ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 18 [2/2] ครบแล้วค่ะ
พริษฐ์เฝ้ามองการทำงานของคนงาน งานซ่อมแซมบ้านเสร็จไปสักพักแล้ว ส่วนงานแต่งสวน เขาพอรู้ขั้นตอนอยู่บ้าง ว่าหลังจากจัดสวนเสร็จเรียบร้อยแล้วยังมีขั้นตอนการเก็บงานอีก ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อตรวจดูและลงต้นไม้ซึ่งตายไปใหม่ รอหญ้าฟื้นตัว และขั้นตอนจุกจิกอีกมากมาย กระนั้นมองโดยรวมเขาก็ลงความเห็นว่าคืบหน้าไปมาก และแนวโน้มก็เป็นที่น่าพอใจ
ผิดกับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ จนป่านนี้ยังมืดแปดด้าน ขบคิดเท่าไรก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าผู้หญิงชื่ออัญชันเป็นใคร และคู่ควรกับบ้านหลังนี้ตรงไหน
ยิ่งสืบก็เหมือนเขาเดินเข้าไปในอุโมงค์ตันๆ ภายในเต็มไปด้วยความมืด แสงริบหรี่ก็ไม่มีให้เห็น จนบางครั้งเขายังเคยคิด หรือจริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีคนชื่ออัญชัน บิดาของเขาเพียงแค่อุปโลกน์นี้ขึ้นมา ทว่าด้วยเหตุผลอะไรนั้นสุดรู้
เอาเข้าจริงพริษฐ์ก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ ข้อมูลของทิวไผ่น่าเชื่อถือ และบ้านตามบัตรประชาชนหลังนั้นก็มีอยู่จริง
อีกอย่างบิดาของเขาคงไม่คิดทำเรื่องบ้าๆ พวกนี้โดยไร้เหตุผล ในเมื่อท่านรู้ว่าปู่โชติรักบ้านหลังนี้มากแค่ไหน ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างทำให้บิดาตัดสินใจทำในเรื่องที่หากปู่โชติยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงค้านหัวชนฝา
ยิ่งคิดก็ยิ่งแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมากกว่าแค่ยกบ้านและที่ดินให้คนอื่น ทว่า...มันคืออะไรล่ะ
พริษฐ์รู้สึกปวดหัวตุบๆ แต่เขายังไม่อยากกินยาตอนนี้ ด้วยรู้ดีว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากโรคภัย แต่เป็นเพราะมีเรื่องคิดมาก ใช้สมองมากเกินไป การได้พักสายตาพักสมองสักนิดน่าจะช่วยได้
ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ เอนตัวพิงระเบียง หยิบหมอนอิงมากอดไว้หลวมๆ ความเย็นจากลมโชยเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอหลับไปไม่รู้ตัว มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงใสตะโกนเรียกคนงานแจ้วๆ
พริษฐ์ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เขาหันไปมองทางเจ้าของเสียงที่ทำให้สะดุ้งตื่น เห็นหญิงสาวยืนใช้หมวกปีกกว้างกระพือลมเข้าหาตัว มืออีกข้างเท้าสะเอวท่าทางเอาเรื่อง ความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของคนงานทำให้เขาตัดสินใจลงไปดู
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ชายหนุ่มถามแก้มแหม่ม แต่สายตากวาดมองคนงานซึ่งหันมามองเขายิ้มๆ แล้วไม่ตอบอะไร ยังตั้งหน้าตั้งตาหยิบต้นไม้ในถุงดำแล้วทยอยเดินหายออกไปทีละคนสองคน
“เกิดอะไร ไม่มีนี่”
“ก็ผมได้ยินคุณเสียงดัง คิดว่ามีอะไร”
“ฉันก็เสียงดังเป็นปกติ คนงานอยู่คนละทิศละทางก็ต้องตะโกนเรียกกันบ้าง ไม่งั้นจะได้ยินหรือคุณ อย่าบอกนะว่าคุณตกใจ คิดว่าฉันจะกินหัวคนงาน เลยรีบแจ้นมานี่”
พริษฐ์ยิ้มเก้อๆ แบบที่แก้มแหม่มถึงกับส่ายหน้า รู้ได้โดยทันทีว่าเดาถูก
“ฉันไม่ใช่ยักษ์ใช่มารเสียหน่อย ถึงจะได้ดุขนาดนั้น”
“คุณเนี่ยนะไม่ดุ ตอนสอนผมขับรถละดุเอาๆ”
“ก็คุณอยากไม่ได้เรื่องเองนี่ มีอย่างหรือ สอนตั้งนานก็ยังขับเลื้อยเป็นงูอยู่นั่นแหละ อายเด็กมันบ้างไหม ไหนตอนแรกบอกว่าปั่นจักรยานเป็นไง” เธอว่าให้อย่างไม่ไว้หน้า
