที
“เจ้าว่าอย่างไรนะนันนา?” กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาคล้ายไม่เชื่อในพระกรรณ ทรงได้ยินถึงภัณฑารักษ์ หรืออะไรสักอย่าง
“หม่อมฉันอยากเป็นภัณฑารักษ์ที่พระราชวังเหนือเพคะ” พระธิดายังคงกราบทูลอย่างแจ่มใส ขณะพระมารดาเริ่มล้างพระหัตถ์ พลางใช้ภูษาเช็ดพระหัตถ์ซับค่อย ๆ
“ภัณฑารักษ์ที่เจ้าว่า คือสิ่งใด?”
พระเนตรเรียวคมอย่างชนเซมิติคเบือนมาทางพระสหาย พร้อมแย้มพระสรวลร่า “ท่านนลินนาบอกหม่อมฉันว่า มันเป็นอาชีพที่คอยดูแลสิ่งของเพคะ หม่อมฉันเห็นเสด็จพ่อตรัสว่า ของในพระราชวังเหนือที่รวบรวมมายังหาผู้ดูแลมิได้ หม่อมฉันจึงอยากเสนอตัว”
สดับดังนั้น ประดาพระเชษฐาก็แทบส่ายพระเศียร ขณะพระบิดาทอดพระเนตรพระธิดาพระองค์เดียวราวกำลังหาอะไรบางอย่าง มีเพียงพระมารดาที่ประทับนิ่ง ส่วนนลินนา หล่อนแทบจะอยากตายเสียตรงนี้ ใครจะคิดเล่าว่า คำพูดเล่น ๆ ของเธอจะทำให้ห้องเสวยเงียบงันถึงเพียงนี้
“นันนา...เจ้าสิบสี่แล้ว” พระราชบิดาย้ำช้าชัด สิบสี่ในพุทธศตวรรษที่ ๒๖ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ หมายถึง ยังเด็กเกินไป แต่สำหรับเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อน สิบสี่หมายถึงใกล้ถึงวัยออกเรือน ควรแก่การสงวนตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว
กระแสรับสั่งของพระราชบิดา พาเอาพระธิดาพระพักตร์มุ่ย ทรงทราบว่า สักวันพระราชบิดาต้องรับสั่งเช่นนี้ แลสักวันจักต้องออกเรือนไปกับบุรุษสักคนที่เสด็จพ่อไว้วางพระทัย แม้จักทรงเข้าพระทัยเหตุผล แต่พระหทัยกลับไม่อยากยอมรับมัน
เมื่อเห็นทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเงียบงัน พระเชษฐาองค์โต เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงมีรับสั่งขึ้น “นันนา...หากเจ้ายินยอมไปเป็นนักบวชสตรีแต่แรก บางทีเจ้าอาจจักได้รับโอกาสนี้ หากเจ้าปรารถนาจักไปดูแลของในพระราชวังเหนือจริง ๆ เจ้าต้องรู้ทั้งภาษาอัคคัด แลภาษาซูเมอร์ อ่านออก แลเขียนได้ ของทุกอย่างจักต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าทำได้”
พระขนิษฐาสดับฟัง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักพระพักตร์ ทรงเชื่อว่า สามารถทำได้
“แล้วเจ้าจักทำอย่างไร?” องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมเค้นถาม นลินนาพลอยใจระทึกตามเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา
“หม่อมฉัน...หม่อมฉันจะเรียนเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่า สามารถทำได้ ส่วนเรื่องออกเรือน ก็เลื่อนไปสักสองปี ก็คงทัน...” ประโยคท้าย ๆ รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเบาหวิว
“เรียนหรือ?”
“เพคะ” พระวรองค์ของเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาดูจะหดเล็กลงทุกที นักบวชสาวไม่แน่ใจว่า ตอนนี้ตนควรก้าวก่ายหรือไม่
“เจ้าคงรู้ น้อยผู้นักจักสามารถใช้ภาษาซูเมอร์แลอัคคัดได้ การจะเรียนต้องใช้ความพยายามอย่างสูง โดยเฉพาะต้องศึกษาให้แตกฉาน เจ้าแน่ใจหรือว่าไหว?”
“หม่อมฉันแน่ใจว่า ไหวเพคะ”
พระเชษฐาองค์โตรับฟังอย่างพระทัยเย็น จากนั้นจึงเบือนพระพักตร์มายังผู้ดำรงตำแหน่งนักบวชสตรี “เจ้าคิดเห็นเช่นไร นลินนา?”
ร่างในอาภรณ์ขาวผิดแผกกับผู้อื่นนิ่งอั้นไปชั่วครู่ แล้วจึงเบือนไปมองพระวรองค์อวบอิ่มน่าเอ็นดูซึ่งดูราวจะขอความเห็นใจ
“หม่อมฉันคิดว่า ถ้าพยายามก็สามารถทำได้เพคะ ในวิหารมีนักบวชหลายท่านที่เชี่ยวชาญภาษาซูเมอร์แลอัคคัด ให้เข้ามาสอนในพระราชวัง ถ้าให้มาสอนทุกวัน แลหัดใช้บ่อย ๆ หากทรงพยายามสักครึ่งปีก็ใช้ได้คล่องเพคะ แลสักสามเดือนก็คงพอพูดได้แล้ว”
ครั้นได้ยินถ้อยกราบทูลของเธอ เจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็พยักพระพักตร์เป็นเชิงรับ แล้วจึงหันไปกราบทูลพระราชบิดา “เสด็จพ่อคิดเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
บัดนี้พระวรองค์ของกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียตรึงนิ่ง ดูราวกับหุบผาโดดเดี่ยวในคืนเดือนมืด พระพักตร์ปรากฏรอยครุ่นคิดแลหนักพระทัย ทอดพระเนตรอาการสลดพระราชธิดาเพียงองค์เดียว จากนั้นจึงมีเสียงถอนพระปัสสาสะหนักยาว “ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามท่านนลินนาพูด ถ้าร่ำเรียนได้ครบแล้วค่อยมาว่ากัน นั่นหมายถึงเจ้าต้องเรียนศาสตร์ด้านอื่นอย่างที่นักบวชเรียนด้วย เข้าใจหรือไม่นันนา?”
