ต้อง(ใจ)มนตร์จันทร์ [มนตร์จันทร์ร้ายพ่ายรัก] Rewrite+Re-up
เธอ... 'หงส์' ที่โผบินเหนือมังกรทั้งมวล

เขา... 'จ่าฝูงมังกร' ที่หัวสั่นง่อนแง่นกำลังจะหลุด

เพื่อรักษา 'ทั้งหัวทั้งหาง' ตัวเองไว้ เขาจึงจำต้อง 'รวบหัวรวบหาง' เธอมาไว้ในครอบครอง

โดยหารู้ไม่ว่า หงส์สาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเข้มตัวนี้ ซุกซ่อนลูกไม้ร้อยเล่ห์แสนเผ็ดร้อนไว้ใต้ปีกมากมายขนาดไหน

แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกิน...

เขาแต่ง 'แม่มด' ในคราบนาง 'หงส์' มาเป็น ภรรยา เสียแล้ว...
Tags: ฟิน มาเฟีย พริมสิตางศุ์

ตอน: บทนำ(2nd Rewrite)



กลางวสันต์ฤดูของฮ่องกง กิ่งไม้เปราะบางกับก้านดอกไม้อ่อนๆ พลิ้วไหวลู่ลมเป็นระลอก กลิ่นหอมอ่อนปลิดปลิวตามแรงลมเสียจนชวนให้คนเหลียวหลังกลับไปมองกลีบดอกสีสด ครั้นพอเห็นว่าเสี้ยวส่วนหนึ่งที่พ้นจากร่มเงาของมันต้องแสงทองระยับจากเบื้องบน ก็ยิ่งต้องกลั้นใจมองมันให้หนักขึ้นกว่าเดิม ด้วยความงดงามดุจจิตรกรแต่งแต้มนั้นช่างราวกับห้วงนิทรายามทิวาไม่มีผิด

ทว่ากับมนุษย์เงินเดือนบางประเภท นอกจากนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องประชุมตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาตื่นดีกลับไม่มีทางเลือกอื่น ทิวทัศน์เดียวที่คุ้นตาและคงจะคุ้นตาไปอีกแสนนานมีแค่ลายไม้เก่าแก่ของโต๊ะประชุมตัวใหญ่ เงาสะท้อนระยิบระยับของโคมไฟระย้าที่กลางโต๊ะเงาวับ และสีหน้าไร้อารมณ์ของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้าเท่านั้น

หากนั่นก็ยังไม่นับว่าย่ำแย่เท่ากับการรู้ว่าตัวเองต้องถูกกังขังอยู่ที่นี่ไปอีก 1 วัน...2 วัน...หรืออาจไม่มีกำหนดเลยก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจสำหรับผู้เป็นนาย

“ห่วยแตก!” เสียงบริภาษลั่นแทรกเสียงลมเย็นเยือกจากเครื่องปรับอากาศ ทำเอาดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องอยู่บนลายไม้แทบจะหลุดออกมาเบ้าพร้อมกันในคราวเดียว หากเจ้าของน้ำเสียงชวนผวานั้นกลับยังทำท่าสุขสราญ ผิดกับถ้อยคำที่เพิ่งตวาดออกมาลิบลับ

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเหยียบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรบนบัลลังก์มังกรทองคำขาว นั่งไขว่ห้างเอียงกายไปหาพนักวางแขนข้างหนึ่งอย่างเกียจคร้าน มือเรียวยาวข้างหนึ่งถือแก้วใส่ไวน์แดงอายุ 30 ปีหมุนวนไปมา ดวงเนตรคมกริบดุจราชสีห์หนุ่มหรี่ลงมองของเหลวสีแดงอมน้ำตาลราวกำลังประเมินค่าคริสตัลน้ำงาม

บางทีท่าทางวางมาดอย่างนั้นอาจเหมาะกับหน้านิตยสารสักเล่ม มากกว่าจะมานั่งตัดสินโทษประหารอยู่บนบัลลังก์มังกรแบบนี้...

