เพลงซ่อนรัก Romance melody
เจอโรม นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ผู้ครองตำแหน่งแชมป์หลายสมัย

อุบัติเหตุเมื่อสามเดือนก่อนทำให้เขาโคม่า อยู่โรงพยาบาล

เมื่อฟื้นขึ้นมา เจอโรมจำอะไรไม่ได้เลย

สิ่งที่คนรอบข้างบอกก็คือ เขาเลว เจ้าชู้ และสมควรตาย แม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ยังไม่รัก

ความทรงจำของเจอโรมเปรียบเสมือนกระดาษขาว เขาจำอะไรไมได้เลย

จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง เคยชอบอะไร เคยทำอะไร

ผู้หญิงคนเดียวที่รู้สีกคุ้นเคย คือ ชาลิสา

แต่เธอเกลียดเขา จนแช่งให้เขาตาย

เพราะเขาเคยลวนลามหญิงสาวบนเครื่องบินและฟาดหน้าเธอด้วยเงินปิดปากเพื่อให้ทุกอย่างเงียบ

เจอโรมตามติดหญิงสาว เพื่อหวังว่า ไวโอลินอันไพเราะของเธอจะทำให้เขาฟื้นจากความจำเสื่อม

แต่ยิ่งใกล้กัน ความจริงก็ยิ่งเปิดเผย..

ว่า เบื้องหลังอุบัติเหตุนั้นมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่..


Tags: เพลงโอเปร่า แบดบอย นักดนตรีสุดเซอร์และฆาตกรรม

ตอน: บทนำ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ในเว็บเลิฟทุกคน วันนี้ได้ฤกษ์เอานิยายเรื่องใหม่มาลงให้อ่านนะคะ เป็นนิยายแนวโรมานซ์ท่องเที่ยวนะคะ มีกำหนดวางแผง เดือน ตุลาคม กับสนพ ที่รักนะคะ

จะขอลงให้อ่านเป็นตัวอย่างประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ค่ะ นะคะ ขอบคุณมากค่ะ

บทนำ



No matter how hard the past was you can always begin again

Picture quote.com



หนังสือตอบรับเข้าเรียนดนตรีของชาลิสาถูกส่งมาทางอีเมลก่อนที่ฉบับจริงจะถูกส่งตามมาหลังจากนั้นสองอาทิตย์ ดังนั้นหญิงสาวจึงมีเวลาเตรียมตัวเพื่อจะเดินทางไปยังประเทศออสเตรียแค่ไม่ถึงสามเดือน ไหนจะขอวีซ่านักเรียน เตรียมของที่จำเป็นสำหรับการพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองปี เสื้อผ้าถูกจัดลงในกระเป๋าอย่างเร่งรีบเมื่อวีซ่าได้รับการอนุมัติ เคราะห์ดีที่หล่อนมีตัวช่วยอย่างป้ามาเรียทำให้หญิงสาวไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องที่พัก



ชาลิสาเป็นลูกครึ่ง บิดาเป็นชาวออสเตรียซึ่งเคยมาทำงานเป็นเชฟในเมืองไทย มาพบรักกับมารดาที่เป็นคนไทย แต่สุดท้ายความรักของทั้งคู่ไม่ได้จบลงด้วยความสมหวัง บิดาเดินทางกลับประเทศทันทีที่รู้ว่า มารดาตั้งครรภ์ เขาส่งเงินมามาเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่พอสำหรับค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นมารดาก็ยังตัดสินใจที่จะเก็บเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้และเลี้ยงดูบุตรสาวตามลำพัง



ท่านไม่เคยไม่เคยหวังพึ่งบิดาเพราะรู้ดีว่า ทุกอย่างเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีความรักความผูกพัน ผิดกับป้ามาเรีย พี่สาวของพ่อ ซึ่งทำหน้าที่อย่างเต็มใจมากกว่า ท่านบินมาเมืองไทยหลายครั้งเพื่อเยี่ยมหลานสาว ส่งการ์ดมาอวยพรทุกปี แถมยังเอื้อเฟื้อที่พักให้สมัยที่ชาลิสาไปซัมเมอร์ และทันทีที่ทราบว่า หลานสาวอยากมาเรียนต่อที่ออสเตรียก็เสนอที่พักให้ฟรี ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงไปได้มาก



หญิงสาวส่งจดหมายสมัครพร้อมกับบันทึกการแสดงสามเพลงมาให้กรรมการ พร้อมหนังสือรับรองจากอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยว่า หล่อนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรี ก่อนจะได้รับการตอบรับในที่สุด หล่อนเล่นไวโอลินได้ดีมาก เคยได้แชมป์ระดับโลกสมัยเป็นเยาวชน อีกทั้งยังมีภาษีดีกว่าคนอื่นตรงที่ใช้ภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันได้อย่างดีเยี่ยม แม้มารดาจะมีฐานะไม่ร่ำรวยแต่ก็กัดฟันส่งเสียลูกสาวให้เรียนในโรงเรียนดีๆ ท่านพร่ำสอนเสมอว่า ภาษาคือ ใบเบิกทางอย่างหนึ่งของชีวิต



ชาลิสาเรียนในโรงเรียนสองภาษามาตลอด ยามว่างก็เรียนพิเศษภาษาเยอรมันควบคู่ไปด้วย หล่อนสามารถอ่านและเขียนได้ทั้งสามภาษา ช่วงปิดเทอมก็มักจะไปอยู่กับป้าในออสเตรีย ซึ่งมักจะใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลักทำให้ความสามารถพัฒนาไปมาก



