ต้อง(ใจ)มนตร์จันทร์ [มนตร์จันทร์ร้ายพ่ายรัก] Rewrite+Re-up
เธอ... 'หงส์' ที่โผบินเหนือมังกรทั้งมวล

เขา... 'จ่าฝูงมังกร' ที่หัวสั่นง่อนแง่นกำลังจะหลุด

เพื่อรักษา 'ทั้งหัวทั้งหาง' ตัวเองไว้ เขาจึงจำต้อง 'รวบหัวรวบหาง' เธอมาไว้ในครอบครอง

โดยหารู้ไม่ว่า หงส์สาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเข้มตัวนี้ ซุกซ่อนลูกไม้ร้อยเล่ห์แสนเผ็ดร้อนไว้ใต้ปีกมากมายขนาดไหน

แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกิน...

เขาแต่ง 'แม่มด' ในคราบนาง 'หงส์' มาเป็น ภรรยา เสียแล้ว...
Tags: ฟิน มาเฟีย พริมสิตางศุ์

ตอน: Chapter 1 : แรกร้าย (1st Rewrite)





แรกร้าย




ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก!



เสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งลงบันไดคฤหาสน์หลังใหญ่ในยามเช้าเช่นเดียวกับทุกวัน เรียกสายตาทั้งเจ้าบ้าน แม่บ้านทำความสะอาด เด็กรับใช้วัยสาว และชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่อารักขา ให้หันไปมองเป็นตาเดียว ราวกับเสียงตึกตักที่ลอยมาก่อนเจ้าตัวเป็นสิ่งแปลกใหม่เกินกว่าจะทำใจเมินเฉยได้ ทั้งที่ความจริงแล้ว พวกเขาก็แทบจะจำจังหวะวิ่งก่อนหยุดกระหืดกระหอบของเธอได้แล้วด้วยซ้ำ



หญิงสาวร่างเล็กในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มหยุดอยู่ยืนงอตัวอยู่ที่หัวบันได ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นเหนี่ยวรั้งหัวบันไดไว้เป็นสรณะ พร้อมกันนั้นก็พยายามกอบโกยเอาอากาศที่ขาดหายไปเข้าปาก ไม่คิดยี่หระเสียงหัวเราะร่วนของพี่น้องร่วมบ้านแต่อย่างใด



เธอกำลังรีบ! รีบมากเสียด้วย!



หากยังไม่ทันที่ฝีเท้าร้อยแรงม้าจะได้ออกวิ่งอีกครั้ง เสียงทุ้มทรงอำนาจทว่ารื่นหูของบิดาก็ดังขึ้นเสียก่อน



“เจ้าจันทร์”



“คะ...ค่ะ คุณป๋ามีอะไรคะ” ฝีเท้าไฟแรงสูงแทบพาให้ร่างทั้งร่างของเธอล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นเสียแล้ว ยังดีพื้นคฤหาสน์หลังนี้ไม่นับว่าลื่นจนเกินไปนัก เธอจึงยังรอดชีวิตมาขานรับบิดาได้ในทันที



“ก็ไม่มีอะไร...”



“ถ้าไม่มีอะไรงั้นเจ้าจันทร์ไปนะคะ”



“เดี๋ยว...ป๋ายังพูดไม่จบเลย” ‘เฟยหลง’ รั้งแขนบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนไว้แทบไม่ทัน ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างระอาให้กับท่าทางรีบร้อนจนเสียกิริยาไม่เว้นแต่ละวันของบุตรสาว



หรือเขาจะให้ลูกเรียนหนักทำงานหนักเกินไป จนตอนนี้กระทั่งคำเกริ่นนำของคนก็ฟังไม่ออกเสียแล้ว



“ป๋าจะบอกว่าวันนี้รีบกลับหน่อย จะมีแขกสำคัญมาที่บ้าน อยากให้เราอยู่ช่วยต้อนรับ” เฟยหลงบอกกล่าวบุตรสาวอย่างใจเย็น



นัยน์ตาสีม่วงเข้มหรี่ลงจับผิดบิดาผู้ขยันคิดยุทธการหาลูกเขยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างรู้ทัน แล้วบอกปัดด้วยวิธีที่คิดว่านุ่มนวลที่สุดและชัดเจนที่สุดเช่นกัน



“แผนนี้เก่าแล้วค่ะคุณป๋า เพราะฉะนั้น...เจ้าจันทร์ไม่ว่างค่ะ”



“แต่คราวนี้แขกจริงๆ นะ” เธอแทบหลุดขำพรืดออกมา เมื่อเห็นบิดาร้อนรนยืนยันความจริงราวกับเด็กชายบอกว่าตัวเองไม่ได้ขโมยลูกอม



บิดาของเธอก็เป็นเสียแบบนี้ ท่าทางเคร่งขรึมทรงอำนาจอย่างที่ใช้กับคนอื่น ไม่เคยตัดใจเอามาใช้กับเธอได้เลยสักที...



“งั้นก็เจอกันตอนเย็นค่ะ” เธออมยิ้มตอบบิดา นัยน์ตาสีม่วงเข้มทอประกายรักและเทิดทูนคนเบื้องหน้าอย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนสายมากแล้ว จึงรีบผละออกจากอ้อมแขนท่านแล้วเตรียมหันหลังออกวิ่งอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าจะถูกบิดารั้งตัวไว้อีกครั้ง



“อีกเรื่อง แม่เขาโทรมา บอกว่าเราไม่รับโทรศัพท์” ดวงตากลมโตวาววับคู่นั้นวูบไหว หากเพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาราบเรียบไร้คลื่นมรสุมดังเดิม



“สายมากแล้ว เจ้าจันทร์ไปทำงานนะคะ รักคุณป๋าค่ะ” เธอเอ่ยตัดบทราวไม่ได้ยินถ้อยคำก่อนหน้า รีบเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มบิดา แล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว



เฟยหลงได้แต่มองแผ่นหลังบางๆ ของลูกห่างออกไปเรื่อยๆ หากก็ไม่คิดจะเอ่ยรั้งหรือยัดเยียดถ้อยคำใดๆ ใส่หูลูกไว้อีก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องที่ตนยกมาพูดนั้นทำร้ายจิตใจลูกแค่ไหน จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้ความเย็นชากับทิฐิที่ไม่มีวันลดของลูก กับคนที่เรียกตัวเองว่า ‘แม่’ คนนั้น