เมื่อวานเธอเริ่มสอนพริษฐ์ขับจักรยานยนต์ ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักเรียนหัวไวพอดู เพียงแค่อธิบายส่วนต่างๆ ว่าสตาร์ตรถต้องทำอย่างไร ระบบเกียร์เป็นอย่างไร เบรกต่างจากรถยนต์ตรงไหน เบรกมือ เบรกเท้าควรใช้เวลาไหน แล้วให้เขาลองขับดู ในครั้งแรกเขาก็สามารถนำรถให้เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ได้ทันที ถึงแม้เก้ๆ กังๆ ไปบ้าง แต่ก็นับว่าเร็วสำหรับครั้งแรก
เธอยังแอบคิดขำๆ ว่าเขาแกล้งขับรถไม่เป็นหรือเปล่า ถึงได้เป็นเร็วนัก แต่พอชมเข้าหน่อย รถที่แล่นช้าๆ อยู่รอบลานริมคลองชลประทานก็เซแซดให้หวาดเสียวว่าทั้งคนทั้งรถจะลงไปกองอยู่ด้วยกัน ทว่าชายหนุ่มก็ประคับประคองให้กลับมาแล่นได้ดังเดิม ทว่ายังส่ายไปส่ายมาเหมือนงูเลื้อยไม่มีผิด
อดรนทนไม่ได้เข้า เธอก็กระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายเสียอย่างนั้น ด้วยหวังว่าการมีคนนั่งอยู่ข้างหลัง มีอีกหนึ่งชีวิตให้ห่วง อาจทำให้เขาระมัดระวังตั้งใจขับรถให้ตรงทางมากขึ้น แต่ดูเหมือนการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงของเธอจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
“ใครจะไปรู้ล่ะคุณ เห็นมีสองล้อ ก็คิดว่าจะง่ายเหมือนกัน แต่ผมว่าตัวเองหัวไวนะ ถึงจะเลื้อยเป็นงูก็ไม่ทำคุณตกรถไม่ใช่หรือ”
“ขืนลองทำฉันตกรถดูสิ...” หญิงสาวขู่เสียงแข็ง ขึงตาดุ
มีเรื่อง...พริษฐ์ต่อให้อย่างที่แก้มแหม่มไม่ต้องพูดออกมา แต่เขาก็ไม่กลัว มือใหญ่ดึงมือเล็กที่ชูหราเป็นมะเหงกดึงลงข้างตัว
มือเล็กชนิดจนเขากุมจนมิดแบบนี้จะทำอะไรได้ อย่างดีก็คงแค่แสบๆ คันๆ สร้างความเจ็บใจให้มากกว่าอย่างอื่น
“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่”
“ว่าจะย้ายต้นไม้พวกนี้ไปไว้อีกที่หนึ่งที่น้ำไม่ขัง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ฟ้าฝนแปรปรวนชอบกล หน้าร้อนแท้ๆ แต่บางคืนฝนเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ฉันกลัวว่าถ้าขืนปล่อยต้นไม้ไว้ตรงนี้ มันจะตายเพราะเปราะน้ำ”
พริษฐ์กวาดตาสำรวจพื้นบริเวณที่แก้มแหม่มกล่าวถึง พบว่าพื้นดินลุ่มกว่าส่วนอื่น เวลาฝนตกน้ำก็ไหลมารวมกัน ตอนนี้ดินยังเปียกแฉะ พอคนงานลำเลียงต้นกล้าในถุงดำออกไปเขาก็พบว่าบางที่ยังมีร่องรอยน้ำขังเหลืออยู่ให้เห็น และสภาพอากาศตอนนี้เดาได้ยาก ถ้ายังปล่อยกล้าไม้เหล่านี้ทิ้งไว้ บางทีอาจตายอย่างที่แก้มแหม่มกลัวก็เป็นได้
“แล้วคุณจะเอาไปไว้ตรงไหน”
“กะจะย้ายขึ้นไปตรงที่สูงหน่อย ตรงโน้นน่ะ คุณว่าเป็นไงบ้าง”
จุดที่แก้มแหม่มชี้ให้ดูอยู่ห่างจากตัวเรือนไทยค่อนไปด้านข้างไม่มาก เขาจำได้ว่าเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา แต่ตอนนี้กลับมีอะไรบางอย่างคล้ายมุ้งสีดำขึงพาดเสาไม้สี่ต้นเอาไว้
“ฉันให้คนงานขึ้นเสาขึงสแลนเอาไว้แล้ว จะได้ช่วยกรองแดดไม่ให้ส่องลงมาโดนกล้าไม้โดยตรง แล้วยังช่วยลดแรงกระแทกจากฝนได้อีกด้วย พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่สูง เวลาฝนตกน้ำก็ไม่ขัง น่าจะดีกว่าตรงนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย เวลาไม่นานช่วงที่เขางีบไป แก้มแหม่มกะเกณฑ์คนงานมาสร้างโรงพักต้นไม้ชั่วคราวเสร็จเรียบร้อย นับว่าทำงานเร็วมาก
“แล้วต้องพักไว้ตรงนั้นนานแค่ไหน” พริษฐ์ถาม เบี่ยงตัวหลบคนงานซึ่งเดินสวนเข้าออก ลำเลียงกล้าไม้ไปเก็บ แถมยังดึงแขนแก้มแหม่มออกมาด้วยจะได้ไม่ขวางทาง
“ก็ไม่นานหรอกค่ะ อีกไม่กี่วันก็ต้องเอาลงดินแล้วละ คุณโอเคกับแบบเขาวงกตที่ฉันให้ดูแล้วนี่”
