ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 17 [2/2]
“ยอดเป็นเด็กน่ารักนะ” พริษฐ์ปรารภ
หลังจากอาหารเย็นผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อย ยอดก็ขึ้นบ้านไปทบทวนหนังสือ ถึงโรงเรียนยังไม่เปิดเทอม แต่แก้มแหม่มก็ไม่อยากให้เด็กชายละเลยเรื่องเรียน ป้าตาบขึ้นไปดูละคร ส่วนเธอก็ชวนพริษฐ์มานั่งเล่นตรงระเบียงบ้าน
“ค่ะ ถึงจะล้นไปบ้าง ซนไปบ้าง ก็ไม่เคยเกเรให้ต้องหนักใจ ยอดเป็นเด็กรู้อยู่ ป้าตาบแกสอนมาดี”
ท่าทางของแก้มแหม่มเวลาพูดถึงยอดเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาได้ยินมาว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด รวมถึงป้าตาบด้วย กระนั้นพริษฐ์ก็รับรู้ได้ว่าหญิงสาวรักคนทั้งคู่มาก ถือเอายอดและป้าตาบเป็นครอบครัวเลยทีเดียว
“ท่าทางคุณจะรักยอดมาก”
“ก็เขาเป็นน้องฉันนี่ ไม่รักเขาแล้วฉันจะไปรักใครล่ะ”
แม้เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน แต่พริษฐ์ก็เชื่อว่าแก้มแหม่มรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ทั้งที่ทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่หญิงสาวก็รักและหวังดีกับเด็กชายมาก ผิดกับเขา เป็นลูกแท้ๆ กลับโดนตะโกนใส่หน้าว่าไม่คู่ควรกับมรดกตกทอดชิ้นสำคัญของตระกูล มันน่าเสียใจน้อยอยู่เมื่อไร เด็กชายช่างเป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆ
พริษฐ์ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาเองไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร แม้ภายนอกอาจแสดงออกอย่างหนึ่ง ทว่าลึกๆ เขาอดรู้สึกปวดแปลบไม่ได้
“ดีจังเลยนะ”
บางอย่างในน้ำเสียงของพริษฐ์ทำให้แก้มแหม่มละสายตาจากเงาตะคุ่มๆ ของต้นไม้ด้านล่างกลับมามองชายหนุ่ม ท่ามกลางท่าทางง่ายๆ สีหน้าเรียบเฉย แวบหนึ่งเธอเห็นความเหงาอยู่ในนั้น
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคุณ” แม้ภายนอกดูโผงผาง แต่จริงๆ แล้วแก้มแหม่มเป็นผู้หญิงละเอียดอ่อน จับความรู้สึกเก่งคนหนึ่งทีเดียว
“ทำไมครับ” พริษฐ์หมุนตัวนั่งลงบนแคร่ยาว ทิ้งหลังไปกับระเบียงไม้
“ท่าทางคุณไม่ค่อยดี เหมือนมีเรื่องอะไรในใจ หรือว่างานทางกรุงเทพฯ มีปัญหาอีก” หญิงสาวสันนิษฐาน การนั่งสั่งงานผ่านอินเตอร์เน็ตสู้ลงมือด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าดีจริงวันก่อนเขาคงไม่ต้องรีบแจ้นกลับไปสะสางด้วยตัวเองหรอก
“เปล่าหรอกครับ ทางโน้นเรียบร้อยดี” ชายหนุ่มปฏิเสธ
งานในบริษัทน่ะเรียบร้อย แต่เรื่องยุ่งๆ ทางบ้านก็ยังคาราคาซังอยู่ เขาคิดว่าการอยู่ที่นี่อาจทำให้หาทางออกกับเรื่องนี้ได้ดีกว่า
