โซ่หัวใจซานตาน ๑๓ และ ๑๔
อือ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน ๑๓และ๑๔

๑๓.ท้องฟ้ากระจ่างดาว แต่ไม่สุกสกาวในใจ
ห้องรับประทานอาหารกว้างมีรุ้งกมลนั่งรอทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว ฟรานเซเซีสเดินไปนั่งประจำที่ด้วยท่าทีปกติ เขาหันไปมองรุ้งกมล เธอกำลังนั่งมองชามต้มยำกุ้งของเขาอยู่อย่างสั่นๆ แววตาของเธอดูเป็นกังวลเป็นอันมาก
“ไม่คิดว่าคุณจะลงมาทานข้าว” ชายหนุ่มเปิดฉากการสนทนา
“ฉันก็ไม่ได้อ่ิมทิพย์สักหน่อย” หญิงสาวโต้กลับ
“แต่ผมอิ่มนะ อิ่มเสน่หา อ่ิมมาก” เขายิ้ม ตั้งใจพูดถึงเรื่องบนเตียงระหว่างเขากับเธอ แล้วก็หยุดพูดเมื่อป้าเนียมเดินถือโถข้าวเข้ามาในห้อง
ป้าเนียมตักข้าวให้กับคุณท่านและรุ้งกมล
“พอแล้วค่ะ วันนี้ฉันไม่ค่อยหิว” หญิงสาวร้องห้ามป้าจอมที่กำลังตักข้าวให้ในทัพพีที่สอง
ฟรานเซเซียสเห็นป้าเนียมตักข้าวเสร็จก็ออกปากไล่ทางอ้อม “ป้ากลับไปทำงาานต่อเถอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะดูแลตัวเอง ถ้าอยากได้อะไรจะไปเรียก”
รุ้งกมลถอนหายใจเฮือก โล่งใจที่ป้าเนียมไม่อยู่ในสถานการณ์คับขัน เธอกำลังสับสน รู้สึกสองจิตสองใจระหว่างต้องทำและไม่อยากทำ หญิงสาวมองเห็นประตูนรกที่เปิดกว้างรอเธออยู่ การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ใช่เรื่องง่าย เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มันถึงได้มีแต่ข่าวอาชฌากรรม คนเราจะอารมณ์รุนแรงได้ปานนั้นเชียวหรือ แค่ขัดใจกันนิดหน่อยก็ถึงกับฆ่ากัน
ฟรานเซเซียสเห็นหญิงสาวเหม่อก็เลยแกล้งเคาะช้อนกับจานข้าวดังๆ ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ได้ผลหญิงสาวสะดุ้งเฮือก “เป็นอะไรเหม่อๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
หญิงสาวไม่ตอบ เธอลงมือทานข้าว ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่พอมือใหญ่ยืนลอยเหนือสำรับกับข้าวเธอก็กลั้นใจ แล้วก็โล่งอกเมื่อเขาตักผัดผักรวมมิตรไปทาน
“แม่บ้านผมนี่ฝีมือทำอาหารไม่เคยตกเลย น่าพาไปเป็นแม่บ้านอยู่โมนาโก” ฟรานเซเซียสแกล้งพูดหลังจากกลืนข้าวคำแรกลงไป
รุ้งกมลมองกับข้าวสี่อย่างบนโต๊ะรวมถึงต้มยำของเธอ วันนี้มีต้มยำกุ้ง มีผัดผักรวมมิตรใส่กุ้งสีสันสดใส และมีเป๊อะเปี๊ยทอดสีเหลืองกรอบน่าทาน
ดวงตาคมมองหน้าซีดๆ ของหญิงสาวแล้วยื่นช้อนไปตักต้มยำน้ำข้น เธอหันมามองหน้าเขาสลับกับช้อนสแตนเลสเงาวับที่มีต้มย้ำอยู่ในช้อน ชายหนุ่มยกมันคืนกลับมาหาตัวช้าๆ จงใจจะดูท่าทีของรุ้งกมลว่าจะมีน้ำใจห้ามเขาสักนิดไหม เขาคนนี้ที่เป็นสามีทางพฤตินัยของเธอ
รุ้งกมลแทบอยากกลั้นใจตายเมื่อเขาส่งช้อนจ่อปากตัวเอง ดวงตาคมจ้องมงไปยังดวงตายาวรีของเธอ หญิงสาวไม่สามารถทานมองดูเขาทานต้มยำชามนี้ได้ “ยะ...”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะร้องห้าม ฟรานเซเซียสก็ขว้างช้อนลงบนโต๊ะ น้ำต้มยำสีขาวกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่ว ไม่เว้นเดรสสีขาวของรุ้งมกล เจ้าของร่างใหญลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ข่มร่างอรชรจนดูตัวเล็กไปถนัดตา เขากล่าวเสียงเข้มด้วยความผิดหวัง
“คุณมันใจร้ายได้ขนาดนี้เลยเหรอรุ้งกมล คุณทนนั่งมองเห็นคนคนหนึ่งตายต่อหน้าต่อตาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ หัวใจของคุณทำด้วยอะไร” ท้้ายเสียงของเขาทุ้มสูง
หญิงสาวส่ายหน้าปฎิเสธ เธอกำลังจะห้ามเขาแต่เขารู้ตัวก่อน
“ผมว่าผมช่ัวแล้วนะ แต่ผมก็ไม่เคยมองดูคนไม่มีทางสู้ตายไปต่อหน้าต่อตา หากคนคนนั้นจะตายด้วยน้ำมือของผมแล้ว แสดงว่าผมกับเขาต่อสู้กันจนถึงที่สุด สู้กันต่อหน้าต่อตาไม่ใช่ทำตัวเป็นหมารอบกัดแบบนี้”
“คุณกำลังเข้าใจฉันผิดนะฟรานเซเซียส” หญิงสาวหาช่องเอ่ยขึ้นมา
“เข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นการเข้าใจผิดคุณก็กินต้มยำชามนี้สิ กินสิ กิ๊น!” มือใหญ่ผลักชามต้มยำไปต่อหน้าหญิงสาวที่ซีดเผือด น้ำหนักมือของเขาทำให้ต้มยำทะลักหกแทบหมดชาม
“เมื่อกี้ฉันจะห้ามคุณแล้วนะ ถ้าคุณช้าไปกว่านี้คุณจะได้ยินเสียงของฉัน” หญิงสาวอธิบาน
“ถ้าผมไม่รู้แผนการชั่วๆ ของพวกคุณ ผมก็คงตายไปแล้วล่ะ อย่ามาพูดว่าจะห้าม ช้อนมันใกล้จนชิดริมฝีปากผมแล้วรุ้งกมล” เขากำปั้นทุบลงไปบนโต๊ะไม่สนความเจ็บป่วยทางร่างกายที่มีอยู่
รุ้งกมลเครียด ถูกกดดันจนหญิงสาวอยากประชดเขา “ถ้าฉันตายเรื่องวุ่นวายนี่ก็คงจบ คุณก็จะได้มีความสุขที่ได้แก้แค้นสมใจใช่ไหม”
“ยิ่งกว่าคำว่ามีความสุขเสียอีกรุ้งกมล ผมจะรอให้พ่อคุณตรอมใจตายไปอีกคน พอถึงวันนั้นผมก็จะจัดงานเล้ียงฉลองให้ยิ่งใหญ่ ประกาศให้คนท้ังโลกรู้ว่าผมมีความสุขมากแค่ไหน” ฟรานเซเซียสกัดฟันบอกในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดจะเห็น และไม่อยากให้เธอฟัง
มือเล็กยกชามที่เปื้อนไปด้วยคาบขุ่นของนมสดขึ้นเร็วๆ เขาจะได้ไม่ว่าว่าเธอทำเพราะอยากให้เขาห้าม หญิงสาวกระดกถ้วยใส่ปากทว่าช้าไปกว่ามือใหญ่ของชายหนุ่ม
“มันง่ายเกินไปมั้ง จะตายหนีง่ายๆ แบบนี้เองเหรอ อยู่ทรมานดีกว่า ผมคิดว่าผมน่าจะสะใจกว่า”
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความร้าวรานใจ ขนาดเธอจะตายเขายังไม่ยอมให้ตาย เขาจะเอาอะไรจากเธออีก น้ำตาไหลออกจากดวงตาอาบสองแก้มราวกับทำนบพัง
“คุณจะเอาอะไรจากฉันอีก คุณปล้นทุกอย่างไปจากฉันแล้ว ฉันจะตายคุณก็ไม่ให้ตาย มันยังไงกันแน่ ฉันบอกว่าฉันกับพ่อไม่ได้ฆ่าพี่ชายคุณคุณก็ไม่เชื่อ ทำไมฉันจะต้องมาเจอแต่คนเลวๆ อย่างพวกคุณด้วย คุณก็คนหนึ่ง ปรมัยก็คนหนึ่ง ต่างคนก็ต่างมุ่งหวังจะทำร้ายฉัน บีบบังคับฉันทุกทาง แม้กระทั่งให้ฉันฆ่าคน... ฟรานเซเซียส ฉันจะต้องพูดหรือต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าฉันกับพ่อไม่ได้ฆ่าพี่ชายคุณ หรือจะต้องรอให้ฉันกับพ่อตายไปเสียก่อน”
หญิงสาวสะอื้นเสียงสั่น น้ำตานองอาบสองแก้ม “เวลาที่คุณรอคอยมาถึงแล้วล่ะ วันนี้ถ้าคุณไม่ตาย พ่อของฉันก็จะต้องตาย เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าคนชั่วๆ อย่างคุณและปรมัย”
ชายหนุ่มอึ้ง ลำดับความคำพูดของหญิงสาวไม่ถูก อีกทั้งไม่เคยเห็นเธอฟูมฟายขนาดนี้มาก่อน ปกติเธอจะแวดๆ สู้เขาอยู่ตลอดเวลา
“สมใจคุณแล้วใช่ไหม ที่ทำกับครอบครัวของฉันแบบนี้ ฮื้อ ฮือ...” หญิงสาวมองหน้าเขาผ่านม่านน้ำตาหนาๆ “ถ้าพ่อฉันถูกไอ้คนชั่วฆ่าตาย ฉันก็จะไม่อยู่เหมือน คุณจะได้อยู่บนโลกนี้อย่างสบายใจ มีความสุขที่เห็นฉันกับพ่อตายอย่างทรมาน”
“รุ้งกมล ใจเย็นๆ ได้ไหม แล้วค่อยเล่าให้ผมฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะร้องไห้เอะอะโวยวายไปทำไม” ชายหนุ่มถอนหายใจ กลุ้ม