พลันได้ยินพระราชดำรัสจากพระบิดา พระพักตร์จึงพลันแช่มชื่น ฉีกรอยแย้มพระสรวลกว้าง ขานเสียงดัง “เพคะ!” จากนั้นจึงหันมาจับหัตถ์พระสหายอย่างยินดี หญิงสาวพลันเห็นอาการเช่นนี้ก็อดปลาบปลื้มไปด้วยไม่ได้ รู้สึกราวกับตนเองตอนมารดาอนุญาตให้เลือกคณะและมหาวิทยาลัยเองอย่างไรอย่างนั้น
สิ้นบรรยากาศเคร่งเครียดไป เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงตบพระหัตถ์เรียกนักเล่านิทาน นักดนตรี แลนางระบำเข้ามา นอกจากการเล่านิทานอันต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณแล้ว ทุกคนล้วนถูกใจในนางระบำรูปร่างอวบอิ่มผู้สวมใส่อาภรณ์มิดชิดเป็นที่สุด ทุกผู้ต่างขำขันกับมุกตลกของนักเล่านิทานผู้รอนแรมในท้องทะเลทราย นิทานอันถูกเล่าขานสืบต่อยามชนเผ่าเร่ร่อนชุมนุมพบปะกันถูกร้อยเรียงเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ จวบจนมืดค่ำนักบวชสาวก็ตระหนักว่า ตนควรกลับเสียที แม้กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาจักมีพระราชบัญชาให้เธอนอนที่นี่ก็ตาม แม้กระทั่งเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็ด้วย ทรงจับหัตถ์พระสหายไม่ปล่อย
“อยู่เถิดนะ นลินนา พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้ ท่านหัวหน้านักบวชไม่ว่ากระไรหรอก”
“หัวหน้านักบวชไม่ว่ากระไรหรอกเพคะ แต่นักบวชพี่เลี้ยงของหม่อมฉันจะคอยแย่ นางดุมาก ๆ หม่อมฉันไม่ได้บอกนางไว้ว่าจะมาค้าง หม่อมฉันไม่อยากผิดสัญญาเพคะ”
สดับเช่นนั้น เจ้าหญิงแห่งบาบิลิมจึงยอมปล่อยหัตถ์พระสหายแต่โดยดี แล้วบังคับให้หล่อนสัญญาให้ได้ว่า จะมาหาใหม่ ครั้นผละจากเจ้าหญิงแห่งบาบิลิมได้ นลินนาจึงกลับไปเอากระเป๋าที่ส่วนพำนักของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช ส่วนเจ้าชายนาโบนัสซาร์แลเจ้าชายซามูลาเอลนั้นทรงหายไปแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ตอนนี้จึงเหลือเพียงนลินนากับเจ้าชายพระองค์ใหญ่สองคน
ขามาเธอมากับซิน-มูบัลลิต ส่วนขากลับ...
“หม่อมฉันเรียกซิน-มูบัลลิตพากลับก็ได้เพคะ”
หากเจ้าชายหนุ่มกลับส่ายพระพักตร์ “ป่านนี้ซิน-มูบัลลิตคงกลับแล้ว ยามนี้ดึกแล้ว ข้าไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้มากพอให้ไปส่งเจ้า”
ด้วยประการฉะนี้เอง นลินนาจึงจำต้องให้เจ้าชายพระองค์โตแห่งบาบิโลเนียไปส่งแต่โดยดี
ครั้นพอถึงรถศึกหัวใจก็ดันสั่นไหว หล่อนยังจำคราเซถลาไปปะทะกับพระวรกายของเจ้าชายหนุ่มได้ ด้วยความอบอุ่นแห่งพระวรกายยังคงซึมลึกอยู่ในผิวเนื้อ ดังนั้นทันทีที่ขึ้นรถศึก นลินนาจึงจับขอบรถศึกหนีบแน่น ไม่เกรงว่า คมขอบจะบาดลึกลงในผิวเนื้อ
ด้านเจ้าชายเพชกัลดาราเมช ครั้นเห็นสตรีจากอนาคตกาลเกร็งกายเช่นนั้น จึงรับสั่งอย่างหวังดี “ถ้าเจ้าจับตรงนั้นไม่สะดวก จักจับข้าไว้ก็ได้”
ทั้งที่เป็นกระแสรับสั่งธรรมดา แต่กลับพาให้นลินนาส่ายหน้าจนแพรผมยุ่งเหยิง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชครั้นทอดพระเนตรเห็นอาการเช่นนั้นก็อดแย้มสรวลขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ยามเห็นว่า นางกระเด้งกระดอนตามแรงกระแทกของรถศึกจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายร่างโปร่งบางนั้นจึงจำต้องยอมเกาะบั้นพระองค์แต่โดยดี แลรู้สึกว่า การเกาะบั้นพระองค์ของรัชทายาทแห่งบาบิลิมนั้น ง่ายกว่าการจับขอบรถศึกยิ่งนัก
ครู่เดียว ภาพวิหารก่อด้วยอิฐดิบก็ประจักษ์ชัดในคลองสายตา เมื่อรถศึกจอดเทียบสนิทหน้าวิหาร นักบวชสาวจึงผละจากวรองค์แกร่งแล้วเดินลงมาอย่างว่องไว รู้สึกหน้าเห่อร้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ หัวใจเองก็เต้นไม่เป็นส่ำ กลิ่นกายและความอบอุ่นแห่งบุรุษซึมลึกในผิวเนื้อ แลอวลอยู่ในนาสิก สิ่งเหล่านั้นชวนให้เธอสงบอารมณ์ลงไม่ได้ ยิ่งยามได้ลอบมองเสี้ยวพักตราคมคายใต้แสงจันทราด้วยแล้ว นลินนาจึงยิ่งยอมรับว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงงดงามจริง ๆ
แม้หัวใจจะวุ่นวาย กระนั้นนลินนาก็มิลืมขอบคุณตามมารยาท
“ขอบพระทัยที่มาส่งเพคะ”
ทว่าพระพักตร์คมคายใต้เส้นเกศาสลวยกลับส่ายช้า ๆ “มิเป็นไร” ทรงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจักมีรับสั่งถามขึ้น “พรุ่งนี้เจ้าว่างหรือไม่?”
