รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 4

ขอบคุณเพื่อนนักเขียนนักอ่านทุกท่านที่มาอ่าน แนะนำ ติ-ชม และเป็นกำลังใจกันนะคะ
ฝากหนูหวานกับคุณริศ ส่งความสุขให้กับผู้อ่านทุกท่านแทนคำขอบคุณค่ะ ^^

คุณเบลิญญ่า - ถ้าไม่เจ้าเล่ห์เดี๋ยวเอาชนะใจไม่ได้ค่ะ คิคิ

คุณบัวขาว - ถ้าคนอ่านสนุกคือความสุขของคนเขียนค่ะ ^^

คุณปั้นฝัน - ทุกตัวอักษรฉีกยิ้มคนเขียนกว้างๆ เลยค่ะ ^______^ ฝากหนูหวานกับคุณริศด้วยนะคะ

คุณanOO - อยากให้ไม่เกี่ยวเหมือนกันค่ะ แต่ไม่งั้นจะไม่เกี่ยวกับคุณริศด้วยน่ะสิคะ 555+

คุณann - พระเอกนี่น่า...(กอด)จริงๆ ค่ะ

คุณปูสีน้ำเงิน - ถ้าคนเขียนมีเจ้าของบ้างก็คงจะดีเหมือนกันค่ะ 55555+

คุณคิมหันตุ์ - คนอ่านก็น่ารักค่า ^_____^

คุณแล่นแต๊ - ขอบคุณค่ะ เอาบทใหม่มาฝากแล้วค่ะ

คุณinnam - นั่นสิคะ ความลับอะไรบ้างนะ ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

คุณแพม - ไม่รู้จะเรียกซวยหรือเรียกโชค(ชะตา)ดีนะคะ ^^

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



บทที่4


พอก้าวมาถึงห้องกลางบ้านมธุรินจึงเพิ่งสังเกตว่ายายไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีกังสดาลกำลังคุยฟุ้งถึงเรื่องอะไรสักอย่างให้ท่านฟัง ท่าทางคนเป็นยายกำลังได้อรรถรสทีเดียว ทั้งสองคนหยุดการสนทนาหันมองเธอพร้อมกัน แล้วก็เป็นกังสดาลที่ร้องทักขึ้น

“มาแล้วเหรอซุปเปอร์วูแมนแห่งยุค” มธุรินคิ้วขมวดด้วยความแปลกใจ ก้าวไปทรุดนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างคุณเดือนเพ็ญ

“พูดอะไรของแก แล้วนี่มาทำไม วันนี้งานไม่เยอะหรือไงถึงมาเร็วได้น่ะ”

“ก็จะมาดูสิว่าแกเจ๋งจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าใจเด็ดต่อหน้าคนอื่นแล้วกลับมาแอบร้องไห้ที่บ้าน นี่กำลังเล่าให้ยายฟังเรื่องที่แกไปลาออกจากงานเมื่อเช้า พอยายบอกว่าแกไปสมัครงานต่อ ฉันละซูฮกเลย ซุปเปอร์วูแมนตัวจริง!”

สีหน้าท่าทางของเพื่อนแสดงออกถึงความจริงใจ ไม่ได้แกล้งยอหรือพูดประชด มธุรินฟังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนอีกสองคนสบตากันด้วยความแปลกใจ

เหตุการณ์เมื่อเช้าหญิงสาวรู้ว่าตัวเองต้องรวบรวมความกล้ามากทีเดียว กว่าจะตัดสินใจเดินดุ่มๆ ไปยังห้องทำงานของนรินทร์เพื่อยื่นใบลาออก ไม่ผ่านฝ่ายบุคคลหรือตามขั้นตอนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เธอต้องการนั้นคือ...ด่วนที่สุด!