“ต่อจากนี้ฉันจะไม่พูดอะไรกับคุณอีกแล้วฟรานเซเซียส จะไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่แก้ตัวใดๆ กับคุณอีก เพราะว่าคุณไม่เคยฟังฉันเลย”
ฟรานเซเซียสเดินเข้าไปหาหญิงสาว ยืนมือไปจับไหล่มนแล้วออกแรงยกตัวเธอให้ยืนขึ้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างเกรงกลัว เขาไม่ชอบน้ำตาผู้หญิง มันสะเทือนใจอย่างไรชอบกล
“จะร้องไห้ทำไมนักหนาเนี่ย หยุดร้องได้แล้ว ไม่ได้มีใครตายสักหน่อย”
หญิงสาวสะบัดออกจากร่างใหญ่แล้วสะบัดมือฟาดผั่วะไปที่เสี้ยวหน้ากร้านๆ
“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ ฉันเกลียดคุณ จำไว้นะว่าฉันเกลียดคุณ” หญิงสาวประกาศก้อง
เสียงของเธอดังอยู่ในใจของชายหนุ่ม มันก้องกังวาลจนบาดลงกับหัวใจ ดวงตาคมมองรุ้งกมลหันหลังวิ่งออกกไปจากห้องรับประทานอาหารสู่หน้าบ้าน เขารีบวิ่งตามไปจนทัน สองแขนโอบรัดร่างบ้างไว้แน่น
“คุณยังไปไหนไม่ได้นะรุ้งกมล ถ้าคุณออกไปจากบ้านผม ไอ้ปรมัยมันจะรู้ว่าคุณทำแผนล้มเหลว คุณพ่อของคุณจะไม่ปลอดภัย” เขารีบบอก
รุ้งกมลออกแรงดิ้นๆ สะบัดตัวสุดแรงจนฟรานเซเซียสแทบจับไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มตัดสินใจค้อมตัวอุ้มหญิงสาวตัวลอย จังหวะเดี๋ยวกับที่มิชาเอลเดินเข้ามาดูสถานการณ์
“มิชาเอล นายติดต่อไปหาปรมัย บอกมันว่าแผนสำเร็จแล้ว ฉันอยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป แล้วก็ส่งคนไปดูคุณศุภเกียรติ เฝ้าเขาไว้ อย่าให้เขาตกอยู่ในอันตราย ไอ้ปรมัยมันขู่รุ้งกมลเหมือนกับที่ขู่นาย” ฟรานเซเซียสพูดด้วยเสียงอึกอักเพราะว่าแรงสะบัดของหญิงสาว
“ครับนาย” มิชาเอลรับคำสั่งแล้วปฎิบัติการทันที
คืนนี้ฟ้ามืดทำให้แสงจันทร์กระจ่างทั่วท้องฟ้า ดาวก็สว่างสุกใสอยู่ใกล้ๆ เพียงเอื้อมมือคว้า เสียงนกร้องดังเป็นจังหวะ รับช่วงกันราวบทเพลงบรรเลงแสนไฟเราะ ลมโชยพัดผ่านมาเอื่อยๆ
////////////////////////////////////////
ฟรานเซเซียสเดินลงส้นเท้าเพราะต้องอุ้มมนุษย์กุ้งเต้นอยู่ในอก กุ้งตัวนี้กำลังดีดสะดิ้งอย่างกับว่ากำลังขาดอากาศหายใจ ทั้งที่อากาศเย็นสบายยิ่งกว่าที่ใดทั้งหมด
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน” หญิงสาวตะโกนโวยวาย
“ไม่ปล่อย ผมไม่ปล่อยคุณไปไหนทั้งนั้นล่ะ” ชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวเดินผ่านห้องนอนของเธอสู่ห้องนอนใหญ่ของตัวเอง เขาต้องเฝ้าเธอเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตายิ่งกว่าตอนเป็นตัวประกัน
“ฉันบอกให้ปล่อยฉันไง ปล่อยได้แล้ว แล้วนี่คุณจะพาฉันไปไหนไม่ทราบ” หญิงสาวหยุดดิ้นมองประตูห้องนอนของตัวเองเหลอหลา
“ไปห้องนอนของผม ผมไม่ปล่อยให้คุณคาดสายตาหรอก เดี๋ยวคุณจะวิ่งหนีไปอีก” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับใช้เท้ายันประตูห้องที่แง้มเอาไว้อยู่แล้ว
ห้องนอนใหญ่สีขาว มีเตียงนอนใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าด้านคามบันเทิงนานาชนิดครบครัน เตียงนอนก็หรูหรามีราคา ฟรานเซเซียสวางหญิงสาวลงบนเตียงแล้วรีบตะครุบเธอเอาไว้ไม่ให้หนี
“ผมว่าผมคงไม่ได้ตายเพราะโดนยิงหรอก ตายเพราะว่าช้ำในตายมากกว่า” เขากอดรัดร่างบางแน่น ใบหน้าห่างกันเพียงลมหายใจกางกั้น
รุ้งกมลหยุดดิ้น มองหน้าเข้มของเขา แววตาของเธอแน่วแน่่และจริงจัง ปากอ่ิมขยับเอื้อนเอ่ยประโยคยาวๆ ตบหน้าเข้มๆ ของเขาจนชาว่า
“หากคุณรู้ว่าฉันไม่ได้ฆ่าพี่ชายของคุณแล้ว คุณก็ควรปล่อยฉันไป ขอให้เราหมดเวรต่อกรรมแต่เพียงเท่านี้ สิ่งเลวๆ ที่คุณทำไว้กับฉัน ฉันให้อโหสิให้ แล้วก็ภาวนาขออย่าให้เราได้มาเจอกันอีก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ”
ดวงตาคมของชายหนุ่มร้อนผะผ่าว ทว่าเขากลั้นใจกักเก็บความเจ็บช้ำเอาไว้ภายใน ใครอื่นร้อยพันจะต่อว่าเขาอย่างไรก็ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน แต่พอผู้หญิงคนนี้พูดเพียงสั้นๆ มันกลับสร้างรอยแผลลึกในใจ เจ็บยิ่งกว่าแผลที่หน้าอกเสียอีก เจ็บมากกว่าเป็นล้านๆ เท่า
“ผมปล่อยคุณไปแน่ ไม่กักตัวคุณเอาไว้ให้คุณเสียเวลาหรอก แต่แค่รอเวลาอีกเพียงน้อยนิด ให้ผมเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบเสียก่อน แล้วจะปล่อยคุณไป หวังว่าเราคงจะไม่ต้องได้เจอกันอีก อย่างที่คุณหวังเอาไว้”
ทั้งคู่จ้องตาฟาดฟันกันอย่างไม่ลดละ ทว่าต่างไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในใจนั้นไม่ต่างกัน
“ถ้าจะให้ดี ปล่อยฉันไปเลยจะดีกว่า ฉันยอมตายดีกว่าต้องทนอยู่ที่นี่กับคุณ แม้เพียงแค่เสียววินาที” รุ้งกมลกัดฟันบอกพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เหือดหายไป เขาจะไม่มีวันได้เห็นน้ำตาของเธออีกนับจากนี้ไป
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็เชิญ แต่ก่อนที่คุณจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ ขอให้รู้ไว้สักอย่างหนึ่งว่า ผม...” ชายหนุ่มกลืนคำพูดสุดท้ายกับคืนไปในลำคอ “ผมก็เกลียดคุณไม่ต่างจากที่คุณเกลียดผมหรอกรุ้งกมล”
ฟรานเซเซียสหลับตา หายใจสั่นจนอกกระเพื่ิอมแรงๆ เขาพูดมันออกไปแล้ว พูดในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูด ขอร้องสิ... ข้อร้องให้เธอยกโทษให้กับเขา ขอร้องให้เธอให้อภัยและเร่ิมนับหนึ่งกันใหม่ “ขอบคุณที่เคยบำเรอสวาทให้กับผม และมันก็ทำให้ผมถูกใจมาก แม้ว่าคุณจะบอกว่าให้ทาน”
รุ้งกมลเจ็บจี๊ด คมปากเขามันบาดลึกลงบนหัวใจดวงน้อย หญิงสาวสะบัดมือเต็มแรงฟาดใส่ใบหน้าสาก แรงมากจนมือเจ็บและชา เธอแอบขอบใจเขาที่พูดจากับเธอแรงๆ จะได้รู้ตัวว่าเขาไม่ได้นึกพิศวาสเธอสักเท่าไหร่ เธอมันก็แค่ผู้หญิงริมทางคนหนึ่งที่ไม่มีค่ามากไปกว่านี้
ชายหนุ่มมองใบหน้างดงามของเธอ ราวกับต้องการร่างภาพนี้ลงในหัวใจ เมื่อนึกถึงจะได้รู้สึกเหมือนว่าเธอยังอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้จากไปไหน หญิงสาวเดินจากเขาไปช้าๆ ดวงตาคมนับแต่ละก้าวที่เธอเดินออกไปจนพ้นประตูห้อง เธอไม่ได้จากไปแค่คนเดียวเพราะเธอได้เอาหัวใจช้ำๆ ของเขาไปด้วย เรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมามันเกิดขึ้นรวดเร็ว และเขาก็ไม่มีปัญญาน่ังไทม์แมชชีนไปแก้ไขมัน หากวันนี้เป็นวันแรกที่ได้พบกัน เขาจะทำดีกับเธอทุกอย่าง ทำให้เธอรักเขาหมดหัวใจ จนพร้อมมอบชีวิตให้เขาดูแล
ฟรานเซเซียสทรุดตัวนั่งลงบนเตียงกว้าง ยกมือกุมศีรษะ ไม้สนความเจ็บปวดทางร่างกาย เขาคิดมากเสียจนไม่ได้ยินเสียงลูกน้องที่ว่ิงเข้ามาหา
มิชาเอลมองเจ้านายที่อยู่ในสภาพแย่ๆ เหมือนคนเสียของรักไป คล้ายๆ กับตอนที่คุณนาดาลเสียชีวิตใหม่ๆ
“ขอโทษครับนาย คุณรุ้งกมลเธอออกไปจากบ้านแล้ว ผมห้าม แต่เธอบอกว่านายป็นคนยอนุญาตให้เธอออกไปเอง ผมก็รีบขึ้นมาบอกเพราะว่านายสั่งผมอีกอย่างหนึ่ง”
