โซ่หัวใจซานตาน ๑๓ และ ๑๔
อือ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: จบแล้วนะคะ
๑๕.แม่งอน...
ซอยแบร่ิงตัดใหม่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายที่บรรจงก่อสร้าง ตกแต่งจนสวยงามดึงดูดแขกทั้งหลายรวมถึงร้านกาแฟแนวบูติกสีขาวที่มีท้ังกาแฟสดนานาชนิด เบเกอรี่และอาหารจานเดียวง่ายๆ ไว้คอยบริการ ภาพรวมของร้านเป็นเหมือนเรือนไม้สีขาวแต่ตกแต่งได้น่านั่งในห้องกระจกใส ตู้เย็นใสปรุโปร่งจนเห็นเบเกอรี่หลากสีสันน่าทานเป็นอย่างมาก ต้นไม้ร่มรื่นแผ่กิ่งก้านกั้นแสงแดนทำให้ยามบ่ายที่แดดเปรี้ยงเช่นนี้ดูเย็นสบาย
รุ้งกมลขับรถเข้าไปจอดหลังร้านแล้วเดินไปเข้าร้านทางด้านหน้า ข้างๆ ร้านกาแฟแห่งนี้มีร้านอาหารกึ่งผับตั้งอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งเมตรโดยมีถนนสายเล็กแบ่งเขตเอาไว้ หญิงสาวยิ้มเมื่อเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปพบกับเจ้าของร้านสาวสวยที่ยืนยิ้มเพล่รออยู่
ร้านนี้เป็นร้านของพีรยา พีรยาย้ายบ้านมาอยู่เยื้องๆ กับที่ตรงนี้ พอเห็นที่ว่างๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะทำร้านกาแฟเพื่อลองรับแขกที่อยากนั่ง คุยกันเรื่อยๆ ทั้งประชุมแล้วก็พบปะสังสรรค์ พีรยามองหน้าเพื่อนแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รุ้งกมลดูมีน้ำมีนวลขึ้น ไม่ซูบผอมเหมือนเมื่อก่อน แล้วป้าจอมก็รายงานว่ารุ้งกมงดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกินและเครื่องดื่ม หญิงสาวฟังๆ ดูแล้วคิดว่าเพื่อนจะผันตัวเองไปเป็นนักโภชนาเสียอีก
“พี่ตองยังมาไม่ถึงเลย เห็นว่ากำลังจะออกจากบริษัทเองนะ อีกสักพักใหญ่ล่ะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้”
“ฉันรีบอีกมาเองล่ะ อยากจะมาชมร้านหรือว่าอาจจะช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟบ้างอะไรบ้าง อยู่บ้านทุกวันก็เร่ิมเบื่อแล้วล่ะ ดีที่พี่ตองโทรมาหา ฉันก็ลืมไปเลยว่าเคยรับปากพี่ตองเอาไว้ว่าจะช่วยงาน”
พีรยาพาเพื่อนเดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ โต๊ะนั่งของร้านเป็นชุดโซฟา มีท้ังเป็นโทนสีขรึมๆ แบบผู้ใหญ่ และอีกโซนหนึ่งเป็นโทนสีลูกกวาด คงเผื่อเด็กๆ นักเรียนแถวนี้มานั่งคุย นั่งติวหนังสือกัน
เจ้าของร้านสาวสวยพาเพื่อนไปนั่งในมุมที่สวยที่สุดซึ่งสามารถมองออกไปเห็นวิวบ้านเรือนหรือร้านรวงต่างๆ แถวนี้ได้ชัดเป็นบริเวณกว้าง
“ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปหาเธอเลย แต่เธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ ป้าจอมก็ตกใจที่อยู่ดีๆเธอก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง ทานข้าวตรงเวลาเป๊ะๆ”
รุ้งกมลยิ้มมุมปาก ดวงตายาวรีกรอกกลิ้งไปมาเพื่อจงใจซ่อนเร้นความลับเอาไว้ในใจ
“ใครจะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ได้นานขนาดนั้นล่ะ ฉันก็คนนะ มีความคิดบ้างอะไรบ้าง”
“เหรอ!” พีรยาเน้นเเสียงหนัก ให้น้ำเสียงสืื่อความหมายจากความรู้สึก
ทั้งคู่หยุดคุยกันเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายสวมสุดสีกรมท่าเดินเข้ามาหา ดูจากชุดแล้ว เขาน่าจะเป็นเมสเชนเจอร์มากกว่า แต่ในมือของเขามีดอกไม้ช่อใหญ่ถือมาด้วยนี่สิ ซ้ำเขายังเดินตรงมาหาหญิงสาวทั้งคู่
“ขอโทษนะครับ คุณรุ้งกมลคนไหนครับ” ชายหนุ่มถามเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จรุร่วงไป
รุ้งกมลอึ้งๆ มองหน้าชายหนุ่มและช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่เขาอุ้มถือไว้อย่างทะนุถนอมเต็มอก ดอกลินลี่สีขาวดอกใหญ่มาก กลีบมันก็หนาแข็งแย้มกำลังพอดี สีสันมันกลมกลืนกับไบไม้สีเขียวสวยงาม “ฉันเองค่ะ รุ้งกมล”
“ของคุณครับคุณรุ้งกลม ขอบคุณที่ใช้บริการงานจากเรานะครับ” เมสเชนเจอร์ส่งช่อดอกไม้ให้หญิงสาวแล้วพูดชื่อร้านดอกไม้ของตัวเองเพื่อเป็นการโฆษณาไปในตัว
หญิงสาวกางแขนรับช่อดอกไม้มาวางไว้ที่ตักแล้วเมียงมองหาการ์ดใบเล็กที่ผูกติดอยู่กับริบบิ้นสีฟ้าอ่อน เธอกางมันออกอ่านโดยที่มีสายตาจับจ้องของพีรยานั่งลุ้นตัวโก่งว่าใครเป็นเจ้าของดอกลินลี่ช่อนี้
ลายมือที่บรรจงตวัดลงไปในการ์ดเป็นลายมือของผู้หญิงซึ่งคงเป็นลายมือของพนักงานในร้าน
“ซอรี่” แล้วลงชื่อของ “ฟรานเซเซียส ปิเอโร่”
รุ้งกมลเขินจนหน้าแดงก่อนวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะ เธอไม่เคยคิดว่าผู้ชายอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ แต่เขาก็หายตัวเข้ากลีบเมฆไปนานสองนาน เกือบสองเดือนได้ หญิงสาวคิดไปว่าเขาคงลืมเธอไปแล้ว
พีรยาที่รอท่าอยู่รีบยื่นหน้าเข้าไปหาช่อดอกไม้ เน้นไปที่การ์ดใบเล็กนั่น เธออ่านข้อความสั้นๆ แล้วก็ชื่อของคนที่ส่งมาแล้วก็ย้ิม มองหน้าแดงๆ ของรุ้งกมล
“โอ้โห... เดี๋ยวนี้ฟรานเซียสเขาเป็นไปได้ขนาดนี้เลยรึนี่ ฉันนึกภาพเขาไม่ออกเลยนะเนี่ย ทำไปได้”
เจ้าของช่อดอกไม้รีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบ ทั้งที่ในใจทั้งเขินและอาย แต่เธอจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดีหรอก เพราะว่าบางทีเขาก็แค่อยากจะขอโทษเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอื่น
“แค่ดอกไม้ขอโทษ คนอย่างเขาคงคิดอะไรไม่ออก เลยส่งดอกไม้มาอย่างนั้นล่ะ ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษมากไปกว่านี้หรอก อย่าคิดมากไปน่าแพ็ต”
“เฮ้ย! นี่ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ฉันก็คิดว่าเขาส่งดอกไม้มาขอโทษแค่นั้นไง แล้วเธอคิดไปไหนล่ะน่ะ ห๊า... บอกฉันสิว่าเธอคิดว่าฉันคิดว่าอะไร ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” พีรยารีบลุกคืบใส่เพื่อนทันที แหม๊... ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นฟรานเซเซียส หรือว่า รุ้งกมล ไม่รู้ว่าปากสองคนนี้สร้างมาจากหินหรือเปล่า
“แพ็ต แล้วเธอจะมานั่งแซวฉันอยู่ทำไมไม่ทราบ โน่นลูกค้ามาโน่นแล้ว” หญิงสาวรีบเบี่ยงประเด็นให้เพื่อนหันเหไปสนใจลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้านมา
“เดี๋ยวมา ไปดูลูกค้าก่อน ก็เพื่อนบ้านนั่นล่ะ” หญิงสาวบอกแล้วเดินไปหาผู้หญิงฝรั่งรุ่นราวคราวเดียวกัน เพื่อนบ้านเธอคนนี้คงจะมาอุดหุนเพราะว่าร้านพึ่งจะเปิดมาได้ไม่กี่วัน
รุ้งกมลนั่งมองดอกไม้แล้วคิดถึงคนให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรมั่ง โดนยิงโดนแทงเพ่ิมบาดแผลบ้างหรือเปล่า เธอได้รู้ว่าการินขายหุ้นส่วนในกาสิโนให้กับฟรานเซเซียสเพื่อหันไปทำธุรกิจของครอบครัว หญิงสาวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะการินกำลังจะแต่งงานกับพีรยาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็สมควรที่จะเสียสละบางสิ่งเพื่อแลกให้ได้มาซึ่งครอบครัวที่อบอุ่น ไม่น่าเชื่อนะ ว่าการินจะเลิกธุรกิจเถ่ื่อนได้เร็ว ต่างกันกับนายนั่น ที่ยังไม่วางมือจากอะไรทั้งสิ้น ยังตั้งหน้าตั้งตาทำชั่วอยู่นั่น
///////////////////////////////////
และแล้วพี่ตองที่ทุกคนรอคอยก็เดินทางมาถึงร้านกาแฟของพีรยา หญิงสาวมาในชุดเดรสสีแดงเพลิงสายเดี่ยวคอวี ผมสั้นซอยจัดทรงด้วยสเปย์แต่งผม ใบหน้าแต่งจัดจ้านเป็นสาวเปรี้ยวและทันสมัยที่สุดแห่งปี รุ้งกมลว่าเธอก็แรงเรื่องการแต่งตัว แต่ก็ต้องยอมแพ้พี่ตองคนหนึ่งล่ะ ไม่ไหวจะสู้จริงๆ หญิงสาวนั่งมองที่ตองเดินเฉิดฉายเข้ามาหาแล้วนั่งลงตรงกันข้ามกับเธอแทนที่พีรยาที่กำลังดูแลลูกค้าอยู่
พี่ตองมองบนโต๊ะของรุ่นน้องที่มีเพียงน้ำเปล่าเย็นเฉียบแก้วหนึ่งตั้งอยู่
“เดี๋ยวนี้บวชเหรอจ๊ะ ปกติถ้าเธอไม่ดื่มไวน์ก็ต้องกาแฟ นี่อะไร๊ น้ำเปล่า แปลกไปนะจ๊ะ โอ้โห! แล้วนี่ดอกไม้ใครเนี่ย ของพี่แน่เลยใช่ไหม ต้องมีหนุ่มๆ ส่งมาเซอร์ไพร์สให้แน่ๆ” หญิงสาวมาถึงก็ร่ายยาวด้วยความสนุกสนาน
“พี่ตองน่ะ ตลอดเลยค่ะ แซวรุ้งได้ตลอด” หญิงสาวโอดกับรุ่นพี่
“ที่นี่ไม่มีไวน์ไว้บริการสินะ อดเปรี้ยวปากกันไป นานทีจะได้เจอกัน จะได้ฉลองให้เต็มที่” ตองบอกกับรุ่นน้อง
รุ้งกมลโบกมือเรียกพนักงานในร้านให้เอาช่อดอกไม้นี่ไปเก็บหลังร้านให้ที ใจเธออยากบอกว่าให้เอาไปทิ้ง แต่ไม่อยากให้เพื่อนรุ่นพี่ผิดสังเกตุ “พี่ตองสั่งอะไรดีค่ะ เค้กกับกาแฟ หรือว่าจะทานข้าว”
“ไม่ๆๆๆ ไม่เค้กไม่กาแฟ” หญิงสาวปฏิเสธก่อนหันไปเห็นเพื่อนรุ่นน้องอีกหนึ่งคน “แพ็ตๆ พี่ไม่อยากทานของดีๆ ที่ร้านเธอมี ไวน์สักขวดไม่มีบริการบ้างเลยเหรอ”
พีรยาเดินมาหาทุกคนที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยย้ิม “แหม... ถ้าพี่ตองอยากดื่มเดี๋ยวแพ็ตให้เด็กขับรถไปเอาจากที่บ้านมาให้ก็ได้ค่ะ วันนี้ไหนๆ ก็ว่างกันทุกผู้ทุกคนอยู่แล้ว แต่พี่ตองคะ แพ็ตว่าเพื่อนดื่มของพวกเรากลายเป็นนักโภชนาไปเสียแล้ว เราจะต้องดื่มกันแค่สองคนหรือเปล่า”
สองสาวหันไปจ้องหน้ารุ้งกมล หญิงสาวยิ้มให้ทั้งคู่ พีรยาน่ะอยู่คนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอได้จับคู่ที่สมน้ำสมเนื้อ เข้าขากันล่ะก็เป็นอย่างนี้ทุกทีไป “รุ้งไม่ยั่นหรอกค่ะพี่ตอง เราไม่ได้เจอกันทุกวันเสียเมื่อไหร่ เมาๆ มึนๆ หน่อยก็ดีนะคะ เวลาคุยงานกัน รุ้งนำเสนออะไรพี่ตองจะได้ออๆ เออๆ ได้ง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องคิดทบทวนอะไรให้มากความ”
“อ้อ... ใช่สิ ฉันมันใจง่ายตอนเมาเสมอ” พี่ตองจิกตาใส่รุ่นน้อง นึกถึงตอนไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน เธอเมาจนได้เด็กเสิร์ฟมากิน ส่วนรุ่นน้องท้ังสองหนีกลับบ้านไปก่อน รุ้งกมลกับพีรยาก็แรงอยู่ แต่แรงถูกที่ถูกทาง ส่วนเธอน่ะมันไปไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับมาให้ถูกที่ถูกทางแล้ว
สองสาวหัวเราะร่าที่รุ่นพี่เอาเรื่องจริงมาเหน็บแนมตัวเองและพวกเธอ “คุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแพ็ตไปสั่งงานเด็กก่อน กี่ขวดดีคะพี่ตอง”
“อุ้ย! จัดมาเต็มที่ บ้านเธอก็อยู่แค่นี้ไม่ใช่เหรอ เมามากๆ ก็มีที่นอนล่ะ ฉันไม่กลัวหรอก แล้วเธอสองคนก็ไม่ต้องยั้งล่ะ ชอบหลอกให้ฉันเมาคนเดียวอยู่เรื่อย”
“โอ้ย... ก็ใครจะไปดื่มทันพี่ตอง กระพริบตาหมดแก้ว กระพริบตาหมดแล้ว รุ้งกับแพ็ตพยายามจะตีตื้นมันก็ไม่ทันจริงๆ ค่ะ เผลอแป๊บเดียวพี่ตองดื่มหนีไปหมด พวกเราก็เลยได้แค่กึ่มๆ ทุกที” รุ้งกมลชวนรุ่นพี่คุยต่อเมื่อเห็นว่าพีรยาเดินหายไปสั่งงานลูกน้อง
ขณะที่ทั้งคู่คุยกันแขกก็เข้าร้านมาเรื่อยๆ และมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาแย่งกันคุย ก่อนวัยรุ่นเป็นวัยคะนองมักจะคุยกันเสียงดัง แหย่กันไปมาแล้วก็หัวเราะ บางทีก็กัดกันบ้างไปตามประสา
“นี่ฉันเร่ิมจะเวียนหัวกับนักเรียนพวกนี้ล่ะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้ายัยแพ็ตนะ ฉันจะเดินไปตบกระบาลพวกมันคนละป๊าบ คนละป๊าบเรียงตัวกันเลย” พี่ต้องเหล่ตาไปมองกลุ่มนักเรียนชายหญิงกลุ่มใหญ่ “น่ีตอนฉันอายุเท่านี้ เท่าไอ้พวกนี้ ฉันทำตัวน่ารำคาญแบบนี้หรือเปล่านะ รับตัวเองไม่ได้จริงๆ”
พีรยาทิ้งเคาน์เตอร์เดินไปตามเพื่อนๆ ว่าไวน์ที่ต้องการมาแล้ว แต่ต้องพากันย้ายเข้าไปดื่มด้านใน เธอให้สถาปนิกกันห้องกระจกเอาไว้ ตอนดึกบรรยากาศดีมาก เพดานโปร่งๆ ทำให้มองเห็นดาวชัดเจน แต่ตอนบ่ายๆ แบบนี้ต้องทำใจหน่อยเพราะว่าคงไม่มีอะไรให้ดู นอกจากต้นไม้และรถของแขกที่จอดเลียงกันอยู่ทั้งของร้านนี้และร้านข้างๆ ซึ่งเช้าพื้นที่จอดรถร่วมกัน
“ส่ิงที่ต้องการได้แล้วค่ะพี่ตอง เชิญย้ายสันนิวาสไปห้องกระจกด้านหลังร้านเลยค่ะ เดี๋ยวเด็กนักเรียนจะแตกตื่นแล้วต่อว่าว่าพวกเราเป็นผู้ใหญ่ที่เยาวชนไม่อยากเอาเป็นเยี่ยงย่าง”
รุ้งกมลหัวเราะร่วน เอ้อ... ความจริงที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเล่นๆ มันจี้ใจนะ แต่มันก็ตลกเพราะว่าไม่มีใครโกรธ ได้แต่พยักหน้ายอมรับความจริง
“แหม๊! เธอคิดเธอว่าไอ้พวกนั้นน่ะมันเป็นเยาวชนดีเด่น ไอ้พวกเนี้ยพ่อแม่ตามใจเสียจนเหลิงหมดแล้วล่ะ ถ้าเธอเห็นพวกมันตามผับตามบาร์นะ แรงส์กว่าฉันอีกร้อยเท่า ฉันเนี่ยได้แต่อ้าปากค้าง จิกผู้ชายมากินไม่ทันพวกมันหรอก” พี่ต้องทำท่ากระซิบกระซาบระหว่างพากันเดินไปหลังร้านแต่ทำไมเสียงดังนักก็ไม่รู้เหมือนกัน
ห้องกระจกที่พีรยาพูดถึงนั้นสร้างติดกับกำแพงของเคาน์เตอร์บาร์ หญิงสาวสั่งให้ช่างปูพื้นยื่นออกไปให้เหมือนระเบียงบ้านแล้วบุกระจกกั้นเป็นห้อง ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศเดินนอกได้สี่มุม คือเพดาน ด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนด้านหลังเป็นกำแพงไม้ ห้องเล็กทว่าสวยงามด้วยชุดโซฟาชุดใหญ่ที่นั่งได้ประมาณแปดคน โซฟาตัวหนึ่งนั่งได้สองที่
พี่ตองเป็นคนแรกที่นั่งลง หญิงสาวเลือกที่จะนั่งหันหลังให้กับผนังห้อง “ฉันแก่แล้วให้ฉันนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ นั่งหันหลังให้กระจกมันเสียวๆ ยังไม่ชอบกล”
“เสียวหลังหรือว่ากลัวว่าจะไม่เห็นผู้ชายที่ลงจากรถกันแน่คะพี่ตอง” รุ้งกมลเอ่ยล้อเลียน
“ก็ด้วยกันทั้งคู่ล่ะ นั่นๆ เธอดูสิ อีตานั่นหล่อเป็นบ้า แต่พานังนั่นมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ มาคนเดียวก็เสียวได้แล้ว” สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินผ่านห้องกระจกไปหาร้านอาหารข้างเคียง พีรยากับรุ้งกมลหัวเราะ เข้าใจว่าพี่ตองพูดเล่น ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอย่างปากว่า
ขณะที่ทั้งหมดคุยกันพนักงานของพีรยาก็เดินนำไวน์เย็นเฉียบมารินให้หนึ่งขวด และอีกหลายๆ ขวดเลือกที่จะเก็บไว้ในตู้เย็นตามคำสั่งของเจ้านาย เจ้าของร้านสาวสวยเลยหันไปบอกกับลูกน้องว่า
“ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง เออ.. บอกให้พ่อครัวทำอะไรอร่อยๆ มาให้ด้วยนะจ๊ะ”
“ค่ะ คุณแพ็ต”
คล้อยหลังพนักงงานทั้งหมดก็หันหน้ามาคุยกันต่อ พี่ตองจิบไวน์ก่อนเป็นคนแรกเป็นคนแรก นำ้ผลไม้หมักสีเขียวตองอ่อนพร่องลงไปเกือบครึ่ง กล่ินผลไม้ห่ามๆ ทำให้ไวน์ดูเย้ายวนมากยิ่งขึ้น ความจริงไวน์ต้องค่อยๆ จิบค่อยๆ ระเลียด แต่พี่ตองเห็นว่ามันเสียเวลาแล้วลิ้นของเธอก็หนาเป็นลิ้นจรเข้แล้วที่จะจิบๆ แล้วได้รส
“อืม... นี่ไวน์อะไรเนี่ยแพ็ต รสชาติมันเกินบรรยายจริงๆ เหมือนฉันเลย เปรี้ยว ซ่า ก๋ากั่น”
“เดอะ วลูฟค่ะพี่ตอง ชอบไหมคะ ถ้าชอบก็ต้องทำใจเพราะมีแค่ขวดเดียวเท่านั้น ตอนซื้อก็ไม่คิดว่ามันจะอร่อยหรอกค่ะ เพราะว่าขวดละไม่ถึงพันเท่านั้นเอง” หญิงสาวบอก
“ฉันคงต้องหาไว้ติดบ้านสักขวด โดนใจจริงๆ รสชาติดี ราคาดึงดูดใจด้วย” พี่ตองพูดอย่างหมายหมั้นปั้นมือ
สองสาวรุ่นน้องนั่งจิบไวน์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนโดยสลับกันรินให้แก่กันหากเห็นว่าแก้วของใครพร่องลงไป ทั้งสามนั่งคุยกันตั้งแต่บ่ายแล้วก็เย็น ผ่านมาจนท้องฟ้ามืดสลัว อากาศเย็นลงพร้อมๆ กับดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า รถหลายคันเร่ิมทยอยแล่นมาจอดจนแน่น เพราะว่าเหล่านักเที่ยวกลางคืนเร่ิมออกเริงราตรีกันแล้ว และวันนี้ก็เป็นศุกร์ปลายเดือนด้วย เรียกว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ก็จัดกันเต็ม อิ่มหนำสำราญกันไปหลังจากกรำทำงานกันมาทั้งเดือน
รุ้งกมลเร่ิมรู้สึกมึนๆ เพราะดื่มไปหลายแก้วแล้วเหมือนกัน ส่วนพีรยานั้นทำท่าเหมือนดื่มเก่งแต่ก็ดื่มน้อยกว่าใครๆ ทั้งหมด ส่วนพี่ตองไม่ต้องพูดถึง ไวน์สามขวดคงดื่มไปขวดครึ่ง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมึนหรือเมาแต่ประการใด
“ได้ข่าวว่าเธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวเหรอแพ็ต” พี่ตองถามพลางจิบไวน์ไปด้วย
“อยู่ว่างๆ น่ะคะ ไม่มีอะไรทำ แล้วพอดีมีคนมาขอก็เลยตอบตกลง ก็นี่ไงคะ ที่เชิญมากันในวันนี้นั้น เชิญมาเลี้ยงฉลองสละโสดกันไปในตัว แล้วก็จะได้ถือโอกาสเชิญพี่ตองไปร่วมเป็นสักขีพยานให้การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ดิฉัน พีรยา อัตถานนท์และคุณดาริน พีรพร ในวันพรุ่งนี้ สิบเอ็ดนาฬิกาสิบเอ็ดนาที ที่บ้านหลังใหม่ ณ หมู่บ้านตรงกันข้ามนี้ แล้วจะจัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรสต่อในเดือนข้างหน้า”
“เออดีเนอะ อยู่ว่างๆ ก็เลยหาคนช่วยกันทำลูก เป็นความคิดที่พี่ยอมรับได้ มีเหตุผลเพียงพอมากพอไว้บอกลูกบอกหลาน” รุ่นพี่พูดลอยๆ
รุ้งกมลที่กำลังจะหัวเราะก็หุบปากฉับเหมือนถูกเบรกตัวโก่ง “ลูก” หญิงสาวรีบสะลัดความคิด บางทีเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ ยังไงก็ต้องรอให้ชัวร์อีกสักเดือนก่อน หากอีกหนึ่งเดือนประจำเดือนยังไม่มาเธอจะไปโรงพยาบาลให้หมดตรวจสักหน่อย จะได้แน่ใจว่า “ท้อง” จริงหรือเปล่า ถึงเวลานี้หญิงสาวกระดกไวน์เข้าปากเอื้อกๆ จนอีกสองสาวนั่งมองอ้าปากค้าง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ตองแทบรินไวน์ไม่ทันใจรุ้งกมล
“มันเป็นอะไรของมันน่ะแพ็ต” พี่ตองยื่นหน้าไปกระซิบถามพีรยา
“เป็นแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วค่ะพี่ แต่พึ่งจะมาเมาเอาวันนี้ แต่เมื่อกี้ก็ยังดีๆ อยู่นะคะพี่ตอง สงสัยพวกเราเผลอไปพูดอะไรถูกต่อมแม่เข้า” พีรยากระซิบตอบขณะตาก็จ้องหน้าเพื่อน
“ต่อมทำลูกน่ะเหรอ”
พีรยาหันหน้ามามองรุ่นพี่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง “ต่อมทำลูกเหรอคะพี่ตอง”
“อ้าว... แล้วจะตกใจทำไม ก็แค่ต่อมทำลูก ใครเขาก็มีกันทั้งนั่นล่ะ หรือว่าเธอมีคนเดียวกันยะ” พี่ตองเหน็บรุ่นน้องที่พูดจาให้งง
“เหอๆ ใครก็มีล่ะค่ะ แต่ยัยรุ้งน่าสงสัยกว่าคนอื่นเกี่ยวกับกระบวนการของต่อมทำลูก” ทั้งคู่เปิดอกปรึกษากัน
“อย่าบอกนะว่าที่ยัยรุ้งหายไปน่ะ ไปทำลูกมา ว่าแล้วเชียว ตอนฉันมาถึงใหม่ๆ เห็นดอกลิลลี่ช่อใหญ่เท่าบ้าน จะมีใครให้ล่ะ นอกจากผู้ชายจริงไหม๊” พี่ตองพูดถึงรุ่นน้องที่กำลังร่ำไวน์อยู่โดยไม่สนใจใคร ตอนนี้ร้านกาแฟปิดแล้ว แต่เจ้าของร้านและเพื่อนๆ ยังคงสังสรรค์กันอยู่อย่างสนุกสนาน
“ถูกกกกกก! ผู้ชายให้ค่ะ แล้วรู้ไหมคะว่าใครให้” พีรยาดึงเกม กระตุ้นให้เพื่อนรุ่นพี่อยากรู้ หญิงสาวรู้มาว่าเพื่อนรุ่นพี่คนนี้กรี๊ดกร๊าดฟรานเซเซียสมาก เรียกว่าเป็นขวัญใจเลยทีเดียว
“ใครล่ะ แหม... ฉันยิ่งอยากรู้อยู่” พี่ต้องเร้า
“ฟรานเซเซียส ปิเอโร่”
“ว๊ายยยยยยยย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงลากเสียงยาว “ได้ไง คนนี้ฉันจองมาตั้งนานแล้ว ผู้ชายอะไรหยิ่งเป็นบ้า ท่าทางนะโห แบบคนที่อยู่ด้วยกลายเป็นมดไปเลย ที่สำคัญเข้าถึงยากมาก ไม่รู้จะเก็บตัวอะไรหนักหนา นี่ยัยรุ้งตัดหน้าฉันไปแล้วเหรอเนี่ย ฉันรับไม่ได้”
“พี่ตองไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ผู้ชายของพี่ถูกยัยรุ้งงาบไปแล้ว แต่ตอนนี้พี่ตองก็มีโอกาสนะคะเพราะว่าทั้งคู่กำลังเก็กท่าใส่กันอยู่” พีรยาแกล้งชี้ทาง
“ฉันงดของหวานที่มีเจ้าของแล้วย่ะ อย่างฉันน่ะ สวย เร่ิด เชิ่ด ยอม” พี่ตองแหงนหน้าเชิ่ดจนคอแทบหัก กรีดนิ้วลงบนตักตัวเองดั่งนางพญา
“พี่ตอง แพ็ต รุ้งขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
ทั้งสองสาวหยุดพูดคุยกันเพื่อหันกลับไปมองหน้าเครียดๆ ของรุ้งกมล พีรยารีบร้องห้าม
“เธอกลับบ้านไม่ได้นะรุ้ง มึนๆ เมาๆ แบบนี้จะขับรถกลับบ้านได้ยังไง”
“ฉันขับกลับได้ก็แล้วกันน่ะแพ็ต เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ถ้าขับไม่ได้จริงๆ ก็จะขึ้นแท๊กซี่กลับ ไม่ฝืนสังขารขับกลับไปหรอก”
“เฮ้ยได้ไง! เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่านะ” พี่ต้องบอกอย่างเป็นห่วง
“พี่ตองก็ไม่ได้อาการดีไปกว่ารุ้งนักหรอกนะคะ สรุปห้ามไปไหนทั้งคู่ รุ้ง... นานทีจะได้สังสรรค์กัน เธออย่าทำงานกร่อยสิ เลยหมดสนุกกันไปหมด” พีรยาต่อว่าเพื่อน
“ฉันขอโทษจริงๆ แพ็ต แต่ฉันไม่ไหว ขอโทษด้วยนะคะพี่ตอง รุ้งต้องขอเสียมารยาทสักวันนะคะ ถ้าไหวก็จะนั่งอยู่ต่อหรอกค่ะ” รุ้งกมลเอ่ยปากขอโทษทุกๆ คนก่อนลุกขึ้นยืน หญิงสาวหลับตาสะบัดไล่ความมึนเมา ก้มลงไปคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องกระจก ซึ่งเธอก็จอดรถอยู่ข้างหลังใกล้ๆ แค่นี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
ทั้งพีรยาและพี่ตองแทบจะกระโจนตามรุ้งกมลไป แต่ก็หยุดก้าวพร้อมๆ กันเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาหญิงสาว
“ยัยแพ็ต นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า เธอบอกฉันสิว่านั่นมัน ฟรานเซเซียส ปิเอโร่ สุดที่รักของฉัน”
“ไม่ฝาดหรอกค่ะพี่ตอง นั่นมันเขาจริงๆ ไม่ใช้สลิงก์หรือสตั๊น” หญิงสาวกระซิบบอกเพื่อนรุ่นพี่พลางมองไปยังสองหนุ่มสาว คนในห้องกระจกจับจ้องไปยังทั้งคู่ราวกับว่ากำลังลุ้นละครโทรทัศน์อยู่เรื่องหนึ่งเพื่อให้พระเอกสุดโหดกับนางเอกสุดสวย รวยน้ำใจได้คืนดีกัน
“นั่นๆ เขาเดินมาใกล้ๆ แล้ว แหม... ยัยรุ้งก้มหน้าก้มตาเดินเกินไปหรือเปล่า เทพบุตรเดินมาหาก็ยังไม่ยอมมอง” พี่ตองนั่งพากษ์ละครโทรทัศน์อย่างตื่นเต้น จับตาดูไม่ให้พลาดสักเสี้ยววินาที
////////////////////////////////////////////////////
ฟรานเซเซียสเดินแหวกความมืดไปหารุ้งกมลที่กำลังเดินไปหารถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่เคยรุกรุงรังกลับสะอาดสะอ้านขึ้น ผมท่ีเคยยาวตัดใหม่เป็นรองทรงสั้นซอยเข้ารูป เผยให้เห็นโครงหน้างคมคายได้อย่างชัดเจน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนลายทางสลับสีขาวและสีฟ้าทับด้วยกางเกงสแล็กซ์สีดำ คาดเข็มขัดหนังหัวสีเงิน และรองเท้าหนังสีดำเงา
ชายหนุ่มหยุดยืนดูรุ้งกมลในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินแขนกุ้นคอกว้าง เธอกำลังค้นหากุญแจรถในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเข้ม ผมยักศกนุ่มสยายเต็มกลางหลังโดยเธอเหน็บปอยผมไว้กับใบหูเผยให้เห็นเครื่องหน้างดงามและแพรขนตางอนสวย ร่างบางที่เคยผอมบางดูมีน้ำมีนวลขึ้น หน้าอกอิ่มใต้เดรส เอวคอดกิ่ว ต้นขาเรียวนวลเนียน ดวงตาคมมองเห็นภาพของเธอยามนอนอยู่บนเตียงนุ่มเคียงข้างเขา
ฟรานเซเซียสก้าวเท้าไปหาหญิงสาวช้าๆ จนหยุดยืนใกล้ๆ จนได้กลิ่นไวน์อ่อนๆ ผสมกับกล่ินน้ำหอม เธอเหลือบตามองรองเท้าหนังของเขา แล้วไล่สายตามมามองหน้าเข้ม ภาพใบหน้างดงามยังตราตรึงในหัวใจ
“สวัสดี” เขาเอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยคำพูดสั้นๆ เพราะไม่รู้จะเร่ิมพูดคำไหนก่อนดี
รุ้งกมลหันหน้าหนีไปค้นหากุญแจรถ ทำเหมือนว่ายืนอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีเขายืนอยู่ด้วย คำทักทายของเขาก็ขอให้ลอยไปพร้อมกับสายลม ถ้าจะกลับมาขอโทษหรือหวังอะไรอย่างอ่ืนมันก็หมดเวลาของเขาแล้วล่ะ เธอสารภาพว่าเคยรอเขา รอนานจนทำใจได้แล้ว แล้วเขาจะมาทำไมเอาตอนนี้
ชายหนุ่มมองท่าทีเมินเฉยของเธอด้วยความปวดใจ “สยายดีหรือเปล่ารุ้งกมล”
“ฉันจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาก่าวกาย ถ้าคุณมาเที่ยวก็ร้านนี้” หญิงสาวชี้มือไปที่ร้านอาหารตรงหน้าทีกำลังเปิดไฟเรื่อเรือง “แต่หากว่าจะมาดื่มกาแฟ ร้านมันปิดไปตั้งนานแล้ว”
“ผมไม่ได้มาเที่ยว ไม่ได้มาหาอะไรทาน แต่ผมมาหาคุณ” เขาพูดตรงๆ “คุณกำลังเมา ให้ผมขับรถไปส่งนะ”
“เก็บความกรุณาของคุณไว้ใช้กับคนอื่นเถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการมัน” หญิงสาวแทบอยากจะขว้างกระเป๋าทิ้งเพราะยิ่งรีบก็ยิ่งหากุญแจรถไม่เจอ
“คุณได้รับดอกไม้ที่ผมให้หรือเปลา” เขาถามเพราะว่ามองไม่เห็นดอกไม้
“ทิ้งไปแล้ว ทำไมฉันจะต้องเก็บมันเอาไว้ด้วย คุณช่วยไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักทีได้ไหม” หญิงสาวไล่ หงุดหงิดเรื่องหากุญแจรถไม่เจอ หงุดหงิดกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเธออยากอยู่คุยกับเขาเสียเต็มประดา
ฟรานเซเซียสห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ สองเท้าก้าวเข้าไปหาร่างอรชร สองแขนกระหวัดโอบหญิงสาวจากทางด้านหลัง เธอตัวเล็กกว่าเขาทำให้เขาโอบเธอจนมิด ชายหนุ่มฝังจมูกลงบนต้นคอหอมกรุ่นพร้อมกับจุมพิต พอเธอดิ้นก็กระชับอ้อมแขนรัดรึงแรงขึ้น ได้กอดเธออย่างนี้ ได้แนบชิดกันแบบนี้ทำให้เขาคลายความคิดถึงเธอลงได้บ้าง
รุ้งกมลขนรุกซู่ ซาบซ่านเมื่อถูกจู่โจมจากจมูกโด่งและปากของเขา ร่างกายไวต่อความรู้สึกมากมันกระซิบที่ข้างหูว่าต้องการสัมผัสจากเขา หลังจากที่โหยหามานาน หญิงสาวรีบสะลัดความคิดบ้าๆ นี่ออกไปแล้วออกแรงดิ้น
“ปล่อยฉันนะ คนเยอะแยะคุณไม่เห็นเหรอ หรือว่าตาบอด”
“เห็น เห็นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว คนเยอะแยะแล้วมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ เราโตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสถานที่นี้มันก็สถานที่อโคจร ไม่ใช่โรงเรียนหรือว่าวัด” เขากระซิบบอกพร้อมสูดดมเอาความหอมหวานจากซอกหูหอมๆ
พีรยากับพี่ตองที่เฝ้าจับตามองอยู่ในห้องกระจกแทบร้องกรี๊ดออกมา ไอ้ที่คิดๆ กันอยู่น่ะ มันจริงเสียย่ิงกว่าที่คิดอีก พีรยาอยากเดินไปมองใกล้ แต่สะดุดเข้ากับพวงกุญแจรถสีเงินเสียก่อน หญิงสาวก้มลงไปเก็บ
“พี่ตอง นี่มันรถแกรถของรุ้งนี่คะ”
“โอ้ย! เธอจะมาเห็นอะไรตอนนี้ล่ะ กุญแจรถของยัยรุ้งน่ะมันหายไปแล้ว มันหายไปเข้าใจไหม” หญิงสาวแย่งกุญแจรถจากมือของรุ่นน้องแล้วขว้างมันทิ้งไปอย่างไม่แยแส “อย่าบอกฉันนะ ว่าเธอจะเอามันไปคืนให้ยัยรุ้งน่ะ ยัยแพ็ต โง่สิ้นดีเลยเธอ ยิ่งกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่” พี่ตองแทบอยากจะหยิกรุ่นน้อง
“พี่ตองรู้ได้ไงว่าแพ็ตจะเอาไปคืน”
“โอ้ย! ก็หน้าเธอซื่อตาใสซะขนาดนั้น ใครดูก็รู้ทั้งนั้นล่ะ แล้วก็หุบปากได้แล้วนะยะ ฉันเสียสมาธิหมด” หญิงสาวตะหวัดสายตากลับไปมองยังหนุ่มสาวที่กำลังง้องอนกันอยู่
////////////////////////////////////
ฟรานเซเซียสได้กอดได้หอมร่างนุ่มๆ ก็ติดใจไม่อยากปล่อย เขากอดเธอเอาไว้อย่างนั้นจนถูกกระทุ้งด้วยศอกแหลมๆ ที่หน้าท้อง “โอ้ย... อะไรกันเนี่ย จะมาทำร้ายร่างกายกันทำไม”
หญิงสาวเร่ิมระดมอาวุธที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดใส่เขา อยากรู้เหมือนกันว่าจะยืนกอดเธอได้อีกนานเท่าไหร่ เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัด ออกแรงเยอะเสียจนสร่างเมา
“เอาสิ ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม เชิญกอดเลย ฉันไม่ว่าอะไรแล้ว กอดให้นานๆ เลยนะ”
ชนุ่มออกแรงรัดร่างอรชรพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ไม่ให้เธอได้ยิน เธอยังพยศไม่เลิกราวกับม้าศึก แต่ย่ิงดิ้นเขาก็ยิ่งได้ใกล้ชิดเธอมากย่ิงขึ้น ไม่ต่างอะไรกับที่ยืดกอดเธอเอาไว้เฉยหรอก
“คุณแม่ผมกลับไปที่โมนาโกแล้ว ผมเลยคิดว่าจะไปเยี่ยมพ่อของคุณสักวัน ผมอยากจะไปขอโทษท่าน”
“ไม่ต้องไปหรอก ท่านอโหสิให้กับคุณเหมือนกับฉัน ท่านคงไม่อยากเห็นหน้าคุณหรอกนะ เพราะคุณทำกับท่านไว้มากขนาดนั้นน่ะ” หญิงสาวแหว
“ไม่หรอกมั้ง คุณพ่อบอกว่าท่านไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดตัวผม คุณแม่ก็บอกซ้ำอีกด้วยว่า ท่านเข้าใจในตวผมเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่มีเวลาไปพบท่าน”
“อ้อ... รู้ดีแล้วมาถามฉันทำไมไม่ทราบ” ปากอิ่มเอ่ยประชดประชัน
“ก็ผมไม่รู้ว่าท่านจะว่างวันไหนไงล่ะ ได้ข่าวว่าท่านขึ้นเหนือไปอีกแล้ว” ชายหนุ่มรับรู้มาตลอดว่าศุภเกียรติทำงานที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่อายุมากแล้ว น่าจะได้หยุดพักผ่อนเหมือนแม่ของเขา
รุ้งกมลหยุดดิ้นเพราะเหนื่อย ดิ้นจนหอบก็เลยปล่อยให้เขากอดน่ิงๆ หมดแรงจะต่อต้านคนตัวโต “ถามเอาจากคุณการินก็ได้ เดี๋ยวคุณการินก็มาถามพีรยา แล้วพีรยาก็จะมาถามฉันหรือว่าป้าจอม แม่บ้านของฉันอีกที ไม่ต้องมาถามฉันก็ได้ถ้าอยากรู้เรื่องแค่นี้”
“ขี้เกียจรอ ถามหลายต่อน่ารำคาญ ถามคนนี้ก็รอคนนี้ไปถามคนโน้น แล้วรอให้คนโน้นไปถามคนนั้น ผมรอไม่ไหวหรอก อยากรู้อะไรก็ต้องได้คำตอบทันที ก็เลยคิดว่ามาถามเอาจากคุณโดยตรงเลยจะดีกว่า วันน้ีคุณว่างหรือเปล่าล่ะ ผมกำลังหิวข้าว ไม่อยากนั่งทานคนเดียว” ฟรานเซเซียสออกปากชวนอย่างอ้อมโลก
“ไม่ว่าง”
“คิดก่อนก็ได้แล้วค่อยตอบ นี่อะไรไม่คิดเลย” เขายื่นหน้าไปขบติ่งหูหญิงสาวเบาๆ เป็นการทำโทษ
“อุ้ย...” รุ้งกมลสะดุ้งสะทาน ขนลุกซู่ ร่างบางหมุนตัวไปกอดเขาเอาไว้เพื่อจะห้ามปรามไม่ให้เขาทำอะไรแบบนี้อีก แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ
ฟรานเซเซียสเลยกอดเธอเอาไว้หลวมๆ ตาคมมองไปยังดวงหน้าเคลิ้มๆ จากฤทธิ์ความซอกซอนของเขา
“พรุ่งน้ีล่ะ ว่างไหม”
“ไม่ว่าง!” เธอรีบปรับความรู้สึกแล้วเชิ่ดหน้าใส่
“ผมไม่ได้ถามถึงคุณว่าว่างหรือเปล่า ผมถามว่าคุณพ่อของคุณน่ะว่างหรือเปล่า” เขาตั้งใจหยอกเธอให้เก้อเล่น ได้ผลเลย อกกว้างของเขาเปลี่ยนเป็นกลอง เธอตีระรัวไม่ยั้งมือ
รุ้งกมลชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นสองสาวกำลังจ้องมองมายังเธอและฟรานเซเซียส ใบหน้าของทั้งคู่แทบจะทะลุออกจากกระจกแล้ว “ปล่อยๆ พีรยากับเพื่อนของฉันกำลังมองเราอยู่”
ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนออกจากเอวคอดไปล้วงประเป๋าแทน เขาหันไปมองตามสายตาของรุ้งกมลเห็นสองสาวกำลังทำเก๋ไก๋ว่าไม่ได้มองอะไรเลย กำลังนั่งจิบไวน์กันอยู่ต่างหากเล่า
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ อายเพื่อน เพราะว่าเพื่อนจะเข้าใจผิดว่าเธอน่ะปากกับใจของเธอน่ะไม่ตรงกัน อยู่กับเพื่อนก็บอกว่าไม่แคร์ไม่ใส่ใจ แต่พอลับหลังกลับมายืนกอดกันอยู่
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย พรุ่งนี้เพื่อนฉันต้องล้อแน่ๆ ให้ตายสิ ฉันไม่น่าหลวมตัวมายืนคุยกับคุณเลย หากุญแจรถไม่เจอก็น่าจะเรียกรถแท๊กซี่กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว เพราะคุณคนเดียว จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”
“ให้ผมไปส่งนะ เดี๋ยวรถคุณให้มิชาเอลขับกลับไป ถ้าไม่ให้ผมไปส่งก็จะกวนคุณอยู่ตรงนี้ ดูว่าเพ่ือนของคุณก็อยากรู้นะว่าเราเป็นอะไรกัน นั่นๆ ยังมองพวกเราด้วยหางตาอยู่เลย ไม่เชื่อคุณดูสิ”
รุ้งกมลหันหน้าไปมองพีรยาและพี่ตอง เธอแกล้งเข่นเขี้ยว ย่นจมูกใส่เพื่อนๆ พอพวกนั้นเห็นก็แกล้งนั่งจิบไวน์ต่อ ทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรภายนอก
“จะขับกลับได้ยังไง กุญแจรถฉันยังหาไม่ไเจอเลย” หญิงสาวหันมาถามเขา
“อยู่แถวนี้ล่ะมั้ง เดี๋ยวให้มิชาเอลหา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไปกันเถอะ คุณใส่รองเท้าส้นสูงแบบนี้ยืนนานๆ ไม่เมื่อยบ้างหรือยัไงนะ” เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ฉันให้ส่งแค่หน้าประตูรั้วนะ ไม่ให้เข้าไปในบ้าน ถ้าไม่ตกลงฉันก็ไม่ไป” หญิงสาวยื่นข้อเสนอเสียงแข็ง
“คุณคิดว่าผมอยากเข้าบ้านคุณเหรอ คิดบ้างว่าผมจะเข้าไปทำไม” ตาคมกวาดตามองไปยังร่างอรชร จงใจหยุดสายตาไว้ที่ทรวงอกอ่ิม จงใจถอดเสื้อผ้าและเล้าโลมเธอด้วยสายตา
รุ้งกมลขัดเขินขึ้นมาทันที ดวงตาเขามันร้ายยิ่งกว่ามือและปากอันซุกซนของเขาอีก เขามองแค่นี้ก็เหมือนเปลื้องผ้าเธอออกไปทีละชิ้นๆ จนล่อนจ้อน ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังถูกลูบไล้ เล้าโล้มอยู่จนต้องสะท้านขึ้นมา
ฟรานเซเซียสเอื้อมมือใหญ่ไปคว้ามือเล็ก จับจูงเดินไปหารถของเขาที่มิชาเอลจอดรออยู่ด้านหน้า มิชาเอลที่กำลังลงจากรถรีบเดินมาหาเจ้านาย เผื่อว่าท่านจะอยากสั่งงานกับเขา
“มิชาเอล เดี๋ยวนายขับรถคุณรุ้งที่จอดอยู่ด้านในกลับไปส่งที่บ้านของเธอนะ แต่ว่ากุญแจรถมันหาย นายเดินวนหาหน่อยก็แล้วกัน คงจะตกอยู่แถวนี้ล่ะ ส่วนฉันจะขับรถกลับไปก่อน แล้วเราไปเจอกันที่บ้านคุณรุ้งก็แล้วกัน”
“ครับนาย” มิชาเอลรับคำ ไม่เป็นห่วงเจ้านายที่ไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะว่าช่วงนี้เจ้านายกับคุณเปรมพงษ์พักรบกันชั่วคราว คุณเปรมพงษ์รับปากว่าจะไปคุยกับลูกชายให้หยุดก่อกวนเจ้านายของเขา
มิชาเอลยืนมองเจ้านายกับคุณรุ้งขับรถออกไป เขาคิดอยู่ว่าทำไมเจ้านายถึงไม่ยอมมาตามง้อคุณรุ้งสักที ทนคิดถึงอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ซึ่งไม่เห็นจะเกิดผลดีอะไรขึ้นมาสักอย่าง คล้อยหลังรถยนต์คันหรูเขาก็เดินเข้าไปยังลานจอดรถทางด้านหลัง สองเท้าก้าวเดินไล่มองรถแต่ละคันไปเรื่อยจนเห็นรถของคุณรุ้ง ชายหนุ่มเดินป้วนเปี้ยนก้มหน้าหากุญแจรถที่เจ้านายบอกว่าหล่นอยู่แถวๆ นี้
พีรยาที่เมียงๆ มองๆ อยู่ก็เห็นมิชาเอล เธอจำเขาได้ว่าเป็นลูกน้องของฟรานเซเซียสเลยเดินเอากุญแจรถมาให้
“นี่ๆ เธอหากุญแจรถของคุณรุ้งอยู่หรือเปล่า”
“อ้าว... คุณพีรยา สวัสดีครับ ผมกำลังหากุญแจรถของคุณรุ้งอยู่ คุณรุ้งกลับบ้านกับนายไปแล้ว นายสั่งให้ผมขับรถไปคืนคุณรุ้งที่บ้าน คุณพีรยาเห็นกุญแจรถตกอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวชูพวงกุญแจโชว์มิชาเอล “นี่ไง ฉันเก็บเอาไว้เองล่ะ มันเป็นแผนน่ะ”
มิชาเอลยิ้ม “อ้อ ขอบคุณครับ ผมรู้แล้ว”
“เอาไป แล้วอย่าบอกคุณรุ้งของเธอนะว่าฉันเป็นคนเอากุญแจมาให้เธอน่ะ ไม่งั้นเธอตาย” หญิงสาวรองซ้อมบทบาทเมียเจ้าพ่อดูบ้าง
มิชาเองหัวเราะร่วนพลางรับกุญแจรถ “ครับ ไม่บอกใครหรอกครับ”
“เท่านี้ล่ะ ฉันไปคุยกับเพื่อนต่อแล้วนะ” หญิงสาวบอกแล้วเดินกลับไปหาพี่ตอง
ตอนแรกว่าจะหยุดดื่มตั้งแต่รุ้งกมลกลับบ้านแล้วล่ะ แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้คึกครื้นขึ้นมาได้ พี่ตองก็เลยนำเสนอว่าคืนนี้เป็นปาร์ตี้สละโสด ต้องดื่มกันต่อไปจนกว่าจะน๊อกกันไปข้าง เธอน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พี่ตองนี่สิน่ากลัวว่าจะน๊อกไปก่อน เพราะว่าซดหมดๆ
//////////////////////////////////////////
๑๕.แต่งงานกันนะ
เช้าตรู่ของวันที่อากาศแสนสบาย ลมเย็นพัดโชยผ่านร่างอรชรไปราวกับต้องการจะปลอบใจและปัดเป่าเอาความทุกข์จากคนป่วยใจไปด้วย เพื่อที่หญิงสาวจะได้มีความสุขเสียที ยามเศร้ามันก็อ้างว้างโดดเดี่ยวจนเหมือนกับว่ายืนอยู่ตัวคนเดียวในโลก เพราะไร้ซึ่งคนที่จะเข้าใจถ่องแท้และลึกซึ้งแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน ดวงตายาวรีทอดมองไปยังดอกแก้วช่อหนึ่งที่กำลังชูช่อแย้มกลีบส่งกลิ่นหอมคลุ้ง
รุ้งกมลนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะในสวนหลังบ้าน เธอมีรางสังหรณ์ว่าอาจจะตั้งครรภ์ จนวันนี้ประจำเดือนก็ยังไม่มา รวมกันก็เป็นสองเดือนแล้ว เมื่อวันท่ีฟรานเซเซียสขับรถมาส่งที่บ้าน เขาก็ไม่ได้พูดหรือชวนเธอคุยเรื่องใดๆ เขาขับรถเงียบๆ เหมือนกำลังใช้ความคิด พอมาถึงบ้านเขาก็ส่งเพียงตรงนั้น ตามที่สัญญากันเอาไว้ หญิงสาวคิดว่าเขาจะดื้อขอเข้ามาในบ้าน และพยายามงอนง้อกันต่อ แต่ก็เปล่าเลย เมื่อมิชาเอลมาถึง ซึ่งทิ้งระยะเวลากันเพียงไม่ถึงห้านาที ฟรานเซเซียสก็ปล่อยให้เธอขับรถเข้าบ้านไปแต่โดยดี
“คุณหนูคะ” ป้าจอมเดินเข้ามาเรียกหญิงสาวเพราะว่าวันนี้มีแขกพิเศษมาเยี่ยมบ้าน
“ว่าไงคะป้า” หญิงสาวหันไปย้ิมให้กับแม่บ้าน
“คุณท่านเชิญที่ห้องนั่งเล่นค่ะ มีแขกมาพบ” ป้าจอมรายงาน
“แขกของรุ้งหรือ รุ้งมีแขกด้วยเหรอป้า” หญิงสาวถาม เธอไม่มีแขกมาหาที่บ้านนานแล้ว มีก็แต่พีรยาเท่านั้นล่ะ ส่วนพี่ตองยังไม่เคยมาบ้านสวนหลังนี้
“ค่ะแขก แต่เป็นแขกของคุณท่านด้วย แล้วก็ของคุณหนูด้วย”
“ป้าจะไม่บอกรุ้งจริงๆ เหรอคะว่าแขกน่ะคือใคร” รุ้งกมลยิ้มเผล่เอาใจแม่บ้าน
“ก็ป้าไม่รู้จักเขานี่คะ คุณท่านก็ให้ป้ามาตามคุณหนู”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วลุกเดินเข้าบ้านโดยใช้ประตูหลังแทนการเดินอ้อมไปใช้ประตูด้านหน้า บ้านหลังนี้ีมีประตูเข้าสามทาง หน้าบ้าน หลังบ้าน และข้างบ้าน แต่โดยส่วนมากจะใช้ประตูสองบ้าน คือประตูหน้าบ้านและประตูหลังบ้าน
ห้องนั่งเล่นเรียบง่ายเปิดประตูหน้าต่างออกโล่ง รับลมเย็นจากธรรมชาติอันไม่ได้ปรุงแต่ง ความงดงามจากธรรมชาติไม่ใช่สิ่งจีรัง มีดับสลายเฉกเช่นเดียวกับผู้คน แต่มันก็สวยงามเมื่อได้มอง รุ้งกมลหยดฝีเท้าเมื่อมองเห็นว่าแขกที่ป้าจอมกล่าวถึงนั้นคือใคร หญิงสาวอยากจะหันหลังเดินกลับไปที่เดิม
“รุ้ง เข้ามานั่งคุยกันก่อนสิลูก พ่อมีเรื่องน่ายินดีจะบอกด้วยล่ะ” ศุภเกียรติร้องเรียกลูกสาว แค่มองตาก็เข้าใจว่าลูกสาวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเป็นพ่อ เลี้ยงลูกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ความผิดปกติแค่นี้ไม่ยากกับการอ่านใจของลูก
ฟรานเซเซียสลุกขึ้นยืนเมื่อรุ้งกมลเดินเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวตัวเดียวกับผู้เป็นพ่อแล้วเขาก็นั่งลง
หญิงสาวไม่ยอมมองหน้าแขกเพราะเธอชอบกินเกาเหลา ไม่ชอบกินเส้น ย่ิ่งจำพวกเส้นใหญ่ๆ ยิ่งไม่ชอบ มันติดคอ พอหันหน้ามาหาผู้เป็นพ่อเธอก็ยิ้มหวาน “มีเรื่องอะไรเหรอคะคุณพ่อ”
“เมื่อกี้ทางโรงแรมที่ภูเก็ตโทรมาหาพ่อ บอกว่าจะให้พ่อส่งข้าวให้ เขาบอกว่าข้าวของพ่ออร่อย หอมน่าทาน” ศุภเกียรติบอกกับลูกสาวคนเดียวพร้อมกับอ้าแขนรับแรงโถมจากร่างอรชร
“รุ้งก็ได้งานค่ะพ่อ พี่ตองเขาเปิดหนังสือรายเดือนปกใหม่ เป็นหนังสือเกี่ยวผู้หญิง วาไรตี้ พี่ต้องขอให้รุ้งช่วยเป็นบรรณาธิการบริหารให้น่ะค่ะ” รุ้งกมลรายงานท่านหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน
“มีแต่เรื่องดีดีนะครับ อย่างนี้เราน่าจะไปฉลองทานข้าวนอกบ้านกันหน่อยดีไหมครับ ผมเสนอตัวเป็นเจ้ามือเอง” ฟรานเซเซียสเอ่ยขึ้นมา
รุ้งกมลหันหน้ามามองชายหนุ่มตาขวางราวกับเป็นนางจงอางชูคอขู่ฟ่อๆๆ เตรียมฉกเหยื่อ ลองเข้ามาใกล้อีกสักนิดเถอะแม่จะจัดการให้ “ธุระกงการอะไรของคุณไม่ทราบคะ ถึงจะต้องชวนคนโน้นคนนี้ไปเลี้ยง ถ้ารวยจนเงินมันเหลือก็เอาไปบริจาก คนด้อยโอกาสที่ยังมีอยู่เยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมือง”
“รุ้ง!” ศุภเกียรติส่งเสียงปรามลูกสาวที่พูดจากินใจกันเกินไปหน่อย แค่ใช้ท่าทางก็เสียมารยาทมากเกินพออยู่แล้ว “พ่อว่าลูกพูดเกินไปสักหน่อยนะลูก”
ฟรานเซเซียสยิ้มน้อยๆ รู้ว่าเธอยังโกรธเขาอยู่จึงได้พูดออกมาอย่างนั้น จริงๆ เธอคงไม่คิดอะไรหรอก ถ้าหากเธอโกรธเธอเกลียดเขาจริงๆ ก็คงไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมมาพบหน้า หรือไม่ยอมให้เขามาส่งบ้านและถึงเนื้อถึงตัวแบบเมื่อคืน
หญิงสาวฟึดฟัด “คุณพ่อให้อภัยเขาง่ายๆ ได้ยังไงคะ คุณพ่อลืมแล้วหรือว่าเขาทำอะไรไว้กับเราบ้าง เขาทำร้ายคุณพ่อด้วยนะคะ”
ศุภเกียรติตะวาดลูกสาว “หยุดพูดได้แล้วรุ้ง!”