เรือนไทยหลังนี้เป็นเบาะแสเดียวที่สามารถให้คำตอบเขาได้ว่าทำไมลูกชายคนเดียวของตระกูลถึงไม่เหมาะควรครอบครองมัน แต่กลับเป็นอัญชันซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้
“เฮ้อ-อ-อ-อ” จู่ๆ คนซึ่งออกอาการเป็นห่วงคนอื่นก็ถอนหายใจหนักๆ คล้ายจงใจมากกว่ามีเรื่องหนักใจ ทำให้พริษฐ์ต้องหันไปมองหญิงสาวตรงๆ
“คุณนี่คนไทยโดยสายเลือดจริงๆ เลยนะ”
พริษฐ์เลิกคิ้ว ความหมายของหญิงสาวคงไม่ใช่ถือสัญชาติไทยแน่ๆ
“ยังไง”
“ก็...เวลาถูกถามว่าไปไหนก็มักตอบว่าเปล่า แต่จะไปตรงนั้นตรงนี้ พอถามว่ามีอะไรไหม ก็บอกว่าไม่มี แต่หลังจากนั้นเล่ามาเป็นชุด แล้วแบบนี้จะตอบว่าเปล่าว่าไม่ทำไม”
พริษฐ์อึ้งไปนิด แล้วยิ้มออกมา
“คุณนี่จับความรู้สึกเก่งเหมือนกันนะ”
“สรุปแบบนี้แปลว่ามี”
“ครับ” เขาพยักหน้าเบาๆ “ผมแค่อิจฉายอดน่ะ”
“คุณเนี่ยนะอิจฉายอด” แก้มแหม่มเผลอถามเสียงสูง ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่าจนต้องยกมือขึ้นกดหูเบาๆ “ยอดเป็นแค่เด็กกำพร้าถูกแม่ทิ้งเอาไว้กับยาย ไม่เคยมาดูดำดูดี โตขึ้นมาแบบขาดๆ เกินๆ ไม่เหมือนคุณ มีทั้งทรัพย์สินเงินทอง มีโอกาส อยู่ในสังคมดีๆ เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าอิจฉาตรงไหน”
“อย่างน้อยยอดก็มียายรัก มีพี่ดีๆ แบบคุณ”
แก้มแหม่มเอียงคอพินิจชายหนุ่มอีกครั้ง
“คุณพูดเหมือนเด็กมีปัญหา พ่อแม่ไม่รักอย่างนั้นแหละ”
คำพูดของหญิงสาวไม่ต่างจากลูกธนูพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจอย่างแม่นยำ สร้างความปวดร้าวให้เขาเป็นอย่างมาก มันจุกจนพูดไม่ออก นี่ถ้าแก้มแหม่มเอะใจสักนิด คงสังเกตเห็นว่าใบหน้าคมถึงกับถอดสี
“แต่คงไม่หรอกมั้ง ฉันไม่เคยได้ยินว่าคุณเป็นเด็กบ้านแตก จริงไหม”
พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ สะกดอารมณ์ขมขื่นของตัวเองเอาไว้ เรียกความเป็นตัวตน หยิบหน้ากากทางสังคมขึ้นมาสวม
“ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ครอบครัวผมมีลูกยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คุณทวดมีลูกคือปู่คนเดียว ปู่ก็มีพ่อกับอา อาก็ไม่ได้แต่งงาน ทั้งครอบครัวเลยมีผมคนเดียว ไม่มีพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้อง”
“ดีแล้วนี่นา จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งสมบัติ” หญิงสาวตอบหน้าตาย หวังคลายบรรยากาศให้ไม่ตึงเครียดมาก แต่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเธอไปจี้ใจดำเข้าให้อีกแล้ว คราวนี้พริษฐ์ถึงกับหัวเราะขื่นๆ
“คุณไม่คิดว่ามันเหงาบ้างหรือ การเป็นลูกคนเดียวไม่ได้ดีเสมอไปหรอกนะ บางเวลาผมก็อยากมีคนไว้ชวนทะเลาะบ้าง พอๆ กับบางครั้งก็อยากมีใครคอยรับฟัง ให้คำปรึกษา”
แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ เธอคิดว่าถ้าตนเองไม่มียอด ไม่มีคนคอยกวนอารมณ์ ก็คงเหงาเหมือนกัน