แบบเขาวงกตที่แก้มแหม่มเอาให้ดูนั้นถูกใจเขามาก เส้นทางวกวนไม่ซับซ้อนนัก แต่ก็หาทางออกไม่ง่ายนัก ตอนกลับมาเขาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นถูกปรับไว้แล้ว มองจากชั้นสองของบ้านเชือกฟางที่ขึงไว้เป็นแนว พอให้เขานึกภาพออกว่าสุดท้ายแล้วเขาวงกตต้นไม้จะออกมาเป็นเช่นไร
“หมายความว่าต้นไม้ทั้งหมดนี่คือต้นที่จะเอาไปทำเขาวงกต...แต่นี่ไม่ใช่แบบที่เราตกลงกันไว้นี่”
“อะไร...ใช่สิคุณ”
พริษฐ์เหลียวมองไปทางจุดวางต้นไม้อีกครั้ง แล้วยืนยันคำเดิม
“ไม่นะ ไม่ใช่ ผมรู้จักต้นชา แต่นี่ไม่ใช่แบบที่ตกลงกันเอาไว้”
“ทำไมจะไม่ใช่ นี่น่ะชาข่อยแน่ๆ” เธอย้ำหนักแน่น
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเดินไปขอกล้า ‘ต้นชา’ จากคนงานคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาใกล้พอดี พินิจใบของมันอีกครั้ง แน่ใจแล้วว่าสายตาตนเองไม่ผิดก็ส่งให้แก้มแหม่มดูเพื่อยืนยัน
“ถึงผมไม่ใช่เซียนต้นไม้ แต่ตามหมู่บ้านก็มีให้เห็นเยอะแยะจนจำได้ขึ้นใจ นี่ไม่ใช่ต้นชาแน่ๆ คุณดูให้ดีสิ แค่ใบก็ต่างกันแล้ว โดนย้อมแมวขายหรือเปล่าคุณ”
“พูดบ้าๆ น่าคุณ” แก้มแหม่มตวาดแหวอย่างหัวเสียเมื่อโดนดูถูก “ถึงฉันไม่ได้เพาะเอง แต่สั่งจากสวนที่เชื่อถือได้ เราทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทางร้านไม่มีทางย้อมแมวขายแน่”
“ผมก็มั่นใจเหมือนกันว่าต้นนี้ไม่ใช่ต้นชาแน่ ใช้ของไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ ผมยอมรับไม่ได้หรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง” แก้มแหม่มถามเสียงเขียว มองพริษฐ์อย่างเอาเรื่อง
“ผมก็ว่าพูดชัดเจนดีแล้วนะ แต่ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมขยายความให้ก็ได้ ง่ายๆ เลยคุณ ถ้าไม่ได้ต้นไม้ตามที่ตกลงกันไว้ ผมก็ยอมให้คุณเอาต้นไม้พวกนี้ไปทำเขาวงกตไม่ได้”
แก้มแหม่มอ้าปากค้าง เธอเคยเจอนายจ้างเรื่องมากมาก็เยอะแล้ว แต่ไม่เคยเจอใครกลับขาวเป็นดำแบบนี้ ตอนแรกพูดเองแท้ๆ ว่าจะเอาชาข่อย ตอนนี้บอกว่าไม่เอา
“ได้ยังไง เราตกลงกันแล้วว่าจะใช้ชาข่อย วันนั้นคุณตกลงแล้วมากลับคำแบบนี้ ฉันก็เสียหายสิ” มีหรือที่คนรักษาผลประโยชน์ตัวเองเป็นเลิศอย่างแก้มแหม่มจะยอม
“มันไม่ตรงตามที่ตกลงกัน คุณดูสิ ใบก็ไม่เหมือน” ชายหนุ่มผลักต้นกล้าชาข่อยในมือไปให้แก้มแหม่มดู “ใบชาต้องเล็กกว่านี้ เป็นสีเขียวมันๆ จับแล้วลื่นๆ ไม่ได้สากแบบนี้ นี่แค่สีก็ไม่เหมือนแล้ว ไม่ต้องดูรอยหยักก็รู้ว่าคนละชนิดกัน”
คำเปรียบเทียบเป็นฉากๆ จากชายหนุ่มสะดุดใจแก้มแหม่มเป็นอย่างมาก เธอรับต้นกล้าชาข่อยมาถือไว้
“เดี๋ยวๆ คุณว่ารอยหยักมันทำไมนะ”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ สายตาที่มองมาไม่ปิดบังความระอาซึ่งแก้มแหม่มได้แต่ยืนสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามก่อนจะคุยกันรู้เรื่อง
เธอว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแล้วแน่ๆ
“ดูสิ รอยหยักมันแหลมแล้วก็มีหลายหยัก แต่ต้นชาที่ผมเคยเห็นมันเป็นรอยหยักมนๆ บางใบก็ไม่มีรอยหยักเลย”
เท่านั้นละ แก้มแหม่มก็ปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่ปิดบัง ตั้งใจใช้สายตาแบบเดียวกับพริษฐ์มองกลับไปบ้าง
“ถ้างั้นคงไม่ใช่ฉันแล้วละที่เข้าใจผิด เพราะที่คุณพูดถึงน่ะมันชาฮกเกี้ยน ไม่ใช่ชาข่อย มันไม่ใช่ต่างกันแค่ชื่อนะคุณ แต่ต้นมันก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย และนี่...”