“เราพยายามแล้วครับนาย แต่...” ชายร่างหนาผู้นั่งทางขวามือของประมุขบนบัลลังก์ รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฉันต้องมานั่งฟังความพยายามของพวกแกหรือไง” ประมุขหนุ่มไม่ปล่อยให้ลูกน้องพูดจบ เอ่ยขัดขึ้นพลางปรายตาขึ้นมองลูกน้องเล็กน้อย ทว่าเท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้เหงื่อเย็นๆ ของคนในที่ประชุมผุดขึ้นท่วมหน้าแล้ว
ความเงียบงันเย็นยะเยือกปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้ว ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของใครดังแทรกขึ้น มีเพียงไวน์แดงในแก้วใสๆ ใบนั้นไหลพับทบเป็นเกลียวกระทบข้างแก้วราวคลื่นน้ำกระทบฝั่ง แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรมันก็ไม่ได้สร้างสุนทรียะอันใดเลยสักนิด ออกจะใกล้เคียงคำว่า ‘สั่นประสาท’ เสียมากกว่า

ท่าทางแบบนี้แหละน่ากลัวนัก...ใครจะรู้ว่าหลังเสียงคลื่นไวน์กระทบแก้วจะเป็นเสียงอะไรอีก...

เกิดจู่ๆ เสียงปืนดังลั่นขึ้นเหมือนคราวที่แล้วจะทำอย่างไร!

“เลิกประชุม” เสียงทุ้มกระด้างดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาบรรดาชายร่างสูงที่ถูกความเงียบกินสติจนขวัญกระเจิงสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว คล้ายคนตื่นจากฝันร้ายกลางดึก ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนาย ทำได้แค่เหลือบตาขึ้นไปมองแก้วไวน์ใสๆ ใบนั้นแล้วรีบก้มหน้าลงมองลายไม้บนโต๊ะดังเดิมทันที

ยังไม่ทันที่ใครสักคนจะได้เอ่ยถามขึ้น จ่าฝูงมังกรหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นจากบัลลังก์ ยื่นแก้วไวน์ให้ลูกน้องคนสนิทผู้รับหน้าที่เป็นหุ่นไล่กาประจำห้องประชุมแล้วเดินทอดน่องออกจากห้องไป

ทั้งผู้อาวุโสวัยเหยียบเกษียณ ทั้งคนตำแหน่งสำคัญรุ่นใหม่ไฟแรง ต่างเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างสูงร่างนั้นห่างออกไปอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ด้วยรู้สึกว่ามันช่างหาได้ยากยิ่งนัก ที่คนใจร้อนแต่เลือดเย็นคนนั้นจะสั่งเลิกประชุมเอาง่ายๆ ทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาแทบจะแข็งตายกันอยู่ในนี้ด้วยซ้ำ หากไม่มีข้อสรุปที่น่าพึงพอใจให้ผู้เป็นนายได้ฟัง
แต่คราวนี้จ่าฝูงมังกรผู้นั้นกลับทิ้งความเป็นความตายของมังกรมุกไว้ข้างหลัง แล้วเดินจากไปเสียง่ายๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แน่นอนว่ามันแปลก...แปลกประหลาดชนิดร้อยพันปีจะพบได้หนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าถาม...และยิ่งไม่ควรถามด้วย เพราะอย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ได้รับอิสรภาพก่อนลูกปืนแล้ว...




ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นบันไดคฤหาสน์ไปยังห้องทำงานโดยไม่คิดสนสายตาคนในบ้านอีก เขาเหนื่อยจะเล่นละครต่อหน้าใครต่อใครเต็มทน คร้านจะส่งลูกน้องเข้าไปในถิ่นศัตรูทั้งที่รู้ว่ามันเปล่าประโยชน์สิ้นดี

ทว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ความเหนื่อยอ่อนจากการวางแผนจะสิ้นสุดลง เพราะข้อมูลของหมากตัวสำคัญกำลังจะมาอยู่ในมือเขาแล้ว

ชายหนุ่มกระชากประตูห้องทำงานออกอย่างสุดแรง แล้วเอื้อมไปรับแฟ้มประวัติจากมือลูกน้องมานั่งอ่านบนโซฟาทันที ไม่ยอมเสียเวลาไปกับการทักทายปราศรัยกับลูกน้องหรือใครหน้าไหนทั้งนั้น

ทันใดนั้นเอง ดวงหน้าขาวละเอียดกับนัยน์ตาสีม่วงเข้มก็ฉายสะท้อนขึ้นบนแววตาสีรัตติกาล จมูกโด่งเชิดรั้นบ่งบอกความดื้อรั้นและเอาแต่ใจของเจ้าตัว ผมสลวยดำขลับดัดลอนธรรมชาติระยาวลงมาจนถึงสะโพก ล้อมกรอบใบหน้าขาวใสราวเด็กทารกเอาไว้ ช่วยขับเน้นให้ความสวยหวานแต่เดิมดูหยาดเยิ้มและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน

ชายหนุ่มได้แต่มองภาพถ่ายในอิริยาบถต่างๆ ของเธอซ้ำไปซ้ำมา ราวกับลืมไปเสียสนิทว่าประวัติของเจ้าหล่อนที่ตนอยากรู้อยู่ในหน้าถัดไปนี้เอง ความคิดเลื่อนเปื้อนสารพันโถมเข้ามาในหัวพร้อมกันจนสับสนมึนงงไปชั่วขณะ ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องใดอยู่กันแน่ กระทั่งได้ยินเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นของลูกน้องคนสนิทข้างกาย ห้วงฝันกลางวันถึงได้แตกสลายกลายเป็นฟองอากาศไป

“เธอชื่อ ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ ครับ”

“อืม” เขาขานรับสั้นๆ แล้วพลิกไปดูประวัติส่วนตัวของหญิงสาวร่างเล็กในหน้าถัดไปอย่างที่ควรจะเป็น

“นายจะไปหาเธอเลยหรือเปล่าครับ”

“หึ...” ผู้เป็นนายไม่ตอบ เพียงเปล่งเสียงหัวเราะทุ้มลึกในลำคอขึ้นมาเบาๆ

เขาอยากจะรู้นักว่า ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นจะสาปส่งเขาสักแค่ไหน

ตอนที่เขาบอกเธอว่า...ต้องการอะไรจากเธอ...





ไรท์ทนสิ่งตัวเองเขียนไว้ไม่ไหว เลยลบทิ้งหมดเลยTT

แต่ไรท์กำลังทยอยรีไรท์ และรีอัพให้ใหม่นะคะ มีการเพิ่มฉากบางฉาก(ซึ่งอาจหลายฉาก)
และตัดฉากบางฉาก
คิดซะว่าเรามารู้จักเจ้าจันทร์กะเฮียใหม่อีกครั้งแล้วกันเนอะ
ไรท์รับรองว่าจะทำให้ทุกคนยิ่งรักเจ้าจันทร์กะเฮียมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอนจ้าา^^


แต่เนื่องจากพรูฟยากมากกก(เขียนอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมอันนั้นTT) ต้องการกำลังกาย กำลังใจ และสมาธิอย่างมหาศาล ไรท์จึงอยากจะขอกำลังใจจากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับเจ้าจันทร์กะเฮียที่มีอยู่เดิม หรือแฟนคลับคนใหม่ที่หลงเข้ามาจนอ่านมาถึงบรรทัดนี้



ฝากเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นแรงอัดฉีดให้กันด้วยนะคะ^^




พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2560, 00:44:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2560, 00:44:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 610





<< ต้ อ ง (ใจ) ม น ต ร์ จั น ท ร์ (มนตร์จันทร์ร้ายพ่ายรัก)   Chapter 1 : แรกร้าย (1st Rewrite) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account