ชายหนุ่มสะอึกไปเหมือนกัน การที่เขาเคยทำร้ายศุภเกียรติมันเป็นเหมือนก้องเนื้อร้ายในใจ มันเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับเขา การที่คนคนหนึ่งเคยทำผิดคงไม่หวังอะไรนอกจากหวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากคนคนนั้น
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ดีใจที่คุณไม่ไล่ตะเพิดผมออกจากบ้าน หากผ่านไปแถวบ้านผม แวะไปเย่ียมกันบ้างนะครับ” ฟรานเซเซียสกล่าวกับศุภเกียรติแล้วหันไปหารุ้งกมลที่นั่งหน้าเชิดอยู่ “ผมกลับแล้วนะ ขอโทษที่มารบกวน ขอให้คุณโชคดีกับงานใหม่นะรุ้งกมล”
หญิงสาวเหลือบตามองชายหนุ่มที่ค้อมตัวให้กับผู้เป็นพ่อเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่สายตาเหลือบมามองเธอด้วยซ้ำ รุ้งกมลรู้สึกใจหายวาบ
“ลูกพูดเกินไปจริงๆ เป็นพ่อพ่อก็รับไม่ได้หรอกนะ เขาอุตสาห์มาง้อ ลูกยังโกรธพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่เกินไปสักหน่อย ถ้าพ่อเป็นเขาพ่อก็คงไม่มีหน้ามาที่นี่อีก ถึงที่พูดออกไปจะไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ทำร้ายใจกันไปแล้วนะรุ้ง คนเรานะล่วงเกินกันได้ไม่กี่อย่างหรอก แต่การล่วงเกินกันด้วยคำพูดมันรุนแรงที่สุด” ศุภเกียรติอบรมลูกสาวยาวยืด ขณะที่ลูกสาวตัวดีได้แต่นั่งเงียบ คอยยื่นหน้าไปมองที่หน้าบ้านว่าฟรานเซเซียสเดินไปถึงไหนแล้ว
ถ้าทำร้ายตัวเองแล้วไม่เจ็บ หญิงสาวก็คงจะเขกกระโหลกตัวเองสักโป๊ก ฟรานเซเซียสที่เคยหยิ่ง บ้าอำนาจ มั่นใจตัวเองยังอ่อนไหวไปกับคำพูดจากปากของผู้หญิงตัวเล็กๆ เขาไม่แน่จริงเองนี่นา แค่นี้ก็น้อยแล้วแล้ว
ฟรานเซเซียสนั่งอยู่บนรถคิดท้อแท้ หัวใจของเขามันให้เธอไปหมดแล้ว เธอจะยังอยากได้อะไรจากเขาอีก ต้องการให้เขาทำอะไรถึงจะยกโทษให้ เขาคิดผิดว่าเธอยังมียื่อใยต่อกันบ้าง แต่ว่าไม่มีเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจเธอ เหลือแค่ชีวิตที่เธอยังไม่ได้เอาไปจากเขา
////////////////////////////////////
ข่าวงานแต่งงานระหว่างชาย-หญิงที่มาจากสองตระกูลใหญ่ดังกระจายไปท่ัวแวดวงสังคม อีกทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ การิน พีรพร และ พีรยา อัตถานนท์ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนนามสกุลมาเป็น พีรพร แล้ว ทั้งคู่เป็นหนุ่มสาวที่มาจากตระกูลเก่าแก่ ทั้งคู่เหมาะสมกันเป็นอย่างมากและทั้งคู่ก็ดูมีความสุข ไม่เหมือนตอนเจอกันใหม่ๆ
รุ้งกมลขับรถออกจากบ้านของเพ่ือนที่อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟและเบเกอรี่หลังจากที่ร่วมพิธีส่งตัวบ่าวสาวเสร็จ หญิงสาวพึ่งรู้ว่าบ้านหลังนั้นคุณแม่ของการินซื้อให้ทั้งคู่เป็นของขวัญแต่งงาน ทั้งหมดย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันหลังจากได้จดทะเบียนกัน เธอพยายามมองหาฟรานเซเซียสแต่ก็ไม่พบ
พีรยาสังเกตเห็นหน้าเพื่อนก็เลยบอกว่าฟรานเซเซียสติดงานด่วนที่โมนาโค ต้องบินกลับไปกระทันหัน และก็บอกข่าวอีกว่า ฟรานเซเซียสกำลังวางมือจากธุรกิจทั้งหมดที่เมืองไทย เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับผู้เป็นแม่ท่ีบ้านเกิด หลังจากที่ออกตะลอนไม่ติดบ้านอยู่เป็นเวลานาน
พอกลับถึงบ้านเธอก็อาบน้ำ ชำระล้างร่างกาย อยากให้สายน้ำช่วยล้างความเศร้าและเสียใจออกไปด้วย เพราะว่าเธอแทบจะรับมือกับมันไม่ไหว มันหนักหน่วงเหลือเกิน ซึ่งการที่เขาจากไปมันก็เป็นเพราะตัวเธอเองที่ไม่รู้จักให้อภัย อภัยที่มาจากใจอันแท้จริง หาใช่พูดออกไปแต่ปากไม่
หญิงสาวสวมเสื้อคลุมเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เธอไปช่วยงานเพื่อนตั้งแต่เช้า เดินเยอะมากพอๆ กับที่พูดส่ังงาน คงเป็นเพราะความต้องการของเพื่อนที่ถ่อกันไปจัดงานแต่งถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วไหนจะต้องกลับมาส่งตัวที่บ้านอีก โอมายด์ก๊อด! เธอไม่แท้งลูกไปก็ดีแล้ว หญิงสาวนอนหลับลงไปพร้อมกับความอ่อนล้าท้ังกายทั้งใจ
////////////////////////////
วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนจนรุ้งกมลเร่ิมทำใจให้ชินชากับความเจ็บปวด ประจำเดือนห่างหายไปสามเดือนพอดิบพอดี ซึ่งทำให้มั่นใจว่าเธอกำลังจะมีลูก ลูกของเธอและเขา คำพูดที่เธอเคยพูดกับฟานเซเซียสก่อนเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นยังดังก้องในใจ “ถ้าฉันมีลูก ฉันจะทำแท้ง” สุดท้ายเธอก็ทำไม่ลงหรอก ลูกทั้งคนยังไงก็ต้องเลี้ยง จะยากดีมีจนก็ต้องเลี้ยง ไม่ว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เธอจะทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถทำได้ รุ้งกมลตั้งใจเอาไว้ว่า หากผู้เป็นพ่อเดินทางกลับบ้านมา เธอจะบอกให้ท่านรู้เกี่ยวกับข่าวดีอันนี้
หญิงสาวเชื่อว่าท่านต้องดีใจและรอวันที่หลานของท่านจะลืมตาดูโลก ลูกเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหน่ียวจิตใจที่บางเบาของเธอให้อยู่กับที่ เร่ิมคิดอย่างมีสติ และใส่ใจกับตัวเองมากยิ่งขึ้น เสี้ยวหนึ่งของห้วงความคิดยามคำนึงถึงเขาคนนั้น ลูกก็จะดึงเธอกลับมาให้น่ิงจนเลิกคิดฟุ้งซ่าน เหตุการณ์ในชีวิตเรียบง่ายและเข้ารูปเข้าลอย เข้าที่เข้าทาง
แต่เมื่อเช้ามืดวันหนึ่งที่แสนวุ่นวายก็เดินทางมาถึงโดยไม่บอกให้ใครได้ตั้งตัว รุ้งกมลสะดุ้งตื่นจากความฝันเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน “เสียงของป้าจอม” หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง ไถลตัวลงจากเตียงไปเปิดลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียง หยิบปืนสั้นกระบอกเล็กที่เก็บไว้ป้องกันตัวเมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียว เธอเคยได้ลองฝึกยิงปืนบ้าง มันไม่แม่นเท่าไหร่นัก แต่พอจะยิ่งขู่โจรผู้ร้ายได้บ้างหรอก
รุ้งกมลหวั่นใจเมื่อปลายกระบอกปืนเย็นเฉียบตะหวัดโดนท่อนแขน ใจดวงน้อยเต้นระส่ำขณะที่สองเท้าก็ก้าวเดินแบบย่องไปหาประตูห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับกลอนประตูที่ให้ความเย็นไม่ต่างจากปลายกระบอกปืน หญิงสาวค่อยๆ บิดกลอนเปิดประตูออกไป เสียงของป้าจอมดังขึ้นสั้นๆ ว่า “ช่วยด้วย” แล้วเงียบหายไป มันสร้างความตกใจให้กับเจ้าของบ้านสาวเป็นอย่างมาก เธอยังไม่รู้เลยว่าปืนที่ถืออยู่นี่จะเป็นการนำมันไปมอบให้คนร้ายเอามายิงเธอหรือเปล่า หรือว่าเธอจะนำมันไปยิงพวกมันกันแน่ ถ้าจะให้ดีกว่านี้เธออยากได้ปืนที่เป็นสนิมจะดีกว่า จะได้โยนใส่ศีรษะให้หัวมันแตก แล้วก็ตายไปด้วยบาดทะยัก หรือจากเชื้อโรคตัวอื่นที่แทรกซ้อนเข้ามา
“อือ... อื้อ...” หญิงสาวร้องแต่เสียงไม่ออกเพราะโดนรวบตัวเอาไว้พร้อมกับถูกปิดปากแน่นจากคนร้ายที่จู่โจมมาจากด้านหลัง เธอนิ่งสักพัก ตั้งสติได้ก็ออกแรงดิ้น
“ผมเอง อย่าดิ้น” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกหญิงสาว
รุ้งกมลถอนหายใจโล่งอก พออ้อมแขนแข็งแรงทว่าอบอุ่นคลายออกไปจากร่าง เธอก็หันหน้าไปหาเขา เขามาปรากฏตัวในวันและเวลาที่เธอต้องการ อยู่ร่วมทุกข์กับเธอโดยไม่ทิ้งกันไปไหน
ฟรานเซเซียสชี้นิ้วไปหาหญิงสาวแล้วชี้ไปที่ห้องนอน บอกใบ้ว่าให้เธอกลับเข้าไปในนั้น ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้า เขาเลยทวนคำสั่งใบ้อีกครั้ง เธอก็ส่ายหน้าอีก
แสงไฟที่ส่องเล็ดลอดมาทางหน้าต่างทำให้หญิงสาวมองเห็นเสี้ยวหน้าเข้มลางๆ เขากำลังเครียดจนคิ้วขมวดมุ่นเพราะว่าเธอไม่ยอมทำตามที่เขาสั่ง รุ้งกมลยกมือชี้นิ้วจิ้มอกตัวเองก่อนจะช้ีนิ้วไปหาเขาแล้วชี้นิ้วลงไปข้างล่าง บอกเขาว่าเธอจะลงไปลุยด้วย แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก แล้วชี้นิ้วสั่งให้เธอกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง หญิงสาวก็ส่ายหน้าอีก
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกแล้วคว้ามือเล็กมากุมไว้ สองเท้าก้าวเดินนำหน้าย่องลงบันไดไปด้านล่าง เขาวางสายจากปรมัยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาแล้วก็แล่นมาที่นี่ ขณะอยู่บนรถใจก็จะขาดให้ได้เพราะห่วงหญิงสาว เขารู้แล้วว่าอยู่บนโลกนี้โดยไม่มีเธอไม่ได้ สิ่งที่จะแยกเขาอกจากเธอก็คือความตายเท่านั้น มือใหญ่ที่ว่างยื่นไขว้หลังไปหยิบปืนคู่กายมาถือไว้เพื่อป้องกันตัว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่มีการตายเกิดขึ้นที่นี่ บ้านหลังนี้และคนในบ้านบริสุทธิ์เกินไปกว่าจะเลือดจะไหลรินอาบพื้น ทั้งคู่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากรองเท้าหลายคู่ดังเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ย พวกมึงขึ้นไปจับตัวนังผู้หญิงมาสิ”
เสียงสั่งการนั้นคุ้นหูมาก รุ้งกมลคิดทบทวนแล้วก็อ้าปากค้าง ปรมัยกล้าบุกรุกเข้ามาที่นี่อย่างอุกอาจไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองบ้างเลย หรือเขาคิดว่าการที่มีพ่อเป็นรัฐมนตรีจะช่วยคุ้มกะลาหัวเขาไปได้ตลอดชีวิต หญิงสาวคิดอะไรไม่นานก็ถูกมือใหญ่ของฟรานเซเซียสดึงเธอเดินกลับขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ห้องน้ำอยู่ไหน เราต้องไปแอบในห้องน้ำ” ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงเบามากจนฟังไม่ได้ศัพท์
รุ้งกมลอ่านปากของเขาแทนการฟัง มันยากหน่อยตรงที่มันมืด แต่ก็พอจับคำบางคำได้ หญิงสาวชี้มือไปที่ห้องน้ำส่วนกลางที่อยู่ข้างห้องนอนรับแขก เธอพาเขาเดินไปหามันแล้วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างผ่านช่องลมเข้ามาในห้องน้ำ ทำให้ท้ังคู่มองเห็นกันได้ชัดขึ้น
ฟรานเซเซียสมองใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้เหลือเกิน มือใหญ่ยกประคองเสี้ยวหน้าของเธอก่อนยื่นหน้าเข้าไปหา กดจุมพิตลงบนกลีบปากอิ่ม เธอจูบตอบกลับมาด้วย ซึ่งมันทำให้เขายิ้มออก ตอนแรกคิดว่าเธอจะผลักหรือตบหน้าเขาเสียอีก ชายหนุ่มขยับมือไปลูบท้ายทอยของเธอเมื่อเธอโถมร่างเข้ามากอดเขาเอาไว้ ปากหนาจุมพิตลงตรงกลางกระหม่อมของเธอด้วยความคิดถึง
เสียงพวกมันเดินขึ้นมาด้านบน มันไล่เปิดประตูห้องแต่ละห้องไปเรื่อยๆ กับการใช้เวลาเพียงน้อยนิดกับการค้นหาตัวเจ้าของบ้านสาว หนึ่งในกลุ่มของพวกมันเดินสะดุดโต๊ะตัวหนึ่งทำให้แจกันดอกไม้ร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเสียงปืนก็ดังแว่วมาจากด้านนอก
“เฮ้ย! ใครมาเสือกวะ พวกมึงลงไปดูสิ” ปรมัยสั่งลูกน้องให้เดินออกหน้า ส่วนตัวเองเดินตามหลังจะได้ตายทีหลัง เขาจ้างไอ้พวกนี้มาแพง จะให้เขาตายก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก
ห้องน้ำเล็กกับแสงสลัวๆ จากแสงจันทร์มันให้ความโรแมนติกดีเหมือนกัน ฟรานเซเซียสยืนกอดร่างอรชรเอาไว้แนบกาย รู้สึกโล่งใจที่พวกนั้นพากันลงไปข้างล่าง เดี๋ยวก็คงเสร็จมิชาเอลที่รอท่าอยู่แล้ว มิชาเอลเป็นมือปืนมืออาชีพ ผ่านการทำงานมาหลากหลาย ประสบการณ์ทำงานท่วมตัว
“ไม่เป็นไรแล้วนะรุ้งกมล” ชายหนุ่มผลักร่างอรชรออกจากอกเพราะต้องการมองหน้าเธอให้ชัดๆ
รุ้งกมลพยักหน้าทั้งน้ำตาที่มันไหลรินมาด้วยความตื้นตันใจ เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้มันหยุดไหล
“ฉันนึกว่าคุณจะไม่กลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่ง ยิ้มน้อยๆ “ก็คิดเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมยังจัดการเรื่องธุรกิจต่างๆ ไม่เรียบร้อย ก็เลยต้องกลับมา ซึ่งนับว่าโชคดีแล้ว ที่มาทันช่วงเวลาที่คุณตกอยู่ในอันตรายจากการกระทำของผม เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณเลย แต่คุณต้องมาเดือดร้อนเพราะผมแท้ๆ”
น้ำตาไหลเป็นสายหยดใส่ปากอิ่มจนรับรู้รสชาติความเค็มของมัน หญิงสาวยกมือเช็ดน้ำตาอีกครั้งแล้วส่ายหน้า
“ฉันไม่กลัวหรอก ถ้ามีคุณอยู่ด้วยตรงนี้ คุณจะปกป้องฉันใช่ไหมฟรานเซียส คุณจะปกป้องฉันหรือเปล่า”
เสียงปืนดังแว่วมาจากด้านล่างอีกสองสามนัด ทว่าฟรานเซเซียสกับรุ้งกมลต่างไม่ใส่ใจมัน ปากหนาแย้มยิ้มด้วยความยินดี ต่อจากนี้เขาจะไม่ทำให้เธอร้องไห้และเสียใจอีกเพราะว่าเธอเป็นย่ิงกว่าชีวิตของเขา
“ผมจะปกป้องคุณรุ้งกมล หากคุณอยากให้ผมทำหน้าที่นี้”
“ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ฉันคิดถึงคุณมาตลอด รู้ไหมว่าฉันกำลังตั้งท้อง ตั้งท้องลูกของคุณ ฉันไม่ทำแท้งอย่างที่ปากพูดไปหรอกนะ ฉันก็แค่พูดประชดคุณก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวหัวเราะทั้งน้ำตา
ฟรานเซเซียสดีใจจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เข้าบุกเข้ามาที่นี่ เขาได้ของขวัญจากพระเจ้าสองชิ้นพร้อมๆ กัน หนึ่งคือรุ้งกมล อีกหนึ่งคือลูกในท้องของเธอ โลกทั้งใบที่เคยมืดมิดกลับสว่างไสวขึ้นมาทันใด
“รุ้้งกมล รู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น แต่ผมก็ทำทุกอย่างพังลงด้วยความโง่ของผม ยิ่งคุณเข้ามาอยู่ในบ้าน ผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่ย่ิงหลงรักคุณ คิดได้อย่างนั้นก็นึกต่อว่าตัวเองสาระพัดที่โตจนป่านนี้ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ ที่ผมคอยตอแย คอยกลั่นแกล้งคุณก็เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอาข้ออ้างไหนดีเพื่อไปพบกับคุณ ตอนที่คิดว่าคุณใส่ยาพิษเพื่อฆ่าผม ผมเสียใจมากที่รักคนที่เขาไม่รักเราเลย ยิ่งตอนคุณต่อว่าผมในวันสุดท้ายที่เราพบกัน น้ำตาผมแทบไหล ผมกลับไปโมนาโค พยายามลืมคุณ ออกเที่ยว พบเจอผู้คนมากมาย แต่ผมก็ทำไม่ได้ แล้วที่ผมบอกว่าผมต้องกลับมาเพราะว่ายังเคลียร์ธุรกิจไม่เสร็จผมก็โกหก ที่จริงผมอยากมาหาคุณ อยากมาเห็นหน้าคุณ อยากกอด อยากหอม สุดท้ายคุณจะให้อภัยผมได้ไหม รุ้งกมล อภัยให้ผมโดยที่ไม่มีแม้ข้อโต้แย้งใดๆ ในใจของคุณ” ชายหนุ่มร่ายยาวก่อนเอ่ยถามทิ้งท้าย ดวงตาคมจ้องมองไปยังนัยตาสุกสกาวของเธอ
รุ้งกมลใจพองโตราวลูกโป่งใบใหญ่อันถูกเติมไว้ด้วยความรัก เธอพยักหน้าแทนการพูด น้ำตาที่คิดว่าจะหยุดไหลได้ก็ยิ่งไหลออกมาด้วยความตื้นตัน แล้วก็ต้องช๊อกด้วยความยินดีเมื่อชายหนุ่มคุกเข่าลงไปที่พื้น เธอคว้าเขาเอาไว้ไม่ทันจริงๆ มือใหญ่ยื่นมาจับกุมมือเรียว
ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปยังดวงหน้างดงามที่เปราะไปด้วยหยาดน้ำตา “ผมรักคุณ รักมากจนชีวิตนี้ขาดคุณไม่ได้ แต่งงานกับผมได้ไหมรุ้งกมล”
รุ้งกมลยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปากตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถกักกั้นเสียงกรี๊ดดดดดเพราะความสุขสมหวังไว้ได้ ดวงตายาวรีระยิบระยับแวววาวด้วยความซาบซึ้งที่เขายอมคุกเข่าขอแต่งงาน ศิโรราบให้กับความรัก
ฟรานเซเซียสเร่ิมหวั่นใจเมื่อเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ “แต่งงานกับผมได้ไหมรุ้งกมล ได้โปรดเถอะ”
หญิงสาวยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงใบหู “ค่ะ”
“ผมไม่มีแหวนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะขอคุณแต่งงาน และก็ไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อน ถึงจะเคยคิดเอาไว้ลางๆ บ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วตบกระเป๋ากางเกงกระเป๋าเสื้อหาสิ่งของที่พอจะใช้แทนแหวนได้ เสียงโลหะกระทบกันทำให้เขาย่้ม มือใหญ่ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบพวงกุญแจตู้เซฟที่มันมีสายสร้อยสั้นๆ ร้อยเอาไว้สำรับใช้น้ิวเกี่ยว เขาใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างคล้องสายสร้อยเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกมันขาดออกจากกัน
รุ้งกมลยื่นมือไปวางบนมือใหญ่เมื่อเขาแบมือมาตรงหน้า แล้วเขาก็ผูกสายสร้อยที่น้ิวนางข้างซ้ายของเธอ เท่านั้นล่ะหญิงสาวก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นกับเขาแล้วตะหวัดแขนโอบรอบคอแข็งแรงเอาไว้ เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายแข็งกระด้างอย่างเขาจะมีความพูดหวานๆ และลงทุนคุกเข่าขอแต่งงานแบบนี้ ปากอิ่มแย้มเอื้อนเอ่ยบอกกับผู้ชายตรงหน้าว่า “ขอบคุณค่ะฟรานเซียส”
มือเล็กเลื่อนไปประคองดวงหน้าเข้มแล้วโน้มหน้าไปจุมพิตปากหนาๆ เนิ่นนานเพื่อตอกย้ำให้เขารู้ว่าเธอต้องการเขามากแค่ไหน หญิงสาวใช้หน้าผากอิงกับหน้าผากกว้างเมื่อถอนปากออกจากปากหนา เธอเผลอแลบลิ้นเลียปากตัวเองทำให้ฟรานเซเซียสมองภาพตรงหน้าตาปรอย สุดท้ายก็อดใจไว้ไม่อยู่ต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบเธออีก จูบของเขานั้นเรียกร้องและเต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง จูบนี้เน่ินนานจนรุ้งกมลผงะออกมาก่อน ถ้าปล่อยให้เขาจูบต่อไปเรื่อยๆ เธอคงต้องขาดใจตายแน่ๆ
“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ” ฟรานเซเซียสเอ่ยซ้ำๆ
“ฉันก็รักคุณ รักคุณ รักคุณ พอใจไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยล้อเลียนเขา
เสียงคนเดินขึ้นมาบนบ้านทำให้ทั้งคู่ผงะออกจากกัน ฟรานเซเซียสหยิบปืนที่วางเอาไว้บนพื้นแล้วลุกยืนเตรียมพร้อม รุ้งกมลก็หยิบปืนคู่กายแล้วลุกขึ้นไปยืนเคียงข้างเขา
“คุณหนูคะ คุณหนูอยู่ไหนคะ”
ป้าจอมร้องเรียกคุณหนูของนางด้วยความเป็นห่วง เมื่อเช้านางลุกไปหุงข้าว ตั้งใจว่าจะเตรียมอาหารเช้าแต่ก็ถูกจู่โจมเสียก่อน พวกมันบุกเข้ามาในครัว จับนางมัดแขนมันขาโดยไม่สนใจว่ากำลังทำร้ายคนแก่ไม่มีทางสู้ นางจะสู้รบปรบมือกับใครได้นอกจากร้องหาคนช่วย ยังดีที่มีพวกของฟรานเซเซียสมาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นก็คงแย่ เผลอๆ อาจจะถึงขั้นตาย เพราะว่าพวกมันน่ากลัวและใจร้ายเหลือเกิน
รุ้งกมลได้ยินเสียงป้าจอมก็รีบเดินออกไปปรากฎตัว “ป้าจอม รุ้งอยู่นี่ค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยเดินแกมว่ิงไปหาคุณหนูของนาง มืออูมยกไล้ไปตามเนื้อตัวของคุณหนูเพื่อสำรวจหารอยแผลหรือรอยฝกช้ำตามร่างกาย “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พวกมันทำร้ายคุณหนูหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะป้า แล้วป้าเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คุณหนูมองสำรวจทั่วร่างแม่บ้านที่พ้นออกมาจากเสื้อผ้า เธอมองเห็นรอยฝกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัวของนางหลายแห่ง ที่ข้อมือและตามแขนขา
ฟรานเซเซียสก้าวออกมายืนเคียงข้างรุ้งกมล “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป็นเพราะผมเอง เรื่องทุกอย่างถึงได้เกิดขึ้นแบบนี้”
ป้าจอมแหงนมองฟรานเซเซียสที่สูงกว่านางเยอะ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ เรื่องมันจบไปแล้ว ป้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากจนล้มหมอนนอนสื่อสักหน่อย”
เจ้าของร่างสูงหันหน้าไปหาลูกน้องคนสนิท “มิชาเอล เดี๋ยวนายดูแลทางนี้นะ ฉันจะไปเคลียร์กับมัน จะได้จบเรื่องกันเสียที”
รุ้งกมลเงยหน้ามองว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่ก่อนเอ่ยปากขอร้องเขาว่า “อย่าไปเลยนะคะ มันอันตรายเกินไป ฉันไม่อยากให้คุณไป”
“ไม่ได้หรอกรุ้งกมล ผมต้องไป ต้องไปทำเรื่องทุกอย่างให้จบ ไม่งั้นผมจะทำให้คุณลำบากยิ่งขึ้นนับจากนี้ไป ปรมัยมันไม่ปล่อยผมหรอก แล้วมันก็เลวมากพอที่จะเอาคุณมาเป็นตัวล่อ บังคับให้ผมยอมมัน” ชายหนุ่มอธิบายด้วยเหตุผล
หญิงสาวรู้สึกใจหายเมื่อเห็นความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวที่ส่งผ่านมาทางแววตา “เขาอยากได้อะไรเราก็ให้เขาสิคะ ความสุขที่แท้จริงของฉันก็คือการที่ได้มีคุณอยู่เคียงข้างกาย ไม่ใช่อำนาจหรือเงินทองที่คุณมี”
“คุณต้องการให้ผมทำแบบนั้นเหรอรุ้งกมล” เขากลั้นใจถาม
“ค่ะ ฉันไม่ต้องอยากนั่งรอคุณอยู่ที่บ้านโดยที่ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าคุณจะกลับมาหรือเปล่า กลับมาจะปลอดภัยไหม จะโดนไล่ยิงเหมือนอย่างที่เคยโดนมาหรือเปล่า” หญิงสาวอ้อนวอนเขาด้วยคำพูดและแววตา
สิ่งที่เธอขอนั้นคือการให้เขายอมศิโรราบให้กับปรมัย ยอมยกธงขาว ยอมพ่ายแพ้ ยอมทุกอย่างแม้ว่าใจเขาจะเดือดปุ๊ดๆ หมายจะไปล้างแค้นให้หายคาใจ ถ้าเขายอมยกธงง่ายๆ มันคงเอาไปพูดให้ใครต่อใครฟัง แล้วเขาจะเหลืออะไรให้คนยำเกรง เหมือนการได้เสียสละของบางอย่างให้กับคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ วันหนึ่งคนคนนั้นก็จะกลับมาแบมือขออีกโดยไม่มีวันจบสิ้น
“แค่ฉันกับลูกยืนอยู่ข้างคุณมันไม่เพียงพอเหรอคะฟรานเซียส คุณเสียสละเพื่อฉันกับลูกเถอะนะคะ ฉันขอร้อง อย่าให้เราสองแม่ลูกต้องทุกข์ใจเพราะเป็นห่วงคุณเลยนะคะ”
“ผมจะกลับมาให้คำตอบกับคุณด้วยตัวผมเองอีกครั้ง ผมจะใช้เวลาระหว่างทางเพื่อทบทวนความต้องการของตัวเองให้ชัดเจน รอผมอีกสักครั้งนะรุ้งกมล ให้โอากาสผมอีกครั้งนะ” ฟรานเซเซียสร้องขอหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย
รุ้งกมลพยักหน้าเพราะห้ามปรามเขาไม่ได้ “ฉันจะรอคุณค่ะ ไม่ว่ายังไงคุณต้องกลับมาบอกฉันด้วยตัวของคุณเองว่าคุณจะทำให้ฉันกับลูกได้ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันหลังเดินลงบันไดตรงออกไปจากบ้าน เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเพราะกลัวตัวเองจะขาดใจเมื่อเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลรินออกมา
///////////////////////////////////
ฟรานเซเซียส ปิเอโร่นั่งกัดฟันกรอดอยู่บนรถ ไอ้ปรมัยมันหยามเขามากเกินไป ลำพังมันทำกับเขาก็ยังพออดทนหรือให้อภัยกันได้ แต่นี่มันกล้าบุกเข้ามาหารุ้งกมล ทำร้ายผู้หญิงอันเป็นที่รัก และเธอกำลังต้องท้องลูกของเขา วันนี้เป็นวันชี้ชะตา ผู้แข็งแกล่งต้องอยู่รอด ส่วนคนอ่อนแอต้องไสหัวออกไปให้ไกล เสื้อสองตัวอยู่ถ้ำเดี๋ยวกันไม่ได้แม้ว่าถ้ำนั้นจะใหญ่สักเพียงใด ชายหนุ่มโยนเชื้อไฟลงบนกองเพลิงที่ศัตรูเพียรก่อ
“มิชาเอล บอกให้พวกเราค้นหามันให้เจอนะ ไม่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องเจอ ฉันกับมันจะต้องจบกันเพียงเท่านี้ วันนี้จะต้องมีคนตายไปข้าง ไม่ฉันก็ไอ้ปรมัย”
“ครับท่าน” มิชาเอลรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลยโทรศัพท์ติดต่อหาพรรคพวกกำลังรวมตัวกันอยู่ที่บ้านสวนของการิน ทุกครั้งที่มีเรื่องต้องลุย บ้านสวนคือแหล่งรวมกำลังพล พอลูกน้องรับสายเขาก็สั่งงานด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พอกดวางสายก็มีโทรศัพท์โทรติดต่อเข้ามา
“ท่านครับ คุณการินโทรมาครับท่าน” ชายหนุ่มหันไปบอกเจ้านาย
“ส่งโทรศัพท์มา” ฟรานเซเซียสรับโทรศัพท์มือถือจากลูกน้อง ใจนั้นไม่อยากคุยกับเพื่อน เพราะว่าเพื่อนวางมือจากวงการมาเฟียไปแล้ว ชายหนุ่มไม่อยากดึงเพื่อนลงมาลำบาก “ว่าไงการิน”
“นั่นแกอยู่ไหนฟรานเซียส ฉันตามมาถึงบ้านคุณรุ้ง แกก็ออกไปก่อน” การินร้อนใจ นั่งไม่ติดพื้นด้วยเป็นห่วงเพื่อน แล้วรู้สึกไม่สบายใจกับผู้หญิงสองคนกำลังปรับทุกข์กันอยู่ ยิ่งกับรุ้งกมลเขาไม่กล้ามองเลย เพราะมีหยดน้ำตาไหลออกมาตลอดแม้ว่าจะไม่สะอื้นไห้
“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วยน่ะการิน พาเมียนายกลับบ้านไปซะ”
“ไอ้บ้าเอ้ย! มันทำได้ง่ายๆ แบบนั้นก็ดีสิ นี่แกอยู่ที่ไหนบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะฟรานเซียส ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยนายอีกเลยทั้งชีวิต” การินขู่ ตอนที่เกิดเรื่องเขาอยู่ที่ร้านกับภรรยา จนได้รับข่าวจากมิชาเอลก็รีบดิ่งมาที่นี่
“นายอย่ารู้เลย มันหมดเวลาของนายแล้วการิน” มาเฟียหนุ่มกดปุ่มตัดการสนทนา ไม่สนใจว่าคนปลายสายจะเดือดเนื้อร้อนใจแค่ไหน วิถีทางระหว่างเขากับการินมันฉีกออกจากกันแล้ว
พอเขาตัดสายสนทนาจากเพื่อนก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาอีก ชายหนุ่มรีบกดตอบรับ
“ว่ายังไง ได้เรื่องหรือยัง”
เสียงทุ่มของเจ้านายทำให้คนปลายสายพูดจาด้วยความสุภาพ “ได้เรื่องแล้วครับนาย ไอ้ปรมัยมันพาลูกน้องไปซ่อนตัวอยู่ที่ทาวน์เฮาส์ในสลัม ที่ประจำของพวกมัน”
“ดี เกณฑ์คนของเราไปเจอกันที่นั่น แล้วคอยจับตาเอาไว้อย่าให้มันหนีไปไหนได้ล่ะ พวกนายก็ไปเจอกับฉันที่โน่นเลย”
“ครับท่าน พวกผมกำลังมุ่งหน้าไปครับ”
มาเฟียหนุ่มตัดการสนทนาแล้วโยนโทรศัพท์มือถือคืนกลับไปให้มิชาเอล ในสมองของเขามีแต่หน้าของไอ้ปรมัย ปากหนาเข่นเขี้ยวเอ่ยออกมา “อีกไม่นานหรอก มึงได้เจอกูแน่ไอ้เหี้ยเอ้ย”
รถหรูเล่นทะยายฝ่าการจราจรคับคั่งไปหาทาน์เฮาส์ในสลัมใจกลางกรุง แต่ก็กวดทันรถสปอร์ตคันงามก่อนจะถึงที่ ฟรานเซเซียสหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม ดวงตาคมมองรถสปอร์ตกับรถกะบะสองคันที่แล่นอยู่ด้านหน้า
“ขับแซงมันไปแล้วขวางทางมันเอาไว้” ชายหนุ่มสั่งลูกน้องที่กำลังขับรถ
“ครับนาย”
รถหรูเร่งความเร็วทะยานขึ้นไป มิชาเอลเตรียมปืนและลูกกระสุนพร้อมต่อสู้ พอรถกวดผ่านพวกมันไปได้ก็หยุดกระชาก มาเฟียหนุ่มเลื่อนกระจกลงแล้วยืนหน้าออกไปยิงใส่พวกมัน เน้นไปที่รถสปอร์ตหรู
เจ้าของรถสปอร์ตห้ามล้อทันทีเมื่อโดนยิง “ไอ้ห่าเอ้ย แมร่งตามมาจนได้” ปรมัยเลื่อนกระจกมองไปหาลูกน้องที่รถกะบะ “เฮ้ย! จัดการมันเลย”
สิ้นเสียงสั่งการของปรมัย เสียงปืนก็ดังระรัว ชายหนุ่มเข้าเกียร์ถอยหลัง หวังหนีเอาตัวรอดก่อน ลองไอ้ฟรานเซียสมันลงมือเอง เขาคงไม่รอดเงื้อมือมันแน่ๆ ใครก็รู้ว่ามันบ้าระห่ำ อยู่โมนาโคมันก็คุมแทบทั้งประเทศ แต่พอจะถอยหลังกลับ พวกของไอ้ฟรานเซียสก็ตามากั้นถนนเอาไว้
“ไอ้เหี้ยเอ้ย!” ปรมัยทุบกำปั้นและปืนลงบนพวงมาลัย มันรีบกดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อ ทันทีที่ท่านรับสายมันก็รีบกรอกเสียงสั่น “พ่อไอ้ฟรานเซียสมันมาล้อมยิงผมที่สลัม พ่อมาช่วยผมด้วยนะ”
เปรมพงษ์ได้ยินก็เครียดเป็นห่วงลูกชายที่สุด เสียงปืนหลายนัดดังผ่านเข้าไปในโทรศัพท์ให้ได้ยิน
“แล้วแกอยู่ตรงไหนตอนนี้ รีบหนีออกมาก่อน”
“ผมหนีไม่ได้พ่อ มันล้อมผมหมดเลย มันฆ่าผมแน่ๆ” ปรมัยผวาเมื่อมองเห็นลูกน้องโดนยิงล้มลง
“แค่นี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ท่านรัฐมนตรีวางสาย คว้าปืนในลิ้นชักแล้วรีบเดินออกไปหาลูกน้องที่กระจายอยู่หน้าบ้าน “เร็ว คุณปรมัยโดนดักยิงอยู่ที่คลองเตย พวกแกรีบเกณฑ์คนมา”
สมุนของท่านรัฐมรตรีทำงานได้เร็ว ไม่ถึงห้านาทีทุกคนก็เตรียมพร้อม รถกะบะสองคันอัดมือปืนแน่นรถ เสียงรถกะบะออกตัวดังแสบแก้วหู ท่านรัฐมนตรีกระโดดขึ้นรถเอสยูวีส่วนตัว สมองวนเวียนคิดห่วงลูกชาย เขาบอกมันแล้วว่าอย่าทำอะไรพลีพลาม ยิ่งกับฟรานเซียสย่ิงแล้ว เขาบอกว่าจะจัดการทุกอย่างเองได้ลูกชายตัวดีก็ไม่ฟัง
////////////////////////////////////////
มาเฟียหนุ่มเปิดประตูรถค่อยๆ ลงไปโดยใช้ประตูเป็นเกาะกำบังให้ตัวเอง ไอ้ปรมัยมันกำลังจะเสร็จเขาแล้ว ลูกน้องของมันโดนถล่มจนเจ็บไปหลายคน อีกจำนวนหนึ่งก็วิ่งเข้าป่ารกหนีไป ฟรานเซเซียสยื่นหน้าออกไปเหนี่ยวไกลใส่ลูกน้องคนสนิทของมัน ไอ้คนนี้ล่ะที่มันเคยรอบยิงเขาเมื่อคราวก่อน ชายหนุ่มยิ้มเมื่อจัดการศัตรูลงกองกับพื้นได้ เขากำลังจะลุกคืบเข้าไปอีก พอดีเห็นปรมัยยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ในมือมีปืนห้อยอยู่ บอกว่ายอมแพ้
มิชาเอลที่กำลังยิงสู้พวกนั้นรีบเดินอ้อมมาหาเจ้านาย “นายอย่าพ่ึงเชื่อมันนะครับ ไอ้นี่มันเชื่อไม่ได้ พร้อมจะหักหลักนายได้ตลอดเวลา”
ฟรานเซเซียสมองหน้าลูกน้องก่อนหันกลับมามองเป้าหมาย ชายหนุ่มจับปืนสองมือกล้องลำกล้องขึ้นระดับสายตา นัยน์ตาสีฟ้านิ่งสงบ แล้วเขาก็เหน่ียวไกลหนึ่งนัดเข้าใส่ปรมัยด้วยความแม่นยำ ทันที่ลูกพี่โดนยิง ลูกน้องทั้งหลายก็พากันหนี ปรมัยทรุดหัวเขากระแทกพื้นเมื่อโดนยิงที่ต้นขา
มิชาเอลที่มองอยู่รีบวิ่งเข้าไปที่เป้าหมาย แย่งปืนจากมือของมันมาถือเอาไว้ เท้าข้างหนึ่งยันไปที่หลังกลางของลูกชายท่านรัฐมนตรี
มาเฟียหนุ่มเดินก้าวเท้าเข้าไปหาไอ้ลูกแหง่ เขามองมันออกตั้งนานแล้วว่ามันเป็นคนขี้ขลาดแค่ไหน ที่ออกรังแกชาวบ้านอยู่นี่ก็เพราะเอาชื่อพ่อมาอ้าง ฟรานเซเซียสยังไม่จัดการมันก็เพราะการิน และก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่ารังแกคนไม่มีทางสู้ คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขามันต้องท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์เท่านั้น ไม่ใช่ไอ้ลูกแหง่ไม่หย่านม
ฟรานเซเซียสหยุดยืนต่อหน้าปรมัยด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม ผิดกับผู้ชายใต้ฝ่าเท้าของมิชาเอล แววตามันสั่นระริกพอๆ กับร่างกาย ชายหนุ่มเงื้อขาแล้วเหวี่ยงเสยหน้าซีดเต็มแรง พอมันเอนตัวล้มลงไปเขาก็ก้มไปจิกผมมันขึ้นมา
“มึงคิดว่ากูกลัวมึงนักเหรอ มึงคิดว่ามึงเป็นใครกูถึงต้องกลัวมึงไอ้อ่อนหัด มึงทำกับกู กูพอทนได้ แต่กับเมียกูมึงห้ามแตะเข้าใจไหม”
ปรมัยรีบพยักหน้า สภาพของมันตอนนี้สะบักสะบอมมาก เจ็บร้าวไปหมดทั่วทั้งตัว แล้วก็มีเลือดไหลออกทางมุมปากและต้นขาที่โดนยิง ร่างสูงโปรงสั่นงก
“กูไม่เข้าใจเลยว่ามึงเอาปัญญาจากไหนมาคิดว่ามึงเก่ง จำไว้ด้วยนะว่ามึงน่ะอ่อนหัด ไอ้เหี้ย!” ชายหนุ่มงื้อมือฟาดด้ามปืนใส่หน้าปรมัยอีกหน “กูรู้ว่าเดี๋ยวพ่อมึงก็จะมาช่วยมึง แล้วก็คิดว่าอาจจะมาทันฉากสำคัญระหว่างมึงกับกูซะด้วย มึงอยากเป็นพระเอกมานานแล้วนิ อยากเป็นนักมาเฟีย วันนี้วงการมาเฟียจะจารึกชื่อมึงเอาไว้เลย”
“อย่า อย่าทำอะไรฉันอีกเลยนะ ฉันขอร้อง” ปรมัยขยับปากขอร้อง เสียงที่เอื้อนเอ่ยสั่นเทาเพราะระบมไปหมด
“นี่มึงขอร้องกูเหรอ ไหนว่าเก่งนักไงล่ะ” ฟรานเซเซียสกัดฟันพูด ยิ่งนึกถึงภาพพวกมันบุกไปบ้านของรุ้งกมล ทำร้ายป้าจอม และหวังจะทำร้ายหญิงสาว
เสียงล้อรถบดลูกรังเขามาทำให้มิชาเอลหันหลังกลับไปมอง ขณะนี้ลูกน้องของเขาล้อมตรงนี้ไว้หมดแล้ว แต่ทำไมถึงมีรถขับเข้ามาได้ แล้วก็ร้องอ๋อเมื่อเห็นการินก้าวลงมาจากรถ
“นายครับ คุณการินมา” มิชาเอลราย
ฟรานเซเซียสลุกยืน มองเพื่อนเดินเข้ามาหา ในที่สุดมันก็ตามหาเขาเจอจนได้
การินมองสภาพของปรมัยแล้วหดหู่ ถ้าเขามาถึงที่นี่ช้าอีกนิดเดียว ปรมัยอาจจะตายไปแล้ว
“พอเถอะฟรานเซียส”
“ฉันว่าแล้วว่านายจะต้องมาห้าม นายมาจากบ้านรุ้งกมลใช่ไหม แล้วนายไม่เห็นเหรอว่าพวกมันทำอะไรไว้บ้าง” ฟรานเซเซียสตะโกนต่อว่าเพื่อน
“ก็เพราะว่าฉันไปเห็นมาน่ะสิ ถึงได้รีบมาห้ามนายเนี่ย ถ้าฉันมาช้าไปกว่านี้ นายก็คงฆ่ามันไปแล้ว” สองหนุ่มทุ่มเถียงกัน
“แล้วจะเก็บมันไว้ว่าพ่อมันเหรอ ทีมันไม่เห็นคิดจะเก็บรุ้งหรือว่าฉันเอาไว้เลย” มาเฟียหนุ่มกล่าว
“ฉันรู้ว่านายโมโห แล้วก็เจ็บแค้น แต่นายคิดถึงรุ้งกมลสิฟรานเซียส นายเป็นแบบนี้เธอไม่สบายใจ อยู่ที่นั่นก็เอาแต่ร้องไห้ ถ้านายไม่รักตัวเองก็ควรหัดรักเธอบ้าง รักที่ต้องเสียสละ ไม่ใช่รักในแบบที่นายเป็น” การินผลักอกเพื่อน โมโหกับความงี่เง่า
ฟรานเซเซียสหลุบตามองก้อนกรวดที่พื้น “หรือว่าฉันไม่เหมาะกับเธอ”
“พูดออกมาได้ตอนนี้ มีลูกในท้องทั้งคนแล้วนี่น่ะ”
“ก็เออสิ!”
“กลับบ้านฟรานเซียส ฉันรู้ว่านายได้คำตอบแล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป กลับไปหาเธอได้แล้ว” การินสั่ง
“ปากนายนี่น่าต่อยเป็นบ้าเลยว่ะการิน สักทีดีไหมนะ” ฟรานเซเซียสพูดทีเล่นทีจริงเมื่อเพื่อนพูดจาไม่เข้าหู
“คิดว่ามีมือมีตีนอยู่คนเดียวเหรอวะ” การินผลักอกฟรานเซียสกระเด็น
สุดท้ายทั้งคู่ก็กระโจนเข้าหากัน กอดฟัดกันราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหน มิชาเอลพักเท้าไว้กับหลังปรมัยขณะยืนดูมวยคู่เอกกำลังขึ้นชก ทั้งคู่สลับกันรุกและรับอยู่นานจนหมดแรงนอนหงายอยู่กับพื้น
“เป็นไง ได้ออกหมัดออกเท้าหายบ้าขึ้นมาได้บ้างไหม” การินถามพื้นเสียงขาด อกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงรู้สึกปวดตาหน่อยๆ เพราะโดนหมัด
“ดี หายเครียดไปเลย” ฟรานเซเซียสถอนหายใจเฮือก แล้วใช้นิ้วชี้ไล้มุมปากตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา
“คิดออกบ้างหรือยังว่าจะเอายังไงต่อไป”
“ออก ป่านนี้ไอ้เปรมพงษ์คงกำลังพาลูกน้องมาที่นี่ ฉันเหนื่อยแล้วว่ะ วันนี้จบกันแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่ม ดีดตัวลุกขึ้นนั่งต่อหน้าปรมัยที่ทำหน้ายังกับว่าจะเป็นจะตาย ทั้งๆ ที่โดนไปนิดหน่อยเอง “ตกลง ฉันจะยกกาสิโนให้นาย แต่ว่าราคาพันล้านนะ มีเงินแล้วมาหาฉันได้เลย”
ปรมัยชะงัก ไม่คิดว่าฟรานเซเซียสจะยกกาสิโนให้ง่ายดายแบบนี้ แต่ท่างทางของเขามันบอกว่าไม่ได้โกหก “จริงๆ นะ นายจะยกให้ฉันจริงๆ นะ”
“จริง ไม่โกหกหรอก แต่เร็วๆ หน่อยแล้วกัน ถ้าช้าฉันก็จะขายให้คนอื่น” ชายหนุ่มบอกแล้วลุกเดินไปขึ้นรถ ทิ้งปรมัยให้อยู่กับพี่ชายต่างสายเลือดเพียงลำพัง
การินลุกขึ้นนั่งมองลูกพี่ลุกน้องที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยความสมเพช “นี่มึงกระเหี้ยนจะเป็นมาเฟียมากขนาดนี้เลยเหรอวะ ความชั่วน่ะอยากทำนักใช่ไหม งั้นก็เชิญมึงเสวยสุขกับเรื่องช่ัวๆ จนตายไปพร้อมกับมันก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินหนีปรมัยไปขึ้นรถ
ปรมัยล้มลงนอนเพราะเสียเลือดมาก รอยย้ิมประดับอยู่บนใบหน้าคมคาย เขาได้กาสิโนมาแล้ว เขาจะได้เป็นมาเฟีย เป็นเจ้าพ่อ มีอำนาจเหนือใครๆ จะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไปแล้ว ภวังค์ดึงชายหนุ่มหวนกลับไปหาวัยเยาว์ เขาโดนเพื่อนต่อย พวกมันมีเยอะ ตอนนั้นเขากลัวมาก กลับมาบ้านฟ้องแม่ แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฟ้องพ่อ พ่อก็เพิกเฉย ไม่มีใครปกป้องเขาได้เลยสักคน
///////////////////////////////////////
๑๖.คนธรรมดา
รัตติกาลก้าวเข้ามา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงดาราลอยเด่น ดาวดวงเล็กแข่งกันทอแสง เมฆสีเทาเคลื่อนตัวบดบังดวงดาราแวบหนึ่งแล้วก็ลอยไปไกล
รุ้งกมลสวมชุดราตรียาวเกาะอกสีแดงเพลิง ดูเจิดจรัสและมีเสน่ห์เหลือร้าย ใบหน้างดงามตกแต่งด้วยเครื่องสำอางโทนสีร้อนให้เข้ากับชุด ที่ติ่งหูประดับด้วยต่งหูเพชรน้ำงามสุกสกาว ในมือเล็กมีกระเป๋าใบจิ๋วสีทอง หญิงสาวเดินตามพนักงานของร้านอาหารหรูใจกลางกรุงไปที่โต๊ะ ฟรานเซเซียสเป็นคนนัดให้เธอมาที่นี่
ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูเปิดให้เห็นทรรศนียภาพของกรุงเทพมหานครและฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ลมเย็นพัดโชยมากระทบร่าง หญิงสาวมองหาฟรานเซเซียสที่ยังไม่ปากฏตัว เธอจึงมองสังเกตุบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยๆ ร้านนี้จัดแต่งด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้แบบหากตัวบ้าง สองบ้าง แล้วก็สี่บ้าง ผ้าคลุมโต๊ะเป็นสีขาว ตัดกับเก้าอี้สีเข้มเบาะนั่งลายหมากรุก ดวงตายารีทอดมองออกไปไกล เห็นแสงไฟตามบ้านเรือนสองสว่างขัดเจน มันสวยงามมาก โรแมนติกเหลือเกิน ขณะกำลังนั่งมองดูอะไรเพลินๆ ก็ต้องตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ผู้จู่โจมกระซิบบอกที่ริมหูว่าเขาคือใครพร้อมกับจุมพิตลงที่ซอกคอหอมกรุ่น รุ้งกมลสวยงามยิ่งกว่าทรรศนียภาพ
“วันนี้คุณสวยที่สุดเลยรุ้งกมล” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกหญิงสาวแล้วนั่งลงเคียงข้าง
รุ้งกมลรีบมองไปรอบตัวเพราะเกรงสายตาจากแขกคนอื่นๆ แต่ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน
“ผมเหมาร้านเอาไว้ เป็นการขอโทษที่ดื้อกับคุณ” นัยน์ตาสีฟ้าหวานเยิ้มเมื่อมองใบหน้างดงาม ชายหนุ่มยกแขนไปวางบนพนักเก้าอี้ของรุ้งกมล จึงดูเป็นการโอบกอดกลายๆ
ดวงตายาวรีมองชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ วันนี้เขาแต่งตัวเรียบร้อยและโก้มาก ไม่เหลือคราบมาเฟียเลย
“คิดว่าฉันจะยกโทษให้คุณง่ายๆ เหรอคะ คุณดื้อๆ แบบคุณน่ะต้องกำราบให้เข็ด” หญิงสาวแกล้งงอน
ฟรานเซเซียสยกมือไปประคองดวงหน้าหวานให้หันหน้ามามองเขา “ผมยอมแล้ว คุณเป็นมาเฟีย ส่วนผมเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอำนาจใดๆ นอกจากใจที่รักคุณ”
ชายหนุ่มมองมือเรียวข้างซ้ายที่ยังมีสายสร้อยพันอยู่รอบนิ้วนาง เธอยังสวมสายสร้อยธรรมดานั่นอยู่ เขายื่นมือไปจับมือเรียวเอาไว้แล้วเงยหน้ามองสบดวงตาดำขลับพร้อมใช้มือที่วางล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงใบเล็กออกมา ชายหนุ่มเปิดฝากล่องก่อนนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ แหวนเพชรเม็ดเขื่องยามมันต้องไฟทำให้เกิดแสงระยิบระยับแวววาว
รุ้งกมลมองแหวนเพชรน้ำงามราวสี่กระรัตไร้ตำหนิใดๆ แสงมันวับวาวเล่นไฟหลากสีสัน ตัวเรือนเป็นทองคำขาวราวหกกรัม รอบวงฝังด้วยเพชรแทปเปอร์สามแถว เธอหันกลับมามองหน้าเขาแล้วก้มต่ำมองนิ้วมือของตัวเองเมื่อเขาถอดสายสร้อยโลหะออกไป
เจ้าของแหวนเพชรย้ิมให้กับคู่หมั้นแล้วหยิบมันสวมใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอด้วยความทะนุถนอม “ผมเอามาเปลี่ยนให้แล้วนะ แหวนเพชรวงนี้เปรียบเสมือนความรักของผมที่ได้มอบให้กับคุณ ผู้หญิงที่ผมพร้อมจะดูแลไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ขอแค่คุณอย่าหนีผมไปไหนก็พอ”
หญิงสาวมองแววตากรุ้มกร่ิม ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายกระด้างจะอ้อนเป็น เขาทำให้เธอมีความสุขจนหลั่งน้ำตาออกมา “ขอบคุณค่ะ คุณก็เป็นคนที่ฉันรักและพร้อมจะเดินไปกับคุณไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์”
ฟรานเซเซียสก้มหน้ามาจุมพิตระหว่างวงแหวนและมือของเธอก่อนยื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่ม จูบอ่อนหวานแผ่วพลิ้วแล้วหนักหนักเรียกร้อง สุดท้ายก็กลั้นใจผลักตัวเองออกมา ความหวานยังซาบซึ้งติดตรึงอยู่ตรงปากซึมลึกสู่ก้นบึ้งหัวใจ ยามแหวนเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ในน้ิวเรียวช่างผ่องอำไพ
“ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยรุ้งกมล ไม่คิดว่าชีวิตหนึ่งจะมีความสุขได้มากขนาดนี้”
“อย่ามาทำปากหวานเลยค่ะ ฉันหิวแล้ว”
“ผมก็หิวนะ แต่หิวคุณ หิวมากด้วย ดูตาผมสิ แทบจะทนไม่ไหวแล้ว” เขาบอกเสียงกระเส่า
“แต่ฉันหิวข้าวค่ะ ไม่ได้หิวคุณ” รุ้งกมลจ้องตาแวววาว
“กินข้าวอ่ิมแล้วก็อย่าลืมกินผมด้วยนะ ผมอาบน้ำ ขัดเนื้อขัดตัวมาทั้งวัน หวังว่าจะคุณเห็นจะอยากกิน”
รุ้งกมลเขินกับคำพูดของเขาเพราะมันทำให้คิดไปถึงไหนต่อไหน ใบหน้าหวานเร่ิมร้อนผะผ่าวราวถูกไฟอุ่นๆ ลามเลีย “เซี้ยวนักนะคะคุณนี่”
ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปชิดหญิงสาว ดวงตาคมจ้องดวงตายาวรีพร้อมกับค่อยๆ โน้มใบหน้าไปจุมพิตที่กลีบปากอ่ิม ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งหลงใหล กลิ่นน้ำหอมบวกกับผู้หญิงสวย เนื้อเนียนช่างเย้ายวน เขายื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่มอีกครั้ง จูบสั้นๆ หลายๆ หนเพื่อนหยอกเย้าเธอให้เคลิ้มไปด้วย สุดท้ายก็จูบหนักหน่วงเน่ินนาน
เจ้าของปากอ่ิมหลับตาพริ้ม เคลิ้มไปกับรสจูบของชายหนุ่มจนต้องยกสองมือประคองใบหน้าเข้ม
“อือ... อือ พอแล้วค่ะ พอแล้ว”
ปากหนาละจากปากอิ่ม ทว่าใบหน้ายังอยู่ใกล้กัน ดวงตาคมเหลือบมองดวงหน้างดงามจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ใจอยากจูบเธอนานๆ อีกสักหน “ใจร้าย จะทรมานผมไปถึงไหนกัน”
“ไม่มีใครทรมานคุณสักหน่อย มีแต่คุณทรมานตัวเอง” รุ้งกมลแกล้งว่า
“ที่ไหนได้ล่ะ คุณน่ะ เหมือนต้ังใจแต่งตัวมายั่วผม ใส่ชุดสีแดงเกาะอก โอ้ย! ผมจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนเวลาเราอยู่บนเตียงด้วยกัน” เขาบอกพลางกอดคอเธอ ยื่นหน้าไปอ้อนใกล้ๆ
“คิดไปได้ไกลถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ เวอร์ไปแล้วล่ะ” ร่างอรชรรู้สึกถึงความชื้นที่แอ่งร้อนของตัวเองจึงทำให้ต้องเบือนหน้าหนีดวงตาซุกซน
“คิดไปไกลถึงวันที่คุณเป็นของผม วันนั้นผมมีความสุขมาก คุณน่ารัก ไม่ประสาแต่ว่าผมให้ผมอิ่มเอมไปท้ังใจและกาย ผมอยากรู้ว่าหากเป็นตอนนี้ คุณจะร้อนแรงเพื่อผมแค่ไหน” เขากระซิบเสียงกระเส่าที่หูของเธอ
รุ้งกมลหยัดกาย แค่คำพูดถึงเขาก็ทำเธอซาบซ่านราวกับว่าเขากำลังไล้มือไปตามร่างกาย เธอกำลังเปล่าเปลือยอยู่บนเตียงเพื่อเขา ร่างอรชรบิดกายไปหาร่างกำยำ ดวงตาเคลิ้มร่องลอย สองเท้าสะลัดรองเท้าส้นสูงออกแล้วยื่นไปเขี่ยท่อนขาของเขาด้วยความรัญจวน
ชายหนุ่มมองความเย้ายวนตรงหน้าด้วยความพึงใจ “คุณกำลังคิดอะไรอยู”
หญิงสาวไม่ตอบไม่สนใจ ปล่อยตัวล่องลอยอยู่กับจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาให้ เธอกำลังโรมรันอยู่กับเขาบนเตียงนุ่มโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น ปากหนาของเขาซุกไซร้ที่อยู่ลำคอ เธอเบียดตัวเข้าหาเขา แนบชิดจนอากาศไม่สามารถเล็ดผ่านได้ แล้วก็สะท้านเมื่อถูกจู่โจมเข้ามาหา รุ้งกมลขยับตัวตอบสนองความร้อนแรงที่เขาเพียรปรนปรือให้ สุดท้ายก็กระตุกเสียววาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ร่างระทวยซบหน้าลงกับบ่ากว้างเมื่อหลุดออกมาจากจินตนาการร้อนแรงได้ ดวงตาที่ยังหลับพริ้ม รุ้งมกลเอ่ยถามฟรานเซเซียสน้ำเสียงกระเส่า “คุณทำอะไรฉัน คุณทำได้ยังไง”
“ตื่นขึ้นมาทานข้าวได้แล้วสาวน้อย ที่รักของผม” ฟรานเซเซียสก้มหน้ามองหญิงสาว
“ฉันไม่อยากอาหารแล้ว อยากแต่คุณ” หญิงสาวบอกทั้งที่ยังซุกซบอยู่กับบ่ากว้าง
“งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะ ผมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
รุ้งกมลได้ยินเสียงของเขาแต่ยังลุกยืนไม่ไหว รวบรวมกำลังเท่าไหร่ก็ไม่กลับมา “รอฉันสักครู่นะคะ”
“ให้ผมอุ้มคุณดีไหม” ฟรานเซเซียสแกล้งเย้า
“ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง เพราะคุณคนเดียวเลย คุณต้องรับผิดชอบ” รุ้งกมลสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง แล้วก็ลืมตาตื่นจากความฝันเจอกับดวงตาวาววับ
“นึกว่าจะไม่ยอมตื่น”
หญิงสาวลุกนั่งตัวตรง ใช้สองเท้าควานหาร้องเท้ามาสวม “ฉันก็นึกว่าจะตื่นไม่ไหวเหมือนกัน”
ฟรานเซเซียสยื่นขึ้นแล้วยื่นมือไปรอรับหญิงสาว ช่วยดึงให้เธอลุก แล้วจูงมือกันออกจากร้านอาหารหรูหราไปท่ามกลางความสงสัยของพนักงานว่าสั่งอาหารไว้มากมายแต่ไม่ยอมทาน
/////////////////////////////////////////
เตียงนอนนุ่มปูผ้าคลุมสีขาวสะอาด ผ้าห่มพับเป็นระเบียบอยู่ปลายเตียง หมอนสองใบวางคู่กันไม่ห่าง
ฟรานเซเซียสเดินต้อนรุ้งกมลจนเธอล้มลงบนเตียง ชายหนุ่มยืนมองความเย้ายวนพร้อมกับกระชากไทออกจากคอ ต่อด้วยเสื้อผ้าน่ารำคาญจนเปล่าเปลือย
ดวงตายาวรีมองสำรวจร่างกายกำยำแล้วหน้าแดงก่ำ แผงอกล่ำสันอัดแน่นไว้ด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เอวสอบลงไปหาสะโพกและต้นขาแข็งแรง หญิงสาวสะดุดตากับแก่นกลางของเขาผงาดประกาศศึก เธอกลั้นใจมองเขาเดินเข้ามาหา เตียงยุบวาบเมื่อหัวเขาวางลงบนเตียง
ชายหนุ่มคลืบคลานเข้าไปร่างอรชรเย้ายวนใจ ร่างสูงค้อมตัวอยู่เหนือหญิงสาว เขาวางมือไปที่ต้นขาใต้เนื้อผ้าซาติน ลูบไล้ไปเรื่อยๆ จนหยุดที่เอวคอด ใบหน้าเข้มก้มลงซุกไซร้อยู่กลางอก ไร้หนวดทำให้หญิงสาวขนรุกชัน ปากหนางับลงที่ยอดอกโดยที่ยังมีเดรสและชุดชั้นในกางกั้นอยู่
รุ้งกมลหยัดร่างขึ้นมาหาปากซอกซอนพร้อมกับดึงรั้งชุดราตรีของตัวเองให้พ้นจากร่างไป มันเกะกะขวางทางเหลือเกิน แล้วชุดชั้นในตัวจิ๋วก็หลุดลอยตามไป หญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มนิ่งไป มือเรียวยื่นไปกุมแก่นกลางของเขา เรียกร้องให้เขาเติมเต็ม ฟรานเซเซียสร้องครางเมื่อถูกคลึงเคล้น
