ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 17 [1/2]
...๑๗...
จุดหมายที่หญิงสาวพาพริษฐ์มาไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่งซึ่งเขามักฝากท้องเอาไว้ แต่เป็นบ้านไทยกลางสวนร่มรื่น ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าเป็นบ้านของหญิงสาวเอง
แก้มแหม่มปล่อยพริษฐ์ลงตรงหน้าโรงรถแล้วนำเข้าไปจอดด้านใน ชายหนุ่มเข้าใจว่าหญิงสาวคงเข้าไปเอากุญแจรถยนต์เพื่อนำรถปิ๊กอัพออกจึงเดินเตร่รออยู่แถวนั้น
“คุณ ไปเดินสำรวจสวนอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”
แก้มแหม่มเดินจะถึงประตูบ้านอยู่แล้วเมื่อหันกลับมาไม่เห็นชายหนุ่มเดินตาม พอถามเขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง เธอจึงต้องเดินกลับมาทางเก่า
“ไหนว่าหิวไงคะ ทำไมมาเดินอยู่ตรงนี้”
“ก็รอคุณไง ไปหยิบกุญแจรถเดี๋ยวเดียวเอง ทำไมผมต้องตามไปด้วย แล้วนี่ได้หรือยัง เราไปกันเถอะ ตอนนี้ผมหิวมาก”
“กำลังจะได้กินอยู่แล้วนี่ไง ว่าแต่คุณเถอะ มัวยืนเฉยอยู่นั่น ทำไมไม่ตามฉันมา” หญิงสาวถามกลับ แล้วก็ถึงบางอ้อ เธอส่งยิ้มแหยไปให้ชายหนุ่มอย่างลุแก่โทษ “ขอโทษที ฉันลืมไปว่ายังไม่ได้บอกคุณว่าจะพามากินข้าวที่บ้าน คุณคงเข้าใจผิด”
“ก็คุณมัวแต่พูดๆๆ ไม่ฟังผมเลยนี่”
“ขอโทษที ไปเถอะ ป่านนี้กับข้าวพร้อมแล้ว” หญิงสาวชักชวน แล้วเดินนำไปในบ้าน
พริษฐ์กวาดตาสำรวจ ตรงที่แก้มแหม่มพาเขามานั้นเป็นส่วนเดียวของบ้านหลังนี้ที่ก่ออิฐฉาบปูน ตัวบ้านส่วนอื่นเป็นบ้านไทยทำจากไม้ มองรูปแบบแล้วเขาประเมินว่าบ้านหลังนี้คงสร้างมาหลายปี และส่วนสร้างจากปูนคงได้รับการต่อเติมขึ้นมาทีหลัง
พอก้าวเข้าไปด้านในเขาจึงพบว่าเป็นห้องครัว รวมทั้งส่วนใช้ปรุงอาหารและรับประทานอาหารไว้ด้วยกัน แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนสะอาดตา
ตอนพริษฐ์เข้าไปถึง ป้าตาบกำลังง่วนอยู่ตรงหน้าเตาไฟ ได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกระทะเสียงดัง
“หอมจังเลยค่ะป้า วันนี้มีอะไรกินบ้างคะ ชมพู่หิวมากเลย” แก้มแหม่มปรี่เข้าไปกอดเอวป้าตาบเอาไว้ขณะชะโงกหน้าข้ามไหล่ไปมองในกระทะ
“มากอดป้าทำไมคะ เหนียวตัวออกค่ะ ในนี้ก็ร้อน คุณกลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน”
“หือ...ผัดวุ้นเส้นใส่ลูกชิ้นปลาเส้น ของโปรดเลย ขอชมพู่ชิมหน่อยนะ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหยิบส้อมมาพันผัดวุ้นเส้นจากกระทะ เป่าให้พอหายร้อนแล้วส่งเข้าปาก ไม่นำพาต่อเสียงดุของป้าตาบ “อืม... อร่อยจังเลยค่ะ”
“คุณนี่ ป้าบอกให้ไปอาบน้ำก่อนไงคะ แล้วเราจะได้มากินข้าวกัน”
“ขอกินก่อนไม่ได้หรือคะป้า ชมพู่ฮิ้วหิว” หญิงสาวโอดตาปรอย “อ้อ...อีกอย่างชมพู่เชิญคุณพริษฐ์มากินข้าวที่บ้านเราด้วย ป้าจะให้แขกหิ้วท้องรอหรือคะ”