หลังจากใช้เวลาสองสามอึดใจ หญิงสาวร่างเล็กก็ขับรถปอร์เช่สีดำสนิทมาถึงลานจอดรถของร้านอาหารแถมพกเบเกอรี่ชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานคร รองเท้าส้นสูงราคาแพงระยับก้าวลงจากรถคันหรู มุ่งหน้าสู่อาคารสองชั้นขนาดใหญ่อย่างกระชับกระเฉง ชายกระโปรงสั้นระเข่าพลิ้วไหวตามแรงเดิน ขณะที่ส้นรองเท้าก็กระทบพื้นถนนคอนกรีตส่งเสียงกริกๆ เรียกให้คนอยู่ใกล้หันมามองด้วยความสนใจ ผิดกับคนอยู่ไกลออกไป ที่ถูกดวงหน้าสวยหวานกับนัยน์ตากลมโตสีม่วงเข้มอันเป็นเอกลักษณ์คู่นั้นเรียกให้เหลียวหลังมามองอย่างตกตะลึง



ร้านอาหารแถมพกเบเกอรี่นี้มีชื่อว่า “ไอซ์ฟอกซ์” เพิ่งเปิดกิจการมาได้ 3 ปีกับอีก 5 เดือนไม่ขาดไม่เกิน ทว่าลูกค้าในร้านกลับแน่นขนัดเสียจนเจ้าของร้านกับพนักงานต้องผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปอยู่ในครัวเพื่อเพิ่มพื้นที่ในร้าน ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะพื้นที่ในร้านคับแคบจนเหลือจะกล่าวแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะรสชาติอาหาร การตกแต่งร้าน และราคาที่สมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพเป็นอย่างดีนั่นเอง



และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เจ้าของร้านทั้งสามเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจที่ไม่อาจพบเจอได้ตามงานสังคมบ่อยนัก ด้วยเหตุนี้ นอกจากลูกค้าที่ตั้งใจมาบริโภคอาหารและเครื่องดื่มอย่างแท้จริงแล้ว ในร้านจึงประกอบไปด้วยลูกค้าอีกสองประเภท อันได้แก่ ประเภทแรก คือนักธุรกิจหัวก้าวหน้าแต่สายตาไม่เฉียบแหลม ที่หวังเจรจาธุรกิจทางลัดด้วยการพยายามสร้างสถานการณ์เสมือนบังเอิญขึ้น และประเภทที่สอง คือพวกคุณหญิงคุณนายกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่คิดจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลใหญ่นั่นเอง



แน่นอนว่าหนึ่งในหุ้นส่วนทั้งสามก็คือ ‘น้ำผึ้งพระจันทร์ อัศวพาธากุล’ หญิงสาววัย 26 กะรัตผู้ถูกรู้จักในนามบุตรสาวคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่ ‘เฉียนเฟยหลง’ หรือ ‘นายพิรัชย์ อัศวพาธากุล’ เจ้าของธุรกิจแสนล้าน ผู้ครอบครองอาณาจักรค้าอัญมณีและอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย



ว่ากันว่าทรัพย์ศฤงคารทั้งหมดย่อมตกเป็นของหงส์เหนือมังกรทั้งมวลผู้นี้...



ผู้ที่เหมือนกับ ‘คุณหญิงองค์อินทร์’ ภรรยาสุดรักของท่านเจ้าสัวที่สิ้นบุญไปเมื่อ 20 ปีก่อนราวกับแกะ...



ส่วนหุ้นส่วนอีกสองคนก็คือ ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ ทายาทอันดับสองของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างอันดับต้นๆ ของภาคพื้นทวีป และ ‘ทิพย์น้ำปรุง ดิเรกเวชวณิชย์’ ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของกิจการเครื่องสำอางและธุรกิจความงามรายใหญ่แห่งเอเชีย



ทั้งสามเริ่มคบหากันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และมีความฝันร่วมกันว่าอยากจะมีร้านอาหารกับร้านเบเกอรี่เล็กๆ เป็นของตัวเอง เมื่อเรียนจบและก้าวเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว จึงตกลงใจเพิ่มสถานะหุ้นส่วนให้กันและกันอย่างเป็นทางการ และช่วยกันดูแลร้านอย่างแข็งขัน โดยถือเสียว่าร้านนี้เป็นพื้นที่ในการทำงานอดิเรกที่รักเมื่อว่างจากงานประจำ



แม้ว่าเอาเข้าจริงแล้วร้านนี้จะไม่ได้เล็ก และไม่ได้มีความสำคัญแค่งานอดิเรกอย่างที่ตกลงกันไว้แต่แรกก็เถอะ...







น้ำผึ้งพระจันทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากลานจอดรถมาจนถึงหน้าร้าน เมื่อเห็นว่าเพื่อนอีกสองคนมาถึงก่อนแล้วและกำลังยุ่งจนหัวหมุนอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน จึงค่อยๆ หลับตาลง สูดหายใจเข้าเรียกขวัญกำลังใจเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเตรียมใจรับคำสาปส่งจากเพื่อนโทษฐานมาสายกว่าเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อสติคืนสู่ร่างดีแล้วจึงผ่อนลมหายใจออก เหยียดหลังตรง แล้วเชิดคางขึ้นเดินเข้าไปในร้านอย่างกล้าหาญ



“อ๋อ...นี่แกยังจำทางมาร้านได้ถูกมะ” ‘ทิพย์น้ำปรุง’ เปิดฉากเทศนาเป็นคนแรก ในขณะที่ ‘เพียงน้ำพลอย’ นั้นเอาแต่ก้มหน้ากดเครื่องคิดเลขไปพลางอมยิ้มไปพลาง เพราะคิดว่าถึงตนไม่ร่วมวงเทศนาด้วย คนมาสายก็ก้มหน้างุดๆ สายตาบ่งบอกแววว่าใกล้บรรลุอรหันต์ได้อยู่แล้ว



ทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน เป็นวันที่เจ้าของร้านทั้งสามจะต้องเข้าร้านพร้อมกันเพื่อดูความเรียบร้อยพร้อมกัน และหารือถึงแนวทางแก้ปัญหาหรือพัฒนาร้านให้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม ส่วนวันอื่นๆ นั้นก็เป็นไปตามที่จัดสรรเวรกันไว้ หรือหากใครว่างนอกเหนือจากนั้นก็มาช่วยเจ้าของเวรดูแลร้านได้ ซึ่งสำหรับพวกเธอทั้งสามคนแล้ว ตารางเวรพวกนั้นก็เป็นเพียงข้อตกลงให้ดูดีเวลาหยิบมาพูดเท่านั้น ในเมื่อพวกเธอเริ่มต้นมันด้วยความรัก คำว่าหน้าที่จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงให้มากความ



แต่สำหรับวันสำคัญอย่างนี้... น้ำผึ้งพระจันทร์กลับมาสาย!