หญิงสาวลุกนั่งแล้วผลักร่างกำยำลงนอนบนเตียง รู้สึกเร่าร้อนจนทนไม่ได้ ร่างอรชรค่อมร่างเหนือชายหนุ่มแล้วกดแอ่งร้อนเข้ากับแก่นกลางของเขาจนสะดุ้งเพราะความซาบซ่านรุ่มร้อน ทั้งคู่ร้องครางออกมาพร้อมๆ กัน รุ้งกมลกดร่างลงไปจนสุดแล้วขยับสะโพกไปตามจังหวะที่สั่งออกมาจากจิตใต้สำนึก บ้างก็รัวเร็ว บ้างก็ช้าหนึบ แต่ล้วนทำให้มีความสุขทั้งนั้น สุดท้ายก็ร้องกรี๊ดลั่น เสียวจนร่างกายเกร็ง จิกน้ิวกดกรีดลงบนอกกว้าง กระตุกแล้วหล่นไปหาเขา
ฟรานเซเซียสนอนมองเพดานหมดเรี่ยวแรงเพราะถูกเธอสูบเอาไปจนหมด ทั้งคู่นอนซบกันนิ่งๆ ขยับไปไหนไม่ได้
แล้วก็หลับลงไปด้วยกันพร้อมกับความสุขสม
////////////////////////////////////////////
คอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพมหานครตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ปรมัยแต่งตัวเน๊ียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขามองดูตัวเองในกระจกเงา รอยฟกช้ำจางหายไปแล้ว แต่ยังเดินเหินไปถนัด ดีที่ไอ้ฟรานเซียสมันไม่ยิงตรงจุดสำคัญ ชายหนุ่มเดินกะเผลกออกจากบ้านพัก เขาจะไปหาพ่อเพื่อบอกข่าว เพราะยังไม่มีโอกาสบอกท่านว่าอยากได้เงินไปซื้อกาสิโนต่อจากไอ้ฟรานเซเซีส ตั้งแต่เขารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและออกมาพักอยู่ที่บ้านก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันกับพ่อเลย ท่านไม่ยอมมาเยี่ยมเขาโดยให้เหตุผลว่าเบื่อ
ชายหนุ่มลงลิฟต์ไปชั้นล่างเจอกับลูกน้องที่นั่งรอรับใช้อยู่ในร๊อบบี้ของคอนโด
“ไปเอารถมา ฉันจะไปหาพ่อ” เขาสั่งลูกน้อง
“ครับ” ไอ้เวียนกุลีกุจอวิ่งไปขับรถมารับเจ้านาย เขาจะได้เป็นคนคุมบ่อนกาสิโนก็คราวนี้ โก้กว่าคุมบ่อนไก่กาเป็นไหนๆ ทีนี้ล่ะเงินทองได้ไหลมาเทมา มันรีบขับรถมาจอดหน้าคอนโดมิเนียมแล้ววิ่งกลับไปพยุงเจ้านายขึ้นรถ
ปรมัยมองลูกน้องที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่าๆ “ชุดมึงมันกระจอกไปเปล่าวะไอ้เวียน รับใช้กูก็ทำตัวให้มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึ มึงไม่เห็นลูกน้องของไอ้ฟรานเซียสหรือไง ไอ้พวกนั้นแต่งตัวเกือบจะดีเท่ากับกู”
ไอ้เวียนขับรถพลางตอบเจ้านาย “ก็ผมไม่มีเงินนี่ครับ หามาใส่ได้เท่านี้ก็หรูแล้ว
“เออ... เดี๋ยวกูให้เงินมึงไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ จะได้สมกับที่ได้ทำงานรับใช้กู แต่งแบบนี้ไปไหนก็อายเขาแย่ นึกว่ากูไปเก็บหัวขโมยที่ไหนมาเป็นลูกน้อง”
ไอ้เวียนยิ้ม เจ้านายจะว่าอะไรก็ว่าไปเหอะ ขอให้เงินถึงมือมันก็แล้วกัน มีเจ้านายฉลาดน้อยก็ดีแล้วนี้ล่ะ เงินทองรั่วไหลถึงมือเสมอ เจ้านายของเขาเป็นเหมือนเด็กมีปัญหา ขาดความอบอุ่น อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องวิ่งไปมีเรื่องมีราวเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น โดยเฉพาะกับผู้เป็นพ่อ ไอ้เวียนแอบสยองในใจ คิดว่าหากมันมีลูกแบบปรมัยจะซวยแค่ไหน วันๆ คงไม่ต้องทำงานทำงาน มั่วแต่ตามล้างตามเช็ดกันอยู่นี่เอง แต่ดูไปดูมาเจ้านายเขาก็น่าสงสาร ไม่มีใครเข้าใจ มีแม่ที่เอาแต่เข้าบ่อน เล่นการพนัน เอาผู้ชายกลับมานอนบ้านให้ลูกเห็น เผลอก็เรียกเขาไปนอนด้วยบ่อยๆ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรกับขี้ข้าหนักหนา ดีที่ปรมัยไม่รู้ หากรู้เขาก็คงแย่
////////////////////////////////////
ท่านรัฐมนตีเปรมพงษ์ เดชชัยนะ กำลังเดินออกกำลังพักผ่อนอยู่ในสวนข้างบ้าน ช่วงหลังมานี่เขาไม่ค่อยได้พักผ่อน มีเรื่องเครียดกระทบใจอยู่เสมอ นี่ก็พึ่งผ่านเรื่องลูกชายตัวดีไป มันคงไม่รู้หรอกว่าเขาก็พึ่งออกจากโรงพยาบาลก่อนหน้ามันนิดเดียวเพื่อไปขยายเส้นเลือดด้วยการทำบอลลูนเพราะป่วยเป็นโรคหัวใจ
“คุณคะ ดื่มน้ำผลไม้สักหน่อยเถอะ” คุณหญิงสมศรางค์เดินถือแก้วน้ำผลไม้ส่งให้สามี
ท่านรัฐมนตรีย้ิม “ขอบใจมากนะคุณหญิง ขอบคุณที่ไม่ทิ้งผมไปไหน”
“อย่าพูดเลยค่ะ จะทำให้เครียดเปล่าๆ” คุณหญิงเตือนสามี
“ลูกจะกลับมาเยี่ยมผมไหมคุณหญิง” ท่านถามถึงลูกสาวคนเดียวที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ
คุณหญิงก้มหน้าหลบสายตาสามี “ลูกกำลังเคลียร์งานน่ะค่ะ หากเคลียร์ได้เรียบร้อยก็จะเดินทางกลับมาให้เร็วที่สุด คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“เมื่อไหร่ลูกจะอภัยให้ผมเสียที ผมอยากเห็นหน้าลูกใจจะขาด” เปรมพงษ์บ่นพึมพำ
“อยากเห็นหน้าลูก ลูกก็มาแล้วนี่ไงครับคุณพ่อ” ปรมัยที่ยืนฟังพ่อกับแม่เลี้ยงคุยกันอยู่นานโพลงออกมาขัดการสนทนาออกรสของทั้งคู่
คุณหญิงสมศรางค์หันหน้ากลับมามองต้นเสียงด้วยสายตาไม่พอใจกับไอ้ลูกทรพีคนนี้ เมื่อไหร่ดวงตาของมันจะเห็นธรรมเสียทีก็ไม่รู้ “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่าน” นางบอกแล้วเดินหนีกลับเข้าบ้านไป
ท่านรัฐมนตีมองหน้าลูกชายตัวดี “ไปทำเรื่องชั่วๆ ที่ไหนมาอีกล่ะปรมัย ถึงได้กะเผลกมาถึงที่นี่โดยไม่รอให้หายดีเสียก่อน”
“ผมจะเลิกทำเรื่องชั่วๆ เลยล่ะครับคุณพ่อ ขอให้คุณพ่อสบายใจ ต่อไปนี้ผมจะเร่ิมต้นชีวิตใหญ่ ทำธุรกิจที่ผมอยากทำมานาน” ปรมัยจงจัยยียวนผู้เป็นพ่อพร้อมกับเดินเข้าไปหาท่าน
“น้ำหน้าอย่างแกจะทำงานอะไรกับเขาได้ ฉันอยากจะรู้”
“กาสิโนไงครับพ่อ พ่อคงไม่รู้ว่าไอ้ฟรานเซียสมันตกลงขายต่อให้ผมพันล้าน แค่ผมเอาเงินไปให้มัน กาสิโนก็จะตกมาเป็นของผมทันที”
“แกก็เลยรีบมาหาฉันถึงบ้านว่าอย่างนั้นเถอะ” เปรมพงษ์แสยะย้ิมรู้ทันลูกชาย
“ก็ใช่นะสิครับ ผมจะไปเอางานมากมายอย่างนั้นมากจากไหนล่ะ นอกจากพ่อ” ปรมัยบอก
“ฝันไปเถอะ สมบัติของฉัน ฉันไม่ยอมให้แกเอาไปผลาญเล่นหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอมรดกในส่วนของผม ผมจะได้เอามันไปขาย ได้เงินมาไปซื้อกาสิโนต่อ ผมขอเป็นที่ดินแปลงสวยๆ ก็แล้วกันนะครับ คุณพ่อมีที่ดินหลายสิบไร่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ใช่หรือ”
“ไม่ว่าอะไรฉันก็ไม่ให้แกทั้งนั้น กลับไปเสียเถอะ ฉันจะพักผ่อน” ท่านรัฐมนตรีออกปากไล่ลูกชายคนเดียว เขา เร่ิมรู้สึกเครียดจนใจเต้นแรง
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าคนพ่อจะยกที่ดินแปลงนั้นให้กับผมก่อน บางทีผมอาจจะไม่ต้องขายมันด้วยซ้ำ เอามันไปแลกกับกาสิโนก็ได้ เพราะว่าไอ้ฟรานเซียสมันตั้งใจจะวางมืออยู่แล้ว มันกำลังมีลูก”
“ขอให้ลูกมันอย่าระยำเหมือนลูกฉันก็แล้วกัน”
“คุณพ่อ คุณพ่อพูดอย่านี้ได้ยังไงครับ คุณพ่อเคยเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่า วันๆ เอาแต่ด่า ดูถูกผมสาระพัด เคยไหมครับที่จะดูแลปกป้องผมเหมือนกับพ่อของคนอื่นเขา ถ้าผมมันเป็นลูกระยำ คุณพ่อก็เป็นพ่อที่ระยำที่สุดเหมือนกัน” ปรมัยตะโกนใส่หน้าผู้มีพระคุณล้น
“ปรมัย!” ท่านรัฐมนตรีกดเสียงต่ำแล้วล้มหมดสติลงไปกองกับพื้น
ปรมัยมองท่านด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆ ท่านก็ล้มลงไปเฉยๆ ปกติท่านจะต้องด่าเขาจนเขาทนฟังไม่ได้ ยอมแพ้แล้วเดินหนีไป
คุณหญิงสมศรางค์ที่ยืนมองดูสถานการณ์อยู่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาประคองร่างสามี “คุณคะคุณ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ปรมัย แกนี่มันลูกชั่วจริงๆ แกรู้หรือเปล่าว่าท่านไม่สบายเป็นโรคหัวใจ พึ่งไปรักษาตัว ออกจากโรงพยาบาลก่อนหน้าแกไม่เท่าไหร่ ระวังเถอะบาปกรรมจะติดตัวแกไปตลอดชีวิต” คุณหญิงต่อว่าลูกเลี้ยงแล้วก็ตะโกนเรียกคนรับใช้ในบ้านให้มาช่วยกันพยุงร่างท่านไปขึ้นรถส่งโรงพยาบาล
ปรมัยมองดูสถานการณ์อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าพ่อไม่สบาย ไม่รู้ว่าท่านอาการหนักขนาดนี้ แล้วที่พูดออกไปแรงๆ นั้นเป็นเพราะต้องการประชด อยากให้ท่านดูแลเอาใจใส่เขาบ้าง ไม่ใช่ดูแลแต่ลูกสาวคนเดียวของท่าน เขากับแม่ในสายตาของท่านไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีค่าด้วยซ้ำไป ชายหนุ่มวิ่งตามร่างผู้เป็นพ่อไปติดๆ ด้วยห่วงท่านเหลือเกิน
///////////////////////////////////////
สายลมยามเช้าพัดโชยอ่อนทว่าให้ความสบาย กล่ินดอกแก้วหอมคลุ้งอบอวนไปทั่วบริเวณบ้านสวนหลังใหญ่ ยามนี้บ้านสวนช่างคึกคักจนเกือบจะเป็นวุ่นวาย เสียงคนพูดคุยกันจอแจดังเซ็งแซ่ตามด้วยการถกเถียงกันเล็กๆ อยู่ในสวนว่าสมควรจะขยับตั่งรดน้ำสังข์ไปอยู่ใต้ตนไม้ใหญ่หรือไม่
สวนใหญ่หน้าบ้านไม้สองชั้นกำลังมีพิธีแต่งงานเกิดขึ้น โดยใช้พื้นที่เขียวชะอุ่มแทนในบ้านที่ออกจะคับแคบจนเกินไป ฉากที่ประดับไว้ด้วยดอกไม้สีขาวตั้งอยู่ด้านหลังตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์ ด้านหน้าตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์มีเก้าอี้ไม้คลุมพนักด้วยผ้าสีขาว ผูกทับด้วยโบว์สีชมพูเรียงลำดับลดหลั่นกันไปทางด้านหลัง ส่วนด้านข้างเว้นระยะห่างออกไปจากจุดรดน้ำสังข์มีโซฟาสีขาวตัวใหญ่ตัวโตขนาดสองที่นั่งสำหรับแขกผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ ตรงกันข้ามกันมีซุ้มอาหารและโต๊ะจัดวางถ้วยชามสำหรับแขก
ตีสี่กับอีกสิบเจ็ดหน้าที รุ้งกมลสวมเสื้อคลุมผ้ามันสีขาวนั่งอยู่ในห้องนอนโดยมีช่างแต่งหน้าสองคนกำลังช่วยกันเนรมิตรเธอให้เป็นเจ้าหญิงสำหรับเจ้าชายที่กำลังรอคอยวันนี้อย่างใจจดจ่อ ปากอิ่มถูกแต่งแต้มสีสันลงไปให้กันกับสีสันของใบหน้าที่ดูเย้ายวนระคนอ่อนหวาน โทนสีของใบหน้าโดยรวมแล้วเป็นสีชมพูอ่อน ผมยาวหยักศกถูกถักเปียมาตั้งแต่ด้านหน้าถึงปลายผมแล้วจับเกล้าขึ้นไปไว้กลางศีรษะ กลัดด้วยผมปลอมลักษณะช่อดอกไม้
ดวงตายาวรีเหลือบไปมองชุดไทยประยุกต์สีเหลืองทองส่งให้ดูงามสง่าระคนอ่อนหวาน บนเตียงนอนมีกล่องเคร่ื่องประดับทองคำที่บรรจุไว้ด้วยสร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู เข็มขัดทองจากสมัยโบราณซึงเป็นของที่ผู้เป็นแม่ของรุ้งกมลสะสมเอาไว้
“แต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วค่ะ คุณรุ้งดูก่อนค่ะว่าถูกใจหรือเปล่า” ช่างแต่งหน้าสาววัยสี่สิบห้าปียื่นกระจกบานใหญ่ให้เจ้าสาวไปส่องสำรวจตัวเอง
รุ้งกมลมองพิศผู้หญิงในกระจกด้วยความสุข ช่างแต่งหน้าชุดนี้พีรยาเป็นคนหามาให้เพราะว่าได้ใช้งานในงานแต่งของตัวเองแล้วถูกใจในฝีมือ ใบหน้าผู้หญิงที่สะท้อนในกระจกช่างอ่อนหวานดุจน้ำค้างยอดหญ้า ดวงตาคมใต้กรอบคิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งเช่ิดรับปากอ่ิมสีชมพูสด ระบายไว้ด้วยเกร็ดระเอียดสีทองทำให้ใบหน้าสว่างยิ่งขึ้น
“ถูกใจแล้วก็แต่งตัวกันเลยนะคะ” หนึ่งในช่างแต่งหน้าออกคำสั่งเชิงขอร้อง
เจ้าสาวลุกยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ารอให้ทีมช่างแต่งหน้าระดมแต่งตัวให้ ท่าทางที่คล่องแคล่วทำให้รุ้งกมลหายห่วง ขณะที่สวมชุดไทยประยุกต์เธอก็ก้มมองตัวเองไปด้วยเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย เสร็จแล้วช่างแต่หน้าก็ไปเปิดกล่องเครื่องปรับดับหยิบเข็มขัดทองออกมาสวมให้ หัวเข็มขัดวิจิตรดุจดอกไม้จากสรวงสวรรค์ ต่อด้วยคล้อยคอและกำไลข้อมือหลายวงในเช็ดเดียวกัน
พีรยาเดินเข้ามาในห้องเพื่อดูแลความเรียบร้อยให้กับว่าที่เจ้าสาว เมื่อได้มาเห็นก็อ้าปากค้าง ตะลึงในความงดงามของเพื่อน ชุดไทยประยุกต์ท่อนบนสีทองด้วยสะไบสีทองตัดกับสีแดงเข้ม ท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเงินปักลาย เมื่อรวมกับเครื่องประดับที่เข้าชุดกันยิ่งส่งเสริมให้ว่าที่เจ้าสาวงามดุจหญิงไทยในวรรณคดี ส่วนตัวเธอเองสวมชุดไทยสมัยรัชกาลที่ห้าด้วยเสื้อลูกไม้แขนสั้งเหนือข้อศอกจั้มเอวด้วยลาสติกกับโจงกระเบนสีน้ำหมาก หญิงสาวบังคับให้สามีหมาดๆ สวมชุดไทยโดยท่อนบนเป็นเสื้อพระราชทานสีน้ำหมากมีปกเส้ือสองชั้นกับกางเกงผ้าไหมสีขาว
“โอ้โห! สวยมากเลยรุ้ง อย่างกับหลุดออกมาจากหนังสือวรรณคดีที่ฉันเคยเรียน นี่ถ้าเธอสวมชุดนี้หลงยุกย้อนกลับไปในสมัยร้อยปีที่แล้ว เหล่าขุนนางต่างๆ คงได้พากันเกี้ยวเธอจนหัวกระไดไม่แห้งเป็นแน่แท้”
รุ้งกมลมองตัวเองในกระจกด้วยความพอใจแล้วหันมามองเพื่อน พูดแก้เขินว่า “เธอก็พูดเกินไป แต่ยังไงวันนี้ฉันก็คงต้องสวยอยู่ดี แต่งงานไม่ได้ทำซ้ำกันได้บ่อยๆ นะ”
“แต่คุณรุ้งสวยมากจริงๆ นะคะ ไม่ผิดจากที่คุณแพ็ตพูด ตั้งแต่แต่งหน้าให้เจ้าสาวมาจะหาคนงามหมดจดแบบนี้ยากค่ะ อย่างมากก็จะชมว่าสวย” หัวหน้าช่างแต่งหน้าสนับสนุนความคิดของพีรยา
“เมื่อกี้ฉันเดินลงไปข้างล่างเห็นกำลังวุ่นวายกัน ที่เธอว่าจะจัดงานเล็กๆ โดยไม่ได้เชิญใคร ฉันเห็นแขกของเธอตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าสิบหกสิบแล้ว แล้วที่ยังไม่มาอีกล่ะ ดีหรอกที่เก้าอี้มีสำรอง เออแล้วขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวก็มาเริ่มมาตั้งแถวรอแล้ว เหลือแต่เจ้าบ่าวที่ยังไม่มา หรือมาแล้วซุ่มก็ไม่แน่ใจเพราะฉันก็ยังตามหาสามีไม่เจอ” พีรยาเล่า “เดี๋ยวฉันลงไปดูข้างล่างก่อน แล้วจะขึ้นมาตาม”
ผู้ใหญ่ของทางเจ้าสาวมีคุณพ่อคือคุณศุภเกียรติ กับคุณพ่อและคุณแม่ของพีรยา ส่วนผู้ใหญ่ทางฟรานเซเซียสนั้น นอกจากมีมาดามฟรานซิสแล้วก็ยังมีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศและท่านทูตไทยประจำโมนาโคที่เดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับมาดามฟรานซิส และคุณหญิงฐิติมา แม่ของการิน ผู้ใหญ่ทางฝั่งผู้หญิงปรึกษาหารือกันอย่างหนักที่จะทำให้ประเพณีไทยนั้นง่ายขึ้นสำหรับฝั่งเจ้าบ่าว เลยได้ความว่าให้จัดออกมาอย่างเรียบง่าย โดยให้แห่ขันหมาก สวมแหวนแต่งงานต่อหน้าผู้ใหญ่พร้อมกับขอขมา แล้วก็หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นอันเสร็จพิธี นอกจากนั้นก็เป็นงานเลี้ยงฉลองสมรส
////////////////////////////////////////////
การจัดวางสิ่งของในงานพิธีเสร็จสิ้นลงโดยเรียบร้อยด้วยความร่วมมือของทุกท่านทางฝ่ายเจ้าสาวและพนักงานโรงแรม หากมองภาพโดยร่วมงานแต่งวันนี้ถึงแม้จะเรียบร้อยทว่าสวยงามและลงตัวไม่ต่างจากงานแต่งใหญ่โตเพราะเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนสั่งมาและถูกจัดขึ้นด้วยมืออาชีพจากโรงแรมระดับห้าดาว ความสุขอบอวนอยู่ทั่วบริเวณ
อีกฝั่งหนึ่งที่ถนนทางเข้าบ้านที่ขนาบด้วยต้นไม้ร่มรื่น ขบวนขันหมากขนาดย่อมเร่ิมต้ังขบวน โดยมีท่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและท่านเอกราชทูตไทยประจำโมนาโกที่สวมสูทสีนวล ตามด้วยมาดามในชุดเดรสยาวสีขี้ม้า มีต่างหูเพชรเป็นเครื่องประดับ การินในชุดไทยพระราชทานที่ภรรยาบังคับสวมยืนอยู่ข้างกายเจ้าบ่าว ส่วนแม่ของเขายืนอยู่คู่มาดาม ขันหมากขบวนนี้ไม่มีกลองยาว
ฟรานเซเซียสปิเอโรในสูทสีขาวตัดด้วยไทสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อกั๊กสีขาวยืนอยู่ด้านหลังระหว่างผู้เป็นแม่และเพื่อนรัก วันนี้เขาตัดผมสั้นซอยเข้าทรงและโกนหนวดและเคราจนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเผยให้หนใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ และปากหนาเป็นกระจับ เขารู้สึกมีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก ด้านหลังของเขามีแขกผู้มีเกียรติในวงสังคมและเหล่าบอดี้การ์ดเดินถือพานสินสอดต่างๆ ที่ผู้ใหญ่คนไทยฝ่ายเขาแนะนำมา คุณพ่อของเจ้าสาวเขาไม่เรียกร้องสินสอด ทว่าเขาก็จัดมาให้จนสมศักดิ์ศรีของท่านและว่าที่ภรรยา สินสอดมีทั้งแหวน ชุดเครื่องเพชร เครื่องทอง เงินสดและเช็คเงินสดจำนวนมหาศาล สิริรวมกันแล้วมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ชายหนุ่มอยากให้ทั้งหมดที่เขามีด้วยซ้ำไป แต่การินบอกติดตลกว่าโอเวอร์เกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย รู้ว่ารวยมากแต่มิควร
ทั้งหมดรอกันสักพักก็มีคนจากทางฝั่งเจ้าสาวเดินมาบอกให้เตรียมตั้งขบวนเข้าไปได้เพราะเจ้าสาวพร้อมแล้ว เล็กซ์ย้ิมแก้มแทบปริ ปากแทบฉีกถึงรูหูแม้ว่าพยายามหุบปากเพียงใดความสุขมันก็ไม่ฟัง เลยต้องย้ิมๆ กั้นๆ จนแทบเมื่อยหน้า เจ้าบ่าวก้าวเดินตามผู้นำขบวนไปเรื่อยๆ จนมองเห็นบ้านไม้สองชั้นได้ชัดเจนรวมถึงภาพงานโดยรวม แต่แล้วขบวนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับเหล่าประตูเงินประตูทองที่กั้นปิดทางไม่ให้เจ้าบ่าวเข้าไปหาเจ้าสาวที่นั่งชะเง้อรอคอยอยู่
ประตูแรกเป็นด่านของแขกฝ่ายเจ้าสาวที่มีอายุอาวุโสหน่อย ท่านรัฐมนตรียื่นซองให้คนละซองเป็นการหยั่งเชิง แต่ทางนั้นไม่พอใจบอกว่าน้อยไป
“จะเอาเท่าไหร่ดีครับเนี่ย” ท่านรัฐมนตรีถามมองผู้หญิงสองคนยกซองขึ้นมาส่องว่าข้างในเป็นธนบัตรใบละเท่าไหร่
“คงจะต้องสักคนละห้าซองนะคะเนี่ย ไม่งั้นก็เข้าไปไม่ได้” นางบอกแล้วท่านรัฐมนตรีก็ยื่นให้ไปตามเท่าที่ทั้งคู่ต้องการ ในเมื่อฝ่ายเจ้าบ่าวไม่ได้อั้นเรื่องซอง ในกระเสื้อของเขามีซองอยู่ไม่เยอะเพราะอยู่กับการินยังมีอีกเป็นปึก
ขบวนขันหมากเดินผ่านประตูกั้นไปหลายด่านจนด่านสุดท้ายมาถึง ฟรานเซเซียสเร่ิมคิดว่าเจอก้างเข้าให้แล้วจึงเดินไปกระซิบกับการิน “เมียนายตกลงอะไรเอาไว้บ้างหรือเปล่าเมื่อคืนนี้”
“แพ็ตไม่ได้ตกลงอะไรเลย แต่ฝากมาบอกนายว่าหากซองไม่ถึงจริงๆ ผ่านไปไม่ได้แน่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเมียนายก็เคยทำกับฉันเอาไว้ ฉันเลยร่วมมือกันแก้แค้นไง” การินบอกคาดโทษ ตอนเขาแต่งงานรุ้งกมลปล้นเอาสร้อยทองในคอน้ำหนักร่วมห้าบาทไป
“ฉันไม่มีสร้อยทองนะวันนี้” เจ้าบ่าวกระซิบบอกพลางฟังเสียงต่อลองของพีรยาที่มีต่อท่านรัฐมนตรี
มาดามอยู่อยู่ด้านหลังท่านรัฐมนตรีหัวเราะร่วนกับท่าทีแข็งขืนของพีรยากับเพื่อนสาวอีกคน ดูพีรยาจริงจังมากๆ มาดามหันหลังมามองลูกชาย “แม่ว่าลูกลองไปต่อลองกับเธอดูสิ เผื่อจะได้ง่ายขึ้น”
ฟรานเซเซียสหันหลังไปเรียกลูกน้องให้มาหาแล้วสั่งงาน เสร็จก็ขอซองเงินทั้งหมดจากการินไปยื่นต่อหน้าพีรยาและพี่ตอง ปากหนาฉีกยิ้มหวานให้กับผู้หญิงทั้งสองคน
“ดูว่าซองจะไม่พอใช่ไหมครับ ในมือผมก็ยังมีสักห้าสิบซองได้ พอจะเปิดประตูกันได้ไหม”
พีรยาหันหน้าไปปรึกษากับเพื่อนรุ่นพี่ที่ส่ายหน้าดิกแล้วหันไปบอกกับเจ้าบ่าวเสียงหวานว่า “ไม่พอค่ะ”
“สาวๆ ก็ไม่น่าใจร้ายปล่อยให้เจ้าบ่าวยืนค้างอยู่ตรงนี้นะครับ” ชายหนุ่มอ้อนเผื่อว่าจะประสบผลสำเร็จ
“เอ พี่ตองขา เขาอ้อนมาแล้วเราจะยอมให้ไหมคะ” พีรยาถามเพื่อนรุ่นพี่เสียงดังพร้อมกับลอยหน้าลอยตาอย่างน่ารักน่าชัง
“ไม่ยอมค่ะคุณน้อง คราวที่แล้วประตูใหญ่ของพี่งานคุณน้องได้ทองมาตั้งห้าบาท งานนี้ต้องได้มากกว่าอย่างแน่นอน” พี่ตองจีบปากจีบคอพูด
เจ้าบ่าวหัวเราะลั่นเพราะคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสาวๆ ไม่ยอมใจอ่อนแน่ ชายหนุ่มยังคงต่อลองจนกระทั่งลูกน้องเดินมาหาพร้อมกับถุงสีแดงเล็กๆ ฟรานเซเซียสล้วงมือหยิบทองคำแท่งใส่มือพีรยากับพี่ตองคนละแท่งแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่พอใจ
“หนที่แล้วรุ้งเก็บทองไปสามบาทส่วนฉันเก็บทองทองสองบาท ซึ่งนับว่าเป็นการขาดทุน หนนี้ฉันต้องได้ทองจำนวนสามบาทเพื่อเท่าทุนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเรื่องของเจ้าสาวมาเป็นเครื่องต่อลอง ซึ่งพีรยาที่ได้ฟังอยู่ก็รีบต่อลองบ้างว่า
“ฉันก็ต้องได้ทองสามบาทเป็นอย่างน้อยนะคะ เพราะว่าไม่งั้นก็จะขาดทุนไปสักหน่อย”
ชายหนุ่มหัวเราะเพราะเก็งไว้ได้ถูกเผ็ง มือใหญ่ล้วงทองแท่งส่งให้ผู้หญิงทั้งคู่อีกคนละสองแท่งแล้วประตูก็เปิดออกด้วยความเต็มใจ ทั้งหมดเคลื่อนขบวนเข้าไปในงานตรงเข้าไปที่เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ก่อน ผู้ที่ถือสินสอดเดินนำพานไปวางบนโต๊ะต่อหน้าชุดเก้าอี้โซฟา ฟานเซเซียสนั่งลงบนผืนพรหมต่อหน้าโต๊ะสินสอด ตอนนี้ผู้ใหญ่ฝ่ายเขากำลังสองมอบสินให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวเปิดกล่องสินสอดต่างๆ ตรวจดูว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เป็นการเร่ิมพิธี
ฟรานเซเซียสมองตามสายตาของผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวไปยังหน้าบ้าน เจ้าสาวแสนสวยของเขากำลังเดินมาหาพร้อมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชายหนุ่มลุกยืน เดินไปรับรุ้งกมลด้วยตัวของเขาเอง ทั้งคู่เดินคล้องแขนกันมาหาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ระหว่างทางเดินเจ้าบ่าวกระซิบใกล้ๆ เจ้าสาวว่า “คุณสวยจังเลยรุ้งกมล”
หญิงสาวเงยหน้าเหลือบตามองใบหน้าคมคายด้วยรอยย้ิม “ขอบคุณค่ะ”
ทั้งคู่เดินไปนั่งต่อหน้าผู้ใหญ่แล้วก้มลงกราบตามที่ได้นัดแนะวิธีการไว้ล่วงหน้าแล้ว เสร็จก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ฟรานเซเซียสรับแหวนเพชรจากมือของแม่ แหวนวงนี้เป็นแหวนที่พ่อของเขามอบมันให้กับแม่ ซึ่งมันสวยงามล้ำค่าและมีค่าทางด้านจิตใจ เจ้าบาวบรรจงสวมแหวนแต่งงานให้กับเจ้าสาว ทำให้นิ้วนางข้างซ้ายของเธอมีแหวนสองวงทั้งแหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน คราวนี้มันแย่งกันทอแสงประกาย
เจ้าสาวก้มกราบไปที่ตักของเจ้าบ่าวแล้วหันไปรับกล่องแหวนจากผู้เป็นพ่อ มันเป็นทองคำขาวประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กทว่าสุกประกาย เธอบรรจงสวมมันให้กับเขาที่น้ิวนางข้างซาย แล้วก็มีนาฬิกายี่ห้อดังที่สุดในโลกอีกเรือนหนึ่งเป็นของขวัญที่ศุภเกียรติใช้รับขวัญลูกเขย รุ้งกมลส่งมันให้กับเขาแล้วก็ก้มกรายอีกที
เจ้าบ่าวมองเจ้าสาวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาก่อนยื่นหน้าไปจุมพิตที่แก้มนวลโดยไม่มีใครสั่งหรือเชียร์ ก็เขาอยากทำเอง เสียงปรบมือพร้อมกับกรี๊ดกร๊าดดังให้ได้ยิน พวงแก้มนวลแดงก่ำไม่ใช่เพราะไร้เดียงสา ทว่าเขินเพราะเขาแสดงความรักต่อหน้าคนอื่น เสร็จจากตรงนี้ก็ย้ายไปนั่งที่ตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์ที่นำมาจากวัด สุดท้ายก็จดทะเบียนสมรส
ป้าจอมยืนมองคุณหนูและฟรานเซเซียสด้วยความสุขไม่ต่างไปจากคุณท่าน คุณหนูโชคดีที่ได้แต่งงานกับคนที่รักและเขาก็รักคุณหนูมาก เจ้าบ่าวเป็นผู้ชายที่เพรียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะหน้าที่การงาน หน้าตา การเงิน นิสัยใจคอ พิธรการสิ้นสุดลงด้วยไออุ่นของคำว่ารัก
////////////////////////////////////////
หนังสือเกี่ยวกับเด็กกางออกต่อหน้าว่าที่คุณแม่ รุ้งกมลนั่งอ่านหนังสือพลางยกมือลูบหน้าท้องของตัวเองไปด้วย ท้องเธอเร่ิมใหญ่จนสังเกตุได้ หญิงสาวภวนาให้ลูกออกมามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ครบสามสิบสองทุกประการ
รุ้งกมลย้ายออกจากบ้านสวนมาอยู่กับฟรานเซเซียสที่บ้านของเขาแล้ว หลังจากที่จัดพิธีงานแต่งงานกันอย่างง่ายๆ เชิญแขกไม่กี่คนเฉพาะที่สนิทกันจริงๆ ฟรานเซเซียสบอกว่าจะต้องบินไปแต่งที่โมนาโคอีกหนหนึ่งเพื่อให้คนโมนาโกได้รับรู้ว่าเมียเขาน่ะสวยแค่ไหน
“อ่านหนังสืออะไรอยู่น่ะ” ฟรานเซเซียสก้มหน้าจุมพิตแก้มนวลจากทางด้านหลัง
“หนังสือเกี่ยวกับเด็กค่ะ ฉันกังวลจัง กลัวเลี้ยงลูกไม่ได้ ดูสิคะ เด็กตัวเล็กนิดเดียว จับนิดจับหน่อยจะช้ำหรือเปล่ก็ไม่รู้” รุ้งกมลปิดหนังสือเพื่อโชว์ภาพถ่ายเด็กแรกเกิดบนปกหนังสือให้เขาดู
“โห! ผมนี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ ออกแรงนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้เด็กมาคนหนึ่ง กิจกรรมนี้ดีนะ สนุกแถมได้ของขวัญอีกต่างหาก” ชายหนุ่มพูดแหย่ภรรยา
“นี่คุณจะออกไปไหนคะเนี่ย” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อย
“ไปกาสิโนหน่อย ผมไม่ได้ไปนานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” คนปากหวานบอกเสียงอ่อย รู้ว่าภรรยาไม่อยากให้ไปทำงานที่นั่น
“ไหนคุณว่าคุณขายให้ปรมัยไปแล้วไงคะ”
“ก็ขาย แต่มันไม่มาซื้อผมสักที สงสัยยังไม่ฟื้น” ชายหนุ่มบอกกร่อยๆ ปรมัยมันบอกเสมอว่าอยากได้กาสิโน แต่พอเขาขายต่อให้ก็หายเงียบไป
“ถ้าอย่างนั้นอย่าไปเลยนะคะ อยู่บ้านเถอะ ฉันเชื่อว่าเดี๋ยวปรมัยเขาก็เอาเงินมาให้ อีกสักหน่อยมันก็จะเป็นของเขาแล้ว คุณปล่อยทิ้งไปเลยก็ได้”
“เถอะน่า ผมไปแป๊บเดียวแล้วจะรีบกลับมานะ นะที่รัก” ชายหนุ่มอ้อนภรรยาเสียงอ่อน
รุ้งกมลหันหน้าหนี “ถ้าไปคืนนี้นอนข้างนอกเถอะ”
“ผมไปกาสิโนด้วย แล้วก็จะเข้าไปนอนข้างใจด้วย” เขาอ้อนพร้อมกับกอดภรรยาแน่น
“ฝันไปเถอะ” หญิงสาวว่า
เสียงคนเดินเข้ามาในห้องรับแขกทำให้ฟรานเซเซียสละอ้อมกอดจากร่างของภรรยา ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วก็ย้ิมกว้างเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
การินกับพีรยาเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับของบำรุงร่างกายรุ้งกมลอีกตายเคย ทุกวันนี้รุ้งกมลก็ยังทะยอยกินไม่หมด จนมันจะท่วมบ้านอยู่แล้ว
“มากันทุกวัน ถามจริงนายไม่มีปัญญาปั้มลูกเหรอวะการิน ถึงได้ลำบากต้องพาเมียมาเยี่ยมหลานแบบนี้” ฟรานเซเซียสถามเพื่อนพร้อมกับเดินอ้อมไปนั่งข้างรุ้งกมล
แขกทั้งสองสะดุ้งโหยงเมื่อถูกถามตรงๆ พีรยาเขินจนหน้าแดงทำให้รุ้งกมลหัวเราะชอบใจใหญ่ การินสวนหมัดแย็บใส่เพื่อนทันที “โอ้ย! ใครจะไปเปิดปุ๊บติดปั๊บเหมือนอย่างนายล่ะ แต่รับลองว่าฉันเด็ดกว่า”
“คุณ พูดจาลามก” พีรยากระทุ้งศอกใส่สามี
“ลามกตรงไหน ผมหมายถึงถ้ามีลูกลูกเราต้องเด็ดกว่า” การินแก้ตัว
“แต่ของผมเด็ดกว่าทุกเรื่อง จริงไหมจ๊ะที่รัก” ชายหนุ่มหันไปถามความเห็นจากภรรยา
รุ้งกมลฟาดมือลงบนต้นแขนแข็งแรง “ฉันว่าฉันเด็ดกว่า”
พอเธอพูดทุกคนก็หัวเราะครืนกับคำพูดสองแง่สองง่าม การินมองเพื่อนในชุดสูท ขัดกับรุ้งกมลที่สวมชุดอยู่บ้านธรรมดา “นี่นายจะออกไปไหน”
“ไปทำงาน พักมานานแล้วเบื่อๆ เซ็งๆ ก็ไปทำงานดีกว่า”
“นายรู้ข่าวหรือยังว่าท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์เสียชีวิตแล้วด้วยโรคหัวใจ”
เจ้าของบ้านทั้งสองตาลุกตื่นตกใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อเช้ามืดครับรุ้ง ได้ข่าวว่าท่านเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น คุณหญิงสมศรางค์ร้องไห้เสียใจใหญ่ ลูกสาวก็ยังไม่กลับบ้าน” การินเล่า
ฟรานเซเซียสหลับตา หรือนี่เป็นเวรกรรมของเปรมพงษ์ที่เคยทำไว้กับนาดาล กรรมเลยตอบสนองให้พบแต่ความทุกข์ใจ ดีนะที่เขาไม่บู่มบ่ามไปฆ่ามัน “แล้วแบบนี้ไอ้ปรมัยมันจะยังซื้อกาสิโนต่อฉันอยู่หรือเปล่า”
“นั่นสิคะ” รุ้งกมลเร่ิมไม่สบายใจ
“คงซื้อแหล่ะเพราะว่าคงได้สมบัติจากพ่อมาบ้าง” การินบอก
พีรยารีบแย้ง “ใครว่าละคะ คุณไม่รู้อะไร เขาว่ากันว่าปรมัยไม่ได้อะไรสักอย่าง เพราะท่านรัฐมนตรียกสมบัติให้ลูกสาวกับเมียหมด ปรมัยน่ะจะได้เงินเดือนทุกเดือนเพียงเท่านั้น”
เจ้าของบ้านหนุ่มถอนหายใจ “นับว่าท่านรัฐมนตรียังคิดรอบครอบนะ ที่ไม่ยกอะไรให้ลูกชาย เพราะยกให้ไปก็คงเอาไปผลาญจนหมด”
รุ้งกมลจ้องหน้าสามี “ถ้าอย่างนั้นคุณรีบบอกขายกาสิโนให้คนอื่นเถอะค่ะ มีคนสนใจอยู่ไม่น้อยไม่ใช่เหรอคะ”
“โธ่! ที่รัก ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าไอ้ปรมัยมันไม่ซื้อผมก็ไม่ขายให้ใครหรอก เปลี่ยนแปลงทำโรงแรมไปเลยก็ได้ ไม่ดีกว่าเหรอ”
ภรรยาค้อนควับ “ทำอะไรก็ดีทั้งนั้นล่ะคะ คุณช่วยกรุณาลงมือทำจริงๆ เสียทีเถอะ โยกไปโยกมาอยู่นี่ล่ะ อย่าให้ฉันโมโหรำคาญขึ้นมานะคะฟรานเซียส” ท้ายประโยคเธอกดเสียงต่ำขู่สามี
การินกับพีรยาหัวเราะร่ากับภาพตรงหน้าที่เห็น ฟรานเซเซียส มาเฟียหนุ่มกลัวภรรยาจนหงอ
“ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะที่รัก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าอยู่โมนาโคน่ะ ผมก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน ยังไงเสียคุณก็ต้องเป็นเมียมาเฟียอยู่ดีล่ะ”
“ขายให้หมด หรือดัดแปลงเป็นโรงแรมอย่างคุณว่าก็ได้ ลูกน้องคุณทั้งหลายจะได้ไม่ตกงาน” หญิงสาวบอก
“อืม ความคิดเข้าท่าดีนะฟรานเซียส ฉันเห็นด้วยกับรุ้งกมลนะ” การินเห็นด้วยกับรุ้งกมล
“จริงค่ะ แพ็ตก็เห็นด้วย”
ฟรานเซเซียสมองหน้าดุของภรรยา “ผมก็เห็นด้วยกับคุณทุกอย่างเลยจ๊ะที่รัก”
ป้าเนียมเดินเข้ามาหาเจ้านาย “คุณท่านคะ คุณปรมัยต้องการเรียนสายด้วยค่ะ”
ชายหนุ่มมองหน้าทุกคนแล้วหันไปมองหน้าภรรยา “ผมไปคุยกับเขาก่อนนะ แล้วจะกลับมาบอกข่าว” เขารับกระบอกโทรศัพท์บ้านไร้สายจากแม่บ้านแล้วเดินหายไปคุยเป็นการส่วนตัว สักพักก็กลับมาหาทุกคนที่กำลังเฝ้าคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“ปรมัยเขาว่ายังไงคะ” รุ้งกมลซักสามี
“เขาบอกว่ายังยืนยันที่จะซื้อกาสิโน อีกอาทิตย์นึงจะเอาเงินมาให้”
การินขมวดคิ้ว “แล้วมันจะไปเอาเงินมาจากไหนต้ังพันล้าน”
ฟรานเซเซียสยักไหลไม่ใส่ใจ สุดแล้วก็เวรแต่กรรมของมันก็แล้วกัน ตัวเขาไม่สามารถไปกำหนดชีวิตของใครได้หรอก ทำยังไงก็ได้อย่างนั้นตามที่ภรรยาเขาอบรมอยู่บ่อยๆ
////////////////////////////////////////
ปรมัยนั่งเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปหาเงินมาจากไหน เขาเคยบุกไปบ้านยัยคุณหญิงสมศรางค์นั่น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปเจรจากับยับคุณหญิงได้เพราะว่ามีบอดี้การ์ดคุมหน้าบ้านแน่นหนา แล้วฝีมือก็ดีกว่าลูกน้องของเขาด้วย ใจหนึงแอบคิดต่อว่าพ่อที่ตายไปว่าลำเอียงไม่ให้สมบัติสักชิ้นกับเขา เงินแค่เดือนละล้านมันจะพอใช้อะไร ท่านน่าจะรู้ว่าสังคมชั้นสูงน่ะมีค่าใช้จ่ายเยอะแค่ไหน หากเขาไม่มีเงินมากพอใครล่ะจะมาคบหาสมาคม ตอนนี้เขาย้ายจากคอนโดมาอยู่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่พ่อยกให้กับแม่ เพราะมันสะดวกในการซ่องสุมลูกน้องมากกว่าคอนโดมิเนียมที่คนพลุกพล่านอยู่ตลอด
ไอ้เวียนมองเห็นเจ้านายเคร่งเครียดก็เลยเดินเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงมันก็ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากปลอบใจจริงจังหรอก คนอย่างปรมัยมันเกินกว่าที่คนจะตักเตือนได้
เจ้านายหนุ่มคันปากเพราะอยากระบายความอัดอั้นอยู่แล้วก็โพลงออกมา “ก็พ่อฉันสิวะ ตายไปแล้วแต่ไม่ให้สมบัติอะไรฉันเลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่ท่านก็มีสมบัติมากมาย สุดท้ายก็ยกให้แต่นังคุณหญิงจองหองนั่น ส่วนฉันกับแม่ได้แค่เศษเงินในแต่ละเดือนที่นังคุณหญิงเจียดมาให้”
“แล้วที่คุณพ่อให้คุณมาน่ะ เดือนละเท่าไหร่ครับ” ไอ้เวียนถามเพราะอยากรู้ว่าคนรวยระดับมหาเศรษฐีน่ะ เขาให้ลูกใช้จ่ายเงินกันยังไง ส่วนมันน่ะคนจน เงินเดือนละหมื่นก็มากโขแล้ว
“ล้านเดียว ล้านเดียวฉันจะเอาไปทำอะไรได้ จะลงทุนทำอะไรก็ยังไม่ได้เลย” เขาทุบกำปั้นลงบนพนักวางแขน ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะโมโห
ไอ้เวียนตาลุก ยังไงมันก็จะเกาะปรมัยกินไปตลอดชาติ “เยอะจังเลยครับนาย คราวนี้พวกเราสบายแล้ว”
ปรมัยยกเท้ายันหน้าขาไอ้เวียน “เยอะห่าอะไรวะ แค่ล้านเดียว สำหรับฉันน่ะน้อยมาก”
“โธ่! นายครับ สำหรับผมนะ หาทั้งชาตินี้และชาติหน้ายังไม่ได้เลย เงินเยอะขนาดนั้น” ไอ้เวียนพยุงร่างยืนตรงหลังจากเซเพราะแรงถีบของเจ้านาย
“มึงคงยังไม่รู้ว่าไอ้ฟรานเซียสน่ะ มันจะขายกาสิโนให้กับกู แล้วรู้ไหมว่ามันขายเท่าไหร่ พันล้าน แล้วกูได้เงินเดือนละล้านมันจะพอหาพ่อมึงเหรอไอ้เวียน” เขาทำท่าจะถีบลูกน้องซ้ำอีกรอบ แต่คราวนี้มันหนีทัน
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับนาย ไปขู่เอากับนังคุณหญิงนั่น เอาคนของเราไปเยอะๆ มันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจะมีปัญญามาต่อกรอะไรกับพวกเรา” ลูกน้องนำเสนอความคิด
“กูเคยไปบุกบ้านมันมาแล้ว บอดี้การ์ดมันยั้วเยี้ยเต็มบ้านไปหมด ทั้งตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบ แล้วกูก็ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก พี่น้องนังคุณหญิงนั่นมีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้น ลองเสนอหน้าเข้าไปได้โดนไล่ยิงออกมายิ่งกว่าตอนไอ้ฟรานเซียสมันเล่นงานกูอีก” ปรมัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดหาวิธีหาเงินพันล้านไม่ออก พอหมดบุญพ่อแล้วเงินจำนวนนี้มันกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลไปในทันที
“ถ้านายอยากได้เงินจริงๆ ผมมีคนจะให้นายเข้าไปหาเขา เพราะเรามีโอกาสได้เงินมาโดยไม่ต้องเหนื่อย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเครดิตของนายด้วยนะครับว่าจะดีพอหรือเปล่า” ไอ้เวียนยิ้มกริ่ม ลำพองในแผนของตัวเอง
ปรมัยนั่งตัวตรง มองหน้าลูกน้อง “มึงจะให้กูไปหาใครวะไอ้เวียน”
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวผมจะนัดให้นายเอง ให้นายได้คุยกับเฮียโน่แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไง”
ชายหนุ่มมองหน้าลูกน้อง ชั่งใจว่ามันจะเสนอให้เขาทำอะไร อย่างมันน่ะเหรอจะหาทางให้เขาได้เงินเป็นพันล้าน เพราะตัวมันเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย เสื้อผ้าก็เก่า เงินจะซื้อข้าวมายาไส้ก็ยังไม่มี แต่ก็ลองเชื่อมันดูสักครั้งคงไม่เสียหลาย
//////////////////////////////////////////////////////
บ้านหลังใหญ่ที่สร้างเร้นอยู่ในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนสัญจร รถปอร์ตหรูทะยายผ่านด่านแน่นหนาของบอดี้การ์ดหน้าประตูไปง่ายดายเพราะได้นัดแนะกับเจ้าของบ้านเอาไว้แล้ว ปรมัยขับรถมากับไอ้เวียนตามที่มันบอกว่าได้นัดให้เขาได้พูดคุยกับเฮียหมู เจ้านายเก่าของมัน
“โอ้โห! ไอ้เวียน เจ้านายเก่ามึงรวยเป็นบ้าเลย บางทีกูอาจจะเคยรู้จักเจ้านายมึงมาก่อนหน้านี้ก็ได้นะ” ปรมัยบอกเมื่อเห็นความอลังการงานสร้างของบ้านหลังใหญ่ ขนาดสวนยังสร้างออกมาสวยราวกับอยู่หน้าโรงแรมใหญ่
“นายไม่รู้จักเฮียหมูหรอกครับ แต่หากเป็นพ่อของนายอาจจะเคยผ่านหน้าผ่านตากันมาบ้าง” ไอ้เวียนบอก เขารู้ดีว่าพวกนักการเมืองและข้าราชการ บางคนน่ะ พัวพันกับเรื่องยาเสพติด บ้านเมืองถึงได้กำจัดยาเสพติดได้ไม่หมดเสียที
“อาจจะจริงอย่างที่มึงว่านะไอ้เวียน เพราะกูไม่คุ้นชื่อเขาเลย ไปๆ พากูไปพบกับเขาเร็วๆ จะได้คุยกัน” ปรมัยเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตามไอ้เวียนเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่มีนักเลงหลายสิบคนเดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน
ไอ้เวียนทักทายนักเลงบางคนเล็กน้อย ก่อนพาเจ้านายใหม่ไปนั่งรอเฮียหมูอยู่ในห้องรับแขกกว้าง ทั้งคู่นั่งรอเฮียหมูกว่าครึ่งชั่วโมง นานจนปรมัยเร่ิมหงุดหงิดแต่ก็ต้องอดทนเพราะเฮียหมูไม่ใช่คนธรรมดาที่จะชวนวิวาทด้วย
เฮียหมูเดินเข้ามาให้ห้องรับแขก เฮียหมูเป็นผู้ชายวัยสี่สิบห้าปี รูปร่างอ้วนท้วนลงพุงจนยื่นชี้หน้าคนอื่น กลางวันแบบนี้เฮียแกก็ยังสวมแว่นกันแดด แม้ว่าจะอยู่ในบ้าน ทำให้ปรมัยไม่อาจมองแววตาของเจ้าของบ้านได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
ไอ้เวียนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไว้เจ้านายเก่าด้วยความนอบน้อม “สวัสดีครับนาย”
“ไอ้เหี้ย! กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้วเสียอีก แล้วมีหน้ากลับมาหากู มึงไม่คิดว่ากูจะยิงมึงทิ้งบ้างหรือไงไอ้เวียน” เฮียหมูเดินไปตบหน้าอดีตลูกน้องทำให้ปรมัยตกใจในความป่าเถื่อน
“ผมผิดไปแล้วครับนาย ผมขอโทษจริงๆ” ไอ้เวียนก้มหน้า
“กูให้อภัยมึงเพราะว่าของที่มึงเชิดหนีกูไปมันเป็นจำนวนน้อย แค่ล้านสองล้าน แต่หากมึงเล่นกูแรงกว่านี่มึงก็คงจะไม่มีปัญญามายื่นพูดกับกูแบบนี้หรอกนะ” เฮียหมูนั่งลงมองหน้าปรมัย “แล้วมึงพาใครมาหากู”
“เจ้านายใหม่ของผมเองครับ ชื่อปรมัย เฮียคงไม่รู้จักคุณปรมัย แต่น่าจะรู้จักท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์” ไอ้เวียนแนะนำ
เฮียหมูมองปรมัยด้วยแววตาต่างออกไปจากเมื่อครู่ เริ่มประเมินความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้า “ท่านตายไปแล้วนี่หว่า แล้วนี่จะมารับทำงานต่อจากท่านหรือยังไง”
ชายหนุ่มงง ไม่รู้ว่าเฮียหมูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “ผมไม่เข้าใจครับเฮีย ว่าเฮียกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“อ้าว! นี่นายไม่รู้เลยหรือไงว่าท่านน่ะเป็นหัวหน้าของฉันเอง ฉันกำลังว่ิงเต้นอยู่ตอนนี้ว่าจะให้ใครช่วยสนับสนุนงานที่กำลังหยุดชะงัก เฮโรอีนหลายตันยังค้างอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน นำเข้ามาไม่ได้ ไอ้พวกคนใหม่มันกำลังยึดอำนาจ หวังจะกำจัดฉันแล้วยึดของมาส่งขายในประเทศแทน”
ปรมัยนั่งอ้าปากค้าง ยาเสพติดจำนวนมากกำลังรอการลำเลียงเข้าประเทศ วงการนี้มันยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้นัก พ่อของเขาก็เก่งเหลือเกินที่เอาพวกนี้อยู่ “มันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ครับเฮีย”
“มหาศาล คำนวนได้ไม่หมด” เฮียหมูบอก
“แล้วถ้าผมคิดจะทำต่อ ผมจะเอามันเข้ามาเอง ผมจะได้ส่วนแบ่งจากเฮียเท่าไหร่” ปรมัยถาม หวังจะได้เงินมาซื้อกาสิโนต่อจากฟรานเซเซียส
“นายอยากได้สักเท่าไหร่ละ ดูว่าจะร้อนเงินนะ”
“พันล้าน ผมต้องการเงินพันล้าน” ปรมัยบอก
“ฉันจะแบ่งให้ แต่ต้องขนของสองรอบ ถ้านายทำได้ฉันให้เลย เงินสด” เฮียหมูบอก “ลูกน้องของฉันจะช่วยนายเอง ไม่ต้องคิดว่าจะยากขนาดนั้น เพียงแค่นายคอยวิ่งเต้นเข้าหาผู้ใหญ่ให้ได้”
ในหัวของปรมัยมีใบหน้าของผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองที่พ่อของเขาสนิทสนมด้วย เขาจะลองไปพูดคุยกับคุณเหล่านั้นดู เผื่อว่ามีลู่ทางที่ง่ายขึ้น
“ได้ครับเฮีย แล้วผมจะติดต่อเฮียมาอีกที” ปรมัยบอกแล้วขอตัว
เขาช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นเงินจำนวนนี้จะหลุดมือไป เขาจะวิ่งเต้นทุกอย่าง คอยดูเถอะ คนอย่างเขาจะต้องก้าวขึ้นไปยิ่งใหญ่ในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขาอีกทั้งไอ้ฟรานเซเซียสและไอ้การิน
//////////////////////////////////////////////
ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแถบชานเมืองค่อนข้างวุ่นวาย มีรถสัญจรเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ปรมัยขับรถเข้ามาจอดอยู่ในลาน ดวงตาคมมองลูกน้องที่ขับรถเข้ามาจอดข้างรถของเขา วันนี้เขามีภารกิจสำคัญจะต้องทำ ไอ้เวียนเปิดประตูลงจากรถกะบะมาหาเจ้านาย
ปรมัยเลื่อนกระจกลงมองลูกน้อง “ว่ายังไงวะ มึงมีปัญหาอะไร”
“ผมว่ามันเงียบๆ ผิดปกตินะครับนาย” ไอ้เวียบอก
“เงียบยังไงของมึงวะ” ปรมัยถามพร้อมกับมองรถที่เวียนเข้าออกกันอยู่ตลอด
“ผมไม่ได้กล่ินความชั่วที่นี่เลยครับนาย”
“ไอ้เหี้ย! กูนี่ยังชั่วไม่พออีกเหรอวะ” ปรมัยด่าลูกน้อง
'นายไม่ได้ชั่วอย่างเดียวหรอกครับ เลวชาติเลยล่ะ พ่อตัวเองแท้ๆ ยังทำได้ ตายไปนรกจะรับหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย' ไอ้เวียนคิดอีกอย่างแต่พูดออกมาอีกอย่าง “ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงไม่มีกลิ่นของพวกจะมารับของเลย”
“มึงก็โทรหาพวกมันสิวะ ถามว่าพวกมันอยู่ไหนกันแล้ว” เจ้านายส่ายหน้ากับลูกน้องโง่ๆ
ปรมัยขนยาเสพติดเข้าประเทศมาได้แล้ว และก็นำมันไปพักไว้ที่บ้านเพื่อแบ่งสัดส่วนส่งต่อไปยังพ่อค้าคนกลางต่างๆ ตามคำสั่งของเฮียหมู ชาหนุ่มรับเงินสดมาจากเฮียหมูแล้วครึ่งหนึ่ง ยาเสพติดล๊อตนี้ก็เป็นล๊อตสุดท้ายที่จะต้องจัดส่งให้กับพ่อค้ารายใหญ่ที่ได้นัดแนะกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ไอ้เวียนกดโทรศัพท์หาเครือข่ายยาเสพติด ได้ความว่ากำลังมา ให้รออีกสักเดียว “กำลังมาครับนาย”
“เห็นไหม กูบอกมึงแล้ว ไปเฝ้ารถให้ดีๆ เดี๋ยวก็มีใครเชิดไปกินก่อนหรอก”
“ครับนาย” ไอ้เวียนรับคำแล้วเดินกลับรถ
สักพักก็มีผู้ชายวัยฉกรรจ์สวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดคลุมด้วยแจ๊กเก็ตยีนส์อีกหนึ่งตัวเดินเข้ามาหา ไอ้เวียนรีบลงจากรถไปเจรจาต่อลองทันทีอย่างรู้งาน เขาเป็นคนแนะนำให้เจ้านายทำงานนี้เองล่ะ เพราะมันได้เงินเร็วดี ความจริงเขาอยากทำงานนี้ด้วยตัวเอง แต่เครดิตไม่พอ
“กุญแจรถอยู่ไหน ฉันจะมาเอาล้อเสริม”
ไอ้เวียนยิ้มเมื่อรหัสตรงกัน “รถจอดอยู่โน่น แล้วนี่กุญแจ ตามสบายเลยนะ”
“ขอบใจ” นายตำรวจหนุ่มบอกแล้วรวบตัวไอ้เวียงทันที เพียงกระพริบตา นายตำรวจอีกหลายนายก็ชาร์จแล้วหานักค้ายาเสพติด
ปรมัยเห็นท่าไม่ดีก็รีบติดเครื่องยนต์ หวังจะโกยหนีไปก่อน ตำรวจนายหนึ่งวิ่งมาขวางรถสปอร์ตเอาไว้แล้วเล็กปืนใส่ “หยุดนะ ไม่หยุดผมยิงจริงๆ”
“มึงคิดว่ามึงมีปืนคนเดียวเหรอวะ” การินพูดแล้วเปิดลิ้นชักควักปืนออกมายิงตำรวจ
ทั้งคู่ยิงโต้ตอบกัน แต่ปรมัยเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำโดนยิงลูกกระสุนทะลวงศีรษะ ความชุลมุนทำให้คนลูกค้าของห้างสรรพสินค้าต่างพากันวิ่งเข้าไปให้ตัวอาการเพื่อรักษาชีวิตให้พ้นจากกระสุจปืนที่ทั้งสองฝ่ายลั่นไกเข้าหากัน พนักงานในห้างแทบปวดหัวตายเพราะเกิดจราจลย่อยๆ ขึ้น มีผู้หญิงคนหนึ่งล้มลงแล้วถูกรุมเหยียบจนเกือบเสียชีวิต ดีที่พาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน
ทั้งสองฝ่ายยิงตอบโต้กันอยู่เกือบสิบนาที ตำรวจเห็นท่าทางไม่ดีเลยต้องจับตายพ่อค้ายาเสพติดทั้งคู่ สุดท้ายพวกคนชั่วก็จบชีวิตลงอยู่ข้างยาเสพติด
ข่าวการตายของปรมัยพาดหัวบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเวลาไล่เลี่ยกับผู้เป็นพ่อ เขาจบชีวิตลงอย่างอนาถด้ายการถูกวิสามัญจากนายตำรวจ ตำรวจนำยาเสพติดและข้อมูลต่างๆ ของปรมัยไปสอบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมเฮียหมูได้ในเวลาต่อมา นับเป็นข่าวใหญ่ข่าวดีที่สุดของประเทศ
/////////////////////////////////////////
๑๗.โลกมันกลม
ออฟฟิศขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่ในอาคารสูงที่จัดสรรพื้นที่แบ่งให้เช่า นิตยสารที่รุ้งกมลคุมอยู่ไม่ใช่บริษัทเดียวที่จัดการงานอยู่บนตึกนี้ ขณะนี้บรรณาธิการบริหารกำลังนั่งตรวจเช็คงานในคอมลัมน์ต่างๆ เพื่อปิดเล่มประจำเดือน หญิงสาวเร่ิมทำงานงานมาสามเดือนแล้ว อายุครรภ์เดือนนี้เกือบเจ็ดเดือน ท้องใหญ่จนเห็นได้ชัด บางทีนั่งทำงานอยู่เจ้าตัวเล็กก็ถีบก็ดิ้นให้เจ็บหน่อยๆ แต่มีความสุข ทุกวันที่ทำงานก็รอให้เจ้าตัวเล็กออกมามองดูโลกเสียที
รุ้งกมลเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแล้วก็เปิดออกมาโดยวิสาสะ คงจะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากสามีตัวดีที่น่ารัก ฟรานเซเซียสเดินเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้มาเร็วกว่าปกติหรือเปล่าคะ”
“มาเร็วสิ วันนี้ดูงานอยู่ดีๆ ไฟก็ดับขึ้นมาเฉยๆ ช่างก็เลยพากันกลับบ้านกันหมดเพราะจวนได้เวลาเลิกงานแล้ว วันนี้ทำงานหนักจนเครียดอีกหรือเปล่า” ชายหนุ่มเดินไปหาภรรยาแล้วโน้มหน้าจุมพิตปากอิ่มก่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเธอ
“กำลังปิดเล่มนิตยสารค่ะ ไม่มีเรื่องให้ต้องเครียดแล้ว คุณล่ะคะ ที่กาสิโนมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหยุดทำงานหันมาคุยกับสามีด้วยความเอาใจใส่ ตอนนี้ฟรานเซียสกำลังดัดแปลงกาสิโนให้เป็นโรงแรม เลยต้องเข้าไปควบคุมการก่อสร้างโดยใกล้ชิด ตอนแรกเขาตัดสินใจจะขายให้คนอื่นแต่เธอไม่เห็นด้วย อยากให้การพนันมันจบลงไป ใครอยากทำธุรกิจแบบนี้ก็ให้ไปสร้างกันเอาใหม่ก็แล้วกัน
“ไม่มีครับ จะมีก็แค่เรื่องไฟดับนั่นล่ะ ส่วนปัญหาอย่างอื่นไม่มีเลย มีแต่คิดถึงเมีย ห่วงกลัวว่าจะทำงานหนัก” เขาบอกหลังจากพยายามห้ามภรรยาไม่ให้ทำงาน แต่เธอรั้นขอทำจนได้ด้วยเหตุผลว่างานหนังสือคือชีวิต
“ขอบคุณค่ะ ฉันเสียอีกที่ไม่ได้ดูแลคุณเลย เอาแต่ทำงานๆ” หญิงสาวอ้อนพร้อมเอนตัวไปข้างหน้ายื่นมือไปวางบนโต๊ะทำงานเพื่อขอมือใหญ่มากุมไว้
ฟรานเซียสยื่นมือไปหามือเรียวปล่อยให้เธอกุมไว้ มันอบอุ่นเหลือเกิน “วันนี้คุณเวียนหัวคลื่นไส้อะไรบ้างหรือเปล่ารุ้ง”