“เล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ ไม่ใช่เพราะอยากรู้เรื่องของคุณหรอก แต่เคยได้ยินมาว่าเวลาเรามีเรื่องหนักใจหรือหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ เก็บไว้คนเดียวมันอึดอัด การได้พูดออกมาบ้างจะทำให้สบายใจขึ้น...ถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นเพื่อน” ปลายประโยคหญิงสาวทอดเสียงอ่อน
“ขอบคุณครับ” พริษฐ์พูดจากใจจริง ส่งยิ้มตอบแทนความห่วงใยที่เธอมีให้
“เอาไว้ถ้ามีอะไรผมจะเล่าให้คุณฟังก็แล้วกัน”
“ฉันยินดี”
ทั้งคู่นั่งคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ วนไปยังเรื่องซ่อมแซมเรือนไทยของพริษฐ์ ตอนหนึ่งเธอก็นึกขึ้นได้ว่าอยากชวนเขาไปวัด
“จริงสิคุณ...จำวันก่อนที่ฉันชวนคุณไปทำบุญได้ไหม”
“ได้ครับ คุยกันตัวต่อตัวก็ดีแล้ว ผมจะถามคุณอยู่พอดี แต่มัวยุ่งๆ เลยได้คุยโทรศัพท์กันนิดเดียว คิดยังไงถึงชวนผู้ชายไปทำบุญ รู้หรือเปล่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันหมายถึงอะไร”
สาบานได้ว่าตอนชวนเธอไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย ในใจนั้นหวังแค่อยากให้เขาทำบุญไปให้คุณเดือนบ้าง เธอเชื่อว่าพริษฐ์กับเดือนอาจมีอะไรเกี่ยวข้องกัน อย่างน้อยเรือนไทยหลังนั้นก็โยงทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน คงดีไม่น้อยหากชายหนุ่มได้ทำบุญส่งไปให้เธอ บางที ‘ห่วง’ ซึ่งคล้องเดือนให้ยังคงอยู่ที่นั่นคงคลายลงบ้าง
พอเจอเขาพูดแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับอึ้ง สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ทำไม ไปทำบุญกับฉันมันแย่ยังไง” แต่เธอบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ทำไมต้องกลัว
ท่าทางเชิดหน้าท้าทาย แต่ใบหน้าแดงระเรื่อ จุดรอยยิ้มขำจากพริษฐ์ได้เป็นอย่างดี
ดูเอาเถอะ เขินขนาดนี้ยังทำปากเก่งอยู่ได้ ดูซิว่าจะเก่งไปได้สักกี่น้ำ
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ในระยะที่สามารถเห็นประกายไหวระริกในดวงตาคู่สวยภายใต้ขนตายาวงอน
“ไม่แย่หรอกครับ ดีเสียอีกเราจะได้ทำบุญร่วมกัน”
น้ำเสียงทอดอ่อนไม่ร้ายเท่าประกายวิบวับในดวงตามีอำนาจคู่นั้น ทำให้คนมั่นใจในตัวเองเกิดอาการเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ความร้อนลามเลียจากใบหน้าจรดคอ มือไม้สั่นจนห้ามไม่อยู่ แก้มแหม่มกัดริมฝีปากตัวเองสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง ซึ่งให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าคืออะไร ตอนนี้เธอทำได้แค่เพียงเอนกายไปข้างหลัง สร้างระยะห่างให้ตัวเองมากที่สุด ใช้เสียงดังเข้าข่ม เผื่อว่าความรู้สึกแปลกๆ จะบรรเทาลงบ้าง