‘ผมขอเหตุผลที่ดีที่สุดของการขอลาออกครั้งนี้หน่อยครับ’ นรินทร์สีหน้าค่อนข้างยุ่งทีเดียวเมื่อได้รับซองสีขาว พร้อมคำบอกเพียงสั้นๆ ว่า ขอลาออก

มธุรินปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอันลึกล้นของตัวเอง

“เหตุผลที่ดีที่สุดของฉันตอนนี้คือ...ฉันจำเป็นต้องลาออกค่ะ และไม่ว่ามันจะผิดระเบียบที่ลากะทันหัน หรือไม่ผ่านขั้นตอนใดๆ ก็แล้วแต่ ฉันก็คงยืนยันได้เพียงว่าฉันต้องลาออกเท่านั้นค่ะ ถ้าคุณจะเอาผิด ฉันยินดี ขอเพียงคุณยอมเซ็นใบลาออกให้ก็พอ”

ดวงตายามเอ่ยคำเหล่านั้น แน่วแน่เด็ดเดี่ยวจนนรินทร์ซึ่งมีคำคัดด้านเต็มหัวยังพูดไม่ออกสักคำ พักใหญ่ที่ปล่อยให้ความเงียบยึดพื้นที่ สุดท้ายเจ้าของบริษัทหนุ่มก็ถอนหายใจแรง

‘มีใครทำให้คุณไม่พอใจ หรือบริษัทของเราใช้งานหนักไป เงินเดือนไม่พอใช้...’

‘ฉันบอกได้แค่ว่าเป็นเหตุผลส่วนตัวค่ะ ไม่เกี่ยวกับคุณ บริษัท หรือใครๆ ทั้งนั้น ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันอยากให้เราลากันด้วยดี ขอร้องก็ได้ เซ็นใบลาออกให้ฉันนะคะ’ น้ำเสียงช่วงท้ายอ่อนลง เนื่องจากเพิ่งระลึกได้ว่าเรื่องผิดพลาดทั้งหมดนรินทร์คงไม่มีส่วนรู้เห็น

เสียงถอนหายใจแรงจากเจ้าของบริษัทดังมาอีกครั้ง

‘จะเสียคนทำงานฝีมือดีทั้งที ผมรู้เหตุผลได้แค่นี้เองเหรอครับ ไม่มีสิทธิ์ทัดทานใดๆ เสียด้วยสินะ’ ฟังจากน้ำเสียง มธุรินรู้ในทันทีว่า นรินทร์ยอมให้เธอลาออก หญิงสาวประนมมือไหว้และมองมือใหญ่จรดลายเซ็นลงบนเอกสาร

“แกรู้ไหม พอแกออกมานะ คุณนรินทร์ก็ตามออกมาติดๆ มาคาดคั้นเอากับฉันว่าทำไมแกถึงลาออก” คนพูดทำหน้าย่นปากเบะ

“แล้วแกตอบเขาว่าไงล่ะ” ฝ่ายถามกลับไม่มีทีท่าตื่นเต้น พอจะรู้อยู่ว่าเพื่อนเธอคนนี้ก็ใช่ย่อยเช่นกัน

กังสดาลยิ้มแห้งๆ แกล้งทำทีเอียงอาย ก่อนเอ่ยเล่าให้เพื่อนฟังถึงเหตุการณ์ตอนเธอปะทะ เอ๊ย ตอบเจ้านายเรื่องการลาออกของมธุริน

‘ฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ’ ลักษณะการตอบแบบไม่สบตานั้นทำให้นรินทร์ไม่เชื่อถือ สองปีที่สองสาวทำงานในบริษัทเขามา ใครๆ ต่างก็รู้ว่าคู่ซี้คู่นี้ไม่เคยกลัวใคร เรื่องจะเล็กจะใหญ่สู้ยิบตา กล้าทำกล้ารับ ทั้งผิดและชอบ

‘ไม่จริง คุณเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนั้นทำไมจะไม่รู้’ ชายหนุ่มในชุดสูทมาตรฐานกอดอกพิงพนักเก้าอี้จ้องมองคาดคั้น หากคนถูกมองกลับยักไหล่ไม่นึกกลัว