นั่นละป้าตาบถึงได้รู้ว่าตอนนี้ในห้องครัวไม่ได้มีแค่เธอและเจ้านาย แต่มีบุรุษอีกคนรวมอยู่ด้วย พอป้าตาบหันมา พริษฐ์ก็ยกมือทำความเคารพทันทีด้วยท่าทางนอบน้อม
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมารบกวน” เขาออกปาก แม้ป้าตาบไม่ได้มองมาอย่างตำหนิ เขาก็อดเกรงใจไม่ได้
ตอนแก้มแหม่มชวนก็ลืมนึกไปว่า อาหารวันนี้อาจเตรียมไว้เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น
“ชมพู่ผิดเองละค่ะที่ไม่บอกให้ป้ารู้ก่อน ไม่ใช่ความผิดของคุณพริษฐ์หรอก” แก้มแหม่มออกตัว ไม่อยากให้ชายหนุ่มลำบากใจ เพราะเธอเป็นฝ่ายมัดมือชกพาเขามาเอง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ กับข้าวบ้านเรามีพออยู่แล้ว ป้าแค่กลัวว่ากับข้าวพื้นๆ แบบนี้คุณจะกินได้หรือเปล่า”
“ผมกินไม่ยากหรอกครับป้า อะไรก็ได้” พริษฐ์ได้โอกาสประจบทันที ยังจำได้ว่าป้าตาบมีอิทธิพลในบ้านนี้ขนาดไหน คราวนั้นหากป้าตาบไม่อนุญาต เขาคงไม่มีไกด์พาไปตามหาบ้านของอัญชันหรอก
“แน่หรือคุณ อาหารใต้น่ะเผ็ดนะ อาจจะไม่ถูกปากคุณก็ได้”
“กินได้แน่ครับ ผมไม่ใช่คนกินยากอะไร” ชายหนุ่มยืนยัน
“ถ้าแบบนั้นชมพู่ตักข้าวเลยนะคะป้า แล้วนี่ยอดไปไหนเสียล่ะคะ”
“อาบน้ำอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็คงลงมา นั่นไง เดินยิ้มเห็นฟันขาวมาแล้ว” พูดไม่ทันขาดคำเด็กชายก็เดินตึงตังลงบันไดมา ใบหน้าปะแป้งลายพร้อย
“อ้าว พี่ชมพู่กลับมาแล้วหรือ สวัสดีครับ”
“อือ”
“ห้องน้ำว่างแล้ว คุณชมพู่ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเราจะได้มากินข้าวกัน”
“เอ่อ...” หญิงสาวมีท่าทางละล้าละลัง ใจจริงก็อยากอาบน้ำให้สบายตัวก่อน แต่ยังห่วงพริษฐ์ เธอหันไปขอความเห็นจากชายหนุ่ม
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผมรอได้”
แก้มแหม่มยิ้มขอบคุณ
“งั้นฉันไปอาบน้ำ รับรองว่าแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวเรามากินข้าวกัน ป้าคะ ชมพู่ฝากดูแลคุณพริษฐ์ด้วยนะคะ”
“ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
คล้อยหลังแก้มแหม่มซึ่งเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไป ยอดเดินไปถอดปลักหม้อหุงข้าว ยกใส่ที่รองหม้อแล้วนำมาวางบนโต๊ะกินข้าวพร้อมทัพพี บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงหิวไม่ต่างกับเขา
“เชิญตามสบายนะคุณ เดี๋ยวป้าจะเจียวไข่เพิ่มอีกสักอย่าง กินได้ใช่ไหม”
“จริงๆ ป้าไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ ผมกินอะไรก็ได้” ชายหนุ่มออกตัว ท่าทางนิ่งๆ ของป้าตาบทำให้เขาเกรงใจ
“แต่ยอดอยากกินไข่เจียว” ก่อนป้าตาบจะตอบ ยอดก็โพล่งขึ้นทันที
“แค่เจียวไข่ ไม่ลำบากอะไรหรอกคุณ”