ชายหนุ่มเงยหน้ามองลูกน้องคนสนิท “ปล่อยเธอไป แต่ส่งคนตามไปด้วยนะ อย่าให้เธอและครอบครัวเป็นอันตราย แล้วอย่าให้ใครขึ้นมารบกวนฉันอีกจนกว่าฉันจะอนุญาต”
“ครับนาย” มิชาเอลรับคำแล้วกลับไปทำตามคำส่ังของผู้เป็นเจ้านาย เขาพอจะเดาได้ว่าเจ้านายกำลังรู้สึกอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายและผู้หญิงคนนั้น
เจ้านายของเขาชอบรุ้งกมลตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอ ไม่งั้นคงไม่สั่งเขาให้ติดตามเธอไปบ้านจนรู้ว่าบ้านของเธออยู่ไหน แต่เรื่องทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเจ้านายจับคุณศุภเกียรติมาด้วยความเข้าใจผิด และคุณรุ้งกมลก็ดันเป็นลูกสาวของคนที่นายคิดว่าเป็นศัตรู เรื่องมันซับซ้อนจนมองไม่ออกว่าจะต้องแก้ตรงไหน เป็นเขาคงปวดหัวตายไปแล้วล่ะ ไม่นั่งอยู่ได้แบบเจ้านายตอนนี้หรอก
////////////////////////
ดวงดารายามค่ำคืนทอแสงอ่อน เสียงหรีดหร่ิงเรไรขับขานระงมทั่วบริเวณบ้านสวน กลิ่นดิมหอมๆ ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกดีขึ้นมา
รุ้งกมลสวมชุดนอนบางเบาทับไว้ด้วยเสื้อคลุมผ้าแพร เธอนั่งอยู่บนโต๊ะนอกกระชานของห้องนอน ดวงตายาวรีเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างไกลที่มองเท่าไหร่ก็หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ หญิงสาวมีเพื่อนเป็นหรีดหร่ิงเรไรที่ส่งเสียงร้องให้รู้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวตรงนี้ อากาศเร่ิมเย็นลงทำให้ต้องกระชับเสื้อคลุมให้แนบลำตัว อยู่ดีบทเพลงๆ หนึ่งก็ดังแว่วเข้ามาให้หัว บทเพลงมันน่ารัก เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไหว้วานขอใครสักคนจากดวงจันทร์ เหมือนกับที่เธออยากขอในตอนนี้
//////////////////////////////
ใบหน้าเข้ม คมคายของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด เขาดุ ป่าเถื่อน กระด้างและไม่มีหัวใจ อยากรู้นักว่าหัวใจดวงนั้นมีเลือดหล่อเลี้ยงหรือเปล่า หรือว่ามีแต่เพียงความแค้นที่ฝังอัดแน่นอยู่จนไม่มีที่ว่างเหลือให้กับความสุขอย่างแท้จริง ย่ิงนึกถึงคำพูดของเขาที่เล็ดออกมาจากปากแค่ละคำช่างเชือดเฉือนใจเธอเหลือเกิน... น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินหยดใส่ท่อนแขน รุ้งกมลยกมือปาดน้ำตาพร้อมกับพยายามสะกดใจเอาไว้ไม่ให้เผลอไปคิดถึงฟรานเซเซียสอีก ต่อจากนี้ไปเธอจะอยู่บนโลกนี้อย่างสงบสุขกับครอบครัวหลังจากที่ได้รับอิสระ
หญิงสาวอยากเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทว่ายิ่งทิ้งตัวลงบนเตียงก็ย่ิงรู้สึกอ้างว้าง ภาพใบหน้าของเขาเข้ามา รบกวนอยู่ตลอดเวลา ทุกการกระทำของเขาที่เคยทำไว้กับเธอมันก็ลำดับกันมาเป็นฉากๆ ทั้งที่เรื่องร้ายๆ แบบนั้นสมควรจะลืมมันไปเสีย แต่ทำไมยังจำ จำไปทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน
รุ้งกมลหยีตามองไปยังเบื้องหน้า แสงไฟจัดจ้าเคลื่อนตัวเข้ามาหาจากหน้าประตูรั้ว แล้วรถคันเล็กก็ขับเข้ามาใกล้ให้ได้เห็น พีรยามาทำไมกันดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเวลานี้เป็นเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่าเที่ยงคืน คนป่วยทางใจลุกจากที่นั่ง รีบเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อลงไปพบเพื่อนด้านล่าง
พีรยาเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับๆ ที่รุ้งกมลเดินลงมาข้างล่าง ทั้งคู่มาพบกันที่ห้องนั่งเล่นพอดิบพอดี เจ้าของบ้านสาวตกใจอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนเดินทางมาหากลางดึกเช่นนี้ เธอไม่อยากเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเพื่อน เพราะว่าท่างทางและสีหน้าของเพื่อนก็ไม่ได้เศร้าใจอะไร แต่ดูว่าจะเครียดผิดปกติไปสักหน่อย
“เธอมีอะไรหรือเปล่าแพ็ตถึงได้มาหาฉันกลางดึกแบบนี้”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ได้ยินข่าวว่าเธอไม่กินไม่นอน ไม่แตะอะไรเลย เอาแต่นั่งเหม่อ ฉันก็กลัวว่าเธอจะเครียดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมากจนจิตตกไป” พีรยาเดินไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาแล้วหยิบหมอนกลางมาวางไว้บนตัก
“ใครบอกเธอล่ะ ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย ก็แค่มีเรื่องที่ต้องคิดเท่านั้น” รุ้งกมลแก้ตัวกับเพื่อนแล้วเดินไปนั่งตรงข้ามกัน “อ้อ รู้ละว่าใครโทรไปรายงานเธอ” หญิงสาวมองป้าจอมที่กำลังเดินขึ้นบ้านมา
“ป้าจอมเขาห่วงเธอมากนะรุ้งก็เลยโทรตามฉันมานี่” พีรยาให้เหตุผล เธอก็ห่วงเพื่อนไม่แพ้ป้าจอมหรอก ไม่งั้นก็คงไม่ถ่อมาถึงนี่ทั้งที่ควรจะนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงไปตั้งนานแล้ว
“เลยมีแต่คนห่วงฉันจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันโตแล้วนะแพ็ต รู้น่าว่ากำลังทำอะไร หรือเป็นอะไรอยู่” รุ้งกมลถอนหายใจเฮือก
“แล้วเธอเป็นอะไรอยู่ล่ะ บอกฉันมาสิ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าเธอเป็นอะไรอยู่” พีรยาคาดคั้น
รุ้งกมลหลบตาเพื่อนที่ซอกซอนเข้ามาถึงดวงใจ “ฉันคิดอะไรเล็กน้อย เรื่องที่มันยังคิดไม่ตกเท่านั้นเอง”
“ฉันว่าจะขอคุณพ่อมาอยู่บนเพื่อนเธอสักระยะ รอจนกว่าคุณพ่อของเธอจะกลับมาก่อนแล้วจะกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดม”
ขณะที่ทั้งคู่คุยกันป้าจอมก็เดินเข้ามาหา “อยากดื่มอยากทานอะไรกันบ้างไหมคะ”
“ดีเหมือนกันจ๊ะป้า ป้ามีกับข้าวๆ เหลือๆ บ้างหรือเปล่า แพ็ตจะเอามาทานกับรุ้ง” พีรยาเสนอทันที
“ไม่เก่าหรอกค่ะ ทำไว้ให้คุณรุ้งเมื่อเช้า คุณรุ้งก็ไม่ยอมแตะมันเลย ป้าเทกับข้าวทิ้งมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวป้าไปตั้งสำรับนะคะ จะทานที่นี่หรือว่าในครัวคะ” ป้าจอมขอความเห็น
“ในครัวก็พอจ๊ะป้า เดี๋ยวแพ็ตลากรุ้งเข้าไปทานในครัวเอง” พีรยาสั่งงานป้าจอม หญิงสาวไม่เข้าใจสมาชิกในบ้านหลังนี้ที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะต้องให้เธอมาตามป้อนข้าวให้ใครต่อใคร แต่มันเป็นหน้าที่ที่เต็มใจจะทำ
“ค่ะ” ป้าจอมรับคำแล้วหายเข้าครัวไป
รุ้งกมลมองหน้าเพื่อนสนิท “ฉันว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว พวกเธอทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กๆ”
“ก็เห็นว่าเธอเป็นเด็กน่ะสิ ถึงได้ทำแบบนี้”
รุ้งกมลถอนหายใจเฮือก “มาเฝ้าฉันแบบนี้ คุณการินเขาไม่ว่าเอาเหรอ”
“ไม่ว่าหรอกมั้ง ไม่รู้สิ ฉันไม่แคร์” พีรยาวางท่าหย่ิงๆ
“จะแต่งงานกันเมื่อไหร่ วันหมั้นฉันก็ไม่ได้ไป” รุ้งกมลถามไถ่เรื่องราวของเพื่อนบ้าง หลังจากไม่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ สักทีจนพลาดข่าวคราวของเพื่อน