พระดำรัสถามนั้นยังมาซึ่งความประหลาดใจ “หม่อมฉันไม่แน่ใจเพคะ แต่ตอนกลางคืนหม่อมฉันมีเรียนดาราศาสตร์”
รอยแย้มพระสรวลจาง ๆ ใต้แสงสีเงินของเทพซินนั้นน่าดูอย่างยิ่ง “ถ้าเจ้ารู้เมื่อใดก็ส่งข่าวมา ข้าอยากพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
ถ้าหากเป็นบุรุษผู้อื่น นลินนาคงหวาดระแวง แต่กับขัตติยะเบื้องหน้า นลินนาเชื่อมั่นในพระองค์ “หม่อมฉันจะส่งข่าวไปเพคะ”
ทรงแย้มพระสรวลล่ำลา แล้วจึงตระบึงรถศึกจากไป
หญิงสาวลูกครึ่งไทยเปอร์เซียหิ้วกระเป๋าลวดลายประหลาดแล้วขึ้นไปตามขั้นบันไดอิฐดิบ ลมกระโชกแรง และอากาศก็หนาวจนยามพ่นลมหายใจจะเห็นควันขาวลอยอวล เมื่อดำเนินมาถึงที่พักก็พบว่า นินซานั่งคอยอยู่ในห้อง ตะเกียงถูกจุดสว่าง ครั้นนางเอ่ยถามว่า เธอไปทำอะไรมา หญิงสาวจึงเล่าทุกอย่างให้นักบวชพี่เลี้ยงฟัง กระทั่งเรื่องที่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชตรัสชวนเธอพรุ่งนี้
“แล้วเจ้าคิดจะไปหรือไม่?” เสียงถามของนินซาเรียบนิ่ง
นลินนานิ่งอั้น นั่งคิดในใจ นิ้วเรียวยาวมุ่นปลายผมเล่น รู้สึกใจไม่สงบ “ฉันไม่รู้”
ทว่านักบวชพี่เลี้ยงสาวกลับผุดยิ้ม ประกายตาแวววาม “เจ้าไปเถิด พรุ่งนี้ข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าให้ ไปเที่ยวเล่นเสียบ้างก็คงไม่เป็นไร”
นลินนาหน้าร้อนวูบ แค่นี้ก็ถูกมองว่า เที่ยวเล่นจนไม่ทำอะไรอยู่แล้ว ทว่านักบวชพี่เลี้ยงดูจะไม่สนใจท่าทีของเธอ จึงสั่งให้เธอนอนเสีย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
แม้ตะเกียงดับไปแล้ว ทว่าหญิงสาวจากอนาคตกาลยังหลับไม่ลง หัวใจเต้นแรง แล้วอย่างนี้เธอจะหลับลงได้อย่างไร...
***************************************************************************************************
สวัสดีค่ะ ในที่สุดเซธ-เวเรทก็ come back สักที อันนี้เป็นอันที่บอกในเพจค่ะว่า เขียนเสร็จไว้นานแล้ว เเต่ยังไม่มีเวลานั่งตรวจทาน พอดีวันนี้เพื่อนของเซธ-เวเรทส่งนิยายมาให้อ่าน เราเลยนั่งผลัดกันอ่าน เพื่อนเซธ-เวเรทบอกว่า โอเคเเล้ว เเละเซธเป็นคนซื่อค่ะ เพื่อนบอกก็เชื่อตามนั้น เลยได้ฤกษ์มาอัพนิยายเสียที เอาเป็นว่า อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรก็สามารถคอมเมนต์ติชมกันได้นะคะ เป็นตอนที่เเต่งช่วงกำลังเครียดค่ะ 555 คือ ตอนนั้นอยู่ดีๆ ก็อยากแต่ง เเต่ข้อมูลไม่พร้อม ทว่าสุดท้ายก็แต่งออกมาจนได้ ใช้เวลาแต่งน้อยมากเลย
วัตถุลี้ลับสีดำถูกวางลงเรียงรายเบื้องพระพักตร์เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลเจ้าชายนาโบนัสซาร์ ณ ที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนีย สุ้มเสียงแห่งนักบวชสตรีก้องกังวาน เปิดเผยทั้งชะตานคร และความลับของตัวนางเอง ทุกอย่างอื้ออึ้งในพระกรรณราวอยู่ในห้วงสุญญากาศ
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตรพระพักตร์พระเชษฐา พระพักตร์เคร่งขรึมเรียบนิ่งดั่งผ้าขึงไว้ พระโอษฐ์รีดเรียบสนิท ไม่มีแม้กระทั่งพระอาการทอดถอนปัสสาสะ ทรงสดับ แลครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโอรสองค์ที่สามในกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาประทับนั่งมิไหวพระองค์ แทบมิเชื่อกับสิ่งอันได้สดับกับพระกรรณ ทั้งเรื่องชะตากรรมแห่งบาบิโลน ความวุ่นวาย และการก่อกบฏแห่งราชบัลลังก์ จวบกระทั่งสถานที่ที่นางจากมา
เจ้าชายหนุ่มทรงทราบดี คราพบนางที่วิหารอีซากีลา นางนุ่งอาภรณ์แปลกประหลาด กายเปียกชุ่ม ถุงผ้าลวดลายประหลาดที่พวกพระองค์เก็บมาได้นั้นซุกซ่อนความลับนานาประการของธิดาแห่งยุทธเทพี ทรงพยายามทำอะไรหลายอย่างเพื่อพิสูจน์วัตถุลี้ลับเหล่านั้น แต่ก็จนด้วยพระปรีชา วัตถุเหล่านี้มิอาจสร้างได้ในอาณาจักรใดๆ ที่พระองค์รู้จัก เป็นประจักษ์พยานว่า สิ่งที่สตรีเบื้องหน้าพระองค์กล่าวมาคือ ความจริง
บัดนี้ดวงหน้างดงามต้องแสงตะเกียงฉายแววเคร่งขรึม เรียวตาสีน้ำตาลเข้มเงยสบอย่างเด็ดเดี่ยว กลบเกลื่อนความหวาดหวั่นภายในใจได้สนิท เป็นอาการของผู้ยอมรับทุกอย่างโดยดุษณี ทรงทราบว่า ก่อนมา นางคงเตรียมใจรับผลมาเช่นเดียวกัน
เจ้าชายนาโบนัสซาร์แปรพระเนตรไปยังพระเชษฐา พระวรองค์ตระหง่านในพัสตราภรณ์สีเข้มประทับสง่าประดุจเทวรูปมหาเทพมาร์ดุค
ในที่สุด วรองค์นั้นก็ยอมขยับ มีเสียงทอดถอนพระปัสสาสะบ่งบอกพระอารมณ์อันสะกดกลั้นไว้ ก่อนจักมีกระแสรับสั่ง
“นี่คือ ทั้งหมดที่เจ้าทราบใช่หรือไม่?”