“คุณพริษฐ์รู้ไหม ไข่เจียวฝีมือยายตาบอร่อยที่สุดในสามโลกเลยนะ ไข่เจียวสีเหลือง ฟูๆ กรอบๆ แค่คิดยอดก็น้ำลายหกแล้ว”
ไม่พูดเปล่า เด็กชายยังทำตาลอย สูดปากซื้ดซ้าดประกอบ
“เดี๋ยวยอดไปทำน้ำปลาพริกเพิ่มอีกอย่างดีกว่า กินกับไข่เจียวอร่อยที่ซู้ด”
พูดจบเด็กชายวางจานและช้อนส้อมลงกับโต๊ะ เสียงช้อนกระทบจานเรียกสายตาป้าตาบให้หันมามองทันที
“เบาๆ หน่อยยอด เดี๋ยวจานก็แตกหมดหรอก”
“ขอโทษจ้ะยาย” เด็กชายยิ้มแหยเมื่อโดนดุ นี่ดีนะมีแขกอยู่ด้วย ถ้าอยู่กันลำพังมีหวังโดนหยิกจนเนื้อเขียวแน่
“อย่าไปถือสายอดมันเลยนะคุณ หลานฉันยังเด็ก”
“ไม่เป็นไรครับป้า” ชายหนุ่มตอบ หันไปยิ้มขำกับป้าตาบ
ท่าทางปรูดปราดของเด็กชายถอดแบบแก้มแหม่มมาไม่ผิดเพี้ยน สมแล้วที่เป็นลูกพี่กับลูกน้อง
“คุณเป็นเจ้าของเรือนไทยหลังที่คุณชมพู่ไปจัดสวนให้ใช่ไหมคะ” ป้าตาบถามกึ่งชวนคุย ด้วยไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกอัดอัด
“ใช่ครับ”
“วันก่อนป้าได้ยินว่าคุณกลับไปแล้ว”
“พอดีมีธุระให้ต้องไปจัดการนิดหน่อยครับ เลยต้องกลับกรุงเทพฯ”
“ตอนคุณชมพู่มาบอก ป้าคิดว่าคุณจะให้คนมาจัดการเรื่องบ้านเหมือนเมื่อก่อนเสียอีกค่ะ”
บ้านหลังนั้นถูกปิดตายและปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลานาน จนเธอคิดว่าเจ้าของบ้านคงไม่สนใจบ้านหลังนั้นแล้ว ขนาดคนดูแลรับเงิน แต่ไม่ทำงานมาตั้งหลายปี ก็ไม่มีใครสนใจ พอได้ยินว่าเจ้าของมาควบคุมการซ่อมแซมบ้านยังอดแปลกใจไม่ได้ เคยแอบคิดว่าจะไปได้สักกี่น้ำ ยิ่งได้ยินจากแก้มแหม่มว่าชายหนุ่มกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงอดคิดไม่ได้ว่าคนเคยสุขสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวกสารพัด จะมาอยู่บ้านนอกได้นานสักแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่รอด คงต้องส่งคนอื่นมาดูแลความเรียบร้อยอย่างเคย ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาอีก
“ถ้าอะไรเข้ารูปเข้ารอยดีแล้ว ผมก็คงต้องหาคนดูแลบ้านดีๆ คนใหม่สักคนครับ แต่ตอนนี้ยังไม่วางใจจริงๆ” เขาไม่ได้ขยายความว่าที่ไม่วางใจนั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องใดกันแน่
“เดี๋ยวนี้คนดีๆ ไว้ใจได้หายากนะคุณ”
“ครับคุณป้า ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่เกิด ทางครอบครัวผมไม่คิดว่าจะมีปัญหาแบบนี้มาก่อน”
“เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครคุณ แถมพวกคุณก็ไม่เคยมาตรวจดูความเรียบร้อยเลยได้ใจน่ะ”
“หลังจากนี้คงไม่มีแล้วละครับ คงต้องระวังกันมากขึ้น” ชายหนุ่มบอก พอจบเรื่องวุ่นๆ นี้เขาคงหาโอกาสมาดูบ้านหลังนี้บ่อยๆ น้ำใจของคนที่นี่ทำให้เขาเริ่มติดใจ
“ดีแล้วละคุณ”
“เมื่อกี้คุณพริษฐ์บอกว่าจะหาคนดูแลบ้านหรือครับ จ้างยอดไหม รับรอง ไว้ใจได้”