เธอดันถุงดำไปจนแทบจะกระแทกอกพริษฐ์ ดีว่าชายหนุ่มรับเอาไว้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วเสื้อต้องเปื้อนโคลนดินที่เลอะอยู่ตามถุงแน่ๆ
“ก็ชาข่อยตามที่ตกลงกันไว้”
ความจริงที่ได้รับทำให้พริษฐ์ได้แต่ยืนนิ่ง มองต้นชาข่อยในมืออึ้งๆ
“ฉันทำตามข้อตกลงนะ ไม่ได้โกงใครหรือคิดย้อมแมว ทีนี้คุณจะเอายังไงก็ว่ามา”
ความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งแรกๆ ที่แก้มแหม่มคำนึงถึง ดังนั้นถึงแม้ต้นไม้ที่สั่งมาทั้งหมดนี้ไม่สามารถคืนให้กับทางสวนที่ผลิตได้เพราะจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดทู่ซี้ ยัดเยียดให้ชายหนุ่ม
บ้านควรเป็นสถานที่อยู่แล้วสบายใจ ไม่ใช่ก่อความหงุดหงิดไม่ชอบใจให้
แก้มแหม่มถอยไปนั่งรอบนเปลที่คนงานผูกเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้นอย่างใจเย็น เปิดโอกาสให้พริษฐ์คิดและตัดสินใจสะดวกๆ ไม่เร่งรัด
ทางคนนิ่งไปไม่ใช่เพราะอึ้งว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของตนเอง แต่ที่เขานิ่งไปเป็นเพราะข้อเสนอของหญิงสาวต่างหาก
แวบแรกเมื่อรู้ว่าทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิดของตนเอง เขาก็คิดว่าแก้มแหม่มจะฉวยโอกาสนี้ให้เขาใช้ชาข่อยปลูกในเขาวงกต ด้วยหญิงสาวสั่งต้นไม้มาแล้วและเขาไม่แน่ใจว่าแก้มแหม่มจ่ายเงินไปแล้วหรือยัง ถ้าจ่ายแล้วจะขอคืนหรือเปลี่ยนเป็นชาฮกเกี้ยนได้หรือไม่ หรือถ้าเปลี่ยนได้ ทางร้านที่ซื้อมาจะมีให้เปลี่ยนหรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าต้นทุนส่วนนี้จะเสียไปฟรีๆ แล้วคนเห็นเงินสำคัญเข้าขั้นงกอย่างแก้มแหม่มจะยอมหรือ เธอคงฉวยโอกาสหักคอให้เขายอมใช้ชาข่อยแทนทันที แต่นี่เธอกลับเปิดโอกาสให้ตัดสินใจอย่างไม่บังคับ นับว่าเป็นเรื่องผิดคาดทีเดียว
พริษฐ์มองชาข่อยในมืออีกครั้งอย่างตัดสินใจ รูปลักษณ์ของมันก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเขาว่าก็สวยแปลกตาทีเดียว ตอนแรกที่โวยวายก็เพียงเพราะอยากรักษาผลประโยชน์ของตัวเองตามแบบฉบับนักธุรกิจซึ่งไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ ไม่ได้เรื่องมากแต่อย่างใด พอตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร พริษฐ์ก็เดินไปหาแก้มแหม่ม
เขารู้ว่าตรงนี้คนงานผูกเปลเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้น ตอนเห็นหญิงสาวเดินหายมาก็คิดว่าแก้มแหม่มคงมานั่งพักเหนื่อย หลังจากยืนทำงานมาค่อนวัน แต่ท่าทางนอนเหยียดยาว มือทั้งคู่ประสานกันอยู่ตรงท้องนั้นทำให้เขาแปลกใจ อาการสูดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เปลือกตาไม่ยุกยิก เหมือนคนหลับลึกมากกว่าเอนหลังพักสายตา
ภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวทำให้แก้มแหม่มหลับได้เชียวหรือ
เขาไม่เคยทำได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ เมื่อวานเย็นก็พาเขาไปหัดขับมอเตอร์ไซค์ กว่าจะได้กลับบ้านก็ค่ำ แถมตอนเช้าก็ตื่นแต่เช้ารีบหิ้วปิ่นโตมาให้เพราะกลัวเขาหิว กลางวันทำงานตัวเป็นเกลียวกลางแดดร้อนๆ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่ซูเปอร์เกิร์ล มีเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา ปล่อยให้นอนไปแบบนี้น่ะดีแล้ว
พริษฐ์ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาที่ใช้มองหญิงสาวตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแบบที่ใครๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เขาก้มมองต้นชาข่อยในมืออีกครั้ง
เรื่องนี้ปล่อยเอาไว้ก่อนแล้วกัน
ตัดสินใจได้ดังนั้นพริษฐ์ก็ไม่คิดเข้าไปรบกวนคนนอน เขาค่อยๆ ถอยออกจากตรงนั้นช้าๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง
จู่ๆ คนนอนหลับตาพริ้มก็ออกอาการแปลกๆ รอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อครู่เริ่มหายไป ใบหน้าเหยเก เท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวยังดิ้นไปมา ท่าทางเหมือนคนฝันร้าย เท้าซึ่งกำลังถอยหลังช้าๆ เปลี่ยนทิศทางทันที เขาผวาเข้าไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่แน่ใจว่าเธอจะตกลงมาจากเปลในวินาทีไหน
พริษฐ์ใช้ลำตัวของตนเองแนบไปกับเปลเพื่อกันไม่ให้หญิงสาวตกทางหนึ่งและลดแรงสั่นไปพร้อมๆ กัน เขย่าร่างบางเบาๆ
“คุณๆ ชมพู่ ตื่นๆ” เขาตบแก้มเนียนเพื่อปลุก ได้ผล ดวงตาคู่โตนั้นเบิกโพลง ร่างบางบนเปลผวาเข้ามากอดเขาไว้ทั้งตัว
“ช่วยเดือนด้วย!”
ผิดกับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ จนป่านนี้ยังมืดแปดด้าน ขบคิดเท่าไรก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าผู้หญิงชื่ออัญชันเป็นใคร และคู่ควรกับบ้านหลังนี้ตรงไหน
ยิ่งสืบก็เหมือนเขาเดินเข้าไปในอุโมงค์ตันๆ ภายในเต็มไปด้วยความมืด แสงริบหรี่ก็ไม่มีให้เห็น จนบางครั้งเขายังเคยคิด หรือจริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีคนชื่ออัญชัน บิดาของเขาเพียงแค่อุปโลกน์นี้ขึ้นมา ทว่าด้วยเหตุผลอะไรนั้นสุดรู้
เอาเข้าจริงพริษฐ์ก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ ข้อมูลของทิวไผ่น่าเชื่อถือ และบ้านตามบัตรประชาชนหลังนั้นก็มีอยู่จริง
อีกอย่างบิดาของเขาคงไม่คิดทำเรื่องบ้าๆ พวกนี้โดยไร้เหตุผล ในเมื่อท่านรู้ว่าปู่โชติรักบ้านหลังนี้มากแค่ไหน ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างทำให้บิดาตัดสินใจทำในเรื่องที่หากปู่โชติยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงค้านหัวชนฝา
ยิ่งคิดก็ยิ่งแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมากกว่าแค่ยกบ้านและที่ดินให้คนอื่น ทว่า...มันคืออะไรล่ะ
พริษฐ์รู้สึกปวดหัวตุบๆ แต่เขายังไม่อยากกินยาตอนนี้ ด้วยรู้ดีว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากโรคภัย แต่เป็นเพราะมีเรื่องคิดมาก ใช้สมองมากเกินไป การได้พักสายตาพักสมองสักนิดน่าจะช่วยได้
ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ เอนตัวพิงระเบียง หยิบหมอนอิงมากอดไว้หลวมๆ ความเย็นจากลมโชยเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอหลับไปไม่รู้ตัว มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงใสตะโกนเรียกคนงานแจ้วๆ
พริษฐ์ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เขาหันไปมองทางเจ้าของเสียงที่ทำให้สะดุ้งตื่น เห็นหญิงสาวยืนใช้หมวกปีกกว้างกระพือลมเข้าหาตัว มืออีกข้างเท้าสะเอวท่าทางเอาเรื่อง ความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของคนงานทำให้เขาตัดสินใจลงไปดู
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ชายหนุ่มถามแก้มแหม่ม แต่สายตากวาดมองคนงานซึ่งหันมามองเขายิ้มๆ แล้วไม่ตอบอะไร ยังตั้งหน้าตั้งตาหยิบต้นไม้ในถุงดำแล้วทยอยเดินหายออกไปทีละคนสองคน
“เกิดอะไร ไม่มีนี่”
“ก็ผมได้ยินคุณเสียงดัง คิดว่ามีอะไร”
“ฉันก็เสียงดังเป็นปกติ คนงานอยู่คนละทิศละทางก็ต้องตะโกนเรียกกันบ้าง ไม่งั้นจะได้ยินหรือคุณ อย่าบอกนะว่าคุณตกใจ คิดว่าฉันจะกินหัวคนงาน เลยรีบแจ้นมานี่”
พริษฐ์ยิ้มเก้อๆ แบบที่แก้มแหม่มถึงกับส่ายหน้า รู้ได้โดยทันทีว่าเดาถูก
“ฉันไม่ใช่ยักษ์ใช่มารเสียหน่อย ถึงจะได้ดุขนาดนั้น”
“คุณเนี่ยนะไม่ดุ ตอนสอนผมขับรถละดุเอาๆ”
“ก็คุณอยากไม่ได้เรื่องเองนี่ มีอย่างหรือ สอนตั้งนานก็ยังขับเลื้อยเป็นงูอยู่นั่นแหละ อายเด็กมันบ้างไหม ไหนตอนแรกบอกว่าปั่นจักรยานเป็นไง” เธอว่าให้อย่างไม่ไว้หน้า
เมื่อวานเธอเริ่มสอนพริษฐ์ขับจักรยานยนต์ ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักเรียนหัวไวพอดู เพียงแค่อธิบายส่วนต่างๆ ว่าสตาร์ตรถต้องทำอย่างไร ระบบเกียร์เป็นอย่างไร เบรกต่างจากรถยนต์ตรงไหน เบรกมือ เบรกเท้าควรใช้เวลาไหน แล้วให้เขาลองขับดู ในครั้งแรกเขาก็สามารถนำรถให้เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ได้ทันที ถึงแม้เก้ๆ กังๆ ไปบ้าง แต่ก็นับว่าเร็วสำหรับครั้งแรก