“ไม่มีค่ะ อาจจะเลยเวลานั้นมาแล้วก็ได้ แต่ก็น่าแปลกนะคะ ไม่เห็นแพ้ท้องเหมือนกับคนอื่น รอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะเกิดมาสักที คิดถึงใจจะขาดแล้ว”
“อยากรู้ว่าเขาจะหน้าเหมือนใคร อาจจะหน้าเหมือนผมนะ คุณแพ็ตบอกว่าหากผู้เป็นแม่รักใครมากๆ ลูกออกมาก็จะเหมือนคนคนนั้น” เขาแกล้งว่าพร้อมอมย้ิม
“รักค่ะ รุ้งรักคุณมาก แต่อย่าให้รู้นะว่าแอบไปจิ๊จ๊ะกับใครในช่วงนี้นะคะ ไม่งั้นคุณโดนแน่” ผู้เป็นภรรยาขู่ ผู้ชายน่ะเวลาภรรยาต้ั้งท้องก็มักจะวอกแวกไปหาผู้หญิงอื่นเสมอ
“ผมไม่เคยนอกใจคุณเลยสักวินาที เอาชีวิตเป็นประกัน แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่เคยจ๊ะทูนหัว ผมเลิกมองคนอื่นแล้ว สายตาของผมมีให้คุณคนเดียว”
“นั่งรอฉันก่อนนะคะ เดี๋ยววันนี้เราไปทานข้าวที่บ้านคุณพ่อกัน ฉันจะโทรไปบอกป้าจอมให้ทำกับข้าวเผื่อ” หญิงสาวละมือจากมือใหญ่แล้วกดโทรศัพท์กลับบ้านเพื่อสั่งงานป้าจอม
เดี๋ยวนี้ศุภเกียรติไม่ได้ทำงานแล้ว รุ้งกมลรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ เธอไม่เสียใจที่ได้เขาเป็นสามี เพราะว่าเขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์และน่ารัก เอาใจใส่ทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับเธอ
“วันนี้การินมาหาผม เห็นว่าเสกเด็กเข้าท้องเมียได้สำเร็จ ดีใจใหญ่เลย หน้างี้บ้านเป็นกระด้ง” เขาเล่าให้ภรรยาฟัง
“อู้ย... ดีจังค่ะ วันนี้เราไปทานข้าวบ้านคุณพ่อแล้วพรุ่งนี้เราเชิญคุณการินกับแพ็ตมาทานข้าวเย็นที่บ้านเรากันนะคะ จะได้พูดคุยกันบ้าง ตั้งแต่ฉันเร่ิมทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาเจอแพ็ตเลย”
“ดีสิ เดี๋ยววันนี้ก่อนไปบ้านคุณพ่อ แวะซื้อของไปฝากท่านหน่อยแล้วกันนะ พวกเครื่องดื่มบำรุงกำลังอะไรพวกนี้ คุณแม่ผมโทรมาบอกว่าอยากชวนท่านไปเที่ยวโมนาโก จะได้ไม่เบื่อ คนแก่น่ะออยากเที่ยว คุณลองชวนท่านสิรุ้ง”
“ดีเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฉันจะชวนท่าน อยู่บ้านมันเหงา ให้ป้าจอมไปด้วยนะคะ ป้าจอมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย”
ชายหนุ่มยิ้ม “ตามใจคุณ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้เอง”
“ไปนั่งรอที่โซฟาดีกว่าค่ะ นั่งตรงนี้ฉันทำงานไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็ชวนฉันคุยอยู่เรื่อง” หญิงสาวเอ่ยปากไล่เขาไปนั่งอยู่มุมห้องด้านหน้า เพราะว่าหากเขานั่งอยู่ใกล้ๆ ก็จะคอยถามโน่นถามนี่อยู่ตลอด
“ใจร้ายตลอดน่ะคุณ” เขาแกล้งว่าแล้วลุกเดินไปนั่งที่โซฟามุมห้อง ปล่อยให้ภรรยาทำงานสงบๆ นั่งเล่นสักครู่ก็มีแม่บ้านนำกาแฟมาเสิร์ฟถึงที่ ชายหนุ่มเลยฝากให้แม่บ้านไปซื้อนมร้อนมาให้ภรรยาพร้อมทริปจำนวนหนึ่ง
แม่บ้านยิ้มแป้นออกไปจากห้อง สามีของคุณรุ้งกมลมาทีไร มักจะแจกเงินเสมอเลย ฟรานเซเซียสไม่มีเศษตัง บางทีมีเงินแบงค์พันหรือแบงค์ห้าร้อย วานให้ไปซื้อของก็จะไม่เรียกเอาเงินทอนคืน
รุ้งกมลเงยหน้ามองสามี “รู้สึกว่าคุณจะทริปแม่บ้านฉันบ่อยจนไม่อยากทำงาน วันๆ เอาแต่นั่งมองว่าคุณจะมาหรือยัง คงจะหวังเงินทริปมากกว่าเงินเดือน”
เขายิ้มมองภรรยา “ผมไม่ได้ให้เงินเดือนเขาแล้วไปใช้เขาฟรีๆ ไม่ได้ เลยต้องให้ทริปแบบนี้”
ฟรานเซเซียสนั่งรอภรรยาจนถึงเวลาเลิกงาน เสร็จแล้วก็พากันไปทานข้าวเย็นที่บ้านพ่อตา พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบระหว่างที่ไม่ได้เจอกัน แล้วรุ้งกมลก็ชวนท่านกับป้าจอมไปเที่ยวโมนาโกโดยที่แม่ของฟรานเซเซียสจะสแตนด์บายรอพาเที่ยวอยู่ที่นั่น ท่านกับป้าจอมตกลงว่าจะไป ดูว่าป้าจอมจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษที่จะได้ไปต่างประเทศ รุ้งกมลก็เลยเดินขึ้นห้องนอนเก่า ไปรื้อพวกกระเป๋าเดินทางออกมาให้ป้าจอมยืมใช้ จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อเอาใหม่ให้เปลืองเงิน
///////////////////////////////////////////////////
บ้านหลังใหญ่ที่เป็นคล้ายๆ กับเรือนหอของฟรานเซเซียส ปิเอโร่ กับ รุ้งกมล ปิเอโร่ อบอวนไปด้วยความอบอุ่น เตียงนอนใหญ่ในห้องนอนแคบลงไปเมื่อมีคนสองคนนอนเคียงข้างกันอยู่
ฟรานเซเซียสนอนลูบท้องภรรยาอยู่บนเตียงนุ่ม เธอนอนทับต้นแขนของเขาอยู่ ปากหนาจุมพิตไปที่หน้าผากมน ชายหนุ่มกระซิบกับภรรยาว่า “ผมดีใจที่ได้อยู่กับคุณ ได้มีคุณมาอยู่ด้วย ตื่นมาก็เจอกัน ก่อนนอนก็เจอกัน ส่ิงที่ดีที่สุดก็คือผมดีใจที่ได้ดูแลคนในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ เตียงผมอุ่มเสมอเมื่อได้นอนกอดคุณเอาไว้ ชีวิตผมเหมือนถูกเติมเต็ม ไม่ต้องขวนขวายหาอะไรมาเพิ่มเติมอีกแล้ว”
รุ้งกมลเงยหน้ามองใบหน้าเข้มพร้อมกับยกมือสัมผัสใบหน้าคร้าม “ฉันดีใจที่ได้เจอคุณ ได้รักคุณ ได้อยู่กับคุณ คุณเป็นผู้ชายที่น่ารัก เป็นสามีที่ดีกว่าที่ฉันคิดมากเลย ฉันมีความสุขที่สุด โชคดีที่โชคชะตานำพาให้ได้มาพบกับคุณ”
“ถึงผมจะร้ายกับคุณมากๆ อย่างนั้นหรือรุ้งกมล ผมไม่น่าโง่เลย ไม่งั้นก็คงไม่ทำให้คุณลำบาก” เขาขอลุแก่โทษ
“ถ้าคุณไม่เข้าใจผิด ฉันจะได้รักคุณหรือเปล่าละคะ อย่าโทษตัวเองเลย เรื่องราวมันผ่านมานานแล้ว เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ขอให้นับจากนี้ต่อไปให้คุณดีกับฉันเหมือนกับวันนี้ก็พอ” เธอซุกหน้ากับอกกว้าง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนได้อยู่ในบ้านหลังนี้ที่แข็งแกร่ง ทนฟ้าทนฝน
“เดี๋ยวผมนวดเท้าให้นะ คุณจะได้รู้สึกสบาย ไม่ปวดขา เท้าคุณบวมแล้วนะเนี่ย” เขาบอกพร้อมกับลุกนั่ง ขยับตัวไปอยู่ปลายเท้าของภรรยา
หญิงสาวขยับนอนหงายมองหน้าสามีที่กำลังนวนเท้าให้ รวมถึงข้อเท้าและต้นขา เขาลงน้ำหนักมือได้พอดีทำให้ผ่อนคลาย ตอนนี้เท้าเธอบวมรวมถึงข้อเท้าที่หนาขึ้น “ที่บริษัทหนังสือที่ฉันเคยทำงานด้วยเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ปกติ ไม่มีอะไร แต่มีพนักงานลาออกไปสองคน” เขารายงานติดจะย้ิมๆ เมื่อพูดถึงพนักงานคู่หนึ่ง
“ใครคะที่ลาออก” เธอถามเพราะเห็นแววตาหลุกหลิกของสามี
“คุณลองทายดูสิว่าใครลาออก”
ดวงตายาวรีส่งค้อนให้กับสามี “ใบ้สักหน่อยสิคะ ฉันจะได้พอเดาได้”
เขาใบ้ให้ภรรยาขณะที่มือก็นวดข้อเท้าให้เธอ “สองคู่ซี้ของบริษัท”
“เพียงอรกับรัตนพร” ผู้เป็นภรรยาทายออกไป มั่นใจว่าต้องใช่แน่นอน
“ดูคุณมั่นใจจังเลยนะ” เขาหัวเราะ
“มั่นใจสิคะ แล้วถูกหรือเปล่าล่ะ ฉันอยากรู้”
“ถูกต้องแล้วจ๊ะที่รัก ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าคุณเพียงอรมาทำงานที่บริษัทด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็ยอมรับว่านอกจากเดินเฉิดฉายไปมา เธอก็ทำงานดีไม่มีตกหล่น ผมติดใจนิดๆ ว่าทำงานกับคุณพ่อของเธอไม่ดีกว่าเหรอ”
“น่ีคุณอย่ามาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้นะคะ ยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งสงสัยระหว่างคุณกับพีรยา” รุ้งกมลแหวพร้อมกับพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง มือเล็กเหวี่ยงใส่ขึ้นแขนแน่นๆ ของเขา
ผู้เป็นสามีตกใจ ไม่คิดว่าภรรยาจะขี้หึง ต้ังแต่แต่งงานอยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยแสดงความหึง แม้แต่หวงก็ยังไม่เคย ค่อนข้างจะให้อิสระแก่เขา ไม่ก้าวก่ายเรื่องงาน ไม่เช็คว่าไปไหนในแต่ละวัน จนเขาแอบคิดไม่ได้ว่าเธอรักเขาบ้างหรือเปล่า
“คุณเป็นอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าคุณหึง” เขาถามตาโต
“ฉันไม่ใช่แม่ชีนะคะ จะได้นิ่งเฉยเวลาสามีพูดถึงผู้หญิงอื่น ฉันบอกคุณไว้เลยนะคะ อย่าทำให้ฉันจับได้ว่าแอบไปกุ๊กกิ๊กกับใครที่ไหน เห็นฉันไม่ตาม ไม่หวงไม่ห้าม แต่ฉันหวงและหึง” แม่เสือสาวขู่ฟ่อ
ฟรานเซเซียสหน้าเหวอ ตกใจเพราะมีชะงักติดหลังอยู่ เพียงอรมักจะมาหาเขาที่กาสิโน เพราะว่าบริษัทของพ่อเธอ เข้ามาคุมงานก่อสร้าง ต่อเติมโครงสร้างอยู่ เขาไม่คิดอะไรกับหญิงสาวเพราะว่ารักภรรยาเต็มหัวใจ แต่เธอก็มักเข้ามาวนเวียนอยู่เสมอจนเขาเกือบจะตบะแตกไปหนหนึ่ง ดวงตาคมหลุบต่ำหนีสายตาซอกซอนของภรรยา ใจเต้นตุบตับ สั่นเป็นเจ้าเข้า
“ผมไม่ไปกุ๊กกิ๊กกับใครที่ไหนหรอกน่ารุุ้ง ผมน่ะซื่อสัตย์เชื่อใจได้ หางตาผมนะไม่มองใครเลย มองแต่คุณคนเดียว”
“เหรอคะ ฉันดีใจที่คุณเป็นคนแสนจะซื่อสัตย์เหลือเกิน แม้แต่หางตายังไม่มองใคร” หญิงสาวเน้นเสียง กัดฟันพูด แค่มองตาก็ทะลุถึงหัวใจแล้ว ฟรานเซเซียสปิดเธอไม่ได้หรอก
“ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เขาบอกแล้วรีบลงจากเตียง เดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าห้องน้ำไป
รุ้งกมลมองตามสามีไปจนสุดสายตา ท่าทางพิรุธแบบนั้นเธอจะเปิดมันออกมาให้หมดว่ามีอะไรซ่อนอยู่แล้วจะจัดการให้เด็ดขาด เขาเห็นแต่เธอในความใจดี ต่อไปนี้จะต้องเจอกับบทโหดบ้าง เธอจะสวมวิญญาณแม่เสือสาวตามตะปบเหยื่ออย่างเขาไปทุกฝีก้าว จะไม่ให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว มือเรียวยกลูบหน้าท้องนูนพร้อมกับเอ่ยปากบอกกับลูกว่า
“เป็นกำลังใจให้แม่ คอยช่วยแม่กำราบพ่อเขาด้วยนะลูก”
คนเจ้าเล่ห์หายเข้าไปในห้องน้ำนานมากราวกับต้องการจะหลบเลี่ยง ปิดบังความลับ รุ้งกมลนั่งรอสามีอยู่นานจนเขาเปิดประตูห้องน้ำออกมาพบกับสายตาคมๆ เข้ากับพอดี
“อุ้ย!” ฟรานเซเซียสตกใจกับสายตาของภรรยา นี่เธอนั่งรอเอาเรื่องเขาอยู่แน่ๆ เลย อุตสาห์เข้าห้องน้ำไปตั้งนานก็ยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก สมองยังกับคอมพิวเตอร์ “นั่งอยู่ทำไมจ๊ะ ทำไมไม่เอนหลัง เดี๋ยวก็เมื่อยแย่”
“เอนตัวนอนไม่ลงค่ะ กลับมาเคลียร์เรื่องพีรยาเดี๋ยวนี้นะคะ คุณกับเธอมีอะไรกันหรือเปล่า”
ร่างกายกำยำยังมีหยดน้ำเกาะอยู่พราวตามเนื้อตัว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กพันเกาะสะโพกเอาไว้ง่ายๆ อย่างหมิ่นเหม่ ร่างสูงเดินไปหาภรรยาที่นั่งอยู่บนเตียง หน้าจ๋อยซีด “ไม่มีอะไรจริงๆ จ๊ะ”
“แต่ท่าทางของคุณบอกฉันว่าคุณยังเจอกันอยู่แม้ว่าเธอจะลาออกจากงานไปแล้ว” เธอดักทางพร้อมกับจ้องตาเขา สามีนอกใจเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ มันช้ำใจจนแทบแหลกสลาย สิ่งที่เขาทำตัวดีมาทั้งหมดมันจางหายไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
“เจอกัน แต่ไม่ได้มีอะไรกันจ๊ะ แต่เจอกันตอนทำงานเท่านั้นเอง” ฟรานเซเซียสนั่งลงบนขอบเตียง แก้ตัวน้ำขุ่น จริงอยู่ว่าเขากับเพียงอรไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่มันก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจพอที่จะมองภรรยาได้เต็มตาเหมือนภาวะปกติ
“ไหนคุณว่าเธอลาออกไปแล้วไงคะ แล้วทำไมยังพูดคล้ายกับว่ายังเจอกันอยู่ เหมือนกับว่าเจอเร็วๆ นี้ด้วย ล่าสุดก็เมื่อวานที่ไปรับฉันที่บริษัท” รุ้งกมลซักไม่เลิกราวกับว่าเธอเป็นตำรวจสอบสวนผู้ร้ายคดีใหญ่ที่สื่อจับตามองเพราะผู้คนให้ความสนใจ
“พอดีว่าบริษัทที่ผมเซ็นสัญญาให้มาดูแลการต่อเติมอาคารเป็นบริษัทของคุณพ่อเธอ เธอก็เลยมาวนเวียนตรวจงานอยู่ เธอมาคุมงานน่ะ ไม่ได้มาวนเวียนหรอก” จะพูดจะจาอะไรก็ดูติดขัดไปหมด ปากมันดูหนายังกับแฮมเบอเกอร์ ขยับพูดไม่ถนัด
“เหรอคะ โชคดีจังเลยนะคะที่เราได้บริษัทเก่งๆ มาคอยดูแล ซ้ำยังมีตัวแทนเจ้าของบริษัทมาควบคุมการทำงานของลูกน้องอีก บริษัทอย่างนี้หายากนะคะ เดี๋ยวคุณไปดูงานอีกวันไหนฉันจะขอไปด้วย อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันว่าทำงานยังไงกัน แล้วงานเดินไปถึงไหนแล้ว” หญิงสาวบอกแล้วขยับตัวลงจากเตียงไปอาบน้ำเพราะว่าวันนี้นัดพีรยากับการินเอาไว้ว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ กันที่บ้าน หลังจากที่ไม่ค่อยมีเวลาสังสรรค์กันเท่าไหร่ การทำงานผสมกับการมีครอบครัวทำให้เวลาส่วนตัวมันหายไปเกือบหมด พอเมื่อไหร่มีเวลาว่างก็อยากพักผ่อนอยู่เฉยๆ มากกว่าออกไปเที่ยวเล่น ย่ิงเธอตั้งท้องแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง เดินเหินลำบาก
ฟรานเซเซียสนั่งอยู่บนเตียงใจหายวาบราวกับโดนมีดจ่ออยู่ที่หลัง ขยับตัวนิดเดียวก็โดนคมมีดกดกรีดแน่ ไม่น่าเชื่อว่ารุ้งกมลจะดุคล้ายนางเสือป่า คิดแล้วก็รีบไปแต่งตัวให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สบายๆ เหมือนกับที่ชอบสวมเสมอเวลาว่างเว้นจากการทำงาน เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วภรรยาก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ จึงเดินไปแนบหูกับประตูห้องน้ำ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านใน ชายหนุ่มกลัวว่าเธอจะลื่นล้มหรือเวียนหัวคลื่นไส้
“รุ้ง อาบน้ำเสร็จหรือยัง วันนี้คุณอาบน้ำนานจัง เป็นอะไรหรือเปล่า ส่งเสียงให้ผมรู้หน่อยสิ”
รุ้งกมลในชุดเสื้อคลุมขนหนูสีขาวเปิดประตูออกมาพบกับสามีที่ยื่นขวางทางออกอยู่ “มายืนทำไมตรงนี้คะ”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปกอดหญิงสาวเอาไว้ด้วยความรัก “เพราะผมรักผมแคร์ความรู้สึกของคุณ ผมกลัวคุณโกรธ กลัวสารพัดอย่าง ผมไม่ชอบเห็นเราเป็นแบบนี้เลยรุ้ง ผมไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ก็ไม่ใช่ไม่ผิดเสียเลย ผมผิดที่ไม่เคยบอกคุณว่าเพียงอรมาคุมงานที่กาสิโน ไม่ได้บอกว่าเธอออกจากงานแล้ว แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเธอยังมาทำตัวใกล้ชิดผมอยู่ แต่ผมไม่ได้นอกใจคุณนะรุ้ง ไม่เคยคิดนอกใจคุณเลยด้วย”
“ฉันเชื่อคุณค่ะ ผู้หญิงน่ะคะ คิดมากแบบนี้ล่ะ จู้จี้จุกจิกด้วย คุณพยายามเข้าใจฉันหน่อยนะคะ แล้วฉันก็เครียดในเมื่อฉันไม่พร้อมให้ความสุขกับคุณในตอนนี้ บางทีฉันอาจจะต้องยอมให้คุณไปนอกลู่นอกทางบ้างก็ได้” หญิงสาวพยายามยามทำใจให้ยอมรับตัวเขา ยอมรับความจริงในช่วงเวลาแบบนี้
“คุณอย่าคิดไปแบบนั้นสิรุ้ง คุณดีจนผมไม่คิดเห็นแก่ตัวแบบนั้นหรอก ผมรักคุณ รักลูกมากเกินกว่าจะทำตัวออกนอกลู่นอกทางได้ คุณคือดวงใจของผมนะ ถ้าคุณไม่มีความสุขแล้วผมจะมีความสุขได้ยังไงล่ะรุ้ง ถ้าเรื่องแค่นี้ผมอดทนไม่ได้ผมก็เป็นผู้ชายที่แย่เต็มทน ซึ่งผมจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดีของลูก” แรงสะอื้นจากภรรยาทำให้เขาต้องหลับตาขับไล่ความสะเทือนใจ
“ขอบคุณค่ะฟรานเซียส ฉันดีใจที่มีคุณ” เธอขยับตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น สองมือยกประคองดวงหน้าเข้มแล้วเขย่งตัวยื่นหน้าไปจุมพิตที่ปากหนา
เขาโต้ตอบเธอกลับมาด้วยจุมพิตร้อนแรงและเรียกร้องที่พยายามกดเก็บมันเอาไว้ รุ้งกมลรับทราบอยู่แก่ใจว่าสามีต้องการอะไร แต่เธอไม่มีความต้องการแบบนั้นตอนนี้ เพราะกังวลหลายเรื่อง ทั้งกลัวลูกไม่แข็งแรง ใจหนึ่งกังวลสามีจะเบื่อเหมือนกัน เมื่อเหตุผลรวมกันแล้วจึงส่งผลให้เครียด
ฟรานเซเซียสถอนจุมพิตจากปากอิ่มพร้อมกับใช้มือไล้แก้มนวล “คุณกำลังเครียดผมรู้ ห้ามเครียดนะรุ้ง ผมจะไม่สบายใจตามไปด้วย”
“ค่ะ”
“ไป ผมจะช่วงแต่งตัวนะ จะได้ลงไปทานข้าวเช้ากัน ยิ้มก่อนที่รัก ยิ้มให้ผมดูหน่อยว่าคุณมีความสุขอยู่” เขาสั่งแกมข้อร้องภรรยา
หญิงสาวย้ิมให้กับสามี แล้วเดินตามแรงประคองของเขาไปนั่งที่หน้ากระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง ฟรานเซียสดูแลเธอทุกอย่าง ตั้งแต่เช็ดตัว เช็ดผม ทาโลชั่นบำรุงผิวแล้วก็ทาครีมบำรุงหน้า หวีผม สุดท้ายก็ไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้ ชุดคลุมท้องนั้นสวมไม่ยาก แค่สวมใส่ศีรษะก็ดึงปลายลงคลุมขาได้เลย เสร็จแล้วก็พากันลงไปข้างล่างทานอาหารเช้าโดยไม่รอการินและพีรยา เพราะสองคนนั้นโทรมาบอกว่าจะมาบ่าย ติดธุระนิดหน่อย
//////////////////////////////////////////////
ยามบ่ายรุ้งกมลนอนเอนอิงกับอกกว้างของสามีบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น มันเป็นอิริยาบถที่ชวนสบาย ในมือถือหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็ก ส่วนอีกมือที่เหลือกุมมือใหญ่เอาไว้ หญิงสาวเลือกซ้ือหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อว่าสามีจะได้อ่านด้วยได้ พอถึงเวลาลูกลืมตาดูโลกจะได้ช่วยกันเลี้ยง
“คุณว่าลูกเราตัวเท่าไหนแล้วรุ้ง” ฟรานเซเซียสถามภรรยาท่ีข้างหูของเธอ ขณะที่สายตามองดูรูปภาพเด็กรอบเล็กๆ ในหนังสือเล่มหนา
ดวงตายาวรีกวาดตามองไปยังรูปาภาพในหนังสือ เลือกไม่ถูกเลยจริงๆ ท้องเธอไม่ใหญ่ แต่เด็กในรูปทำไมถึงได้ดูตัวใหญ่จังเลย หญิงสาวเคยปรึกษาคุณหมอว่าทำไมท้องมีขนาดเล็ก คุณหมอบอกว่าไม่ต้องกังวล ท้องแรกก็แบบนี้ล่ะ
“ท้องฉันเล็กน่าจะสักสามกิโลได้ไหมคะ ลูกคงจะหน้าตาหล่อเหมือนคุณแน่ๆ”
“แล้วถ้าเกิดผลอุลตาซาวน์มันผิดไปล่ะ จริงๆ แล้วลูกเราออกมาเป็นผู้หญิง คุณว่าหน้าตาจะเหมือนใคร เหมือนผมหรือว่าเหมือนคุณ” ชายหนุ่มถามภรรยา
ใบหน้าที่เร่ิมอูมขึ้นแหงนมองสามี “ให้ลูกหน้าตาเหมือนคุณ เพราะว่าฉันรักคุณมาก ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามแต่”
กำลังนั่งคุยกันเสียงกดออดก็ดังขึ้นได้ให้ยินชัดเจน ฟรานเซเซียสจึงเอ่ยว่า “สงสัยสองคนนั้นมาแล้วมั้ง”
เจ้าของร่างอิ่มเอิบค่อยๆ พยุงตัวเองลุกนั่งโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ “วันนี้เมื่อยๆ ยังไงพิกลนะคะ ปวดตัวด้วย ไม่อยากจะเดินไปไหนเลย”
“ผมว่าคุณลางานเถอะรุ้ง ผมว่าคุณไปทำงานไม่ไหวแล้ว ถ้าลาไม่ได้ผมคิดว่าคุณควรจะลาออกได้แล้วนะ”
น้ำเสียงของสามีเคร่งเครียดเสียจนผู้เป็นภรรยาวิตก หรือเธอบ้างานเกินไปจนไม่มีเวลาใส่ใจทั้งตัวเขาและตัวเอง ยังไม่ทันที่รุ้งกมลจะพูดอะไรออกมา เสียงของพีรยาก็ดังเข้ามาก่อน คู่สามีภรรยาหมาดๆ กำลังเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษหลายถุงแล้วก็มีพวกเครื่องดื่มเพ่ือสุขภาพโดยการินเป็นคนหอบข้าวของพะรุงพะรังมาทั้งหมด
“มาแล้วจ้า พร้อมกับเสื้อผ้าของหลานแล้วก็เครื่องดื่มบำรุงกำลังของแม่” พีรยายิ้มแป้นมานั่งข้างเพื่อนสาว ปล่อยให้สามีเลือกที่นั่งเอาตามสบายพร้อมกับข้าวของในมือ
“โอ้โห... รุ้งดูตัวบวมขึ้นเยอะเลยนะ” การินส่งของให้กับแม่บ้านเพื่อให้เอาไปเก็บไว้ที่
สองสามีภรรยาลั้ลลากันสุดฤทธิ์ ขัดกับอารมณ์เจ้าของบ้านชัดเจน การินเป็นคนสังเกตุเห็นก่อนเลยเงียบ แต่ภรรยาของเขาสิ ยังพูดปร๋อไม่ดูดินดูฟ้าอากาศบ้างเลย “ฉันซื้อของมาให้หลานเยอะแยะ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า แล้วก็ซื้อนม ซื้อแบรนด์มาให้เธอดื่มจะได้แข็งแรง แล้วนี่จะคลอดแล้วใช่ไหม ฉันอยากจะเห็นหน้าหลานใจจะขาด อยากรู้ว่าหน้าจะเหมือนใคร”
“แพ็ต” การินเรียกชื่อภรรยา
“อะไรคะ อย่าพึ่งกวน แพ็ตจะคุยกับรุ้ง” เธอบอกแล้วหันหน้าไปมองเนื้อตัวของเพื่อนที่ดูบวมกว่าปกติคงเพราะจวนเจียนจะคลอดเต็มที “นี่ตัวเธอบวมแล้วนะเนี่ยรุ้ง หน้าก็บวม มองไม่เห็นสวยงามที่เคยมี นี่คงถูกเจ้าตัวเล็กดูดเอาความสวยไปหมด”
“แพ็ต” การินเรียกภรรยาอีกครั้ง
“อะไรคะพี่การิน” พีรยาหันไปทำสายตาดุให้สามี
“บ้านแตกแล้วค่ะ เรามาผิดเวลา” ชายหนุ่มยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบกับภรรยา
พีรยาหันหน้าไปมองเพื่อน ผ่านไปหาฟรานเซเซียส ปิเอโร่ แววตาของทั้งคู่กำลังมัวหมองได้ที่ ความตึงเครียดกระจายไปทั่วทุกอณู เจ้าของใบหน้าหวานยื่นหน้าไปกระซิบถามเพื่อน “เป็นอะไรกัน”
“มาคุ เธอกับคุณการินดันมาก่อน ฉันเลยยังไม่ได้ง้อ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันก็ง้อได้ เขาไม่เคยงอน เชื่อว่าไม่งอนนานหรอก สบาย” รุ้งกมลกระซิบตอบเพื่อน เธอไม่แน่ใจหรอกว่าง้องอนสามีน่ะง่ายจริงหรือเปล่า ก็เพราะเขาไม่เคยดุเธอเลยตั้งแต่แต่งงานกันมา เขาจะพูดด้วยเหตุผลตลอด
“แน่ใจนะเธอ” พีรยาขอคำยืนยัน
“แน่ใจสิจ๊ะ” รุ้งกมลเช่ิดใส่แล้วหันหน้าไปหาสามีที่นั่งหน้าน่ิ่งสนิท “คณการินกับแพ็ตมาแล้ว เราไปทานข้าวเที่ยงกันเถอะค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันนัดหมอเอาไว้จะไปไม่ทัน”
ทั้งหมดพากันไปทานข้าวเที่ยง พีรยาไม่เห็นว่าเพื่อนจะใช้ความพยายามในการอ้อนขอคืนดีสามี มีแต่ทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย คงเพราะถูกปาก หญิงสาวไม่อยากคิดว่าหากเธอมีอายุครรภ์เท่ากับเพื่อนแล้วจะทำตัวแปลกไปหรือเปล่า เธออยากแปลกไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ให้เหมือนรุ้งกมล ที่ดูว่าจะคอยให้ฟรานเซเซียสเอาอกเอาใจอยู่ฝ่ายเดียว
ทานอาหารเสร็จก็ออกมานั่งคุยกัน รุ้งกมลพาพีรยามาพูดคุยกันที่หน้าบ้าน ปล่อยให้ผู้ชายสองคนนั่งจิบเบียร์เย็นใจอยู่ด้านใน ส่วนมาก็คุยกันเรื่องการตั้งครรภ์เพราะพีรยาก็กำลงจะมีน้องเหมือนกัน ส่วนคุณผู้ชายคงคุยกันเรื่องธุรกิจแล้วก็เพื่อนอีกตามเคย จนถึงเวลาที่เจ้าของบ้านต้องพาภรรยาไปพบแพทย์ ปาร์ตี้ก็จบลงด้วยดี
/////////////////////////////////////////////
ดวงตายาวรีมองหน้าคร้ามเข้มฝ่าความมืดสลัวแห่งค่ำคืน ฟรานเซเซียสยังคงอยู่ตรงนี้ไม่ทิ้งเธอไปไหน เวลาเขาไม่พอใจเขาจะนิ่ง น่ิงมากจนดูน่ากลัว ผิดกับผู้ชายเจ้าอารมณ์ที่จับเธอมากักขัง ทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดเชือดเฉือน เวลาโกรธก็ตรงเข้ามาหาเรื่อง เอะอะโวยวายสารพัดเพื่อทำให้เธอต้องศิโรราบให้กับเขา ดวงตาเขาปิดสนิทไม่เหลือคราบผู้ชายขี้งอนเลย
รุ้งกมลนอนคิดทบทวนถึงคำพูดของแพทย์ที่บอกว่าต้องครอดก่อนกำหนด กำหนดวันที่เอาไว้ให้กลางเดือนหน้า สรุปแล้วอายุครรภ์นั้นนับได้แปดเดือนเศษ หญิงสาวมีความคิดที่จะส่งใบลาไปให้พี่ตอง ลองขอว่าจะนำงานกลับมาทำที่บ้านได้หรือเปล่า เพราะเดินทางไปทำงานไม่ได้แล้ว เท้ามันบวมไปหมด เมืื่อเย็นตอนอาบน้ำยังให้ฟรานเซียสอุ้มไปส่ง เขาก็ใจดีช่วยดูแลอาบน้ำให้ แล้วก็เช็ดตัว แต่งตัวให้ ดูแลทุกเรื่อง สามีแบบนี้เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาผิดหวังในตัวเธอไม่ได้ ร่างอิ่มเอิบขยับเข้าไปใกล้ร่างใหญ่ที่เปลือยเปล่า แอบอิง ซุกซบขอไออุ่นจากกายเขา พอเธอเข้าไปใกล้เขาก็โอบกอดเธอเอาไว้อัตโนมัติ ในที่สุดเธอก็หลับลงไปพร้อมกับความครุ่นคิด
ฟรานเซเซียสตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ มือใหญ่ยกลูบใบหน้าก่อนก้มหน้ามองผู้หญิงที่อิงแอบอยู่กับอกกว้าง ปากหนาแย้มยิ้ม รู้สึกดีที่เธออยู่ใกล้ๆ ในชีวิตนี้คงจะมีเพียงเธอกับลูก ชายหนุ่มขยับตัวออกห่างภรรยาเพื่อลงไปอาบน้ำ วันนี้เขาจะเข้าไปดูกาสิโนหน่อยว่าการดัดแปลงต่อเติมนั้นไปถึงไหนแล้ว เพียงอรบอกว่าช่างก่อสร้างจะทำงานกันทุกวัน ไม่มีวันหยุด ซึ่งจะทำให้โรงแรมเสร็จก่อนกำหนดอีกเป็นเดือน
ดวงตายาวรีเปิดเปลือกตาขึ้นมองด้านหลังเปลือยเปล่าของสามีที่เดินเข้าห้องน้ำไป เลยงัวเงียถามเสียงแหบเครือว่า
“ฟรานเซียสคะ วันนี้คุณจะไปไหนเหรอคะ”
“ผมจะไปดูงานหน่อยที่รัก ช่างก่อสร้างเขาไม่หยุด บางทีผมอาจจะต้องเซ็นเช็คจ่ายเงินงวดที่สองไปด้วย” ชายหนุ่มตะโกนออกจากห้องน้ำแล้วเปิดก๊อกให้น้ำจากฝักบัวโชลมลงบนร่างกาย
“ฟรานเซียส ฉันรักคุณนะคะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะลางาน หรือไม่บางทีก็จะลาออก” พูดออกไปแล้วก็แทบขาดใจเพราะรักงานชิ้นนี้มาก แต่รักสามีและลูกมากกว่า
เสียงสายน้ำเงียบสนิทลง ชายหนุ่มยืนน่ิงเงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอก “เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะที่รัก”
“ฉันบอกว่าฉันรักคุณค่ะ รักมากกว่าอะไรทั้งหมด ฉันจะลาออกจากงานค่ะที่รัก คุณได้ยินชัดหรือยัง” หญิงสาวแทบตะโกนเพื่อให้เขาได้ยินชัดๆ ครู่เดียวสามีก็ว่ิงออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น หยาดน้ำยังเกาะพราวอยู่ทั่วร่าง
“จริงๆ นะรุ้ง โอ้ย! ผมดีใจแทบบ้า นึกอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมต้องให้เมียไปนั่งลำบากทำงานให้กับคนอื่น ท้ังที่ความจริงผมเลี้ยงคุณได้ ไม่ต้องลำบากเลยสักนิด” เขาเดินไปจุมพิตที่ปากอิ่มเร็วๆ ด้วยความดีใจ
“พาฉันไปอาบน้ำด้วยค่ะ ฉันจะไปกาสิโนกับคุณ ไปดูสิว่าวันนี้จะมีใครมาเกาะแกะสามีของฉันหรือเปล่า” หญิงสาวพูด
“เดินไม่ไหวแล้วจะไปยังไง เดี๋ยวไปถึงที่โน่นจะไม่มีที่นั่ง คุณจะเหนื่อยนะที่รัก” เขาเตือนด้วยความหวังดี
“เหรอคะ แต่ฉันไม่สน ฉันจะต้องไปให้ได้” เธอบอกแล้วค่อยๆ ไถลตัวลงจากเตียงโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ
“ระวังหน่อยที่รัก เดี๋ยวล้มเอาจะแย่” ฟรานเซเซียสบอกภรรยาแล้วค้อมตัวอุ้มร่างอิ่มเอิบแนบอก เดินเข้าห้องน้ำไป ดูแลเธอเหมือนที่เคยทำ
ภรรยาของเขาท้องโตขึ้นทุกวันๆ ตอนนี้เหมือนว่าเนื้อต้นขาจะปริแยกออกจากกันแล้ว เธอเป็นแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ เขาภูมิใจที่ได้ดูแลเธอในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิต และจะทำต่อไปจนตายจากกัน
//////////////////////////////////////////////////////
กาสิโนที่สร้างคล้ายๆ กับโรงแรมหรูตั้งตระหง่าน เด่นกว่าทุกตึกในละแวกนี้ แต่การตกแต่งงานสวยงามกว่าโรงแรมทั่วไป ดวงตายาวรีแหงนหน้ามองโครงสร้างอาคารโดยอิงกายอยู่กับอกกว้างของสามี เธอพึ่งเคยมาสถานที่นี้เป็นครั้งแรก เพราะไม่อยากมาสถานที่อโคจร ตอนแรกก็ดีใจที่ปรมัยจะซื้อไป พอเขาเสียชีวิตก็ผิดหวัง พะวงว่าสามีจะไม่ยอมขายให้กับคนอื่น สุดท้ายก็ดีใจเมื่อเขาบอกว่าจะปรับโครงสร้างเป็นโรงแรม เพื่อจะได้ต่อยอดธุรกิจ ไม่ให้งานที่เคยมีล้มหายไป
หน้ากาสิโนมีรถหลากหลาายชนิดทั้งรถส่วนตัวของช่างก่อสร้าง และรถหกล้อที่ขนอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามา
“ต่อเติมแค่ภายในเหรอคะ”
“ภายนอกมีบ้างเล็กน้อย ไม่มากหรอก แค่เสริมแค่เติม เพราะว่ามันดีและสวยงามอยู่แล้ว” ฟรานเซเซียสบอกภรรยา แล้วประคองเธอเดินเข้าไปในตัวอาคาร
เสียงตอก ขูดหรือแซะดังให้ได้ยินสม่ำเสมอ เศษกระเบื้อง เศษปูน เศษไม้จากการทำงานทำให้รุ้งกมลย่ิงต้องระมัดระวังในการเดิน ถ้าล้มลงไปคงเป็นเรื่องใหญ่ทั้งที่ดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอด ด้านบนเหนือศีรษะก็มีการรื้อถอนฝ้าเพดานออกมาใหม่เพื่อวางโครางสร้างเดินสายไฟกันอีกครั้ง
“เดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องทำงานของคุณเพียงอรก่อนนะว่ามีอะไรให้ผมเซ็นอีกหรือเปล่า” ฟรานเซเซียสบอกภรรยา ชื่อของเพียงอรทำให้เธอออกอาการตึงขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ใส่ใจเพราะมันคงเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอย่างที่เธอเคยบอก ชายหนุ่มประคองภรรยาผ่านถังปูนและเหล่าช่างก่อสร้างไปหาห้องทำงานที่เคยเป็นห้องทำงานของเขา
ทันทีที่ประตูเปิดออก รุ้งกมลก็นึกหมั่นไส้สองสาวด้านในขึ้นมา นี่ขนาดวันอาทิตย์ยังขยันกันได้ขนาดนี้ แล้ววันธรรมดาที่เธอไม่เคยเอะใจมาดูไม่ยิ่งไปกว่านี้หรอกหรือ เพียงอรกับรัตนพรหันมายิ้มเมื่อรู้ว่าใครมา แต่พอเห็นหน้ารุ้งกมลก็เชิ่ดหน้าหนีไป
“สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะคุณเพียงอร คุณรัตนพร” รุ้งกมลเปิดการสนทนาขึ้นก่อน ตอนนี้ระหว่างเธอกับเพียงอรเทียบกันไม่ได้เลย เพียงอรยังดูสวยงาม แต่เธอสิ... ดูอ้วนตุตะ บวมเป่งไม่สวยเลย
“ไปนั่งที่โซฟาดีกว่านะ คุณยืนนานๆ ไม่ดี” ฟรานเซเซียสพยุงภรรยาไปนั่งบนโซฟานุ่มตัวยาวที่ตั้งอยู่มุมห้องฝั่งขวาของประตู ห้องนี้ยังคงสวยงามคงเดิมเพราะว่ายังไม่ถูกรื้อถอนสิ่งของออกไป เพียงอรขอเอาไว้นั่งทำงานก่อนแล้วจะให้ช่างก่อสร้างจัดแจงห้องนี้เป็นห้องสุดท้าย
บรรยากาศโดยรวมในห้องนี้ชวนอึดอัดเหมือนเสือสองตัวอาศัยด้วยกันในถ้ำแคบๆ ต่างคนก็อยากเป็นเจ้าของถ้ำ ส่วนรัตนพรน่ะไม่ต้องพูดถึง 'นายว่าขี้ข้าพลอย' อยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติเด่นของลูกจ้างที่คิดผิด ถ้าทำไม่ได้แบบรัตนพรก็คงไม่มีอนาคตการทำงานที่ดี ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาแล้วหันไปมองหน้าเพียงอรสลับกัน ใจภาวนาขอให้เพียงอรรู้สถานะของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายและเรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จริงอยู่ที่เขากับเธอเคยเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว ด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เขาเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์ลึกซึ้งเมื่อได้เจอกับรุ้งกมล
“วันนี้พารุ้งเขามาทำไมคะ ไม่ใช่สถานที่วิ่งเล่นสักหน่อย” เพียงอรเปิดฉากสงครามย่อยก่อน ไม่แคร์สักนิดว่ารุ้งกมลน่ะเป็นภรรยาของชายหนุ่ม แล้วก็กำลังมีลูกด้วยกัน
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะว่ิงเล่นนะคะ เพราะว่าฉันคงว่ิงไม่ไหวหรอกค่ะท้องใหญ่ขนาดนี้ ก็แค่จะมาดูว่าสามียังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ยังเป็นของฉันอยู่ไหม เพราะว่ามันมีพวกไม่คำนึงถึงศีลธรรมคอยทำลายครอบครัวชาวบ้านอยู่”
ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาไม่เข้าใจความหมายเพราะว่าคราวนี้เธอพูดภาษาไทยไม่ให้เขารู้ ต่างจากเพียงอรที่พูดภาษาอังกฤษอยู่เสมอ ดวงตาคมมองภรรยาแต่เธอทำท่าไม่สนใจเขาเลย
“ฉันมาก่อนเธออีกนะรุ้งกมล ฉันกับฟรานเซียสน่ะเคยเป็นมากกว่าเพื่อนก่อนที่เธอจะเข้ามาด้วยซ้ำ คนที่ผิดศีลธรรมน่าจะเป็นเธอมากกว่า” เพียงอรสวนทันควัน
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ลองไปถามแม่ของเธอดูสิว่าท่านแย่งของใครมาหรือเปล่า ถ้าเธอจะเอาข้อนั้นมาเปรียบเทียบ สำหรับฉันคงไม่ดำน้ำลงไปยกข้ออ้างแบบนี้มาเป็นขออ้างทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมาในสายตาคนอื่น” รุ้งกมลสาดคำพูดกลับไป อารมณ์หึงหวงน่ะ มันสามาถทำให้เห็นช้างตัวเท่ามดไปได้ 'เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร' หญิงสาวต้ังมั่นใจสุภาษิตสอนใจอันนี้มากกว่าจะทำตัวเป็นนักบวชเคร่งศาสนา สละทุกอย่าง
พีรยาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยฤทธิ์โกรธา “เธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่รุ้งกมล”
“นั่นสิคะคุณเพียงอร เราก็อยู่ของเราดีๆ แต่ดันยุ่งเข้ามาก่อกวน” รัตนพรเสริมเจ้านาย
รุ้งกมลหันหน้าไปมองใบหน้าขาวลอยด้วยเครื่องสำอางของรัตนพรแล้วท้อแท้ใจ “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อดูแลสามีให้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา เพราะมันจ้องจะคาบไป คอยดูเถอะถ้าใครยังไม่หยุดฉันจะเขียนคอลัมน์ประจานให้หนังสือ จะไม่ใช้ตัวอักษรย่อด้วย เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร หวังว่าพวกเธอคงจะเข้าใจ เพราะถ้ายังไม่เข้าใจฉันเอาจริงแน่เพียงอร”
คนกลางหน้าเจื่อนมองคนโน้นทีคนนี้ที ไม่รู้ว่าเหล่าผู้หญิงพูดคุยถึงเรื่องอะไรกัน แต่สีหน้าและท่าทางมันน่าเป็นห่วง เกรงจะมีเรื่องกัน “รุ้ง ผมว่าเรากลับบ้านกันเถอะนะ”
เธอหันหน้าไปมองสามีตาเขียว “คุณอยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหมคะ ฉันกำลังตกลงกับคุณเพียงอร”
สีหน้าและแววตาของภรรยาทำเอาสามีสะดุ้ง ไม่คิดว่าเธอจะโหดได้ถึงเพียงนี้ “จ๊ะ”
“ว่ายังไงคะคุณเพียงอร ถ้าคุณไม่เลิกยุ่งกับสามีฉัน ฉันก็จะขอเปิดศึกกับคุณ เอาให้อายกันไปทั่วประเทศ” รุ้งกมลยังคงมุ่งมั่นทวงคืนสามีตัวเองไม่ลดลาวาศอก
“เธออย่ามาขู่คุณเพียงอรนะยัยรุ้งกมล เธอคิดเธอเป็นใคร แล้วคุณเพียงอรเป็นใคร” รัตนพรเต้นแทนเจ้านายที่ยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ กัน
“ฉันจะเป็นใคร ฉันก็เป็นฉัน แล้วเจ้านายเธอเป็นใคร ผู้หญิงที่จ้องจะแย่งสามีชาวบ้านเขาอย่างนั้นหรือ ช่างน่าภูมิใจเหลือเกิน แล้วก็ไม่ต้องมาขู่ฉัน ถ้าเธอยกความใหญ่ของครอบครัวมาอ้าง ก็รู้ไว้ด้วยว่าสามีฉันก็ไม่เคยกลัวใคร แล้วเขาก็คงไม่ปล่อยให้พวกเธอลอยนวลถ้ามาทำอะไรฉันหรอกนะ ถ้าอยากลองวัดกันสักตั้งฉันก็ไม่เกี่ยงจะรับมือ” หญิงสาวแหวออกไปจนลูกดิ้น คงอยากให้กำลังใจแม่
เพียงอรทนฟังรุ้งกมลพูดเสียดแทงใจไม่ได้ อยู่ดีๆ เธอก็กรีดร้องออกมาแล้วก็จ้ำเดินออกจากห้องไปตามด้วยแม่รัตนพรที่ติดตามเจ้านายออกไป
ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาเมื่อทุกคนออกจากห้องกันไปหมดแล้ว “เกิดอะไรขึ้นน่ะรุ้ง บอกผมที”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันกับเพียงอรก็แค่เคลียร์ใจกันเท่านั้นเอง ตอนนี้จบแล้วล่ะค่ะ คุณจะเดินตรวจงานสักหน่อยไหมคะ ฉันจะน่ังรออยู่ทีนี่” เธอถามสามี รู้สึกโล่งใจที่กำจัดเพียงอรออกไปจากเส้นทางชีวิตรักได้
“คุณพูดอะไรกับเธอรุนแรงไปหรือเปล่า เธอถึงสะบัดเดินออกไป” เขาถามหวั่นๆ รู้สึกเห็นใจเพียงอร ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง
แต่สำหรับรุ้งกมลแล้ว เธอไม่เห็นใจเพียงอรสักนิดเดียว ยิ่งสามีพูดก็ย่ิงโมโห “ทำไมล่ะคะ คุณจะไปปลอบใจเธอหรือยังไง ถ้าจะทำแบบนั้นก็ช่วยเลือกเลยว่าระหว่างฉันกับเธอ คุณจะเลือกใคร ถ้าเลือกฉันก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก จำไว้ด้วยว่าฉันหึง”
คนตัวโตนั่งลงข้างภรรยา ยิ้มแป้นสู้ “ผมก็เลือกคุณสิจ๊ะที่รัก ไม่เลือกคุณแล้วจะมาแต่งงานกับคุณทำไมล่ะ รักจะแย่อยู่แล้วเนี่ย กลับบ้านกันดีกว่านะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยเข้ามาตรวจงานใหม่ ดูคุณจะเหนื่อยๆ”
เขาพารุ้งกมลกลับบ้าน รับรู้แล้วว่าผู้ชายกลัวเมียเป็นแบบนี้เอง ทั้งกลัวทั้งเกรง ความรู้สึกตีกันวุ่นไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอก็ตัวเล็กลงคล้ายกับแมวเชื่องๆ ส่วนเธอเป็นดั่งสิงโตตัวใหญ่ คำรามเสียงดังกระหึ่มลั่นป่า
รุ่งขึ้นของอีกวัน เขาขับรถไปส่งภรรยาที่ทำงาน เธอบอกว่าจะลางานยาว แต่ขอไปดูแลปิดหนังสือก่อนว่าเรียบร้อยดีหรือยัง แล้วเขาก็เลยไปดูงานที่กาสิโน วันนี้เพียงอรกับรัตนพรไม่ได้มาทำงาน แล้วก็หายไปเลย ให้พี่ชายมาดูงานแทน ฟรานเซเซียสรู้สึกสบายใจที่เรื่องราวพิษรักแรงหึงจบลงไปได้ด้วยดี
///////////////////////////////////////////////////
บทสุดท้าย
“อุแว๊... อุแว๊”
เสียงร้องของลูกชายตัวจิ๋วที่นอนอยู่ในเปลข้างเตียงทำให้รุ้งกมลลืมตาลุกขึ้นมองฝ่าความมืดไปหาลูกน้อยในเปล มือเรียวคว้าขวดนมที่เหลืออยู่ครึ่งขวดส่งเข้าปากเล็กๆ ผู้เป็นแม่ยิ้มเมื่อเห็นลูกชายวัยสี่เดือนตั้งหน้าตั้งตาดูดนมจากขวด เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวเจ้าตัวจิ๋วก็นึกอยากจะคว่ำหน้าบ้างแล้ว
เธอดูแลลูกชายเรียบร้อยก็กลับไปนอนบนเตียง ทันทีที่เอนตัวลงนอนก็ถูกรวบไปกอดจากทางด้านหลัง ฟรานเซเซียสรับรู้ได้ว่ารูปร่างของภรรยากลับคืนเข้าทีเรียบร้อยแล้ว ความอิ่มเอิบจางหายไปโดยมีผู้หญิงรูปร่างอรชรเข้ามาแทนที่ หน้าอกอิ่มขึ้น สะโพกก็ผายขึ้นสักนิ้วได้ มือใหญ่เลื่อนลงไปสำรวจสะโพกกลมกลึ่ง คิดไปคิดมาก็ตรวจดูหน้าอกด้วยดีกว่า
รุ้งกมลรีบตะบปมือซุกซนของสามีทันที “อืม... อะไรกันคะเนี่ย ตายังหลับอยู่เลยคุณน่ะ”
จมูกโด่งคมสันซุกอยู่กับพวงผมของภรรยา ส่วนมือน่ะเธอห้ามเขาไม่ได้หรอก ขณะที่ตายังปิดก็พูดออกมาว่า
“ได้นอนอย่างนี้แล้วมีความสุขดีน่ะ ผมคิดว่าผมชอบนะ”
“คุณนอนหลับสลาย แต่ฉันนอนลำบากน่าดู” รุ้งกมลประท้วงสามีแล้วก็สะดุ้งเมื่ออกอิ่มถูกคลึงเคล้น แม้จะมีชุดนอนผ้ามันเป็นฉากกั้นอยู่ แต่เธอไม่ได้สวมข้างในนี่สิ
“ที่รัก นานแล้วนะ ที่คุณไม่สนใจผมเลย ผมไช่นักบวชนะ ถ้าคุณไม่สนใจผมนานๆ แบบนี้ผมจะเสียคนนะ แล้วจะโทษผมไม่ได้นะทีนี้” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกภรรยา
ภรรยาเหวอ นึกตำหนิตัวเองสารพัด เห็นเขาไม่สนใจอยากร่วมรักก็ไม่คิดอะไรเพราะว่าเธอก็มัวแต่เลี้ยงลูกอยู่ พอวันนี้เขาพูดออกมาก็ได้สติ เธอเป็นคนตามหึงหวง พอได้กลับคืนมาแล้วก็ปล่อยทิ้งละเลยหน้าที่ ร่างอรชรพลิกตัวกลับไปมองหน้าสามี ตอนนี้เขานอนลืมตามองเธออยู่ ดวงตาวาววับ ซุกซนเหลือเกิน สายตาอ้อนวอน เรียกร้อง
“ย้ายไปห้องเล็กกันสักครู่ดีไหมคะ” เธอคว้ามือใหญ่ลงจากเตียง จูงสามีที่สวมกางเกงชั้นในแบบเต็มตัวออกจากห้องนอนใหญ่ไปสู่ห้องนอนเล็กที่อยู่ข้างห้องนี้
ฟรานเซเซียสมองภรรยาที่สวมชุดนอนผ้าลื่นสายเดี่ยวอวดเนินอก ความสั้นก็เผยให้เห็นเรียวขาต้งแต่แก้มก้นลงมา เธอสวมชุดแบบนี้นอนทุกคืนแต่ไม่สนใจเขาเลย ใครหน้าไหนมันจะทำใจได้กับภาพที่เห็น ยิ่งตอนนี้เขาแทบอยากกลั้นใจ อารมณ์และความต้องการทางร่างกายมันเรียกร้องจนแทบห้ามใจไม่ไหว พอถึงเตียงเธอก็ผลักอกเขาลงไปนอน
รุ้งกมลยืนจ้องตาคมอยู่ข้างเตียง สองมือก็ค่อยๆ ถอดชุดนอนออกด้วยความเชื่องช้า กว่ามันจะพ้นออกจากศีรษะสามีก็อ้าปากค้างมองสำรวจเรือนร่างอรชร โดยเฉพาะอกอวบที่กำลังชูชัน เธอเดินไปหาเขาช้าๆ ค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างเขา ใช้น้ิวเหน็บปอยผมไว้ที่หลังใบหูแล้วก้มลงไปจูบปากหนา
ชายหนุ่มรั้งร่างอรชรลงไปนอนแทนที่ “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมดีกว่านะ เพราะผมรอคอยเวลานี้มานาน” เขาขยับตัวลงไปที่ปลายเท้าของภรรยา ไล่จุมพิตจากปลายเท้าสะอาดอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีซอกไหนหลืบไหนหลุดพ้นปากหนาไปได้ แล้วย่ิงได้ใจเมื่อรุ้งกมลบิดร่างเพราะสยิว สองมือของเธอไล้อยู่ใต้อกอิ่มของตัวเอง แล้วเขาก็ไล่ไปหาปากอิ่ม จูบเรียกร้องเร่งเร้าเอาแต่ใจจนเธอแทบจะขาดใจตายให้ได้ ภายใต้ความอ่อนโยนที่เขาบำเรอให้มันมีความร้อนแรงซ่อนอยู่ ร่างจุดที่เขาสัมผัสสร้างความรัญจวนจนแทบทนไม่ได้ สองมือก็เลยสัมผัสร่างกำยำบ้าง
ร่างกายแข็งแรงเกร็งเครียด อัดแน่นไปด้วยห้วงอารมณ์ดำกฤษณ์ เขาทนรอเวลาไปมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วจึงเคลื่อนกายหาแอ่งร้อน แล้วเร่งเร้าจังหวะเข้าหา ความเครียดได้ปลดปล่อยออกไป เสียงครางกระเส่าจากปากอิ่มครวญครางออกมาให้ได้ยินสม่ำเสมอ สองมือวางอยู่เหนือบ่าใหญ่ พอความเสียวซ่านซึมซาบก็กดกรีดเล็บลงไปแรงๆ รู้สึกราวถูกโยนลงมาจากฟากฟ้าสู่เบาะนุ่มแสนละมุน ใบหน้าเข้มยังคงซุกซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นเพราะถูกสูบเร่ียวแรงไปจนหมด ขณะที่รุ้งกมลยังหลับตาพร้ิมเพราะยังรู้สึกซ่านไปทั้วทุกอณูของร่างกาย ความสุขสมหลังจากที่ห่างเหินมานานมันปลุกให้ความต้องการเกิดขึ้นมาอีก ต่อจากนี้เธอจะไม่ทิ้งให้สามีต้องเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวกายอีกแล้ว
“ขอบคุณนะที่รัก ผมรักคุณที่สุด” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกอยู่ที่ซอกคอหอมๆ ก่อนขยับตัวหงายหน้านอนข้างภรรยาที่ยังคงหลับตาพร้ิมอยู่ มือใหญ่ลูบไล้ไปที่ต้นสะโพก ผิวเนื้อละเอียดละมุนมือ
ปากอิ่มพึมพำถามสามี “มีความสุขหรือเปล่าคะ”
“ที่สุดเลย” เขาบอกแล้วยื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่มแรงๆ
“ขอโทษนะคะที่ฉันละเลยคุณมาตลอด” เธอลืมตามองหน้าสามี ยืนมือไปลูบไล้สันกรามของเขา
“ผมก็ยอมได้แค่นั้นล่ะ วันนี้ถึงได้ไม่ยอมแล้วไง ไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้าคุณยังนิ่งเฉยบ้านคงแตกแน่วันนี้” เขาพูดตามตรง พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ก็ห้ามไม่ได้จริงๆ ในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
รุ้งกมลหัวเราะ “บ้านคงไม่มีวันแตกหรอกค่ะ เพราะฉันรู้ตัวก่อนเสมอ ต่อจากนี้ไปจะป้อนสวาทให้จนต้องร้องอ้อนวอนให้หยุดเลย”
“คุณช่างขู่อะไรที่น่ากลัวเหลือเกิน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะจริงอย่างปากว่าหรือเปล่านะที่รัก” ปากหนาแย้มยิ้มใส่ตาภรรยา จริตของเธอยังคงกระตุ้นความต้องการของเขาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่น
“ฉันไม่ชอบให้ใครท้า” เธอบอกแล้วยื่นหน้าไปจูบปากหนา แสดงให้เขาเห็นว่าเธอพูดจริงทำจริง
เพลงรักที่เร่าร้อนถูกบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้จังหวะมันร้อนแรงและเร่งเร้าจนเครื่องดนตรีแทบระเบิด ดูเหมือนนักดนตรีกำลังอวดลวดรายเอาชนะกันอยู่ ต่างคนไม่มีใครยอมแพ้ใครในความสามารถอันล้นเหลือ ไม่มีใครโกรธ ไม่มีใครอิจฉาในความเก่งกล้า มีแต่ชมเชยและเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ ทันทีที่หนังกลองแตก ร่างเปล่าเปลือยทั้งสองก็เทบสลบอยู่บนเตียงนุ่ม
ฝ่ายหญิงนอนซกซบอยู่กับอกกว้าง ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่เลย แต่ก็ฝืนขยับปากพูดออกมา
“คุณต้องสวมเสื้อผ้าให้ฉันแล้วอุ้มฉันกลับห้องแล้วล่ะค่ะที่รัก เดี๋ยวลูกจะร้อง”
“ผมทำอะไรแล้วรับผิดชอบเสมอน่า” ชายหนุ่มกล่าวติดตลก แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขยับลงจากเตียงไปสวมกางเกงใน ก้มหยิบชุดนอนตัวจิ๋วติดมือไปแต่งตัวให้ภรรยาที่ยังนอนหลับตาพร้ิมเพราะโดนเขาสูบเรี่ยวแรงมาจนหมด “เหนื่อยคนเดียวเลยผม ทั้งบำเรอสวาท ทั้งดูแลเทคแคร์”
เจ้าของร่างอรชรลืมตาขึ้นมองสามีขณะที่เขาช้อนตัวเธออุ้ม “พูดอย่างนั้นได้หรือคะ ฉันว่าฉันก็เก่งไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก เพราะเก่งเรื่องครูพักลักจำ ฉันไม่ได้นอนน่ิงเป็นขอนไม้สักหน่อย”
ฟรานเซเซียสหัวเราะขณะอุ้มภรรยากลับห้อง “ล้อเล่นจ๊ะที่รัก คุณน่ะยิ่งกว่าแม่เสือสาวเสียอีก ผมนี่หมดแรงไปเลย คืนนี้คงหลับไม่ลง คิดหาลีลาท่าทางมาปราบแม่เสือสาวดาวยั่ว”
เธอฟังเขาพูดแล้วก็หลับคาอ้อมอกของเขา คิดในใจว่า 'ฉันน่ะเป็นภรรยาที่ดูแลสามีและลูกไม่ตกหล่นยามอยู่บ้าน และก็เป็นอีตัวยามอยู่บนเตียงนุ่ม ยังไงคุณก็อยู่หมัดฉัน ฟรานเซียส'
ดวงตาคมทอดมองดูลูกชายในเปลก่อนหันมองนาฬิกาข้างฝาบอกเวลาตีห้ากับห้านาที สองเท้าก้าวขึ้นเตียง มองภรรยาที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างมีความสุข เท่านี้ล่ะที่เขาต้องการ ไม่ต้องการส่ิงอื่นใดนอกจากเธอและลูก
//////////////////////////////////////////////////////////
ต้นไม้ในสวนสูงใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตาตามกาลเวลาที่หมุนเวียนผ่านไป บ้านหลังใหญ่มีการตกแต่งใหม่ตามการเติบโตของลูกชายที่กำลังซน ฟรานเซเซียสสั่งให้สถาปนิกมาตกแต่งบ้านใหม่อีกหนึ่งห้องให้ลูกชายวิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัยจากเครื่องเรือนอันตรายด้วยเหลี่ยมหรือมุมคมๆ เขากวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความพึงพอใจก่อนหันมามองภรรยาที่ยื่นอยู่ข้างกาย
“คุณชอบไหมที่รัก”
“ชอบค่ะฟรานเซียส หายห่วงฟรานริเซียสไปได้หน่อย เดี๋ยวฉันออกไปรับลูกที่โรงเรียนก่อนดีกว่า” เธอบอกสามีด้วยความเร่งรีบเพราะจวนได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว ตอนนี้เธอว่างจากการงานทุกอย่างเพื่อดูแลลูกและสามีเพียงอย่างเดียว บางวันก็ไปช่วยงานเขาที่โรงแรมหรือเข้าไปดูสำนักพิมพ์บ้าง ยังไงเธอก็ยังอยากทำงาน
“วันนี้ผมไปรับลูกด้วยนะ แล้วเราเลยไปหาคุณพ่อที่บ้านสวนด้วยดีไหม ท่านคงคิดถึงหลานชายคนเดียวใจจะขาดแล้ว นี่คุณแม่ก็บอกว่าจะมากรุงเทพ คงกำลังหาตั๋วให้ที่เร็วที่สุด”ฟรานเซเซียสเล่าให้ภรรยาฟัง
“เอาไว้เราหาเวลาไปหาท่านที่โมนาโกบ้างนะคะ ฉันกำลังทำตัวเป็นลูกสะใภ้ที่แย่ ตั้งแต่ไปแต่งงานก็ไม่เคยไปเยี่ยมท่านอีกเลย กลับให้ท่านมาเยี่ยมเราอย่างเดียว ทั้งที่อายุของท่านก็มากแล้ว”
“ท่านเข้าใจว่าคุณไม่มีเวลา แค่เลี้ยงลูกอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ไหนจะต้องมาคอยดูแลผมอีก” เขาพูดปลอบใจภรรยา รุ้งกมลทำงานเยอะจริงๆ ทั้งบ้านทั้งบริษัท แต่ก็ทำทุกอย่างได้ดีไม่ตกหล่น เพราะถ้าตกหล่นไม่ดูแลเขาขึ้นมาต้องโดนประท้วงอีกแน่ๆ เขาไม่ยอมหรอก...
ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นดูวุ่นวายไปสักหน่อย แต่ก็อบอุ่นเหลือเกิน ทั้งคู่เดินทางออกจากบ้านไปรับลูกชาย 'ฟรานริเซียส ปิเอโร่' วัยหกขวบที่โรงเรียนนานาชาติใกล้ๆ บ้าน แล้วเลยไปบ้านสวนไปหาคุณตาและป้าจอม คุณตาใจดีกับหลานชายหลานชายเหลือเกินจนฟรานริเซียสซนจัด จ้องแต่จะออกไปเล่นในสวน ฟรานเซเซียสมองลูกชายที่มีหน้าตาคล้ายกับภรรยา ทว่าคมเข้มคล้ายกับเขาด้วยความอิ่มเอิมใจ
///////////////////////////////////////////////////////////
วันนี้บ้านหลังใหญ่เงียบกว่าปกติ เพราะว่คุณย่าและคุณตาพาหลานชายไปเที่ยวทะเล แล้วก็ต่อด้วยสวนสนุก ฟรานเซเซียสนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับรถอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางจิบเบียร์เย็นเฉียบชื่นใจ อยู่ดีๆ ก็โดนจู่โจมจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
รุ้งกมลใช้ผ้าปิดตาสามีแล้วจูงเขาเดินออกไปที่สวนหลังบ้านที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไปนัก
“เดินเร็วๆ หน่อยสิคะ ชักช้าอยู่ได้” เธอเร่งสามี
“ก็ผมถูกปิดตาอยู่นี่จะเดินเร็วได้ยังไง แล้วนี่คุณจะพาผมไปไหนจ๊ะที่รัก ผมว่าเราเอาเวลาเงียบๆ แบบนี้ไปเล่นจ้ำจี้กันดีกว่าไหม” ฟรานเซเซียสแกล้งถามภรรยา
“ไว้ทีหลังค่ะเรื่องนั้นน่ะ” เธอพาเขาไปหยุดยืนกลางสวนร่มรื่น
ท่ามกลางความเย็นสบายจากลมเย็นๆ ในสวนแห่งนี้มีผู้หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดบิกินี่สามคน ศีรษะสวมไว้ด้วยมงกุฏดอกไม้ ทันทีี่เสียงเพลงจังหวะเต้นรำดังขึ้น รุ้งกมลก็เขย่งเท้ายื่นมือไปแก้ปมของผ้าผูกตา ปล่อยให้สามีเป็นอิสระ
ฟรานเซเซียสอ้าปากค้างเมื่อเห็นสาวชาวเกะกำลังเต้นยักย้ายส่ายสะโพกดึงๆ ไปตามจังหวะเพลง แม่สามสาวก็พร้อมใจกันเข้าไปนั่วเนียเขา ทั้งจับ ทั้งลูบไล้จนคนถูกสัมผัสต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขาไม่อยากให้เพลงจบเลยจริงๆ มองไปทางไหนก็สวยงามไปหมดจนไม่ทันมองว่าภรรยาหายไปไหนแล้ว พอเพลงจบลงสาวๆ เหล่านั้นก็ว่ิงหนีหายไป ทิ้งชายหนุ่มให้เก้อ
คราวนี้เพลงอินเดียจังหวะเร้าใจก็ดังขึ้น รุ้งกมลปรากฏตัวด้วยชุดส่าหรีสีแดงเพลิง ชุดนี้คล้ายกับชุดราตรีทว่ามีสองชิ้นคือท่อนบนที่ปิดหน้าอกอิ่มไว้ แล้วก็ท่อนล่างที่เป็นกระโปรงยาวเข้ารูปเผยให้เห็นสรีระชัดเจน หญิงสาวเดินเข้ามาจิกตาใส่สามี พอถึงตัวเขาก็เร่ิมเต้นยั่วยวน กรีดนิ้วลงบนอกกว้าง ยักย้ายส่ายสะโพก รูปร่างอรชรนับวันก็ย่ิงเร้าใจ
ฟรานเซเซียสตะลึงตะลานแทบขาดใจ อยากอุ้มนางยั่วกลับเข้าบ้านไป แต่ก็อยากดูเธอแสดงต่อให้จบ สะโพกกลมกลึ่งยักย้ายกระแทกกับสะโพกของเขาแล้วก็โอบรอบคอแข็งแรงเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าอกสีกับอกกว้าง ชายหนุ่มถอนหายใจแรง
“โอ้แม่เจ้า”
สองมือของเธอไล่ลงไปหาแก้มก้นของแล้วบีบแรงๆ ฟรานเซเซียสแทบผวา หญิงสาวเห็นสามีแทบคลั่งก็ดีใจเร่ิมเต้นยั่วต่อ คราวนี้ขยับเข้าชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
“พอเถอะรุ้งกมล ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วเนี่ย” ชายหนุ่มบอกเสียงสะท้านสั่นเครือ
หญิงสาวไม่พูดแต่วิ่งเป็นจังหวะเข้าไปบ้านพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาอ่อยสามี ฟรานเซเซียสจ้ำเดินเข้าบ้านตามไปติดๆ ตาก็มองแม่สาวอินเดียไม่วางตาราวโดนเสน่ห์ เธอดุ๊กดิกขึ้นบันไดไปสู่ห้องนอน ชายหนุ่มก็กระโจนตามเข้าไปทันที พอประตูห้องปิดสนิท ไฟแห่งความปารถนาก็ลุกโชน
ทั้งสองตรงเข้าหากันโลมลันพันตููราวกับว่าอดอยากมานาน ทั้งที่ก็ไม่เคยปล่อยให้กันเหงากายนานไปกว่าสามคืน เพลงรักถูกบรรเลงพร้อมเพรียงโดยคนสองคนที่เข้าอกเข้าใจในความต้องการของกันและกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่ปรนเปรอความสุขแต่งแต้มสีสันใหม่ๆ ฟรานเซเซียสพร่ำพรอดมอบความสุขให้รุ้งกมล พาเธอล่องลอยไปบนท้องฟ้า พบกับลานดอกไม้สวยงามนานาพันธ์ุ แล้วก็ตะครองร่างอิ่มลงวางบนเตียงอย่างทะนุถนอม หญิงสาวหลับตาพร้ิมอยู่บนเตียงโดยมีเขานอนอยู่เคียงข้าง
คำว่ารักไม่เคยจางหายไปจากใจของคนทั้งคู่ แม้จะร่วมชีวิตกันมานานร่วมหกปี ความรักมันยังท่วมท้น นับวันย่ิงทวีคูณ ฟรานเซเซียสยกความดีให้กับภรรยาที่ทำตัวมีเสน่เย้ายวนเสมอ ไม่เคยปล่อยปละละเลยตัวเองเรื่องความสวยงาม เขาและลูกเมื่ออยู่บ้านก็จะได้รับการดูแลจากเธอดุจราชาและเจ้าชาย ชายหนุ่มขอบคุณรุ้งกมลด้วยการทำตัวไม่เจ้าชู้ ไม่ขี้บ่น ช่วยดูแลลูก รับผิดชอบครอบครัวทั้งบ้านนี้และบ้านพ่อตา ชีวิตเขาต้องการเพียงเท่านี้ล่ะ พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรเพ่ิมเติมกว่านี้อีก
/////////////////////////////////////////////
จบ
เนื่องจากว่าโพสที่นี่แบบใหม่ไม่ค่อยเป็น อีกทั้งลืมรหัส กร๊ากกก เอาไปจบเลยก็แล้วกันนะคะ
ซอยแบร่ิงตัดใหม่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายที่บรรจงก่อสร้าง ตกแต่งจนสวยงามดึงดูดแขกทั้งหลายรวมถึงร้านกาแฟแนวบูติกสีขาวที่มีท้ังกาแฟสดนานาชนิด เบเกอรี่และอาหารจานเดียวง่ายๆ ไว้คอยบริการ ภาพรวมของร้านเป็นเหมือนเรือนไม้สีขาวแต่ตกแต่งได้น่านั่งในห้องกระจกใส ตู้เย็นใสปรุโปร่งจนเห็นเบเกอรี่หลากสีสันน่าทานเป็นอย่างมาก ต้นไม้ร่มรื่นแผ่กิ่งก้านกั้นแสงแดนทำให้ยามบ่ายที่แดดเปรี้ยงเช่นนี้ดูเย็นสบาย
รุ้งกมลขับรถเข้าไปจอดหลังร้านแล้วเดินไปเข้าร้านทางด้านหน้า ข้างๆ ร้านกาแฟแห่งนี้มีร้านอาหารกึ่งผับตั้งอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งเมตรโดยมีถนนสายเล็กแบ่งเขตเอาไว้ หญิงสาวยิ้มเมื่อเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปพบกับเจ้าของร้านสาวสวยที่ยืนยิ้มเพล่รออยู่
ร้านนี้เป็นร้านของพีรยา พีรยาย้ายบ้านมาอยู่เยื้องๆ กับที่ตรงนี้ พอเห็นที่ว่างๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะทำร้านกาแฟเพื่อลองรับแขกที่อยากนั่ง คุยกันเรื่อยๆ ทั้งประชุมแล้วก็พบปะสังสรรค์ พีรยามองหน้าเพื่อนแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รุ้งกมลดูมีน้ำมีนวลขึ้น ไม่ซูบผอมเหมือนเมื่อก่อน แล้วป้าจอมก็รายงานว่ารุ้งกมงดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกินและเครื่องดื่ม หญิงสาวฟังๆ ดูแล้วคิดว่าเพื่อนจะผันตัวเองไปเป็นนักโภชนาเสียอีก
“พี่ตองยังมาไม่ถึงเลย เห็นว่ากำลังจะออกจากบริษัทเองนะ อีกสักพักใหญ่ล่ะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้”
“ฉันรีบอีกมาเองล่ะ อยากจะมาชมร้านหรือว่าอาจจะช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟบ้างอะไรบ้าง อยู่บ้านทุกวันก็เร่ิมเบื่อแล้วล่ะ ดีที่พี่ตองโทรมาหา ฉันก็ลืมไปเลยว่าเคยรับปากพี่ตองเอาไว้ว่าจะช่วยงาน”
พีรยาพาเพื่อนเดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ โต๊ะนั่งของร้านเป็นชุดโซฟา มีท้ังเป็นโทนสีขรึมๆ แบบผู้ใหญ่ และอีกโซนหนึ่งเป็นโทนสีลูกกวาด คงเผื่อเด็กๆ นักเรียนแถวนี้มานั่งคุย นั่งติวหนังสือกัน
เจ้าของร้านสาวสวยพาเพื่อนไปนั่งในมุมที่สวยที่สุดซึ่งสามารถมองออกไปเห็นวิวบ้านเรือนหรือร้านรวงต่างๆ แถวนี้ได้ชัดเป็นบริเวณกว้าง
“ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปหาเธอเลย แต่เธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ ป้าจอมก็ตกใจที่อยู่ดีๆเธอก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง ทานข้าวตรงเวลาเป๊ะๆ”
รุ้งกมลยิ้มมุมปาก ดวงตายาวรีกรอกกลิ้งไปมาเพื่อจงใจซ่อนเร้นความลับเอาไว้ในใจ
“ใครจะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ได้นานขนาดนั้นล่ะ ฉันก็คนนะ มีความคิดบ้างอะไรบ้าง”
“เหรอ!” พีรยาเน้นเเสียงหนัก ให้น้ำเสียงสืื่อความหมายจากความรู้สึก
ทั้งคู่หยุดคุยกันเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายสวมสุดสีกรมท่าเดินเข้ามาหา ดูจากชุดแล้ว เขาน่าจะเป็นเมสเชนเจอร์มากกว่า แต่ในมือของเขามีดอกไม้ช่อใหญ่ถือมาด้วยนี่สิ ซ้ำเขายังเดินตรงมาหาหญิงสาวทั้งคู่
“ขอโทษนะครับ คุณรุ้งกมลคนไหนครับ” ชายหนุ่มถามเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จรุร่วงไป
รุ้งกมลอึ้งๆ มองหน้าชายหนุ่มและช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่เขาอุ้มถือไว้อย่างทะนุถนอมเต็มอก ดอกลินลี่สีขาวดอกใหญ่มาก กลีบมันก็หนาแข็งแย้มกำลังพอดี สีสันมันกลมกลืนกับไบไม้สีเขียวสวยงาม “ฉันเองค่ะ รุ้งกมล”
“ของคุณครับคุณรุ้งกลม ขอบคุณที่ใช้บริการงานจากเรานะครับ” เมสเชนเจอร์ส่งช่อดอกไม้ให้หญิงสาวแล้วพูดชื่อร้านดอกไม้ของตัวเองเพื่อเป็นการโฆษณาไปในตัว
หญิงสาวกางแขนรับช่อดอกไม้มาวางไว้ที่ตักแล้วเมียงมองหาการ์ดใบเล็กที่ผูกติดอยู่กับริบบิ้นสีฟ้าอ่อน เธอกางมันออกอ่านโดยที่มีสายตาจับจ้องของพีรยานั่งลุ้นตัวโก่งว่าใครเป็นเจ้าของดอกลินลี่ช่อนี้
ลายมือที่บรรจงตวัดลงไปในการ์ดเป็นลายมือของผู้หญิงซึ่งคงเป็นลายมือของพนักงานในร้าน
“ซอรี่” แล้วลงชื่อของ “ฟรานเซเซียส ปิเอโร่”
รุ้งกมลเขินจนหน้าแดงก่อนวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะ เธอไม่เคยคิดว่าผู้ชายอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ แต่เขาก็หายตัวเข้ากลีบเมฆไปนานสองนาน เกือบสองเดือนได้ หญิงสาวคิดไปว่าเขาคงลืมเธอไปแล้ว
พีรยาที่รอท่าอยู่รีบยื่นหน้าเข้าไปหาช่อดอกไม้ เน้นไปที่การ์ดใบเล็กนั่น เธออ่านข้อความสั้นๆ แล้วก็ชื่อของคนที่ส่งมาแล้วก็ย้ิม มองหน้าแดงๆ ของรุ้งกมล
“โอ้โห... เดี๋ยวนี้ฟรานเซียสเขาเป็นไปได้ขนาดนี้เลยรึนี่ ฉันนึกภาพเขาไม่ออกเลยนะเนี่ย ทำไปได้”
เจ้าของช่อดอกไม้รีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบ ทั้งที่ในใจทั้งเขินและอาย แต่เธอจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดีหรอก เพราะว่าบางทีเขาก็แค่อยากจะขอโทษเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอื่น
“แค่ดอกไม้ขอโทษ คนอย่างเขาคงคิดอะไรไม่ออก เลยส่งดอกไม้มาอย่างนั้นล่ะ ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษมากไปกว่านี้หรอก อย่าคิดมากไปน่าแพ็ต”
“เฮ้ย! นี่ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ฉันก็คิดว่าเขาส่งดอกไม้มาขอโทษแค่นั้นไง แล้วเธอคิดไปไหนล่ะน่ะ ห๊า... บอกฉันสิว่าเธอคิดว่าฉันคิดว่าอะไร ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” พีรยารีบลุกคืบใส่เพื่อนทันที แหม๊... ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นฟรานเซเซียส หรือว่า รุ้งกมล ไม่รู้ว่าปากสองคนนี้สร้างมาจากหินหรือเปล่า
“แพ็ต แล้วเธอจะมานั่งแซวฉันอยู่ทำไมไม่ทราบ โน่นลูกค้ามาโน่นแล้ว” หญิงสาวรีบเบี่ยงประเด็นให้เพื่อนหันเหไปสนใจลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้านมา
“เดี๋ยวมา ไปดูลูกค้าก่อน ก็เพื่อนบ้านนั่นล่ะ” หญิงสาวบอกแล้วเดินไปหาผู้หญิงฝรั่งรุ่นราวคราวเดียวกัน เพื่อนบ้านเธอคนนี้คงจะมาอุดหุนเพราะว่าร้านพึ่งจะเปิดมาได้ไม่กี่วัน
รุ้งกมลนั่งมองดอกไม้แล้วคิดถึงคนให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรมั่ง โดนยิงโดนแทงเพ่ิมบาดแผลบ้างหรือเปล่า เธอได้รู้ว่าการินขายหุ้นส่วนในกาสิโนให้กับฟรานเซเซียสเพื่อหันไปทำธุรกิจของครอบครัว หญิงสาวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะการินกำลังจะแต่งงานกับพีรยาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็สมควรที่จะเสียสละบางสิ่งเพื่อแลกให้ได้มาซึ่งครอบครัวที่อบอุ่น ไม่น่าเชื่อนะ ว่าการินจะเลิกธุรกิจเถ่ื่อนได้เร็ว ต่างกันกับนายนั่น ที่ยังไม่วางมือจากอะไรทั้งสิ้น ยังตั้งหน้าตั้งตาทำชั่วอยู่นั่น
///////////////////////////////////
และแล้วพี่ตองที่ทุกคนรอคอยก็เดินทางมาถึงร้านกาแฟของพีรยา หญิงสาวมาในชุดเดรสสีแดงเพลิงสายเดี่ยวคอวี ผมสั้นซอยจัดทรงด้วยสเปย์แต่งผม ใบหน้าแต่งจัดจ้านเป็นสาวเปรี้ยวและทันสมัยที่สุดแห่งปี รุ้งกมลว่าเธอก็แรงเรื่องการแต่งตัว แต่ก็ต้องยอมแพ้พี่ตองคนหนึ่งล่ะ ไม่ไหวจะสู้จริงๆ หญิงสาวนั่งมองที่ตองเดินเฉิดฉายเข้ามาหาแล้วนั่งลงตรงกันข้ามกับเธอแทนที่พีรยาที่กำลังดูแลลูกค้าอยู่
พี่ตองมองบนโต๊ะของรุ่นน้องที่มีเพียงน้ำเปล่าเย็นเฉียบแก้วหนึ่งตั้งอยู่
“เดี๋ยวนี้บวชเหรอจ๊ะ ปกติถ้าเธอไม่ดื่มไวน์ก็ต้องกาแฟ นี่อะไร๊ น้ำเปล่า แปลกไปนะจ๊ะ โอ้โห! แล้วนี่ดอกไม้ใครเนี่ย ของพี่แน่เลยใช่ไหม ต้องมีหนุ่มๆ ส่งมาเซอร์ไพร์สให้แน่ๆ” หญิงสาวมาถึงก็ร่ายยาวด้วยความสนุกสนาน
“พี่ตองน่ะ ตลอดเลยค่ะ แซวรุ้งได้ตลอด” หญิงสาวโอดกับรุ่นพี่
“ที่นี่ไม่มีไวน์ไว้บริการสินะ อดเปรี้ยวปากกันไป นานทีจะได้เจอกัน จะได้ฉลองให้เต็มที่” ตองบอกกับรุ่นน้อง
รุ้งกมลโบกมือเรียกพนักงานในร้านให้เอาช่อดอกไม้นี่ไปเก็บหลังร้านให้ที ใจเธออยากบอกว่าให้เอาไปทิ้ง แต่ไม่อยากให้เพื่อนรุ่นพี่ผิดสังเกตุ “พี่ตองสั่งอะไรดีค่ะ เค้กกับกาแฟ หรือว่าจะทานข้าว”
“ไม่ๆๆๆ ไม่เค้กไม่กาแฟ” หญิงสาวปฏิเสธก่อนหันไปเห็นเพื่อนรุ่นน้องอีกหนึ่งคน “แพ็ตๆ พี่ไม่อยากทานของดีๆ ที่ร้านเธอมี ไวน์สักขวดไม่มีบริการบ้างเลยเหรอ”
พีรยาเดินมาหาทุกคนที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยย้ิม “แหม... ถ้าพี่ตองอยากดื่มเดี๋ยวแพ็ตให้เด็กขับรถไปเอาจากที่บ้านมาให้ก็ได้ค่ะ วันนี้ไหนๆ ก็ว่างกันทุกผู้ทุกคนอยู่แล้ว แต่พี่ตองคะ แพ็ตว่าเพื่อนดื่มของพวกเรากลายเป็นนักโภชนาไปเสียแล้ว เราจะต้องดื่มกันแค่สองคนหรือเปล่า”
สองสาวหันไปจ้องหน้ารุ้งกมล หญิงสาวยิ้มให้ทั้งคู่ พีรยาน่ะอยู่คนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอได้จับคู่ที่สมน้ำสมเนื้อ เข้าขากันล่ะก็เป็นอย่างนี้ทุกทีไป “รุ้งไม่ยั่นหรอกค่ะพี่ตอง เราไม่ได้เจอกันทุกวันเสียเมื่อไหร่ เมาๆ มึนๆ หน่อยก็ดีนะคะ เวลาคุยงานกัน รุ้งนำเสนออะไรพี่ตองจะได้ออๆ เออๆ ได้ง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องคิดทบทวนอะไรให้มากความ”
“อ้อ... ใช่สิ ฉันมันใจง่ายตอนเมาเสมอ” พี่ตองจิกตาใส่รุ่นน้อง นึกถึงตอนไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน เธอเมาจนได้เด็กเสิร์ฟมากิน ส่วนรุ่นน้องท้ังสองหนีกลับบ้านไปก่อน รุ้งกมลกับพีรยาก็แรงอยู่ แต่แรงถูกที่ถูกทาง ส่วนเธอน่ะมันไปไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับมาให้ถูกที่ถูกทางแล้ว
สองสาวหัวเราะร่าที่รุ่นพี่เอาเรื่องจริงมาเหน็บแนมตัวเองและพวกเธอ “คุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแพ็ตไปสั่งงานเด็กก่อน กี่ขวดดีคะพี่ตอง”
“อุ้ย! จัดมาเต็มที่ บ้านเธอก็อยู่แค่นี้ไม่ใช่เหรอ เมามากๆ ก็มีที่นอนล่ะ ฉันไม่กลัวหรอก แล้วเธอสองคนก็ไม่ต้องยั้งล่ะ ชอบหลอกให้ฉันเมาคนเดียวอยู่เรื่อย”
“โอ้ย... ก็ใครจะไปดื่มทันพี่ตอง กระพริบตาหมดแก้ว กระพริบตาหมดแล้ว รุ้งกับแพ็ตพยายามจะตีตื้นมันก็ไม่ทันจริงๆ ค่ะ เผลอแป๊บเดียวพี่ตองดื่มหนีไปหมด พวกเราก็เลยได้แค่กึ่มๆ ทุกที” รุ้งกมลชวนรุ่นพี่คุยต่อเมื่อเห็นว่าพีรยาเดินหายไปสั่งงานลูกน้อง
ขณะที่ทั้งคู่คุยกันแขกก็เข้าร้านมาเรื่อยๆ และมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาแย่งกันคุย ก่อนวัยรุ่นเป็นวัยคะนองมักจะคุยกันเสียงดัง แหย่กันไปมาแล้วก็หัวเราะ บางทีก็กัดกันบ้างไปตามประสา
“นี่ฉันเร่ิมจะเวียนหัวกับนักเรียนพวกนี้ล่ะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้ายัยแพ็ตนะ ฉันจะเดินไปตบกระบาลพวกมันคนละป๊าบ คนละป๊าบเรียงตัวกันเลย” พี่ต้องเหล่ตาไปมองกลุ่มนักเรียนชายหญิงกลุ่มใหญ่ “น่ีตอนฉันอายุเท่านี้ เท่าไอ้พวกนี้ ฉันทำตัวน่ารำคาญแบบนี้หรือเปล่านะ รับตัวเองไม่ได้จริงๆ”
พีรยาทิ้งเคาน์เตอร์เดินไปตามเพื่อนๆ ว่าไวน์ที่ต้องการมาแล้ว แต่ต้องพากันย้ายเข้าไปดื่มด้านใน เธอให้สถาปนิกกันห้องกระจกเอาไว้ ตอนดึกบรรยากาศดีมาก เพดานโปร่งๆ ทำให้มองเห็นดาวชัดเจน แต่ตอนบ่ายๆ แบบนี้ต้องทำใจหน่อยเพราะว่าคงไม่มีอะไรให้ดู นอกจากต้นไม้และรถของแขกที่จอดเลียงกันอยู่ทั้งของร้านนี้และร้านข้างๆ ซึ่งเช้าพื้นที่จอดรถร่วมกัน
“ส่ิงที่ต้องการได้แล้วค่ะพี่ตอง เชิญย้ายสันนิวาสไปห้องกระจกด้านหลังร้านเลยค่ะ เดี๋ยวเด็กนักเรียนจะแตกตื่นแล้วต่อว่าว่าพวกเราเป็นผู้ใหญ่ที่เยาวชนไม่อยากเอาเป็นเยี่ยงย่าง”
รุ้งกมลหัวเราะร่วน เอ้อ... ความจริงที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเล่นๆ มันจี้ใจนะ แต่มันก็ตลกเพราะว่าไม่มีใครโกรธ ได้แต่พยักหน้ายอมรับความจริง
“แหม๊! เธอคิดเธอว่าไอ้พวกนั้นน่ะมันเป็นเยาวชนดีเด่น ไอ้พวกเนี้ยพ่อแม่ตามใจเสียจนเหลิงหมดแล้วล่ะ ถ้าเธอเห็นพวกมันตามผับตามบาร์นะ แรงส์กว่าฉันอีกร้อยเท่า ฉันเนี่ยได้แต่อ้าปากค้าง จิกผู้ชายมากินไม่ทันพวกมันหรอก” พี่ต้องทำท่ากระซิบกระซาบระหว่างพากันเดินไปหลังร้านแต่ทำไมเสียงดังนักก็ไม่รู้เหมือนกัน
ห้องกระจกที่พีรยาพูดถึงนั้นสร้างติดกับกำแพงของเคาน์เตอร์บาร์ หญิงสาวสั่งให้ช่างปูพื้นยื่นออกไปให้เหมือนระเบียงบ้านแล้วบุกระจกกั้นเป็นห้อง ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศเดินนอกได้สี่มุม คือเพดาน ด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนด้านหลังเป็นกำแพงไม้ ห้องเล็กทว่าสวยงามด้วยชุดโซฟาชุดใหญ่ที่นั่งได้ประมาณแปดคน โซฟาตัวหนึ่งนั่งได้สองที่
พี่ตองเป็นคนแรกที่นั่งลง หญิงสาวเลือกที่จะนั่งหันหลังให้กับผนังห้อง “ฉันแก่แล้วให้ฉันนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ นั่งหันหลังให้กระจกมันเสียวๆ ยังไม่ชอบกล”
“เสียวหลังหรือว่ากลัวว่าจะไม่เห็นผู้ชายที่ลงจากรถกันแน่คะพี่ตอง” รุ้งกมลเอ่ยล้อเลียน
“ก็ด้วยกันทั้งคู่ล่ะ นั่นๆ เธอดูสิ อีตานั่นหล่อเป็นบ้า แต่พานังนั่นมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ มาคนเดียวก็เสียวได้แล้ว” สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินผ่านห้องกระจกไปหาร้านอาหารข้างเคียง พีรยากับรุ้งกมลหัวเราะ เข้าใจว่าพี่ตองพูดเล่น ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอย่างปากว่า
ขณะที่ทั้งหมดคุยกันพนักงานของพีรยาก็เดินนำไวน์เย็นเฉียบมารินให้หนึ่งขวด และอีกหลายๆ ขวดเลือกที่จะเก็บไว้ในตู้เย็นตามคำสั่งของเจ้านาย เจ้าของร้านสาวสวยเลยหันไปบอกกับลูกน้องว่า
“ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง เออ.. บอกให้พ่อครัวทำอะไรอร่อยๆ มาให้ด้วยนะจ๊ะ”
“ค่ะ คุณแพ็ต”
คล้อยหลังพนักงงานทั้งหมดก็หันหน้ามาคุยกันต่อ พี่ตองจิบไวน์ก่อนเป็นคนแรกเป็นคนแรก นำ้ผลไม้หมักสีเขียวตองอ่อนพร่องลงไปเกือบครึ่ง กล่ินผลไม้ห่ามๆ ทำให้ไวน์ดูเย้ายวนมากยิ่งขึ้น ความจริงไวน์ต้องค่อยๆ จิบค่อยๆ ระเลียด แต่พี่ตองเห็นว่ามันเสียเวลาแล้วลิ้นของเธอก็หนาเป็นลิ้นจรเข้แล้วที่จะจิบๆ แล้วได้รส
“อืม... นี่ไวน์อะไรเนี่ยแพ็ต รสชาติมันเกินบรรยายจริงๆ เหมือนฉันเลย เปรี้ยว ซ่า ก๋ากั่น”
“เดอะ วลูฟค่ะพี่ตอง ชอบไหมคะ ถ้าชอบก็ต้องทำใจเพราะมีแค่ขวดเดียวเท่านั้น ตอนซื้อก็ไม่คิดว่ามันจะอร่อยหรอกค่ะ เพราะว่าขวดละไม่ถึงพันเท่านั้นเอง” หญิงสาวบอก
“ฉันคงต้องหาไว้ติดบ้านสักขวด โดนใจจริงๆ รสชาติดี ราคาดึงดูดใจด้วย” พี่ตองพูดอย่างหมายหมั้นปั้นมือ
สองสาวรุ่นน้องนั่งจิบไวน์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนโดยสลับกันรินให้แก่กันหากเห็นว่าแก้วของใครพร่องลงไป ทั้งสามนั่งคุยกันตั้งแต่บ่ายแล้วก็เย็น ผ่านมาจนท้องฟ้ามืดสลัว อากาศเย็นลงพร้อมๆ กับดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า รถหลายคันเร่ิมทยอยแล่นมาจอดจนแน่น เพราะว่าเหล่านักเที่ยวกลางคืนเร่ิมออกเริงราตรีกันแล้ว และวันนี้ก็เป็นศุกร์ปลายเดือนด้วย เรียกว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ก็จัดกันเต็ม อิ่มหนำสำราญกันไปหลังจากกรำทำงานกันมาทั้งเดือน
รุ้งกมลเร่ิมรู้สึกมึนๆ เพราะดื่มไปหลายแก้วแล้วเหมือนกัน ส่วนพีรยานั้นทำท่าเหมือนดื่มเก่งแต่ก็ดื่มน้อยกว่าใครๆ ทั้งหมด ส่วนพี่ตองไม่ต้องพูดถึง ไวน์สามขวดคงดื่มไปขวดครึ่ง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมึนหรือเมาแต่ประการใด
“ได้ข่าวว่าเธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวเหรอแพ็ต” พี่ตองถามพลางจิบไวน์ไปด้วย
“อยู่ว่างๆ น่ะคะ ไม่มีอะไรทำ แล้วพอดีมีคนมาขอก็เลยตอบตกลง ก็นี่ไงคะ ที่เชิญมากันในวันนี้นั้น เชิญมาเลี้ยงฉลองสละโสดกันไปในตัว แล้วก็จะได้ถือโอกาสเชิญพี่ตองไปร่วมเป็นสักขีพยานให้การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ดิฉัน พีรยา อัตถานนท์และคุณดาริน พีรพร ในวันพรุ่งนี้ สิบเอ็ดนาฬิกาสิบเอ็ดนาที ที่บ้านหลังใหม่ ณ หมู่บ้านตรงกันข้ามนี้ แล้วจะจัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรสต่อในเดือนข้างหน้า”
“เออดีเนอะ อยู่ว่างๆ ก็เลยหาคนช่วยกันทำลูก เป็นความคิดที่พี่ยอมรับได้ มีเหตุผลเพียงพอมากพอไว้บอกลูกบอกหลาน” รุ่นพี่พูดลอยๆ
รุ้งกมลที่กำลังจะหัวเราะก็หุบปากฉับเหมือนถูกเบรกตัวโก่ง “ลูก” หญิงสาวรีบสะลัดความคิด บางทีเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ ยังไงก็ต้องรอให้ชัวร์อีกสักเดือนก่อน หากอีกหนึ่งเดือนประจำเดือนยังไม่มาเธอจะไปโรงพยาบาลให้หมดตรวจสักหน่อย จะได้แน่ใจว่า “ท้อง” จริงหรือเปล่า ถึงเวลานี้หญิงสาวกระดกไวน์เข้าปากเอื้อกๆ จนอีกสองสาวนั่งมองอ้าปากค้าง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ตองแทบรินไวน์ไม่ทันใจรุ้งกมล
“มันเป็นอะไรของมันน่ะแพ็ต” พี่ตองยื่นหน้าไปกระซิบถามพีรยา
“เป็นแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วค่ะพี่ แต่พึ่งจะมาเมาเอาวันนี้ แต่เมื่อกี้ก็ยังดีๆ อยู่นะคะพี่ตอง สงสัยพวกเราเผลอไปพูดอะไรถูกต่อมแม่เข้า” พีรยากระซิบตอบขณะตาก็จ้องหน้าเพื่อน
“ต่อมทำลูกน่ะเหรอ”
พีรยาหันหน้ามามองรุ่นพี่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง “ต่อมทำลูกเหรอคะพี่ตอง”
“อ้าว... แล้วจะตกใจทำไม ก็แค่ต่อมทำลูก ใครเขาก็มีกันทั้งนั่นล่ะ หรือว่าเธอมีคนเดียวกันยะ” พี่ตองเหน็บรุ่นน้องที่พูดจาให้งง
“เหอๆ ใครก็มีล่ะค่ะ แต่ยัยรุ้งน่าสงสัยกว่าคนอื่นเกี่ยวกับกระบวนการของต่อมทำลูก” ทั้งคู่เปิดอกปรึกษากัน
“อย่าบอกนะว่าที่ยัยรุ้งหายไปน่ะ ไปทำลูกมา ว่าแล้วเชียว ตอนฉันมาถึงใหม่ๆ เห็นดอกลิลลี่ช่อใหญ่เท่าบ้าน จะมีใครให้ล่ะ นอกจากผู้ชายจริงไหม๊” พี่ตองพูดถึงรุ่นน้องที่กำลังร่ำไวน์อยู่โดยไม่สนใจใคร ตอนนี้ร้านกาแฟปิดแล้ว แต่เจ้าของร้านและเพื่อนๆ ยังคงสังสรรค์กันอยู่อย่างสนุกสนาน
“ถูกกกกกก! ผู้ชายให้ค่ะ แล้วรู้ไหมคะว่าใครให้” พีรยาดึงเกม กระตุ้นให้เพื่อนรุ่นพี่อยากรู้ หญิงสาวรู้มาว่าเพื่อนรุ่นพี่คนนี้กรี๊ดกร๊าดฟรานเซเซียสมาก เรียกว่าเป็นขวัญใจเลยทีเดียว
“ใครล่ะ แหม... ฉันยิ่งอยากรู้อยู่” พี่ต้องเร้า
“ฟรานเซเซียส ปิเอโร่”
“ว๊ายยยยยยยย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงลากเสียงยาว “ได้ไง คนนี้ฉันจองมาตั้งนานแล้ว ผู้ชายอะไรหยิ่งเป็นบ้า ท่าทางนะโห แบบคนที่อยู่ด้วยกลายเป็นมดไปเลย ที่สำคัญเข้าถึงยากมาก ไม่รู้จะเก็บตัวอะไรหนักหนา นี่ยัยรุ้งตัดหน้าฉันไปแล้วเหรอเนี่ย ฉันรับไม่ได้”
“พี่ตองไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ผู้ชายของพี่ถูกยัยรุ้งงาบไปแล้ว แต่ตอนนี้พี่ตองก็มีโอกาสนะคะเพราะว่าทั้งคู่กำลังเก็กท่าใส่กันอยู่” พีรยาแกล้งชี้ทาง
“ฉันงดของหวานที่มีเจ้าของแล้วย่ะ อย่างฉันน่ะ สวย เร่ิด เชิ่ด ยอม” พี่ตองแหงนหน้าเชิ่ดจนคอแทบหัก กรีดนิ้วลงบนตักตัวเองดั่งนางพญา
“พี่ตอง แพ็ต รุ้งขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
ทั้งสองสาวหยุดพูดคุยกันเพื่อหันกลับไปมองหน้าเครียดๆ ของรุ้งกมล พีรยารีบร้องห้าม
“เธอกลับบ้านไม่ได้นะรุ้ง มึนๆ เมาๆ แบบนี้จะขับรถกลับบ้านได้ยังไง”
“ฉันขับกลับได้ก็แล้วกันน่ะแพ็ต เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ถ้าขับไม่ได้จริงๆ ก็จะขึ้นแท๊กซี่กลับ ไม่ฝืนสังขารขับกลับไปหรอก”
“เฮ้ยได้ไง! เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่านะ” พี่ต้องบอกอย่างเป็นห่วง
“พี่ตองก็ไม่ได้อาการดีไปกว่ารุ้งนักหรอกนะคะ สรุปห้ามไปไหนทั้งคู่ รุ้ง... นานทีจะได้สังสรรค์กัน เธออย่าทำงานกร่อยสิ เลยหมดสนุกกันไปหมด” พีรยาต่อว่าเพื่อน
“ฉันขอโทษจริงๆ แพ็ต แต่ฉันไม่ไหว ขอโทษด้วยนะคะพี่ตอง รุ้งต้องขอเสียมารยาทสักวันนะคะ ถ้าไหวก็จะนั่งอยู่ต่อหรอกค่ะ” รุ้งกมลเอ่ยปากขอโทษทุกๆ คนก่อนลุกขึ้นยืน หญิงสาวหลับตาสะบัดไล่ความมึนเมา ก้มลงไปคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องกระจก ซึ่งเธอก็จอดรถอยู่ข้างหลังใกล้ๆ แค่นี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
ทั้งพีรยาและพี่ตองแทบจะกระโจนตามรุ้งกมลไป แต่ก็หยุดก้าวพร้อมๆ กันเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาหญิงสาว
“ยัยแพ็ต นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า เธอบอกฉันสิว่านั่นมัน ฟรานเซเซียส ปิเอโร่ สุดที่รักของฉัน”
“ไม่ฝาดหรอกค่ะพี่ตอง นั่นมันเขาจริงๆ ไม่ใช้สลิงก์หรือสตั๊น” หญิงสาวกระซิบบอกเพื่อนรุ่นพี่พลางมองไปยังสองหนุ่มสาว คนในห้องกระจกจับจ้องไปยังทั้งคู่ราวกับว่ากำลังลุ้นละครโทรทัศน์อยู่เรื่องหนึ่งเพื่อให้พระเอกสุดโหดกับนางเอกสุดสวย รวยน้ำใจได้คืนดีกัน
“นั่นๆ เขาเดินมาใกล้ๆ แล้ว แหม... ยัยรุ้งก้มหน้าก้มตาเดินเกินไปหรือเปล่า เทพบุตรเดินมาหาก็ยังไม่ยอมมอง” พี่ตองนั่งพากษ์ละครโทรทัศน์อย่างตื่นเต้น จับตาดูไม่ให้พลาดสักเสี้ยววินาที
////////////////////////////////////////////////////
ฟรานเซเซียสเดินแหวกความมืดไปหารุ้งกมลที่กำลังเดินไปหารถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่เคยรุกรุงรังกลับสะอาดสะอ้านขึ้น ผมท่ีเคยยาวตัดใหม่เป็นรองทรงสั้นซอยเข้ารูป เผยให้เห็นโครงหน้างคมคายได้อย่างชัดเจน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนลายทางสลับสีขาวและสีฟ้าทับด้วยกางเกงสแล็กซ์สีดำ คาดเข็มขัดหนังหัวสีเงิน และรองเท้าหนังสีดำเงา
ชายหนุ่มหยุดยืนดูรุ้งกมลในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินแขนกุ้นคอกว้าง เธอกำลังค้นหากุญแจรถในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเข้ม ผมยักศกนุ่มสยายเต็มกลางหลังโดยเธอเหน็บปอยผมไว้กับใบหูเผยให้เห็นเครื่องหน้างดงามและแพรขนตางอนสวย ร่างบางที่เคยผอมบางดูมีน้ำมีนวลขึ้น หน้าอกอิ่มใต้เดรส เอวคอดกิ่ว ต้นขาเรียวนวลเนียน ดวงตาคมมองเห็นภาพของเธอยามนอนอยู่บนเตียงนุ่มเคียงข้างเขา
ฟรานเซเซียสก้าวเท้าไปหาหญิงสาวช้าๆ จนหยุดยืนใกล้ๆ จนได้กลิ่นไวน์อ่อนๆ ผสมกับกล่ินน้ำหอม เธอเหลือบตามองรองเท้าหนังของเขา แล้วไล่สายตามมามองหน้าเข้ม ภาพใบหน้างดงามยังตราตรึงในหัวใจ
“สวัสดี” เขาเอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยคำพูดสั้นๆ เพราะไม่รู้จะเร่ิมพูดคำไหนก่อนดี
รุ้งกมลหันหน้าหนีไปค้นหากุญแจรถ ทำเหมือนว่ายืนอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีเขายืนอยู่ด้วย คำทักทายของเขาก็ขอให้ลอยไปพร้อมกับสายลม ถ้าจะกลับมาขอโทษหรือหวังอะไรอย่างอ่ืนมันก็หมดเวลาของเขาแล้วล่ะ เธอสารภาพว่าเคยรอเขา รอนานจนทำใจได้แล้ว แล้วเขาจะมาทำไมเอาตอนนี้
ชายหนุ่มมองท่าทีเมินเฉยของเธอด้วยความปวดใจ “สยายดีหรือเปล่ารุ้งกมล”
“ฉันจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาก่าวกาย ถ้าคุณมาเที่ยวก็ร้านนี้” หญิงสาวชี้มือไปที่ร้านอาหารตรงหน้าทีกำลังเปิดไฟเรื่อเรือง “แต่หากว่าจะมาดื่มกาแฟ ร้านมันปิดไปตั้งนานแล้ว”
“ผมไม่ได้มาเที่ยว ไม่ได้มาหาอะไรทาน แต่ผมมาหาคุณ” เขาพูดตรงๆ “คุณกำลังเมา ให้ผมขับรถไปส่งนะ”
“เก็บความกรุณาของคุณไว้ใช้กับคนอื่นเถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการมัน” หญิงสาวแทบอยากจะขว้างกระเป๋าทิ้งเพราะยิ่งรีบก็ยิ่งหากุญแจรถไม่เจอ
“คุณได้รับดอกไม้ที่ผมให้หรือเปลา” เขาถามเพราะว่ามองไม่เห็นดอกไม้
“ทิ้งไปแล้ว ทำไมฉันจะต้องเก็บมันเอาไว้ด้วย คุณช่วยไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักทีได้ไหม” หญิงสาวไล่ หงุดหงิดเรื่องหากุญแจรถไม่เจอ หงุดหงิดกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเธออยากอยู่คุยกับเขาเสียเต็มประดา
ฟรานเซเซียสห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ สองเท้าก้าวเข้าไปหาร่างอรชร สองแขนกระหวัดโอบหญิงสาวจากทางด้านหลัง เธอตัวเล็กกว่าเขาทำให้เขาโอบเธอจนมิด ชายหนุ่มฝังจมูกลงบนต้นคอหอมกรุ่นพร้อมกับจุมพิต พอเธอดิ้นก็กระชับอ้อมแขนรัดรึงแรงขึ้น ได้กอดเธออย่างนี้ ได้แนบชิดกันแบบนี้ทำให้เขาคลายความคิดถึงเธอลงได้บ้าง
รุ้งกมลขนรุกซู่ ซาบซ่านเมื่อถูกจู่โจมจากจมูกโด่งและปากของเขา ร่างกายไวต่อความรู้สึกมากมันกระซิบที่ข้างหูว่าต้องการสัมผัสจากเขา หลังจากที่โหยหามานาน หญิงสาวรีบสะลัดความคิดบ้าๆ นี่ออกไปแล้วออกแรงดิ้น
“ปล่อยฉันนะ คนเยอะแยะคุณไม่เห็นเหรอ หรือว่าตาบอด”
“เห็น เห็นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว คนเยอะแยะแล้วมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ เราโตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสถานที่นี้มันก็สถานที่อโคจร ไม่ใช่โรงเรียนหรือว่าวัด” เขากระซิบบอกพร้อมสูดดมเอาความหอมหวานจากซอกหูหอมๆ
พีรยากับพี่ตองที่เฝ้าจับตามองอยู่ในห้องกระจกแทบร้องกรี๊ดออกมา ไอ้ที่คิดๆ กันอยู่น่ะ มันจริงเสียย่ิงกว่าที่คิดอีก พีรยาอยากเดินไปมองใกล้ แต่สะดุดเข้ากับพวงกุญแจรถสีเงินเสียก่อน หญิงสาวก้มลงไปเก็บ
“พี่ตอง นี่มันรถแกรถของรุ้งนี่คะ”
“โอ้ย! เธอจะมาเห็นอะไรตอนนี้ล่ะ กุญแจรถของยัยรุ้งน่ะมันหายไปแล้ว มันหายไปเข้าใจไหม” หญิงสาวแย่งกุญแจรถจากมือของรุ่นน้องแล้วขว้างมันทิ้งไปอย่างไม่แยแส “อย่าบอกฉันนะ ว่าเธอจะเอามันไปคืนให้ยัยรุ้งน่ะ ยัยแพ็ต โง่สิ้นดีเลยเธอ ยิ่งกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่” พี่ตองแทบอยากจะหยิกรุ่นน้อง
“พี่ตองรู้ได้ไงว่าแพ็ตจะเอาไปคืน”
“โอ้ย! ก็หน้าเธอซื่อตาใสซะขนาดนั้น ใครดูก็รู้ทั้งนั้นล่ะ แล้วก็หุบปากได้แล้วนะยะ ฉันเสียสมาธิหมด” หญิงสาวตะหวัดสายตากลับไปมองยังหนุ่มสาวที่กำลังง้องอนกันอยู่
////////////////////////////////////
ฟรานเซเซียสได้กอดได้หอมร่างนุ่มๆ ก็ติดใจไม่อยากปล่อย เขากอดเธอเอาไว้อย่างนั้นจนถูกกระทุ้งด้วยศอกแหลมๆ ที่หน้าท้อง “โอ้ย... อะไรกันเนี่ย จะมาทำร้ายร่างกายกันทำไม”
หญิงสาวเร่ิมระดมอาวุธที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดใส่เขา อยากรู้เหมือนกันว่าจะยืนกอดเธอได้อีกนานเท่าไหร่ เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัด ออกแรงเยอะเสียจนสร่างเมา
“เอาสิ ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม เชิญกอดเลย ฉันไม่ว่าอะไรแล้ว กอดให้นานๆ เลยนะ”
ชนุ่มออกแรงรัดร่างอรชรพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ไม่ให้เธอได้ยิน เธอยังพยศไม่เลิกราวกับม้าศึก แต่ย่ิงดิ้นเขาก็ยิ่งได้ใกล้ชิดเธอมากย่ิงขึ้น ไม่ต่างอะไรกับที่ยืดกอดเธอเอาไว้เฉยหรอก
“คุณแม่ผมกลับไปที่โมนาโกแล้ว ผมเลยคิดว่าจะไปเยี่ยมพ่อของคุณสักวัน ผมอยากจะไปขอโทษท่าน”
“ไม่ต้องไปหรอก ท่านอโหสิให้กับคุณเหมือนกับฉัน ท่านคงไม่อยากเห็นหน้าคุณหรอกนะ เพราะคุณทำกับท่านไว้มากขนาดนั้นน่ะ” หญิงสาวแหว
“ไม่หรอกมั้ง คุณพ่อบอกว่าท่านไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดตัวผม คุณแม่ก็บอกซ้ำอีกด้วยว่า ท่านเข้าใจในตวผมเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่มีเวลาไปพบท่าน”
“อ้อ... รู้ดีแล้วมาถามฉันทำไมไม่ทราบ” ปากอิ่มเอ่ยประชดประชัน
“ก็ผมไม่รู้ว่าท่านจะว่างวันไหนไงล่ะ ได้ข่าวว่าท่านขึ้นเหนือไปอีกแล้ว” ชายหนุ่มรับรู้มาตลอดว่าศุภเกียรติทำงานที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่อายุมากแล้ว น่าจะได้หยุดพักผ่อนเหมือนแม่ของเขา
รุ้งกมลหยุดดิ้นเพราะเหนื่อย ดิ้นจนหอบก็เลยปล่อยให้เขากอดน่ิงๆ หมดแรงจะต่อต้านคนตัวโต “ถามเอาจากคุณการินก็ได้ เดี๋ยวคุณการินก็มาถามพีรยา แล้วพีรยาก็จะมาถามฉันหรือว่าป้าจอม แม่บ้านของฉันอีกที ไม่ต้องมาถามฉันก็ได้ถ้าอยากรู้เรื่องแค่นี้”
“ขี้เกียจรอ ถามหลายต่อน่ารำคาญ ถามคนนี้ก็รอคนนี้ไปถามคนโน้น แล้วรอให้คนโน้นไปถามคนนั้น ผมรอไม่ไหวหรอก อยากรู้อะไรก็ต้องได้คำตอบทันที ก็เลยคิดว่ามาถามเอาจากคุณโดยตรงเลยจะดีกว่า วันน้ีคุณว่างหรือเปล่าล่ะ ผมกำลังหิวข้าว ไม่อยากนั่งทานคนเดียว” ฟรานเซเซียสออกปากชวนอย่างอ้อมโลก
“ไม่ว่าง”
“คิดก่อนก็ได้แล้วค่อยตอบ นี่อะไรไม่คิดเลย” เขายื่นหน้าไปขบติ่งหูหญิงสาวเบาๆ เป็นการทำโทษ
“อุ้ย...” รุ้งกมลสะดุ้งสะทาน ขนลุกซู่ ร่างบางหมุนตัวไปกอดเขาเอาไว้เพื่อจะห้ามปรามไม่ให้เขาทำอะไรแบบนี้อีก แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ
ฟรานเซเซียสเลยกอดเธอเอาไว้หลวมๆ ตาคมมองไปยังดวงหน้าเคลิ้มๆ จากฤทธิ์ความซอกซอนของเขา
“พรุ่งน้ีล่ะ ว่างไหม”
“ไม่ว่าง!” เธอรีบปรับความรู้สึกแล้วเชิ่ดหน้าใส่
“ผมไม่ได้ถามถึงคุณว่าว่างหรือเปล่า ผมถามว่าคุณพ่อของคุณน่ะว่างหรือเปล่า” เขาตั้งใจหยอกเธอให้เก้อเล่น ได้ผลเลย อกกว้างของเขาเปลี่ยนเป็นกลอง เธอตีระรัวไม่ยั้งมือ
รุ้งกมลชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นสองสาวกำลังจ้องมองมายังเธอและฟรานเซเซียส ใบหน้าของทั้งคู่แทบจะทะลุออกจากกระจกแล้ว “ปล่อยๆ พีรยากับเพื่อนของฉันกำลังมองเราอยู่”
ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนออกจากเอวคอดไปล้วงประเป๋าแทน เขาหันไปมองตามสายตาของรุ้งกมลเห็นสองสาวกำลังทำเก๋ไก๋ว่าไม่ได้มองอะไรเลย กำลังนั่งจิบไวน์กันอยู่ต่างหากเล่า
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ อายเพื่อน เพราะว่าเพื่อนจะเข้าใจผิดว่าเธอน่ะปากกับใจของเธอน่ะไม่ตรงกัน อยู่กับเพื่อนก็บอกว่าไม่แคร์ไม่ใส่ใจ แต่พอลับหลังกลับมายืนกอดกันอยู่
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย พรุ่งนี้เพื่อนฉันต้องล้อแน่ๆ ให้ตายสิ ฉันไม่น่าหลวมตัวมายืนคุยกับคุณเลย หากุญแจรถไม่เจอก็น่าจะเรียกรถแท๊กซี่กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว เพราะคุณคนเดียว จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”
“ให้ผมไปส่งนะ เดี๋ยวรถคุณให้มิชาเอลขับกลับไป ถ้าไม่ให้ผมไปส่งก็จะกวนคุณอยู่ตรงนี้ ดูว่าเพ่ือนของคุณก็อยากรู้นะว่าเราเป็นอะไรกัน นั่นๆ ยังมองพวกเราด้วยหางตาอยู่เลย ไม่เชื่อคุณดูสิ”
รุ้งกมลหันหน้าไปมองพีรยาและพี่ตอง เธอแกล้งเข่นเขี้ยว ย่นจมูกใส่เพื่อนๆ พอพวกนั้นเห็นก็แกล้งนั่งจิบไวน์ต่อ ทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรภายนอก
“จะขับกลับได้ยังไง กุญแจรถฉันยังหาไม่ไเจอเลย” หญิงสาวหันมาถามเขา
“อยู่แถวนี้ล่ะมั้ง เดี๋ยวให้มิชาเอลหา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไปกันเถอะ คุณใส่รองเท้าส้นสูงแบบนี้ยืนนานๆ ไม่เมื่อยบ้างหรือยัไงนะ” เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ฉันให้ส่งแค่หน้าประตูรั้วนะ ไม่ให้เข้าไปในบ้าน ถ้าไม่ตกลงฉันก็ไม่ไป” หญิงสาวยื่นข้อเสนอเสียงแข็ง
“คุณคิดว่าผมอยากเข้าบ้านคุณเหรอ คิดบ้างว่าผมจะเข้าไปทำไม” ตาคมกวาดตามองไปยังร่างอรชร จงใจหยุดสายตาไว้ที่ทรวงอกอ่ิม จงใจถอดเสื้อผ้าและเล้าโลมเธอด้วยสายตา
รุ้งกมลขัดเขินขึ้นมาทันที ดวงตาเขามันร้ายยิ่งกว่ามือและปากอันซุกซนของเขาอีก เขามองแค่นี้ก็เหมือนเปลื้องผ้าเธอออกไปทีละชิ้นๆ จนล่อนจ้อน ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังถูกลูบไล้ เล้าโล้มอยู่จนต้องสะท้านขึ้นมา
ฟรานเซเซียสเอื้อมมือใหญ่ไปคว้ามือเล็ก จับจูงเดินไปหารถของเขาที่มิชาเอลจอดรออยู่ด้านหน้า มิชาเอลที่กำลังลงจากรถรีบเดินมาหาเจ้านาย เผื่อว่าท่านจะอยากสั่งงานกับเขา
“มิชาเอล เดี๋ยวนายขับรถคุณรุ้งที่จอดอยู่ด้านในกลับไปส่งที่บ้านของเธอนะ แต่ว่ากุญแจรถมันหาย นายเดินวนหาหน่อยก็แล้วกัน คงจะตกอยู่แถวนี้ล่ะ ส่วนฉันจะขับรถกลับไปก่อน แล้วเราไปเจอกันที่บ้านคุณรุ้งก็แล้วกัน”
“ครับนาย” มิชาเอลรับคำ ไม่เป็นห่วงเจ้านายที่ไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะว่าช่วงนี้เจ้านายกับคุณเปรมพงษ์พักรบกันชั่วคราว คุณเปรมพงษ์รับปากว่าจะไปคุยกับลูกชายให้หยุดก่อกวนเจ้านายของเขา
มิชาเอลยืนมองเจ้านายกับคุณรุ้งขับรถออกไป เขาคิดอยู่ว่าทำไมเจ้านายถึงไม่ยอมมาตามง้อคุณรุ้งสักที ทนคิดถึงอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ซึ่งไม่เห็นจะเกิดผลดีอะไรขึ้นมาสักอย่าง คล้อยหลังรถยนต์คันหรูเขาก็เดินเข้าไปยังลานจอดรถทางด้านหลัง สองเท้าก้าวเดินไล่มองรถแต่ละคันไปเรื่อยจนเห็นรถของคุณรุ้ง ชายหนุ่มเดินป้วนเปี้ยนก้มหน้าหากุญแจรถที่เจ้านายบอกว่าหล่นอยู่แถวๆ นี้
พีรยาที่เมียงๆ มองๆ อยู่ก็เห็นมิชาเอล เธอจำเขาได้ว่าเป็นลูกน้องของฟรานเซเซียสเลยเดินเอากุญแจรถมาให้
“นี่ๆ เธอหากุญแจรถของคุณรุ้งอยู่หรือเปล่า”
“อ้าว... คุณพีรยา สวัสดีครับ ผมกำลังหากุญแจรถของคุณรุ้งอยู่ คุณรุ้งกลับบ้านกับนายไปแล้ว นายสั่งให้ผมขับรถไปคืนคุณรุ้งที่บ้าน คุณพีรยาเห็นกุญแจรถตกอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวชูพวงกุญแจโชว์มิชาเอล “นี่ไง ฉันเก็บเอาไว้เองล่ะ มันเป็นแผนน่ะ”
มิชาเอลยิ้ม “อ้อ ขอบคุณครับ ผมรู้แล้ว”
“เอาไป แล้วอย่าบอกคุณรุ้งของเธอนะว่าฉันเป็นคนเอากุญแจมาให้เธอน่ะ ไม่งั้นเธอตาย” หญิงสาวรองซ้อมบทบาทเมียเจ้าพ่อดูบ้าง
มิชาเองหัวเราะร่วนพลางรับกุญแจรถ “ครับ ไม่บอกใครหรอกครับ”
“เท่านี้ล่ะ ฉันไปคุยกับเพื่อนต่อแล้วนะ” หญิงสาวบอกแล้วเดินกลับไปหาพี่ตอง
ตอนแรกว่าจะหยุดดื่มตั้งแต่รุ้งกมลกลับบ้านแล้วล่ะ แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้คึกครื้นขึ้นมาได้ พี่ตองก็เลยนำเสนอว่าคืนนี้เป็นปาร์ตี้สละโสด ต้องดื่มกันต่อไปจนกว่าจะน๊อกกันไปข้าง เธอน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พี่ตองนี่สิน่ากลัวว่าจะน๊อกไปก่อน เพราะว่าซดหมดๆ
//////////////////////////////////////////
๑๕.แต่งงานกันนะ
เช้าตรู่ของวันที่อากาศแสนสบาย ลมเย็นพัดโชยผ่านร่างอรชรไปราวกับต้องการจะปลอบใจและปัดเป่าเอาความทุกข์จากคนป่วยใจไปด้วย เพื่อที่หญิงสาวจะได้มีความสุขเสียที ยามเศร้ามันก็อ้างว้างโดดเดี่ยวจนเหมือนกับว่ายืนอยู่ตัวคนเดียวในโลก เพราะไร้ซึ่งคนที่จะเข้าใจถ่องแท้และลึกซึ้งแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน ดวงตายาวรีทอดมองไปยังดอกแก้วช่อหนึ่งที่กำลังชูช่อแย้มกลีบส่งกลิ่นหอมคลุ้ง
รุ้งกมลนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะในสวนหลังบ้าน เธอมีรางสังหรณ์ว่าอาจจะตั้งครรภ์ จนวันนี้ประจำเดือนก็ยังไม่มา รวมกันก็เป็นสองเดือนแล้ว เมื่อวันท่ีฟรานเซเซียสขับรถมาส่งที่บ้าน เขาก็ไม่ได้พูดหรือชวนเธอคุยเรื่องใดๆ เขาขับรถเงียบๆ เหมือนกำลังใช้ความคิด พอมาถึงบ้านเขาก็ส่งเพียงตรงนั้น ตามที่สัญญากันเอาไว้ หญิงสาวคิดว่าเขาจะดื้อขอเข้ามาในบ้าน และพยายามงอนง้อกันต่อ แต่ก็เปล่าเลย เมื่อมิชาเอลมาถึง ซึ่งทิ้งระยะเวลากันเพียงไม่ถึงห้านาที ฟรานเซเซียสก็ปล่อยให้เธอขับรถเข้าบ้านไปแต่โดยดี
“คุณหนูคะ” ป้าจอมเดินเข้ามาเรียกหญิงสาวเพราะว่าวันนี้มีแขกพิเศษมาเยี่ยมบ้าน
“ว่าไงคะป้า” หญิงสาวหันไปย้ิมให้กับแม่บ้าน
“คุณท่านเชิญที่ห้องนั่งเล่นค่ะ มีแขกมาพบ” ป้าจอมรายงาน
“แขกของรุ้งหรือ รุ้งมีแขกด้วยเหรอป้า” หญิงสาวถาม เธอไม่มีแขกมาหาที่บ้านนานแล้ว มีก็แต่พีรยาเท่านั้นล่ะ ส่วนพี่ตองยังไม่เคยมาบ้านสวนหลังนี้
“ค่ะแขก แต่เป็นแขกของคุณท่านด้วย แล้วก็ของคุณหนูด้วย”
“ป้าจะไม่บอกรุ้งจริงๆ เหรอคะว่าแขกน่ะคือใคร” รุ้งกมลยิ้มเผล่เอาใจแม่บ้าน
“ก็ป้าไม่รู้จักเขานี่คะ คุณท่านก็ให้ป้ามาตามคุณหนู”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วลุกเดินเข้าบ้านโดยใช้ประตูหลังแทนการเดินอ้อมไปใช้ประตูด้านหน้า บ้านหลังนี้ีมีประตูเข้าสามทาง หน้าบ้าน หลังบ้าน และข้างบ้าน แต่โดยส่วนมากจะใช้ประตูสองบ้าน คือประตูหน้าบ้านและประตูหลังบ้าน
ห้องนั่งเล่นเรียบง่ายเปิดประตูหน้าต่างออกโล่ง รับลมเย็นจากธรรมชาติอันไม่ได้ปรุงแต่ง ความงดงามจากธรรมชาติไม่ใช่สิ่งจีรัง มีดับสลายเฉกเช่นเดียวกับผู้คน แต่มันก็สวยงามเมื่อได้มอง รุ้งกมลหยดฝีเท้าเมื่อมองเห็นว่าแขกที่ป้าจอมกล่าวถึงนั้นคือใคร หญิงสาวอยากจะหันหลังเดินกลับไปที่เดิม
“รุ้ง เข้ามานั่งคุยกันก่อนสิลูก พ่อมีเรื่องน่ายินดีจะบอกด้วยล่ะ” ศุภเกียรติร้องเรียกลูกสาว แค่มองตาก็เข้าใจว่าลูกสาวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเป็นพ่อ เลี้ยงลูกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ความผิดปกติแค่นี้ไม่ยากกับการอ่านใจของลูก
ฟรานเซเซียสลุกขึ้นยืนเมื่อรุ้งกมลเดินเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวตัวเดียวกับผู้เป็นพ่อแล้วเขาก็นั่งลง
หญิงสาวไม่ยอมมองหน้าแขกเพราะเธอชอบกินเกาเหลา ไม่ชอบกินเส้น ย่ิ่งจำพวกเส้นใหญ่ๆ ยิ่งไม่ชอบ มันติดคอ พอหันหน้ามาหาผู้เป็นพ่อเธอก็ยิ้มหวาน “มีเรื่องอะไรเหรอคะคุณพ่อ”
“เมื่อกี้ทางโรงแรมที่ภูเก็ตโทรมาหาพ่อ บอกว่าจะให้พ่อส่งข้าวให้ เขาบอกว่าข้าวของพ่ออร่อย หอมน่าทาน” ศุภเกียรติบอกกับลูกสาวคนเดียวพร้อมกับอ้าแขนรับแรงโถมจากร่างอรชร
“รุ้งก็ได้งานค่ะพ่อ พี่ตองเขาเปิดหนังสือรายเดือนปกใหม่ เป็นหนังสือเกี่ยวผู้หญิง วาไรตี้ พี่ต้องขอให้รุ้งช่วยเป็นบรรณาธิการบริหารให้น่ะค่ะ” รุ้งกมลรายงานท่านหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน
“มีแต่เรื่องดีดีนะครับ อย่างนี้เราน่าจะไปฉลองทานข้าวนอกบ้านกันหน่อยดีไหมครับ ผมเสนอตัวเป็นเจ้ามือเอง” ฟรานเซเซียสเอ่ยขึ้นมา
รุ้งกมลหันหน้ามามองชายหนุ่มตาขวางราวกับเป็นนางจงอางชูคอขู่ฟ่อๆๆ เตรียมฉกเหยื่อ ลองเข้ามาใกล้อีกสักนิดเถอะแม่จะจัดการให้ “ธุระกงการอะไรของคุณไม่ทราบคะ ถึงจะต้องชวนคนโน้นคนนี้ไปเลี้ยง ถ้ารวยจนเงินมันเหลือก็เอาไปบริจาก คนด้อยโอกาสที่ยังมีอยู่เยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมือง”
“รุ้ง!” ศุภเกียรติส่งเสียงปรามลูกสาวที่พูดจากินใจกันเกินไปหน่อย แค่ใช้ท่าทางก็เสียมารยาทมากเกินพออยู่แล้ว “พ่อว่าลูกพูดเกินไปสักหน่อยนะลูก”
ฟรานเซเซียสยิ้มน้อยๆ รู้ว่าเธอยังโกรธเขาอยู่จึงได้พูดออกมาอย่างนั้น จริงๆ เธอคงไม่คิดอะไรหรอก ถ้าหากเธอโกรธเธอเกลียดเขาจริงๆ ก็คงไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมมาพบหน้า หรือไม่ยอมให้เขามาส่งบ้านและถึงเนื้อถึงตัวแบบเมื่อคืน
หญิงสาวฟึดฟัด “คุณพ่อให้อภัยเขาง่ายๆ ได้ยังไงคะ คุณพ่อลืมแล้วหรือว่าเขาทำอะไรไว้กับเราบ้าง เขาทำร้ายคุณพ่อด้วยนะคะ”
ศุภเกียรติตะวาดลูกสาว “หยุดพูดได้แล้วรุ้ง!”