ชาลิสากำลังอยู่ในพื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งต้องการเดินทางไปต่างประเทศ



“ไปถึงแล้วอย่าลืมส่งข้อความมานะ ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

“รู้แล้วน่า แกสั่งเหมือนฉันเป็นเด็กๆ เลยนะ”



ชาลิสาโอบบ่าเพื่อนรักซึ่งมาส่งที่สนามบิน สองสาวเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแล้ว แม้จะมาจากครอบครัวที่มีพื้นฐานต่างกัน ขณะที่มณิศรา หรือ มะนาว เป็นสาวผิวเข้ม ครอบครัวมีฐานะปานกลาง ภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนชาลิสาหรือชาร์ลอตนั้นเป็นลูกครึ่ง ทั้งคู่ถนัดเครื่องดนตรีที่ต่างกัน มณิศราชำนาญเครื่องดนตรีไทยทุกประเภท แต่ชาลิสามักจะชอบเครื่องสาย แต่ที่ถนัดที่สุดคือ ไวโอลิน



เส้นทางของทั้งสองมาบรรจบกันเพราะว่า เป็นรูมเมท ขณะที่มณิศราร่ำๆ อยากจะขอย้ายห้องตั้งแต่วันแรกเพราะท่าทางหยิ่งๆ เหมือนคุณหนูที่คล้ายจะหยิบหย่งของลูกครึ่งสาว แต่หลังจากได้รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริง ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนซี้ตัวติดกันตั้งแต่ปีหนึ่งของคณะดุริยางค์ศิลป์ เมื่อเรียนจบชาลิสาอยากไปเรียนต่อ ขณะที่มณิศราได้งานเป็นครูสอนดนตรีในโรงเรียนแห่งหนึ่ง

“อ้าวก็ฉันเป็นห่วงนี่นา แกไปอยู่ตั้งไกลแล้วใครจะดูแล”

“ฉันดูแลตัวเองได้น่า แกนั่นล่ะมะนาวอยู่ทางนี้ อย่าลืมหาอะไรกินบ้าง ตกเย็นก็แวะซื้อของสดมาตุนไว้ในตู้เย็นบ้างนะ ไม่ใช่เอะอะก็กินแต่มาม่า มันไม่มีประโยชน์รู้ไหม”

“ฉันคงคิดถึงแกมากชาร์ลอต”

“ฉันก็เหมือนกัน”



“ป้ามาเรียจะไปรอรับแกที่สนามบินแน่ใช่ไหม”



“เห็นว่า อย่างนั้น แต่ถึงป้าไม่มาฉันก็ว่า ฉันนั่งรถไฟเข้าเมืองเองได้ ขนส่งของที่ออสเตรียเจริญมาก ฉันลองเช็คข้อมูลดูมาแล้ว แกไม่ต้องกลัวฉันหลงหรอก”

ชาลิสาไม่ได้ไปออสเตรียมาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่มัธยมปลายเพราะการเรียนที่หนัก ครั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีกิจกรรมให้ทำตลอด



“ใครว่า กลัวหลง ฉันกลัวแกจะเจอผู้ชายชีกอต่างหาก ยิ่งสวยหลุดโลกอยู่ เกิดโดนฉุดไปละแย่ ผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้นคงช็อกตายเสียก่อน” มณิศราแซว



“นี่แกหากว่า ฉันหน้าตาน่าเกลียดงั้นหรือ”



“ล้อเล่นน่า ดาวคณะอย่างแกจะน่าเกลียดได้ยังไง”

ชาลิสาชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือ ใกล้เวลามากแล้ว หล่อนยังต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและต้องเดินไปขึ้นเครื่อง

“ฉันต้องไปแล้ว สัญญาว่า จะรีบติดต่อมาทันทีที่เครื่องแลนดิ้ง แกเปิดโทรศัพท์ไว้ด้วยนะ”

ชาลิสาวกอดเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกเศร้าที่ต้องห่างกัน ตลอดสี่ปีที่เรียนมาด้วยกัน สองสาวแทบไม่เคยแยกจากกัน หญิงสาวกลั้นน้ำตาที่จวนเจียนจะไหลออกมา เอื้อมมือไปแตะบ่ามณิศราเป็นครั้งสุดท้ายและพยักหน้า



ร่างโปร่งบางราวกับนางแบบลากกระเป๋าเดินทางสำหรับถือขึ้นเครื่องไปตามบันไดเลื่อน นักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่ เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางออกนอกประเทศ บันไดเลื่อนถึงบนสุดเข้าสู่บริเวณที่ต้องนำสัมภาระไปสแกนเพื่อหาอาวุธ



หญิงสาวใช้เวลาในส่วนนี้นานพอควรในการปลดสัมภาระทั้งหมดออกจากตัวก่อนจะนำกระเป๋า และอุปกรณ์สื่อสาร และคอมพิวเตอร์แยกใส่ตะกร้า เดินผ่านเครื่องสแกน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็นำสัมภาระทั้งหมดเก็บกลับเข้าที่ ทางเดินซึ่งเป็นบันไดเลื่อนวนลงไปด้านล่างเพื่อไปยังด่านตรวจคนออกนอกเมืองและประทับตราหนังสือเดินทาง โชคดีที่หล่อนถือพาสปอร์ตเมืองไทย ทำให้สามารถใช้ช่องอัตโนมัติเพื่อประหยัดเวลาได้