เธอยังแอบคิดขำๆ ว่าเขาแกล้งขับรถไม่เป็นหรือเปล่า ถึงได้เป็นเร็วนัก แต่พอชมเข้าหน่อย รถที่แล่นช้าๆ อยู่รอบลานริมคลองชลประทานก็เซแซดให้หวาดเสียวว่าทั้งคนทั้งรถจะลงไปกองอยู่ด้วยกัน ทว่าชายหนุ่มก็ประคับประคองให้กลับมาแล่นได้ดังเดิม ทว่ายังส่ายไปส่ายมาเหมือนงูเลื้อยไม่มีผิด
อดรนทนไม่ได้เข้า เธอก็กระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายเสียอย่างนั้น ด้วยหวังว่าการมีคนนั่งอยู่ข้างหลัง มีอีกหนึ่งชีวิตให้ห่วง อาจทำให้เขาระมัดระวังตั้งใจขับรถให้ตรงทางมากขึ้น แต่ดูเหมือนการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงของเธอจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
“ใครจะไปรู้ล่ะคุณ เห็นมีสองล้อ ก็คิดว่าจะง่ายเหมือนกัน แต่ผมว่าตัวเองหัวไวนะ ถึงจะเลื้อยเป็นงูก็ไม่ทำคุณตกรถไม่ใช่หรือ”
“ขืนลองทำฉันตกรถดูสิ...” หญิงสาวขู่เสียงแข็ง ขึงตาดุ
มีเรื่อง...พริษฐ์ต่อให้อย่างที่แก้มแหม่มไม่ต้องพูดออกมา แต่เขาก็ไม่กลัว มือใหญ่ดึงมือเล็กที่ชูหราเป็นมะเหงกดึงลงข้างตัว
มือเล็กชนิดจนเขากุมจนมิดแบบนี้จะทำอะไรได้ อย่างดีก็คงแค่แสบๆ คันๆ สร้างความเจ็บใจให้มากกว่าอย่างอื่น
“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่”
“ว่าจะย้ายต้นไม้พวกนี้ไปไว้อีกที่หนึ่งที่น้ำไม่ขัง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ฟ้าฝนแปรปรวนชอบกล หน้าร้อนแท้ๆ แต่บางคืนฝนเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ฉันกลัวว่าถ้าขืนปล่อยต้นไม้ไว้ตรงนี้ มันจะตายเพราะเปราะน้ำ”
พริษฐ์กวาดตาสำรวจพื้นบริเวณที่แก้มแหม่มกล่าวถึง พบว่าพื้นดินลุ่มกว่าส่วนอื่น เวลาฝนตกน้ำก็ไหลมารวมกัน ตอนนี้ดินยังเปียกแฉะ พอคนงานลำเลียงต้นกล้าในถุงดำออกไปเขาก็พบว่าบางที่ยังมีร่องรอยน้ำขังเหลืออยู่ให้เห็น และสภาพอากาศตอนนี้เดาได้ยาก ถ้ายังปล่อยกล้าไม้เหล่านี้ทิ้งไว้ บางทีอาจตายอย่างที่แก้มแหม่มกลัวก็เป็นได้
“แล้วคุณจะเอาไปไว้ตรงไหน”
“กะจะย้ายขึ้นไปตรงที่สูงหน่อย ตรงโน้นน่ะ คุณว่าเป็นไงบ้าง”
จุดที่แก้มแหม่มชี้ให้ดูอยู่ห่างจากตัวเรือนไทยค่อนไปด้านข้างไม่มาก เขาจำได้ว่าเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา แต่ตอนนี้กลับมีอะไรบางอย่างคล้ายมุ้งสีดำขึงพาดเสาไม้สี่ต้นเอาไว้
“ฉันให้คนงานขึ้นเสาขึงสแลนเอาไว้แล้ว จะได้ช่วยกรองแดดไม่ให้ส่องลงมาโดนกล้าไม้โดยตรง แล้วยังช่วยลดแรงกระแทกจากฝนได้อีกด้วย พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่สูง เวลาฝนตกน้ำก็ไม่ขัง น่าจะดีกว่าตรงนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย เวลาไม่นานช่วงที่เขางีบไป แก้มแหม่มกะเกณฑ์คนงานมาสร้างโรงพักต้นไม้ชั่วคราวเสร็จเรียบร้อย นับว่าทำงานเร็วมาก
“แล้วต้องพักไว้ตรงนั้นนานแค่ไหน” พริษฐ์ถาม เบี่ยงตัวหลบคนงานซึ่งเดินสวนเข้าออก ลำเลียงกล้าไม้ไปเก็บ แถมยังดึงแขนแก้มแหม่มออกมาด้วยจะได้ไม่ขวางทาง
“ก็ไม่นานหรอกค่ะ อีกไม่กี่วันก็ต้องเอาลงดินแล้วละ คุณโอเคกับแบบเขาวงกตที่ฉันให้ดูแล้วนี่”