ทว่ายังไม่ทันที่คำเทศนาบทต่อไปของทิพย์น้ำปรุงจะได้หลุดออกมา พนักงานเสิร์ฟสาวในเครื่องแบบของร้านก็กอดถาดพลาสติกสีโอ๊ควิ่งเข้ามาร้านงานเจ้าร้านสาวทั้งสามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเล็กน้อย



“เขาบอกว่าขอคุยกับเจ้าของร้านค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยพลางพยักพเยิดไปทางโต๊ะตัวหนึ่งที่มุมสุดของร้าน แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่า ‘เจ้าของร้าน’ ที่ว่านั้น เป็นเจ้าของร้านคนไหนกันแน่



‘คราวนี้เป็นตัวแทนบริษัทไหน หรือคุณหญิงคุณนายบ้านไหนอีกล่ะ...’



น้ำผึ้งพระจันทร์ก้มหน้าก้มตาเถียงกับตัวเองอยู่ในใจ ครั้นพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพื่อนสาวทั้งสองคนจ้องอยู่ก่อนแล้ว ดวงหน้าสวยผุดผาดทั้งสองหันไปทางโต๊ะตัวนั้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าคนถูกคาดโทษอย่างเธอเป็นผู้ถูกเลือกในวันนี้นั่นเอง



แน่นอนว่าเรื่องที่เธอกับเพื่อนเข้าร้านพร้อมกันทุกวันที่ 1 และ 15 ไม่ได้ติดประกาศอยู่หน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้าแต่อย่างใด ทว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่นั่น หลังจากลูกค้าผิดประเภทบางคนใช้มาตรการเช้าถึงเย็นถึงเข้าว่า ก็สามารถรู้ได้ในที่สุดว่าพวกเธอเข้าร้านพร้อมกันวันที่เท่าไหร่ ใครเข้าวันไหนบ้าง จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปกระจายให้แก่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้รู้โดยทั่วถึง เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องสาธารณะไปอย่างเสียไม่ได้ พวกเธอเองก็ปลงตกถึงขั้นเรียกวันที่ 1 กับวันที่ 15 ซึ่งมีคนเข้าร้านมากที่สุดว่า ‘วันรวมญาติ’ ด้วยซ้ำ



ใครจะคิดว่าคิว ‘พบญาติ’ ของเธอจะเวียนมาถึงเร็วนัก



ดวงตาสีม่วงเข้มช้อนขึ้นมองไปยังทิศทางโต๊ะริมสุดตัวนั้น เพราะรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังถูกไอร้อนสายหนึ่งจากสายตาใครสักคนพวยพุ่งมาจับสองข้างแก้ม ทว่าพอได้เห็นคนนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้ว ใบหน้าเขากลับถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดราคาแพงระยับ หากเธอยังยืนยันว่าสัญชาตญาณตัวเองไม่ผิดพลาด ไอร้อนสายนั้นก็คงลอยลอดกรอบแว่นออกมากระมัง



น้ำผึ้งพระจันทร์โยนกระเป๋าให้เด็กในร้านรับไปเก็บไว้หลังเคาน์เตอร์ แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะริมสุดหมายเลข 17 อย่างสง่างาม ไม่ผิดแบบฉบับลูกคุณหนูผู้ถูกอบรมมาดีพร้อม เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็โปรยยิ้มเป็นมิตรล่วงหน้าไปก่อน เมื่อฝีเท้าตามไปถึงจึงค่อยเอ่ยทักทายขึ้น



“ดิฉันเป็นเจ้าของร้านค่ะ” เธอเอ่ยทักทายด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงเจ้าของภาษา เพราะตอนเดินเข้ามาเมื่อครู่รู้สึกคล้ายได้ยินภาษาจีนกวางตุ้งลอยเข้าหูแว่วๆ เธอจึงสรุปเอาเองว่าเขาคงเป็นชาวจีน แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาระแวงว่าเธออาจเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด เธอจึงตั้งใจจะสื่อสารกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ และพยายามลืมความรู้ภาษาจีนที่แตกฉานเทียบเท่าภาษาไทยของตัวเองไปชั่วขณะ



“ครับ” ชายหนุ่มผิวขาวจัดในเสื้อเชิ้ตเรียบหรูสีดำสนิทเอ่ยรับคำขึ้นสั้นๆ ก่อนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำราวกับว่าเธอเป็นฝ่ายเสนอตัวมาแนะนำตัวเองทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอ นิ้วเรียวยาวสามนิ้วยกขึ้นดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นสันจมูกโด่งได้รูปมากขึ้นราวครึ่งเซน จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางมองเธอด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดุจเสือร้ายรอขย้ำเหยื่อ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก



ทั้งที่ไม่เห็นแววตาใต้แว่นกันแดดสีทึบนั้นเลยสักนิด แต่น้ำผึ้งพระจันทร์กลับรู้สึกมั่นใจขึ้นทุกขณะว่าไอร้อนสายนั้นลอยมาจากสายตาเขาแน่



นี่เธอกำลังถูกแทะโลมกลางร้านงั้นเหรอ!



ในบรรดาทั้งสามคน เธอเป็นคนญาติน้อยที่สุด เนื่องจากมีตราประทับ ‘ลูกสาวเจ้าพ่อ’ อยู่บนหน้าผาก ทั้งยังมีบุคลิกชวนหวาดผวาเป็นยันต์คุ้มภัย ในขณะที่ทิพย์น้ำปรุงกับเพียงน้ำพลอยนั้นจัดอยู่ในประเภทคนญาติเยอะพอๆ กัน



“ผมมีปัญหากับรสชาติอาหารร้านคุณนิดหน่อย” ชายหนุ่มหุบยิ้มลงแล้วเปิดฉากบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม



ในเมื่อเขาเริ่มเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตัวเองอย่างจริงจังแล้ว หากเธอยังมัวแต่คิดเล็กคิดน้อยไม่เท่ากับเป็นคนหลงตัวเองหรอกเหรอ



“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าไม่พอใจเมนูไหนคะ ทางร้านเรายินดีเปลี่ยนใหม่ให้เลยค่ะ”



“กาแฟนี่ก็ไม่ชอบ โกโก้นี่ก็ไม่ชอบ เค้กนี่ก็ไม่ชอบ ในร้านคุณนี่ผมไม่ถูกใจอะไรเลยสักอย่าง...ยกเว้นคุณ...” เสียงทุ้มโวยลั่นขึ้น ก่อนจะเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่ในท้ายประโยค ทำให้เลือดในกายน้ำผึ้งพระจันทร์เดือดพล่านขึ้นมาจนเริ่มคุมสีหน้าไม่อยู่



“ดูเหมือนฉันจะเข้าใจผิดว่าคุณมีปัญหาอะไร เชิญทานของที่ไม่ชอบให้อร่อยนะคะ ขอตัว” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยเสียงราบเรียบทว่าเย็นเยียบชวนเสียวสันหลัง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที



หากเรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด...