ชาลิสามองเงาสะท้อนในกระจก หล่อนไม่เหมือนคนไทยเท่าใดนัก เพราะสายเลือดครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัว หล่อนสูงถึงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร หุ่นเพรียวบางราวกับนางแบบ ผมยาวทิ้งตัวตรงกลางแผ่นหลัง เสื้อยืดกับกางเกงยีนทำให้ดูบอบบางยิ่งกว่าเดิม ตาสีควันบุหรี่ทำให้หญิงสาวดูแปลกแยก ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนทุกคนก็พากันมาจ้องสีตาของหล่อน บ้างก็ว่า มันดูเศร้า บ้างก็ว่าดูลึกลับ มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้สึกเกลียดสีตาของตน เพราะมันคือ การตอกย้ำว่า หล่อนคือ ลูกครึ่ง



ลูกที่พ่อไม่รัก แต่ต้องส่งเสียบ้างพอเป็นธรรมเนียม เพื่อให้รู้สึกว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ชาลิสาอยากจะถามบิดาก็คือ หากไม่รักแล้วเพราะอะไรถึงไม่ป้องกัน หล่อนกลายเป็นเด็กที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด บิดาปฏิเสธที่จะแต่งงานทำให้มารดาต้องรับสถานะแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้มารดาจะย้ำนักย้ำหนาว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่ความจริงทุกอย่างเด่นชัด หญิงสาวไม่เคยได้มีโอกาสพบคนที่เรียกว่า พ่อเลยสักครั้ง เขาไม่เคยมาเมืองไทยนับตั้งแต่เด็กหญิงคลอด ชาลิสาเดาว่า เขาคงมีครอบครัวอยู่ที่ออสเตรียและลืมสองแม่ลูกที่เมืองไทยไปแล้ว รูปถ่ายที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขกบอกแค่ว่า หล่อนมีพ่อ



“พ่อเขางานยุ่ง ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็จะกลับมา”



ชาลิสารู้ดีว่า นั่นคือ นิทานหลอกเด็ก หล่อนเคยเชื่อ แต่ตอนนี้หญิงสาวก็โตพอที่จะไม่เชื่อคำโกหก พ่อซึ่งแค่พยายามทำหน้าที่แต่ไม่เคยรัก และนั่นเองคือ ปมในใจ หญิงสาวตั้งใจว่า จะไม่ใกล้ชิดกับผู้ชายที่มีนิสัยไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้อย่างเด็ดขาด



“คุณครับ ข้างหน้าเดินไปแล้ว”



“ขอโทษค่ะ”



หล่อนมัวแต่ใจลอยจนคนที่อยู่หน้าแถวเดินสแกนพาสปอร์ตไปแล้ว คนที่ต่อด้านหลังจึงกระตุ้นเตือน ชาลิสาตอบเสียงอ่อย แก้มสองข้างร้อนผ่าว



“เดินทางคนเดียวหรือครับ”



ชายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น น่าแปลกที่เขารู้ว่า หล่อนเป็นคนไทยเหมือนกัน หรือจะสังเกตจากหนังสือเดินทาง ความระวังตัวที่มีอยู่เป็นทุนเดิมทำให้รีบส่ายหน้า



“เปล่าค่ะ มากับเพื่อนแต่อยู่คนละแถว”

หล่อนเดินจ้ำไปข้างหน้า รีบสแกนพาสปอร์ตกับเครื่องอัตโนมัติโดยเร็วและไม่ยอมหันมารับไมตรีจากรอยยิ้มหวานๆ ที่ชายหนุ่มส่งมาอีก เมื่อผ่านเข้าไปได้ก็รีบเดินเข้าไปชั้นในทันที เวลากระชั้นมากแล้ว เหลืออีกเพียงไม่นานก็จะถึงเวลาขึ้นเครื่อง ชาลิสาจึงลากกระเป๋าเดินไปตามทาง โดยไม่ทันสังเกตว่า มีสายตาอีกคู่มองตามจากด้านหลัง...





“รีบเดินหน่อยได้ไหมเจอโรม นายกำลังทำให้พวกเราตกเครื่องนะ”

ชายหนุ่มไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่ก็ยังเดินทอดน่องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีก่อนเครื่องบินจะขึ้น



“ทำไมต้องรีบ เหลือเวลาอีกเยอะหรือนายคิดว่า ไอ้พนักงานต้อนรับหน้าโง่ จะไม่ยอมรอพวกเรางั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะฟ้องสายการบินเอาให้มันหมดตัวไปเลย”



“ฟ้อง...ฮึ...นายจะฟ้องเรื่องอะไร ก็ระเบียบเขาเขียนอยู่ชัดๆ ว่า ต้องมาถึงก่อนเวลา แต่นายเล่นโอ้เอ้แบบนี้”



“นายว่า ใครโอ้เอ้” เจอโรมตะคอกกลับ ด้วยท่าทางหาเรื่องส่วนชายอีกคนก็ไม่ยอมน้อยหน้า โต้กลับเช่นเดียวกัน



“ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่นาย มัวแต่นั่งจิบชา ไร้สาระจริงๆ”



เจอโรมจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่ได้กลัวหรือรู้สึกผิดกับคำตำหนิของผู้จัดการส่วนตัวเลยสักนิด ฐานะของนักแข่งรถฟอร์มูลล่าวันพ่วงด้วยศักดิ์ศรีแชมป์เจ็ดสมัย ทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ หากไม่พอใจแค่กระดิกนิ้วก็สามารถหาผู้จัดการคนใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง



“ปากดีนัก หรือว่า อยากถูกไล่ออก”