พริษฐ์หันมามองเด็กชายซึ่งนั่งเท้าคางฟังเขาคุยกับป้าตาบอยู่นานตั้งแต่ทำน้ำปลาพริกเสร็จ แววตาจริงจังบอกชายหนุ่มว่าเด็กชายไม่ได้พูดเล่น
“ยอดอยากทำงานหรือ” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ
“ครับ” เด็กชายพยักหน้าเร็วๆ ตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “ยอดอยากทำงานมีรายได้ จะได้แบ่งเบาภาระของพี่ชมพู่กับยายบ้าง คุณพริษฐ์จ้างยอดไหม”
“เป็นเด็กเป็นเล็กเรียนให้จบก่อนเถอะยอด ก่อนคิดจะทำงาน ถึงตอนนั้นคงได้ทำจนเบื่อละทีนี้”
ไม่ใช่คำตอบจากพริษฐ์ แต่เป็นแก้มแหม่มเดินหน้าชื่นเข้ามาหลังจากอาบน้ำจนสบายตัว
“โธ่...เด็กๆ ก็ทำงานได้นะพี่ชมพู่” เด็กชายโอดหน้ายู่ “ที่เขาเรียกว่างานพิเศษไง”
“แล้วไอ้ที่ต้องเฝ้าร้านให้พี่นี่มันไม่ใช่งานหรือไง ทุกทีเราก็ได้ค่าขนม”
“มันไม่เหมือนกัน มันเหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ยอดอยากทำงานแบบมีรายได้จริงๆ ถ้าได้นะ ยอดจะให้พี่ชมพู่กับยายหมดเลย”
“ให้มันจริงเถิด ถึงตอนนั้นขี้คร้านจะเอาไปเลี้ยงสาวหมด”
คำพูดของแก้มแหม่มเรียกเสียงหัวเราะดังครืน มีแต่เด็กชายเท่านั้นที่นั่งหน้างอบอกบุญไม่รับ แม้ไข่เจียวที่บอกว่าอร่อยที่สุดในสามโลกก็ไม่อาจทำให้อารมณ์ดีได้
จุดหมายที่หญิงสาวพาพริษฐ์มาไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่งซึ่งเขามักฝากท้องเอาไว้ แต่เป็นบ้านไทยกลางสวนร่มรื่น ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าเป็นบ้านของหญิงสาวเอง
แก้มแหม่มปล่อยพริษฐ์ลงตรงหน้าโรงรถแล้วนำเข้าไปจอดด้านใน ชายหนุ่มเข้าใจว่าหญิงสาวคงเข้าไปเอากุญแจรถยนต์เพื่อนำรถปิ๊กอัพออกจึงเดินเตร่รออยู่แถวนั้น
“คุณ ไปเดินสำรวจสวนอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”
แก้มแหม่มเดินจะถึงประตูบ้านอยู่แล้วเมื่อหันกลับมาไม่เห็นชายหนุ่มเดินตาม พอถามเขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง เธอจึงต้องเดินกลับมาทางเก่า
“ไหนว่าหิวไงคะ ทำไมมาเดินอยู่ตรงนี้”
“ก็รอคุณไง ไปหยิบกุญแจรถเดี๋ยวเดียวเอง ทำไมผมต้องตามไปด้วย แล้วนี่ได้หรือยัง เราไปกันเถอะ ตอนนี้ผมหิวมาก”
“กำลังจะได้กินอยู่แล้วนี่ไง ว่าแต่คุณเถอะ มัวยืนเฉยอยู่นั่น ทำไมไม่ตามฉันมา” หญิงสาวถามกลับ แล้วก็ถึงบางอ้อ เธอส่งยิ้มแหยไปให้ชายหนุ่มอย่างลุแก่โทษ “ขอโทษที ฉันลืมไปว่ายังไม่ได้บอกคุณว่าจะพามากินข้าวที่บ้าน คุณคงเข้าใจผิด”
“ก็คุณมัวแต่พูดๆๆ ไม่ฟังผมเลยนี่”
“ขอโทษที ไปเถอะ ป่านนี้กับข้าวพร้อมแล้ว” หญิงสาวชักชวน แล้วเดินนำไปในบ้าน
พริษฐ์กวาดตาสำรวจ ตรงที่แก้มแหม่มพาเขามานั้นเป็นส่วนเดียวของบ้านหลังนี้ที่ก่ออิฐฉาบปูน ตัวบ้านส่วนอื่นเป็นบ้านไทยทำจากไม้ มองรูปแบบแล้วเขาประเมินว่าบ้านหลังนี้คงสร้างมาหลายปี และส่วนสร้างจากปูนคงได้รับการต่อเติมขึ้นมาทีหลัง