“ฉันยังยั้งเอาไว้อยู่ รู้สึกว่าเรายังไม่รู้จักกันเลย แล้วจะแต่งงานกันไปได้ยังไง ถึงจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็รู้ว่าฉันคุยกับเขานับคำได้” พีรยาเล่า
“มันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก ความพร้อมมันอยู่ที่หัวใจต่างหากล่ะแพ็ต ถ้าใจพร้อมก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกเลย เพราะเธอยังไม่มั่นใจในตัวเขามากกว่ามั้ง” รุ้งกมลแนะนำเพื่อน เธอรู้และเข้าใจคำว่ารักแล้ว ว่ามันมีพิษสงและอานุภาพมากเพียงใด ไม่แปลกใจเลยหากคนที่รักไม่เป็น และอ่อนแอมากๆ จะฆ่าตัวเองเมื่อพบกับความผิดหวัง แต่ความรักมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตหากเดินผ่านความผิดหวังไปได้ คนที่ตายไปแล้วจะรู้ไหมนะว่าได้กระทำเรื่องโง่ๆ ลงไป
“พูดยังกับว่าเธอกำลังมีความรักอย่างนั้นล่ะ” พีรยาจ้องตาเพื่อน ซอกซอนลงไปเรื่อยๆ
รุ้งกมลยิ้มเจื่อนเมื่อทำพิรุธให้เพื่อนจับได้ “ทำไมถึงคิดว่าฉันจะมีความรักล่ะ ตั้งแต่ทำงานมาก็ยังไม่เจอใครถูกใจสักคน แล้วถ้าฉันมีความรัก มันจะผ่านหูผ่านตาเธอมาได้ยังไง จริงไหม”
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ ฉันอาจจะพลาดหรือตกข่าวบางข่าวไป” พีรยาตะล่อมถามไป
“เออ แล้วมาดามเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม เธอชอบทะเลภูเก็ตหรือเปล่า” รุ้งกมลถามถึงมาดามอย่างเอาใจใส่ เพราะว่ามาดามดีและน่ารักกับเธอมาก
“ชอบสิ ท่านน่ารักนะ นิสัยดี อ่อนโยน แล้วก็ดูจะชอบศิลปะด้วย พวกถ่ายภาพ วาดภาพอะไรพวกนี้... นี่ๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อหู มาดามบอกว่าฟรานเซียสก็ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบทำกับข้าว ฉันนะแทบร้องกรี๊ด กรี๊ด ถามท่านว่าโกหกหรือเปล่า”
“ไร้สาระ ไปกินข้าวกันเถอะไป ไหนเธอยากให้ฉันกินข้าวนักหนาไม่ใช่เหรอ” รุ้งกมลลุกเดินหนีเข้าครัวไปก่อน
พีรยามองตามหลังเพื่อนไปอย่างใช้ความคิด รุ้งกมลทำตัวผิดปกติ เหมือนกำลังปกปิดเรื่องบางเรื่องไม่ให้ใครรู้ ถามจี้ใจเข้าหน่อยก็ลุกกหนี และก็ผอมซูบไปมากตั้งแต่กลับมาจากบ้านของฟรานเซเซียส ขณะคิดก็เดินตามเพื่อนเข้าครัวไปติดๆ ปกติพีรยาไม่ทานมื้อดึก ก็จะทานได้ไงล่ะเพราะว่าหลับไปนานแล้ว แต่วันนี้กลับรู้สึกหิวขึ้นซะอย่างนั้นล่ะ
ก่อนเธอมาที่นี่การินบอกให้เธอระวังตัวเพราะว่ามีลูกน้องของปรมัยจับตามองรุ้งกมลและครอบครัวอยู่ พวกมันรู้แล้วว่าฟรานเซเซียสไม่ได้ตาย ข่าววงในดังกระฉ่อนมากเกี่ยวกับข่าวลือการตายของฟรานเซเซียส หลายคนยินดีที่เขาตาย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ พีรยาลั้นจะมาที่นี่เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีอะไร ในเมื่อคนของฟรานเซเซียสก็กระจายตัวอยู่แถวนี้เช่นเดียวกัน ฟรานเซเซียสคงอยากไถ่โทษที่ทำไม่ดีกับรุ้งกมลและครอบครัวเอาไว้
“นี่ๆ รุ้ง ตั้งแต่เธอกลับมาอยู่บ้าน รู้สึกเหมือนมีใครตามเธอบ้างหรือเปล่า” พีรยานั่งลงบนเก้าอ้ีไม้ข้างกายเพื่อน ขณะที่ป้าจอมกำลังตักข้าว
รุ้งกมลซึ่งกำลังนั่งมองอาหารบนโต๊ะจนไม่ทันได้ฟังว่าเพื่อนกำลังพูดคุยกับเธอ ต้มยำกุ้งน้ำข้นและผัดผักรวมมิตร ซึ่งรายการอาหารที่วางอยู่ตรงหน้ามันเหมือนที่เธอเคยทานเมื่อตอนอยู่ที่บ้านของฟรานเซเซียส ทำไมเธอจำรายละเอียดต่างๆ ได้แม่นยำเหลือเกิน เหมือนกำลังนั่งดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีคนเปิดมันซ้ำๆ ภาพเดิมๆ ฉากเดิมๆ เสียงเดิมๆ และกับคนคนเดิมที่เมื่อไหร่มันจะหยุดลงเสียที
พีรยายื่นหน้าเข้าไปมองเพื่อนใกล้ๆ “รุ้ง รุ้ง รุ้ง!”
คนที่กำลังเหม่อสะดุ้ง ผงะเอนตัวถอยออกจากใบหน้าที่ยืนเข้ามาหาจนชิด “มีอะไรหรือเปล่า”
พีรยามองเพื่อนอย่างสงสัยว่าเหม่ออะไรหนักหนา “ฉันเรียกเธอตั้งนาน เพื่อนที่จะถามเธอว่า ตั้งแต่เธอกลับมาอยู่บ้านรู้สึกบ้างไหมว่ามีคนคอยตามหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่กลับมา ใครจะตามจะคอยเฝ้าก็ปล่อยไปเถอะ ฉันไม่สนใจ เบื่อกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้จะแย่แล้วล่ะแพ็ต ใครจะฆ่าจะแกงใครฉันก็ไม่สนแล้ว ตายเป็นตายล่ะ” พูดถึงเรื่องพวกนี้เธอก็โมโหขึ้นมา เพราะฟรานเซเซียสคนเดียวเธอถึงต้องตกอยู่ในสถานกาณ์เช่นนี้
“เห็นคุณการินบอกกับฉันว่า มีทั้งคนของปรมัยและคนของฟรานเซียสมาคอยเฝ้าเธออยู่ ฉันเข้าบ้านมาก็ไม่เห็นใคสสักคนนะ” พีรยาตั้งข้อสังเกต
“เจอพวกของนายปรมัยก็คงจะดีกว่าเจอฟรานเซเซียส ปิเอโร่คนเดียว” รุ้งกมลเอ่ยลอยๆ ซึ่งความผิดปกติของเธออยู่ในสายตาของพีรยาทั้งหมด
น้ำเสียงและประโยคที่รุ้งกมลใช้เอ่ยถึงฟรานเซเซียสมันเหมือนมีความนัยบางอย่าง และพีรยาจะต้องสืบให้รู้จนได้ว่าระหว่างฟรานเซเซียส ปิเอโร่กับรุ้งกมล เข็มทอง มันมีอะไรในก่อไผ่กันแน่ หญิงสาวสัญญากับตัวเองว่าเธอนี่ล่ะจะเป็นชาวนาถือขวานเดินเข้าป่าไปผ่ากอไผ่กอนี้ดูว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่
ข้าวในจานของรุ้งกมลพร่องลงไปเพียงเล็กน้อย คงเพราะเธอไม่ยอมทานข้าวมาหลายวัน ท้องเลยบีบตัวลงจนไม่สามารถยัดเยียดอาหารปริมาณมากๆ ลงไป ทั้งคู่ทานข้าวกันเสร็จก็ขึ้นนอนโดยพีรยาเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมชุดนอนของรุ้งกมลแทน ซึ่งเสื้อผ้าของรุ้งกมลก็ไม่ค่อยเหลือจะใส่ เพราะว่ามันอยู่ที่บ้านของฟรานเซเซียสจนเกือบหมด เขาก็ไม่มีน้ำใจให้คนขนมันมาคืนให้ หญิงสาวก็จะไม่กลับไปเอาเช่นกัน สู้ซื้อใหม่ใส่ดีกว่าต้องไปทนเห็นหน้าคนใจร้ายใจดำนั่น
///////////////////////////
๑๔.พ่อแง่..
สนามยิงปืนดังไปด้วยเสียงปืนรัวถี่ยิบ ฟรานเซเซียสยืนถือปืนเล็งไปยังเป้าที่อยู่ไกลออกไป ชายหนุ่มเหนี่ยวไกลไม่ยัง พอลูกปืนหมดแม๊กซ์ก็บรรจุลูกใหม่กลับเข้าไป แล้วก็เหนี่ยวไกอีก เขาทำอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ จนลูกปืนที่กักตุ้นเอาไว้ เร่ิมพร่อง
มิชาเอลยืนมองเจ้านายอยู่ใกล้ๆ เจ้านายของเขามีเหล้ากับปืนที่เคียงคู่อยู่ใกล้ไม่ห่างกาย จบจากปืนก็ย้ายไปหาเหล้า จบจากเหล้าก็ย้ายมาหาปืน แต่ไม่ยอมดูแลตัวเองสักนิดทั้งที่ยังเจ็บอยู่ แผลที่หน้าอกของเจ้านายดูจะเร่ิมช้ำและหากปล่อยไว้นานกว่านี้คงจะอักเสบเพราะมันถูกกระทบกระแทกจากแรงสะบัดของปืนรัวๆ ที่เจ้านายเหน่ียวไกลออกไปเพื่อระบายอารมณ์
ฟรานเซเซียสเร่ิมเบื่อหน่ายกับการทำโน่นทำนี่เพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ มือใหญ่วางปืนลงบนโต๊ะเพื่อยกยีศีรษะตัวองพร้อมกับสบถเสียงดังว่า “โธ่โว้ย!” เท้าข้างหนึ่งเหวี่ยงเตะกับเก้าอี้พลาสติกที่ตัั้งอยู่ใกล้ๆ เต็มแรง “อะไรหนักหนาวะ!”