ยังไม่ทันที่ขาเรียวสวยจะได้ก้าวไปไหน มือหนาทรงพลังข้างหนึ่งก็เอื้อมไปคว้าข้อมือบางของเธอไว้แน่น เธอออกแรงสะบัดอย่างแรงตามสัญชาตญาณ ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พ้นจากพันธนาการของเขาอยู่ดี



เขาคิดว่าร้านเธอเป็นเลานจ์หรือไงกัน!



“ว่างคุยกับผมสักหน่อยมั้ย” ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปยื่นมาเอ่ยกับเธอใกล้ๆ ยิ่งชวนให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต่อรองราคาอยู่ยังไงยังงั้น ริมฝีปากบางจึงเหยียดยิ้มร้ายกาจส่งคืนให้ แล้วตอบเสียงกระด้างทั้งที่ยังยิ้มอยู่



“ว่างค่ะ ว่างมากด้วย แต่ไม่คุยกับคุณ”



ทว่าขณะที่เธอกำลังยื้อแย่งแขนตัวเองกลับมานั้น มือข้างหนึ่งของเขาก็ยกขึ้นถอดแว่นตากันแดดออกเผยให้เห็นนัยน์ตาคมกริบดุจราชสีห์หนุ่มของเจ้าตัว



ชั่ววินาทีนั้น...ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มพลันชะงักค้างไปชั่วขณะ



หมื่นอารมณ์พันความรู้สึกที่ถูกฝังอยู่ลึกจนสุดใจปะทุโถมขึ้นเป็นเกลียวคลื่นในแววตา ริมฝีปากบางคล้ายอยากจะเอ่ยเรียกชื่อๆ หนึ่งออกมา ทว่าสมองกลับสับสนเกินกว่าจะแยกแยะได้ ว่าที่แท้เธอจำคนผิด หรือกำลังฝันไปกันแน่...



“เหวินหยางหลง” สิ้นเสียงทุ้มทรงเสน่ห์ของเขา น้ำผึ้งพระจันทร์ก็คล้ายกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เริ่มทบทวนสิ่งที่ตนได้ยินพลางเพ่งพิศใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าให้ดีอีกครั้ง



เขาคงไม่ได้เรียกเธอด้วยชื่อนั้นกระมัง น่าจะเป็นการแนะนำตัวของเขาเสียมากกว่า



แต่คนๆ นั้นไม่ได้ชื่อเหวินหยางหลง และยิ่งไม่มีทางทำเป็นไม่รู้จักเธออย่างที่เหวินหยางหลงคนนี้ทำแน่



เขาไม่ใช่คนๆ นั้น... ถึงจะคล้ายสักแค่ไหนก็ไม่ใช่อยู่ดี...



น้ำผึ้งพระจันทร์รีบดึงสติคืนสู่ร่างอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่แรงพันธนาการแผ่วลงสะบัดข้อมือจนหลุด แล้วรีบเดินเข้าหลังร้านไปโดยไม่คิดสนร้องเรียกของเพื่อนรักทั้งสอง ปล่อยให้สมองจมอยู่กับความคิดที่ว่า...



ถ้าเพียงแต่ ‘พระอาทิตย์ตกดิน’ เสียตอนนี้



เธอคงไม่ต้องมานั่งเดาตัวตนของ ‘เหวินหยางหลง’ คนนี้ให้ยากหรอก...







ดวงเนตรดำสนิทดุจรัตติกาลยังคงราบเรียบยากหยั่งลึกอยู่เช่นเดิม นอกจากละสายมามองแก้วน้ำบางครั้งคราวแล้ว แทบไม่ได้ละสายตาจากม่านลูกปัดสีดำหลังเคาน์เตอร์หน้าร้านที่ซึ่งคนร่างเล็กผลุบหายเข้าไปเลยแม้แต่นาทีเดียว



เขาแทบจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมีความอดทนขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่...



สมองอันว่องไวของมาเฟียหนุ่มครุ่นคิดถึงปฏิกิริยาช่วงสั้นๆ ของเธอก่อนหน้านี้ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า หากมองเห็นภาพของเธอในหัวชัดเจนเท่าไหร่ ตัวจริงของเธอจะมาปรากฏใกล้ๆ เขาไวขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับที่เขาเห็นภาพถ่ายเธออยู่ในมือเมื่อสามวันที่แล้ว แล้ววันนี้เธอก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า...



ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มคู่นั้นเยือกเย็นจนเกือบเย็นเยียบ...เย็นเยียบจนเกือบว่างเปล่า...ราบเรียบไร้คลื่นมรสุมใดๆ สุดจะรู้ว่าความลึกล้ำนั้นสิ้นสุดที่ตรงไหน แม้แต่ในช่วงเวลาที่แสดงออกผ่านสีหน้าว่าเดือดดาลจนเกินจะกลั้น แววตาลุ่มลึกก็สั่นไหวเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นก็สลายกลายเป็นควันไปในชั่วพริบตา กลายเป็นปราการน้ำแข็งหลายสูงตระง่านเช่นเดิม



เขามองหญิงสาวหน้าตาสะสวยอีกสองคนหน้าเคาน์เตอร์สลับกับม่านลูกปัดสีดำด้านหลัง พลางปล่อยให้เสียงรายงานของลูกน้องในการประชุมลับเมื่อสามวันก่อนวนเข้าในความคิดอีกครั้ง...



‘เธอชื่อ ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ ครับ... อายุ 26 ปี เกิดวันที่ 13 พฤศจิกายน ปี 1989 ราศีพิจิก กรุ๊ปเลือดเอบี จบปริญญาตรีสาขาออกแบบอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศไทยด้วยคะแนนสูงสุด และปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยคะแนนสูงที่สุดในรุ่นอีกเช่นกัน



หลังจากจบมาเธอจับงานหลายในคราวเดียว แต่ก็นับว่าเรี่ยวแรงมหาศาลจับได้มั่นคงไม่เลว เริ่มจากเข้ารับตำแหน่งรองประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท เฉียน คอร์เปอเรชั่น กรุ๊ป ของคุณเฟยหลงซึ่งเป็นบิดาบุญธรรม พร้อมกันนั้นก็รับหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ต่อมาได้เริ่มก่อตั้งแบรนด์เครื่องประดับของตัวเองขึ้นภายใต้เครือบริษัทของบิดา โดยใช้ชื่อว่า ‘ฮันนีมูน เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่’