สตรีผู้อ้างว่ามาจากอนาคตกาลพยักหน้า เสียงสงบนิ่งแฝงแววหวาดหวั่น “เพคะ...นี่คือทุกอย่างที่หม่อมฉันทราบ”
เนตรคมราวดาบเหล็กก้มลงสบ ทอดพระเนตรนัยน์ตาเรียวอันปราศจากแววโป้ปดใด ๆ กระนั้นกลับทรงทำพระทัยเชื่อยาก สตรีนางหนึ่งผู้มาจากอนาคต ในยุคที่อาณาจักรแห่งพระองค์ถล่มราบเป็นกองดิน เป็นดินแดนอันไม่สงบและเต็มไปด้วยสงคราม ตลอดจนความขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจในยุคนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ...ทั้งพระองค์ และพระบิดา ตลอดจนพระญาติหลายพระองค์มิเคยมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ แลที่น่าคับแค้น บาบิโลเนียสิ้นชาติด้วยความอ่อนแอของตนเอง แลด้วยชนเผ่าเร่ร่อนอันเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเมเดส
สตรีเบื้องพระพักตร์นั่งไม่ไหวติง ก่อนจักกราบทูล “ที่หม่อมฉันมากราบทูลก็เพื่อให้พระองค์ได้รับทราบ เราต้องร่วมกันหาทางแก้ ขณะนี้หม่อมฉันไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับบาบิลิมทั้งสิ้น ไม่รู้ว่า นอกอาณาเขตของราชอาณาจักรไปเป็นเช่นไร รู้เพียงเราต้องป้องกันทั้งศึกนอก และศึกใน ตอนนี้บัลลังก์บาบิลิมมั่นคงขึ้น เพราะตอนนี้พระองค์ได้สิทธิปกครองร่วมกับพระราชบิดา แต่ปัญหาคือ แม่ทัพเนริกลิสซาร์ แลขุนนางนาโบนิดัส เป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียในประวัติศาสตร์ยุคของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ทราบว่า พวกเขาจะทำอย่างไร แต่ถ้าตอนนี้บัลลังก์แห่งบาบิลิมเข้มแข็งดี แน่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่อาจหาทางมายึดครองราชบัลลังก์ได้ ที่น่ากลัวคือ คนเร่ร่อน เท่าที่ทราบ หม่อมฉันรู้เพียงว่า กองทัพของพวกเขาร้ายกาจนัก เลียนแบบการรบของพวกซูบาร์ตู เชี่ยวชาญทั้งการขี่ม้าและธนู เราไม่สามารถรบระยะประชิดกับพวกเขาได้เลย แต่ตราบใดที่เหตุยังไม่เกิด หม่อมฉันมิอยากให้บาบิโลเนียยกทัพไปกำราบ...”
ร่างสูงโปร่งกราบทูลยาวเหยียด ก่อนจักชะงักปากเมื่อรู้ว่า ตนกราบทูลมากเกินไป จึงอุบเงียบลง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชยังคงประทับนิ่ง แล้วจึงรับสั่ง
“ข้าเข้าใจความเป็นห่วงของเจ้าดีนลินนา” พระโอษฐ์เม้มสนิทของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชผุดรอยแย้มพระสรวล ทว่าหญิงสาวไม่เข้าใจว่า มันเป็นรอยยิ้มปลอบประโลมเธอ ฤารอยยิ้มขมขื่นกันแน่ “แต่บาบิโลเนีย ไม่สิ...ดินแดนแถบนี้ต้องเผชิญกับการรุกรานของชนเร่ร่อนอยู่ตลอด ชาวคัชดูเอง แต่เดิมเองก็เป็นชนเร่ร่อน ข้าจึงทราบดีว่า มันเป็นวัฏจักรของดินแดนแห่งเรา ราชบัลลังก์หากมีกษัตริย์ผู้เปี่ยมความสามารถ มีหรือที่จักมีผู้กบฏได้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น แลการมีอยู่ของราชวงศ์คัชดูก็คงเป็นที่ประจักษ์แก่เจ้าแล้วว่า ทวยเทพยังคงโปรดพวกเราอยู่ เจ้าอย่าได้กังวล”
สตรีจากอนาคตกาลนิ่งฟัง กำลังคิดว่า องค์รัชทายาทหนุ่มปลอบใจเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่ตระหนักคือ หล่อนคิดถูกที่มากราบทูลเจ้าชายแห่งบาบิลิม ความอึดอัดคับข้องใจเบาบางลง นลินนารับรู้เพียงว่า มิว่า ยามใดก็ตาม เจ้าชายเพชกัลป์ดาราเมชทรงเป็นที่พึ่งได้เสมอ
ด้วยบรรยากาศอึดอัดยังคงดำเนินไป เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงทรงทำลายบรรยากาศนั้นลง “ใช่แล้ว นลินนา นี่คือปัญหาของพวกเรา เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย อีกมินานจักถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าคิดว่า เจ้าคงให้เกียรติร่วมโต๊ะกับเรา เสด็จพ่อตรัสถึงเจ้ามาหลายคราแล้วว่า อยากให้เจ้าร่วมโต๊ะด้วย หวังว่า เจ้าคงไม่ปฏิเสธ”
หญิงสาวรับฟังด้วยความตกตะลึง มิคิดว่า การมากราบทูลเรื่องสำคัญจะนำพามาถึงเรื่องนี้ได้
“แต่หม่อมฉันว่า...”