“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่า มีคนทำงานให้ได้ดีกว่าฉันก็เชิญ ฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว อยากจะตกค้างอยู่สนามบินสักสิบชั่วโมง ก็เชิญแต่ฉันไม่เอาด้วยล่ะ ไวโอเล็ตรอให้ฉันกลับไปจะแย่อยู่แล้ว”



ไวโอเล็ตคือ ภรรยาสาวซึ่งกำลังท้องแก่ของผู้จัดการหนุ่ม เจอโรมบินมาถ่ายโฆษณาให้กับสินค้าที่เขารับเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เมืองไทย ขากลับชายหนุ่มอิดออดไม่ยอมออกจากโรงแรมเพราอยากนั่งจิบชาร้อนให้หมดก่อน จนผู้จัดการทนไม่ไหวต้องมาเร่ง การจราจรในเมืองไทยติดขัดทั้งสองจึงมาถึงสนามบินในเวลาฉิวเฉียดสุดๆ



“ไม่ต้องขู่ กลับไปฉันไล่นายออกแน่ เบื่อที่จะฟังคนบ่นไร้สาระ”

“ตามใจ ไหนๆ ก็จะไล่ออกแล้ว งั้นทางใครทางมันตอนนี้เลยก็แล้วกัน”



ผู้จัดการหนุ่มลากกระเป๋าเดินไปตามทางเดินเลื่อนโดยไม่สนใจอีก เจอโรมเดินกระแทกส้นตามมาอย่างเสียไม่ได้ ตลอดทางได้ยินเสียงประกาศหาผู้โดยสารสองคนสุดท้ายของสายการบินแว่วมาเป็นระยะๆ พวกเขาเข้ามาถึงประตูขึ้นเครื่องอย่างฉิวเฉียดสุดๆ พนักงานต้อนรับถึงกับพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก หลายคนมองมาอย่างตำหนิ



หล่อนรีบนำพาสปอร์ตของสองหนุ่มไปสแกนและรีบนำทั้งคู่ไปขึ้นเครื่องตามทางเดินเชื่อม ประตูเครื่องปิดลงหลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน เจอโรมเดินหน้าบูดไปนั่งเก้าอี้ เขาจองที่นั่งในชั้นบิซิเนสคลาส เก้าอี้จึงมีขนาดใหญ่กว่า นั่งสบายกว่า มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครับ ชายหนุ่มหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบเปิดเสียงดังสุดเพื่อไล่ความหงุดหงิดและไม่สนใจผู้จัดการหนุ่มที่นั่งอยู่ติดกันอีก



ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรกรีกบึ้งตึง แต่ถึงอย่างนั้นเสน่ห์ของนักแข่งรถหนุ่มก็ไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด สังเกตจากสายตาของพนักงานต้อนรับสาวที่โปรยยิ้มแล้วยิ้มอีก ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มทำให้เจอโรมดูหล่อเหลา เขาเหมาะจะเป็นนายแบบมากกว่านักแข่งรถ สื่อหลายสำนักขนานนามว่า เขาคือ นักแข่งหน้าหยก เจอโรมชอบฉายานี้มากเพราะคิดว่า เข้ากับตนเองที่สุด ส่วนฉายาบ่งถึงนิสัยร้ายกาจและเห็นแก่ตัว เขาเลือกที่จะไม่สนใจ คนอื่นคงอิจฉาถึงได้ตั้งสมญานามอันร้ายกาจให้ ตราบใดที่เขาทำรายได้ปีละร้อยล้านก็ไม่มีใครว่าอะไรได้



“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะคุณเจอโรม”



เจอโรมตวัดสายตาขึ้น พนักงานสาวประจำของสายการบินส่งยิ้มหวานให้ ชุดรัดรูปสีแดงสดทำให้หล่อนดูดีอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะบั้นท้ายดินระเบิดที่เหมือนร่อนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มคลี่ยิ้มโปรยเสน่ห์ ความหงุดหงิดจากอดีตผู้จัดการหายวับไปกับตาเมื่อได้สบตากับสาวสวย บางทีเขาอาจจะมีช่วงเวลาดีๆ บนเครื่องบินก็เป็นได้หากเจ้าหล่อนให้ความร่วมมือ



“ผมขอเตกีลาร์สักแก้วดีกว่าครับ จะได้หลับสบาย”



“ด้วยความยินดีค่ะ ทางสายการบินของเรายินดีต้อนรับนักแข่งรถอันดับหนึ่ง ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขนะคะ”



“ครับ ผมมั่นใจว่า เที่ยวบินนี้คงทำให้ผมมีความสุขแน่ๆ เพราะมีแอร์โฮสเตสสวยๆ อย่างคุณเอ่อ...” เขาปรายตามไปมองชื่อที่ติดอยู่บนอกเสื้อข้างซ้าย ป้ายชื่อเด่นหราปรากฏอยู่แต่เจอโรมอยากให้เจ้าหล่อนเป็นผู้บอกชื่อตนเองมากกว่า นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกาย เมื่อหล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบปนเซ็กซี่ว่า



“ฉันชื่อ แอนนาค่ะ เรียกสั้นๆ ว่า แอนก็ได้ เราสองคนคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน”



การขยับตัวไปมาท่ามกลางความมืดทำให้ชาลิสาลืมตาขึ้น หล่อนสังเกตตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงก่อนแล้วว่า ผู้หญิงที่นั่งข้าง มีอาการผิดปกติ จึงแอบปรายตาไปดู เหงื่อที่ผุดออกมาตรงข้างขมับบ่งถึงว่า เจ้าตัวคงกำลังทรมานกับอะไรบางอย่าง ด้วยวิสัยเป็นคนมีน้ำใจจึงถามออกไป