นอกจากนี้ในบางโอกาส เธอยังรับเป็นที่ปรึกษาทางด้านแฟชั่นให้กับแบรนด์สำคัญระดับโลกหลายแบรนด์ ด้วยโอกาสที่ว่านี้เองทำให้เธอมีช่องทางในการกระจายสินค้าของตัวเองเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อัญมณี เครื่องประดับ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ตระกูลเฉียนมีเอี่ยวอยู่



เมื่อมีเวลาว่างจากงานดังกล่าว เธอจะเข้าไปดูแลร้านอาหารกับเบเกอรี่ที่เป็นหุ้นส่วนร่วมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน กำหนดการเข้าร้านที่แน่นอนคือวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน กิจการร้านอาหารบวกเบเกอรี่นี้นับว่าเกินความคาดหมายมาก ติดโพลสำรวจ ‘ร้านอาหารที่คนอยากไปใช้เวลาในวันหยุดมากที่สุด’ ถึง 3 ปีซ้อน โดยคนให้เหตุผลว่ารสชาติถูกปาก บริการถูกใจ ทั้งยังเป็นแหล่งรวมตัวของพวกลูกผู้ดีชั้นดีมีตระกูลทั้งหลายอีกด้วย



ท่านเจ้าสัวทั้งรัก ทั้งห่วง ทั้งหวงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาก ถึงขนาดมีคนขนานนามว่า ‘อัญมณีสีม่วง’ ประจำตระกูลเฉียน แต่วงกว้างกลับรู้จักกันในชื่อ ‘แม่มดน้ำผึ้งพิษ’



เธอมีพวกลูกผู้ดีมาติดพันไม่น้อย แต่จนป่านนี้ก็ยังประวัติว่าเคยคบหากับใคร ว่ากันว่าเธอเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์ไม่เอาไหน นอกจากเพื่อนสองคนที่เปิดร้านด้วยกันแล้วก็ไม่สนิทกับใครอีก ทั้งยังไม่ชอบออกงานสังคมทุกประเภท สายของเราได้ไปทำทีตีสนิทกับผู้ชายที่เคยติดพันเธอจนถามได้ความมาว่า สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้พวกเขาแผ่นแน่บหลังจากเจอหน้าเธอไม่กี่ครั้งมีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน ข้อแรก เธอประหลาดจนน่ากลัว กว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์บอกว่ารู้สึกเหมือนตัวเองถูกสะกดจิตทุกครั้งที่คุยกับเธอ เหมือนกำลังเดทกับแม่มดหมอผีอยู่ในร้านกาแฟไม่มีผิด ส่วนข้อสองคือสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ พวกเขาให้การว่าเกรงกลัวอิทธิพลของเจ้าสัวเฉียน



ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ทราบครับ ว่าเธอเป็นลูกสาวคนโตของคุณหญิงแพรรัมภา น้องสาวของคุณหญิงองค์อินทร์ ภรรยาผู้สิ้นบุญไปเมื่อ 20 ปีก่อนของท่านเจ้าสัว’



ยังไม่ทันที่เสียงรายงานดังก้องในหัวหยางหลงจะได้เงียบลงนั้นเอง...



กรุ๊งกริ๊ง...



เสียงระฆังเล็กๆ บนมือจับประตูดังขึ้นมาตามแรงผลัก เรียกให้พนักงานในร้านทั้งชายหญิงรวมทั้งเจ้าของร้านหน้าเคาน์เตอร์อีกสองคน ละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่ขึ้นมาเอ่ยต้อนรับผู้มาใหม่อย่างเสียงดังแข็งขัน พร้อมกับหันไปโค้งให้เกือบเก้าสิบองศาพร้อมกัน



"ไอซ์ฟอกซ์สวัสดีค่ะ!"



ชายหนุ่มละสายตาจากม่านลูกปัดสีดำไปจับจ้องผู้มาใหม่ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นว่าลูกค้าที่เพิ่งก้าวเข้ามาเป็นหญิงสูงวัย ท่าทางภูมิฐาน ใบหน้าอ่อนโยน ทว่าดวงตากลับแข็งกร้าว ออกจะละม้ายน้ำผึ้งพระจันทร์อยู่หลายส่วน เพียงแต่นัยน์ดำสนิทดุจอสรพิษหิวกระหาย พอเห็นหญิงสาวสองคนหน้าเคาน์เตอร์ยกมือขึ้นไหว้ ถึงได้คลี่ยิ้มออกมากลบเกลื่อนอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง



“สวัสดีค่ะคุณแม่”



“สวัสดีจ้ะ” เธอยกมือไหว้ตอบพลางส่งยิ้มให้พอเป็นพิธี ทว่าพอเห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากหลังร้าน รอยยิ้มนั้นก็เย็นเยียบลงเรื่อยๆ จนดูคล้ายรอยยิ้มเยาะอย่างอาฆาตไม่มีผิด



“สวัสดีค่ะคุณหญิง” น้ำผึ้งพระจันทร์ที่เพิ่งกลับออกมาหน้าร้านหลังจากหายเข้าไปสงบสติอารมณ์นับสี่ชั่วโมง เริ่มมองเห็นเค้าพายุลูกใหม่บนใบหน้าของหญิงสูงวัยตรงหน้ารางๆ แล้ว หากก็ยังฝืนใจเอ่ยทักทายยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท



“แกคงพอใจแล้วสินะที่ฉันต้องเป็นฝ่ายถ่อมาหาแกถึงนี่” หญิงสูงวัยไม่อาจกักเก็บความไม่พอใจไว้ได้อีก จึงระบายมันออกมาพร้อมน้ำเสียงและแววตาจนหมดสิ้น



“คงพอใจกว่านี้ถ้าไม่ต้องเจอคุณหญิงค่ะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ยิ้มเย็นก่อนจะตอบออกไปอย่างสงบนิ่ง



เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้หมดความอดทน เธอจึงผายมือเชิญอีกฝ่ายไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านอย่างเสียไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย ตัวเองจะต้องเผชิญกับความรู้สึกประเภทไหน



หยางหลงลอบสังเกตท่าทางของเธอกับหญิงสูงวัยคนนั้นอยู่เงียบๆ ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านเลยไปยังโต๊ะมุมอับอีกด้านหนึ่ง พลันรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็น ‘คุณหญิงแพรรัมภา’ แม่แท้ๆ ของน้ำผึ้งพระจันทร์นั่นเอง



เขาเห็นเธอหลับตาลงครู่หนึ่งหลังจากทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะลืมตาขึ้นเผยเห็นดวงตากลมโตที่สงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม ยกเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง ท่าทางราวกับคนไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฟ้าถล่มดินทลาย หรือใครจะตายลงตรงนี้ก็ตามที ทว่าเขาเองก็ฟังภาษาไทยไม่ออก จึงไม่แน่ใจนักว่าผู้มาใหม่นี้มาแจ้งข่าวใครตายจริงๆ หรือเปล่า



“หลานชายท่านรัฐมนตรีกลาโหมเขาสนใจแก รีบแต่งกับเขาไปซะ” คุณหญิงแพรรัมภาไม่เสียเวลาอ้อมค้อม เมื่อนั่งลงเสร็จสรรพก็รีบเปิดบทสนทนาทันทีที่นั่งลง เพราะเธอเองก็ใช่ว่าอยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก



ลูกสาวที่เกิดมาเพื่อตอกย้ำความเจ็บปวดให้ตัวเอง ใครจะอยากเห็นหน้า...