ทีแรกหล่อนคิดว่า จะปฏิเสธ ทว่าสิ้นหนทางเสียแล้ว “นลินนา เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย ข้าคิดว่า เสด็จพี่ก็อยากให้เจ้าอยู่ด้วย”
สตรีจากอนาคตกาลฟัง พลางหันไปทางราชโอรสองค์โตแห่งกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ทว่าผู้ถูกกล่าวถึงกลับประทับนิ่ง แปรสายพระเนตรไปยังโต๊ะทรงงานอันเต็มไปด้วยแผ่นดินเหนียวเผาไฟ
ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าดังก้องเข้ามา พร้อมกับเสียงกราบทูลที่ดังตะโกนมาไกล ๆ ด้วยองค์รัชทายาทหนุ่มมีพระบัญชาตั้งแต่พาเธอย่างกรายมายังที่พำนักส่วนพระองค์ว่า ห้ามผู้ใดเข้าใกล้บริเวณนี้เป็นอันขาด เพื่อกันมิให้ข้อกราบทูลของเธอรั่วไหลออกไป ดังนั้น ทุกผู้ที่มาเข้าเฝ้าจึงต้องเดินฝีเท้าดังชัด และตะเบ็งเสียงกราบทูล เพื่อแสดงตน และความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มาดักฟัง
“ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สดับดังนั้น เจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็แย้มพระสรวลละมุนกว้างทันที นลินนาจึงจำยอมอย่างเสียมิได้ นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตนใส่ลงกระเป๋าดังเดิม และวางตรงเก้าอี้ เพราะคงนำติดตัวไปรับประทานอาหารเย็นด้วยไม่ได้
ครั้นเห็นอาการยินยอมของนักบวชสตรีเบื้องหน้าพระองค์ เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงแย้มพระสรวลพึงพระทัย แล้วทรงพระดำเนินนำไปอย่างรู้งาน ทิ้งพระเชษฐาพระองค์โตไว้เพียงลำพัง เพื่อให้ทรงครุ่นคิดสักพัก
คล้อยหลังพระอนุชาและธิดาแห่งอิชทาร์ไป โอรสแห่งมาร์ดุคจึงค่อยคลายพระอิริยาบถ พระเนตรสีเข้มฉายแววล้ำลึกครุ่นคิด ดำริถึงสิ่งที่นลินนากราบทูลให้พระองค์ฟัง แม้ทุกอย่างจักเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสให้นลินนาฟังไป ทว่าจักทรงทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งแม่ทัพเนริกลิสซาร์ ขุนนางนาโบนิดัส และชนเร่ร่อนใต้อำนาจอาณาจักรเมเดส ด้านชนเร่ร่อนทรงทราบว่า ชาวเมเดสต้องเป็นผู้จัดการ ด้วยความเป็นพันธมิตรกันในสมัยพระอัยกา การจัดการเรื่องนี้มิยากเย็น เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจของทางเมเดสเป็นทุนเดิม แต่ทางฝั่งบาบิลิมเล่าจักจัดการฉันใด ทรงทราบ...นี่มิใช่งานง่ายเลย
บรรยากาศบนโต๊ะเสวยเป็นไปอย่างครื้นเครง ในประดาพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาดูจะพระอารมณ์ดีที่สุด เนื่องจากแต่ก่อนบนโต๊ะเสวยจักมีสตรีเพียงสองนางคือ พระมารดาแลตัวพระองค์เอง ถึงกระนั้นพระมารดาก็มักเสวยด้วยพระอิริยาบถสง่านุ่มนวล ตรัสนับคำได้ ผู้จรรโลงให้พระกระยาหารคล่องคอจึงมีเพียงเจ้าชายนาโบนัสซาร์และเจ้าหญิงพระองค์น้อยเท่านั้น แลครั้งนี้เจ้าหญิงพระองค์น้อยก็ยิ่งพระอารมณ์ดีขึ้นไปอีก เมื่อมีพระสหายหญิงนั่งชิดกัน
“คราวหน้าเสด็จพ่อเชิญท่านนลินนามาที่นี่บ่อย ๆ นะเพคะ มาแค่ร่วมโต๊ะเสวยก็ยังดี วันก่อนหม่อมฉันกับท่านนลินนาเดินเล่นกันสนุกมากเลยเพคะ”
เจ้าหญิงพระองค์น้อยกราบทูลเสด็จพ่อด้วยพระอิริยาบถน่าเอ็นดู ปรกติ...กษัตริย์อาเคอร์ดูอานามักทำพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่ตลอด แต่ยามมีพระปฏิสันถารกับพระธิดา พระเนตรสงบนิ่งนั้นมักมีแววปรานีอย่างยิ่ง ด้วยทรงมีพระโอรสถึงสี่พระองค์ แต่มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว ก็ย่อมเป็นแก้วตาดวงใจเป็นธรรมดา
“มิได้หรอกนันนา นักบวชมีกิจมากมายต้องกระทำ ท่านนลินนาเองก็มีเรียนเช่นกัน คงจักเทียวไปเทียวมาเพราะเจ้าไม่ได้”
ครั้นได้ยินกระแสรับสั่งดังนั้น พระพักตร์อ่อนใสก็มุ่ยลงทันควัน “โธ่ เสด็จพ่อก็....” พระอิริยาบถเช่นนั้นเรียกเสียงสรวลจากประดาผู้ร่วมโต๊ะได้เป็นอย่างดี
นลินนาเองก็พลอยเริงรื่นไปด้วย รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นอย่างครอบครัวจริงๆ ด้วยครอบครัวของนลินนาหากนับจริง ๆ ก็มีเพียงมารดากับตัวเธอ การร่วมโต๊ะกันแต่ละครั้งล้วนเงียบเหงา แม้จะมีการพูดคุยกับบ้าง แต่ท่าทางมารดาที่หลายครั้งเคร่งเครียดกับงานก็ทำให้นลินนาไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ หลายคราความกังวลหลายอย่างจึงมักถูกเก็บไว้กับตัว
“แล้วท่านนลินนาเล่า ข้าทราบมาจากหัวหน้านักบวชว่า การเรียนของท่านก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้กำลังเรียนอะไรหรือ?” กษัตริย์อาเคอร์ดูอานามีกระแสรับสั่งถามเป็นภาษาอัคคัดด้วยความเอ็นดู นักบวชสาวรู้สึกราวกับเป็นธิดาองค์หนึ่งของพระองค์
“ตอนนี้หม่อมฉันกำลังศึกษาโหราศาสตร์ดาราศาสตร์เพคะ แล้วก็กำลังฝึกเล่นดนตรีอยู่ นักบวชพี่เลี้ยงบอกแก่หม่อมฉันว่า ถ้าเล่นดนตรีได้คล่องแล้ว จะให้หม่อมฉันฝึกร่ายรำบูชา”
“ถ้าเรื่องดนตรีมีอะไรท่านควรปรึกษานาโบนัสซาร์ เรื่องดนตรีไม่มีใครเก่งไปกว่าเขา เขาบรรเลงพิณได้ไพเราะมาก”
“ใช่ นลินนา ถ้าเจ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้ แต่เอาจริงๆ เสด็จพี่ราเมชเองก็เก่งไม่ด้อยกว่าข้า เจ้าให้เสด็จพี่สอนจักดีกว่า” เจ้าชายนาโบนัสซาร์รับสั่งอย่างแจ่มใส พระโอษฐ์อมยิ้ม ส่วนหญิงสาวจากอนาคตกาลยิ้มแหย ไม่ทราบว่า รู้สึกไปเองหรือไม่ว่า เจ้าชายนาโบนัสซาร์พยายามให้เธอใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทแห่งบาบิลิม
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเองก็มีนักดนตรีที่วิหารคอยช่วยฝึกปรืออยู่เช่นกัน”
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ทอดพระเนตร พลางทำพระพักตร์เสียดาย เมื่อการสนทนาขาดช่วง เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาผู้คอยท่าอยู่แล้วจึงชิงกราบทูลพระบิดาอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมีบางสิ่งจะทูลขอเพคะ”
พระหัตถ์ที่กำลังบิขนมปังธัญพืชจิ้มแกงใส่โอษฐ์ชะงักลง “อะไรหรือนันนา?”