“บ้า! ไปทำบุญให้คุณเดือนต่างหากล่ะ”
พริษฐ์หัวเราะเบาๆ แล้วถอนใบหน้าออกมา อิงหลังพิงระเบียงเหมือนเดิม
ตอนนี้อารมณ์ดีเกินกว่าจะสนใจผู้หญิงชื่อเดือนกับเรื่องเหนือธรรมชาติของแก้มแหม่ม เขากำลังมีความสุขกับการได้เห็นแม่เสือสาวเป็นลูกแมวเชื่องๆ
ผู้หญิงเวลาเขินนี่น่ารักดีเหมือนกันแฮะ
“แล้วผมต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง” เขาถามอย่างไม่รู้จริงๆ ชีวิตประจำวันในเมืองหลวงเรียกได้ว่าห่างวัดเป็นอย่างมาก
พอชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องและไม่มีท่าทางคุกคามกันอีก แก้มแหม่มก็รู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น จึงสามารถพูดได้อย่างปกติ
“ก็เหมือนเวลาไปทำบุญปกติ คุณอยากทำแบบไหนล่ะ ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เอาปิ่นโตไปวัด แต่ฉันอยากให้คุณทำสังฆทาน”
“คุณว่าแบบไหนดีกว่ากัน”
“ถ้าตามต่างจังหวัดส่วนใหญ่เขามักตักบาตรอาหารสดกันมากกว่าพวกข้าวสารอาหารแห้ง นอกจากวันพิเศษอย่างปีใหม่ วันพระใหญ่แบบทางราชการเชิญพระสงฆ์มาเยอะๆ แล้วไปตักกันตรงศาลาประชาคม เช้าๆ หน้าบ้านเราก็มีพระมาเดินบิณฑบาต หรือจะเลือกเอาปิ่นโตไปวัดก็ได้เหมือนกัน เราแค่เตรียมข้าวและอาหารที่อยากตักรอไว้เท่านั้น อ้อ... ต้องไม่ลืมน้ำดื่มกับดอกไม้ด้วยนะ ส่วนเครื่องสังฆทานก็เหมือนปกติทั่วไป”
พริษฐ์ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจทันที
“ถ้างั้นตักบาตรหน้าบ้านแล้วกันครับ ผมอยากเห็นบรรยากาศเวลาพระเดินผ่านหน้าบ้าน”
“ทำไม ในกรุงเทพฯ ไม่มีเหรอ”
“อาจจะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ครับ ผมไม่เคยตื่นทันสักที รู้แค่ว่าจะมีพระมาบิณฑบาตหน้าวัด อย่างเช่นวัดเบญฯ แต่ผมไม่เคยไปสักที” เขาตอบกลั้วเสียงหัวเราะ รู้สึกตัวเองเป็นคนบาป ห่างวัดพิลึก
“อ๋อ...” แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ “เข้าใจละ ถ้างั้นคุณสะดวกวันไหนก็บอกฉันแล้วกันนะ”
“ครับ ตอนนี้ผมว่าคงต้องกลับแล้วละ ป้าตาบมองมาโน่นแล้ว” พริษฐ์กลั้นยิ้ม ตั้งแต่เขานั่งคุยกับแก้มแหม่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้าตาบทำแบบนี้ ทุกครั้งถ้ามองเข้าไปในบ้าน ก็จะเห็นสายตาแกมองมาทุกครั้ง “แกคงเขม่นผมแย่แล้ว มานั่งคุยกับหลานสาวค่ำๆ มืดๆ คงจะหวงคุณ”
แก้มแหม่มมองตามสายตาของชายหนุ่มก็เห็นป้าตาบเมียงมองมาจากในบ้านจริง แต่คำพูดของเขาฟังเกินจริงไปหน่อย หวงอะไร ห่วงละไม่ว่า
“คุณก็พูดเกินไป ป้าไม่คิดแบบนั้นหรอก” ถึงพูดไปแบบนั้น แต่แก้มแหม่มก็เดินไปหยิบกุญแจรถยนต์ทันที
“ให้ยอดนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยนะคุณชมพู่”
แล้วแบบนี้ไม่ให้เขาคิดว่าป้าตาบหวงหลานนอกไส้ได้อย่างไร...