“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ให้ดิฉันจะเรียกพนักงานดีไหมคะ”

ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ตั้งครรภ์ ชาลิสาเดาว่า อายุครรภ์น่าจะมากแล้วเพราะหน้าท้องที่ยื่นออกมาค่อนข้างมาก แถมยังเดินทางคนเดียว หล่อนแอบเห็นตอนพนักงานต้อนรับขอตรวจเอกสารซึ่งเป็นใบรับรองแพทย์สำหรับขึ้นเครื่องเพราะว่า ดูขัดกับอายุครรภ์ที่เขียนเอาไว้ แต่สุดท้ายหลังจากสอบถามกับแพทย์ที่ดูแลครรภ์ พนักงานก็ปล่อยให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องในที่สุด

“ฉันปวดท้องค่ะ”



“ปวดท้อง”



ชาลิสาอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“ปวดท้อง แบบไหนหรือคะ หวังว่า คงไม่ใช่ปวดท้องคลอดนะคะ”

“ฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ นี่ท้องแรก ฉันยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน”

“นี่ถึงกำหนดคลอดแล้วหรือคะ”



“ยังค่ะ เหลืออีกตั้งสองเดือน”



หญิงสาวหน้าซีดยิ่งกว่าเก่า ชาลิสาเอื้อมมือไปแตะแขนของอีกฝ่ายแล้วก็พบว่า เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ



“ฉันเรียกพนักงานต้อนรับให้นะคะ”

“อย่าเลยค่ะ ฉันเกรงใจ”



“ไม่ได้นะคะ เครื่องยังต้องบินอีกหลายชั่วโมง เรียกพวกเขามาเถอะค่ะ ถ้าโชคดี มีผู้โดยสารเป็นหมอจะได้ตรวจอาการคุณได้”



ชาลิสาเดินไปหาพนักงานต้อนรับคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบในส่วนที่นั่งของหล่อนและหญิงตั้งครรภ์ เพียงไม่นานความวุ่นวายเล็กๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อหัวหน้าพนักงานต้อนรับเข้ามาสอบถามอาการและนำไปรายงานให้กัปตันทราบ ยังดีที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่หลับไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดความโกลาหลขึ้นบนเครื่อง



กัปตันประกาศตามหาผู้โดยสารที่เป็นแพทย์เพื่อช่วยตรวจอาการ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น หล่อนเป็นอายุรแพทย์ซึ่งกำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศออสเตรีย พนักงานต้อนรับช่วยกันย้ายหญิงสาวไปด้านหน้าเนื่องจากต้องการพื้นที่สำหรับตรวจดูอาการ หญิงสาวไม่กล้าเดินตามไปดู เพราะเกรงว่า จะเกะกะถึงยังไงหล่อนก็ไม่มีความรู้พอที่จะช่วยอะไรคนป่วยได้ จึงได้แต่นั่งให้กำลังใจอยู่ตรงนี้ พนักงานคนหนึ่งรูดม่านที่กั้นแยกระหว่างด้านหน้าของเครื่องบิน เมื่อมองอะไรไม่เห็นหญิงสาวจึงได้แต่เอียงศีรษะพิงพนักแล้วก็รอ หล่อนคงยังหลับไม่ลงหากยังไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยหรือไม่...





“นายช่วยสลับที่กับผู้หญิงคนนี้หน่อยได้ไหมเจอโรม”



เจอโรมซึ่งถูกปลุกขึ้นมาหลังจากหลับไปได้เพียงแค่สองชั่วโมงหน้าตาบูดบึ้ง เขาเลิกคิ้วมองผู้จัดการด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ



“ทำไมฉันต้องย้ายด้วย”



เขากับผู้จัดการหนุ่มนั่งอยู่ชั้นบิซิเนสคลาส ซึ่งเป็นชั้นพิเศษ เก้าอี้ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อมีผู้โดยสารตั้งครรภ์เกิดเจ็บท้อง หลังจากตรวจดูพบว่า หล่อนท้องเสียและมีภาวะลำไส้อักเสบ แต่เนื่องจากต้องการตรวจดูการบีบรัดตัวของมดลูกเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ใช่การเจ็บครรภ์ แพทย์จึงแนะนำให้หาเก้าอี้ที่ปรับนอนได้สบาย พนักงานต้อนรับจึงพยายามขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสาร แต่เนื่องจากเที่ยวบินวันนี้เต็มมาก ชั้นประหยัดส่วนหน้าสุดซึ่งกว้างกว่าบริเวณอื่นมีผู้โดยสารพาเด็กเล็กเดินทางด้วยจึงเต็มทุกที่นั่ง ผู้จัดการของเจอโรมเห็นความวุ่นวายจึงเข้ามาถาม เขายินดีที่จะเสียสละที่ของตนให้แต่แพทย์ซึ่งมาดูอาการก็จำเป็นต้องได้ที่นั่งด้วย



ผู้โดยสารในชั้นบิซิเนสคลาสวันนี้ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ ล้วนแล้วแต่มีโรคประจำตัว ดังนั้นพอพนักงานต้อนรับสาวขอความช่วยเหลือทุกคนจึงพากันปฏิเสธ



“เห็นแก่มนุษยธรรมเถอะน่า นายไม่เห็นหรือว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังปวดท้อง เธอร้องไห้จนน่าสงสาร” ผู้จัดการหนุ่มกระซิบ เพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน



“นายอยากสงสารก็เชิญไปคนเดียวเถอะ ฉันจะพักผ่อน แล้วทีหน้าทีหลังไม่ต้องสะเออะมารบกวนฉันอีกนะ”