“นายครับ” มิชาเอลพึมพำเรียกชื่อเจ้านาย เกรงว่าเจ้านายจะทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้ ผมเผ้าของนายเร่ิมยาว หนวดเคราก็เฟ้ิมจนกลบใบหน้าหล่อเหลา
“มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันมิชาเอล มันเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากจะบ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ต้องมานั่งรับรู้เรื่องบ้าๆ พวกนี้” เจ้านายหนุ่มบริภาษเสียงดังลั่น
มาดามฟรานซีสยืนมองลูกชายอยู่ตรงประตูทางเข้าสนามยิงปืน นานพอจนสามารถจับความรู้สึกของลูกชายได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นใด ฟรานเซียสพยายามปกปิดเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ไม่ให้นางรู้ นางก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับรุ้งกมลเป็นแน่ นางค่อยๆ คิดลำดับความผิดปกติระหว่างลูกชายกับรุ้งกมลซึ่งมันปรากฎให้เห็นตั้งแต่วันแรกที่นางเดินทางมาถึง สายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลมองลูกชายที่กำลังกระฟัดกระเฟียดทุบกำปั้นลงบนโต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่ห่วงว่าตัวเองกำลังบาดเจ็บ อยู่ดีๆ พ่อลูกชายตัวดีก็หันไปคว้ากล่องลูกปืนปามายังบริเวณที่นางยืนอยู่ ดีที่ไม่โดนนางเข้า
ฟรานเซเซียสตกใจเมื่อเหลือบไปเห็นผู้เป็นแม่ยืนอยู่ ปากหนาพึมพำเรียกชื่อผู้เป็นแม่เบาๆ ราวกระซิบ เขา เร่ิมกังวลเพราะไม่รู้ว่าท่านมายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว ทันได้เห็นเขาคุุ้มคลั่งหรือเปล่า
ฟรานซีสก้าวเท้าไปหาลูกชายแล้วหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเขาใกล้ๆ สองมือยกขึ้นไปตะครองใบหน้าเข้มซึ่งรุงรังไปด้วยหนวดเคราราวโจรป่า “เป็นอะไรฟรานเซียส ลูกเป็นอะไร บอกแม่สิ แม่ช่วยอะไรลูกได้บ้างหรือเปล่า”
ชายหหนุ่มหลับตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาให้ไหลกลับคืนไปแล้วลืมตาขึ้นมองผู้เป็นแม่ สีหน้าของท่านดูไม่สบายใจเป็นอย่างมาก คงเพราะเป็นห่วงเขา “ผมไม่เป็นไรครับแม่ แค่ไม่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“แต่ที่แม่เฝ้ามองดูลูกมานานหลายวัน แม่เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ลูกทุกข์ใจมันไม่ใช่เรื่องนิดหน่อยอย่างที่ลูกบอกกับแม่หรอกนะฟรานเซียส อย่าโกหกแม่ เพราะแม่เป็นแม่ รู้ว่าลูกกำลังไม่สบายใจจนแทบคลั่งแล้ว”
“อีกสักพักผมคงจะดีขึ้นน่ะครับแม่ มันคงต้องใช้เวลาหน่อยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มปด เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเวลาไม่สามารถช่วยฟื้นฟูความเจ็บปวดทางใจได้หรอก เพราะว่ามันเป็นแผลกลัดหนอง หมอไหนที่ว่าเก่งก็คงจะยอมแพ้เมื่อเจอแผลช้ำเลือดช้ำหนองของเขา
“ลูกกำลังไม่สบายใจ แล้วเรื่องที่ลูกไม่สบายใจนั้นมันเกี่ยวกับรุ้งกมลหรือเปล่า” นางถามพลางลูบไล้แก้มสากเป็นการปลอบใจ
ฟรานเซเซียสหลุบตามองพื้น ไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่ “ผมได้ทำสิ่งที่เลวร้ายกับเธอไว้ และเธอคงจะไม่มีวันอภัยให้ผม ถ้าผมรู้ผลลัพธ์ของการกระทำล่วงหน้า ผมจะไม่ทำแบบน้ีครับแม่”
“ลูกทำอะไรเธอ” นางละมือจากแก้มสากเพื่อจับมือลูกชายเดินไปนั่งคุยกันที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ด้านหลัง นางก้มตัวหยิบเก้าอี้ที่ล้มกระเท่เล่เพราะฝีมือของลูกชายขึ้นตั้ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
“ผมคิดว่าพ่อของเธอฆ่านาดาล แต่มันก็ไม่ใช่ ผมเข้าใจผิด ผมจับพ่อของเธอมาขับไว้ แล้ววันหนึ่งเธอก็เข้ามาในบ้าน ขอร้องให้ผมปล่อยตัวท่านไป ผมก็เลยจับตัวเธอเอาไว้ที่นี่เพื่อแก้แค้น” เรื่องราวต่างๆ เร่ิมทะยอยออกจากปากหนาทว่าได้รูปอย่างช้าๆ
“แล้วทำไมเราถึงรู้ว่าาคนที่ยิงนาดาลไมใช่พ่อของเธอ” นางถามเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนจะเอาความจากลูกชายเพราะว่าเข้าใจว่าจิตใจของลูกชายกำลังอ่อนไหว
“ปรมัยครับ มันค่อยๆ แสดงตัวออกมาเอง มันเป็นลูกชายรัฐมนตรีของประเทศไทย มันอยากได้กาสิโนจากผม มันบังคับให้รุ้งกมลเขาวางยาพิษผม ผมก็เลยรู้เรื่องทุกอย่าง ปรมัยมันจะเก็บผม ส่วนพ่อของมันก็ฆ่านาดาลเพ่ือฮุบกิจการน้ำตาล”
ชายหนุ่มเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟังว่า พี่ชายทำธุรกิจน้ำตาลทรายกับหุ้นส่วนสามคน ซึ่งมีนาดาล พี่ชายของเขา มีศุภเกียรติและก็รัฐมนตรีเปรมพงษ์ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง เปรมพงษ์เปลี่ยนแปลงน้ำตาลล๊อตหนึ่งที่จะส่งไปโมนาโกให้มีคุณภาพต่ำจนบริษัทถูกระงับการส่งสินค้า มันทำให้นาดาลไม่พอใจมาก นาดาลเข้ามาคุยกับเปรมพงษ์ เปรมพงษ์บอกว่าไม่รู้เรื่อง และใส่ร้ายศุภเกียรติว่าเป็นคนวางแผนทั้งหมดเพื่อฮุบบริษัทให้เป็นของตัวเอง
นาดาลโกรธมาก เขาไปต่อว่าศุภเกียรติถึงบ้านพร้อมกับโชว์หลักฐานหลายๆ อย่างทีเปรมพงษ์หามาให้เพื่อยืนยันความชั่วของศุภเกียรติ หลังจากนั้นไม่นาน นาดาลก็ถูกรอบสังหาร ซึ่งหากมองเรื่องราวทุกอย่างจากภายนอก หลายๆ อย่างมันชี้ชัดว่าศุภเกียรติเป็นคนทำ เพราะว่าศุภเกียรติได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท ฟรานเซเซียสก็โง่ มากๆ แทนที่เขาจะสืบต่อว่าขณะนี้เจ้าของบริษัทเพียงคนเดียวไม่ได้เป็นของศุภเกียรติ มันเป็นของเปรมพงษ์ต่างหาก
“ทำไมลูกไม่ไปขอโทษเธอและชี้แจงเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง แม่พอจะมองออกว่ารุ้งกมลเป็นคนมีเหตุผล เธอจะให้อภัยลูก” นางแนะนำ
“เธอคงไม่ให้อภัยผมหรอกครับแม่ เพราะว่าผมทำเธอไว้มากเหลือเกิน” ฟรานเซเซียสบอกอย่างท้อใจ
“ทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้น” มาดามขมวดคิ้วถาม
“เพราะผมทำให้เธอโกรธมากแล้วเธอก็บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีกต่อไปแล้ว เรื่องที่ผมทำกับเธอ เธออโหสิให้ แต่ขอว่าไม่ต้องเจอผมอีก”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ แม่จะลองไปพบเธอเพื่อพูดคุยกับเธอดู หรือบางทีแม่อาจจะคุยกับคุณพ่อของเธอก็ได้ ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่คุยกันคงจะง่ายกว่า เพราะมันจะไม่มีแรงอารมณ์มาขวางกั้นความเป็นจริงที่สมควรจะเป็นไป”
ฟรานเซเซียสยิ้มน้อยๆ เร่ิมมีความหวังขึ้นมาบ้าง “แม่ว่ามันจะดีขึ้นหรือเปล่าครับ ให้ผมไปด้วยไหม ผมอยากขอโทษเขาเหมือนกัน แล้วแม่ว่าคุณศุภเกียรติจะอยากมองหน้าผมหรือเปล่าครับ”
“ลูกกังวลเรื่องอะไรกันแน่ฟรานเซียส คุณศุภเกียรติคงให้อภัยลูก คงไม่ถือโทษโกรธกันอยู่ เพราะว่าเขาก็รู้จักกับนาดาล น่าจะมีความผูกพันธ์กันบ้าง แล้วลูกก็เป็นน้องชายของนาดาล แม่ว่าเขาต้องเข้าใจว่าคนที่เสียคนที่รักไปน่ะรู้สึกเช่นไร แต่กับรุ้งกมล แม่ไม่รู้หรอกนะว่าเหตุผลที่แม่จะบอกกับเธอ เธอจะยอมรับฟังมันหรือเปล่า ถ้าเธอไม่ฟัง ลูกก็ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ก็ไปก่อนเถอะครับ หากทางโน้นเขาไม่ว่าอะไร ผมจะหาทางไปขอโทษคุณศุภเกียรติด้วยตัวของผมเอง” ฟรานเซเซียสบอกกับผู้เป็นแม่