แบบเขาวงกตที่แก้มแหม่มเอาให้ดูนั้นถูกใจเขามาก เส้นทางวกวนไม่ซับซ้อนนัก แต่ก็หาทางออกไม่ง่ายนัก ตอนกลับมาเขาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นถูกปรับไว้แล้ว มองจากชั้นสองของบ้านเชือกฟางที่ขึงไว้เป็นแนว พอให้เขานึกภาพออกว่าสุดท้ายแล้วเขาวงกตต้นไม้จะออกมาเป็นเช่นไร
“หมายความว่าต้นไม้ทั้งหมดนี่คือต้นที่จะเอาไปทำเขาวงกต...แต่นี่ไม่ใช่แบบที่เราตกลงกันไว้นี่”
“อะไร...ใช่สิคุณ”
พริษฐ์เหลียวมองไปทางจุดวางต้นไม้อีกครั้ง แล้วยืนยันคำเดิม
“ไม่นะ ไม่ใช่ ผมรู้จักต้นชา แต่นี่ไม่ใช่แบบที่ตกลงกันเอาไว้”
“ทำไมจะไม่ใช่ นี่น่ะชาข่อยแน่ๆ” เธอย้ำหนักแน่น
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเดินไปขอกล้า ‘ต้นชา’ จากคนงานคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาใกล้พอดี พินิจใบของมันอีกครั้ง แน่ใจแล้วว่าสายตาตนเองไม่ผิดก็ส่งให้แก้มแหม่มดูเพื่อยืนยัน
“ถึงผมไม่ใช่เซียนต้นไม้ แต่ตามหมู่บ้านก็มีให้เห็นเยอะแยะจนจำได้ขึ้นใจ นี่ไม่ใช่ต้นชาแน่ๆ คุณดูให้ดีสิ แค่ใบก็ต่างกันแล้ว โดนย้อมแมวขายหรือเปล่าคุณ”
“พูดบ้าๆ น่าคุณ” แก้มแหม่มตวาดแหวอย่างหัวเสียเมื่อโดนดูถูก “ถึงฉันไม่ได้เพาะเอง แต่สั่งจากสวนที่เชื่อถือได้ เราทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทางร้านไม่มีทางย้อมแมวขายแน่”
“ผมก็มั่นใจเหมือนกันว่าต้นนี้ไม่ใช่ต้นชาแน่ ใช้ของไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ ผมยอมรับไม่ได้หรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง” แก้มแหม่มถามเสียงเขียว มองพริษฐ์อย่างเอาเรื่อง
“ผมก็ว่าพูดชัดเจนดีแล้วนะ แต่ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมขยายความให้ก็ได้ ง่ายๆ เลยคุณ ถ้าไม่ได้ต้นไม้ตามที่ตกลงกันไว้ ผมก็ยอมให้คุณเอาต้นไม้พวกนี้ไปทำเขาวงกตไม่ได้”
แก้มแหม่มอ้าปากค้าง เธอเคยเจอนายจ้างเรื่องมากมาก็เยอะแล้ว แต่ไม่เคยเจอใครกลับขาวเป็นดำแบบนี้ ตอนแรกพูดเองแท้ๆ ว่าจะเอาชาข่อย ตอนนี้บอกว่าไม่เอา
“ได้ยังไง เราตกลงกันแล้วว่าจะใช้ชาข่อย วันนั้นคุณตกลงแล้วมากลับคำแบบนี้ ฉันก็เสียหายสิ” มีหรือที่คนรักษาผลประโยชน์ตัวเองเป็นเลิศอย่างแก้มแหม่มจะยอม
“มันไม่ตรงตามที่ตกลงกัน คุณดูสิ ใบก็ไม่เหมือน” ชายหนุ่มผลักต้นกล้าชาข่อยในมือไปให้แก้มแหม่มดู “ใบชาต้องเล็กกว่านี้ เป็นสีเขียวมันๆ จับแล้วลื่นๆ ไม่ได้สากแบบนี้ นี่แค่สีก็ไม่เหมือนแล้ว ไม่ต้องดูรอยหยักก็รู้ว่าคนละชนิดกัน”
คำเปรียบเทียบเป็นฉากๆ จากชายหนุ่มสะดุดใจแก้มแหม่มเป็นอย่างมาก เธอรับต้นกล้าชาข่อยมาถือไว้
“เดี๋ยวๆ คุณว่ารอยหยักมันทำไมนะ”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ สายตาที่มองมาไม่ปิดบังความระอาซึ่งแก้มแหม่มได้แต่ยืนสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามก่อนจะคุยกันรู้เรื่อง
เธอว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแล้วแน่ๆ
“ดูสิ รอยหยักมันแหลมแล้วก็มีหลายหยัก แต่ต้นชาที่ผมเคยเห็นมันเป็นรอยหยักมนๆ บางใบก็ไม่มีรอยหยักเลย”
เท่านั้นละ แก้มแหม่มก็ปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่ปิดบัง ตั้งใจใช้สายตาแบบเดียวกับพริษฐ์มองกลับไปบ้าง
“ถ้างั้นคงไม่ใช่ฉันแล้วละที่เข้าใจผิด เพราะที่คุณพูดถึงน่ะมันชาฮกเกี้ยน ไม่ใช่ชาข่อย มันไม่ใช่ต่างกันแค่ชื่อนะคุณ แต่ต้นมันก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย และนี่...”