ชายหนุ่มสะอึกไปเหมือนกัน การที่เขาเคยทำร้ายศุภเกียรติมันเป็นเหมือนก้องเนื้อร้ายในใจ มันเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับเขา การที่คนคนหนึ่งเคยทำผิดคงไม่หวังอะไรนอกจากหวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากคนคนนั้น
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ดีใจที่คุณไม่ไล่ตะเพิดผมออกจากบ้าน หากผ่านไปแถวบ้านผม แวะไปเย่ียมกันบ้างนะครับ” ฟรานเซเซียสกล่าวกับศุภเกียรติแล้วหันไปหารุ้งกมลที่นั่งหน้าเชิดอยู่ “ผมกลับแล้วนะ ขอโทษที่มารบกวน ขอให้คุณโชคดีกับงานใหม่นะรุ้งกมล”
หญิงสาวเหลือบตามองชายหนุ่มที่ค้อมตัวให้กับผู้เป็นพ่อเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่สายตาเหลือบมามองเธอด้วยซ้ำ รุ้งกมลรู้สึกใจหายวาบ
“ลูกพูดเกินไปจริงๆ เป็นพ่อพ่อก็รับไม่ได้หรอกนะ เขาอุตสาห์มาง้อ ลูกยังโกรธพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่เกินไปสักหน่อย ถ้าพ่อเป็นเขาพ่อก็คงไม่มีหน้ามาที่นี่อีก ถึงที่พูดออกไปจะไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ทำร้ายใจกันไปแล้วนะรุ้ง คนเรานะล่วงเกินกันได้ไม่กี่อย่างหรอก แต่การล่วงเกินกันด้วยคำพูดมันรุนแรงที่สุด” ศุภเกียรติอบรมลูกสาวยาวยืด ขณะที่ลูกสาวตัวดีได้แต่นั่งเงียบ คอยยื่นหน้าไปมองที่หน้าบ้านว่าฟรานเซเซียสเดินไปถึงไหนแล้ว
ถ้าทำร้ายตัวเองแล้วไม่เจ็บ หญิงสาวก็คงจะเขกกระโหลกตัวเองสักโป๊ก ฟรานเซเซียสที่เคยหยิ่ง บ้าอำนาจ มั่นใจตัวเองยังอ่อนไหวไปกับคำพูดจากปากของผู้หญิงตัวเล็กๆ เขาไม่แน่จริงเองนี่นา แค่นี้ก็น้อยแล้วแล้ว
ฟรานเซเซียสนั่งอยู่บนรถคิดท้อแท้ หัวใจของเขามันให้เธอไปหมดแล้ว เธอจะยังอยากได้อะไรจากเขาอีก ต้องการให้เขาทำอะไรถึงจะยกโทษให้ เขาคิดผิดว่าเธอยังมียื่อใยต่อกันบ้าง แต่ว่าไม่มีเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจเธอ เหลือแค่ชีวิตที่เธอยังไม่ได้เอาไปจากเขา
////////////////////////////////////
ข่าวงานแต่งงานระหว่างชาย-หญิงที่มาจากสองตระกูลใหญ่ดังกระจายไปท่ัวแวดวงสังคม อีกทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ การิน พีรพร และ พีรยา อัตถานนท์ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนนามสกุลมาเป็น พีรพร แล้ว ทั้งคู่เป็นหนุ่มสาวที่มาจากตระกูลเก่าแก่ ทั้งคู่เหมาะสมกันเป็นอย่างมากและทั้งคู่ก็ดูมีความสุข ไม่เหมือนตอนเจอกันใหม่ๆ
รุ้งกมลขับรถออกจากบ้านของเพ่ือนที่อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟและเบเกอรี่หลังจากที่ร่วมพิธีส่งตัวบ่าวสาวเสร็จ หญิงสาวพึ่งรู้ว่าบ้านหลังนั้นคุณแม่ของการินซื้อให้ทั้งคู่เป็นของขวัญแต่งงาน ทั้งหมดย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันหลังจากได้จดทะเบียนกัน เธอพยายามมองหาฟรานเซเซียสแต่ก็ไม่พบ
พีรยาสังเกตเห็นหน้าเพื่อนก็เลยบอกว่าฟรานเซเซียสติดงานด่วนที่โมนาโค ต้องบินกลับไปกระทันหัน และก็บอกข่าวอีกว่า ฟรานเซเซียสกำลังวางมือจากธุรกิจทั้งหมดที่เมืองไทย เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับผู้เป็นแม่ท่ีบ้านเกิด หลังจากที่ออกตะลอนไม่ติดบ้านอยู่เป็นเวลานาน
พอกลับถึงบ้านเธอก็อาบน้ำ ชำระล้างร่างกาย อยากให้สายน้ำช่วยล้างความเศร้าและเสียใจออกไปด้วย เพราะว่าเธอแทบจะรับมือกับมันไม่ไหว มันหนักหน่วงเหลือเกิน ซึ่งการที่เขาจากไปมันก็เป็นเพราะตัวเธอเองที่ไม่รู้จักให้อภัย อภัยที่มาจากใจอันแท้จริง หาใช่พูดออกไปแต่ปากไม่
หญิงสาวสวมเสื้อคลุมเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เธอไปช่วยงานเพื่อนตั้งแต่เช้า เดินเยอะมากพอๆ กับที่พูดส่ังงาน คงเป็นเพราะความต้องการของเพื่อนที่ถ่อกันไปจัดงานแต่งถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วไหนจะต้องกลับมาส่งตัวที่บ้านอีก โอมายด์ก๊อด! เธอไม่แท้งลูกไปก็ดีแล้ว หญิงสาวนอนหลับลงไปพร้อมกับความอ่อนล้าท้ังกายทั้งใจ
////////////////////////////
วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนจนรุ้งกมลเร่ิมทำใจให้ชินชากับความเจ็บปวด ประจำเดือนห่างหายไปสามเดือนพอดิบพอดี ซึ่งทำให้มั่นใจว่าเธอกำลังจะมีลูก ลูกของเธอและเขา คำพูดที่เธอเคยพูดกับฟานเซเซียสก่อนเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นยังดังก้องในใจ “ถ้าฉันมีลูก ฉันจะทำแท้ง” สุดท้ายเธอก็ทำไม่ลงหรอก ลูกทั้งคนยังไงก็ต้องเลี้ยง จะยากดีมีจนก็ต้องเลี้ยง ไม่ว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เธอจะทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถทำได้ รุ้งกมลตั้งใจเอาไว้ว่า หากผู้เป็นพ่อเดินทางกลับบ้านมา เธอจะบอกให้ท่านรู้เกี่ยวกับข่าวดีอันนี้
หญิงสาวเชื่อว่าท่านต้องดีใจและรอวันที่หลานของท่านจะลืมตาดูโลก ลูกเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหน่ียวจิตใจที่บางเบาของเธอให้อยู่กับที่ เร่ิมคิดอย่างมีสติ และใส่ใจกับตัวเองมากยิ่งขึ้น เสี้ยวหนึ่งของห้วงความคิดยามคำนึงถึงเขาคนนั้น ลูกก็จะดึงเธอกลับมาให้น่ิงจนเลิกคิดฟุ้งซ่าน เหตุการณ์ในชีวิตเรียบง่ายและเข้ารูปเข้าลอย เข้าที่เข้าทาง
แต่เมื่อเช้ามืดวันหนึ่งที่แสนวุ่นวายก็เดินทางมาถึงโดยไม่บอกให้ใครได้ตั้งตัว รุ้งกมลสะดุ้งตื่นจากความฝันเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน “เสียงของป้าจอม” หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง ไถลตัวลงจากเตียงไปเปิดลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียง หยิบปืนสั้นกระบอกเล็กที่เก็บไว้ป้องกันตัวเมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียว เธอเคยได้ลองฝึกยิงปืนบ้าง มันไม่แม่นเท่าไหร่นัก แต่พอจะยิ่งขู่โจรผู้ร้ายได้บ้างหรอก
รุ้งกมลหวั่นใจเมื่อปลายกระบอกปืนเย็นเฉียบตะหวัดโดนท่อนแขน ใจดวงน้อยเต้นระส่ำขณะที่สองเท้าก็ก้าวเดินแบบย่องไปหาประตูห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับกลอนประตูที่ให้ความเย็นไม่ต่างจากปลายกระบอกปืน หญิงสาวค่อยๆ บิดกลอนเปิดประตูออกไป เสียงของป้าจอมดังขึ้นสั้นๆ ว่า “ช่วยด้วย” แล้วเงียบหายไป มันสร้างความตกใจให้กับเจ้าของบ้านสาวเป็นอย่างมาก เธอยังไม่รู้เลยว่าปืนที่ถืออยู่นี่จะเป็นการนำมันไปมอบให้คนร้ายเอามายิงเธอหรือเปล่า หรือว่าเธอจะนำมันไปยิงพวกมันกันแน่ ถ้าจะให้ดีกว่านี้เธออยากได้ปืนที่เป็นสนิมจะดีกว่า จะได้โยนใส่ศีรษะให้หัวมันแตก แล้วก็ตายไปด้วยบาดทะยัก หรือจากเชื้อโรคตัวอื่นที่แทรกซ้อนเข้ามา
“อือ... อื้อ...” หญิงสาวร้องแต่เสียงไม่ออกเพราะโดนรวบตัวเอาไว้พร้อมกับถูกปิดปากแน่นจากคนร้ายที่จู่โจมมาจากด้านหลัง เธอนิ่งสักพัก ตั้งสติได้ก็ออกแรงดิ้น
“ผมเอง อย่าดิ้น” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกหญิงสาว
รุ้งกมลถอนหายใจโล่งอก พออ้อมแขนแข็งแรงทว่าอบอุ่นคลายออกไปจากร่าง เธอก็หันหน้าไปหาเขา เขามาปรากฏตัวในวันและเวลาที่เธอต้องการ อยู่ร่วมทุกข์กับเธอโดยไม่ทิ้งกันไปไหน
ฟรานเซเซียสชี้นิ้วไปหาหญิงสาวแล้วชี้ไปที่ห้องนอน บอกใบ้ว่าให้เธอกลับเข้าไปในนั้น ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้า เขาเลยทวนคำสั่งใบ้อีกครั้ง เธอก็ส่ายหน้าอีก
แสงไฟที่ส่องเล็ดลอดมาทางหน้าต่างทำให้หญิงสาวมองเห็นเสี้ยวหน้าเข้มลางๆ เขากำลังเครียดจนคิ้วขมวดมุ่นเพราะว่าเธอไม่ยอมทำตามที่เขาสั่ง รุ้งกมลยกมือชี้นิ้วจิ้มอกตัวเองก่อนจะช้ีนิ้วไปหาเขาแล้วชี้นิ้วลงไปข้างล่าง บอกเขาว่าเธอจะลงไปลุยด้วย แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก แล้วชี้นิ้วสั่งให้เธอกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง หญิงสาวก็ส่ายหน้าอีก
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกแล้วคว้ามือเล็กมากุมไว้ สองเท้าก้าวเดินนำหน้าย่องลงบันไดไปด้านล่าง เขาวางสายจากปรมัยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาแล้วก็แล่นมาที่นี่ ขณะอยู่บนรถใจก็จะขาดให้ได้เพราะห่วงหญิงสาว เขารู้แล้วว่าอยู่บนโลกนี้โดยไม่มีเธอไม่ได้ สิ่งที่จะแยกเขาอกจากเธอก็คือความตายเท่านั้น มือใหญ่ที่ว่างยื่นไขว้หลังไปหยิบปืนคู่กายมาถือไว้เพื่อป้องกันตัว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่มีการตายเกิดขึ้นที่นี่ บ้านหลังนี้และคนในบ้านบริสุทธิ์เกินไปกว่าจะเลือดจะไหลรินอาบพื้น ทั้งคู่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากรองเท้าหลายคู่ดังเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ย พวกมึงขึ้นไปจับตัวนังผู้หญิงมาสิ”
เสียงสั่งการนั้นคุ้นหูมาก รุ้งกมลคิดทบทวนแล้วก็อ้าปากค้าง ปรมัยกล้าบุกรุกเข้ามาที่นี่อย่างอุกอาจไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองบ้างเลย หรือเขาคิดว่าการที่มีพ่อเป็นรัฐมนตรีจะช่วยคุ้มกะลาหัวเขาไปได้ตลอดชีวิต หญิงสาวคิดอะไรไม่นานก็ถูกมือใหญ่ของฟรานเซเซียสดึงเธอเดินกลับขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ห้องน้ำอยู่ไหน เราต้องไปแอบในห้องน้ำ” ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงเบามากจนฟังไม่ได้ศัพท์
รุ้งกมลอ่านปากของเขาแทนการฟัง มันยากหน่อยตรงที่มันมืด แต่ก็พอจับคำบางคำได้ หญิงสาวชี้มือไปที่ห้องน้ำส่วนกลางที่อยู่ข้างห้องนอนรับแขก เธอพาเขาเดินไปหามันแล้วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างผ่านช่องลมเข้ามาในห้องน้ำ ทำให้ท้ังคู่มองเห็นกันได้ชัดขึ้น
ฟรานเซเซียสมองใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้เหลือเกิน มือใหญ่ยกประคองเสี้ยวหน้าของเธอก่อนยื่นหน้าเข้าไปหา กดจุมพิตลงบนกลีบปากอิ่ม เธอจูบตอบกลับมาด้วย ซึ่งมันทำให้เขายิ้มออก ตอนแรกคิดว่าเธอจะผลักหรือตบหน้าเขาเสียอีก ชายหนุ่มขยับมือไปลูบท้ายทอยของเธอเมื่อเธอโถมร่างเข้ามากอดเขาเอาไว้ ปากหนาจุมพิตลงตรงกลางกระหม่อมของเธอด้วยความคิดถึง
เสียงพวกมันเดินขึ้นมาด้านบน มันไล่เปิดประตูห้องแต่ละห้องไปเรื่อยๆ กับการใช้เวลาเพียงน้อยนิดกับการค้นหาตัวเจ้าของบ้านสาว หนึ่งในกลุ่มของพวกมันเดินสะดุดโต๊ะตัวหนึ่งทำให้แจกันดอกไม้ร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเสียงปืนก็ดังแว่วมาจากด้านนอก
“เฮ้ย! ใครมาเสือกวะ พวกมึงลงไปดูสิ” ปรมัยสั่งลูกน้องให้เดินออกหน้า ส่วนตัวเองเดินตามหลังจะได้ตายทีหลัง เขาจ้างไอ้พวกนี้มาแพง จะให้เขาตายก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก
ห้องน้ำเล็กกับแสงสลัวๆ จากแสงจันทร์มันให้ความโรแมนติกดีเหมือนกัน ฟรานเซเซียสยืนกอดร่างอรชรเอาไว้แนบกาย รู้สึกโล่งใจที่พวกนั้นพากันลงไปข้างล่าง เดี๋ยวก็คงเสร็จมิชาเอลที่รอท่าอยู่แล้ว มิชาเอลเป็นมือปืนมืออาชีพ ผ่านการทำงานมาหลากหลาย ประสบการณ์ทำงานท่วมตัว
“ไม่เป็นไรแล้วนะรุ้งกมล” ชายหนุ่มผลักร่างอรชรออกจากอกเพราะต้องการมองหน้าเธอให้ชัดๆ
รุ้งกมลพยักหน้าทั้งน้ำตาที่มันไหลรินมาด้วยความตื้นตันใจ เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้มันหยุดไหล
“ฉันนึกว่าคุณจะไม่กลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่ง ยิ้มน้อยๆ “ก็คิดเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมยังจัดการเรื่องธุรกิจต่างๆ ไม่เรียบร้อย ก็เลยต้องกลับมา ซึ่งนับว่าโชคดีแล้ว ที่มาทันช่วงเวลาที่คุณตกอยู่ในอันตรายจากการกระทำของผม เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณเลย แต่คุณต้องมาเดือดร้อนเพราะผมแท้ๆ”
น้ำตาไหลเป็นสายหยดใส่ปากอิ่มจนรับรู้รสชาติความเค็มของมัน หญิงสาวยกมือเช็ดน้ำตาอีกครั้งแล้วส่ายหน้า
“ฉันไม่กลัวหรอก ถ้ามีคุณอยู่ด้วยตรงนี้ คุณจะปกป้องฉันใช่ไหมฟรานเซียส คุณจะปกป้องฉันหรือเปล่า”
เสียงปืนดังแว่วมาจากด้านล่างอีกสองสามนัด ทว่าฟรานเซเซียสกับรุ้งกมลต่างไม่ใส่ใจมัน ปากหนาแย้มยิ้มด้วยความยินดี ต่อจากนี้เขาจะไม่ทำให้เธอร้องไห้และเสียใจอีกเพราะว่าเธอเป็นย่ิงกว่าชีวิตของเขา
“ผมจะปกป้องคุณรุ้งกมล หากคุณอยากให้ผมทำหน้าที่นี้”
“ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ฉันคิดถึงคุณมาตลอด รู้ไหมว่าฉันกำลังตั้งท้อง ตั้งท้องลูกของคุณ ฉันไม่ทำแท้งอย่างที่ปากพูดไปหรอกนะ ฉันก็แค่พูดประชดคุณก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวหัวเราะทั้งน้ำตา
ฟรานเซเซียสดีใจจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เข้าบุกเข้ามาที่นี่ เขาได้ของขวัญจากพระเจ้าสองชิ้นพร้อมๆ กัน หนึ่งคือรุ้งกมล อีกหนึ่งคือลูกในท้องของเธอ โลกทั้งใบที่เคยมืดมิดกลับสว่างไสวขึ้นมาทันใด
“รุ้้งกมล รู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น แต่ผมก็ทำทุกอย่างพังลงด้วยความโง่ของผม ยิ่งคุณเข้ามาอยู่ในบ้าน ผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่ย่ิงหลงรักคุณ คิดได้อย่างนั้นก็นึกต่อว่าตัวเองสาระพัดที่โตจนป่านนี้ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ ที่ผมคอยตอแย คอยกลั่นแกล้งคุณก็เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอาข้ออ้างไหนดีเพื่อไปพบกับคุณ ตอนที่คิดว่าคุณใส่ยาพิษเพื่อฆ่าผม ผมเสียใจมากที่รักคนที่เขาไม่รักเราเลย ยิ่งตอนคุณต่อว่าผมในวันสุดท้ายที่เราพบกัน น้ำตาผมแทบไหล ผมกลับไปโมนาโค พยายามลืมคุณ ออกเที่ยว พบเจอผู้คนมากมาย แต่ผมก็ทำไม่ได้ แล้วที่ผมบอกว่าผมต้องกลับมาเพราะว่ายังเคลียร์ธุรกิจไม่เสร็จผมก็โกหก ที่จริงผมอยากมาหาคุณ อยากมาเห็นหน้าคุณ อยากกอด อยากหอม สุดท้ายคุณจะให้อภัยผมได้ไหม รุ้งกมล อภัยให้ผมโดยที่ไม่มีแม้ข้อโต้แย้งใดๆ ในใจของคุณ” ชายหนุ่มร่ายยาวก่อนเอ่ยถามทิ้งท้าย ดวงตาคมจ้องมองไปยังนัยตาสุกสกาวของเธอ
รุ้งกมลใจพองโตราวลูกโป่งใบใหญ่อันถูกเติมไว้ด้วยความรัก เธอพยักหน้าแทนการพูด น้ำตาที่คิดว่าจะหยุดไหลได้ก็ยิ่งไหลออกมาด้วยความตื้นตัน แล้วก็ต้องช๊อกด้วยความยินดีเมื่อชายหนุ่มคุกเข่าลงไปที่พื้น เธอคว้าเขาเอาไว้ไม่ทันจริงๆ มือใหญ่ยื่นมาจับกุมมือเรียว
ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปยังดวงหน้างดงามที่เปราะไปด้วยหยาดน้ำตา “ผมรักคุณ รักมากจนชีวิตนี้ขาดคุณไม่ได้ แต่งงานกับผมได้ไหมรุ้งกมล”
รุ้งกมลยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปากตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถกักกั้นเสียงกรี๊ดดดดดเพราะความสุขสมหวังไว้ได้ ดวงตายาวรีระยิบระยับแวววาวด้วยความซาบซึ้งที่เขายอมคุกเข่าขอแต่งงาน ศิโรราบให้กับความรัก
ฟรานเซเซียสเร่ิมหวั่นใจเมื่อเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ “แต่งงานกับผมได้ไหมรุ้งกมล ได้โปรดเถอะ”
หญิงสาวยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงใบหู “ค่ะ”
“ผมไม่มีแหวนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะขอคุณแต่งงาน และก็ไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อน ถึงจะเคยคิดเอาไว้ลางๆ บ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วตบกระเป๋ากางเกงกระเป๋าเสื้อหาสิ่งของที่พอจะใช้แทนแหวนได้ เสียงโลหะกระทบกันทำให้เขาย่้ม มือใหญ่ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบพวงกุญแจตู้เซฟที่มันมีสายสร้อยสั้นๆ ร้อยเอาไว้สำรับใช้น้ิวเกี่ยว เขาใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างคล้องสายสร้อยเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกมันขาดออกจากกัน
รุ้งกมลยื่นมือไปวางบนมือใหญ่เมื่อเขาแบมือมาตรงหน้า แล้วเขาก็ผูกสายสร้อยที่น้ิวนางข้างซ้ายของเธอ เท่านั้นล่ะหญิงสาวก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นกับเขาแล้วตะหวัดแขนโอบรอบคอแข็งแรงเอาไว้ เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายแข็งกระด้างอย่างเขาจะมีความพูดหวานๆ และลงทุนคุกเข่าขอแต่งงานแบบนี้ ปากอิ่มแย้มเอื้อนเอ่ยบอกกับผู้ชายตรงหน้าว่า “ขอบคุณค่ะฟรานเซียส”
มือเล็กเลื่อนไปประคองดวงหน้าเข้มแล้วโน้มหน้าไปจุมพิตปากหนาๆ เนิ่นนานเพื่อตอกย้ำให้เขารู้ว่าเธอต้องการเขามากแค่ไหน หญิงสาวใช้หน้าผากอิงกับหน้าผากกว้างเมื่อถอนปากออกจากปากหนา เธอเผลอแลบลิ้นเลียปากตัวเองทำให้ฟรานเซเซียสมองภาพตรงหน้าตาปรอย สุดท้ายก็อดใจไว้ไม่อยู่ต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบเธออีก จูบของเขานั้นเรียกร้องและเต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง จูบนี้เน่ินนานจนรุ้งกมลผงะออกมาก่อน ถ้าปล่อยให้เขาจูบต่อไปเรื่อยๆ เธอคงต้องขาดใจตายแน่ๆ
“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ” ฟรานเซเซียสเอ่ยซ้ำๆ
“ฉันก็รักคุณ รักคุณ รักคุณ พอใจไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยล้อเลียนเขา
เสียงคนเดินขึ้นมาบนบ้านทำให้ทั้งคู่ผงะออกจากกัน ฟรานเซเซียสหยิบปืนที่วางเอาไว้บนพื้นแล้วลุกยืนเตรียมพร้อม รุ้งกมลก็หยิบปืนคู่กายแล้วลุกขึ้นไปยืนเคียงข้างเขา
“คุณหนูคะ คุณหนูอยู่ไหนคะ”
ป้าจอมร้องเรียกคุณหนูของนางด้วยความเป็นห่วง เมื่อเช้านางลุกไปหุงข้าว ตั้งใจว่าจะเตรียมอาหารเช้าแต่ก็ถูกจู่โจมเสียก่อน พวกมันบุกเข้ามาในครัว จับนางมัดแขนมันขาโดยไม่สนใจว่ากำลังทำร้ายคนแก่ไม่มีทางสู้ นางจะสู้รบปรบมือกับใครได้นอกจากร้องหาคนช่วย ยังดีที่มีพวกของฟรานเซเซียสมาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นก็คงแย่ เผลอๆ อาจจะถึงขั้นตาย เพราะว่าพวกมันน่ากลัวและใจร้ายเหลือเกิน
รุ้งกมลได้ยินเสียงป้าจอมก็รีบเดินออกไปปรากฎตัว “ป้าจอม รุ้งอยู่นี่ค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยเดินแกมว่ิงไปหาคุณหนูของนาง มืออูมยกไล้ไปตามเนื้อตัวของคุณหนูเพื่อสำรวจหารอยแผลหรือรอยฝกช้ำตามร่างกาย “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พวกมันทำร้ายคุณหนูหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะป้า แล้วป้าเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คุณหนูมองสำรวจทั่วร่างแม่บ้านที่พ้นออกมาจากเสื้อผ้า เธอมองเห็นรอยฝกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัวของนางหลายแห่ง ที่ข้อมือและตามแขนขา
ฟรานเซเซียสก้าวออกมายืนเคียงข้างรุ้งกมล “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป็นเพราะผมเอง เรื่องทุกอย่างถึงได้เกิดขึ้นแบบนี้”
ป้าจอมแหงนมองฟรานเซเซียสที่สูงกว่านางเยอะ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ เรื่องมันจบไปแล้ว ป้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากจนล้มหมอนนอนสื่อสักหน่อย”
เจ้าของร่างสูงหันหน้าไปหาลูกน้องคนสนิท “มิชาเอล เดี๋ยวนายดูแลทางนี้นะ ฉันจะไปเคลียร์กับมัน จะได้จบเรื่องกันเสียที”
รุ้งกมลเงยหน้ามองว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่ก่อนเอ่ยปากขอร้องเขาว่า “อย่าไปเลยนะคะ มันอันตรายเกินไป ฉันไม่อยากให้คุณไป”
“ไม่ได้หรอกรุ้งกมล ผมต้องไป ต้องไปทำเรื่องทุกอย่างให้จบ ไม่งั้นผมจะทำให้คุณลำบากยิ่งขึ้นนับจากนี้ไป ปรมัยมันไม่ปล่อยผมหรอก แล้วมันก็เลวมากพอที่จะเอาคุณมาเป็นตัวล่อ บังคับให้ผมยอมมัน” ชายหนุ่มอธิบายด้วยเหตุผล
หญิงสาวรู้สึกใจหายเมื่อเห็นความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวที่ส่งผ่านมาทางแววตา “เขาอยากได้อะไรเราก็ให้เขาสิคะ ความสุขที่แท้จริงของฉันก็คือการที่ได้มีคุณอยู่เคียงข้างกาย ไม่ใช่อำนาจหรือเงินทองที่คุณมี”
“คุณต้องการให้ผมทำแบบนั้นเหรอรุ้งกมล” เขากลั้นใจถาม
“ค่ะ ฉันไม่ต้องอยากนั่งรอคุณอยู่ที่บ้านโดยที่ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าคุณจะกลับมาหรือเปล่า กลับมาจะปลอดภัยไหม จะโดนไล่ยิงเหมือนอย่างที่เคยโดนมาหรือเปล่า” หญิงสาวอ้อนวอนเขาด้วยคำพูดและแววตา
สิ่งที่เธอขอนั้นคือการให้เขายอมศิโรราบให้กับปรมัย ยอมยกธงขาว ยอมพ่ายแพ้ ยอมทุกอย่างแม้ว่าใจเขาจะเดือดปุ๊ดๆ หมายจะไปล้างแค้นให้หายคาใจ ถ้าเขายอมยกธงง่ายๆ มันคงเอาไปพูดให้ใครต่อใครฟัง แล้วเขาจะเหลืออะไรให้คนยำเกรง เหมือนการได้เสียสละของบางอย่างให้กับคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ วันหนึ่งคนคนนั้นก็จะกลับมาแบมือขออีกโดยไม่มีวันจบสิ้น
“แค่ฉันกับลูกยืนอยู่ข้างคุณมันไม่เพียงพอเหรอคะฟรานเซียส คุณเสียสละเพื่อฉันกับลูกเถอะนะคะ ฉันขอร้อง อย่าให้เราสองแม่ลูกต้องทุกข์ใจเพราะเป็นห่วงคุณเลยนะคะ”
“ผมจะกลับมาให้คำตอบกับคุณด้วยตัวผมเองอีกครั้ง ผมจะใช้เวลาระหว่างทางเพื่อทบทวนความต้องการของตัวเองให้ชัดเจน รอผมอีกสักครั้งนะรุ้งกมล ให้โอากาสผมอีกครั้งนะ” ฟรานเซเซียสร้องขอหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย
รุ้งกมลพยักหน้าเพราะห้ามปรามเขาไม่ได้ “ฉันจะรอคุณค่ะ ไม่ว่ายังไงคุณต้องกลับมาบอกฉันด้วยตัวของคุณเองว่าคุณจะทำให้ฉันกับลูกได้ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันหลังเดินลงบันไดตรงออกไปจากบ้าน เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเพราะกลัวตัวเองจะขาดใจเมื่อเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลรินออกมา
///////////////////////////////////
ฟรานเซเซียส ปิเอโร่นั่งกัดฟันกรอดอยู่บนรถ ไอ้ปรมัยมันหยามเขามากเกินไป ลำพังมันทำกับเขาก็ยังพออดทนหรือให้อภัยกันได้ แต่นี่มันกล้าบุกเข้ามาหารุ้งกมล ทำร้ายผู้หญิงอันเป็นที่รัก และเธอกำลังต้องท้องลูกของเขา วันนี้เป็นวันชี้ชะตา ผู้แข็งแกล่งต้องอยู่รอด ส่วนคนอ่อนแอต้องไสหัวออกไปให้ไกล เสื้อสองตัวอยู่ถ้ำเดี๋ยวกันไม่ได้แม้ว่าถ้ำนั้นจะใหญ่สักเพียงใด ชายหนุ่มโยนเชื้อไฟลงบนกองเพลิงที่ศัตรูเพียรก่อ
“มิชาเอล บอกให้พวกเราค้นหามันให้เจอนะ ไม่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องเจอ ฉันกับมันจะต้องจบกันเพียงเท่านี้ วันนี้จะต้องมีคนตายไปข้าง ไม่ฉันก็ไอ้ปรมัย”
“ครับท่าน” มิชาเอลรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลยโทรศัพท์ติดต่อหาพรรคพวกกำลังรวมตัวกันอยู่ที่บ้านสวนของการิน ทุกครั้งที่มีเรื่องต้องลุย บ้านสวนคือแหล่งรวมกำลังพล พอลูกน้องรับสายเขาก็สั่งงานด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พอกดวางสายก็มีโทรศัพท์โทรติดต่อเข้ามา
“ท่านครับ คุณการินโทรมาครับท่าน” ชายหนุ่มหันไปบอกเจ้านาย
“ส่งโทรศัพท์มา” ฟรานเซเซียสรับโทรศัพท์มือถือจากลูกน้อง ใจนั้นไม่อยากคุยกับเพื่อน เพราะว่าเพื่อนวางมือจากวงการมาเฟียไปแล้ว ชายหนุ่มไม่อยากดึงเพื่อนลงมาลำบาก “ว่าไงการิน”
“นั่นแกอยู่ไหนฟรานเซียส ฉันตามมาถึงบ้านคุณรุ้ง แกก็ออกไปก่อน” การินร้อนใจ นั่งไม่ติดพื้นด้วยเป็นห่วงเพื่อน แล้วรู้สึกไม่สบายใจกับผู้หญิงสองคนกำลังปรับทุกข์กันอยู่ ยิ่งกับรุ้งกมลเขาไม่กล้ามองเลย เพราะมีหยดน้ำตาไหลออกมาตลอดแม้ว่าจะไม่สะอื้นไห้
“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วยน่ะการิน พาเมียนายกลับบ้านไปซะ”
“ไอ้บ้าเอ้ย! มันทำได้ง่ายๆ แบบนั้นก็ดีสิ นี่แกอยู่ที่ไหนบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะฟรานเซียส ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยนายอีกเลยทั้งชีวิต” การินขู่ ตอนที่เกิดเรื่องเขาอยู่ที่ร้านกับภรรยา จนได้รับข่าวจากมิชาเอลก็รีบดิ่งมาที่นี่
“นายอย่ารู้เลย มันหมดเวลาของนายแล้วการิน” มาเฟียหนุ่มกดปุ่มตัดการสนทนา ไม่สนใจว่าคนปลายสายจะเดือดเนื้อร้อนใจแค่ไหน วิถีทางระหว่างเขากับการินมันฉีกออกจากกันแล้ว
พอเขาตัดสายสนทนาจากเพื่อนก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาอีก ชายหนุ่มรีบกดตอบรับ
“ว่ายังไง ได้เรื่องหรือยัง”
เสียงทุ่มของเจ้านายทำให้คนปลายสายพูดจาด้วยความสุภาพ “ได้เรื่องแล้วครับนาย ไอ้ปรมัยมันพาลูกน้องไปซ่อนตัวอยู่ที่ทาวน์เฮาส์ในสลัม ที่ประจำของพวกมัน”
“ดี เกณฑ์คนของเราไปเจอกันที่นั่น แล้วคอยจับตาเอาไว้อย่าให้มันหนีไปไหนได้ล่ะ พวกนายก็ไปเจอกับฉันที่โน่นเลย”
“ครับท่าน พวกผมกำลังมุ่งหน้าไปครับ”
มาเฟียหนุ่มตัดการสนทนาแล้วโยนโทรศัพท์มือถือคืนกลับไปให้มิชาเอล ในสมองของเขามีแต่หน้าของไอ้ปรมัย ปากหนาเข่นเขี้ยวเอ่ยออกมา “อีกไม่นานหรอก มึงได้เจอกูแน่ไอ้เหี้ยเอ้ย”
รถหรูเล่นทะยายฝ่าการจราจรคับคั่งไปหาทาน์เฮาส์ในสลัมใจกลางกรุง แต่ก็กวดทันรถสปอร์ตคันงามก่อนจะถึงที่ ฟรานเซเซียสหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม ดวงตาคมมองรถสปอร์ตกับรถกะบะสองคันที่แล่นอยู่ด้านหน้า
“ขับแซงมันไปแล้วขวางทางมันเอาไว้” ชายหนุ่มสั่งลูกน้องที่กำลังขับรถ
“ครับนาย”
รถหรูเร่งความเร็วทะยานขึ้นไป มิชาเอลเตรียมปืนและลูกกระสุนพร้อมต่อสู้ พอรถกวดผ่านพวกมันไปได้ก็หยุดกระชาก มาเฟียหนุ่มเลื่อนกระจกลงแล้วยืนหน้าออกไปยิงใส่พวกมัน เน้นไปที่รถสปอร์ตหรู
เจ้าของรถสปอร์ตห้ามล้อทันทีเมื่อโดนยิง “ไอ้ห่าเอ้ย แมร่งตามมาจนได้” ปรมัยเลื่อนกระจกมองไปหาลูกน้องที่รถกะบะ “เฮ้ย! จัดการมันเลย”
สิ้นเสียงสั่งการของปรมัย เสียงปืนก็ดังระรัว ชายหนุ่มเข้าเกียร์ถอยหลัง หวังหนีเอาตัวรอดก่อน ลองไอ้ฟรานเซียสมันลงมือเอง เขาคงไม่รอดเงื้อมือมันแน่ๆ ใครก็รู้ว่ามันบ้าระห่ำ อยู่โมนาโคมันก็คุมแทบทั้งประเทศ แต่พอจะถอยหลังกลับ พวกของไอ้ฟรานเซียสก็ตามากั้นถนนเอาไว้
“ไอ้เหี้ยเอ้ย!” ปรมัยทุบกำปั้นและปืนลงบนพวงมาลัย มันรีบกดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อ ทันทีที่ท่านรับสายมันก็รีบกรอกเสียงสั่น “พ่อไอ้ฟรานเซียสมันมาล้อมยิงผมที่สลัม พ่อมาช่วยผมด้วยนะ”
เปรมพงษ์ได้ยินก็เครียดเป็นห่วงลูกชายที่สุด เสียงปืนหลายนัดดังผ่านเข้าไปในโทรศัพท์ให้ได้ยิน
“แล้วแกอยู่ตรงไหนตอนนี้ รีบหนีออกมาก่อน”
“ผมหนีไม่ได้พ่อ มันล้อมผมหมดเลย มันฆ่าผมแน่ๆ” ปรมัยผวาเมื่อมองเห็นลูกน้องโดนยิงล้มลง
“แค่นี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ท่านรัฐมนตรีวางสาย คว้าปืนในลิ้นชักแล้วรีบเดินออกไปหาลูกน้องที่กระจายอยู่หน้าบ้าน “เร็ว คุณปรมัยโดนดักยิงอยู่ที่คลองเตย พวกแกรีบเกณฑ์คนมา”
สมุนของท่านรัฐมรตรีทำงานได้เร็ว ไม่ถึงห้านาทีทุกคนก็เตรียมพร้อม รถกะบะสองคันอัดมือปืนแน่นรถ เสียงรถกะบะออกตัวดังแสบแก้วหู ท่านรัฐมนตรีกระโดดขึ้นรถเอสยูวีส่วนตัว สมองวนเวียนคิดห่วงลูกชาย เขาบอกมันแล้วว่าอย่าทำอะไรพลีพลาม ยิ่งกับฟรานเซียสย่ิงแล้ว เขาบอกว่าจะจัดการทุกอย่างเองได้ลูกชายตัวดีก็ไม่ฟัง
////////////////////////////////////////
มาเฟียหนุ่มเปิดประตูรถค่อยๆ ลงไปโดยใช้ประตูเป็นเกาะกำบังให้ตัวเอง ไอ้ปรมัยมันกำลังจะเสร็จเขาแล้ว ลูกน้องของมันโดนถล่มจนเจ็บไปหลายคน อีกจำนวนหนึ่งก็วิ่งเข้าป่ารกหนีไป ฟรานเซเซียสยื่นหน้าออกไปเหนี่ยวไกลใส่ลูกน้องคนสนิทของมัน ไอ้คนนี้ล่ะที่มันเคยรอบยิงเขาเมื่อคราวก่อน ชายหนุ่มยิ้มเมื่อจัดการศัตรูลงกองกับพื้นได้ เขากำลังจะลุกคืบเข้าไปอีก พอดีเห็นปรมัยยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ในมือมีปืนห้อยอยู่ บอกว่ายอมแพ้
มิชาเอลที่กำลังยิงสู้พวกนั้นรีบเดินอ้อมมาหาเจ้านาย “นายอย่าพ่ึงเชื่อมันนะครับ ไอ้นี่มันเชื่อไม่ได้ พร้อมจะหักหลักนายได้ตลอดเวลา”
ฟรานเซเซียสมองหน้าลูกน้องก่อนหันกลับมามองเป้าหมาย ชายหนุ่มจับปืนสองมือกล้องลำกล้องขึ้นระดับสายตา นัยน์ตาสีฟ้านิ่งสงบ แล้วเขาก็เหน่ียวไกลหนึ่งนัดเข้าใส่ปรมัยด้วยความแม่นยำ ทันที่ลูกพี่โดนยิง ลูกน้องทั้งหลายก็พากันหนี ปรมัยทรุดหัวเขากระแทกพื้นเมื่อโดนยิงที่ต้นขา
มิชาเอลที่มองอยู่รีบวิ่งเข้าไปที่เป้าหมาย แย่งปืนจากมือของมันมาถือเอาไว้ เท้าข้างหนึ่งยันไปที่หลังกลางของลูกชายท่านรัฐมนตรี
มาเฟียหนุ่มเดินก้าวเท้าเข้าไปหาไอ้ลูกแหง่ เขามองมันออกตั้งนานแล้วว่ามันเป็นคนขี้ขลาดแค่ไหน ที่ออกรังแกชาวบ้านอยู่นี่ก็เพราะเอาชื่อพ่อมาอ้าง ฟรานเซเซียสยังไม่จัดการมันก็เพราะการิน และก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่ารังแกคนไม่มีทางสู้ คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขามันต้องท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์เท่านั้น ไม่ใช่ไอ้ลูกแหง่ไม่หย่านม
ฟรานเซเซียสหยุดยืนต่อหน้าปรมัยด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม ผิดกับผู้ชายใต้ฝ่าเท้าของมิชาเอล แววตามันสั่นระริกพอๆ กับร่างกาย ชายหนุ่มเงื้อขาแล้วเหวี่ยงเสยหน้าซีดเต็มแรง พอมันเอนตัวล้มลงไปเขาก็ก้มไปจิกผมมันขึ้นมา
“มึงคิดว่ากูกลัวมึงนักเหรอ มึงคิดว่ามึงเป็นใครกูถึงต้องกลัวมึงไอ้อ่อนหัด มึงทำกับกู กูพอทนได้ แต่กับเมียกูมึงห้ามแตะเข้าใจไหม”
ปรมัยรีบพยักหน้า สภาพของมันตอนนี้สะบักสะบอมมาก เจ็บร้าวไปหมดทั่วทั้งตัว แล้วก็มีเลือดไหลออกทางมุมปากและต้นขาที่โดนยิง ร่างสูงโปรงสั่นงก
“กูไม่เข้าใจเลยว่ามึงเอาปัญญาจากไหนมาคิดว่ามึงเก่ง จำไว้ด้วยนะว่ามึงน่ะอ่อนหัด ไอ้เหี้ย!” ชายหนุ่มงื้อมือฟาดด้ามปืนใส่หน้าปรมัยอีกหน “กูรู้ว่าเดี๋ยวพ่อมึงก็จะมาช่วยมึง แล้วก็คิดว่าอาจจะมาทันฉากสำคัญระหว่างมึงกับกูซะด้วย มึงอยากเป็นพระเอกมานานแล้วนิ อยากเป็นนักมาเฟีย วันนี้วงการมาเฟียจะจารึกชื่อมึงเอาไว้เลย”
“อย่า อย่าทำอะไรฉันอีกเลยนะ ฉันขอร้อง” ปรมัยขยับปากขอร้อง เสียงที่เอื้อนเอ่ยสั่นเทาเพราะระบมไปหมด
“นี่มึงขอร้องกูเหรอ ไหนว่าเก่งนักไงล่ะ” ฟรานเซเซียสกัดฟันพูด ยิ่งนึกถึงภาพพวกมันบุกไปบ้านของรุ้งกมล ทำร้ายป้าจอม และหวังจะทำร้ายหญิงสาว
เสียงล้อรถบดลูกรังเขามาทำให้มิชาเอลหันหลังกลับไปมอง ขณะนี้ลูกน้องของเขาล้อมตรงนี้ไว้หมดแล้ว แต่ทำไมถึงมีรถขับเข้ามาได้ แล้วก็ร้องอ๋อเมื่อเห็นการินก้าวลงมาจากรถ
“นายครับ คุณการินมา” มิชาเอลราย
ฟรานเซเซียสลุกยืน มองเพื่อนเดินเข้ามาหา ในที่สุดมันก็ตามหาเขาเจอจนได้
การินมองสภาพของปรมัยแล้วหดหู่ ถ้าเขามาถึงที่นี่ช้าอีกนิดเดียว ปรมัยอาจจะตายไปแล้ว
“พอเถอะฟรานเซียส”
“ฉันว่าแล้วว่านายจะต้องมาห้าม นายมาจากบ้านรุ้งกมลใช่ไหม แล้วนายไม่เห็นเหรอว่าพวกมันทำอะไรไว้บ้าง” ฟรานเซเซียสตะโกนต่อว่าเพื่อน
“ก็เพราะว่าฉันไปเห็นมาน่ะสิ ถึงได้รีบมาห้ามนายเนี่ย ถ้าฉันมาช้าไปกว่านี้ นายก็คงฆ่ามันไปแล้ว” สองหนุ่มทุ่มเถียงกัน
“แล้วจะเก็บมันไว้ว่าพ่อมันเหรอ ทีมันไม่เห็นคิดจะเก็บรุ้งหรือว่าฉันเอาไว้เลย” มาเฟียหนุ่มกล่าว
“ฉันรู้ว่านายโมโห แล้วก็เจ็บแค้น แต่นายคิดถึงรุ้งกมลสิฟรานเซียส นายเป็นแบบนี้เธอไม่สบายใจ อยู่ที่นั่นก็เอาแต่ร้องไห้ ถ้านายไม่รักตัวเองก็ควรหัดรักเธอบ้าง รักที่ต้องเสียสละ ไม่ใช่รักในแบบที่นายเป็น” การินผลักอกเพื่อน โมโหกับความงี่เง่า
ฟรานเซเซียสหลุบตามองก้อนกรวดที่พื้น “หรือว่าฉันไม่เหมาะกับเธอ”
“พูดออกมาได้ตอนนี้ มีลูกในท้องทั้งคนแล้วนี่น่ะ”
“ก็เออสิ!”
“กลับบ้านฟรานเซียส ฉันรู้ว่านายได้คำตอบแล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป กลับไปหาเธอได้แล้ว” การินสั่ง
“ปากนายนี่น่าต่อยเป็นบ้าเลยว่ะการิน สักทีดีไหมนะ” ฟรานเซเซียสพูดทีเล่นทีจริงเมื่อเพื่อนพูดจาไม่เข้าหู
“คิดว่ามีมือมีตีนอยู่คนเดียวเหรอวะ” การินผลักอกฟรานเซียสกระเด็น
สุดท้ายทั้งคู่ก็กระโจนเข้าหากัน กอดฟัดกันราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหน มิชาเอลพักเท้าไว้กับหลังปรมัยขณะยืนดูมวยคู่เอกกำลังขึ้นชก ทั้งคู่สลับกันรุกและรับอยู่นานจนหมดแรงนอนหงายอยู่กับพื้น
“เป็นไง ได้ออกหมัดออกเท้าหายบ้าขึ้นมาได้บ้างไหม” การินถามพื้นเสียงขาด อกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงรู้สึกปวดตาหน่อยๆ เพราะโดนหมัด
“ดี หายเครียดไปเลย” ฟรานเซเซียสถอนหายใจเฮือก แล้วใช้นิ้วชี้ไล้มุมปากตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา
“คิดออกบ้างหรือยังว่าจะเอายังไงต่อไป”
“ออก ป่านนี้ไอ้เปรมพงษ์คงกำลังพาลูกน้องมาที่นี่ ฉันเหนื่อยแล้วว่ะ วันนี้จบกันแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่ม ดีดตัวลุกขึ้นนั่งต่อหน้าปรมัยที่ทำหน้ายังกับว่าจะเป็นจะตาย ทั้งๆ ที่โดนไปนิดหน่อยเอง “ตกลง ฉันจะยกกาสิโนให้นาย แต่ว่าราคาพันล้านนะ มีเงินแล้วมาหาฉันได้เลย”
ปรมัยชะงัก ไม่คิดว่าฟรานเซเซียสจะยกกาสิโนให้ง่ายดายแบบนี้ แต่ท่างทางของเขามันบอกว่าไม่ได้โกหก “จริงๆ นะ นายจะยกให้ฉันจริงๆ นะ”
“จริง ไม่โกหกหรอก แต่เร็วๆ หน่อยแล้วกัน ถ้าช้าฉันก็จะขายให้คนอื่น” ชายหนุ่มบอกแล้วลุกเดินไปขึ้นรถ ทิ้งปรมัยให้อยู่กับพี่ชายต่างสายเลือดเพียงลำพัง
การินลุกขึ้นนั่งมองลูกพี่ลุกน้องที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยความสมเพช “นี่มึงกระเหี้ยนจะเป็นมาเฟียมากขนาดนี้เลยเหรอวะ ความชั่วน่ะอยากทำนักใช่ไหม งั้นก็เชิญมึงเสวยสุขกับเรื่องช่ัวๆ จนตายไปพร้อมกับมันก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินหนีปรมัยไปขึ้นรถ
ปรมัยล้มลงนอนเพราะเสียเลือดมาก รอยย้ิมประดับอยู่บนใบหน้าคมคาย เขาได้กาสิโนมาแล้ว เขาจะได้เป็นมาเฟีย เป็นเจ้าพ่อ มีอำนาจเหนือใครๆ จะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไปแล้ว ภวังค์ดึงชายหนุ่มหวนกลับไปหาวัยเยาว์ เขาโดนเพื่อนต่อย พวกมันมีเยอะ ตอนนั้นเขากลัวมาก กลับมาบ้านฟ้องแม่ แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฟ้องพ่อ พ่อก็เพิกเฉย ไม่มีใครปกป้องเขาได้เลยสักคน
///////////////////////////////////////
๑๖.คนธรรมดา
รัตติกาลก้าวเข้ามา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงดาราลอยเด่น ดาวดวงเล็กแข่งกันทอแสง เมฆสีเทาเคลื่อนตัวบดบังดวงดาราแวบหนึ่งแล้วก็ลอยไปไกล
รุ้งกมลสวมชุดราตรียาวเกาะอกสีแดงเพลิง ดูเจิดจรัสและมีเสน่ห์เหลือร้าย ใบหน้างดงามตกแต่งด้วยเครื่องสำอางโทนสีร้อนให้เข้ากับชุด ที่ติ่งหูประดับด้วยต่งหูเพชรน้ำงามสุกสกาว ในมือเล็กมีกระเป๋าใบจิ๋วสีทอง หญิงสาวเดินตามพนักงานของร้านอาหารหรูใจกลางกรุงไปที่โต๊ะ ฟรานเซเซียสเป็นคนนัดให้เธอมาที่นี่
ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูเปิดให้เห็นทรรศนียภาพของกรุงเทพมหานครและฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ลมเย็นพัดโชยมากระทบร่าง หญิงสาวมองหาฟรานเซเซียสที่ยังไม่ปากฏตัว เธอจึงมองสังเกตุบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยๆ ร้านนี้จัดแต่งด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้แบบหากตัวบ้าง สองบ้าง แล้วก็สี่บ้าง ผ้าคลุมโต๊ะเป็นสีขาว ตัดกับเก้าอี้สีเข้มเบาะนั่งลายหมากรุก ดวงตายารีทอดมองออกไปไกล เห็นแสงไฟตามบ้านเรือนสองสว่างขัดเจน มันสวยงามมาก โรแมนติกเหลือเกิน ขณะกำลังนั่งมองดูอะไรเพลินๆ ก็ต้องตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ผู้จู่โจมกระซิบบอกที่ริมหูว่าเขาคือใครพร้อมกับจุมพิตลงที่ซอกคอหอมกรุ่น รุ้งกมลสวยงามยิ่งกว่าทรรศนียภาพ
“วันนี้คุณสวยที่สุดเลยรุ้งกมล” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกหญิงสาวแล้วนั่งลงเคียงข้าง
รุ้งกมลรีบมองไปรอบตัวเพราะเกรงสายตาจากแขกคนอื่นๆ แต่ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน
“ผมเหมาร้านเอาไว้ เป็นการขอโทษที่ดื้อกับคุณ” นัยน์ตาสีฟ้าหวานเยิ้มเมื่อมองใบหน้างดงาม ชายหนุ่มยกแขนไปวางบนพนักเก้าอี้ของรุ้งกมล จึงดูเป็นการโอบกอดกลายๆ
ดวงตายาวรีมองชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ วันนี้เขาแต่งตัวเรียบร้อยและโก้มาก ไม่เหลือคราบมาเฟียเลย
“คิดว่าฉันจะยกโทษให้คุณง่ายๆ เหรอคะ คุณดื้อๆ แบบคุณน่ะต้องกำราบให้เข็ด” หญิงสาวแกล้งงอน
ฟรานเซเซียสยกมือไปประคองดวงหน้าหวานให้หันหน้ามามองเขา “ผมยอมแล้ว คุณเป็นมาเฟีย ส่วนผมเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอำนาจใดๆ นอกจากใจที่รักคุณ”
ชายหนุ่มมองมือเรียวข้างซ้ายที่ยังมีสายสร้อยพันอยู่รอบนิ้วนาง เธอยังสวมสายสร้อยธรรมดานั่นอยู่ เขายื่นมือไปจับมือเรียวเอาไว้แล้วเงยหน้ามองสบดวงตาดำขลับพร้อมใช้มือที่วางล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงใบเล็กออกมา ชายหนุ่มเปิดฝากล่องก่อนนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ แหวนเพชรเม็ดเขื่องยามมันต้องไฟทำให้เกิดแสงระยิบระยับแวววาว
รุ้งกมลมองแหวนเพชรน้ำงามราวสี่กระรัตไร้ตำหนิใดๆ แสงมันวับวาวเล่นไฟหลากสีสัน ตัวเรือนเป็นทองคำขาวราวหกกรัม รอบวงฝังด้วยเพชรแทปเปอร์สามแถว เธอหันกลับมามองหน้าเขาแล้วก้มต่ำมองนิ้วมือของตัวเองเมื่อเขาถอดสายสร้อยโลหะออกไป
เจ้าของแหวนเพชรย้ิมให้กับคู่หมั้นแล้วหยิบมันสวมใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอด้วยความทะนุถนอม “ผมเอามาเปลี่ยนให้แล้วนะ แหวนเพชรวงนี้เปรียบเสมือนความรักของผมที่ได้มอบให้กับคุณ ผู้หญิงที่ผมพร้อมจะดูแลไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ขอแค่คุณอย่าหนีผมไปไหนก็พอ”
หญิงสาวมองแววตากรุ้มกร่ิม ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายกระด้างจะอ้อนเป็น เขาทำให้เธอมีความสุขจนหลั่งน้ำตาออกมา “ขอบคุณค่ะ คุณก็เป็นคนที่ฉันรักและพร้อมจะเดินไปกับคุณไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์”
ฟรานเซเซียสก้มหน้ามาจุมพิตระหว่างวงแหวนและมือของเธอก่อนยื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่ม จูบอ่อนหวานแผ่วพลิ้วแล้วหนักหนักเรียกร้อง สุดท้ายก็กลั้นใจผลักตัวเองออกมา ความหวานยังซาบซึ้งติดตรึงอยู่ตรงปากซึมลึกสู่ก้นบึ้งหัวใจ ยามแหวนเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ในน้ิวเรียวช่างผ่องอำไพ
“ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยรุ้งกมล ไม่คิดว่าชีวิตหนึ่งจะมีความสุขได้มากขนาดนี้”
“อย่ามาทำปากหวานเลยค่ะ ฉันหิวแล้ว”
“ผมก็หิวนะ แต่หิวคุณ หิวมากด้วย ดูตาผมสิ แทบจะทนไม่ไหวแล้ว” เขาบอกเสียงกระเส่า
“แต่ฉันหิวข้าวค่ะ ไม่ได้หิวคุณ” รุ้งกมลจ้องตาแวววาว
“กินข้าวอ่ิมแล้วก็อย่าลืมกินผมด้วยนะ ผมอาบน้ำ ขัดเนื้อขัดตัวมาทั้งวัน หวังว่าจะคุณเห็นจะอยากกิน”
รุ้งกมลเขินกับคำพูดของเขาเพราะมันทำให้คิดไปถึงไหนต่อไหน ใบหน้าหวานเร่ิมร้อนผะผ่าวราวถูกไฟอุ่นๆ ลามเลีย “เซี้ยวนักนะคะคุณนี่”
ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปชิดหญิงสาว ดวงตาคมจ้องดวงตายาวรีพร้อมกับค่อยๆ โน้มใบหน้าไปจุมพิตที่กลีบปากอ่ิม ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งหลงใหล กลิ่นน้ำหอมบวกกับผู้หญิงสวย เนื้อเนียนช่างเย้ายวน เขายื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่มอีกครั้ง จูบสั้นๆ หลายๆ หนเพื่อนหยอกเย้าเธอให้เคลิ้มไปด้วย สุดท้ายก็จูบหนักหน่วงเน่ินนาน
เจ้าของปากอ่ิมหลับตาพริ้ม เคลิ้มไปกับรสจูบของชายหนุ่มจนต้องยกสองมือประคองใบหน้าเข้ม
“อือ... อือ พอแล้วค่ะ พอแล้ว”
ปากหนาละจากปากอิ่ม ทว่าใบหน้ายังอยู่ใกล้กัน ดวงตาคมเหลือบมองดวงหน้างดงามจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ใจอยากจูบเธอนานๆ อีกสักหน “ใจร้าย จะทรมานผมไปถึงไหนกัน”
“ไม่มีใครทรมานคุณสักหน่อย มีแต่คุณทรมานตัวเอง” รุ้งกมลแกล้งว่า
“ที่ไหนได้ล่ะ คุณน่ะ เหมือนต้ังใจแต่งตัวมายั่วผม ใส่ชุดสีแดงเกาะอก โอ้ย! ผมจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนเวลาเราอยู่บนเตียงด้วยกัน” เขาบอกพลางกอดคอเธอ ยื่นหน้าไปอ้อนใกล้ๆ
“คิดไปได้ไกลถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ เวอร์ไปแล้วล่ะ” ร่างอรชรรู้สึกถึงความชื้นที่แอ่งร้อนของตัวเองจึงทำให้ต้องเบือนหน้าหนีดวงตาซุกซน
“คิดไปไกลถึงวันที่คุณเป็นของผม วันนั้นผมมีความสุขมาก คุณน่ารัก ไม่ประสาแต่ว่าผมให้ผมอิ่มเอมไปท้ังใจและกาย ผมอยากรู้ว่าหากเป็นตอนนี้ คุณจะร้อนแรงเพื่อผมแค่ไหน” เขากระซิบเสียงกระเส่าที่หูของเธอ
รุ้งกมลหยัดกาย แค่คำพูดถึงเขาก็ทำเธอซาบซ่านราวกับว่าเขากำลังไล้มือไปตามร่างกาย เธอกำลังเปล่าเปลือยอยู่บนเตียงเพื่อเขา ร่างอรชรบิดกายไปหาร่างกำยำ ดวงตาเคลิ้มร่องลอย สองเท้าสะลัดรองเท้าส้นสูงออกแล้วยื่นไปเขี่ยท่อนขาของเขาด้วยความรัญจวน
ชายหนุ่มมองความเย้ายวนตรงหน้าด้วยความพึงใจ “คุณกำลังคิดอะไรอยู”
หญิงสาวไม่ตอบไม่สนใจ ปล่อยตัวล่องลอยอยู่กับจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาให้ เธอกำลังโรมรันอยู่กับเขาบนเตียงนุ่มโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น ปากหนาของเขาซุกไซร้ที่อยู่ลำคอ เธอเบียดตัวเข้าหาเขา แนบชิดจนอากาศไม่สามารถเล็ดผ่านได้ แล้วก็สะท้านเมื่อถูกจู่โจมเข้ามาหา รุ้งกมลขยับตัวตอบสนองความร้อนแรงที่เขาเพียรปรนปรือให้ สุดท้ายก็กระตุกเสียววาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ร่างระทวยซบหน้าลงกับบ่ากว้างเมื่อหลุดออกมาจากจินตนาการร้อนแรงได้ ดวงตาที่ยังหลับพริ้ม รุ้งมกลเอ่ยถามฟรานเซเซียสน้ำเสียงกระเส่า “คุณทำอะไรฉัน คุณทำได้ยังไง”
“ตื่นขึ้นมาทานข้าวได้แล้วสาวน้อย ที่รักของผม” ฟรานเซเซียสก้มหน้ามองหญิงสาว
“ฉันไม่อยากอาหารแล้ว อยากแต่คุณ” หญิงสาวบอกทั้งที่ยังซุกซบอยู่กับบ่ากว้าง
“งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะ ผมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
รุ้งกมลได้ยินเสียงของเขาแต่ยังลุกยืนไม่ไหว รวบรวมกำลังเท่าไหร่ก็ไม่กลับมา “รอฉันสักครู่นะคะ”
“ให้ผมอุ้มคุณดีไหม” ฟรานเซเซียสแกล้งเย้า
“ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง เพราะคุณคนเดียวเลย คุณต้องรับผิดชอบ” รุ้งกมลสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง แล้วก็ลืมตาตื่นจากความฝันเจอกับดวงตาวาววับ
“นึกว่าจะไม่ยอมตื่น”
หญิงสาวลุกนั่งตัวตรง ใช้สองเท้าควานหาร้องเท้ามาสวม “ฉันก็นึกว่าจะตื่นไม่ไหวเหมือนกัน”
ฟรานเซเซียสยื่นขึ้นแล้วยื่นมือไปรอรับหญิงสาว ช่วยดึงให้เธอลุก แล้วจูงมือกันออกจากร้านอาหารหรูหราไปท่ามกลางความสงสัยของพนักงานว่าสั่งอาหารไว้มากมายแต่ไม่ยอมทาน
/////////////////////////////////////////
เตียงนอนนุ่มปูผ้าคลุมสีขาวสะอาด ผ้าห่มพับเป็นระเบียบอยู่ปลายเตียง หมอนสองใบวางคู่กันไม่ห่าง
ฟรานเซเซียสเดินต้อนรุ้งกมลจนเธอล้มลงบนเตียง ชายหนุ่มยืนมองความเย้ายวนพร้อมกับกระชากไทออกจากคอ ต่อด้วยเสื้อผ้าน่ารำคาญจนเปล่าเปลือย
ดวงตายาวรีมองสำรวจร่างกายกำยำแล้วหน้าแดงก่ำ แผงอกล่ำสันอัดแน่นไว้ด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เอวสอบลงไปหาสะโพกและต้นขาแข็งแรง หญิงสาวสะดุดตากับแก่นกลางของเขาผงาดประกาศศึก เธอกลั้นใจมองเขาเดินเข้ามาหา เตียงยุบวาบเมื่อหัวเขาวางลงบนเตียง
ชายหนุ่มคลืบคลานเข้าไปร่างอรชรเย้ายวนใจ ร่างสูงค้อมตัวอยู่เหนือหญิงสาว เขาวางมือไปที่ต้นขาใต้เนื้อผ้าซาติน ลูบไล้ไปเรื่อยๆ จนหยุดที่เอวคอด ใบหน้าเข้มก้มลงซุกไซร้อยู่กลางอก ไร้หนวดทำให้หญิงสาวขนรุกชัน ปากหนางับลงที่ยอดอกโดยที่ยังมีเดรสและชุดชั้นในกางกั้นอยู่
รุ้งกมลหยัดร่างขึ้นมาหาปากซอกซอนพร้อมกับดึงรั้งชุดราตรีของตัวเองให้พ้นจากร่างไป มันเกะกะขวางทางเหลือเกิน แล้วชุดชั้นในตัวจิ๋วก็หลุดลอยตามไป หญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มนิ่งไป มือเรียวยื่นไปกุมแก่นกลางของเขา เรียกร้องให้เขาเติมเต็ม ฟรานเซเซียสร้องครางเมื่อถูกคลึงเคล้น
หญิงสาวลุกนั่งแล้วผลักร่างกำยำลงนอนบนเตียง รู้สึกเร่าร้อนจนทนไม่ได้ ร่างอรชรค่อมร่างเหนือชายหนุ่มแล้วกดแอ่งร้อนเข้ากับแก่นกลางของเขาจนสะดุ้งเพราะความซาบซ่านรุ่มร้อน ทั้งคู่ร้องครางออกมาพร้อมๆ กัน รุ้งกมลกดร่างลงไปจนสุดแล้วขยับสะโพกไปตามจังหวะที่สั่งออกมาจากจิตใต้สำนึก บ้างก็รัวเร็ว บ้างก็ช้าหนึบ แต่ล้วนทำให้มีความสุขทั้งนั้น สุดท้ายก็ร้องกรี๊ดลั่น เสียวจนร่างกายเกร็ง จิกน้ิวกดกรีดลงบนอกกว้าง กระตุกแล้วหล่นไปหาเขา
ฟรานเซเซียสนอนมองเพดานหมดเรี่ยวแรงเพราะถูกเธอสูบเอาไปจนหมด ทั้งคู่นอนซบกันนิ่งๆ ขยับไปไหนไม่ได้
แล้วก็หลับลงไปด้วยกันพร้อมกับความสุขสม
////////////////////////////////////////////
คอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพมหานครตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ปรมัยแต่งตัวเน๊ียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขามองดูตัวเองในกระจกเงา รอยฟกช้ำจางหายไปแล้ว แต่ยังเดินเหินไปถนัด ดีที่ไอ้ฟรานเซียสมันไม่ยิงตรงจุดสำคัญ ชายหนุ่มเดินกะเผลกออกจากบ้านพัก เขาจะไปหาพ่อเพื่อบอกข่าว เพราะยังไม่มีโอกาสบอกท่านว่าอยากได้เงินไปซื้อกาสิโนต่อจากไอ้ฟรานเซเซีส ตั้งแต่เขารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและออกมาพักอยู่ที่บ้านก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันกับพ่อเลย ท่านไม่ยอมมาเยี่ยมเขาโดยให้เหตุผลว่าเบื่อ
ชายหนุ่มลงลิฟต์ไปชั้นล่างเจอกับลูกน้องที่นั่งรอรับใช้อยู่ในร๊อบบี้ของคอนโด
“ไปเอารถมา ฉันจะไปหาพ่อ” เขาสั่งลูกน้อง
“ครับ” ไอ้เวียนกุลีกุจอวิ่งไปขับรถมารับเจ้านาย เขาจะได้เป็นคนคุมบ่อนกาสิโนก็คราวนี้ โก้กว่าคุมบ่อนไก่กาเป็นไหนๆ ทีนี้ล่ะเงินทองได้ไหลมาเทมา มันรีบขับรถมาจอดหน้าคอนโดมิเนียมแล้ววิ่งกลับไปพยุงเจ้านายขึ้นรถ