พูดจบเจอโรมก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าโดยไม่สนใจว่า จะมีสายตาอีกหลายคู่มองมา ผู้จัดการหนุ่มไม่ยอมแพ้ ดึงผ้าออก



“นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ คุณคนนี้เธอปวดท้องมากไม่เห็นหรือ”



“ปวดแล้วไง ฉันไม่ใช่สามีเธอนี่ อีกอย่างที่นั่งนี้ฉันก็ใช้เงินซื้อมา ทำไมต้องมาเสียสละให้คนอื่นที่ไม่รู้จักด้วย”



“นายทำตัวได้น่าเกลียดมากนะเจอโรม ไม่นึกเลยว่า นายจะแล้งน้ำใจขนาดนี้”

“เพิ่งรู้หรือ ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้ล่ะ ถ้าหากนายหรือคนอื่นๆ ไม่พอใจ ก็เชิญไปฟ้องได้ตามสบาย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า ฉันจะสู้ยิบตาเลยทีเดียว โทษฐานที่มารบกวนความเป็นส่วนตัวของฉัน”



“นายนี่มัน...ตามใจอยากนั่งใจดำอยู่ตรงนี้ก็เชิญ”

ผู้จัดการหนุ่มกัดฟันกรอด อยากจะเล่นงานชายหนุ่มต่อแต่พอเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมาก็จำต้องเงียบเสีย แค่นี้พนักงานต้อนรับหลายคนก็พากันมองเจอโรมด้วยความสมเพชแล้ว เขาจึงหันมาพูดกับแอร์โฮสเตสสาว



“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เจอโรมคงเหนื่อย งั้นเอาอย่างนี้ผมยกที่นั่งให้ ส่วนตัวผมจะไปนั่งแทนคุณคนนี้เอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันยืนได้ คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” หมอสาวที่อาสามาดูแลคนไข้พูดขึ้น หล่อนรับปากที่จะแวะมาดูคนป่วยเป็นระยะๆ เมื่อแลกที่นั่งไม่ได้





ผู้จัดการหนุ่มพยักหน้า เขาเดินไปหยิบสัมภาระของตนย้ายไปใส่ในชั้นเก็บสัมภาระในเก้าอี้ชั้นประหยัดโดยมีสายตาของคนอื่นๆ มองตาม เจอโรมยังคงใช้ผ้าคลุมโปงอยู่ เขาไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้นจึงพยายามนอนต่อ แต่ความวุ่นวายข้างๆ ตัว ทั้งเสียงพูดคุยกัน เสียงแกะอุปกรณ์เพื่อแพทย์ตัดสินใจให้ฉีดยาแก้ปวด พนักงานต้อนรับจึงไปนำกระเป๋าใส่อุปกรณ์การแพทย์มา



ทุกสิ่งล้วนทำให้ชายหนุ่มใต้ผ้าคลุมหงุดหงิด เขาพยายามนับหนึ่งถึงสิบซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งเมื่อคิดถึงใบหน้าแกมตำหนิของผู้จัดการเมื่อครู่ก็ยิ่งโมโห เจอโรมตั้งใจว่า จะอดทนจนถึงที่สุด เขาจะไม่ยอมแลกที่นั่งอย่างเด็ดขาด แต่แล้วเสียงร้องครวญครางของคนป่วย อีกทั้งยังมีการสื่อสารระหว่างกัปตันกับพนักงานต้อนรับแทบจะตลอดเวลา ทำให้สุดท้ายความอดทนก็สิ้นสุดลง เจอโรมกระชากผ้าคลุมออก เขาตะคอกใส่ทุกคนด้วยสีหน้าดุดัน



“โธ่โว้ย...พอกันที...จะร้องหาสวรรค์วิมานอะไรวะ”

“ขอโทษด้วยค่ะคุณเจอโรม”



“ไม่ต้องขอโทษ ถ้าคุณช่วยอะไรผมไม่ได้ รีบพาผมไปให้พ้นจากเรื่องบ้าๆ นี่เสียที”

พนักงานสาวทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนก่อนจะพาเจอโรมไปนั่งยังที่นั่งอีกแห่ง รัดเข็มขัดดึงผ้าห่มที่ได้รับแจกขึ้นมาคลุมศีรษะ ตั้งใจว่า จะหลับให้สนิทตั้งแต่นี้ไปจนถึงปลายทาง...







3 เดือนต่อมา



Sometimes you will never know the value of moment until it becomes a memory

Dr Seuss



เสียงนั้นดังขึ้นอีกแล้ว เขาไม่รู้ว่า มันคือ เสียงอะไร รอบกายมีสารพัดเสียงแต่เขากลับจำเสียงนี้ได้แม่น ความเจ็บ อึดอัด เหมือนถูกเหล็กบีบรัดอยู่โดยรอบ ความรู้สึกของเส้นประสาทที่รับรู้ทุกห้วงอณูของความเจ็บปวดทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยความทรมานแต่สุดท้ายความรู้สึกนั้นก็บรรเทาลงด้วยเสียงหนึ่ง

เขาไม่รู้ว่า มันคือ เครื่องดนตรีอะไร..