เธอดันถุงดำไปจนแทบจะกระแทกอกพริษฐ์ ดีว่าชายหนุ่มรับเอาไว้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วเสื้อต้องเปื้อนโคลนดินที่เลอะอยู่ตามถุงแน่ๆ
“ก็ชาข่อยตามที่ตกลงกันไว้”
ความจริงที่ได้รับทำให้พริษฐ์ได้แต่ยืนนิ่ง มองต้นชาข่อยในมืออึ้งๆ
“ฉันทำตามข้อตกลงนะ ไม่ได้โกงใครหรือคิดย้อมแมว ทีนี้คุณจะเอายังไงก็ว่ามา”
ความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งแรกๆ ที่แก้มแหม่มคำนึงถึง ดังนั้นถึงแม้ต้นไม้ที่สั่งมาทั้งหมดนี้ไม่สามารถคืนให้กับทางสวนที่ผลิตได้เพราะจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดทู่ซี้ ยัดเยียดให้ชายหนุ่ม
บ้านควรเป็นสถานที่อยู่แล้วสบายใจ ไม่ใช่ก่อความหงุดหงิดไม่ชอบใจให้
แก้มแหม่มถอยไปนั่งรอบนเปลที่คนงานผูกเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้นอย่างใจเย็น เปิดโอกาสให้พริษฐ์คิดและตัดสินใจสะดวกๆ ไม่เร่งรัด
ทางคนนิ่งไปไม่ใช่เพราะอึ้งว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของตนเอง แต่ที่เขานิ่งไปเป็นเพราะข้อเสนอของหญิงสาวต่างหาก
แวบแรกเมื่อรู้ว่าทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิดของตนเอง เขาก็คิดว่าแก้มแหม่มจะฉวยโอกาสนี้ให้เขาใช้ชาข่อยปลูกในเขาวงกต ด้วยหญิงสาวสั่งต้นไม้มาแล้วและเขาไม่แน่ใจว่าแก้มแหม่มจ่ายเงินไปแล้วหรือยัง ถ้าจ่ายแล้วจะขอคืนหรือเปลี่ยนเป็นชาฮกเกี้ยนได้หรือไม่ หรือถ้าเปลี่ยนได้ ทางร้านที่ซื้อมาจะมีให้เปลี่ยนหรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าต้นทุนส่วนนี้จะเสียไปฟรีๆ แล้วคนเห็นเงินสำคัญเข้าขั้นงกอย่างแก้มแหม่มจะยอมหรือ เธอคงฉวยโอกาสหักคอให้เขายอมใช้ชาข่อยแทนทันที แต่นี่เธอกลับเปิดโอกาสให้ตัดสินใจอย่างไม่บังคับ นับว่าเป็นเรื่องผิดคาดทีเดียว
พริษฐ์มองชาข่อยในมืออีกครั้งอย่างตัดสินใจ รูปลักษณ์ของมันก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเขาว่าก็สวยแปลกตาทีเดียว ตอนแรกที่โวยวายก็เพียงเพราะอยากรักษาผลประโยชน์ของตัวเองตามแบบฉบับนักธุรกิจซึ่งไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ ไม่ได้เรื่องมากแต่อย่างใด พอตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร พริษฐ์ก็เดินไปหาแก้มแหม่ม
เขารู้ว่าตรงนี้คนงานผูกเปลเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้น ตอนเห็นหญิงสาวเดินหายมาก็คิดว่าแก้มแหม่มคงมานั่งพักเหนื่อย หลังจากยืนทำงานมาค่อนวัน แต่ท่าทางนอนเหยียดยาว มือทั้งคู่ประสานกันอยู่ตรงท้องนั้นทำให้เขาแปลกใจ อาการสูดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เปลือกตาไม่ยุกยิก เหมือนคนหลับลึกมากกว่าเอนหลังพักสายตา
ภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวทำให้แก้มแหม่มหลับได้เชียวหรือ
เขาไม่เคยทำได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ เมื่อวานเย็นก็พาเขาไปหัดขับมอเตอร์ไซค์ กว่าจะได้กลับบ้านก็ค่ำ แถมตอนเช้าก็ตื่นแต่เช้ารีบหิ้วปิ่นโตมาให้เพราะกลัวเขาหิว กลางวันทำงานตัวเป็นเกลียวกลางแดดร้อนๆ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่ซูเปอร์เกิร์ล มีเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา ปล่อยให้นอนไปแบบนี้น่ะดีแล้ว
พริษฐ์ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาที่ใช้มองหญิงสาวตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแบบที่ใครๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เขาก้มมองต้นชาข่อยในมืออีกครั้ง
เรื่องนี้ปล่อยเอาไว้ก่อนแล้วกัน
ตัดสินใจได้ดังนั้นพริษฐ์ก็ไม่คิดเข้าไปรบกวนคนนอน เขาค่อยๆ ถอยออกจากตรงนั้นช้าๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง
จู่ๆ คนนอนหลับตาพริ้มก็ออกอาการแปลกๆ รอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อครู่เริ่มหายไป ใบหน้าเหยเก เท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวยังดิ้นไปมา ท่าทางเหมือนคนฝันร้าย เท้าซึ่งกำลังถอยหลังช้าๆ เปลี่ยนทิศทางทันที เขาผวาเข้าไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่แน่ใจว่าเธอจะตกลงมาจากเปลในวินาทีไหน
พริษฐ์ใช้ลำตัวของตนเองแนบไปกับเปลเพื่อกันไม่ให้หญิงสาวตกทางหนึ่งและลดแรงสั่นไปพร้อมๆ กัน เขย่าร่างบางเบาๆ
“คุณๆ ชมพู่ ตื่นๆ” เขาตบแก้มเนียนเพื่อปลุก ได้ผล ดวงตาคู่โตนั้นเบิกโพลง ร่างบางบนเปลผวาเข้ามากอดเขาไว้ทั้งตัว
“ช่วยเดือนด้วย!”
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2560, 12:47:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2560, 12:47:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1288
<< บทที่ 18 [1/2] | บทที่ 19 [ครบ] >> |