เจ้าหญิงพระองค์น้อยหันมาทางพระสหาย แล้วจึงหันไปมีรับสั่งแจ่มใสกับพระบิดา “หม่อมฉันอยากเป็นภัณฑารักษ์ที่พระราชวังเหนือเพคะ!”
สิ้นรับสั่ง ทั่วห้องเสวยก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุม นักบวชสาวมือเย็นเยียบ ใจเสียววาบ เนื้อไก่ที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเข้าปากรสชาติฝืดเฝื่อนในทันที
“เจ้าว่าอย่างไรนะนันนา?” กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาคล้ายไม่เชื่อในพระกรรณ ทรงได้ยินถึงภัณฑารักษ์ หรืออะไรสักอย่าง
“หม่อมฉันอยากเป็นภัณฑารักษ์ที่พระราชวังเหนือเพคะ” พระธิดายังคงกราบทูลอย่างแจ่มใส ขณะพระมารดาเริ่มล้างพระหัตถ์ พลางใช้ภูษาเช็ดพระหัตถ์ซับค่อย ๆ
“ภัณฑารักษ์ที่เจ้าว่า คือสิ่งใด?”
พระเนตรเรียวคมอย่างชนเซมิติคเบือนมาทางพระสหาย พร้อมแย้มพระสรวลร่า “ท่านนลินนาบอกหม่อมฉันว่า มันเป็นอาชีพที่คอยดูแลสิ่งของเพคะ หม่อมฉันเห็นเสด็จพ่อตรัสว่า ของในพระราชวังเหนือที่รวบรวมมายังหาผู้ดูแลมิได้ หม่อมฉันจึงอยากเสนอตัว”
สดับดังนั้น ประดาพระเชษฐาก็แทบส่ายพระเศียร ขณะพระบิดาทอดพระเนตรพระธิดาพระองค์เดียวราวกำลังหาอะไรบางอย่าง มีเพียงพระมารดาที่ประทับนิ่ง ส่วนนลินนา หล่อนแทบจะอยากตายเสียตรงนี้ ใครจะคิดเล่าว่า คำพูดเล่น ๆ ของเธอจะทำให้ห้องเสวยเงียบงันถึงเพียงนี้
“นันนา...เจ้าสิบสี่แล้ว” พระราชบิดาย้ำช้าชัด สิบสี่ในพุทธศตวรรษที่ ๒๖ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ หมายถึง ยังเด็กเกินไป แต่สำหรับเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อน สิบสี่หมายถึงใกล้ถึงวัยออกเรือน ควรแก่การสงวนตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว
กระแสรับสั่งของพระราชบิดา พาเอาพระธิดาพระพักตร์มุ่ย ทรงทราบว่า สักวันพระราชบิดาต้องรับสั่งเช่นนี้ แลสักวันจักต้องออกเรือนไปกับบุรุษสักคนที่เสด็จพ่อไว้วางพระทัย แม้จักทรงเข้าพระทัยเหตุผล แต่พระหทัยกลับไม่อยากยอมรับมัน
เมื่อเห็นทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเงียบงัน พระเชษฐาองค์โต เจ้าชายเพชกัลดาราเมชจึงมีรับสั่งขึ้น “นันนา...หากเจ้ายินยอมไปเป็นนักบวชสตรีแต่แรก บางทีเจ้าอาจจักได้รับโอกาสนี้ หากเจ้าปรารถนาจักไปดูแลของในพระราชวังเหนือจริง ๆ เจ้าต้องรู้ทั้งภาษาอัคคัด แลภาษาซูเมอร์ อ่านออก แลเขียนได้ ของทุกอย่างจักต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าทำได้”
พระขนิษฐาสดับฟัง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักพระพักตร์ ทรงเชื่อว่า สามารถทำได้
“แล้วเจ้าจักทำอย่างไร?” องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมเค้นถาม นลินนาพลอยใจระทึกตามเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา
“หม่อมฉัน...หม่อมฉันจะเรียนเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่า สามารถทำได้ ส่วนเรื่องออกเรือน ก็เลื่อนไปสักสองปี ก็คงทัน...” ประโยคท้าย ๆ รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเบาหวิว
“เรียนหรือ?”
“เพคะ” พระวรองค์ของเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาดูจะหดเล็กลงทุกที นักบวชสาวไม่แน่ใจว่า ตอนนี้ตนควรก้าวก่ายหรือไม่
“เจ้าคงรู้ น้อยผู้นักจักสามารถใช้ภาษาซูเมอร์แลอัคคัดได้ การจะเรียนต้องใช้ความพยายามอย่างสูง โดยเฉพาะต้องศึกษาให้แตกฉาน เจ้าแน่ใจหรือว่าไหว?”