หลังจากอาหารเย็นผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อย ยอดก็ขึ้นบ้านไปทบทวนหนังสือ ถึงโรงเรียนยังไม่เปิดเทอม แต่แก้มแหม่มก็ไม่อยากให้เด็กชายละเลยเรื่องเรียน ป้าตาบขึ้นไปดูละคร ส่วนเธอก็ชวนพริษฐ์มานั่งเล่นตรงระเบียงบ้าน
“ค่ะ ถึงจะล้นไปบ้าง ซนไปบ้าง ก็ไม่เคยเกเรให้ต้องหนักใจ ยอดเป็นเด็กรู้อยู่ ป้าตาบแกสอนมาดี”
ท่าทางของแก้มแหม่มเวลาพูดถึงยอดเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาได้ยินมาว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด รวมถึงป้าตาบด้วย กระนั้นพริษฐ์ก็รับรู้ได้ว่าหญิงสาวรักคนทั้งคู่มาก ถือเอายอดและป้าตาบเป็นครอบครัวเลยทีเดียว
“ท่าทางคุณจะรักยอดมาก”
“ก็เขาเป็นน้องฉันนี่ ไม่รักเขาแล้วฉันจะไปรักใครล่ะ”
แม้เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน แต่พริษฐ์ก็เชื่อว่าแก้มแหม่มรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ทั้งที่ทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่หญิงสาวก็รักและหวังดีกับเด็กชายมาก ผิดกับเขา เป็นลูกแท้ๆ กลับโดนตะโกนใส่หน้าว่าไม่คู่ควรกับมรดกตกทอดชิ้นสำคัญของตระกูล มันน่าเสียใจน้อยอยู่เมื่อไร เด็กชายช่างเป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆ
พริษฐ์ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาเองไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร แม้ภายนอกอาจแสดงออกอย่างหนึ่ง ทว่าลึกๆ เขาอดรู้สึกปวดแปลบไม่ได้
“ดีจังเลยนะ”
บางอย่างในน้ำเสียงของพริษฐ์ทำให้แก้มแหม่มละสายตาจากเงาตะคุ่มๆ ของต้นไม้ด้านล่างกลับมามองชายหนุ่ม ท่ามกลางท่าทางง่ายๆ สีหน้าเรียบเฉย แวบหนึ่งเธอเห็นความเหงาอยู่ในนั้น
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคุณ” แม้ภายนอกดูโผงผาง แต่จริงๆ แล้วแก้มแหม่มเป็นผู้หญิงละเอียดอ่อน จับความรู้สึกเก่งคนหนึ่งทีเดียว
“ทำไมครับ” พริษฐ์หมุนตัวนั่งลงบนแคร่ยาว ทิ้งหลังไปกับระเบียงไม้
“ท่าทางคุณไม่ค่อยดี เหมือนมีเรื่องอะไรในใจ หรือว่างานทางกรุงเทพฯ มีปัญหาอีก” หญิงสาวสันนิษฐาน การนั่งสั่งงานผ่านอินเตอร์เน็ตสู้ลงมือด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าดีจริงวันก่อนเขาคงไม่ต้องรีบแจ้นกลับไปสะสางด้วยตัวเองหรอก
“เปล่าหรอกครับ ทางโน้นเรียบร้อยดี” ชายหนุ่มปฏิเสธ
งานในบริษัทน่ะเรียบร้อย แต่เรื่องยุ่งๆ ทางบ้านก็ยังคาราคาซังอยู่ เขาคิดว่าการอยู่ที่นี่อาจทำให้หาทางออกกับเรื่องนี้ได้ดีกว่า
เรือนไทยหลังนี้เป็นเบาะแสเดียวที่สามารถให้คำตอบเขาได้ว่าทำไมลูกชายคนเดียวของตระกูลถึงไม่เหมาะควรครอบครองมัน แต่กลับเป็นอัญชันซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้