พอก้าวเข้าไปด้านในเขาจึงพบว่าเป็นห้องครัว รวมทั้งส่วนใช้ปรุงอาหารและรับประทานอาหารไว้ด้วยกัน แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนสะอาดตา
ตอนพริษฐ์เข้าไปถึง ป้าตาบกำลังง่วนอยู่ตรงหน้าเตาไฟ ได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกระทะเสียงดัง
“หอมจังเลยค่ะป้า วันนี้มีอะไรกินบ้างคะ ชมพู่หิวมากเลย” แก้มแหม่มปรี่เข้าไปกอดเอวป้าตาบเอาไว้ขณะชะโงกหน้าข้ามไหล่ไปมองในกระทะ
“มากอดป้าทำไมคะ เหนียวตัวออกค่ะ ในนี้ก็ร้อน คุณกลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน”
“หือ...ผัดวุ้นเส้นใส่ลูกชิ้นปลาเส้น ของโปรดเลย ขอชมพู่ชิมหน่อยนะ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหยิบส้อมมาพันผัดวุ้นเส้นจากกระทะ เป่าให้พอหายร้อนแล้วส่งเข้าปาก ไม่นำพาต่อเสียงดุของป้าตาบ “อืม... อร่อยจังเลยค่ะ”
“คุณนี่ ป้าบอกให้ไปอาบน้ำก่อนไงคะ แล้วเราจะได้มากินข้าวกัน”
“ขอกินก่อนไม่ได้หรือคะป้า ชมพู่ฮิ้วหิว” หญิงสาวโอดตาปรอย “อ้อ...อีกอย่างชมพู่เชิญคุณพริษฐ์มากินข้าวที่บ้านเราด้วย ป้าจะให้แขกหิ้วท้องรอหรือคะ”
นั่นละป้าตาบถึงได้รู้ว่าตอนนี้ในห้องครัวไม่ได้มีแค่เธอและเจ้านาย แต่มีบุรุษอีกคนรวมอยู่ด้วย พอป้าตาบหันมา พริษฐ์ก็ยกมือทำความเคารพทันทีด้วยท่าทางนอบน้อม
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมารบกวน” เขาออกปาก แม้ป้าตาบไม่ได้มองมาอย่างตำหนิ เขาก็อดเกรงใจไม่ได้
ตอนแก้มแหม่มชวนก็ลืมนึกไปว่า อาหารวันนี้อาจเตรียมไว้เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น
“ชมพู่ผิดเองละค่ะที่ไม่บอกให้ป้ารู้ก่อน ไม่ใช่ความผิดของคุณพริษฐ์หรอก” แก้มแหม่มออกตัว ไม่อยากให้ชายหนุ่มลำบากใจ เพราะเธอเป็นฝ่ายมัดมือชกพาเขามาเอง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ กับข้าวบ้านเรามีพออยู่แล้ว ป้าแค่กลัวว่ากับข้าวพื้นๆ แบบนี้คุณจะกินได้หรือเปล่า”
“ผมกินไม่ยากหรอกครับป้า อะไรก็ได้” พริษฐ์ได้โอกาสประจบทันที ยังจำได้ว่าป้าตาบมีอิทธิพลในบ้านนี้ขนาดไหน คราวนั้นหากป้าตาบไม่อนุญาต เขาคงไม่มีไกด์พาไปตามหาบ้านของอัญชันหรอก
“แน่หรือคุณ อาหารใต้น่ะเผ็ดนะ อาจจะไม่ถูกปากคุณก็ได้”
“กินได้แน่ครับ ผมไม่ใช่คนกินยากอะไร” ชายหนุ่มยืนยัน
“ถ้าแบบนั้นชมพู่ตักข้าวเลยนะคะป้า แล้วนี่ยอดไปไหนเสียล่ะคะ”
“อาบน้ำอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็คงลงมา นั่นไง เดินยิ้มเห็นฟันขาวมาแล้ว” พูดไม่ทันขาดคำเด็กชายก็เดินตึงตังลงบันไดมา ใบหน้าปะแป้งลายพร้อย
“อ้าว พี่ชมพู่กลับมาแล้วหรือ สวัสดีครับ”
“อือ”