“ลูกรักรุ้งกมลใช่หรือเปล่า” มาดามถามจี้ใจดำลูกชาย หากคนที่ทำร้ายกัน ไม่ได้รักกันน่าจะรู้สึกผิดและกล้าเข้าไปขอโทษ ไม่น่าจะกลัวและกังวลแบบนี้
“เธอเกลียดผม เธอบอกกับผมอย่างนั้น เสียงของเธอยังดังอยู่ในหู เหมือนเธอคอยเดินตามผมแล้วก็พร่ำบอกผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ได้ยินแต่เสียงนี้” ชายหนุ่มเลี่ยงไม่ตอบคำถาม “ผมถามขึ้นคำหนึ่งว่าหากเธอตั้งท้องจะทำยังไง เธอบอกว่าเธอจะทำแท้ง”
คำบอกเล่าจากปากลูกชายทำให้มาดามถอนหายใจเฮือก ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง เรื่องความรักของหนุ่มสาว มันไม่ใช่เรื่องโกรธเกลียดอะไรหรอก เป็นเรื่องของคนสองคนที่ไม่เข้าใจกัน ต่างคนก็ได้แต่นั่งเดาว่าอีกฝ่ายคิดแบบนั้น มาดาม มองดูรุ้งกมลขณะที่หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านด้วยกัน ไม่ได้มีสายตาสื่อออกมาว่าเกลียดลูกชายของนาง คนโดนทำร้ายจิตใจขนาดนั้นถ้าหากโกรธหรือเกลียดก็ต้องแสดงความรู้สึกผ่านออกมาทางสายตาบ้าง
“แล้วลูกบอกเธอหรือเปล่าว่ารักเธอ” นางถามลูกชายที่กำลังนั่งส่ายหน้า “เป็นอย่างนี้ไง เรื่องถึงไม่จบสักที คนปากหนักก็ต้องเจอแบบนี้ล่ะ ถ้าเป็นแม่ แม่ก็คงไม่รู้หรอกว่าลูกรัก เพราะว่าโหดเนียนเหลือเกินนี่”
“ผมยังไม่ได้บอกแม่นะครับ ว่าผมรักเธอ” ฟรานเซเซียสยังแถได้อีก
“ขนาดนี้ยังไม่ยอมรับอีกหรือฟรานเซียส” เสียงของมาดามสูงปรี๊ด
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน “ก็เธอไม่รักผมนี่”
“ลูกเป็นผู้ชาย แล้วก็ทำผิดกับเธอไว้มาก เป็นหน้าที่ของลูกที่จะขอโทษด้วยความจริงใจและบอกรักเธอก่อน ไม่ใช่มานั่งอาละวาด โทษโน่นโทษนี่อยู่อย่างนี้ แม่อยากแนะนำอะไรบางอย่างนะ ก่อนที่ลูกจะรวบรวมพลังจนกล้าไปหาเธอ กรุณาช่วยทำตัวให้สะอาดสะอ้านด้วย ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายอ่อนแอหรอกรู้ไหม เพราะมันหมายความว่าลูกไม่พร้อมจะดูแลเธอได้ ลุกขึ้นมาได้แล้วฟรานเซเซียส แม่ว่าลูกทำตัวแย่ๆ มานานแล้ว ช่วยเอาลูกแม่คนเดิมกลับมาได้ไหม”
ชายหนุ่มนั่งน่ิงใช้ความคิด เขาไม่เคยคิดถึงใครมากขนาดนี้ ไม่เคยใส่ใจว่าใครจะเป็นจะตายร้ายดีอย่างไร ไม่เคยคิดจะจริงจังกับผู้หญิงคนไหนทั้งสิ้น แต่กับรุ้งกมล เขาคิดเธอแทบทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งยามหลับและยามตื่น สับสน วุ่นวายใจไปหมด เมื่อไม่เห็นเธออยู่ใกล้ๆ เขายอมให้เธอได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิต เธอเป็นผู้หญิงคนที่สองที่เขาสามารถสละชีวิตให้ได้ นี่มันคือ “ความรัก” ใช่หรือเปล่า ความรักที่เขาเคยคิดว่ามันยากจะเข้าใจ ยากจนเคยคิดว่าจะไม่เสียเวลาไปรักใคร สู้เอาเวลามามาดูแลตัวเอง รักตัวเองจะดีกว่า
//////////////////////////////////
ยามสายของวันอังคาร รถเอสยูวีคันใหญ่สุดหรูค่อยๆ เคลื่อนตัวสู่รั้วไม้ของบ้านสวน ระหว่างทางเข้าบ้านสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธ์ มาดามมองไปยังบ้านไม้ทรงสเปนที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อวานเธอโทรไปหาการิน ให้การินติดต่อมาหาคุณศุภเกียรติว่าเธอต้องการขอพบเพื่อพูดคุยกัน แล้วศุภเกียรติก็นัดให้เธอมาวันนี้เพราะว่างจากการทำงานหลังจากเดินทางไปค้าข้าวอยู่ทางภาคใต้หลายวัน
มาดามลงจากรถที่มิชาเอลคอยบริการเปิดประตูให้ นางสวมเสื้อยืดคอกว้างสีเขียวสดกับกางเกงห้าส่วนสีขาวและส่วมรองเท้าสานเปิดส้น เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่งตัวมากๆ ก็ยิ่งทำให้อากาศมันอบอ้าว นางแย้มย้ิมให้กับศุภเกียรติและรุ้งกมลที่ลงมาต้อนรับถึงรถ
รุ้งกมลพนมมือไหว้มาดามตามธรรมเนียมไทย เพราะว่าตอนเจอกันครั้งแรกก็ทักทายกันตามธรรมเนียมสากลไปแล้ว หลังจากนี้เธอจะทักทายมาดามด้วยการไหว้ หญิงสาวหันไปแนะนำผู้เป็นพ่อให้รู้จักมาดามอย่างเป็นทางการด้วยภาาษาอังกฤษ “คุณพ่อคะ นี่มาดามฟรานซิสค่ะ”
ศุภเกียรติยื่นมือไปหามาดามแล้วมาดามก็จับมือเขาแน่นๆ เหมือนต้องการบอกความนัยอะไรบางอย่าง
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณศุภเกียรติ ฉันรอที่จะได้พูดคุยกับคุณมานานหลายวันเหลือเกิน” มาดามคุยกับศุภเกียรติก่อนหันไปหารุ้งกมลพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดร่างอรชรแน่น “ฉันคิดถึงเธอนะรุ้งกมล เธอสบายดีนะ”
รุ้งกมลกอดมาดามตอบแล้วรอจนมาดามขยับตัวออกไปเพื่อตอบท่านด้วยรอยย้ิมแห้งๆ ว่า “สบายดีค่ะ พีรยามาหาฉันที่บ้าน เธอเล่าให้ฟังว่ามาดามชอบทะเลูเก็ต”
“เข้าไปคุยกันบนบ้านดีกว่านะครับ เชิญครับมาดาม” ศุภเกียรติเอ่ยขัดการสนทนาเบาๆ แล้วเดินนำเข้าบ้านไปก่อน
มาดามเดินเข้าบ้านไปพร้อมๆ กันกับรุ้งกมลเพื่อคุยกันต่อ “ใช่จ๊ะ ฉันชอบทะเลภูเก็ตมาก และก็เสียดายมากที่เธอไม่ได้ไปเที่ยวด้วนกัน”
หญิงสาวรู้สึกฝืดคอจนต้องกลืนน้ำลายตัวเอง คำพูดของมาดามทำให้เธออยากถามมาดามว่ารู้เรื่องอะไรระหว่าง ฟรานเซเซียสกับเธอหรือเปล่า หรือว่ามาดามยังคงไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่มีใครเล่าให้ฟัง
“ฟรานเซียสเขาอยากมาด้วยนะ แต่ยังไงก็ไม่รู้ถึงไม่ยอมมา”
“เขาไม่มาก็ดีแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าแม่ครัวไม่ได้เตรียมกับข้าวไว้เผื่อ” รุ้งกมลโพลงออกไปเพราะลืมตัว
มาดามยื่นมือไปจับมือของหญิงสาวขณะที่เดินไปที่ห้องรับแขก “ให้อภัยฟรานเซียสเถอะนะรุ้งกมล ถือว่าฉันขอร้องฟรานเซียสก็เป็นเพียงคนหนุ่มที่คึกคะนอง ขาดความยั้งคิด”
“ฉันไม่โกรธเขาหรอกค่ะมาดาม” รุ้งกมลตอบสั้นๆ ทว่าสีหน้าและแววตามันขัดกันกับคำพูดเหลือเกิน หญิงสาวเชิญมาดามนั่งบนเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ “มาดามจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ โกโก้เย็นสักแก้วดีไหม”
“ได้จ๊ะ โกโก้เย็นก็ได้” มาดามมองหน้าหญิงสาวอย่างเข้าใจ
ศุภเกียรติมองมาดาม สายตาของมาดามยามมองลูกสาวของเขาเต็มไปด้วยความเมตตาและปรานี จังหวะเดียวกับที่มาดามก็หันมามองหน้าเขาพอดี เขาก็เลยย้ิมให้
“รุ้งกมลใจแข็งน่าดูนะคะ” มาดามเอ่ยลอยๆ
“เธอยังเด็กน่ะครับ แม้ว่าจะสิบสามอยู่แล้วก็ยังเด็กอยู่ดี” ศุภเกียรติยิ้ม
“ก่อนที่ฉันจะคุยอะไรกับคุณ สิ่งแรกที่อยากจะบอกให้คุณรู้คือ ฟรานเซียสเขารักรุ้งกมล แล้วก็รักมาก”
ศุภเกียรติย้ิม “ผมก็คิดว่าคงจะรักมาก ผมเห็นสายตาของเขายามมองลูกสาวของผมตอนที่เธอบุกเข้าไปช่วยผม ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องจับลูกสาวของผมเอาไว้ เพราะผมไม่เห็นประโยชน์อะไรตรงน้ัน”
“ฉันต้องขอโทษคุณมากๆ เลยนะคะศุภเกียรติ ขอโทษด้วยตัวเองและขอโทษแทนฟรานเซียสเขาด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเรื่องทุกอย่างมันก็จบลงไปแล้ว” เจ้าของบ้านไม่โกรธไม่เกลียดฟรานเซเซียส และก็ไม่โกรธเปรมพงษ์ เพราะว่าวัยของเขามันเลยวัยที่จะมานั่งโกรธนั่งเกลียดกันแล้ว เขาอยากใช้ช่วงเวลาที่เหลือกับความสุข ไม่ใช่แก่จนจะตายแล้วก็ยังไม่ปลง ไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน
“การินคงจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณฟังหมดแล้ว” มาดามเอ่ยถึงเพื่อนสนิทของลูกชาย
“ครับ การินเล่าให้ผมฟังแล้ว ผมเห็นใจฟรานเซเซียสเขามากกว่าในตอนนี้ เพราะว่าลูกสาวผมใจแข็งหน่อยนะครับ” เจ้าของบ้านหัวเราะ
“ฟรานเซียสเขาน่ะไม่เหมือนกับนาดาล รายนั้นอ่อนโยน แต่เก็บความรู้สึกไม่เก่ง มีอะไรมากระทบใจก็เผยออกมาทางสีหน้า ส่วนฟรานเซเซียสน่ะเขาเก็บความรู้สึกเก่ง แต่แข็งกระด้าง ไม่รู้ว่านิสัยแบบนี้ติดมาจากใครกัน” มาดามเล่าเชิงบ่นหน่อยๆ
ขณะที่ทั้งคู่คุยกันป้าจอมก็ถือโกโก้เย็นของมาดามและกาแฟร้อนของเจ้านายมาเสิร์ฟ นางทำงานไปด้วยมองหน้ามาดามไปด้วย “มาดามหน้าเหมือนคุณนาดาลมากเลยนะคะ”
ศุภเกียรติทำตัวเป็นล่าม แปลคำพูดของป้าจอมให้มาดามฟัง
“อย่างนั้นหรือ เห็นหน้าฉันแล้วคงนึกถึงนาลใช่ไหมจ๊ะ” มาดามหัวเราะ “แล้วรุ้งกมลไปไหนเสียแล้วล่ะคะ”
“มาดามคงพูดจี้ใจเรื่องฟรานเซียสน่ะครับ ทั้งบ้านลองใครได้เอ่ยชื่อของฟรานเซียสเขาขึ้นมา ลูกสาวผมก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วก็เดินหนีไปเลย”
ป้าจอมเดินกลับไปทำงานที่ยังเหลือล้นมือนานแล้วที่เจ้านายไม่มีแขกสำคัญมาเยือน แขกประจำของบ้านหลังจากที่การเงินของครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปก็คือ พีรยาที่แวะเวียนมาบ่อยเสียจนทำกับข้าวทานเองได้
“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” มาดามยกมือปิดปากไม่อยากจะเชื่อ
“คงเสียดแทงใจน่ะครับ เหมือนเราตอนหนุ่มๆ สาวๆ ตอนที่รักไม่เป็น ยิ่งเกลียดก็ย่ิงรัก”
มาดามหัวเราะร่วนเพราะศุภเกียรติพูดเสียเห็นภาพ นางคิดย้อนวัยตามเขาไปทันที เอ้อ... นางก็พอจะมีประสบการณ์อย่างนี้กับพ่อของฟรานเซียสบ้าง
“คุณศุภเกียรติคะ ฉันชอบรุ้งกมล ชอบความน่ารัก อ่อนน้อมของเธอ ฉันอยากได้เธอไปเป็นลูกสาว แต่ฉันไม่รู้ประเพณีไทย เห็นพีรยาบอกว่าต้องมาสู่ขอกับคุณก่อน ส่วนเรื่องสินสอดคุณไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะจัดมาให้สมกับความน่ารักของลูกสาวคุณ” มาดามชื่นชมในตัวของรุ้งกมลมากๆ
“ผมไม่บังคับใจลูกสาวหรอกครับ แล้วก็ไม่เรียกสินสอดอะไร ติดปัญหาอยู่ที่ว่า ฟรานเซียสคงต้องง้อให้ว่าที่เจ้าสาวเขายอมแต่งงานเสียก่อน”
“กลับบ้านไปจะตีก้นลูกชายเสียหน่อย โตแล้วก็ไม่ยอมโตสักที”
เจ้าของบ้านยิ้ม “เดี๋ยวมาดามอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อนนะครับ สงสัยรุ้งกมลคงช่วยป้าจอมจัดโต๊ะอาหารอยู่ เลยไม่ได้ออกมาคุยด้วย”
“ที่นี่ร่มรื่นดีนะคะ เหมือนบ้านของฉันที่โมนาโค ฉันชอบต้นไม้ บ้านของฉันเลยแทบจะอยู่กลางป่า บางทีก็เห็นกวาง เห็นควายป่า เหมือนอยู่ในสวนสัตว์ ไว้คุณไปเที่ยวสิคะ ฉันจะเป็นไกด์ให้เอง”
“เอาไว้ให้ธุรกิจของผมลงตัวก่อนนะครับ แล้วผมจะไปเที่ยวให้ได้”
“บ้านอยู่ลึกอย่างนี้เหงาไหมคะ” มาดามชวนคุย
“ไม่เหงาหรอกครับ ผมเลี้ยงกล้วยไม้ไว้ด้วยที่หลังบ้าน เลยมีกิจกรรมทำตลอด ตอนไม่อยู่บ้านก็ให้ลูกสาวดูแลให้ เมื่อเช้าผมก็เดินไปดูทีแล้ว นึกว่ากล้วยไม้ของผมจะเฉาเหมือนคนดูแล” ศุภเกียรติพูดติดตลก
“คุณพ่อคะ มาดามคะ เชิญทานข้าวเที่ยงได้แล้วค่ะ สำรับพร้อมแล้ว” รุ้งกมลเดินมาเชิญมาดามกับคุณพ่อไปทานข้าวด้วยตัวเอง เพื่อให้เกียรติแขก
รุ้งกมลกับป้าจอมจัดเตรียมสำรับไว้ในห้องรับประทานอาหารหลักที่สร้างติดกับห้องครัว หญิงสาวลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเพราะเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว บนโต๊ะอาหารวันนี้เป็นเมนูที่ทานได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ มีแกงเขียวหวานไก่ เป๊าะเปี๊ยะทอด ส้มตำไทย ผัดผักรวมมิตร และสุดท้ายก็คือกุ้งเผา หญิงสาวจัดน้ำจิ้มแบบหวานมาให้มาดามเป็นพิเศษ ส่วนเธอกับพ่อคงขาดน้ำจิ้มซีฟูดไปไม่ได้
ทั้งหมดมานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีศุภเกียรตินั่งหัวโต๊ะ รุ้งกมลกับมาดามนั่งขนาบข้างคนละฝั่ง มาดามมองอาหารบนโต๊ะแล้วเอ่ยลอยๆ ว่า
“กับข้าวหน้าตาน่าทานทั้งนั้นเลย ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของใครคะเนี่ย”
ป้าจอมที่กำลังรินน้ำบริการให้ทุกคนก็รีบรายงาน “อาหารทั้งหมดเป็นฝีมือของคุณรุ้งนะค่ะ วันนี้ดิฉันรับหน้าที่ลูกมือหน้าเขียงเท่านั้นเอง ส่วนการปรุงและการจัดจานเป็นฝีมือของคุณรุ้งค่ะ”
ศุภเกียรติแปลให้มาดามฟัง เขานึกเอะใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมป้าจอมฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง “ป้าไปเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ รู้ได้ไงว่ามาดามพูดว่าอะไร”
“อุ้ย! เมื่อกี้มาดามถามว่าอะไรเหรอคะ” ป้าจอมนำเหยือกน้ำหวานไปวางไปไว้ที่โต๊ะอีกตัว
“มาดามถามว่า ใครทำอาหาร”
ป้าจอมยกมือเกาศีรษะเขินๆ “ดิฉันฟลุ๊กน่ะคะ แค่อยากจะนำเสนอว่าคุณรุ้งทำอาหารเก่งก็เท่านั้นเอง”
รุ้งกมลหัวเราะ ช่วยเป็นล่ามแปลภาษาให้มาดามฟัง มาดามได้ฟังก็หัวเราะตามไปด้วย ทั้งสามลงมือทานอาหารกัน เจ้าของบ้านสาวช่วยแกะกุ้งให้แขก และก็ช่วยตักกับข้าวให้แขกบ้าง แล้วก็พูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป หญิงสาวไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าสมใจหรือผิดหวังกันแน่ที่มาดามไม่พูดถึงเรื่องของฟรานเซเซียสให้ระคายหูเลย
ทานข้าวอ่ิมศุภเกียรติก็ชวนมาดามไปเดินย่อยชมบ้านกล้วยไม้ที่สร้างอยู่ทางด้านหลังของบ้าน ศุภเกียรติคุยไปก็พ้นน้ำใส่ดอกกล้วยไม้หลากสีสันเบาๆ อย่างทะนุถนอม รุ้งกมลไม่ได้ติดตามไปที่บ้านกล้วยไม้ด้วยเพราะอยากช่วยป้าจอมเก็บสำรับ ป้าจอมอายุมากแล้ว คนแก่ทำงานหนักมากไม่ได้ เพราะมันถึงวัยที่จะต้องพักผ่อน รุ้งกมลเห็นป้าจอมเป็นเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง จึงไม่ถือว่าเป็นการลดตัวไปช่วยนาง พอมาดามจะกลับบ้านเธอก็ออกไปส่งท่านถึงรถเช่นเดียวกับที่ไปยืนต้อนรับตอนที่ท่านมาถึง
////////////////////////////////////////////
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เล้นตัวอยู่แถบชานเมืองกำลังวุ่นวายเพราะว่าคนในบ้านกำลังทะเลาะกันเอ็ดตะโร จนเหล่าคนรับใช้ที่ผ่านมาเห็นนำเรื่องไปซุบซิบนินทากันสนุกปาก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างคุณหญิงกับลูกเลี้ยงอย่างปรมัย
คุณหญิงจิกตามองลูกเลี้ยง “นี่ ถ้าเธอไม่รักท่าน ก็มีเรื่องเดียวที่จะช่วยท่านได้ ก็คืออย่ามาให้ท่านเห็นหน้าจะได้ไหม ท่านไม่สบายอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องมาเครียดเรื่องของเธออีก”
ปรมัยยืนล้วงกระเป๋ากางเกงจ้องหน้าเมียของพ่อ “ผมจำได้ว่ามีแม่คนเดียว ดังนั้นใครที่ไม่ใช่แม่ก็ไม่ต้องมาสั่งมาสอน ไม่งั้นอาจจะเจอดี”
“ฉันเตือนเธอก็เพราะความหวังดี เธอกับแม่เธอ วันๆ ก็จ้องแต่จะคอยสูบสมบัติของท่าน สักวันหนึ่งเถอะเมื่อไม่มีท่านเธอจะเดือดร้อนกันทั่วหน้า” คุณหญิงสมศรางค์สั่งสอนลูกเลี้ยง
“แล้วผมไปเดือนร้อนบนหัวกระบานของคุณหรือเปล่าล่ะคุณหญิง ก็เปล่าเลย หลีกทางไปไกลๆ ผมจะไปพบคุณพ่อ ถ้าไม่คุณหญิงยังยืนขวางผมอยู่ผมก็จะเดินชนคุณหญิงไป หนึ่ง สอง...”