เสียงนั้นหวานแหลมแต่บางคราก็อ่อนช้อย เร่าร้อน และยั่วเย้า ดนตรีกังวานในความมืดและชักนำชายหนุ่มให้เดินตาม เขาไม่รู้ว่า เส้นทางนี้มุ่งตรงไปสู่ที่ใด แต่ทุกครั้งชายหนุ่มก็มักจะหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูและไม่ไปต่อ เขาได้แต่สงสัยว่า อีกฝากนั้นมีอะไรกันแน่



บานประตูค่อยแง้มออกอย่างช้าๆ สุดปลายสายตามีแสงลอดออกมา แสงนั้นจ้าเกินไปจนเจ้าตัวต้องหยีตา ทุกครั้งเขามักจะชะงัก หยุด ก่อนจะหันหลังกลับเดินไปทางเดิม แต่วันนี้เสียงหนึ่งดังขึ้น แม้จะแผ่วเบาแต่ชายหนุ่มได้ยินชัด...



‘ฉันรอคุณอยู่‘

ใครกันที่รอ ใครที่รอเขา ชายหนุ่มได้แต่สงสัย น้ำเสียงนั้นคุ้นเคยเหลือเกิน เพียงแค่ได้ยินน้ำตาก็รื้นขึ้นมา เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง แต่หล่อนเป็นใคร ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะข้างแก้มเมื่อน้ำตาแห่งความโหยหาหยดลงมา ก่อนจะไหลตามมาไม่ขาดสาย..

ใครกันที่รอเขาอยู่อีกด้านของประตู ถ้าหากเขายอมก้าวออกไปก็จะได้รู้คำตอบ แต่ที่ผ่านมาชายหนุ่มก็เลือกที่จะหันหลังกลับเดินไปทางเดิม ไปสู่โลกอันเงียบสงบของตน ไร้เสียงรบกวน ไม่มีแสงแสบตา ไม่มีความร้อนจนรู้สึกอึดอัดและทรมาน แต่วันนี้ เขาอยากรู้เหลือเกินว่า อีกฟากนั้นมีอะไร



‘ฉันรอคุณอยู่‘

เท้าสองข้างชะงัก เมื่อเสียงดนตรีที่คุ้นหูดังขึ้นอีก คราวนี้ทำนองเร่งเร้า เป็นจังหวะ ปลุกชายหนุ่มให้อยากรู้ ก่อนที่ท่วงทำนองจะเปลี่ยนเป็นโหยหวนและทรมานปริ่มว่าจะขาดใจ ใครกันที่เล่นดนตรีด้วยความเศร้าสร้อยเช่นนี้ เสียงเรียกเป็นของใครกัน



เขาควรหันหลังกลับไปสู่โลกใบเดิมหรือก้าวไปข้างหน้าดี เท้าพาร่างที่กำลังลังเล เดินตรงไปข้างหน้า แสงสว่างทำให้ต้องยกมือขึ้นบัง เขามองไม่เห็นว่า อะไรอยู่ตรงหน้า แต่เท้าก็ก้าวไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ยิ่งใกล้ประตูมากเท่าไหร่ ความร้อนที่แผดเผาก็มากเท่านั้น ความเจ็บปวด แสบร้อนที่ผิว อาการอึดอัดทรมานคล้ายกับมีคนบีบคออยู่ทำให้เจ้าตัวเกือบจะเปลี่ยนใจเสียหลายหน แต่เสียงเรียกที่เจือด้วยความเศร้าทำให้เขาไม่ยอมแพ้

เมื่อดึงประตูออก แสงสว่างที่พุ่งมากระแทกตาก็ทำให้ชะงัก ความร้อนแผดเผามากเป็นทวีคูณ เขาแสบไปทั่วสรรพางค์กายเหมือนโดนแสงอาทิตย์แผดเผา ผิวกายกำลังจะไหม้ ตาสองข้างพร่ามัวจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทรมานราวกับอยู่ในขุมนรก



เขาเปล่งเสียงจากลำคอจนดังสุด มือสองข้างไขว้คว้าหาตัวช่วย รู้สึกเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ อึดอัดทรมาน หัวใจพลันเต้นแรงและก็รัวเมื่อรู้สึกว่า ชีวิตกำลังจะดับสูญ ชายหนุ่มจึงเปล่งเสียงอีกครั้งเมื่อวาระสุดท้ายกำลังมาถึง...





“คนไข้ห้องวีไอพีเป็นยังไงบ้าง”

นางพยาบาลสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังเติมลิปสติกอยู่หน้ากระจก เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานอีกคนเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสองเป็นพยาบาลที่ผลัดกันขึ้นเวรเพื่อดูแลคนไข้วีไอพีมาสามเดือนแล้ว



คนป่วยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แขนหัก กะโหลกศีรษะแตกมีเลือดคั่งในสมองจนถึงขั้นโคม่าถูกส่งตัวเข้ามารักษา อันที่จริงเขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่นก่อนที่จะย้ายมาที่นี่ แพทย์ให้การรักษาเบื้องต้น แต่เมื่ออาการหนักและต้องผ่าตัดสมองจึงส่งต่อโรงพยาบาลใหญ่ ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยดีแต่เพราะสมองบวมและบอบช้ำอย่างหนักทำให้เขาไม่ฟื้น



ผ่านไปวันแล้ววันเล่าที่ชายหนุ่มนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ช่วงแรกมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศให้ความสนใจแวะเวียนมาทำข่าวเป็นจำนวนมากแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นแค่ข่าวกรอบเล็กๆ ในหน้าหลังของหนังสือพิมพ์ก่อนจะเลือนหายไปในที่สุด นับวันชายหนุ่มก็จะถูกลืมแต่สำหรับพยาบาลสาวสองคนนี้ ถือว่า เขาเป็นขวัญใจ



“ก็เหมือนเดิม ยังไม่ฟื้น แต่ฉันเพิ่งตัดผมทรงใหม่ให้เขาเมื่อวานนี้เอง”