“แล้วทำไมไม่ให้ลูกสาวสุดที่รักแต่งล่ะคะ หรือเขาพิกลพิการตรงไหน บุญถึงหล่นมาทับดิฉันได้” น้ำผึ้งพระจันทร์แสร้งถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนประหลาดเหลือแสน



“คิดว่าฉันอยากเปลืองมือประเคนแกให้เขารึไง ถ้าเขาไม่ระบุว่าต้องเป็นแก ฉันก็คงไม่ต้องมานั่งทนมองหน้าแกอย่างนี้หรอก”



“อ๋อ ระบุชนิดสินค้านี่เอง งั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะคุณหญิง สินค้าอันนี้มันไม่ได้มีไว้ขายซะด้วยสิ” เธอตอบราวเห็นอกเห็นใจผู้เป็นแม่เสียเต็มประดา ในขณะเดียวกันก็เลือกใช้ถ้อยคำประหนึ่งกำลังเจรจาค้าขายอยู่จริงๆ ทว่าเพียงครู่เดียวก็ค่อยๆ ฉาบเคลือบรอยยิ้มด้วยยาพิษ จนไม่ต่างจากแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ



“แต่มันมีไว้ทำลายคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของ...” เธอยื่นหน้าไปเอ่ยเสียงเย็นเยียบกับคู่ค้าสายเลือดเดียวกันใกล้ๆ



“แกต้องการอะไร” คุณหญิงแพรรัมภาเค้นเสียงลอดไรฟันถาม



“ฉันไม่ต้องการอะไรมากหรอกค่ะ ก็แค่...ให้เราสองคนย่อยยับไปด้วยกัน...พอจะให้ฉันได้มั้ยคะ”



“แกมันบ้า” แววตามาดร้ายของหญิงสูงวัยทำให้น้ำผึ้งพระจันทร์เผลอแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะน้อมรับคำบริภาษของอีกฝ่ายไว้ด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยระคนเย็นเยียบเสียดกระดูก



“ใช่ค่ะ ฉันมันบ้า...”



น้ำผึ้งพระจันทร์ชินกับความรู้สึกพรรค์นี้เสียแล้ว นับตั้งแต่เธอจำความได้ เธอกับแม่บังเกิดเกล้าก็ไม่เคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันสักครั้ง จนกระทั่งอายุ 7 ขวบเธอได้หลบมาพึ่งใบบุญพ่อบุญธรรม คุณหญิงแพรรัมภารังเกียจเธอเกินกว่าจะมาเยี่ยมเยียน ส่วนเธอก็เสียใจเกินกว่าจะกลับไปทำร้ายตัวเองอีก จึงกลายเป็นว่าเธอกับแม่แท้ๆ ผู้นี้พบกันไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น แต่ด้วยเหตุที่ไม่พบกันบ่อยนักนี้เอง ไฟแค้นในอกของคุณหญิงสูงวัยจึงยิ่งอัดแน่นอยู่เต็มอก ในขณะที่เธอก็ด้านชาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อสบโอกาสได้พบกัน ไฟบรรลัยกัลป์ในสงครามประสาทจึงยิ่งโหมกระพือเผาผลาญทั้งเธอและผู้มาเยือนมากขึ้นทุกที จนสุดท้ายก็ไร้ทางดับ...



รอเพียงบทสรุปสุดท้ายว่าใครจะมอดไหม้ไปก่อนกันเท่านั้น...



“ฉันไม่สนว่าแกจะคุ้มดีคุ้มร้ายยังไง แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับหน้าที่การงานพ่อแก ถ้าแกอยากอกตัญญูก็ตามใจ” คุณหญิงแพรรัมภาข่มโทสะลงไปให้ลึกสุดใจ พร้อมกับจ้องลึกลงไปนัยน์ตาสีม่วงเข้มน่าชิงชังคู่นั้น



“ยังไงฉันก็ไม่เคยดีอยู่แล้ว จะเลวร้ายกว่านี้อีกซักหน่อยก็คงไม่เป็นไร” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่ยี่หระ



“ถ้าคุณหญิงมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบเท่านี้ ดิฉันก็คงต้องขอตัวก่อน เอาไว้ถ้าดิฉันเปลี่ยนอาชีพมาขายตัวเมื่อไหร่ เราค่อยพบกันอีกที” เธอแสยะยิ้มร้ายกาจแล้วยกมือไหว้หญิงสูงวัยตรงหน้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหลังร้านโดยไม่คิดเหลียวกลับไปมองด้านหลังแม้แต่หางตา ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายหน้าบางเกินกว่าจะตะโกนเรียกเธอกลางธารกำนัล หรือต่อให้อีกฝ่ายหน้าหนากว่านี้เธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกอยู่ดี



เมื่อแน่ใจว่าแขกไม่ได้รับเชิญออกจากร้านไปแล้ว น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เดินออกมาหน้าร้าน ปล่อยให้สายตาเป็นห่วงของเพื่อนจับจ้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดบอกเล่าอะไร และไม่เปิดโอกาสให้ใครได้เอ่ยปากถามเช่นกัน เพียงนั่งลงทำบัญชีหลังเคาน์เตอร์จากจุดที่ตนทำค้างไว้ต่อไปเงียบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ทว่าทันใดนั้นเอง ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเมื่อหลายชั่วโมงก็ลอยเข้ามาสัมผัสสัญชาตญาณน้ำผึ้งพระจันทร์อีกครั้ง เธอจึงหันขวับไปในทิศที่คาดว่าไอร้อนสายนั้นลอยมา



เจ้าของนัยน์ตาดำสนิทดุจราชสีห์หนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะหมายเลข 17 เหมือนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หากบนใบหน้าไม่ได้สวมแว่นตากันแดดสีดำบดบังใบหน้าอีกแล้ว เขายังคงจ้องเธอไม่วางตา แม้กระทั่งในวินาทีนี้...วินาทีที่เธอจ้องตอบกลับเขาไปอย่างกล้าหาญ...