“เฮ้อ-อ-อ-อ” จู่ๆ คนซึ่งออกอาการเป็นห่วงคนอื่นก็ถอนหายใจหนักๆ คล้ายจงใจมากกว่ามีเรื่องหนักใจ ทำให้พริษฐ์ต้องหันไปมองหญิงสาวตรงๆ
“คุณนี่คนไทยโดยสายเลือดจริงๆ เลยนะ”
พริษฐ์เลิกคิ้ว ความหมายของหญิงสาวคงไม่ใช่ถือสัญชาติไทยแน่ๆ
“ยังไง”
“ก็...เวลาถูกถามว่าไปไหนก็มักตอบว่าเปล่า แต่จะไปตรงนั้นตรงนี้ พอถามว่ามีอะไรไหม ก็บอกว่าไม่มี แต่หลังจากนั้นเล่ามาเป็นชุด แล้วแบบนี้จะตอบว่าเปล่าว่าไม่ทำไม”
พริษฐ์อึ้งไปนิด แล้วยิ้มออกมา
“คุณนี่จับความรู้สึกเก่งเหมือนกันนะ”
“สรุปแบบนี้แปลว่ามี”
“ครับ” เขาพยักหน้าเบาๆ “ผมแค่อิจฉายอดน่ะ”
“คุณเนี่ยนะอิจฉายอด” แก้มแหม่มเผลอถามเสียงสูง ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่าจนต้องยกมือขึ้นกดหูเบาๆ “ยอดเป็นแค่เด็กกำพร้าถูกแม่ทิ้งเอาไว้กับยาย ไม่เคยมาดูดำดูดี โตขึ้นมาแบบขาดๆ เกินๆ ไม่เหมือนคุณ มีทั้งทรัพย์สินเงินทอง มีโอกาส อยู่ในสังคมดีๆ เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าอิจฉาตรงไหน”
“อย่างน้อยยอดก็มียายรัก มีพี่ดีๆ แบบคุณ”
แก้มแหม่มเอียงคอพินิจชายหนุ่มอีกครั้ง
“คุณพูดเหมือนเด็กมีปัญหา พ่อแม่ไม่รักอย่างนั้นแหละ”
คำพูดของหญิงสาวไม่ต่างจากลูกธนูพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจอย่างแม่นยำ สร้างความปวดร้าวให้เขาเป็นอย่างมาก มันจุกจนพูดไม่ออก นี่ถ้าแก้มแหม่มเอะใจสักนิด คงสังเกตเห็นว่าใบหน้าคมถึงกับถอดสี
“แต่คงไม่หรอกมั้ง ฉันไม่เคยได้ยินว่าคุณเป็นเด็กบ้านแตก จริงไหม”
พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ สะกดอารมณ์ขมขื่นของตัวเองเอาไว้ เรียกความเป็นตัวตน หยิบหน้ากากทางสังคมขึ้นมาสวม
“ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ครอบครัวผมมีลูกยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คุณทวดมีลูกคือปู่คนเดียว ปู่ก็มีพ่อกับอา อาก็ไม่ได้แต่งงาน ทั้งครอบครัวเลยมีผมคนเดียว ไม่มีพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้อง”
“ดีแล้วนี่นา จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งสมบัติ” หญิงสาวตอบหน้าตาย หวังคลายบรรยากาศให้ไม่ตึงเครียดมาก แต่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเธอไปจี้ใจดำเข้าให้อีกแล้ว คราวนี้พริษฐ์ถึงกับหัวเราะขื่นๆ
“คุณไม่คิดว่ามันเหงาบ้างหรือ การเป็นลูกคนเดียวไม่ได้ดีเสมอไปหรอกนะ บางเวลาผมก็อยากมีคนไว้ชวนทะเลาะบ้าง พอๆ กับบางครั้งก็อยากมีใครคอยรับฟัง ให้คำปรึกษา”
แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ เธอคิดว่าถ้าตนเองไม่มียอด ไม่มีคนคอยกวนอารมณ์ ก็คงเหงาเหมือนกัน