“หม่อมฉันแน่ใจว่า ไหวเพคะ”
พระเชษฐาองค์โตรับฟังอย่างพระทัยเย็น จากนั้นจึงเบือนพระพักตร์มายังผู้ดำรงตำแหน่งนักบวชสตรี “เจ้าคิดเห็นเช่นไร นลินนา?”
ร่างในอาภรณ์ขาวผิดแผกกับผู้อื่นนิ่งอั้นไปชั่วครู่ แล้วจึงเบือนไปมองพระวรองค์อวบอิ่มน่าเอ็นดูซึ่งดูราวจะขอความเห็นใจ
“หม่อมฉันคิดว่า ถ้าพยายามก็สามารถทำได้เพคะ ในวิหารมีนักบวชหลายท่านที่เชี่ยวชาญภาษาซูเมอร์แลอัคคัด ให้เข้ามาสอนในพระราชวัง ถ้าให้มาสอนทุกวัน แลหัดใช้บ่อย ๆ หากทรงพยายามสักครึ่งปีก็ใช้ได้คล่องเพคะ แลสักสามเดือนก็คงพอพูดได้แล้ว”
ครั้นได้ยินถ้อยกราบทูลของเธอ เจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็พยักพระพักตร์เป็นเชิงรับ แล้วจึงหันไปกราบทูลพระราชบิดา “เสด็จพ่อคิดเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
บัดนี้พระวรองค์ของกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียตรึงนิ่ง ดูราวกับหุบผาโดดเดี่ยวในคืนเดือนมืด พระพักตร์ปรากฏรอยครุ่นคิดแลหนักพระทัย ทอดพระเนตรอาการสลดพระราชธิดาเพียงองค์เดียว จากนั้นจึงมีเสียงถอนพระปัสสาสะหนักยาว “ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามท่านนลินนาพูด ถ้าร่ำเรียนได้ครบแล้วค่อยมาว่ากัน นั่นหมายถึงเจ้าต้องเรียนศาสตร์ด้านอื่นอย่างที่นักบวชเรียนด้วย เข้าใจหรือไม่นันนา?”
พลันได้ยินพระราชดำรัสจากพระบิดา พระพักตร์จึงพลันแช่มชื่น ฉีกรอยแย้มพระสรวลกว้าง ขานเสียงดัง “เพคะ!” จากนั้นจึงหันมาจับหัตถ์พระสหายอย่างยินดี หญิงสาวพลันเห็นอาการเช่นนี้ก็อดปลาบปลื้มไปด้วยไม่ได้ รู้สึกราวกับตนเองตอนมารดาอนุญาตให้เลือกคณะและมหาวิทยาลัยเองอย่างไรอย่างนั้น
สิ้นบรรยากาศเคร่งเครียดไป เจ้าชายนาโบนัสซาร์จึงตบพระหัตถ์เรียกนักเล่านิทาน นักดนตรี แลนางระบำเข้ามา นอกจากการเล่านิทานอันต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณแล้ว ทุกคนล้วนถูกใจในนางระบำรูปร่างอวบอิ่มผู้สวมใส่อาภรณ์มิดชิดเป็นที่สุด ทุกผู้ต่างขำขันกับมุกตลกของนักเล่านิทานผู้รอนแรมในท้องทะเลทราย นิทานอันถูกเล่าขานสืบต่อยามชนเผ่าเร่ร่อนชุมนุมพบปะกันถูกร้อยเรียงเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ จวบจนมืดค่ำนักบวชสาวก็ตระหนักว่า ตนควรกลับเสียที แม้กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาจักมีพระราชบัญชาให้เธอนอนที่นี่ก็ตาม แม้กระทั่งเจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนาก็ด้วย ทรงจับหัตถ์พระสหายไม่ปล่อย
“อยู่เถิดนะ นลินนา พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้ ท่านหัวหน้านักบวชไม่ว่ากระไรหรอก”
“หัวหน้านักบวชไม่ว่ากระไรหรอกเพคะ แต่นักบวชพี่เลี้ยงของหม่อมฉันจะคอยแย่ นางดุมาก ๆ หม่อมฉันไม่ได้บอกนางไว้ว่าจะมาค้าง หม่อมฉันไม่อยากผิดสัญญาเพคะ”
สดับเช่นนั้น เจ้าหญิงแห่งบาบิลิมจึงยอมปล่อยหัตถ์พระสหายแต่โดยดี แล้วบังคับให้หล่อนสัญญาให้ได้ว่า จะมาหาใหม่ ครั้นผละจากเจ้าหญิงแห่งบาบิลิมได้ นลินนาจึงกลับไปเอากระเป๋าที่ส่วนพำนักของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช ส่วนเจ้าชายนาโบนัสซาร์แลเจ้าชายซามูลาเอลนั้นทรงหายไปแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ตอนนี้จึงเหลือเพียงนลินนากับเจ้าชายพระองค์ใหญ่สองคน
ขามาเธอมากับซิน-มูบัลลิต ส่วนขากลับ...