น้ำผึ้งพระจันทร์ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตั้งใจว่าจะไปบอกกล่าวเขาให้รู้เรื่องว่าเธอไม่ต้อนรับลูกค้าที่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ต่อให้เขานั่งอยู่ที่นี่อีกชาติเศษก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเขาสมควรกลับไปเสีย เพื่อที่เขาเองจะได้ไม่เสียเวลา และเธอเองจะได้ไม่เสียสุขภาพจิต



หากยังไม่ทันทีที่เธอจะได้ก้าวออกจากเคาน์เตอร์ เขาก็ยกมือเรียกพนักงานสาวใกล้ตัวคนหนึ่งเข้าไปหา เธอจึงหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อรอดูว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ และในวินาทีต่อมานั้นเองออเดอร์สั่งกาแฟเอสเปรสโซ่ร้อนก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์บนเคาน์เตอร์



เธอหันขวับไปมองหน้าจอในทันที เมื่อเห็นหมายเลขโต๊ะที่สั่งกาแฟเพิ่มอีกแก้วไม่ใช่ลูกค้าใจป้ำที่ไหน แต่เป็นลูกค้าที่เห็นร้านเธอเลานจ์สั่งกาแฟมาแล้ว 8 แก้ว และแก้วนี้กำลังจะเป็นแก้วที่ 9 เธอจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วถอยหลังกลับมานั่งตามเดิม ด้วยรู้ตัวในที่สุดว่าตัวเองถูกนำหน้าไปก้าวหนึ่งจนได้



เขากำลังจะบอกเธอนัยว่า ต่อให้เธอเป็นเจ้าของร้านเธอก็ไม่สิทธิ์ไล่เขาไปไหน ตราบใดที่เขายังเป็นลูกค้าสินะ...



ได้! เธอเองก็อยากจะรู้นักว่าเขากับพวกจะทนกินกาแฟไปได้สักกี่แก้วกัน!









สองชั่วโมงผ่านไป...



“น้องครับ ขอเอสเปรสโซ่ร้อนอีกหนึ่งแก้วนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกพนักงานสาวคนหนึ่งให้มารับออเดอร์แก้วที่ 10 ของตัวเองด้วยภาษาอังกฤษ เสียงสุภาพนุ่มนวล ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กหลังเคาน์เตอร์นั้นไม่วางตา รอเวลาให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้งอย่างอดทน



“อะ...เอสเปรสโซ่ร้อนอีกหนึ่งแก้วนะคะ” พนักงานสาวมองสีหน้าผะอืดผะอมของชายร่างหนาอีกสองคนกับแก้วกาแฟเปล่าบนโต๊ะ ก็ได้แต่กลืนน้ำลายแล้วรับออเดอร์มาอย่างตื่นตะลึง



“นายครับ...เปลี่ยนเป็นชาแทนได้มั้ย” หมิงเทียนเอ่ยขอผู้เป็นนายเสียงอ่อน ทว่าจนใจที่อีกฝ่ายยังคงวางสายตาไว้ที่อัญมณีสีม่วงชิ้นนั้น ไม่มีแก่ใจจะมาสนใจลูกน้องคาเฟอีนเกินขนาดอย่างเขา



“ได้ งั้นสั่งชาเพิ่มอีกแก้ว” สิ้นเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นนาย หมิงเทียนกับผู้ติดตามอีกคนนามว่า ‘เรียว’ ก็แทบจะโก่งคออาเจียนออกมาพร้อมกันเสียให้ได้



เขากับเรียวติดตามเจ้านายผู้นี้มาตั้งแต่ยังเป็นลูกมังกรยังไม่ขึ้นรับตำแหน่ง แม้ฉากหน้าจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง มีธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องทำเป็นแบบอย่างให้คนใต้ปกครองอื่นๆ เห็นอยู่ตลอดเวลา จนภายหลังก็กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว แต่เขากับเรียวต่างก็รู้ดีกว่าผู้เป็นนายรักใคร่คนในปกครองประหนึ่งคนในครอบครัวโดยเฉพาะเขาทั้งสองคนซึ่งเป็นคนสนิท ทั้งยังเข้าใจดีว่าผู้เป็นนายหาได้เป็นคนเลวร้ายอำมหิตอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจกัน แม้จะถูกเสียงปืนและกลิ่นคาวเลือดเคี่ยวกร่ำจนใจร้อนไปบ้างในบางครั้ง เลือดเย็นไปบ้างในบางหน แต่ในเบื้องลึกแล้วยังคงเป็นชายหนุ่มขี้เล่น และมีอารมณ์ขันคนหนึ่ง



ทว่าถึงอย่างนั้น เจ้านายเขาก็รู้ดีว่าควรแสดงภาพลักษณ์แบบไหนให้ใครเห็น คนไม่สนิทจึงคิดกันไปว่าเขาเป็นอย่างนั้นไปเสียตลอดเวลา พาลให้ขนพองสยองเกล้าไปกันใหญ่ แม้กระทั่งพวกผู้หญิงนับร้อยที่มาติดพันเขาก็ยังจำภาพเขาในแบบนั้น



เขากับเรียวเคยตั้งข้อสงสัยกันอยู่เป็นนาน ว่าทำไมตอนเจ้านายเข้าหาผู้หญิงถึงไม่ปลดหน้ากากตัวเองลงสักหน่อยแล้วเข้าหาพวกเธออย่างนุ่มนวล ด้วยคิดว่านั่นน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่หลังจากวิเคราะห์กันอย่างหนักหน่วงแล้วก็ได้สรุปว่า สิ่งที่ต้องคิดหาใช่เรื่องดีหรือไม่ดี แต่เป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็นต่างหาก



หมิงเทียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเพื่อหมากสำคัญตัวนี้ เจ้านายเขายอมทุ่มหมดหน้าตักจริงๆ กระทั่งเสน่ห์เล่ห์กลร้อยเล่ห์ที่ไม่เคยงัดออกมาใช้กับผู้หญิงที่ไหนก็ยังถูกงัดออกมาใช้ ยอมนั่งรออยู่เงียบๆ ไม่หุนหัน ไม่บุ่มบ่าม ทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายอีกด้วย



เห็นแล้วก็ชวนให้นึกถึงราชสีห์เจ้าเล่ห์รอขย้ำกวางน้อยอยู่หน้าถ้ำเสียจริงๆ



หากเขาเองก็ตามสืบรอยผู้หญิงคนนี้อยู่หลายเดือนจนกระทั่งมาเห็นตัวเป็นๆ ของเธอวันนี้



ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอปรากฏตัวขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่ ‘กวางน้อย’ แน่!