“ห้องน้ำว่างแล้ว คุณชมพู่ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเราจะได้มากินข้าวกัน”
“เอ่อ...” หญิงสาวมีท่าทางละล้าละลัง ใจจริงก็อยากอาบน้ำให้สบายตัวก่อน แต่ยังห่วงพริษฐ์ เธอหันไปขอความเห็นจากชายหนุ่ม
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผมรอได้”
แก้มแหม่มยิ้มขอบคุณ
“งั้นฉันไปอาบน้ำ รับรองว่าแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวเรามากินข้าวกัน ป้าคะ ชมพู่ฝากดูแลคุณพริษฐ์ด้วยนะคะ”
“ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
คล้อยหลังแก้มแหม่มซึ่งเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไป ยอดเดินไปถอดปลักหม้อหุงข้าว ยกใส่ที่รองหม้อแล้วนำมาวางบนโต๊ะกินข้าวพร้อมทัพพี บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงหิวไม่ต่างกับเขา
“เชิญตามสบายนะคุณ เดี๋ยวป้าจะเจียวไข่เพิ่มอีกสักอย่าง กินได้ใช่ไหม”
“จริงๆ ป้าไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ ผมกินอะไรก็ได้” ชายหนุ่มออกตัว ท่าทางนิ่งๆ ของป้าตาบทำให้เขาเกรงใจ
“แต่ยอดอยากกินไข่เจียว” ก่อนป้าตาบจะตอบ ยอดก็โพล่งขึ้นทันที
“แค่เจียวไข่ ไม่ลำบากอะไรหรอกคุณ”
“คุณพริษฐ์รู้ไหม ไข่เจียวฝีมือยายตาบอร่อยที่สุดในสามโลกเลยนะ ไข่เจียวสีเหลือง ฟูๆ กรอบๆ แค่คิดยอดก็น้ำลายหกแล้ว”
ไม่พูดเปล่า เด็กชายยังทำตาลอย สูดปากซื้ดซ้าดประกอบ
“เดี๋ยวยอดไปทำน้ำปลาพริกเพิ่มอีกอย่างดีกว่า กินกับไข่เจียวอร่อยที่ซู้ด”
พูดจบเด็กชายวางจานและช้อนส้อมลงกับโต๊ะ เสียงช้อนกระทบจานเรียกสายตาป้าตาบให้หันมามองทันที
“เบาๆ หน่อยยอด เดี๋ยวจานก็แตกหมดหรอก”
“ขอโทษจ้ะยาย” เด็กชายยิ้มแหยเมื่อโดนดุ นี่ดีนะมีแขกอยู่ด้วย ถ้าอยู่กันลำพังมีหวังโดนหยิกจนเนื้อเขียวแน่
“อย่าไปถือสายอดมันเลยนะคุณ หลานฉันยังเด็ก”
“ไม่เป็นไรครับป้า” ชายหนุ่มตอบ หันไปยิ้มขำกับป้าตาบ
ท่าทางปรูดปราดของเด็กชายถอดแบบแก้มแหม่มมาไม่ผิดเพี้ยน สมแล้วที่เป็นลูกพี่กับลูกน้อง
“คุณเป็นเจ้าของเรือนไทยหลังที่คุณชมพู่ไปจัดสวนให้ใช่ไหมคะ” ป้าตาบถามกึ่งชวนคุย ด้วยไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกอัดอัด
“ใช่ครับ”
“วันก่อนป้าได้ยินว่าคุณกลับไปแล้ว”
“พอดีมีธุระให้ต้องไปจัดการนิดหน่อยครับ เลยต้องกลับกรุงเทพฯ”
“ตอนคุณชมพู่มาบอก ป้าคิดว่าคุณจะให้คนมาจัดการเรื่องบ้านเหมือนเมื่อก่อนเสียอีกค่ะ”
บ้านหลังนั้นถูกปิดตายและปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลานาน จนเธอคิดว่าเจ้าของบ้านคงไม่สนใจบ้านหลังนั้นแล้ว ขนาดคนดูแลรับเงิน แต่ไม่ทำงานมาตั้งหลายปี ก็ไม่มีใครสนใจ พอได้ยินว่าเจ้าของมาควบคุมการซ่อมแซมบ้านยังอดแปลกใจไม่ได้ เคยแอบคิดว่าจะไปได้สักกี่น้ำ ยิ่งได้ยินจากแก้มแหม่มว่าชายหนุ่มกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงอดคิดไม่ได้ว่าคนเคยสุขสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวกสารพัด จะมาอยู่บ้านนอกได้นานสักแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่รอด คงต้องส่งคนอื่นมาดูแลความเรียบร้อยอย่างเคย ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาอีก
“ถ้าอะไรเข้ารูปเข้ารอยดีแล้ว ผมก็คงต้องหาคนดูแลบ้านดีๆ คนใหม่สักคนครับ แต่ตอนนี้ยังไม่วางใจจริงๆ” เขาไม่ได้ขยายความว่าที่ไม่วางใจนั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องใดกันแน่
“เดี๋ยวนี้คนดีๆ ไว้ใจได้หายากนะคุณ”
“ครับคุณป้า ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่เกิด ทางครอบครัวผมไม่คิดว่าจะมีปัญหาแบบนี้มาก่อน”
“เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครคุณ แถมพวกคุณก็ไม่เคยมาตรวจดูความเรียบร้อยเลยได้ใจน่ะ”
“หลังจากนี้คงไม่มีแล้วละครับ คงต้องระวังกันมากขึ้น” ชายหนุ่มบอก พอจบเรื่องวุ่นๆ นี้เขาคงหาโอกาสมาดูบ้านหลังนี้บ่อยๆ น้ำใจของคนที่นี่ทำให้เขาเริ่มติดใจ
“ดีแล้วละคุณ”
“เมื่อกี้คุณพริษฐ์บอกว่าจะหาคนดูแลบ้านหรือครับ จ้างยอดไหม รับรอง ไว้ใจได้”
พริษฐ์หันมามองเด็กชายซึ่งนั่งเท้าคางฟังเขาคุยกับป้าตาบอยู่นานตั้งแต่ทำน้ำปลาพริกเสร็จ แววตาจริงจังบอกชายหนุ่มว่าเด็กชายไม่ได้พูดเล่น
“ยอดอยากทำงานหรือ” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ
“ครับ” เด็กชายพยักหน้าเร็วๆ ตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “ยอดอยากทำงานมีรายได้ จะได้แบ่งเบาภาระของพี่ชมพู่กับยายบ้าง คุณพริษฐ์จ้างยอดไหม”
“เป็นเด็กเป็นเล็กเรียนให้จบก่อนเถอะยอด ก่อนคิดจะทำงาน ถึงตอนนั้นคงได้ทำจนเบื่อละทีนี้”
ไม่ใช่คำตอบจากพริษฐ์ แต่เป็นแก้มแหม่มเดินหน้าชื่นเข้ามาหลังจากอาบน้ำจนสบายตัว
“โธ่...เด็กๆ ก็ทำงานได้นะพี่ชมพู่” เด็กชายโอดหน้ายู่ “ที่เขาเรียกว่างานพิเศษไง”
“แล้วไอ้ที่ต้องเฝ้าร้านให้พี่นี่มันไม่ใช่งานหรือไง ทุกทีเราก็ได้ค่าขนม”
“มันไม่เหมือนกัน มันเหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ยอดอยากทำงานแบบมีรายได้จริงๆ ถ้าได้นะ ยอดจะให้พี่ชมพู่กับยายหมดเลย”
“ให้มันจริงเถิด ถึงตอนนั้นขี้คร้านจะเอาไปเลี้ยงสาวหมด”
คำพูดของแก้มแหม่มเรียกเสียงหัวเราะดังครืน มีแต่เด็กชายเท่านั้นที่นั่งหน้างอบอกบุญไม่รับ แม้ไข่เจียวที่บอกว่าอร่อยที่สุดในสามโลกก็ไม่อาจทำให้อารมณ์ดีได้
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2560, 19:01:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2560, 19:01:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 921
<< บทที่ 16 [2/2] | บทที่ 17 [2/2] >> |