คุณหญิงสมศรางค์ขยับตัวหนีลูกเลี้ยงทันที เธอกับปรมัยไม่เคยจะถูกกัน เพราะว่าแม่ของปรมัยทำให้บ้านเธอแตกแยก ลูกสาวของเธอทำใจรับที่ผู้เป็นพ่อมีภรรยาสองคนไม่ได้ ก็เลยขอเดินทางไปเรียนต่างประเทศ จนวันนี้ก็ยังไม่ยอมกลับ เธอคิดถึงลูกสาวเมื่อไหร่ก็ต้องบินไปเยี่ยมด้วยตัวเอง ส่วนนังเมียน้อยนั่งลูกชายของมันก็ผลาญสมบัติเป็นว่าเล่น คุณหญิงสมศรางค์ยังฉลาดอยู่บ้านตรงที่โอนสมบัติพวกที่ดินหรือทรัพย์สมบัติหลายอย่าง และธุรกิจหลักของครอบครัวให้เป็นชื่อของลูกสาวหมดแล้ว เวลาสามีเสีย จะได้มีสมบัติเหลือไว้ให้ลูก
ปรมัยทำท่าจะขย้ำคุณหญิงเมื่อเดินผ่านไปใกล้ ทำเอาคุณหญิงร้องกร๊ีดออกมา ถ้าสิ้นคุณพ่อเมื่อไหร่เขาจะเก็บยัยคุณหญิงนี่ก่อนเป็นคนแรก ในฐานะที่ชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการคุณพ่อให้โอนถ่ายสมบัติหลายอย่างไปเป็นชื่อของลูกสาวตัวเอง ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปด้านในของบ้านสู่ห้องทำงานส่วนตัวของผู้เป็นพ่อ เขาไม่เคาะประตู เลือกที่จะเปิดประตูเข้าไปอย่างวิสาสะ
ท่านรัฐมนตรีที่กำลังนั่งดูเอกสารงานละสายตาเงยหน้ามองลูกชาย เขาถอดแว่นออกวางไว้บนโต๊ะ
“เดี๋ยวนี้แกไร้มารยาทขนาดนี้เลยหรือปรมัย แค่เสียเวลาเคาะประตูสักทีสองทีนายยังไม่ยอมทำ” ท่านรัฐมนตรีตำหนิลูกชายคนเดียว ชาวบ้านมักพูดต่อๆ กันว่า มีลูกชายสักคนจะดี เพราะสามารถช่วยเสริมความน่าเกรงขามให้กับครอบครัวได้ แล้วลูกชายของเขามันเคยทำตัวให้คนอื่นเกรงกลัวบ้างหรือเปล่า ไม่เลย... วันๆ มันเอาแต่สำมะเลเทเมา หวังจะฮุบกิจการของคนโน้นคนนี้ทั่วไป
“คุณพ่อจะมาเอาอะไรกับผมนักหนาครับ ผมไม่ใช่ลูกน้องคุณพ่อนะ จะได้เคาะประตูก่อนเข้ามา” ชายหนุ่มต่อปากต่อคำกับพ่อบังเกิดเกล้า
“คุณสมศรางค์ก็ไม่ใช่ลูกน้องของฉัน เธอก็ยังเคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องนี้” ท่านรัฐมนตรีรู้สึกปวดหัวเหลือเกินกับลูกชายที่สอนเท่าไหร่ก็ไม่เอาความ
“แล้วเวลาเข้าห้องนอนเธอเคาะประตูด้วยหรือเปล่าครับพ่อ”
“ปรมัย!” เปรมพงษ์ตะหวาดลูกชายที่พูดจาสกปรกไม่ให้เกียรติเมียของเขา รวมถึงตัวเขาเองด้วย
“เอาเถอะครับพ่อ นี่คุณพ่อเรียกผมมาทำไมครับ จะด่าอะไรกันอีกล่ะ” ปรมัยเปลี่ยนเรื่องเมื่อฟังเสียงของพ่อแล้วมันบอกว่าท่านกำลังโกรธเป็นอย่างมาก
“ก็แกไปทำอะไรไว้ล่ะ ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้ฟรานเซียสมัน ฉันจะจัดการมัดเอง” เปรมพงษ์ยืนขึ้นเต็มความสูงเพื่อข่มลูกชายให้เกรงเขาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย มันไม่ได้เคารพเขาสักนิด
“คุณแม่บอกว่าคุณพ่อไม่สบาย”
“ฉันไม่สบายก็เพราะมีลูกอย่างแกนี่ล่ะ แกไปไหนก็ขี้ทิ้งไว้ให้ฉันตามเช็ดอยู่นั่น เมื่อไหร่แกจะโตสักทีปรมัย ถ้าฉันตายไปแกจะอยู่ยังไงห๊า”
“นี่คุณพ่อจะไม่ยกอะไรให้ผมกับแม่บ้างเลยเหรอครับ ถึงได้ถามแบบนี้” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าถาม ท่าทางยียวนที่สุด ไม่ได้คิดเลย่ว่าผู้ชายตรงหน้าคือผู้มีพระคุณ
“ฉันคงไม่ยกอะไรให้แกผลาญหรอก” เปรมพงษ์ตะโกนใส่หน้าลูกชาย “ฉันจะแก้พินัยกรรมที่เคยบอกว่าจะยกโรงงานน้ำตาลให้แกไปให้คุณสมศรางค์แทน ส่วนแกกับแม่จะได้เงินเดือนทุกเดือน เดือนละล้าน หวังว่าแกกับแม่คงจะพอใช้ ถ้าไม่พอก็ขอเอากับคุณสมศรางค์ เขาจะพิจรณาว่าเงินที่พวกแกขอน่ะ มันสมควรจะใด้ไปหรือเปล่า”
“คุณพ่อ! คุณพ่อทำแบบนี้กับผมและแม่ได้ยังไง ทำยังกับว่าผมกับแม่เป็นคนอื่น”
“ก็เพราะฉันเห็นว่าแกเป็นลูก เห็นแม่แกเป็นเมียของฉัน ฉันถึงได้ทำแบบนี้ คนอย่างแกน่ะปรมัย มีเงินเท่าไหร่ก็พลาญจนหมด เมื่อสมบัติหมดแกกับแม่แกก็จะลำบาก อย่างน้อยก่อนฉันตายฉันก็ยังอุ่นใจว่าแกกับแม่ของแกจะมีเงินเดือนกินไปตลอดชีวิต”
“ถ้าคุณพ่อพูดได้แบบนี้ ทีหลังก็ไม่ต้องเรียกผมมาด่า หากผมทำอะไรลงไป ยังไงผมก็จะทำให้บ่อนนั่นเป็นของผมให้ได้โดยไม่ต้องง้อความช่วยเหลือจากคุณพ่อหรอก” ปรมัยเหมือนเด็กพึ่งตั้งไข่ จากที่เคยคลานมายืนได้ก็ลำพองตัว คิดว่าตัวเก่งเสียเต็มประดา
“เดือนหน้าฉันจะนัดทนายมาจัดการเรื่องพินัยกรรม ถ้าแกทำตัวดีๆ ให้ฉันได้เห็นบ้างฉันยกธุรกิจให้แกดูแลสักอย่าง” ท่านรัฐมนตรีอดใจอ่อนไปกับลูกชายไม่ได้ แม้ว่าลูกมันดื้อขนาดไหน คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็โกรธเกลียดลูกของตัวเองไม่ลงหรอก พ่อกับแม่มีแต่สิ่งดีๆ ที่ตั้งใจหยิบยื่นให้กับลูก แต่พอมันไม่ยอมรับ ก็ได้แต่นั่งทุกข์ใจ
“เชิญคุณพ่อตามสบายเถอะครับ อยากทำอะไรก็เชิญ” ปรมัยพูดอย่างไม่แคร์ความรู้สึกของพ่อ เขาโตแล้วจะดูแลตัวเอง จะไม่มาขอเงินพ่ออีกแล้วด้วย ชายหนุ่มเดินลอยหน้าออกจากห้องทำงาน
ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อกังวลใจ ห่วงลูกคนนี้เหลือเกิน เปรมพงษ์รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา มันปวดตุ๊บๆ จนเกรงว่ามันจะระเบิดออกมาเป็นเสียงๆ เขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับลูกชายมาหลายวันแล้ว ยิ่งรู้ตัวว่าไม่สบายก็ยิ่งเครียด ลูกชายเขายังไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่มีเขาแล้วก็จะลำบาก ส่วนลูกสาวกับคุณสมศรางค์เขาไม่เป็นห่วงเพราะว่าทั้งคู่รู้จักใช้ชีวิต ฉลาด และปรับตัวเก่ง ญาติพี่น้องก็แยะแยะ แต่ละคนก็มีหน้ามีตาในวงสังคม
คุณสมศรางค์กับลูกไม่น่าเกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยทำให้้เธอสบายได้เลย ไม่ต่างอะไรกับที่ปรมัยทำกับเขาอยู่ตอนนี้ ตอนที่แต่งงานกับคุณสมศรางค์เขาเป็นเพียงข้าราชการจนๆ เท่านั้นจนได้รับ โอกาสทจากน้องชาย เขาเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากสกุลเก่าแก่ สายทหารและข้าราชการชั้นสูง เขาก้าวเท้าเข้าไปรับตำแหน่งเลขาท่านรัฐมนตรีก่อน แล้วพอน้องชายตายไปก็ถีบตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีวันนี้
แต่พอเขาได้อำนาจ ตำแหน่งหน้าที่การงานมา มันกลับทำให้ครอบครัวมีความสุขน้อยลง เขาได้เจอกับผู้ใหญ่ทางด้านการเมืองหลายๆ ท่าน ยามที่พบกันเรื่องผู้หญิงก็ขาดไม่ได้สำหรับการสังสรรค์ปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองต่างๆ เขาเลยไปติดใจกับผู้หญิงของนักการเมืองคนหนึ่ง ตอนนี้นักการเมืองคนนั้นก็กำลังจะเขี่ยเธอทิ้งเหมือนกัน เขาก็รับมาเลี้ยงดูต่อ แล้วเรื่องก็ปานปลายเมื่ออีหนูมันท้อง ใจเขาอยากรับเพียงแต่ลูก แต่ก็คงไม่ได้ ผู้หญิงสองคนที่นั่งรอเขาอยู่ที่บ้านก็เสียใจ ลูกสาวหนีไปต่างประเทศ ส่วนภรรยาก็พยายามทำใจกับความเลวของเขา
เขาดีใจที่เธอไม่ทิ้งเขาตามไปอยู่กับลูก เพราะมันทำให้เขาดูพอมีค่าในสายตาประชาชนอยู่ หากใครถามหาลูกสาวก็จะบอกว่าไปเรียนต่อเมืองนอกสั้นๆ นักข่าวบางคนเคยถามถึงครอบครัวที่พร้อมหน้า ถามว่าลูกสาวเมื่อไหร่จะกลับมา เขาก็ตอบเลี่ยงไปสั้นๆ ว่าลูกสาวยังเรียนปริญญาเอกไม่จบ ทั้งที่จบไปตั้งนานจนทำงานปักหลักอยู่ที่อังกฤษ ระหว่างน้ันเขาก็เร่ิมเปิดตัวลูกชาย ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขาภาคภูมิใจอะไรเลย นอกจากทำเรื่องขายขี้หน้าให้เขาตามเช็ดล้าง
/////////////////////////////////////////



พรกมลดลยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2554, 02:17:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2554, 02:17:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2937





   จบแล้วนะคะ >>
ploenjung 7 เม.ย. 2554, 09:54:18 น.
ชอบที่เขียนใน"เรื่องย่อ"จังค่ะ ไว้เอาไปใช้มั่ง


anOO 7 เม.ย. 2554, 15:42:26 น.
นางเอกเรา อายุสิบสามเองเหรอ
55 (พิมพ์ผิดนะค่ะ)


SaMaRaHeup 9 เม.ย. 2554, 13:47:25 น.
สนุกมากค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปน้าาาาาาาาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account