พยาบาลสาวนามว่า เจน เอ่ยขึ้น หล่อนชื่นชอบความหล่อเหลาของคนไข้ แม้รู้ว่า การลวนลามผู้ป่วยด้วยสายตาจะถือว่า ผิดจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพเอามากๆ แต่ทำไงได้ในเมื่อชายหนุ่มทั้งหล่อเหลา ผิวขาวจัดเต็มไปด้วยมัดกล้ามและไรขนอ่อนๆ ผมหยักศกที่ยาวเลยต้นคอ บาดแผลบนใบหน้าหายดีเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงรอยแผลเป็นตรงแขนข้างที่หัก นอกเหนือจากนั้นเขาก็เหมือนคนนอนหลับ ผมที่เริ่มยาวดูแล้วช่างเซ็กซี่แต่แพทย์เจ้าของไข้คิดว่า มันเกะกะเกินไปหล่อนจึงอาสาตัดแต่งทรงให้



“นี่เธอแอบลักลับคนไข้อีกแล้วละสิ”



“เฮ้ย...ฉันเปล่านะ” เจนหน้าแดง หล่อนแอบลูบคลำเขาบ้างเป็นบางครั้ง เวลาไม่มีคนอยู่ จะให้ห้ามใจได้ยังไง ในเมื่อเขาหล่อขนาดนั้น ช่างน่าเสียดาย เพราะหญิงสาวได้ยินแพทย์คุยกันว่า เขาตกอยู่ในสภาวะสมองตาย



“ไม่ต้องมาเถียง ฉันเห็นนะ รูปในอินสตาแกรมของเธอ”



เพื่อนสาวหมายถึง รูปถ่ายเซลฟี่ แม้จะใช้ตัวการ์ตูนบังหน้าคนป่วยไว้ แต่อลิสซาเบทก็จำได้ เจนเอียงหน้าไปชิดคนป่วยแถมยังขโมยหอมแก้มเขาอีกด้วย แต่เนื่องจากอินสตราแกรมของเจนกำหนดผู้ติดตามเอาไว้ จึงมีแต่เพื่อนซี้เท่านั้นที่เห็น



“ชู่ว...เธออย่าไปบอกหัวหน้านะ ไม่อย่างนั้นฉันโดนไล่ออกแน่ๆ หัวหน้าห้ามถ่ายรูปกับคนป่วย”

“เออ...ฉันรู้แล้วล่ะน่า เรื่องอะไรฉันต้องไปฟ้องด้วย ถึงยังไงเขาก็คงต้องนอนอยู่อย่างนี้ไปอีกนานได้ยินว่า หมอจอห์นเพิ่งจะเรียกญาติมาคุย”



เจนขมวดคิ้วมองเพื่อนสาวอย่างสงสัย รีบกระเถิบมาใกล้

“คุยเรื่องอะไรหรือ”



“ก็เรื่องที่ว่า เขาจะต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราอย่างนี้ไปตลอดชีวิตนะสิ น่าเสียดายจังเลยนะ ยังหนุ่มยังแน่น อนาคตยังอีกไกล แต่ไม่น่าเลย ดีไม่ดีสมบัติทั้งหมดอาจจะต้องถูกยกให้การกุศล”



“ไม่จริงหรอก...ฉันยังเชื่อว่า เขาต้องฟื้น”

“ทีมแพทย์ลงความเห็นแล้วว่า เขาไม่มีทางฟื้น ตอนนี้คู่หมั้นของเขากำลังทำเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกอยู่”



“แม่นั่นคงอยากได้เงินจนตัวสั่น แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว เธอไม่ได้รักเขาจริงหรอก” เจนวิจารณ์



“อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า เราไม่ควรนินทาญาติคนไข้”



“รู้น่า ก็แค่พูดกันสองคน ฉันภาวนาทุกวันขอให้เขาฟื้น เรื่องทั้งหมดจะได้จบเสียที เขายังหนุ่มอนาคตไกล ควรจะได้ไปอีกในเส้นทางนี้”

“บางครั้งฟ้าก็ไม่ยุติธรรมกับทุกคนหรอก เธอว่า จริงไหม ไม่งั้นคนดีๆ คงไม่ตายกันทุกวันหรอก”



เพื่อนสาวกำลังจะพูดต่อ แต่แล้วเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก พวกหล่อนแอบหลบเข้าห้องน้ำเพื่อเติมหน้า แต่ทิ้งคนป่วยไว้ด้านนอกตามลำพัง

“ตายแล้ว...นั่นเสียงอะไร”



ทั้งสองหน้าซีดเผือดมือไม้สั่น เมื่อนึกได้ว่า นั่นคือ สัญญาณฉุกเฉินจากห้องวีไอพี ผู้ป่วยชายที่เพิ่งพูดถึงไปอาจกำลังมีอันตราย

“รีบไปเร็วเจน คราวนี้เราสองคนตายแน่!”



tangtangmeow
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2560, 18:58:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2560, 18:58:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 985





   บทที่ ๑ อดีต >>
goldensun 31 ส.ค. 2560, 19:54:39 น.
เจอโรมแน่เลย แล้วก็ชาร์ลอตที่เล่นไวโอลิน แต่ไปอยู่ใต้จิตสำนึกเจอโรมได้ยังไง


lookpud 31 ส.ค. 2560, 21:30:32 น.
รออ่านตอนต่อไปคะ


tangtangmeow 7 ก.ย. 2560, 17:48:32 น.
ลงต่อแล้วนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account