ปรมัยมองลูกน้องที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่าๆ “ชุดมึงมันกระจอกไปเปล่าวะไอ้เวียน รับใช้กูก็ทำตัวให้มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึ มึงไม่เห็นลูกน้องของไอ้ฟรานเซียสหรือไง ไอ้พวกนั้นแต่งตัวเกือบจะดีเท่ากับกู”
ไอ้เวียนขับรถพลางตอบเจ้านาย “ก็ผมไม่มีเงินนี่ครับ หามาใส่ได้เท่านี้ก็หรูแล้ว
“เออ... เดี๋ยวกูให้เงินมึงไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ จะได้สมกับที่ได้ทำงานรับใช้กู แต่งแบบนี้ไปไหนก็อายเขาแย่ นึกว่ากูไปเก็บหัวขโมยที่ไหนมาเป็นลูกน้อง”
ไอ้เวียนยิ้ม เจ้านายจะว่าอะไรก็ว่าไปเหอะ ขอให้เงินถึงมือมันก็แล้วกัน มีเจ้านายฉลาดน้อยก็ดีแล้วนี้ล่ะ เงินทองรั่วไหลถึงมือเสมอ เจ้านายของเขาเป็นเหมือนเด็กมีปัญหา ขาดความอบอุ่น อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องวิ่งไปมีเรื่องมีราวเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น โดยเฉพาะกับผู้เป็นพ่อ ไอ้เวียนแอบสยองในใจ คิดว่าหากมันมีลูกแบบปรมัยจะซวยแค่ไหน วันๆ คงไม่ต้องทำงานทำงาน มั่วแต่ตามล้างตามเช็ดกันอยู่นี่เอง แต่ดูไปดูมาเจ้านายเขาก็น่าสงสาร ไม่มีใครเข้าใจ มีแม่ที่เอาแต่เข้าบ่อน เล่นการพนัน เอาผู้ชายกลับมานอนบ้านให้ลูกเห็น เผลอก็เรียกเขาไปนอนด้วยบ่อยๆ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรกับขี้ข้าหนักหนา ดีที่ปรมัยไม่รู้ หากรู้เขาก็คงแย่
////////////////////////////////////
ท่านรัฐมนตีเปรมพงษ์ เดชชัยนะ กำลังเดินออกกำลังพักผ่อนอยู่ในสวนข้างบ้าน ช่วงหลังมานี่เขาไม่ค่อยได้พักผ่อน มีเรื่องเครียดกระทบใจอยู่เสมอ นี่ก็พึ่งผ่านเรื่องลูกชายตัวดีไป มันคงไม่รู้หรอกว่าเขาก็พึ่งออกจากโรงพยาบาลก่อนหน้ามันนิดเดียวเพื่อไปขยายเส้นเลือดด้วยการทำบอลลูนเพราะป่วยเป็นโรคหัวใจ
“คุณคะ ดื่มน้ำผลไม้สักหน่อยเถอะ” คุณหญิงสมศรางค์เดินถือแก้วน้ำผลไม้ส่งให้สามี
ท่านรัฐมนตรีย้ิม “ขอบใจมากนะคุณหญิง ขอบคุณที่ไม่ทิ้งผมไปไหน”
“อย่าพูดเลยค่ะ จะทำให้เครียดเปล่าๆ” คุณหญิงเตือนสามี
“ลูกจะกลับมาเยี่ยมผมไหมคุณหญิง” ท่านถามถึงลูกสาวคนเดียวที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ
คุณหญิงก้มหน้าหลบสายตาสามี “ลูกกำลังเคลียร์งานน่ะค่ะ หากเคลียร์ได้เรียบร้อยก็จะเดินทางกลับมาให้เร็วที่สุด คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“เมื่อไหร่ลูกจะอภัยให้ผมเสียที ผมอยากเห็นหน้าลูกใจจะขาด” เปรมพงษ์บ่นพึมพำ
“อยากเห็นหน้าลูก ลูกก็มาแล้วนี่ไงครับคุณพ่อ” ปรมัยที่ยืนฟังพ่อกับแม่เลี้ยงคุยกันอยู่นานโพลงออกมาขัดการสนทนาออกรสของทั้งคู่
คุณหญิงสมศรางค์หันหน้ากลับมามองต้นเสียงด้วยสายตาไม่พอใจกับไอ้ลูกทรพีคนนี้ เมื่อไหร่ดวงตาของมันจะเห็นธรรมเสียทีก็ไม่รู้ “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่าน” นางบอกแล้วเดินหนีกลับเข้าบ้านไป
ท่านรัฐมนตีมองหน้าลูกชายตัวดี “ไปทำเรื่องชั่วๆ ที่ไหนมาอีกล่ะปรมัย ถึงได้กะเผลกมาถึงที่นี่โดยไม่รอให้หายดีเสียก่อน”
“ผมจะเลิกทำเรื่องชั่วๆ เลยล่ะครับคุณพ่อ ขอให้คุณพ่อสบายใจ ต่อไปนี้ผมจะเร่ิมต้นชีวิตใหญ่ ทำธุรกิจที่ผมอยากทำมานาน” ปรมัยจงจัยยียวนผู้เป็นพ่อพร้อมกับเดินเข้าไปหาท่าน
“น้ำหน้าอย่างแกจะทำงานอะไรกับเขาได้ ฉันอยากจะรู้”
“กาสิโนไงครับพ่อ พ่อคงไม่รู้ว่าไอ้ฟรานเซียสมันตกลงขายต่อให้ผมพันล้าน แค่ผมเอาเงินไปให้มัน กาสิโนก็จะตกมาเป็นของผมทันที”
“แกก็เลยรีบมาหาฉันถึงบ้านว่าอย่างนั้นเถอะ” เปรมพงษ์แสยะย้ิมรู้ทันลูกชาย
“ก็ใช่นะสิครับ ผมจะไปเอางานมากมายอย่างนั้นมากจากไหนล่ะ นอกจากพ่อ” ปรมัยบอก
“ฝันไปเถอะ สมบัติของฉัน ฉันไม่ยอมให้แกเอาไปผลาญเล่นหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอมรดกในส่วนของผม ผมจะได้เอามันไปขาย ได้เงินมาไปซื้อกาสิโนต่อ ผมขอเป็นที่ดินแปลงสวยๆ ก็แล้วกันนะครับ คุณพ่อมีที่ดินหลายสิบไร่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ใช่หรือ”
“ไม่ว่าอะไรฉันก็ไม่ให้แกทั้งนั้น กลับไปเสียเถอะ ฉันจะพักผ่อน” ท่านรัฐมนตรีออกปากไล่ลูกชายคนเดียว เขา เร่ิมรู้สึกเครียดจนใจเต้นแรง
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าคนพ่อจะยกที่ดินแปลงนั้นให้กับผมก่อน บางทีผมอาจจะไม่ต้องขายมันด้วยซ้ำ เอามันไปแลกกับกาสิโนก็ได้ เพราะว่าไอ้ฟรานเซียสมันตั้งใจจะวางมืออยู่แล้ว มันกำลังมีลูก”
“ขอให้ลูกมันอย่าระยำเหมือนลูกฉันก็แล้วกัน”
“คุณพ่อ คุณพ่อพูดอย่านี้ได้ยังไงครับ คุณพ่อเคยเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่า วันๆ เอาแต่ด่า ดูถูกผมสาระพัด เคยไหมครับที่จะดูแลปกป้องผมเหมือนกับพ่อของคนอื่นเขา ถ้าผมมันเป็นลูกระยำ คุณพ่อก็เป็นพ่อที่ระยำที่สุดเหมือนกัน” ปรมัยตะโกนใส่หน้าผู้มีพระคุณล้น
“ปรมัย!” ท่านรัฐมนตรีกดเสียงต่ำแล้วล้มหมดสติลงไปกองกับพื้น
ปรมัยมองท่านด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆ ท่านก็ล้มลงไปเฉยๆ ปกติท่านจะต้องด่าเขาจนเขาทนฟังไม่ได้ ยอมแพ้แล้วเดินหนีไป
คุณหญิงสมศรางค์ที่ยืนมองดูสถานการณ์อยู่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาประคองร่างสามี “คุณคะคุณ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ปรมัย แกนี่มันลูกชั่วจริงๆ แกรู้หรือเปล่าว่าท่านไม่สบายเป็นโรคหัวใจ พึ่งไปรักษาตัว ออกจากโรงพยาบาลก่อนหน้าแกไม่เท่าไหร่ ระวังเถอะบาปกรรมจะติดตัวแกไปตลอดชีวิต” คุณหญิงต่อว่าลูกเลี้ยงแล้วก็ตะโกนเรียกคนรับใช้ในบ้านให้มาช่วยกันพยุงร่างท่านไปขึ้นรถส่งโรงพยาบาล
ปรมัยมองดูสถานการณ์อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าพ่อไม่สบาย ไม่รู้ว่าท่านอาการหนักขนาดนี้ แล้วที่พูดออกไปแรงๆ นั้นเป็นเพราะต้องการประชด อยากให้ท่านดูแลเอาใจใส่เขาบ้าง ไม่ใช่ดูแลแต่ลูกสาวคนเดียวของท่าน เขากับแม่ในสายตาของท่านไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีค่าด้วยซ้ำไป ชายหนุ่มวิ่งตามร่างผู้เป็นพ่อไปติดๆ ด้วยห่วงท่านเหลือเกิน
///////////////////////////////////////
สายลมยามเช้าพัดโชยอ่อนทว่าให้ความสบาย กล่ินดอกแก้วหอมคลุ้งอบอวนไปทั่วบริเวณบ้านสวนหลังใหญ่ ยามนี้บ้านสวนช่างคึกคักจนเกือบจะเป็นวุ่นวาย เสียงคนพูดคุยกันจอแจดังเซ็งแซ่ตามด้วยการถกเถียงกันเล็กๆ อยู่ในสวนว่าสมควรจะขยับตั่งรดน้ำสังข์ไปอยู่ใต้ตนไม้ใหญ่หรือไม่
สวนใหญ่หน้าบ้านไม้สองชั้นกำลังมีพิธีแต่งงานเกิดขึ้น โดยใช้พื้นที่เขียวชะอุ่มแทนในบ้านที่ออกจะคับแคบจนเกินไป ฉากที่ประดับไว้ด้วยดอกไม้สีขาวตั้งอยู่ด้านหลังตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์ ด้านหน้าตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์มีเก้าอี้ไม้คลุมพนักด้วยผ้าสีขาว ผูกทับด้วยโบว์สีชมพูเรียงลำดับลดหลั่นกันไปทางด้านหลัง ส่วนด้านข้างเว้นระยะห่างออกไปจากจุดรดน้ำสังข์มีโซฟาสีขาวตัวใหญ่ตัวโตขนาดสองที่นั่งสำหรับแขกผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ ตรงกันข้ามกันมีซุ้มอาหารและโต๊ะจัดวางถ้วยชามสำหรับแขก
ตีสี่กับอีกสิบเจ็ดหน้าที รุ้งกมลสวมเสื้อคลุมผ้ามันสีขาวนั่งอยู่ในห้องนอนโดยมีช่างแต่งหน้าสองคนกำลังช่วยกันเนรมิตรเธอให้เป็นเจ้าหญิงสำหรับเจ้าชายที่กำลังรอคอยวันนี้อย่างใจจดจ่อ ปากอิ่มถูกแต่งแต้มสีสันลงไปให้กันกับสีสันของใบหน้าที่ดูเย้ายวนระคนอ่อนหวาน โทนสีของใบหน้าโดยรวมแล้วเป็นสีชมพูอ่อน ผมยาวหยักศกถูกถักเปียมาตั้งแต่ด้านหน้าถึงปลายผมแล้วจับเกล้าขึ้นไปไว้กลางศีรษะ กลัดด้วยผมปลอมลักษณะช่อดอกไม้
ดวงตายาวรีเหลือบไปมองชุดไทยประยุกต์สีเหลืองทองส่งให้ดูงามสง่าระคนอ่อนหวาน บนเตียงนอนมีกล่องเคร่ื่องประดับทองคำที่บรรจุไว้ด้วยสร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู เข็มขัดทองจากสมัยโบราณซึงเป็นของที่ผู้เป็นแม่ของรุ้งกมลสะสมเอาไว้
“แต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วค่ะ คุณรุ้งดูก่อนค่ะว่าถูกใจหรือเปล่า” ช่างแต่งหน้าสาววัยสี่สิบห้าปียื่นกระจกบานใหญ่ให้เจ้าสาวไปส่องสำรวจตัวเอง
รุ้งกมลมองพิศผู้หญิงในกระจกด้วยความสุข ช่างแต่งหน้าชุดนี้พีรยาเป็นคนหามาให้เพราะว่าได้ใช้งานในงานแต่งของตัวเองแล้วถูกใจในฝีมือ ใบหน้าผู้หญิงที่สะท้อนในกระจกช่างอ่อนหวานดุจน้ำค้างยอดหญ้า ดวงตาคมใต้กรอบคิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งเช่ิดรับปากอ่ิมสีชมพูสด ระบายไว้ด้วยเกร็ดระเอียดสีทองทำให้ใบหน้าสว่างยิ่งขึ้น
“ถูกใจแล้วก็แต่งตัวกันเลยนะคะ” หนึ่งในช่างแต่งหน้าออกคำสั่งเชิงขอร้อง
เจ้าสาวลุกยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ารอให้ทีมช่างแต่งหน้าระดมแต่งตัวให้ ท่าทางที่คล่องแคล่วทำให้รุ้งกมลหายห่วง ขณะที่สวมชุดไทยประยุกต์เธอก็ก้มมองตัวเองไปด้วยเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย เสร็จแล้วช่างแต่หน้าก็ไปเปิดกล่องเครื่องปรับดับหยิบเข็มขัดทองออกมาสวมให้ หัวเข็มขัดวิจิตรดุจดอกไม้จากสรวงสวรรค์ ต่อด้วยคล้อยคอและกำไลข้อมือหลายวงในเช็ดเดียวกัน
พีรยาเดินเข้ามาในห้องเพื่อดูแลความเรียบร้อยให้กับว่าที่เจ้าสาว เมื่อได้มาเห็นก็อ้าปากค้าง ตะลึงในความงดงามของเพื่อน ชุดไทยประยุกต์ท่อนบนสีทองด้วยสะไบสีทองตัดกับสีแดงเข้ม ท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเงินปักลาย เมื่อรวมกับเครื่องประดับที่เข้าชุดกันยิ่งส่งเสริมให้ว่าที่เจ้าสาวงามดุจหญิงไทยในวรรณคดี ส่วนตัวเธอเองสวมชุดไทยสมัยรัชกาลที่ห้าด้วยเสื้อลูกไม้แขนสั้งเหนือข้อศอกจั้มเอวด้วยลาสติกกับโจงกระเบนสีน้ำหมาก หญิงสาวบังคับให้สามีหมาดๆ สวมชุดไทยโดยท่อนบนเป็นเสื้อพระราชทานสีน้ำหมากมีปกเส้ือสองชั้นกับกางเกงผ้าไหมสีขาว
“โอ้โห! สวยมากเลยรุ้ง อย่างกับหลุดออกมาจากหนังสือวรรณคดีที่ฉันเคยเรียน นี่ถ้าเธอสวมชุดนี้หลงยุกย้อนกลับไปในสมัยร้อยปีที่แล้ว เหล่าขุนนางต่างๆ คงได้พากันเกี้ยวเธอจนหัวกระไดไม่แห้งเป็นแน่แท้”
รุ้งกมลมองตัวเองในกระจกด้วยความพอใจแล้วหันมามองเพื่อน พูดแก้เขินว่า “เธอก็พูดเกินไป แต่ยังไงวันนี้ฉันก็คงต้องสวยอยู่ดี แต่งงานไม่ได้ทำซ้ำกันได้บ่อยๆ นะ”
“แต่คุณรุ้งสวยมากจริงๆ นะคะ ไม่ผิดจากที่คุณแพ็ตพูด ตั้งแต่แต่งหน้าให้เจ้าสาวมาจะหาคนงามหมดจดแบบนี้ยากค่ะ อย่างมากก็จะชมว่าสวย” หัวหน้าช่างแต่งหน้าสนับสนุนความคิดของพีรยา
“เมื่อกี้ฉันเดินลงไปข้างล่างเห็นกำลังวุ่นวายกัน ที่เธอว่าจะจัดงานเล็กๆ โดยไม่ได้เชิญใคร ฉันเห็นแขกของเธอตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าสิบหกสิบแล้ว แล้วที่ยังไม่มาอีกล่ะ ดีหรอกที่เก้าอี้มีสำรอง เออแล้วขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวก็มาเริ่มมาตั้งแถวรอแล้ว เหลือแต่เจ้าบ่าวที่ยังไม่มา หรือมาแล้วซุ่มก็ไม่แน่ใจเพราะฉันก็ยังตามหาสามีไม่เจอ” พีรยาเล่า “เดี๋ยวฉันลงไปดูข้างล่างก่อน แล้วจะขึ้นมาตาม”
ผู้ใหญ่ของทางเจ้าสาวมีคุณพ่อคือคุณศุภเกียรติ กับคุณพ่อและคุณแม่ของพีรยา ส่วนผู้ใหญ่ทางฟรานเซเซียสนั้น นอกจากมีมาดามฟรานซิสแล้วก็ยังมีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศและท่านทูตไทยประจำโมนาโคที่เดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับมาดามฟรานซิส และคุณหญิงฐิติมา แม่ของการิน ผู้ใหญ่ทางฝั่งผู้หญิงปรึกษาหารือกันอย่างหนักที่จะทำให้ประเพณีไทยนั้นง่ายขึ้นสำหรับฝั่งเจ้าบ่าว เลยได้ความว่าให้จัดออกมาอย่างเรียบง่าย โดยให้แห่ขันหมาก สวมแหวนแต่งงานต่อหน้าผู้ใหญ่พร้อมกับขอขมา แล้วก็หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นอันเสร็จพิธี นอกจากนั้นก็เป็นงานเลี้ยงฉลองสมรส
////////////////////////////////////////////
การจัดวางสิ่งของในงานพิธีเสร็จสิ้นลงโดยเรียบร้อยด้วยความร่วมมือของทุกท่านทางฝ่ายเจ้าสาวและพนักงานโรงแรม หากมองภาพโดยร่วมงานแต่งวันนี้ถึงแม้จะเรียบร้อยทว่าสวยงามและลงตัวไม่ต่างจากงานแต่งใหญ่โตเพราะเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนสั่งมาและถูกจัดขึ้นด้วยมืออาชีพจากโรงแรมระดับห้าดาว ความสุขอบอวนอยู่ทั่วบริเวณ
อีกฝั่งหนึ่งที่ถนนทางเข้าบ้านที่ขนาบด้วยต้นไม้ร่มรื่น ขบวนขันหมากขนาดย่อมเร่ิมต้ังขบวน โดยมีท่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและท่านเอกราชทูตไทยประจำโมนาโกที่สวมสูทสีนวล ตามด้วยมาดามในชุดเดรสยาวสีขี้ม้า มีต่างหูเพชรเป็นเครื่องประดับ การินในชุดไทยพระราชทานที่ภรรยาบังคับสวมยืนอยู่ข้างกายเจ้าบ่าว ส่วนแม่ของเขายืนอยู่คู่มาดาม ขันหมากขบวนนี้ไม่มีกลองยาว
ฟรานเซเซียสปิเอโรในสูทสีขาวตัดด้วยไทสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อกั๊กสีขาวยืนอยู่ด้านหลังระหว่างผู้เป็นแม่และเพื่อนรัก วันนี้เขาตัดผมสั้นซอยเข้าทรงและโกนหนวดและเคราจนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเผยให้หนใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ และปากหนาเป็นกระจับ เขารู้สึกมีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก ด้านหลังของเขามีแขกผู้มีเกียรติในวงสังคมและเหล่าบอดี้การ์ดเดินถือพานสินสอดต่างๆ ที่ผู้ใหญ่คนไทยฝ่ายเขาแนะนำมา คุณพ่อของเจ้าสาวเขาไม่เรียกร้องสินสอด ทว่าเขาก็จัดมาให้จนสมศักดิ์ศรีของท่านและว่าที่ภรรยา สินสอดมีทั้งแหวน ชุดเครื่องเพชร เครื่องทอง เงินสดและเช็คเงินสดจำนวนมหาศาล สิริรวมกันแล้วมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ชายหนุ่มอยากให้ทั้งหมดที่เขามีด้วยซ้ำไป แต่การินบอกติดตลกว่าโอเวอร์เกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย รู้ว่ารวยมากแต่มิควร
ทั้งหมดรอกันสักพักก็มีคนจากทางฝั่งเจ้าสาวเดินมาบอกให้เตรียมตั้งขบวนเข้าไปได้เพราะเจ้าสาวพร้อมแล้ว เล็กซ์ย้ิมแก้มแทบปริ ปากแทบฉีกถึงรูหูแม้ว่าพยายามหุบปากเพียงใดความสุขมันก็ไม่ฟัง เลยต้องย้ิมๆ กั้นๆ จนแทบเมื่อยหน้า เจ้าบ่าวก้าวเดินตามผู้นำขบวนไปเรื่อยๆ จนมองเห็นบ้านไม้สองชั้นได้ชัดเจนรวมถึงภาพงานโดยรวม แต่แล้วขบวนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับเหล่าประตูเงินประตูทองที่กั้นปิดทางไม่ให้เจ้าบ่าวเข้าไปหาเจ้าสาวที่นั่งชะเง้อรอคอยอยู่
ประตูแรกเป็นด่านของแขกฝ่ายเจ้าสาวที่มีอายุอาวุโสหน่อย ท่านรัฐมนตรียื่นซองให้คนละซองเป็นการหยั่งเชิง แต่ทางนั้นไม่พอใจบอกว่าน้อยไป
“จะเอาเท่าไหร่ดีครับเนี่ย” ท่านรัฐมนตรีถามมองผู้หญิงสองคนยกซองขึ้นมาส่องว่าข้างในเป็นธนบัตรใบละเท่าไหร่
“คงจะต้องสักคนละห้าซองนะคะเนี่ย ไม่งั้นก็เข้าไปไม่ได้” นางบอกแล้วท่านรัฐมนตรีก็ยื่นให้ไปตามเท่าที่ทั้งคู่ต้องการ ในเมื่อฝ่ายเจ้าบ่าวไม่ได้อั้นเรื่องซอง ในกระเสื้อของเขามีซองอยู่ไม่เยอะเพราะอยู่กับการินยังมีอีกเป็นปึก
ขบวนขันหมากเดินผ่านประตูกั้นไปหลายด่านจนด่านสุดท้ายมาถึง ฟรานเซเซียสเร่ิมคิดว่าเจอก้างเข้าให้แล้วจึงเดินไปกระซิบกับการิน “เมียนายตกลงอะไรเอาไว้บ้างหรือเปล่าเมื่อคืนนี้”
“แพ็ตไม่ได้ตกลงอะไรเลย แต่ฝากมาบอกนายว่าหากซองไม่ถึงจริงๆ ผ่านไปไม่ได้แน่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเมียนายก็เคยทำกับฉันเอาไว้ ฉันเลยร่วมมือกันแก้แค้นไง” การินบอกคาดโทษ ตอนเขาแต่งงานรุ้งกมลปล้นเอาสร้อยทองในคอน้ำหนักร่วมห้าบาทไป
“ฉันไม่มีสร้อยทองนะวันนี้” เจ้าบ่าวกระซิบบอกพลางฟังเสียงต่อลองของพีรยาที่มีต่อท่านรัฐมนตรี
มาดามอยู่อยู่ด้านหลังท่านรัฐมนตรีหัวเราะร่วนกับท่าทีแข็งขืนของพีรยากับเพื่อนสาวอีกคน ดูพีรยาจริงจังมากๆ มาดามหันหลังมามองลูกชาย “แม่ว่าลูกลองไปต่อลองกับเธอดูสิ เผื่อจะได้ง่ายขึ้น”
ฟรานเซเซียสหันหลังไปเรียกลูกน้องให้มาหาแล้วสั่งงาน เสร็จก็ขอซองเงินทั้งหมดจากการินไปยื่นต่อหน้าพีรยาและพี่ตอง ปากหนาฉีกยิ้มหวานให้กับผู้หญิงทั้งสองคน
“ดูว่าซองจะไม่พอใช่ไหมครับ ในมือผมก็ยังมีสักห้าสิบซองได้ พอจะเปิดประตูกันได้ไหม”
พีรยาหันหน้าไปปรึกษากับเพื่อนรุ่นพี่ที่ส่ายหน้าดิกแล้วหันไปบอกกับเจ้าบ่าวเสียงหวานว่า “ไม่พอค่ะ”
“สาวๆ ก็ไม่น่าใจร้ายปล่อยให้เจ้าบ่าวยืนค้างอยู่ตรงนี้นะครับ” ชายหนุ่มอ้อนเผื่อว่าจะประสบผลสำเร็จ
“เอ พี่ตองขา เขาอ้อนมาแล้วเราจะยอมให้ไหมคะ” พีรยาถามเพื่อนรุ่นพี่เสียงดังพร้อมกับลอยหน้าลอยตาอย่างน่ารักน่าชัง
“ไม่ยอมค่ะคุณน้อง คราวที่แล้วประตูใหญ่ของพี่งานคุณน้องได้ทองมาตั้งห้าบาท งานนี้ต้องได้มากกว่าอย่างแน่นอน” พี่ตองจีบปากจีบคอพูด
เจ้าบ่าวหัวเราะลั่นเพราะคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสาวๆ ไม่ยอมใจอ่อนแน่ ชายหนุ่มยังคงต่อลองจนกระทั่งลูกน้องเดินมาหาพร้อมกับถุงสีแดงเล็กๆ ฟรานเซเซียสล้วงมือหยิบทองคำแท่งใส่มือพีรยากับพี่ตองคนละแท่งแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่พอใจ
“หนที่แล้วรุ้งเก็บทองไปสามบาทส่วนฉันเก็บทองทองสองบาท ซึ่งนับว่าเป็นการขาดทุน หนนี้ฉันต้องได้ทองจำนวนสามบาทเพื่อเท่าทุนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเรื่องของเจ้าสาวมาเป็นเครื่องต่อลอง ซึ่งพีรยาที่ได้ฟังอยู่ก็รีบต่อลองบ้างว่า
“ฉันก็ต้องได้ทองสามบาทเป็นอย่างน้อยนะคะ เพราะว่าไม่งั้นก็จะขาดทุนไปสักหน่อย”
ชายหนุ่มหัวเราะเพราะเก็งไว้ได้ถูกเผ็ง มือใหญ่ล้วงทองแท่งส่งให้ผู้หญิงทั้งคู่อีกคนละสองแท่งแล้วประตูก็เปิดออกด้วยความเต็มใจ ทั้งหมดเคลื่อนขบวนเข้าไปในงานตรงเข้าไปที่เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ก่อน ผู้ที่ถือสินสอดเดินนำพานไปวางบนโต๊ะต่อหน้าชุดเก้าอี้โซฟา ฟานเซเซียสนั่งลงบนผืนพรหมต่อหน้าโต๊ะสินสอด ตอนนี้ผู้ใหญ่ฝ่ายเขากำลังสองมอบสินให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวเปิดกล่องสินสอดต่างๆ ตรวจดูว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เป็นการเร่ิมพิธี
ฟรานเซเซียสมองตามสายตาของผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวไปยังหน้าบ้าน เจ้าสาวแสนสวยของเขากำลังเดินมาหาพร้อมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชายหนุ่มลุกยืน เดินไปรับรุ้งกมลด้วยตัวของเขาเอง ทั้งคู่เดินคล้องแขนกันมาหาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ระหว่างทางเดินเจ้าบ่าวกระซิบใกล้ๆ เจ้าสาวว่า “คุณสวยจังเลยรุ้งกมล”
หญิงสาวเงยหน้าเหลือบตามองใบหน้าคมคายด้วยรอยย้ิม “ขอบคุณค่ะ”
ทั้งคู่เดินไปนั่งต่อหน้าผู้ใหญ่แล้วก้มลงกราบตามที่ได้นัดแนะวิธีการไว้ล่วงหน้าแล้ว เสร็จก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ฟรานเซเซียสรับแหวนเพชรจากมือของแม่ แหวนวงนี้เป็นแหวนที่พ่อของเขามอบมันให้กับแม่ ซึ่งมันสวยงามล้ำค่าและมีค่าทางด้านจิตใจ เจ้าบาวบรรจงสวมแหวนแต่งงานให้กับเจ้าสาว ทำให้นิ้วนางข้างซ้ายของเธอมีแหวนสองวงทั้งแหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน คราวนี้มันแย่งกันทอแสงประกาย
เจ้าสาวก้มกราบไปที่ตักของเจ้าบ่าวแล้วหันไปรับกล่องแหวนจากผู้เป็นพ่อ มันเป็นทองคำขาวประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กทว่าสุกประกาย เธอบรรจงสวมมันให้กับเขาที่น้ิวนางข้างซาย แล้วก็มีนาฬิกายี่ห้อดังที่สุดในโลกอีกเรือนหนึ่งเป็นของขวัญที่ศุภเกียรติใช้รับขวัญลูกเขย รุ้งกมลส่งมันให้กับเขาแล้วก็ก้มกรายอีกที
เจ้าบ่าวมองเจ้าสาวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาก่อนยื่นหน้าไปจุมพิตที่แก้มนวลโดยไม่มีใครสั่งหรือเชียร์ ก็เขาอยากทำเอง เสียงปรบมือพร้อมกับกรี๊ดกร๊าดดังให้ได้ยิน พวงแก้มนวลแดงก่ำไม่ใช่เพราะไร้เดียงสา ทว่าเขินเพราะเขาแสดงความรักต่อหน้าคนอื่น เสร็จจากตรงนี้ก็ย้ายไปนั่งที่ตั่งรดน้ำพระพุทธมนต์ที่นำมาจากวัด สุดท้ายก็จดทะเบียนสมรส
ป้าจอมยืนมองคุณหนูและฟรานเซเซียสด้วยความสุขไม่ต่างไปจากคุณท่าน คุณหนูโชคดีที่ได้แต่งงานกับคนที่รักและเขาก็รักคุณหนูมาก เจ้าบ่าวเป็นผู้ชายที่เพรียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะหน้าที่การงาน หน้าตา การเงิน นิสัยใจคอ พิธรการสิ้นสุดลงด้วยไออุ่นของคำว่ารัก
////////////////////////////////////////
หนังสือเกี่ยวกับเด็กกางออกต่อหน้าว่าที่คุณแม่ รุ้งกมลนั่งอ่านหนังสือพลางยกมือลูบหน้าท้องของตัวเองไปด้วย ท้องเธอเร่ิมใหญ่จนสังเกตุได้ หญิงสาวภวนาให้ลูกออกมามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ครบสามสิบสองทุกประการ
รุ้งกมลย้ายออกจากบ้านสวนมาอยู่กับฟรานเซเซียสที่บ้านของเขาแล้ว หลังจากที่จัดพิธีงานแต่งงานกันอย่างง่ายๆ เชิญแขกไม่กี่คนเฉพาะที่สนิทกันจริงๆ ฟรานเซเซียสบอกว่าจะต้องบินไปแต่งที่โมนาโคอีกหนหนึ่งเพื่อให้คนโมนาโกได้รับรู้ว่าเมียเขาน่ะสวยแค่ไหน
“อ่านหนังสืออะไรอยู่น่ะ” ฟรานเซเซียสก้มหน้าจุมพิตแก้มนวลจากทางด้านหลัง
“หนังสือเกี่ยวกับเด็กค่ะ ฉันกังวลจัง กลัวเลี้ยงลูกไม่ได้ ดูสิคะ เด็กตัวเล็กนิดเดียว จับนิดจับหน่อยจะช้ำหรือเปล่ก็ไม่รู้” รุ้งกมลปิดหนังสือเพื่อโชว์ภาพถ่ายเด็กแรกเกิดบนปกหนังสือให้เขาดู
“โห! ผมนี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ ออกแรงนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้เด็กมาคนหนึ่ง กิจกรรมนี้ดีนะ สนุกแถมได้ของขวัญอีกต่างหาก” ชายหนุ่มพูดแหย่ภรรยา
“นี่คุณจะออกไปไหนคะเนี่ย” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อย
“ไปกาสิโนหน่อย ผมไม่ได้ไปนานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” คนปากหวานบอกเสียงอ่อย รู้ว่าภรรยาไม่อยากให้ไปทำงานที่นั่น
“ไหนคุณว่าคุณขายให้ปรมัยไปแล้วไงคะ”
“ก็ขาย แต่มันไม่มาซื้อผมสักที สงสัยยังไม่ฟื้น” ชายหนุ่มบอกกร่อยๆ ปรมัยมันบอกเสมอว่าอยากได้กาสิโน แต่พอเขาขายต่อให้ก็หายเงียบไป
“ถ้าอย่างนั้นอย่าไปเลยนะคะ อยู่บ้านเถอะ ฉันเชื่อว่าเดี๋ยวปรมัยเขาก็เอาเงินมาให้ อีกสักหน่อยมันก็จะเป็นของเขาแล้ว คุณปล่อยทิ้งไปเลยก็ได้”
“เถอะน่า ผมไปแป๊บเดียวแล้วจะรีบกลับมานะ นะที่รัก” ชายหนุ่มอ้อนภรรยาเสียงอ่อน
รุ้งกมลหันหน้าหนี “ถ้าไปคืนนี้นอนข้างนอกเถอะ”
“ผมไปกาสิโนด้วย แล้วก็จะเข้าไปนอนข้างใจด้วย” เขาอ้อนพร้อมกับกอดภรรยาแน่น
“ฝันไปเถอะ” หญิงสาวว่า
เสียงคนเดินเข้ามาในห้องรับแขกทำให้ฟรานเซเซียสละอ้อมกอดจากร่างของภรรยา ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วก็ย้ิมกว้างเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
การินกับพีรยาเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับของบำรุงร่างกายรุ้งกมลอีกตายเคย ทุกวันนี้รุ้งกมลก็ยังทะยอยกินไม่หมด จนมันจะท่วมบ้านอยู่แล้ว
“มากันทุกวัน ถามจริงนายไม่มีปัญญาปั้มลูกเหรอวะการิน ถึงได้ลำบากต้องพาเมียมาเยี่ยมหลานแบบนี้” ฟรานเซเซียสถามเพื่อนพร้อมกับเดินอ้อมไปนั่งข้างรุ้งกมล
แขกทั้งสองสะดุ้งโหยงเมื่อถูกถามตรงๆ พีรยาเขินจนหน้าแดงทำให้รุ้งกมลหัวเราะชอบใจใหญ่ การินสวนหมัดแย็บใส่เพื่อนทันที “โอ้ย! ใครจะไปเปิดปุ๊บติดปั๊บเหมือนอย่างนายล่ะ แต่รับลองว่าฉันเด็ดกว่า”
“คุณ พูดจาลามก” พีรยากระทุ้งศอกใส่สามี
“ลามกตรงไหน ผมหมายถึงถ้ามีลูกลูกเราต้องเด็ดกว่า” การินแก้ตัว
“แต่ของผมเด็ดกว่าทุกเรื่อง จริงไหมจ๊ะที่รัก” ชายหนุ่มหันไปถามความเห็นจากภรรยา
รุ้งกมลฟาดมือลงบนต้นแขนแข็งแรง “ฉันว่าฉันเด็ดกว่า”
พอเธอพูดทุกคนก็หัวเราะครืนกับคำพูดสองแง่สองง่าม การินมองเพื่อนในชุดสูท ขัดกับรุ้งกมลที่สวมชุดอยู่บ้านธรรมดา “นี่นายจะออกไปไหน”
“ไปทำงาน พักมานานแล้วเบื่อๆ เซ็งๆ ก็ไปทำงานดีกว่า”
“นายรู้ข่าวหรือยังว่าท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์เสียชีวิตแล้วด้วยโรคหัวใจ”
เจ้าของบ้านทั้งสองตาลุกตื่นตกใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อเช้ามืดครับรุ้ง ได้ข่าวว่าท่านเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น คุณหญิงสมศรางค์ร้องไห้เสียใจใหญ่ ลูกสาวก็ยังไม่กลับบ้าน” การินเล่า
ฟรานเซเซียสหลับตา หรือนี่เป็นเวรกรรมของเปรมพงษ์ที่เคยทำไว้กับนาดาล กรรมเลยตอบสนองให้พบแต่ความทุกข์ใจ ดีนะที่เขาไม่บู่มบ่ามไปฆ่ามัน “แล้วแบบนี้ไอ้ปรมัยมันจะยังซื้อกาสิโนต่อฉันอยู่หรือเปล่า”
“นั่นสิคะ” รุ้งกมลเร่ิมไม่สบายใจ
“คงซื้อแหล่ะเพราะว่าคงได้สมบัติจากพ่อมาบ้าง” การินบอก
พีรยารีบแย้ง “ใครว่าละคะ คุณไม่รู้อะไร เขาว่ากันว่าปรมัยไม่ได้อะไรสักอย่าง เพราะท่านรัฐมนตรียกสมบัติให้ลูกสาวกับเมียหมด ปรมัยน่ะจะได้เงินเดือนทุกเดือนเพียงเท่านั้น”
เจ้าของบ้านหนุ่มถอนหายใจ “นับว่าท่านรัฐมนตรียังคิดรอบครอบนะ ที่ไม่ยกอะไรให้ลูกชาย เพราะยกให้ไปก็คงเอาไปผลาญจนหมด”
รุ้งกมลจ้องหน้าสามี “ถ้าอย่างนั้นคุณรีบบอกขายกาสิโนให้คนอื่นเถอะค่ะ มีคนสนใจอยู่ไม่น้อยไม่ใช่เหรอคะ”
“โธ่! ที่รัก ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าไอ้ปรมัยมันไม่ซื้อผมก็ไม่ขายให้ใครหรอก เปลี่ยนแปลงทำโรงแรมไปเลยก็ได้ ไม่ดีกว่าเหรอ”
ภรรยาค้อนควับ “ทำอะไรก็ดีทั้งนั้นล่ะคะ คุณช่วยกรุณาลงมือทำจริงๆ เสียทีเถอะ โยกไปโยกมาอยู่นี่ล่ะ อย่าให้ฉันโมโหรำคาญขึ้นมานะคะฟรานเซียส” ท้ายประโยคเธอกดเสียงต่ำขู่สามี
การินกับพีรยาหัวเราะร่ากับภาพตรงหน้าที่เห็น ฟรานเซเซียส มาเฟียหนุ่มกลัวภรรยาจนหงอ
“ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะที่รัก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าอยู่โมนาโคน่ะ ผมก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน ยังไงเสียคุณก็ต้องเป็นเมียมาเฟียอยู่ดีล่ะ”
“ขายให้หมด หรือดัดแปลงเป็นโรงแรมอย่างคุณว่าก็ได้ ลูกน้องคุณทั้งหลายจะได้ไม่ตกงาน” หญิงสาวบอก
“อืม ความคิดเข้าท่าดีนะฟรานเซียส ฉันเห็นด้วยกับรุ้งกมลนะ” การินเห็นด้วยกับรุ้งกมล
“จริงค่ะ แพ็ตก็เห็นด้วย”
ฟรานเซเซียสมองหน้าดุของภรรยา “ผมก็เห็นด้วยกับคุณทุกอย่างเลยจ๊ะที่รัก”
ป้าเนียมเดินเข้ามาหาเจ้านาย “คุณท่านคะ คุณปรมัยต้องการเรียนสายด้วยค่ะ”
ชายหนุ่มมองหน้าทุกคนแล้วหันไปมองหน้าภรรยา “ผมไปคุยกับเขาก่อนนะ แล้วจะกลับมาบอกข่าว” เขารับกระบอกโทรศัพท์บ้านไร้สายจากแม่บ้านแล้วเดินหายไปคุยเป็นการส่วนตัว สักพักก็กลับมาหาทุกคนที่กำลังเฝ้าคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“ปรมัยเขาว่ายังไงคะ” รุ้งกมลซักสามี
“เขาบอกว่ายังยืนยันที่จะซื้อกาสิโน อีกอาทิตย์นึงจะเอาเงินมาให้”
การินขมวดคิ้ว “แล้วมันจะไปเอาเงินมาจากไหนต้ังพันล้าน”
ฟรานเซเซียสยักไหลไม่ใส่ใจ สุดแล้วก็เวรแต่กรรมของมันก็แล้วกัน ตัวเขาไม่สามารถไปกำหนดชีวิตของใครได้หรอก ทำยังไงก็ได้อย่างนั้นตามที่ภรรยาเขาอบรมอยู่บ่อยๆ
////////////////////////////////////////
ปรมัยนั่งเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปหาเงินมาจากไหน เขาเคยบุกไปบ้านยัยคุณหญิงสมศรางค์นั่น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปเจรจากับยับคุณหญิงได้เพราะว่ามีบอดี้การ์ดคุมหน้าบ้านแน่นหนา แล้วฝีมือก็ดีกว่าลูกน้องของเขาด้วย ใจหนึงแอบคิดต่อว่าพ่อที่ตายไปว่าลำเอียงไม่ให้สมบัติสักชิ้นกับเขา เงินแค่เดือนละล้านมันจะพอใช้อะไร ท่านน่าจะรู้ว่าสังคมชั้นสูงน่ะมีค่าใช้จ่ายเยอะแค่ไหน หากเขาไม่มีเงินมากพอใครล่ะจะมาคบหาสมาคม ตอนนี้เขาย้ายจากคอนโดมาอยู่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่พ่อยกให้กับแม่ เพราะมันสะดวกในการซ่องสุมลูกน้องมากกว่าคอนโดมิเนียมที่คนพลุกพล่านอยู่ตลอด
ไอ้เวียนมองเห็นเจ้านายเคร่งเครียดก็เลยเดินเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงมันก็ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากปลอบใจจริงจังหรอก คนอย่างปรมัยมันเกินกว่าที่คนจะตักเตือนได้
เจ้านายหนุ่มคันปากเพราะอยากระบายความอัดอั้นอยู่แล้วก็โพลงออกมา “ก็พ่อฉันสิวะ ตายไปแล้วแต่ไม่ให้สมบัติอะไรฉันเลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่ท่านก็มีสมบัติมากมาย สุดท้ายก็ยกให้แต่นังคุณหญิงจองหองนั่น ส่วนฉันกับแม่ได้แค่เศษเงินในแต่ละเดือนที่นังคุณหญิงเจียดมาให้”
“แล้วที่คุณพ่อให้คุณมาน่ะ เดือนละเท่าไหร่ครับ” ไอ้เวียนถามเพราะอยากรู้ว่าคนรวยระดับมหาเศรษฐีน่ะ เขาให้ลูกใช้จ่ายเงินกันยังไง ส่วนมันน่ะคนจน เงินเดือนละหมื่นก็มากโขแล้ว
“ล้านเดียว ล้านเดียวฉันจะเอาไปทำอะไรได้ จะลงทุนทำอะไรก็ยังไม่ได้เลย” เขาทุบกำปั้นลงบนพนักวางแขน ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะโมโห
ไอ้เวียนตาลุก ยังไงมันก็จะเกาะปรมัยกินไปตลอดชาติ “เยอะจังเลยครับนาย คราวนี้พวกเราสบายแล้ว”
ปรมัยยกเท้ายันหน้าขาไอ้เวียน “เยอะห่าอะไรวะ แค่ล้านเดียว สำหรับฉันน่ะน้อยมาก”
“โธ่! นายครับ สำหรับผมนะ หาทั้งชาตินี้และชาติหน้ายังไม่ได้เลย เงินเยอะขนาดนั้น” ไอ้เวียนพยุงร่างยืนตรงหลังจากเซเพราะแรงถีบของเจ้านาย
“มึงคงยังไม่รู้ว่าไอ้ฟรานเซียสน่ะ มันจะขายกาสิโนให้กับกู แล้วรู้ไหมว่ามันขายเท่าไหร่ พันล้าน แล้วกูได้เงินเดือนละล้านมันจะพอหาพ่อมึงเหรอไอ้เวียน” เขาทำท่าจะถีบลูกน้องซ้ำอีกรอบ แต่คราวนี้มันหนีทัน
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับนาย ไปขู่เอากับนังคุณหญิงนั่น เอาคนของเราไปเยอะๆ มันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจะมีปัญญามาต่อกรอะไรกับพวกเรา” ลูกน้องนำเสนอความคิด
“กูเคยไปบุกบ้านมันมาแล้ว บอดี้การ์ดมันยั้วเยี้ยเต็มบ้านไปหมด ทั้งตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบ แล้วกูก็ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก พี่น้องนังคุณหญิงนั่นมีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้น ลองเสนอหน้าเข้าไปได้โดนไล่ยิงออกมายิ่งกว่าตอนไอ้ฟรานเซียสมันเล่นงานกูอีก” ปรมัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดหาวิธีหาเงินพันล้านไม่ออก พอหมดบุญพ่อแล้วเงินจำนวนนี้มันกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลไปในทันที
“ถ้านายอยากได้เงินจริงๆ ผมมีคนจะให้นายเข้าไปหาเขา เพราะเรามีโอกาสได้เงินมาโดยไม่ต้องเหนื่อย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเครดิตของนายด้วยนะครับว่าจะดีพอหรือเปล่า” ไอ้เวียนยิ้มกริ่ม ลำพองในแผนของตัวเอง
ปรมัยนั่งตัวตรง มองหน้าลูกน้อง “มึงจะให้กูไปหาใครวะไอ้เวียน”
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวผมจะนัดให้นายเอง ให้นายได้คุยกับเฮียโน่แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไง”
ชายหนุ่มมองหน้าลูกน้อง ชั่งใจว่ามันจะเสนอให้เขาทำอะไร อย่างมันน่ะเหรอจะหาทางให้เขาได้เงินเป็นพันล้าน เพราะตัวมันเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย เสื้อผ้าก็เก่า เงินจะซื้อข้าวมายาไส้ก็ยังไม่มี แต่ก็ลองเชื่อมันดูสักครั้งคงไม่เสียหลาย
//////////////////////////////////////////////////////
บ้านหลังใหญ่ที่สร้างเร้นอยู่ในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนสัญจร รถปอร์ตหรูทะยายผ่านด่านแน่นหนาของบอดี้การ์ดหน้าประตูไปง่ายดายเพราะได้นัดแนะกับเจ้าของบ้านเอาไว้แล้ว ปรมัยขับรถมากับไอ้เวียนตามที่มันบอกว่าได้นัดให้เขาได้พูดคุยกับเฮียหมู เจ้านายเก่าของมัน
“โอ้โห! ไอ้เวียน เจ้านายเก่ามึงรวยเป็นบ้าเลย บางทีกูอาจจะเคยรู้จักเจ้านายมึงมาก่อนหน้านี้ก็ได้นะ” ปรมัยบอกเมื่อเห็นความอลังการงานสร้างของบ้านหลังใหญ่ ขนาดสวนยังสร้างออกมาสวยราวกับอยู่หน้าโรงแรมใหญ่
“นายไม่รู้จักเฮียหมูหรอกครับ แต่หากเป็นพ่อของนายอาจจะเคยผ่านหน้าผ่านตากันมาบ้าง” ไอ้เวียนบอก เขารู้ดีว่าพวกนักการเมืองและข้าราชการ บางคนน่ะ พัวพันกับเรื่องยาเสพติด บ้านเมืองถึงได้กำจัดยาเสพติดได้ไม่หมดเสียที
“อาจจะจริงอย่างที่มึงว่านะไอ้เวียน เพราะกูไม่คุ้นชื่อเขาเลย ไปๆ พากูไปพบกับเขาเร็วๆ จะได้คุยกัน” ปรมัยเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตามไอ้เวียนเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่มีนักเลงหลายสิบคนเดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน
ไอ้เวียนทักทายนักเลงบางคนเล็กน้อย ก่อนพาเจ้านายใหม่ไปนั่งรอเฮียหมูอยู่ในห้องรับแขกกว้าง ทั้งคู่นั่งรอเฮียหมูกว่าครึ่งชั่วโมง นานจนปรมัยเร่ิมหงุดหงิดแต่ก็ต้องอดทนเพราะเฮียหมูไม่ใช่คนธรรมดาที่จะชวนวิวาทด้วย
เฮียหมูเดินเข้ามาให้ห้องรับแขก เฮียหมูเป็นผู้ชายวัยสี่สิบห้าปี รูปร่างอ้วนท้วนลงพุงจนยื่นชี้หน้าคนอื่น กลางวันแบบนี้เฮียแกก็ยังสวมแว่นกันแดด แม้ว่าจะอยู่ในบ้าน ทำให้ปรมัยไม่อาจมองแววตาของเจ้าของบ้านได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
ไอ้เวียนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไว้เจ้านายเก่าด้วยความนอบน้อม “สวัสดีครับนาย”
“ไอ้เหี้ย! กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้วเสียอีก แล้วมีหน้ากลับมาหากู มึงไม่คิดว่ากูจะยิงมึงทิ้งบ้างหรือไงไอ้เวียน” เฮียหมูเดินไปตบหน้าอดีตลูกน้องทำให้ปรมัยตกใจในความป่าเถื่อน
“ผมผิดไปแล้วครับนาย ผมขอโทษจริงๆ” ไอ้เวียนก้มหน้า
“กูให้อภัยมึงเพราะว่าของที่มึงเชิดหนีกูไปมันเป็นจำนวนน้อย แค่ล้านสองล้าน แต่หากมึงเล่นกูแรงกว่านี่มึงก็คงจะไม่มีปัญญามายื่นพูดกับกูแบบนี้หรอกนะ” เฮียหมูนั่งลงมองหน้าปรมัย “แล้วมึงพาใครมาหากู”
“เจ้านายใหม่ของผมเองครับ ชื่อปรมัย เฮียคงไม่รู้จักคุณปรมัย แต่น่าจะรู้จักท่านรัฐมนตรีเปรมพงษ์” ไอ้เวียนแนะนำ
เฮียหมูมองปรมัยด้วยแววตาต่างออกไปจากเมื่อครู่ เริ่มประเมินความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้า “ท่านตายไปแล้วนี่หว่า แล้วนี่จะมารับทำงานต่อจากท่านหรือยังไง”
ชายหนุ่มงง ไม่รู้ว่าเฮียหมูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “ผมไม่เข้าใจครับเฮีย ว่าเฮียกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“อ้าว! นี่นายไม่รู้เลยหรือไงว่าท่านน่ะเป็นหัวหน้าของฉันเอง ฉันกำลังว่ิงเต้นอยู่ตอนนี้ว่าจะให้ใครช่วยสนับสนุนงานที่กำลังหยุดชะงัก เฮโรอีนหลายตันยังค้างอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน นำเข้ามาไม่ได้ ไอ้พวกคนใหม่มันกำลังยึดอำนาจ หวังจะกำจัดฉันแล้วยึดของมาส่งขายในประเทศแทน”
ปรมัยนั่งอ้าปากค้าง ยาเสพติดจำนวนมากกำลังรอการลำเลียงเข้าประเทศ วงการนี้มันยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้นัก พ่อของเขาก็เก่งเหลือเกินที่เอาพวกนี้อยู่ “มันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ครับเฮีย”
“มหาศาล คำนวนได้ไม่หมด” เฮียหมูบอก
“แล้วถ้าผมคิดจะทำต่อ ผมจะเอามันเข้ามาเอง ผมจะได้ส่วนแบ่งจากเฮียเท่าไหร่” ปรมัยถาม หวังจะได้เงินมาซื้อกาสิโนต่อจากฟรานเซเซียส
“นายอยากได้สักเท่าไหร่ละ ดูว่าจะร้อนเงินนะ”
“พันล้าน ผมต้องการเงินพันล้าน” ปรมัยบอก
“ฉันจะแบ่งให้ แต่ต้องขนของสองรอบ ถ้านายทำได้ฉันให้เลย เงินสด” เฮียหมูบอก “ลูกน้องของฉันจะช่วยนายเอง ไม่ต้องคิดว่าจะยากขนาดนั้น เพียงแค่นายคอยวิ่งเต้นเข้าหาผู้ใหญ่ให้ได้”
ในหัวของปรมัยมีใบหน้าของผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองที่พ่อของเขาสนิทสนมด้วย เขาจะลองไปพูดคุยกับคุณเหล่านั้นดู เผื่อว่ามีลู่ทางที่ง่ายขึ้น
“ได้ครับเฮีย แล้วผมจะติดต่อเฮียมาอีกที” ปรมัยบอกแล้วขอตัว
เขาช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นเงินจำนวนนี้จะหลุดมือไป เขาจะวิ่งเต้นทุกอย่าง คอยดูเถอะ คนอย่างเขาจะต้องก้าวขึ้นไปยิ่งใหญ่ในเมืองไทย ไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขาอีกทั้งไอ้ฟรานเซเซียสและไอ้การิน
//////////////////////////////////////////////
ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแถบชานเมืองค่อนข้างวุ่นวาย มีรถสัญจรเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ปรมัยขับรถเข้ามาจอดอยู่ในลาน ดวงตาคมมองลูกน้องที่ขับรถเข้ามาจอดข้างรถของเขา วันนี้เขามีภารกิจสำคัญจะต้องทำ ไอ้เวียนเปิดประตูลงจากรถกะบะมาหาเจ้านาย
ปรมัยเลื่อนกระจกลงมองลูกน้อง “ว่ายังไงวะ มึงมีปัญหาอะไร”
“ผมว่ามันเงียบๆ ผิดปกตินะครับนาย” ไอ้เวียบอก
“เงียบยังไงของมึงวะ” ปรมัยถามพร้อมกับมองรถที่เวียนเข้าออกกันอยู่ตลอด
“ผมไม่ได้กล่ินความชั่วที่นี่เลยครับนาย”
“ไอ้เหี้ย! กูนี่ยังชั่วไม่พออีกเหรอวะ” ปรมัยด่าลูกน้อง
'นายไม่ได้ชั่วอย่างเดียวหรอกครับ เลวชาติเลยล่ะ พ่อตัวเองแท้ๆ ยังทำได้ ตายไปนรกจะรับหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย' ไอ้เวียนคิดอีกอย่างแต่พูดออกมาอีกอย่าง “ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงไม่มีกลิ่นของพวกจะมารับของเลย”
“มึงก็โทรหาพวกมันสิวะ ถามว่าพวกมันอยู่ไหนกันแล้ว” เจ้านายส่ายหน้ากับลูกน้องโง่ๆ
ปรมัยขนยาเสพติดเข้าประเทศมาได้แล้ว และก็นำมันไปพักไว้ที่บ้านเพื่อแบ่งสัดส่วนส่งต่อไปยังพ่อค้าคนกลางต่างๆ ตามคำสั่งของเฮียหมู ชาหนุ่มรับเงินสดมาจากเฮียหมูแล้วครึ่งหนึ่ง ยาเสพติดล๊อตนี้ก็เป็นล๊อตสุดท้ายที่จะต้องจัดส่งให้กับพ่อค้ารายใหญ่ที่ได้นัดแนะกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ไอ้เวียนกดโทรศัพท์หาเครือข่ายยาเสพติด ได้ความว่ากำลังมา ให้รออีกสักเดียว “กำลังมาครับนาย”
“เห็นไหม กูบอกมึงแล้ว ไปเฝ้ารถให้ดีๆ เดี๋ยวก็มีใครเชิดไปกินก่อนหรอก”
“ครับนาย” ไอ้เวียนรับคำแล้วเดินกลับรถ
สักพักก็มีผู้ชายวัยฉกรรจ์สวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดคลุมด้วยแจ๊กเก็ตยีนส์อีกหนึ่งตัวเดินเข้ามาหา ไอ้เวียนรีบลงจากรถไปเจรจาต่อลองทันทีอย่างรู้งาน เขาเป็นคนแนะนำให้เจ้านายทำงานนี้เองล่ะ เพราะมันได้เงินเร็วดี ความจริงเขาอยากทำงานนี้ด้วยตัวเอง แต่เครดิตไม่พอ
“กุญแจรถอยู่ไหน ฉันจะมาเอาล้อเสริม”
ไอ้เวียนยิ้มเมื่อรหัสตรงกัน “รถจอดอยู่โน่น แล้วนี่กุญแจ ตามสบายเลยนะ”
“ขอบใจ” นายตำรวจหนุ่มบอกแล้วรวบตัวไอ้เวียงทันที เพียงกระพริบตา นายตำรวจอีกหลายนายก็ชาร์จแล้วหานักค้ายาเสพติด
ปรมัยเห็นท่าไม่ดีก็รีบติดเครื่องยนต์ หวังจะโกยหนีไปก่อน ตำรวจนายหนึ่งวิ่งมาขวางรถสปอร์ตเอาไว้แล้วเล็กปืนใส่ “หยุดนะ ไม่หยุดผมยิงจริงๆ”
“มึงคิดว่ามึงมีปืนคนเดียวเหรอวะ” การินพูดแล้วเปิดลิ้นชักควักปืนออกมายิงตำรวจ
ทั้งคู่ยิงโต้ตอบกัน แต่ปรมัยเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำโดนยิงลูกกระสุนทะลวงศีรษะ ความชุลมุนทำให้คนลูกค้าของห้างสรรพสินค้าต่างพากันวิ่งเข้าไปให้ตัวอาการเพื่อรักษาชีวิตให้พ้นจากกระสุจปืนที่ทั้งสองฝ่ายลั่นไกเข้าหากัน พนักงานในห้างแทบปวดหัวตายเพราะเกิดจราจลย่อยๆ ขึ้น มีผู้หญิงคนหนึ่งล้มลงแล้วถูกรุมเหยียบจนเกือบเสียชีวิต ดีที่พาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน
ทั้งสองฝ่ายยิงตอบโต้กันอยู่เกือบสิบนาที ตำรวจเห็นท่าทางไม่ดีเลยต้องจับตายพ่อค้ายาเสพติดทั้งคู่ สุดท้ายพวกคนชั่วก็จบชีวิตลงอยู่ข้างยาเสพติด
ข่าวการตายของปรมัยพาดหัวบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเวลาไล่เลี่ยกับผู้เป็นพ่อ เขาจบชีวิตลงอย่างอนาถด้ายการถูกวิสามัญจากนายตำรวจ ตำรวจนำยาเสพติดและข้อมูลต่างๆ ของปรมัยไปสอบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมเฮียหมูได้ในเวลาต่อมา นับเป็นข่าวใหญ่ข่าวดีที่สุดของประเทศ
/////////////////////////////////////////
๑๗.โลกมันกลม
ออฟฟิศขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่ในอาคารสูงที่จัดสรรพื้นที่แบ่งให้เช่า นิตยสารที่รุ้งกมลคุมอยู่ไม่ใช่บริษัทเดียวที่จัดการงานอยู่บนตึกนี้ ขณะนี้บรรณาธิการบริหารกำลังนั่งตรวจเช็คงานในคอมลัมน์ต่างๆ เพื่อปิดเล่มประจำเดือน หญิงสาวเร่ิมทำงานงานมาสามเดือนแล้ว อายุครรภ์เดือนนี้เกือบเจ็ดเดือน ท้องใหญ่จนเห็นได้ชัด บางทีนั่งทำงานอยู่เจ้าตัวเล็กก็ถีบก็ดิ้นให้เจ็บหน่อยๆ แต่มีความสุข ทุกวันที่ทำงานก็รอให้เจ้าตัวเล็กออกมามองดูโลกเสียที
รุ้งกมลเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแล้วก็เปิดออกมาโดยวิสาสะ คงจะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากสามีตัวดีที่น่ารัก ฟรานเซเซียสเดินเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้มาเร็วกว่าปกติหรือเปล่าคะ”
“มาเร็วสิ วันนี้ดูงานอยู่ดีๆ ไฟก็ดับขึ้นมาเฉยๆ ช่างก็เลยพากันกลับบ้านกันหมดเพราะจวนได้เวลาเลิกงานแล้ว วันนี้ทำงานหนักจนเครียดอีกหรือเปล่า” ชายหนุ่มเดินไปหาภรรยาแล้วโน้มหน้าจุมพิตปากอิ่มก่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเธอ
“กำลังปิดเล่มนิตยสารค่ะ ไม่มีเรื่องให้ต้องเครียดแล้ว คุณล่ะคะ ที่กาสิโนมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหยุดทำงานหันมาคุยกับสามีด้วยความเอาใจใส่ ตอนนี้ฟรานเซียสกำลังดัดแปลงกาสิโนให้เป็นโรงแรม เลยต้องเข้าไปควบคุมการก่อสร้างโดยใกล้ชิด ตอนแรกเขาตัดสินใจจะขายให้คนอื่นแต่เธอไม่เห็นด้วย อยากให้การพนันมันจบลงไป ใครอยากทำธุรกิจแบบนี้ก็ให้ไปสร้างกันเอาใหม่ก็แล้วกัน
“ไม่มีครับ จะมีก็แค่เรื่องไฟดับนั่นล่ะ ส่วนปัญหาอย่างอื่นไม่มีเลย มีแต่คิดถึงเมีย ห่วงกลัวว่าจะทำงานหนัก” เขาบอกหลังจากพยายามห้ามภรรยาไม่ให้ทำงาน แต่เธอรั้นขอทำจนได้ด้วยเหตุผลว่างานหนังสือคือชีวิต
“ขอบคุณค่ะ ฉันเสียอีกที่ไม่ได้ดูแลคุณเลย เอาแต่ทำงานๆ” หญิงสาวอ้อนพร้อมเอนตัวไปข้างหน้ายื่นมือไปวางบนโต๊ะทำงานเพื่อขอมือใหญ่มากุมไว้
ฟรานเซียสยื่นมือไปหามือเรียวปล่อยให้เธอกุมไว้ มันอบอุ่นเหลือเกิน “วันนี้คุณเวียนหัวคลื่นไส้อะไรบ้างหรือเปล่ารุ้ง”
“ไม่มีค่ะ อาจจะเลยเวลานั้นมาแล้วก็ได้ แต่ก็น่าแปลกนะคะ ไม่เห็นแพ้ท้องเหมือนกับคนอื่น รอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะเกิดมาสักที คิดถึงใจจะขาดแล้ว”
“อยากรู้ว่าเขาจะหน้าเหมือนใคร อาจจะหน้าเหมือนผมนะ คุณแพ็ตบอกว่าหากผู้เป็นแม่รักใครมากๆ ลูกออกมาก็จะเหมือนคนคนนั้น” เขาแกล้งว่าพร้อมอมย้ิม
“รักค่ะ รุ้งรักคุณมาก แต่อย่าให้รู้นะว่าแอบไปจิ๊จ๊ะกับใครในช่วงนี้นะคะ ไม่งั้นคุณโดนแน่” ผู้เป็นภรรยาขู่ ผู้ชายน่ะเวลาภรรยาต้ั้งท้องก็มักจะวอกแวกไปหาผู้หญิงอื่นเสมอ
“ผมไม่เคยนอกใจคุณเลยสักวินาที เอาชีวิตเป็นประกัน แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่เคยจ๊ะทูนหัว ผมเลิกมองคนอื่นแล้ว สายตาของผมมีให้คุณคนเดียว”
“นั่งรอฉันก่อนนะคะ เดี๋ยววันนี้เราไปทานข้าวที่บ้านคุณพ่อกัน ฉันจะโทรไปบอกป้าจอมให้ทำกับข้าวเผื่อ” หญิงสาวละมือจากมือใหญ่แล้วกดโทรศัพท์กลับบ้านเพื่อสั่งงานป้าจอม
เดี๋ยวนี้ศุภเกียรติไม่ได้ทำงานแล้ว รุ้งกมลรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ เธอไม่เสียใจที่ได้เขาเป็นสามี เพราะว่าเขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์และน่ารัก เอาใจใส่ทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับเธอ
“วันนี้การินมาหาผม เห็นว่าเสกเด็กเข้าท้องเมียได้สำเร็จ ดีใจใหญ่เลย หน้างี้บ้านเป็นกระด้ง” เขาเล่าให้ภรรยาฟัง
“อู้ย... ดีจังค่ะ วันนี้เราไปทานข้าวบ้านคุณพ่อแล้วพรุ่งนี้เราเชิญคุณการินกับแพ็ตมาทานข้าวเย็นที่บ้านเรากันนะคะ จะได้พูดคุยกันบ้าง ตั้งแต่ฉันเร่ิมทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาเจอแพ็ตเลย”
“ดีสิ เดี๋ยววันนี้ก่อนไปบ้านคุณพ่อ แวะซื้อของไปฝากท่านหน่อยแล้วกันนะ พวกเครื่องดื่มบำรุงกำลังอะไรพวกนี้ คุณแม่ผมโทรมาบอกว่าอยากชวนท่านไปเที่ยวโมนาโก จะได้ไม่เบื่อ คนแก่น่ะออยากเที่ยว คุณลองชวนท่านสิรุ้ง”
“ดีเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฉันจะชวนท่าน อยู่บ้านมันเหงา ให้ป้าจอมไปด้วยนะคะ ป้าจอมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย”
ชายหนุ่มยิ้ม “ตามใจคุณ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้เอง”
“ไปนั่งรอที่โซฟาดีกว่าค่ะ นั่งตรงนี้ฉันทำงานไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็ชวนฉันคุยอยู่เรื่อง” หญิงสาวเอ่ยปากไล่เขาไปนั่งอยู่มุมห้องด้านหน้า เพราะว่าหากเขานั่งอยู่ใกล้ๆ ก็จะคอยถามโน่นถามนี่อยู่ตลอด
“ใจร้ายตลอดน่ะคุณ” เขาแกล้งว่าแล้วลุกเดินไปนั่งที่โซฟามุมห้อง ปล่อยให้ภรรยาทำงานสงบๆ นั่งเล่นสักครู่ก็มีแม่บ้านนำกาแฟมาเสิร์ฟถึงที่ ชายหนุ่มเลยฝากให้แม่บ้านไปซื้อนมร้อนมาให้ภรรยาพร้อมทริปจำนวนหนึ่ง
แม่บ้านยิ้มแป้นออกไปจากห้อง สามีของคุณรุ้งกมลมาทีไร มักจะแจกเงินเสมอเลย ฟรานเซเซียสไม่มีเศษตัง บางทีมีเงินแบงค์พันหรือแบงค์ห้าร้อย วานให้ไปซื้อของก็จะไม่เรียกเอาเงินทอนคืน
รุ้งกมลเงยหน้ามองสามี “รู้สึกว่าคุณจะทริปแม่บ้านฉันบ่อยจนไม่อยากทำงาน วันๆ เอาแต่นั่งมองว่าคุณจะมาหรือยัง คงจะหวังเงินทริปมากกว่าเงินเดือน”
เขายิ้มมองภรรยา “ผมไม่ได้ให้เงินเดือนเขาแล้วไปใช้เขาฟรีๆ ไม่ได้ เลยต้องให้ทริปแบบนี้”
ฟรานเซเซียสนั่งรอภรรยาจนถึงเวลาเลิกงาน เสร็จแล้วก็พากันไปทานข้าวเย็นที่บ้านพ่อตา พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบระหว่างที่ไม่ได้เจอกัน แล้วรุ้งกมลก็ชวนท่านกับป้าจอมไปเที่ยวโมนาโกโดยที่แม่ของฟรานเซเซียสจะสแตนด์บายรอพาเที่ยวอยู่ที่นั่น ท่านกับป้าจอมตกลงว่าจะไป ดูว่าป้าจอมจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษที่จะได้ไปต่างประเทศ รุ้งกมลก็เลยเดินขึ้นห้องนอนเก่า ไปรื้อพวกกระเป๋าเดินทางออกมาให้ป้าจอมยืมใช้ จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อเอาใหม่ให้เปลืองเงิน