“เล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ ไม่ใช่เพราะอยากรู้เรื่องของคุณหรอก แต่เคยได้ยินมาว่าเวลาเรามีเรื่องหนักใจหรือหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ เก็บไว้คนเดียวมันอึดอัด การได้พูดออกมาบ้างจะทำให้สบายใจขึ้น...ถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นเพื่อน” ปลายประโยคหญิงสาวทอดเสียงอ่อน
“ขอบคุณครับ” พริษฐ์พูดจากใจจริง ส่งยิ้มตอบแทนความห่วงใยที่เธอมีให้
“เอาไว้ถ้ามีอะไรผมจะเล่าให้คุณฟังก็แล้วกัน”
“ฉันยินดี”
ทั้งคู่นั่งคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ วนไปยังเรื่องซ่อมแซมเรือนไทยของพริษฐ์ ตอนหนึ่งเธอก็นึกขึ้นได้ว่าอยากชวนเขาไปวัด
“จริงสิคุณ...จำวันก่อนที่ฉันชวนคุณไปทำบุญได้ไหม”
“ได้ครับ คุยกันตัวต่อตัวก็ดีแล้ว ผมจะถามคุณอยู่พอดี แต่มัวยุ่งๆ เลยได้คุยโทรศัพท์กันนิดเดียว คิดยังไงถึงชวนผู้ชายไปทำบุญ รู้หรือเปล่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันหมายถึงอะไร”
สาบานได้ว่าตอนชวนเธอไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย ในใจนั้นหวังแค่อยากให้เขาทำบุญไปให้คุณเดือนบ้าง เธอเชื่อว่าพริษฐ์กับเดือนอาจมีอะไรเกี่ยวข้องกัน อย่างน้อยเรือนไทยหลังนั้นก็โยงทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน คงดีไม่น้อยหากชายหนุ่มได้ทำบุญส่งไปให้เธอ บางที ‘ห่วง’ ซึ่งคล้องเดือนให้ยังคงอยู่ที่นั่นคงคลายลงบ้าง
พอเจอเขาพูดแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับอึ้ง สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ทำไม ไปทำบุญกับฉันมันแย่ยังไง” แต่เธอบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ทำไมต้องกลัว
ท่าทางเชิดหน้าท้าทาย แต่ใบหน้าแดงระเรื่อ จุดรอยยิ้มขำจากพริษฐ์ได้เป็นอย่างดี
ดูเอาเถอะ เขินขนาดนี้ยังทำปากเก่งอยู่ได้ ดูซิว่าจะเก่งไปได้สักกี่น้ำ
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ในระยะที่สามารถเห็นประกายไหวระริกในดวงตาคู่สวยภายใต้ขนตายาวงอน
“ไม่แย่หรอกครับ ดีเสียอีกเราจะได้ทำบุญร่วมกัน”
น้ำเสียงทอดอ่อนไม่ร้ายเท่าประกายวิบวับในดวงตามีอำนาจคู่นั้น ทำให้คนมั่นใจในตัวเองเกิดอาการเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ความร้อนลามเลียจากใบหน้าจรดคอ มือไม้สั่นจนห้ามไม่อยู่ แก้มแหม่มกัดริมฝีปากตัวเองสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง ซึ่งให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าคืออะไร ตอนนี้เธอทำได้แค่เพียงเอนกายไปข้างหลัง สร้างระยะห่างให้ตัวเองมากที่สุด ใช้เสียงดังเข้าข่ม เผื่อว่าความรู้สึกแปลกๆ จะบรรเทาลงบ้าง
“บ้า! ไปทำบุญให้คุณเดือนต่างหากล่ะ”
พริษฐ์หัวเราะเบาๆ แล้วถอนใบหน้าออกมา อิงหลังพิงระเบียงเหมือนเดิม
ตอนนี้อารมณ์ดีเกินกว่าจะสนใจผู้หญิงชื่อเดือนกับเรื่องเหนือธรรมชาติของแก้มแหม่ม เขากำลังมีความสุขกับการได้เห็นแม่เสือสาวเป็นลูกแมวเชื่องๆ