“หม่อมฉันเรียกซิน-มูบัลลิตพากลับก็ได้เพคะ”
หากเจ้าชายหนุ่มกลับส่ายพระพักตร์ “ป่านนี้ซิน-มูบัลลิตคงกลับแล้ว ยามนี้ดึกแล้ว ข้าไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้มากพอให้ไปส่งเจ้า”
ด้วยประการฉะนี้เอง นลินนาจึงจำต้องให้เจ้าชายพระองค์โตแห่งบาบิโลเนียไปส่งแต่โดยดี
ครั้นพอถึงรถศึกหัวใจก็ดันสั่นไหว หล่อนยังจำคราเซถลาไปปะทะกับพระวรกายของเจ้าชายหนุ่มได้ ด้วยความอบอุ่นแห่งพระวรกายยังคงซึมลึกอยู่ในผิวเนื้อ ดังนั้นทันทีที่ขึ้นรถศึก นลินนาจึงจับขอบรถศึกหนีบแน่น ไม่เกรงว่า คมขอบจะบาดลึกลงในผิวเนื้อ
ด้านเจ้าชายเพชกัลดาราเมช ครั้นเห็นสตรีจากอนาคตกาลเกร็งกายเช่นนั้น จึงรับสั่งอย่างหวังดี “ถ้าเจ้าจับตรงนั้นไม่สะดวก จักจับข้าไว้ก็ได้”
ทั้งที่เป็นกระแสรับสั่งธรรมดา แต่กลับพาให้นลินนาส่ายหน้าจนแพรผมยุ่งเหยิง เจ้าชายเพชกัลดาราเมชครั้นทอดพระเนตรเห็นอาการเช่นนั้นก็อดแย้มสรวลขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ยามเห็นว่า นางกระเด้งกระดอนตามแรงกระแทกของรถศึกจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายร่างโปร่งบางนั้นจึงจำต้องยอมเกาะบั้นพระองค์แต่โดยดี แลรู้สึกว่า การเกาะบั้นพระองค์ของรัชทายาทแห่งบาบิลิมนั้น ง่ายกว่าการจับขอบรถศึกยิ่งนัก
ครู่เดียว ภาพวิหารก่อด้วยอิฐดิบก็ประจักษ์ชัดในคลองสายตา เมื่อรถศึกจอดเทียบสนิทหน้าวิหาร นักบวชสาวจึงผละจากวรองค์แกร่งแล้วเดินลงมาอย่างว่องไว รู้สึกหน้าเห่อร้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ หัวใจเองก็เต้นไม่เป็นส่ำ กลิ่นกายและความอบอุ่นแห่งบุรุษซึมลึกในผิวเนื้อ แลอวลอยู่ในนาสิก สิ่งเหล่านั้นชวนให้เธอสงบอารมณ์ลงไม่ได้ ยิ่งยามได้ลอบมองเสี้ยวพักตราคมคายใต้แสงจันทราด้วยแล้ว นลินนาจึงยิ่งยอมรับว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงงดงามจริง ๆ
แม้หัวใจจะวุ่นวาย กระนั้นนลินนาก็มิลืมขอบคุณตามมารยาท
“ขอบพระทัยที่มาส่งเพคะ”
ทว่าพระพักตร์คมคายใต้เส้นเกศาสลวยกลับส่ายช้า ๆ “มิเป็นไร” ทรงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจักมีรับสั่งถามขึ้น “พรุ่งนี้เจ้าว่างหรือไม่?”
พระดำรัสถามนั้นยังมาซึ่งความประหลาดใจ “หม่อมฉันไม่แน่ใจเพคะ แต่ตอนกลางคืนหม่อมฉันมีเรียนดาราศาสตร์”
รอยแย้มพระสรวลจาง ๆ ใต้แสงสีเงินของเทพซินนั้นน่าดูอย่างยิ่ง “ถ้าเจ้ารู้เมื่อใดก็ส่งข่าวมา ข้าอยากพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
ถ้าหากเป็นบุรุษผู้อื่น นลินนาคงหวาดระแวง แต่กับขัตติยะเบื้องหน้า นลินนาเชื่อมั่นในพระองค์ “หม่อมฉันจะส่งข่าวไปเพคะ”
ทรงแย้มพระสรวลล่ำลา แล้วจึงตระบึงรถศึกจากไป
หญิงสาวลูกครึ่งไทยเปอร์เซียหิ้วกระเป๋าลวดลายประหลาดแล้วขึ้นไปตามขั้นบันไดอิฐดิบ ลมกระโชกแรง และอากาศก็หนาวจนยามพ่นลมหายใจจะเห็นควันขาวลอยอวล เมื่อดำเนินมาถึงที่พักก็พบว่า นินซานั่งคอยอยู่ในห้อง ตะเกียงถูกจุดสว่าง ครั้นนางเอ่ยถามว่า เธอไปทำอะไรมา หญิงสาวจึงเล่าทุกอย่างให้นักบวชพี่เลี้ยงฟัง กระทั่งเรื่องที่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชตรัสชวนเธอพรุ่งนี้
“แล้วเจ้าคิดจะไปหรือไม่?” เสียงถามของนินซาเรียบนิ่ง
นลินนานิ่งอั้น นั่งคิดในใจ นิ้วเรียวยาวมุ่นปลายผมเล่น รู้สึกใจไม่สงบ “ฉันไม่รู้”
ทว่านักบวชพี่เลี้ยงสาวกลับผุดยิ้ม ประกายตาแวววาม “เจ้าไปเถิด พรุ่งนี้ข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าให้ ไปเที่ยวเล่นเสียบ้างก็คงไม่เป็นไร”
นลินนาหน้าร้อนวูบ แค่นี้ก็ถูกมองว่า เที่ยวเล่นจนไม่ทำอะไรอยู่แล้ว ทว่านักบวชพี่เลี้ยงดูจะไม่สนใจท่าทีของเธอ จึงสั่งให้เธอนอนเสีย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
แม้ตะเกียงดับไปแล้ว ทว่าหญิงสาวจากอนาคตกาลยังหลับไม่ลง หัวใจเต้นแรง แล้วอย่างนี้เธอจะหลับลงได้อย่างไร...
***************************************************************************************************
สวัสดีค่ะ ในที่สุดเซธ-เวเรทก็ come back สักที อันนี้เป็นอันที่บอกในเพจค่ะว่า เขียนเสร็จไว้นานแล้ว เเต่ยังไม่มีเวลานั่งตรวจทาน พอดีวันนี้เพื่อนของเซธ-เวเรทส่งนิยายมาให้อ่าน เราเลยนั่งผลัดกันอ่าน เพื่อนเซธ-เวเรทบอกว่า โอเคเเล้ว เเละเซธเป็นคนซื่อค่ะ เพื่อนบอกก็เชื่อตามนั้น เลยได้ฤกษ์มาอัพนิยายเสียที เอาเป็นว่า อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรก็สามารถคอมเมนต์ติชมกันได้นะคะ เป็นตอนที่เเต่งช่วงกำลังเครียดค่ะ 555 คือ ตอนนั้นอยู่ดีๆ ก็อยากแต่ง เเต่ข้อมูลไม่พร้อม ทว่าสุดท้ายก็แต่งออกมาจนได้ ใช้เวลาแต่งน้อยมากเลย
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2560, 17:20:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2560, 17:20:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 964
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 15 | มัตติกาจารึกเเผ่นที่ 17 >> |
แว่นใส 1 มิ.ย. 2560, 20:05:25 น.
เจ้าชายจะพาไปไหนนะ
เจ้าชายจะพาไปไหนนะ