///////////////////////////////////////////////////
บ้านหลังใหญ่ที่เป็นคล้ายๆ กับเรือนหอของฟรานเซเซียส ปิเอโร่ กับ รุ้งกมล ปิเอโร่ อบอวนไปด้วยความอบอุ่น เตียงนอนใหญ่ในห้องนอนแคบลงไปเมื่อมีคนสองคนนอนเคียงข้างกันอยู่
ฟรานเซเซียสนอนลูบท้องภรรยาอยู่บนเตียงนุ่ม เธอนอนทับต้นแขนของเขาอยู่ ปากหนาจุมพิตไปที่หน้าผากมน ชายหนุ่มกระซิบกับภรรยาว่า “ผมดีใจที่ได้อยู่กับคุณ ได้มีคุณมาอยู่ด้วย ตื่นมาก็เจอกัน ก่อนนอนก็เจอกัน ส่ิงที่ดีที่สุดก็คือผมดีใจที่ได้ดูแลคนในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ เตียงผมอุ่มเสมอเมื่อได้นอนกอดคุณเอาไว้ ชีวิตผมเหมือนถูกเติมเต็ม ไม่ต้องขวนขวายหาอะไรมาเพิ่มเติมอีกแล้ว”
รุ้งกมลเงยหน้ามองใบหน้าเข้มพร้อมกับยกมือสัมผัสใบหน้าคร้าม “ฉันดีใจที่ได้เจอคุณ ได้รักคุณ ได้อยู่กับคุณ คุณเป็นผู้ชายที่น่ารัก เป็นสามีที่ดีกว่าที่ฉันคิดมากเลย ฉันมีความสุขที่สุด โชคดีที่โชคชะตานำพาให้ได้มาพบกับคุณ”
“ถึงผมจะร้ายกับคุณมากๆ อย่างนั้นหรือรุ้งกมล ผมไม่น่าโง่เลย ไม่งั้นก็คงไม่ทำให้คุณลำบาก” เขาขอลุแก่โทษ
“ถ้าคุณไม่เข้าใจผิด ฉันจะได้รักคุณหรือเปล่าละคะ อย่าโทษตัวเองเลย เรื่องราวมันผ่านมานานแล้ว เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ขอให้นับจากนี้ต่อไปให้คุณดีกับฉันเหมือนกับวันนี้ก็พอ” เธอซุกหน้ากับอกกว้าง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนได้อยู่ในบ้านหลังนี้ที่แข็งแกร่ง ทนฟ้าทนฝน
“เดี๋ยวผมนวดเท้าให้นะ คุณจะได้รู้สึกสบาย ไม่ปวดขา เท้าคุณบวมแล้วนะเนี่ย” เขาบอกพร้อมกับลุกนั่ง ขยับตัวไปอยู่ปลายเท้าของภรรยา
หญิงสาวขยับนอนหงายมองหน้าสามีที่กำลังนวนเท้าให้ รวมถึงข้อเท้าและต้นขา เขาลงน้ำหนักมือได้พอดีทำให้ผ่อนคลาย ตอนนี้เท้าเธอบวมรวมถึงข้อเท้าที่หนาขึ้น “ที่บริษัทหนังสือที่ฉันเคยทำงานด้วยเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ปกติ ไม่มีอะไร แต่มีพนักงานลาออกไปสองคน” เขารายงานติดจะย้ิมๆ เมื่อพูดถึงพนักงานคู่หนึ่ง
“ใครคะที่ลาออก” เธอถามเพราะเห็นแววตาหลุกหลิกของสามี
“คุณลองทายดูสิว่าใครลาออก”
ดวงตายาวรีส่งค้อนให้กับสามี “ใบ้สักหน่อยสิคะ ฉันจะได้พอเดาได้”
เขาใบ้ให้ภรรยาขณะที่มือก็นวดข้อเท้าให้เธอ “สองคู่ซี้ของบริษัท”
“เพียงอรกับรัตนพร” ผู้เป็นภรรยาทายออกไป มั่นใจว่าต้องใช่แน่นอน
“ดูคุณมั่นใจจังเลยนะ” เขาหัวเราะ
“มั่นใจสิคะ แล้วถูกหรือเปล่าล่ะ ฉันอยากรู้”
“ถูกต้องแล้วจ๊ะที่รัก ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าคุณเพียงอรมาทำงานที่บริษัทด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็ยอมรับว่านอกจากเดินเฉิดฉายไปมา เธอก็ทำงานดีไม่มีตกหล่น ผมติดใจนิดๆ ว่าทำงานกับคุณพ่อของเธอไม่ดีกว่าเหรอ”
“น่ีคุณอย่ามาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้นะคะ ยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งสงสัยระหว่างคุณกับพีรยา” รุ้งกมลแหวพร้อมกับพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง มือเล็กเหวี่ยงใส่ขึ้นแขนแน่นๆ ของเขา
ผู้เป็นสามีตกใจ ไม่คิดว่าภรรยาจะขี้หึง ต้ังแต่แต่งงานอยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยแสดงความหึง แม้แต่หวงก็ยังไม่เคย ค่อนข้างจะให้อิสระแก่เขา ไม่ก้าวก่ายเรื่องงาน ไม่เช็คว่าไปไหนในแต่ละวัน จนเขาแอบคิดไม่ได้ว่าเธอรักเขาบ้างหรือเปล่า
“คุณเป็นอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าคุณหึง” เขาถามตาโต
“ฉันไม่ใช่แม่ชีนะคะ จะได้นิ่งเฉยเวลาสามีพูดถึงผู้หญิงอื่น ฉันบอกคุณไว้เลยนะคะ อย่าทำให้ฉันจับได้ว่าแอบไปกุ๊กกิ๊กกับใครที่ไหน เห็นฉันไม่ตาม ไม่หวงไม่ห้าม แต่ฉันหวงและหึง” แม่เสือสาวขู่ฟ่อ
ฟรานเซเซียสหน้าเหวอ ตกใจเพราะมีชะงักติดหลังอยู่ เพียงอรมักจะมาหาเขาที่กาสิโน เพราะว่าบริษัทของพ่อเธอ เข้ามาคุมงานก่อสร้าง ต่อเติมโครงสร้างอยู่ เขาไม่คิดอะไรกับหญิงสาวเพราะว่ารักภรรยาเต็มหัวใจ แต่เธอก็มักเข้ามาวนเวียนอยู่เสมอจนเขาเกือบจะตบะแตกไปหนหนึ่ง ดวงตาคมหลุบต่ำหนีสายตาซอกซอนของภรรยา ใจเต้นตุบตับ สั่นเป็นเจ้าเข้า
“ผมไม่ไปกุ๊กกิ๊กกับใครที่ไหนหรอกน่ารุุ้ง ผมน่ะซื่อสัตย์เชื่อใจได้ หางตาผมนะไม่มองใครเลย มองแต่คุณคนเดียว”
“เหรอคะ ฉันดีใจที่คุณเป็นคนแสนจะซื่อสัตย์เหลือเกิน แม้แต่หางตายังไม่มองใคร” หญิงสาวเน้นเสียง กัดฟันพูด แค่มองตาก็ทะลุถึงหัวใจแล้ว ฟรานเซเซียสปิดเธอไม่ได้หรอก
“ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เขาบอกแล้วรีบลงจากเตียง เดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าห้องน้ำไป
รุ้งกมลมองตามสามีไปจนสุดสายตา ท่าทางพิรุธแบบนั้นเธอจะเปิดมันออกมาให้หมดว่ามีอะไรซ่อนอยู่แล้วจะจัดการให้เด็ดขาด เขาเห็นแต่เธอในความใจดี ต่อไปนี้จะต้องเจอกับบทโหดบ้าง เธอจะสวมวิญญาณแม่เสือสาวตามตะปบเหยื่ออย่างเขาไปทุกฝีก้าว จะไม่ให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว มือเรียวยกลูบหน้าท้องนูนพร้อมกับเอ่ยปากบอกกับลูกว่า
“เป็นกำลังใจให้แม่ คอยช่วยแม่กำราบพ่อเขาด้วยนะลูก”
คนเจ้าเล่ห์หายเข้าไปในห้องน้ำนานมากราวกับต้องการจะหลบเลี่ยง ปิดบังความลับ รุ้งกมลนั่งรอสามีอยู่นานจนเขาเปิดประตูห้องน้ำออกมาพบกับสายตาคมๆ เข้ากับพอดี
“อุ้ย!” ฟรานเซเซียสตกใจกับสายตาของภรรยา นี่เธอนั่งรอเอาเรื่องเขาอยู่แน่ๆ เลย อุตสาห์เข้าห้องน้ำไปตั้งนานก็ยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก สมองยังกับคอมพิวเตอร์ “นั่งอยู่ทำไมจ๊ะ ทำไมไม่เอนหลัง เดี๋ยวก็เมื่อยแย่”
“เอนตัวนอนไม่ลงค่ะ กลับมาเคลียร์เรื่องพีรยาเดี๋ยวนี้นะคะ คุณกับเธอมีอะไรกันหรือเปล่า”
ร่างกายกำยำยังมีหยดน้ำเกาะอยู่พราวตามเนื้อตัว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กพันเกาะสะโพกเอาไว้ง่ายๆ อย่างหมิ่นเหม่ ร่างสูงเดินไปหาภรรยาที่นั่งอยู่บนเตียง หน้าจ๋อยซีด “ไม่มีอะไรจริงๆ จ๊ะ”
“แต่ท่าทางของคุณบอกฉันว่าคุณยังเจอกันอยู่แม้ว่าเธอจะลาออกจากงานไปแล้ว” เธอดักทางพร้อมกับจ้องตาเขา สามีนอกใจเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ มันช้ำใจจนแทบแหลกสลาย สิ่งที่เขาทำตัวดีมาทั้งหมดมันจางหายไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
“เจอกัน แต่ไม่ได้มีอะไรกันจ๊ะ แต่เจอกันตอนทำงานเท่านั้นเอง” ฟรานเซเซียสนั่งลงบนขอบเตียง แก้ตัวน้ำขุ่น จริงอยู่ว่าเขากับเพียงอรไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่มันก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจพอที่จะมองภรรยาได้เต็มตาเหมือนภาวะปกติ
“ไหนคุณว่าเธอลาออกไปแล้วไงคะ แล้วทำไมยังพูดคล้ายกับว่ายังเจอกันอยู่ เหมือนกับว่าเจอเร็วๆ นี้ด้วย ล่าสุดก็เมื่อวานที่ไปรับฉันที่บริษัท” รุ้งกมลซักไม่เลิกราวกับว่าเธอเป็นตำรวจสอบสวนผู้ร้ายคดีใหญ่ที่สื่อจับตามองเพราะผู้คนให้ความสนใจ
“พอดีว่าบริษัทที่ผมเซ็นสัญญาให้มาดูแลการต่อเติมอาคารเป็นบริษัทของคุณพ่อเธอ เธอก็เลยมาวนเวียนตรวจงานอยู่ เธอมาคุมงานน่ะ ไม่ได้มาวนเวียนหรอก” จะพูดจะจาอะไรก็ดูติดขัดไปหมด ปากมันดูหนายังกับแฮมเบอเกอร์ ขยับพูดไม่ถนัด
“เหรอคะ โชคดีจังเลยนะคะที่เราได้บริษัทเก่งๆ มาคอยดูแล ซ้ำยังมีตัวแทนเจ้าของบริษัทมาควบคุมการทำงานของลูกน้องอีก บริษัทอย่างนี้หายากนะคะ เดี๋ยวคุณไปดูงานอีกวันไหนฉันจะขอไปด้วย อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันว่าทำงานยังไงกัน แล้วงานเดินไปถึงไหนแล้ว” หญิงสาวบอกแล้วขยับตัวลงจากเตียงไปอาบน้ำเพราะว่าวันนี้นัดพีรยากับการินเอาไว้ว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ กันที่บ้าน หลังจากที่ไม่ค่อยมีเวลาสังสรรค์กันเท่าไหร่ การทำงานผสมกับการมีครอบครัวทำให้เวลาส่วนตัวมันหายไปเกือบหมด พอเมื่อไหร่มีเวลาว่างก็อยากพักผ่อนอยู่เฉยๆ มากกว่าออกไปเที่ยวเล่น ย่ิงเธอตั้งท้องแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง เดินเหินลำบาก
ฟรานเซเซียสนั่งอยู่บนเตียงใจหายวาบราวกับโดนมีดจ่ออยู่ที่หลัง ขยับตัวนิดเดียวก็โดนคมมีดกดกรีดแน่ ไม่น่าเชื่อว่ารุ้งกมลจะดุคล้ายนางเสือป่า คิดแล้วก็รีบไปแต่งตัวให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สบายๆ เหมือนกับที่ชอบสวมเสมอเวลาว่างเว้นจากการทำงาน เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วภรรยาก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ จึงเดินไปแนบหูกับประตูห้องน้ำ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านใน ชายหนุ่มกลัวว่าเธอจะลื่นล้มหรือเวียนหัวคลื่นไส้
“รุ้ง อาบน้ำเสร็จหรือยัง วันนี้คุณอาบน้ำนานจัง เป็นอะไรหรือเปล่า ส่งเสียงให้ผมรู้หน่อยสิ”
รุ้งกมลในชุดเสื้อคลุมขนหนูสีขาวเปิดประตูออกมาพบกับสามีที่ยื่นขวางทางออกอยู่ “มายืนทำไมตรงนี้คะ”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปกอดหญิงสาวเอาไว้ด้วยความรัก “เพราะผมรักผมแคร์ความรู้สึกของคุณ ผมกลัวคุณโกรธ กลัวสารพัดอย่าง ผมไม่ชอบเห็นเราเป็นแบบนี้เลยรุ้ง ผมไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ก็ไม่ใช่ไม่ผิดเสียเลย ผมผิดที่ไม่เคยบอกคุณว่าเพียงอรมาคุมงานที่กาสิโน ไม่ได้บอกว่าเธอออกจากงานแล้ว แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเธอยังมาทำตัวใกล้ชิดผมอยู่ แต่ผมไม่ได้นอกใจคุณนะรุ้ง ไม่เคยคิดนอกใจคุณเลยด้วย”
“ฉันเชื่อคุณค่ะ ผู้หญิงน่ะคะ คิดมากแบบนี้ล่ะ จู้จี้จุกจิกด้วย คุณพยายามเข้าใจฉันหน่อยนะคะ แล้วฉันก็เครียดในเมื่อฉันไม่พร้อมให้ความสุขกับคุณในตอนนี้ บางทีฉันอาจจะต้องยอมให้คุณไปนอกลู่นอกทางบ้างก็ได้” หญิงสาวพยายามยามทำใจให้ยอมรับตัวเขา ยอมรับความจริงในช่วงเวลาแบบนี้
“คุณอย่าคิดไปแบบนั้นสิรุ้ง คุณดีจนผมไม่คิดเห็นแก่ตัวแบบนั้นหรอก ผมรักคุณ รักลูกมากเกินกว่าจะทำตัวออกนอกลู่นอกทางได้ คุณคือดวงใจของผมนะ ถ้าคุณไม่มีความสุขแล้วผมจะมีความสุขได้ยังไงล่ะรุ้ง ถ้าเรื่องแค่นี้ผมอดทนไม่ได้ผมก็เป็นผู้ชายที่แย่เต็มทน ซึ่งผมจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดีของลูก” แรงสะอื้นจากภรรยาทำให้เขาต้องหลับตาขับไล่ความสะเทือนใจ
“ขอบคุณค่ะฟรานเซียส ฉันดีใจที่มีคุณ” เธอขยับตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น สองมือยกประคองดวงหน้าเข้มแล้วเขย่งตัวยื่นหน้าไปจุมพิตที่ปากหนา
เขาโต้ตอบเธอกลับมาด้วยจุมพิตร้อนแรงและเรียกร้องที่พยายามกดเก็บมันเอาไว้ รุ้งกมลรับทราบอยู่แก่ใจว่าสามีต้องการอะไร แต่เธอไม่มีความต้องการแบบนั้นตอนนี้ เพราะกังวลหลายเรื่อง ทั้งกลัวลูกไม่แข็งแรง ใจหนึ่งกังวลสามีจะเบื่อเหมือนกัน เมื่อเหตุผลรวมกันแล้วจึงส่งผลให้เครียด
ฟรานเซเซียสถอนจุมพิตจากปากอิ่มพร้อมกับใช้มือไล้แก้มนวล “คุณกำลังเครียดผมรู้ ห้ามเครียดนะรุ้ง ผมจะไม่สบายใจตามไปด้วย”
“ค่ะ”
“ไป ผมจะช่วงแต่งตัวนะ จะได้ลงไปทานข้าวเช้ากัน ยิ้มก่อนที่รัก ยิ้มให้ผมดูหน่อยว่าคุณมีความสุขอยู่” เขาสั่งแกมข้อร้องภรรยา
หญิงสาวย้ิมให้กับสามี แล้วเดินตามแรงประคองของเขาไปนั่งที่หน้ากระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง ฟรานเซียสดูแลเธอทุกอย่าง ตั้งแต่เช็ดตัว เช็ดผม ทาโลชั่นบำรุงผิวแล้วก็ทาครีมบำรุงหน้า หวีผม สุดท้ายก็ไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้ ชุดคลุมท้องนั้นสวมไม่ยาก แค่สวมใส่ศีรษะก็ดึงปลายลงคลุมขาได้เลย เสร็จแล้วก็พากันลงไปข้างล่างทานอาหารเช้าโดยไม่รอการินและพีรยา เพราะสองคนนั้นโทรมาบอกว่าจะมาบ่าย ติดธุระนิดหน่อย
//////////////////////////////////////////////
ยามบ่ายรุ้งกมลนอนเอนอิงกับอกกว้างของสามีบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น มันเป็นอิริยาบถที่ชวนสบาย ในมือถือหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็ก ส่วนอีกมือที่เหลือกุมมือใหญ่เอาไว้ หญิงสาวเลือกซ้ือหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อว่าสามีจะได้อ่านด้วยได้ พอถึงเวลาลูกลืมตาดูโลกจะได้ช่วยกันเลี้ยง
“คุณว่าลูกเราตัวเท่าไหนแล้วรุ้ง” ฟรานเซเซียสถามภรรยาท่ีข้างหูของเธอ ขณะที่สายตามองดูรูปภาพเด็กรอบเล็กๆ ในหนังสือเล่มหนา
ดวงตายาวรีกวาดตามองไปยังรูปาภาพในหนังสือ เลือกไม่ถูกเลยจริงๆ ท้องเธอไม่ใหญ่ แต่เด็กในรูปทำไมถึงได้ดูตัวใหญ่จังเลย หญิงสาวเคยปรึกษาคุณหมอว่าทำไมท้องมีขนาดเล็ก คุณหมอบอกว่าไม่ต้องกังวล ท้องแรกก็แบบนี้ล่ะ
“ท้องฉันเล็กน่าจะสักสามกิโลได้ไหมคะ ลูกคงจะหน้าตาหล่อเหมือนคุณแน่ๆ”
“แล้วถ้าเกิดผลอุลตาซาวน์มันผิดไปล่ะ จริงๆ แล้วลูกเราออกมาเป็นผู้หญิง คุณว่าหน้าตาจะเหมือนใคร เหมือนผมหรือว่าเหมือนคุณ” ชายหนุ่มถามภรรยา
ใบหน้าที่เร่ิมอูมขึ้นแหงนมองสามี “ให้ลูกหน้าตาเหมือนคุณ เพราะว่าฉันรักคุณมาก ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามแต่”
กำลังนั่งคุยกันเสียงกดออดก็ดังขึ้นได้ให้ยินชัดเจน ฟรานเซเซียสจึงเอ่ยว่า “สงสัยสองคนนั้นมาแล้วมั้ง”
เจ้าของร่างอิ่มเอิบค่อยๆ พยุงตัวเองลุกนั่งโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ “วันนี้เมื่อยๆ ยังไงพิกลนะคะ ปวดตัวด้วย ไม่อยากจะเดินไปไหนเลย”
“ผมว่าคุณลางานเถอะรุ้ง ผมว่าคุณไปทำงานไม่ไหวแล้ว ถ้าลาไม่ได้ผมคิดว่าคุณควรจะลาออกได้แล้วนะ”
น้ำเสียงของสามีเคร่งเครียดเสียจนผู้เป็นภรรยาวิตก หรือเธอบ้างานเกินไปจนไม่มีเวลาใส่ใจทั้งตัวเขาและตัวเอง ยังไม่ทันที่รุ้งกมลจะพูดอะไรออกมา เสียงของพีรยาก็ดังเข้ามาก่อน คู่สามีภรรยาหมาดๆ กำลังเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษหลายถุงแล้วก็มีพวกเครื่องดื่มเพ่ือสุขภาพโดยการินเป็นคนหอบข้าวของพะรุงพะรังมาทั้งหมด
“มาแล้วจ้า พร้อมกับเสื้อผ้าของหลานแล้วก็เครื่องดื่มบำรุงกำลังของแม่” พีรยายิ้มแป้นมานั่งข้างเพื่อนสาว ปล่อยให้สามีเลือกที่นั่งเอาตามสบายพร้อมกับข้าวของในมือ
“โอ้โห... รุ้งดูตัวบวมขึ้นเยอะเลยนะ” การินส่งของให้กับแม่บ้านเพื่อให้เอาไปเก็บไว้ที่
สองสามีภรรยาลั้ลลากันสุดฤทธิ์ ขัดกับอารมณ์เจ้าของบ้านชัดเจน การินเป็นคนสังเกตุเห็นก่อนเลยเงียบ แต่ภรรยาของเขาสิ ยังพูดปร๋อไม่ดูดินดูฟ้าอากาศบ้างเลย “ฉันซื้อของมาให้หลานเยอะแยะ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า แล้วก็ซื้อนม ซื้อแบรนด์มาให้เธอดื่มจะได้แข็งแรง แล้วนี่จะคลอดแล้วใช่ไหม ฉันอยากจะเห็นหน้าหลานใจจะขาด อยากรู้ว่าหน้าจะเหมือนใคร”
“แพ็ต” การินเรียกชื่อภรรยา
“อะไรคะ อย่าพึ่งกวน แพ็ตจะคุยกับรุ้ง” เธอบอกแล้วหันหน้าไปมองเนื้อตัวของเพื่อนที่ดูบวมกว่าปกติคงเพราะจวนเจียนจะคลอดเต็มที “นี่ตัวเธอบวมแล้วนะเนี่ยรุ้ง หน้าก็บวม มองไม่เห็นสวยงามที่เคยมี นี่คงถูกเจ้าตัวเล็กดูดเอาความสวยไปหมด”
“แพ็ต” การินเรียกภรรยาอีกครั้ง
“อะไรคะพี่การิน” พีรยาหันไปทำสายตาดุให้สามี
“บ้านแตกแล้วค่ะ เรามาผิดเวลา” ชายหนุ่มยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบกับภรรยา
พีรยาหันหน้าไปมองเพื่อน ผ่านไปหาฟรานเซเซียส ปิเอโร่ แววตาของทั้งคู่กำลังมัวหมองได้ที่ ความตึงเครียดกระจายไปทั่วทุกอณู เจ้าของใบหน้าหวานยื่นหน้าไปกระซิบถามเพื่อน “เป็นอะไรกัน”
“มาคุ เธอกับคุณการินดันมาก่อน ฉันเลยยังไม่ได้ง้อ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันก็ง้อได้ เขาไม่เคยงอน เชื่อว่าไม่งอนนานหรอก สบาย” รุ้งกมลกระซิบตอบเพื่อน เธอไม่แน่ใจหรอกว่าง้องอนสามีน่ะง่ายจริงหรือเปล่า ก็เพราะเขาไม่เคยดุเธอเลยตั้งแต่แต่งงานกันมา เขาจะพูดด้วยเหตุผลตลอด
“แน่ใจนะเธอ” พีรยาขอคำยืนยัน
“แน่ใจสิจ๊ะ” รุ้งกมลเช่ิดใส่แล้วหันหน้าไปหาสามีที่นั่งหน้าน่ิ่งสนิท “คณการินกับแพ็ตมาแล้ว เราไปทานข้าวเที่ยงกันเถอะค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันนัดหมอเอาไว้จะไปไม่ทัน”
ทั้งหมดพากันไปทานข้าวเที่ยง พีรยาไม่เห็นว่าเพื่อนจะใช้ความพยายามในการอ้อนขอคืนดีสามี มีแต่ทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย คงเพราะถูกปาก หญิงสาวไม่อยากคิดว่าหากเธอมีอายุครรภ์เท่ากับเพื่อนแล้วจะทำตัวแปลกไปหรือเปล่า เธออยากแปลกไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ให้เหมือนรุ้งกมล ที่ดูว่าจะคอยให้ฟรานเซเซียสเอาอกเอาใจอยู่ฝ่ายเดียว
ทานอาหารเสร็จก็ออกมานั่งคุยกัน รุ้งกมลพาพีรยามาพูดคุยกันที่หน้าบ้าน ปล่อยให้ผู้ชายสองคนนั่งจิบเบียร์เย็นใจอยู่ด้านใน ส่วนมาก็คุยกันเรื่องการตั้งครรภ์เพราะพีรยาก็กำลงจะมีน้องเหมือนกัน ส่วนคุณผู้ชายคงคุยกันเรื่องธุรกิจแล้วก็เพื่อนอีกตามเคย จนถึงเวลาที่เจ้าของบ้านต้องพาภรรยาไปพบแพทย์ ปาร์ตี้ก็จบลงด้วยดี
/////////////////////////////////////////////
ดวงตายาวรีมองหน้าคร้ามเข้มฝ่าความมืดสลัวแห่งค่ำคืน ฟรานเซเซียสยังคงอยู่ตรงนี้ไม่ทิ้งเธอไปไหน เวลาเขาไม่พอใจเขาจะนิ่ง น่ิงมากจนดูน่ากลัว ผิดกับผู้ชายเจ้าอารมณ์ที่จับเธอมากักขัง ทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดเชือดเฉือน เวลาโกรธก็ตรงเข้ามาหาเรื่อง เอะอะโวยวายสารพัดเพื่อทำให้เธอต้องศิโรราบให้กับเขา ดวงตาเขาปิดสนิทไม่เหลือคราบผู้ชายขี้งอนเลย
รุ้งกมลนอนคิดทบทวนถึงคำพูดของแพทย์ที่บอกว่าต้องครอดก่อนกำหนด กำหนดวันที่เอาไว้ให้กลางเดือนหน้า สรุปแล้วอายุครรภ์นั้นนับได้แปดเดือนเศษ หญิงสาวมีความคิดที่จะส่งใบลาไปให้พี่ตอง ลองขอว่าจะนำงานกลับมาทำที่บ้านได้หรือเปล่า เพราะเดินทางไปทำงานไม่ได้แล้ว เท้ามันบวมไปหมด เมืื่อเย็นตอนอาบน้ำยังให้ฟรานเซียสอุ้มไปส่ง เขาก็ใจดีช่วยดูแลอาบน้ำให้ แล้วก็เช็ดตัว แต่งตัวให้ ดูแลทุกเรื่อง สามีแบบนี้เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาผิดหวังในตัวเธอไม่ได้ ร่างอิ่มเอิบขยับเข้าไปใกล้ร่างใหญ่ที่เปลือยเปล่า แอบอิง ซุกซบขอไออุ่นจากกายเขา พอเธอเข้าไปใกล้เขาก็โอบกอดเธอเอาไว้อัตโนมัติ ในที่สุดเธอก็หลับลงไปพร้อมกับความครุ่นคิด
ฟรานเซเซียสตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ มือใหญ่ยกลูบใบหน้าก่อนก้มหน้ามองผู้หญิงที่อิงแอบอยู่กับอกกว้าง ปากหนาแย้มยิ้ม รู้สึกดีที่เธออยู่ใกล้ๆ ในชีวิตนี้คงจะมีเพียงเธอกับลูก ชายหนุ่มขยับตัวออกห่างภรรยาเพื่อลงไปอาบน้ำ วันนี้เขาจะเข้าไปดูกาสิโนหน่อยว่าการดัดแปลงต่อเติมนั้นไปถึงไหนแล้ว เพียงอรบอกว่าช่างก่อสร้างจะทำงานกันทุกวัน ไม่มีวันหยุด ซึ่งจะทำให้โรงแรมเสร็จก่อนกำหนดอีกเป็นเดือน
ดวงตายาวรีเปิดเปลือกตาขึ้นมองด้านหลังเปลือยเปล่าของสามีที่เดินเข้าห้องน้ำไป เลยงัวเงียถามเสียงแหบเครือว่า
“ฟรานเซียสคะ วันนี้คุณจะไปไหนเหรอคะ”
“ผมจะไปดูงานหน่อยที่รัก ช่างก่อสร้างเขาไม่หยุด บางทีผมอาจจะต้องเซ็นเช็คจ่ายเงินงวดที่สองไปด้วย” ชายหนุ่มตะโกนออกจากห้องน้ำแล้วเปิดก๊อกให้น้ำจากฝักบัวโชลมลงบนร่างกาย
“ฟรานเซียส ฉันรักคุณนะคะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะลางาน หรือไม่บางทีก็จะลาออก” พูดออกไปแล้วก็แทบขาดใจเพราะรักงานชิ้นนี้มาก แต่รักสามีและลูกมากกว่า
เสียงสายน้ำเงียบสนิทลง ชายหนุ่มยืนน่ิงเงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอก “เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะที่รัก”
“ฉันบอกว่าฉันรักคุณค่ะ รักมากกว่าอะไรทั้งหมด ฉันจะลาออกจากงานค่ะที่รัก คุณได้ยินชัดหรือยัง” หญิงสาวแทบตะโกนเพื่อให้เขาได้ยินชัดๆ ครู่เดียวสามีก็ว่ิงออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น หยาดน้ำยังเกาะพราวอยู่ทั่วร่าง
“จริงๆ นะรุ้ง โอ้ย! ผมดีใจแทบบ้า นึกอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมต้องให้เมียไปนั่งลำบากทำงานให้กับคนอื่น ท้ังที่ความจริงผมเลี้ยงคุณได้ ไม่ต้องลำบากเลยสักนิด” เขาเดินไปจุมพิตที่ปากอิ่มเร็วๆ ด้วยความดีใจ
“พาฉันไปอาบน้ำด้วยค่ะ ฉันจะไปกาสิโนกับคุณ ไปดูสิว่าวันนี้จะมีใครมาเกาะแกะสามีของฉันหรือเปล่า” หญิงสาวพูด
“เดินไม่ไหวแล้วจะไปยังไง เดี๋ยวไปถึงที่โน่นจะไม่มีที่นั่ง คุณจะเหนื่อยนะที่รัก” เขาเตือนด้วยความหวังดี
“เหรอคะ แต่ฉันไม่สน ฉันจะต้องไปให้ได้” เธอบอกแล้วค่อยๆ ไถลตัวลงจากเตียงโดยมีสามีคอยช่วยเหลือ
“ระวังหน่อยที่รัก เดี๋ยวล้มเอาจะแย่” ฟรานเซเซียสบอกภรรยาแล้วค้อมตัวอุ้มร่างอิ่มเอิบแนบอก เดินเข้าห้องน้ำไป ดูแลเธอเหมือนที่เคยทำ
ภรรยาของเขาท้องโตขึ้นทุกวันๆ ตอนนี้เหมือนว่าเนื้อต้นขาจะปริแยกออกจากกันแล้ว เธอเป็นแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ เขาภูมิใจที่ได้ดูแลเธอในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิต และจะทำต่อไปจนตายจากกัน
//////////////////////////////////////////////////////
กาสิโนที่สร้างคล้ายๆ กับโรงแรมหรูตั้งตระหง่าน เด่นกว่าทุกตึกในละแวกนี้ แต่การตกแต่งงานสวยงามกว่าโรงแรมทั่วไป ดวงตายาวรีแหงนหน้ามองโครงสร้างอาคารโดยอิงกายอยู่กับอกกว้างของสามี เธอพึ่งเคยมาสถานที่นี้เป็นครั้งแรก เพราะไม่อยากมาสถานที่อโคจร ตอนแรกก็ดีใจที่ปรมัยจะซื้อไป พอเขาเสียชีวิตก็ผิดหวัง พะวงว่าสามีจะไม่ยอมขายให้กับคนอื่น สุดท้ายก็ดีใจเมื่อเขาบอกว่าจะปรับโครงสร้างเป็นโรงแรม เพื่อจะได้ต่อยอดธุรกิจ ไม่ให้งานที่เคยมีล้มหายไป
หน้ากาสิโนมีรถหลากหลาายชนิดทั้งรถส่วนตัวของช่างก่อสร้าง และรถหกล้อที่ขนอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามา
“ต่อเติมแค่ภายในเหรอคะ”
“ภายนอกมีบ้างเล็กน้อย ไม่มากหรอก แค่เสริมแค่เติม เพราะว่ามันดีและสวยงามอยู่แล้ว” ฟรานเซเซียสบอกภรรยา แล้วประคองเธอเดินเข้าไปในตัวอาคาร
เสียงตอก ขูดหรือแซะดังให้ได้ยินสม่ำเสมอ เศษกระเบื้อง เศษปูน เศษไม้จากการทำงานทำให้รุ้งกมลย่ิงต้องระมัดระวังในการเดิน ถ้าล้มลงไปคงเป็นเรื่องใหญ่ทั้งที่ดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอด ด้านบนเหนือศีรษะก็มีการรื้อถอนฝ้าเพดานออกมาใหม่เพื่อวางโครางสร้างเดินสายไฟกันอีกครั้ง
“เดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องทำงานของคุณเพียงอรก่อนนะว่ามีอะไรให้ผมเซ็นอีกหรือเปล่า” ฟรานเซเซียสบอกภรรยา ชื่อของเพียงอรทำให้เธอออกอาการตึงขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ใส่ใจเพราะมันคงเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอย่างที่เธอเคยบอก ชายหนุ่มประคองภรรยาผ่านถังปูนและเหล่าช่างก่อสร้างไปหาห้องทำงานที่เคยเป็นห้องทำงานของเขา
ทันทีที่ประตูเปิดออก รุ้งกมลก็นึกหมั่นไส้สองสาวด้านในขึ้นมา นี่ขนาดวันอาทิตย์ยังขยันกันได้ขนาดนี้ แล้ววันธรรมดาที่เธอไม่เคยเอะใจมาดูไม่ยิ่งไปกว่านี้หรอกหรือ เพียงอรกับรัตนพรหันมายิ้มเมื่อรู้ว่าใครมา แต่พอเห็นหน้ารุ้งกมลก็เชิ่ดหน้าหนีไป
“สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะคุณเพียงอร คุณรัตนพร” รุ้งกมลเปิดการสนทนาขึ้นก่อน ตอนนี้ระหว่างเธอกับเพียงอรเทียบกันไม่ได้เลย เพียงอรยังดูสวยงาม แต่เธอสิ... ดูอ้วนตุตะ บวมเป่งไม่สวยเลย
“ไปนั่งที่โซฟาดีกว่านะ คุณยืนนานๆ ไม่ดี” ฟรานเซเซียสพยุงภรรยาไปนั่งบนโซฟานุ่มตัวยาวที่ตั้งอยู่มุมห้องฝั่งขวาของประตู ห้องนี้ยังคงสวยงามคงเดิมเพราะว่ายังไม่ถูกรื้อถอนสิ่งของออกไป เพียงอรขอเอาไว้นั่งทำงานก่อนแล้วจะให้ช่างก่อสร้างจัดแจงห้องนี้เป็นห้องสุดท้าย
บรรยากาศโดยรวมในห้องนี้ชวนอึดอัดเหมือนเสือสองตัวอาศัยด้วยกันในถ้ำแคบๆ ต่างคนก็อยากเป็นเจ้าของถ้ำ ส่วนรัตนพรน่ะไม่ต้องพูดถึง 'นายว่าขี้ข้าพลอย' อยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติเด่นของลูกจ้างที่คิดผิด ถ้าทำไม่ได้แบบรัตนพรก็คงไม่มีอนาคตการทำงานที่ดี ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาแล้วหันไปมองหน้าเพียงอรสลับกัน ใจภาวนาขอให้เพียงอรรู้สถานะของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายและเรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จริงอยู่ที่เขากับเธอเคยเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว ด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เขาเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์ลึกซึ้งเมื่อได้เจอกับรุ้งกมล
“วันนี้พารุ้งเขามาทำไมคะ ไม่ใช่สถานที่วิ่งเล่นสักหน่อย” เพียงอรเปิดฉากสงครามย่อยก่อน ไม่แคร์สักนิดว่ารุ้งกมลน่ะเป็นภรรยาของชายหนุ่ม แล้วก็กำลังมีลูกด้วยกัน
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะว่ิงเล่นนะคะ เพราะว่าฉันคงว่ิงไม่ไหวหรอกค่ะท้องใหญ่ขนาดนี้ ก็แค่จะมาดูว่าสามียังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ยังเป็นของฉันอยู่ไหม เพราะว่ามันมีพวกไม่คำนึงถึงศีลธรรมคอยทำลายครอบครัวชาวบ้านอยู่”
ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาไม่เข้าใจความหมายเพราะว่าคราวนี้เธอพูดภาษาไทยไม่ให้เขารู้ ต่างจากเพียงอรที่พูดภาษาอังกฤษอยู่เสมอ ดวงตาคมมองภรรยาแต่เธอทำท่าไม่สนใจเขาเลย
“ฉันมาก่อนเธออีกนะรุ้งกมล ฉันกับฟรานเซียสน่ะเคยเป็นมากกว่าเพื่อนก่อนที่เธอจะเข้ามาด้วยซ้ำ คนที่ผิดศีลธรรมน่าจะเป็นเธอมากกว่า” เพียงอรสวนทันควัน
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ลองไปถามแม่ของเธอดูสิว่าท่านแย่งของใครมาหรือเปล่า ถ้าเธอจะเอาข้อนั้นมาเปรียบเทียบ สำหรับฉันคงไม่ดำน้ำลงไปยกข้ออ้างแบบนี้มาเป็นขออ้างทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมาในสายตาคนอื่น” รุ้งกมลสาดคำพูดกลับไป อารมณ์หึงหวงน่ะ มันสามาถทำให้เห็นช้างตัวเท่ามดไปได้ 'เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร' หญิงสาวต้ังมั่นใจสุภาษิตสอนใจอันนี้มากกว่าจะทำตัวเป็นนักบวชเคร่งศาสนา สละทุกอย่าง
พีรยาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยฤทธิ์โกรธา “เธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่รุ้งกมล”
“นั่นสิคะคุณเพียงอร เราก็อยู่ของเราดีๆ แต่ดันยุ่งเข้ามาก่อกวน” รัตนพรเสริมเจ้านาย
รุ้งกมลหันหน้าไปมองใบหน้าขาวลอยด้วยเครื่องสำอางของรัตนพรแล้วท้อแท้ใจ “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อดูแลสามีให้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา เพราะมันจ้องจะคาบไป คอยดูเถอะถ้าใครยังไม่หยุดฉันจะเขียนคอลัมน์ประจานให้หนังสือ จะไม่ใช้ตัวอักษรย่อด้วย เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร หวังว่าพวกเธอคงจะเข้าใจ เพราะถ้ายังไม่เข้าใจฉันเอาจริงแน่เพียงอร”
คนกลางหน้าเจื่อนมองคนโน้นทีคนนี้ที ไม่รู้ว่าเหล่าผู้หญิงพูดคุยถึงเรื่องอะไรกัน แต่สีหน้าและท่าทางมันน่าเป็นห่วง เกรงจะมีเรื่องกัน “รุ้ง ผมว่าเรากลับบ้านกันเถอะนะ”
เธอหันหน้าไปมองสามีตาเขียว “คุณอยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหมคะ ฉันกำลังตกลงกับคุณเพียงอร”
สีหน้าและแววตาของภรรยาทำเอาสามีสะดุ้ง ไม่คิดว่าเธอจะโหดได้ถึงเพียงนี้ “จ๊ะ”
“ว่ายังไงคะคุณเพียงอร ถ้าคุณไม่เลิกยุ่งกับสามีฉัน ฉันก็จะขอเปิดศึกกับคุณ เอาให้อายกันไปทั่วประเทศ” รุ้งกมลยังคงมุ่งมั่นทวงคืนสามีตัวเองไม่ลดลาวาศอก
“เธออย่ามาขู่คุณเพียงอรนะยัยรุ้งกมล เธอคิดเธอเป็นใคร แล้วคุณเพียงอรเป็นใคร” รัตนพรเต้นแทนเจ้านายที่ยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ กัน
“ฉันจะเป็นใคร ฉันก็เป็นฉัน แล้วเจ้านายเธอเป็นใคร ผู้หญิงที่จ้องจะแย่งสามีชาวบ้านเขาอย่างนั้นหรือ ช่างน่าภูมิใจเหลือเกิน แล้วก็ไม่ต้องมาขู่ฉัน ถ้าเธอยกความใหญ่ของครอบครัวมาอ้าง ก็รู้ไว้ด้วยว่าสามีฉันก็ไม่เคยกลัวใคร แล้วเขาก็คงไม่ปล่อยให้พวกเธอลอยนวลถ้ามาทำอะไรฉันหรอกนะ ถ้าอยากลองวัดกันสักตั้งฉันก็ไม่เกี่ยงจะรับมือ” หญิงสาวแหวออกไปจนลูกดิ้น คงอยากให้กำลังใจแม่
เพียงอรทนฟังรุ้งกมลพูดเสียดแทงใจไม่ได้ อยู่ดีๆ เธอก็กรีดร้องออกมาแล้วก็จ้ำเดินออกจากห้องไปตามด้วยแม่รัตนพรที่ติดตามเจ้านายออกไป
ฟรานเซเซียสมองหน้าภรรยาเมื่อทุกคนออกจากห้องกันไปหมดแล้ว “เกิดอะไรขึ้นน่ะรุ้ง บอกผมที”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันกับเพียงอรก็แค่เคลียร์ใจกันเท่านั้นเอง ตอนนี้จบแล้วล่ะค่ะ คุณจะเดินตรวจงานสักหน่อยไหมคะ ฉันจะน่ังรออยู่ทีนี่” เธอถามสามี รู้สึกโล่งใจที่กำจัดเพียงอรออกไปจากเส้นทางชีวิตรักได้
“คุณพูดอะไรกับเธอรุนแรงไปหรือเปล่า เธอถึงสะบัดเดินออกไป” เขาถามหวั่นๆ รู้สึกเห็นใจเพียงอร ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง
แต่สำหรับรุ้งกมลแล้ว เธอไม่เห็นใจเพียงอรสักนิดเดียว ยิ่งสามีพูดก็ย่ิงโมโห “ทำไมล่ะคะ คุณจะไปปลอบใจเธอหรือยังไง ถ้าจะทำแบบนั้นก็ช่วยเลือกเลยว่าระหว่างฉันกับเธอ คุณจะเลือกใคร ถ้าเลือกฉันก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก จำไว้ด้วยว่าฉันหึง”
คนตัวโตนั่งลงข้างภรรยา ยิ้มแป้นสู้ “ผมก็เลือกคุณสิจ๊ะที่รัก ไม่เลือกคุณแล้วจะมาแต่งงานกับคุณทำไมล่ะ รักจะแย่อยู่แล้วเนี่ย กลับบ้านกันดีกว่านะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยเข้ามาตรวจงานใหม่ ดูคุณจะเหนื่อยๆ”
เขาพารุ้งกมลกลับบ้าน รับรู้แล้วว่าผู้ชายกลัวเมียเป็นแบบนี้เอง ทั้งกลัวทั้งเกรง ความรู้สึกตีกันวุ่นไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอก็ตัวเล็กลงคล้ายกับแมวเชื่องๆ ส่วนเธอเป็นดั่งสิงโตตัวใหญ่ คำรามเสียงดังกระหึ่มลั่นป่า
รุ่งขึ้นของอีกวัน เขาขับรถไปส่งภรรยาที่ทำงาน เธอบอกว่าจะลางานยาว แต่ขอไปดูแลปิดหนังสือก่อนว่าเรียบร้อยดีหรือยัง แล้วเขาก็เลยไปดูงานที่กาสิโน วันนี้เพียงอรกับรัตนพรไม่ได้มาทำงาน แล้วก็หายไปเลย ให้พี่ชายมาดูงานแทน ฟรานเซเซียสรู้สึกสบายใจที่เรื่องราวพิษรักแรงหึงจบลงไปได้ด้วยดี
///////////////////////////////////////////////////
บทสุดท้าย
“อุแว๊... อุแว๊”
เสียงร้องของลูกชายตัวจิ๋วที่นอนอยู่ในเปลข้างเตียงทำให้รุ้งกมลลืมตาลุกขึ้นมองฝ่าความมืดไปหาลูกน้อยในเปล มือเรียวคว้าขวดนมที่เหลืออยู่ครึ่งขวดส่งเข้าปากเล็กๆ ผู้เป็นแม่ยิ้มเมื่อเห็นลูกชายวัยสี่เดือนตั้งหน้าตั้งตาดูดนมจากขวด เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวเจ้าตัวจิ๋วก็นึกอยากจะคว่ำหน้าบ้างแล้ว
เธอดูแลลูกชายเรียบร้อยก็กลับไปนอนบนเตียง ทันทีที่เอนตัวลงนอนก็ถูกรวบไปกอดจากทางด้านหลัง ฟรานเซเซียสรับรู้ได้ว่ารูปร่างของภรรยากลับคืนเข้าทีเรียบร้อยแล้ว ความอิ่มเอิบจางหายไปโดยมีผู้หญิงรูปร่างอรชรเข้ามาแทนที่ หน้าอกอิ่มขึ้น สะโพกก็ผายขึ้นสักนิ้วได้ มือใหญ่เลื่อนลงไปสำรวจสะโพกกลมกลึ่ง คิดไปคิดมาก็ตรวจดูหน้าอกด้วยดีกว่า
รุ้งกมลรีบตะบปมือซุกซนของสามีทันที “อืม... อะไรกันคะเนี่ย ตายังหลับอยู่เลยคุณน่ะ”
จมูกโด่งคมสันซุกอยู่กับพวงผมของภรรยา ส่วนมือน่ะเธอห้ามเขาไม่ได้หรอก ขณะที่ตายังปิดก็พูดออกมาว่า
“ได้นอนอย่างนี้แล้วมีความสุขดีน่ะ ผมคิดว่าผมชอบนะ”
“คุณนอนหลับสลาย แต่ฉันนอนลำบากน่าดู” รุ้งกมลประท้วงสามีแล้วก็สะดุ้งเมื่ออกอิ่มถูกคลึงเคล้น แม้จะมีชุดนอนผ้ามันเป็นฉากกั้นอยู่ แต่เธอไม่ได้สวมข้างในนี่สิ
“ที่รัก นานแล้วนะ ที่คุณไม่สนใจผมเลย ผมไช่นักบวชนะ ถ้าคุณไม่สนใจผมนานๆ แบบนี้ผมจะเสียคนนะ แล้วจะโทษผมไม่ได้นะทีนี้” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกภรรยา
ภรรยาเหวอ นึกตำหนิตัวเองสารพัด เห็นเขาไม่สนใจอยากร่วมรักก็ไม่คิดอะไรเพราะว่าเธอก็มัวแต่เลี้ยงลูกอยู่ พอวันนี้เขาพูดออกมาก็ได้สติ เธอเป็นคนตามหึงหวง พอได้กลับคืนมาแล้วก็ปล่อยทิ้งละเลยหน้าที่ ร่างอรชรพลิกตัวกลับไปมองหน้าสามี ตอนนี้เขานอนลืมตามองเธออยู่ ดวงตาวาววับ ซุกซนเหลือเกิน สายตาอ้อนวอน เรียกร้อง
“ย้ายไปห้องเล็กกันสักครู่ดีไหมคะ” เธอคว้ามือใหญ่ลงจากเตียง จูงสามีที่สวมกางเกงชั้นในแบบเต็มตัวออกจากห้องนอนใหญ่ไปสู่ห้องนอนเล็กที่อยู่ข้างห้องนี้
ฟรานเซเซียสมองภรรยาที่สวมชุดนอนผ้าลื่นสายเดี่ยวอวดเนินอก ความสั้นก็เผยให้เห็นเรียวขาต้งแต่แก้มก้นลงมา เธอสวมชุดแบบนี้นอนทุกคืนแต่ไม่สนใจเขาเลย ใครหน้าไหนมันจะทำใจได้กับภาพที่เห็น ยิ่งตอนนี้เขาแทบอยากกลั้นใจ อารมณ์และความต้องการทางร่างกายมันเรียกร้องจนแทบห้ามใจไม่ไหว พอถึงเตียงเธอก็ผลักอกเขาลงไปนอน
รุ้งกมลยืนจ้องตาคมอยู่ข้างเตียง สองมือก็ค่อยๆ ถอดชุดนอนออกด้วยความเชื่องช้า กว่ามันจะพ้นออกจากศีรษะสามีก็อ้าปากค้างมองสำรวจเรือนร่างอรชร โดยเฉพาะอกอวบที่กำลังชูชัน เธอเดินไปหาเขาช้าๆ ค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างเขา ใช้น้ิวเหน็บปอยผมไว้ที่หลังใบหูแล้วก้มลงไปจูบปากหนา
ชายหนุ่มรั้งร่างอรชรลงไปนอนแทนที่ “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมดีกว่านะ เพราะผมรอคอยเวลานี้มานาน” เขาขยับตัวลงไปที่ปลายเท้าของภรรยา ไล่จุมพิตจากปลายเท้าสะอาดอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีซอกไหนหลืบไหนหลุดพ้นปากหนาไปได้ แล้วย่ิงได้ใจเมื่อรุ้งกมลบิดร่างเพราะสยิว สองมือของเธอไล้อยู่ใต้อกอิ่มของตัวเอง แล้วเขาก็ไล่ไปหาปากอิ่ม จูบเรียกร้องเร่งเร้าเอาแต่ใจจนเธอแทบจะขาดใจตายให้ได้ ภายใต้ความอ่อนโยนที่เขาบำเรอให้มันมีความร้อนแรงซ่อนอยู่ ร่างจุดที่เขาสัมผัสสร้างความรัญจวนจนแทบทนไม่ได้ สองมือก็เลยสัมผัสร่างกำยำบ้าง
ร่างกายแข็งแรงเกร็งเครียด อัดแน่นไปด้วยห้วงอารมณ์ดำกฤษณ์ เขาทนรอเวลาไปมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วจึงเคลื่อนกายหาแอ่งร้อน แล้วเร่งเร้าจังหวะเข้าหา ความเครียดได้ปลดปล่อยออกไป เสียงครางกระเส่าจากปากอิ่มครวญครางออกมาให้ได้ยินสม่ำเสมอ สองมือวางอยู่เหนือบ่าใหญ่ พอความเสียวซ่านซึมซาบก็กดกรีดเล็บลงไปแรงๆ รู้สึกราวถูกโยนลงมาจากฟากฟ้าสู่เบาะนุ่มแสนละมุน ใบหน้าเข้มยังคงซุกซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นเพราะถูกสูบเร่ียวแรงไปจนหมด ขณะที่รุ้งกมลยังหลับตาพร้ิมเพราะยังรู้สึกซ่านไปทั้วทุกอณูของร่างกาย ความสุขสมหลังจากที่ห่างเหินมานานมันปลุกให้ความต้องการเกิดขึ้นมาอีก ต่อจากนี้เธอจะไม่ทิ้งให้สามีต้องเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวกายอีกแล้ว
“ขอบคุณนะที่รัก ผมรักคุณที่สุด” ฟรานเซเซียสกระซิบบอกอยู่ที่ซอกคอหอมๆ ก่อนขยับตัวหงายหน้านอนข้างภรรยาที่ยังคงหลับตาพร้ิมอยู่ มือใหญ่ลูบไล้ไปที่ต้นสะโพก ผิวเนื้อละเอียดละมุนมือ
ปากอิ่มพึมพำถามสามี “มีความสุขหรือเปล่าคะ”
“ที่สุดเลย” เขาบอกแล้วยื่นหน้าไปจุมพิตปากอิ่มแรงๆ
“ขอโทษนะคะที่ฉันละเลยคุณมาตลอด” เธอลืมตามองหน้าสามี ยืนมือไปลูบไล้สันกรามของเขา
“ผมก็ยอมได้แค่นั้นล่ะ วันนี้ถึงได้ไม่ยอมแล้วไง ไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้าคุณยังนิ่งเฉยบ้านคงแตกแน่วันนี้” เขาพูดตามตรง พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ก็ห้ามไม่ได้จริงๆ ในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
รุ้งกมลหัวเราะ “บ้านคงไม่มีวันแตกหรอกค่ะ เพราะฉันรู้ตัวก่อนเสมอ ต่อจากนี้ไปจะป้อนสวาทให้จนต้องร้องอ้อนวอนให้หยุดเลย”
“คุณช่างขู่อะไรที่น่ากลัวเหลือเกิน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะจริงอย่างปากว่าหรือเปล่านะที่รัก” ปากหนาแย้มยิ้มใส่ตาภรรยา จริตของเธอยังคงกระตุ้นความต้องการของเขาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่น
“ฉันไม่ชอบให้ใครท้า” เธอบอกแล้วยื่นหน้าไปจูบปากหนา แสดงให้เขาเห็นว่าเธอพูดจริงทำจริง
เพลงรักที่เร่าร้อนถูกบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้จังหวะมันร้อนแรงและเร่งเร้าจนเครื่องดนตรีแทบระเบิด ดูเหมือนนักดนตรีกำลังอวดลวดรายเอาชนะกันอยู่ ต่างคนไม่มีใครยอมแพ้ใครในความสามารถอันล้นเหลือ ไม่มีใครโกรธ ไม่มีใครอิจฉาในความเก่งกล้า มีแต่ชมเชยและเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ ทันทีที่หนังกลองแตก ร่างเปล่าเปลือยทั้งสองก็เทบสลบอยู่บนเตียงนุ่ม
ฝ่ายหญิงนอนซกซบอยู่กับอกกว้าง ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่เลย แต่ก็ฝืนขยับปากพูดออกมา
“คุณต้องสวมเสื้อผ้าให้ฉันแล้วอุ้มฉันกลับห้องแล้วล่ะค่ะที่รัก เดี๋ยวลูกจะร้อง”
“ผมทำอะไรแล้วรับผิดชอบเสมอน่า” ชายหนุ่มกล่าวติดตลก แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขยับลงจากเตียงไปสวมกางเกงใน ก้มหยิบชุดนอนตัวจิ๋วติดมือไปแต่งตัวให้ภรรยาที่ยังนอนหลับตาพร้ิมเพราะโดนเขาสูบเรี่ยวแรงมาจนหมด “เหนื่อยคนเดียวเลยผม ทั้งบำเรอสวาท ทั้งดูแลเทคแคร์”
เจ้าของร่างอรชรลืมตาขึ้นมองสามีขณะที่เขาช้อนตัวเธออุ้ม “พูดอย่างนั้นได้หรือคะ ฉันว่าฉันก็เก่งไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก เพราะเก่งเรื่องครูพักลักจำ ฉันไม่ได้นอนน่ิงเป็นขอนไม้สักหน่อย”
ฟรานเซเซียสหัวเราะขณะอุ้มภรรยากลับห้อง “ล้อเล่นจ๊ะที่รัก คุณน่ะยิ่งกว่าแม่เสือสาวเสียอีก ผมนี่หมดแรงไปเลย คืนนี้คงหลับไม่ลง คิดหาลีลาท่าทางมาปราบแม่เสือสาวดาวยั่ว”
เธอฟังเขาพูดแล้วก็หลับคาอ้อมอกของเขา คิดในใจว่า 'ฉันน่ะเป็นภรรยาที่ดูแลสามีและลูกไม่ตกหล่นยามอยู่บ้าน และก็เป็นอีตัวยามอยู่บนเตียงนุ่ม ยังไงคุณก็อยู่หมัดฉัน ฟรานเซียส'
ดวงตาคมทอดมองดูลูกชายในเปลก่อนหันมองนาฬิกาข้างฝาบอกเวลาตีห้ากับห้านาที สองเท้าก้าวขึ้นเตียง มองภรรยาที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างมีความสุข เท่านี้ล่ะที่เขาต้องการ ไม่ต้องการส่ิงอื่นใดนอกจากเธอและลูก
//////////////////////////////////////////////////////////
ต้นไม้ในสวนสูงใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตาตามกาลเวลาที่หมุนเวียนผ่านไป บ้านหลังใหญ่มีการตกแต่งใหม่ตามการเติบโตของลูกชายที่กำลังซน ฟรานเซเซียสสั่งให้สถาปนิกมาตกแต่งบ้านใหม่อีกหนึ่งห้องให้ลูกชายวิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัยจากเครื่องเรือนอันตรายด้วยเหลี่ยมหรือมุมคมๆ เขากวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความพึงพอใจก่อนหันมามองภรรยาที่ยื่นอยู่ข้างกาย
“คุณชอบไหมที่รัก”
“ชอบค่ะฟรานเซียส หายห่วงฟรานริเซียสไปได้หน่อย เดี๋ยวฉันออกไปรับลูกที่โรงเรียนก่อนดีกว่า” เธอบอกสามีด้วยความเร่งรีบเพราะจวนได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว ตอนนี้เธอว่างจากการงานทุกอย่างเพื่อดูแลลูกและสามีเพียงอย่างเดียว บางวันก็ไปช่วยงานเขาที่โรงแรมหรือเข้าไปดูสำนักพิมพ์บ้าง ยังไงเธอก็ยังอยากทำงาน
“วันนี้ผมไปรับลูกด้วยนะ แล้วเราเลยไปหาคุณพ่อที่บ้านสวนด้วยดีไหม ท่านคงคิดถึงหลานชายคนเดียวใจจะขาดแล้ว นี่คุณแม่ก็บอกว่าจะมากรุงเทพ คงกำลังหาตั๋วให้ที่เร็วที่สุด”ฟรานเซเซียสเล่าให้ภรรยาฟัง
“เอาไว้เราหาเวลาไปหาท่านที่โมนาโกบ้างนะคะ ฉันกำลังทำตัวเป็นลูกสะใภ้ที่แย่ ตั้งแต่ไปแต่งงานก็ไม่เคยไปเยี่ยมท่านอีกเลย กลับให้ท่านมาเยี่ยมเราอย่างเดียว ทั้งที่อายุของท่านก็มากแล้ว”
“ท่านเข้าใจว่าคุณไม่มีเวลา แค่เลี้ยงลูกอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ไหนจะต้องมาคอยดูแลผมอีก” เขาพูดปลอบใจภรรยา รุ้งกมลทำงานเยอะจริงๆ ทั้งบ้านทั้งบริษัท แต่ก็ทำทุกอย่างได้ดีไม่ตกหล่น เพราะถ้าตกหล่นไม่ดูแลเขาขึ้นมาต้องโดนประท้วงอีกแน่ๆ เขาไม่ยอมหรอก...
ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นดูวุ่นวายไปสักหน่อย แต่ก็อบอุ่นเหลือเกิน ทั้งคู่เดินทางออกจากบ้านไปรับลูกชาย 'ฟรานริเซียส ปิเอโร่' วัยหกขวบที่โรงเรียนนานาชาติใกล้ๆ บ้าน แล้วเลยไปบ้านสวนไปหาคุณตาและป้าจอม คุณตาใจดีกับหลานชายหลานชายเหลือเกินจนฟรานริเซียสซนจัด จ้องแต่จะออกไปเล่นในสวน ฟรานเซเซียสมองลูกชายที่มีหน้าตาคล้ายกับภรรยา ทว่าคมเข้มคล้ายกับเขาด้วยความอิ่มเอิมใจ
///////////////////////////////////////////////////////////
วันนี้บ้านหลังใหญ่เงียบกว่าปกติ เพราะว่คุณย่าและคุณตาพาหลานชายไปเที่ยวทะเล แล้วก็ต่อด้วยสวนสนุก ฟรานเซเซียสนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับรถอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางจิบเบียร์เย็นเฉียบชื่นใจ อยู่ดีๆ ก็โดนจู่โจมจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
รุ้งกมลใช้ผ้าปิดตาสามีแล้วจูงเขาเดินออกไปที่สวนหลังบ้านที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไปนัก
“เดินเร็วๆ หน่อยสิคะ ชักช้าอยู่ได้” เธอเร่งสามี
“ก็ผมถูกปิดตาอยู่นี่จะเดินเร็วได้ยังไง แล้วนี่คุณจะพาผมไปไหนจ๊ะที่รัก ผมว่าเราเอาเวลาเงียบๆ แบบนี้ไปเล่นจ้ำจี้กันดีกว่าไหม” ฟรานเซเซียสแกล้งถามภรรยา
“ไว้ทีหลังค่ะเรื่องนั้นน่ะ” เธอพาเขาไปหยุดยืนกลางสวนร่มรื่น
ท่ามกลางความเย็นสบายจากลมเย็นๆ ในสวนแห่งนี้มีผู้หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดบิกินี่สามคน ศีรษะสวมไว้ด้วยมงกุฏดอกไม้ ทันทีี่เสียงเพลงจังหวะเต้นรำดังขึ้น รุ้งกมลก็เขย่งเท้ายื่นมือไปแก้ปมของผ้าผูกตา ปล่อยให้สามีเป็นอิสระ
ฟรานเซเซียสอ้าปากค้างเมื่อเห็นสาวชาวเกะกำลังเต้นยักย้ายส่ายสะโพกดึงๆ ไปตามจังหวะเพลง แม่สามสาวก็พร้อมใจกันเข้าไปนั่วเนียเขา ทั้งจับ ทั้งลูบไล้จนคนถูกสัมผัสต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขาไม่อยากให้เพลงจบเลยจริงๆ มองไปทางไหนก็สวยงามไปหมดจนไม่ทันมองว่าภรรยาหายไปไหนแล้ว พอเพลงจบลงสาวๆ เหล่านั้นก็ว่ิงหนีหายไป ทิ้งชายหนุ่มให้เก้อ
คราวนี้เพลงอินเดียจังหวะเร้าใจก็ดังขึ้น รุ้งกมลปรากฏตัวด้วยชุดส่าหรีสีแดงเพลิง ชุดนี้คล้ายกับชุดราตรีทว่ามีสองชิ้นคือท่อนบนที่ปิดหน้าอกอิ่มไว้ แล้วก็ท่อนล่างที่เป็นกระโปรงยาวเข้ารูปเผยให้เห็นสรีระชัดเจน หญิงสาวเดินเข้ามาจิกตาใส่สามี พอถึงตัวเขาก็เร่ิมเต้นยั่วยวน กรีดนิ้วลงบนอกกว้าง ยักย้ายส่ายสะโพก รูปร่างอรชรนับวันก็ย่ิงเร้าใจ
ฟรานเซเซียสตะลึงตะลานแทบขาดใจ อยากอุ้มนางยั่วกลับเข้าบ้านไป แต่ก็อยากดูเธอแสดงต่อให้จบ สะโพกกลมกลึ่งยักย้ายกระแทกกับสะโพกของเขาแล้วก็โอบรอบคอแข็งแรงเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าอกสีกับอกกว้าง ชายหนุ่มถอนหายใจแรง
“โอ้แม่เจ้า”
สองมือของเธอไล่ลงไปหาแก้มก้นของแล้วบีบแรงๆ ฟรานเซเซียสแทบผวา หญิงสาวเห็นสามีแทบคลั่งก็ดีใจเร่ิมเต้นยั่วต่อ คราวนี้ขยับเข้าชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
“พอเถอะรุ้งกมล ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วเนี่ย” ชายหนุ่มบอกเสียงสะท้านสั่นเครือ
หญิงสาวไม่พูดแต่วิ่งเป็นจังหวะเข้าไปบ้านพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาอ่อยสามี ฟรานเซเซียสจ้ำเดินเข้าบ้านตามไปติดๆ ตาก็มองแม่สาวอินเดียไม่วางตาราวโดนเสน่ห์ เธอดุ๊กดิกขึ้นบันไดไปสู่ห้องนอน ชายหนุ่มก็กระโจนตามเข้าไปทันที พอประตูห้องปิดสนิท ไฟแห่งความปารถนาก็ลุกโชน
ทั้งสองตรงเข้าหากันโลมลันพันตููราวกับว่าอดอยากมานาน ทั้งที่ก็ไม่เคยปล่อยให้กันเหงากายนานไปกว่าสามคืน เพลงรักถูกบรรเลงพร้อมเพรียงโดยคนสองคนที่เข้าอกเข้าใจในความต้องการของกันและกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่ปรนเปรอความสุขแต่งแต้มสีสันใหม่ๆ ฟรานเซเซียสพร่ำพรอดมอบความสุขให้รุ้งกมล พาเธอล่องลอยไปบนท้องฟ้า พบกับลานดอกไม้สวยงามนานาพันธ์ุ แล้วก็ตะครองร่างอิ่มลงวางบนเตียงอย่างทะนุถนอม หญิงสาวหลับตาพร้ิมอยู่บนเตียงโดยมีเขานอนอยู่เคียงข้าง
คำว่ารักไม่เคยจางหายไปจากใจของคนทั้งคู่ แม้จะร่วมชีวิตกันมานานร่วมหกปี ความรักมันยังท่วมท้น นับวันย่ิงทวีคูณ ฟรานเซเซียสยกความดีให้กับภรรยาที่ทำตัวมีเสน่เย้ายวนเสมอ ไม่เคยปล่อยปละละเลยตัวเองเรื่องความสวยงาม เขาและลูกเมื่ออยู่บ้านก็จะได้รับการดูแลจากเธอดุจราชาและเจ้าชาย ชายหนุ่มขอบคุณรุ้งกมลด้วยการทำตัวไม่เจ้าชู้ ไม่ขี้บ่น ช่วยดูแลลูก รับผิดชอบครอบครัวทั้งบ้านนี้และบ้านพ่อตา ชีวิตเขาต้องการเพียงเท่านี้ล่ะ พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรเพ่ิมเติมกว่านี้อีก
/////////////////////////////////////////////
จบ
เนื่องจากว่าโพสที่นี่แบบใหม่ไม่ค่อยเป็น อีกทั้งลืมรหัส กร๊ากกก เอาไปจบเลยก็แล้วกันนะคะ
พรกมลดลยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2554, 08:30:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2554, 08:30:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 3348
<< ตอน ๑๓และ๑๔ |
pattisa 14 พ.ค. 2554, 10:26:35 น.
น่าจะมีเนื้อหาของการินกับแพตเพิ่มหน่อยนึงนะคะ :) แล้วพี่ตองจะมีคู่ไหมค่ะ? บอกตรงๆว่าถูกใจพี่ตองมากกกกกกก 5555 ชอบผู้หญิงไสตล์นี้ มั่นใจตัวเองดี
น่าจะมีเนื้อหาของการินกับแพตเพิ่มหน่อยนึงนะคะ :) แล้วพี่ตองจะมีคู่ไหมค่ะ? บอกตรงๆว่าถูกใจพี่ตองมากกกกกกก 5555 ชอบผู้หญิงไสตล์นี้ มั่นใจตัวเองดี
พรรณราย 16 พ.ค. 2554, 22:45:46 น.
สนุกค่ะ
สนุกค่ะ