ผู้หญิงเวลาเขินนี่น่ารักดีเหมือนกันแฮะ
“แล้วผมต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง” เขาถามอย่างไม่รู้จริงๆ ชีวิตประจำวันในเมืองหลวงเรียกได้ว่าห่างวัดเป็นอย่างมาก
พอชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องและไม่มีท่าทางคุกคามกันอีก แก้มแหม่มก็รู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น จึงสามารถพูดได้อย่างปกติ
“ก็เหมือนเวลาไปทำบุญปกติ คุณอยากทำแบบไหนล่ะ ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เอาปิ่นโตไปวัด แต่ฉันอยากให้คุณทำสังฆทาน”
“คุณว่าแบบไหนดีกว่ากัน”
“ถ้าตามต่างจังหวัดส่วนใหญ่เขามักตักบาตรอาหารสดกันมากกว่าพวกข้าวสารอาหารแห้ง นอกจากวันพิเศษอย่างปีใหม่ วันพระใหญ่แบบทางราชการเชิญพระสงฆ์มาเยอะๆ แล้วไปตักกันตรงศาลาประชาคม เช้าๆ หน้าบ้านเราก็มีพระมาเดินบิณฑบาต หรือจะเลือกเอาปิ่นโตไปวัดก็ได้เหมือนกัน เราแค่เตรียมข้าวและอาหารที่อยากตักรอไว้เท่านั้น อ้อ... ต้องไม่ลืมน้ำดื่มกับดอกไม้ด้วยนะ ส่วนเครื่องสังฆทานก็เหมือนปกติทั่วไป”
พริษฐ์ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจทันที
“ถ้างั้นตักบาตรหน้าบ้านแล้วกันครับ ผมอยากเห็นบรรยากาศเวลาพระเดินผ่านหน้าบ้าน”
“ทำไม ในกรุงเทพฯ ไม่มีเหรอ”
“อาจจะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ครับ ผมไม่เคยตื่นทันสักที รู้แค่ว่าจะมีพระมาบิณฑบาตหน้าวัด อย่างเช่นวัดเบญฯ แต่ผมไม่เคยไปสักที” เขาตอบกลั้วเสียงหัวเราะ รู้สึกตัวเองเป็นคนบาป ห่างวัดพิลึก
“อ๋อ...” แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ “เข้าใจละ ถ้างั้นคุณสะดวกวันไหนก็บอกฉันแล้วกันนะ”
“ครับ ตอนนี้ผมว่าคงต้องกลับแล้วละ ป้าตาบมองมาโน่นแล้ว” พริษฐ์กลั้นยิ้ม ตั้งแต่เขานั่งคุยกับแก้มแหม่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้าตาบทำแบบนี้ ทุกครั้งถ้ามองเข้าไปในบ้าน ก็จะเห็นสายตาแกมองมาทุกครั้ง “แกคงเขม่นผมแย่แล้ว มานั่งคุยกับหลานสาวค่ำๆ มืดๆ คงจะหวงคุณ”
แก้มแหม่มมองตามสายตาของชายหนุ่มก็เห็นป้าตาบเมียงมองมาจากในบ้านจริง แต่คำพูดของเขาฟังเกินจริงไปหน่อย หวงอะไร ห่วงละไม่ว่า
“คุณก็พูดเกินไป ป้าไม่คิดแบบนั้นหรอก” ถึงพูดไปแบบนั้น แต่แก้มแหม่มก็เดินไปหยิบกุญแจรถยนต์ทันที
“ให้ยอดนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยนะคุณชมพู่”
แล้วแบบนี้ไม่ให้เขาคิดว่าป้าตาบหวงหลานนอกไส้ได้อย่างไร...
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ส.ค. 2560, 18:52:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ส.ค. 2560, 18:52:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1016
<< บทที่ 17 [1/2] | ตอนพิเศษ 1 >> |