กระทั่งใครจะฝ่ายถูกขย้ำก็ยังไม่อาจตัดสินได้แน่ชัดนัก



“คุณต้องการอะไรกันแน่” หมิงเทียนกับเรียวสะดุ้งโหยงขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่รู้ว่าคนนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไกลจนเกือบสุดสายตาโผล่มาเอาเรื่องถึงโต๊ะภายในเสี้ยววินาทีได้อย่างไร



“อืม...ต้องการอะไรดีล่ะ...ต้องการสมัครงานละกัน” ชายหนุ่มทำท่าคิดหนัก ก่อนจะตอบออกไปง่ายๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างส่งให้เธอจนตาหยี



เขาจ้องเธออยู่แทบทุกวินาทีจึงไม่ตื่นตกใจนักเมื่อเห็นว่าเธอพุ่งจากเคาน์เตอร์มาเอาเรื่องเขาถึงโต๊ะ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขากำลังรอให้เธอเดินมาอยู่พอดี



“ไม่รับ กลับไปได้แล้ว” น้ำผึ้งพระจันทร์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วหันหลังเดินจากไปทันที



“เดี๋ยวสิคุณ สัมภาษณ์กันก่อนไม่ได้รึไง ผมทำได้หลายอย่างนะ” ชายหนุ่มร่างสูงเอื้อมมือไปรั้งข้อมือเธอไว้ แล้วเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น จนใจที่ข้อเสนอนั้นถูกสะบัดทิ้งไปพร้อมกับมือของเขาในวินาทีต่อมานั้นเอง



“ฉันมีคนพอแล้วไม่ว่าตำแหน่งอะไร นอกเสียจากว่าคุณจะอยากรับจ๊อบเป็นยามกะดึก”



“ยามกะดึก! เฝ้าร้านเบเกอรี่เนี่ยนะ!” หยางหลงโพล่งออกมาอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ด้วยไม่รู้ว่ากระทั่งไม้พายในห้องครัวก็ต้องการคนปกป้องในยามค่ำคืนด้วย



“งั้นคุณก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่าเราไม่ต้องการคนเพิ่ม ไม่ว่าตำแหน่งอะไร” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบเสียงเย็น



“ได้! งั้นผมเป็นยาม” สิ้นเสียงเธอหยางหลงก็โพล่งรับขึ้นแข็งขัน ก่อนจะฉีกยิ้มจนตาโค้งลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว



“ฉันรู้ว่าคุณว่าง แต่ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นและฉันก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ ถ้าอยากเล่น...ก็เชิญที่อื่น” เธอไสส่งเขาอย่างไม่ใยดี นัยน์ตาสีม่วงเข้มคู่นั้นเย็นเยียบจนพาให้หนาวเยือกขึ้นมาอย่างประหลาด



“ไม่รู้แหละ คุณบอกว่าจะให้งานผมทำ” หยางหลงลอยหน้าลอยตาตอบ



“ฉะ...ฉันไปพูดอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำผึ้งพระจันทร์ชักเดือดขึ้นมาบ้าง ถ้อยคำที่เคยหลุดออกจากปากอย่างฉะฉานเริ่มตะกุกตะกักพร้อมกับที่ความอดทนลดน้อยลงทุกที



“เขาก็ได้ยินกันทั้งร้านอะ” เธอมองตามสายตาเขาไปยังลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ในร้าน แล้วก็ต้องเห็นว่าทุกคนในร้านกำลังมองเธอกับเขาตกลงสัญญาว่าจ้างกันอยู่จริงๆ



“ได้ ฉันมีเงินเดือนให้คุณเดือนละสามพันบาท รับได้ก็ทำ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ” เมื่อถูกสายตาลูกค้าทั้งร้านคู่เข็ญ น้ำผึ้งพระจันทร์จึงงัดวิธีอยุติธรรมที่สุดเข้าสู้ ด้วยแน่ใจว่าผู้ชายท่าทางสำอางแขวนสินค้าแบรนด์เนมไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเขา ไม่มีทางรับสัญญาแสนจะขูดรีดพรรค์นี้แน่



“สามพัน! วัยละร้อยเนี่ยนะ! มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอคุณ” หยางหลงโต้สวนราวกับตัวเองถูกเฉือนเนื้อไปขายกิโลละไม่ถึงดอลลาร์ก็ไม่ปาน



“ยังมากไปอีกเหรอ ฉันให้น้อยกว่านี้ก็ได้นะ”



“ผมหมายถึงที่คุณทำกับผมน่ะ มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ”



“แล้วทำไมฉันต้องเสียเงินมากมายจ้างคนมาเฝ้าเนยถั่วตอนกลางคืนด้วย ไม่พอใจก็ไม่ต้องทำ” เธอยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ



“ได้! ผมทำ!” เสียงทุ้มตอบรับเสียงหนักแน่น ดวงตาคมกริบจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตสีม่วงเข้มของเธอไม่วางตา ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากราวกับราชสีห์หนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ไม่เหลือคำไหนจะเอ่ยนอกจากเสียงสบถ



ชั่วชีวิตนี้เธอเจอคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมานับไม่ถ้วน



ที่ใช้ลูกตื้อเข้าว่าก็มีไม่น้อย



แต่ประเภท ‘ตื้อเป็นหมาบ้าไม่กลัวน้ำ’ แบบนี้ เกิดมาเธอก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ...









ไรท์ทนสิ่งตัวเองเขียนไว้ไม่ไหว เลยลบทิ้งหมดเลยTT

แต่ไรท์กำลังทยอยรีไรท์ และรีอัพให้ใหม่นะคะ มีการเพิ่มฉากบางฉาก(ซึ่งอาจหลายฉาก)
และตัดฉากบางฉาก
คิดซะว่าเรามารู้จักเจ้าจันทร์กะเฮียใหม่อีกครั้งแล้วกันเนอะ
ไรท์รับรองว่าจะทำให้ทุกคนยิ่งรักเจ้าจันทร์กะเฮียมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอนจ้าา^^


แต่เนื่องจากพรูฟยากมากกก(เขียนอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมอันนั้นTT) ต้องการกำลังกาย กำลังใจ และสมาธิอย่างมหาศาล ไรท์จึงอยากจะขอกำลังใจจากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับเจ้าจันทร์กะเฮียที่มีอยู่เดิม หรือแฟนคลับคนใหม่ที่หลงเข้ามาจนอ่านมาถึงบรรทัดนี้



ฝากเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นแรงอัดฉีดให้กันด้วยนะคะ^^




พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2560, 00:46:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2560, 00:46:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 615





<< บทนำ(2nd Rewrite)   Chapter 2 : แสนพยศ (1st Rewrite) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account