‘เอ้า! เพื่อนสนิทกันแล้วไงคะ อยู่คนละบ้าน กินคนละที่ นอนคนละที่ จะไปรู้หมดทุกเรื่องได้ยังไงกัน ขนาดเป็นสามีภรรยากัน บางทียังรู้ไม่หมดทุกเรื่องเลย คุณว่าจริงไหมคะ?’ ประโยคคำถามแอบจิกเจ้านายโดยมีความหมายกินนัยได้หลายรูปแบบ

นรินทร์นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ทว่าสายตายังจับกับใบหน้ารูปไข่ไม่วางตา คล้ายว่ากำลังอ่านใจเธอให้ออก

‘คุณพูดราวกับว่าเคยแต่งงานแล้ว’ น้ำเสียงคาดคั้นเมื่อครู่เปลี่ยนมาเรียบเฉย

กังสดาลแสยะยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววบางอย่างขณะมองตอบเขาตรงๆ

‘ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ตรงหรอกค่ะ...’ หยุดเพื่อกวาดตาโดยรอบก่อนกลับมาหยุดที่เขา ‘ประสบการณ์รอบตัวมีให้ศึกษาเยอะแยะ’

คิ้วชายหนุ่มขมวดเข้าหากันในทันที ความสงสัยมากมายหลายอย่างแล่นมาจ่ออยู่ริมฝีปาก กำลังจะเอ่ยถามว่าเธอหมายถึงใคร ก็มีเสียงกระแอมจากด้านหลัง พอตวัดสายตากลับไปมองจึงเห็นว่าเป็นราตรี เลขาส่วนตัว

ราตรีหลิ่วตาให้กังสดาลเหมือนกำลังสื่อสารบางอย่างจนนรินทร์ต้องหันกลับมามองคนที่สนทนากันเมื่อครู่ จากแววตาท้าทายไม่นึกกลัวบัดนี้กลอกไปมาจนน่าสงสัย สีหน้าหญิงสาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

และก่อนเขาจะได้เอ่ยถามให้หายข้องใจ ราตรีก็รายงานว่ามีแขกมารอพบ เขาจึงจำต้องลุกจากโต๊ะทำงานของหญิงสาวเดินจากไป ไม่ทันได้ยินเสียงราตรีพูดกับกังสดาลว่า..

‘คืบหน้าแล้วหรือคะ...มาหาถึงที่เชียว’ เลขาสาวหัวเราะคิกก่อนรีบตามเจ้านายไป เหลือกังสดาลนั่งปาดเหงื่อลำพัง...ดูท่าว่า พอแก้ปัญหาของมธุรินจบ ปัญหาเธอจะตามมาแทนเสียกระมัง

“ยายแก้ม...ยายแก้ม!” มธุรินเรียกพลางเขย่าแขนเพื่อนแรงๆ คนตกในภวังค์คิดจึงสะดุ้งกะพริบตาเร็วๆ มองเพื่อนพลางถาม

“ฮะ แกเรียกฉันทำไม มีอะไรเหรอ”

“ก็แกน่ะสิ เล่าถึงตอนพี่ราตรีเข้ามาขัดจังหวะแล้วก็เงียบไป สายตาเหม่อลอย ฉันเลยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”

คนถูกถามอึ้งไปนิดก่อนยิ้มแหยๆ แล้วสรุปง่ายๆ

“ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรต่อ แค่นั้นจริงๆ” มธุรินหลิ่วตาไม่เชื่อถือ กังสดาลจึงต้องเสถามถึงเหตุผลของการลาออก “เออ ว่าแต่แกลาออกทำไมล่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

ถึงคราวมธุรินเป็นฝ่ายหลบตาพูดไม่ออกบ้าง วันนี้ทั้งวันเธอพยายามลืมเหตุผลของการลาออกจากงาน ทั้งพยายามด้วยตัวเอง และมีคนช่วยให้ลืมได้บ้าง แต่สุดท้ายมันก็วกกลับมาคิดอีกจนได้ คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำใจ ส่วนเรื่องลืมนั้นคงยาก...คนเราแค่เพียงเดินชนกันครั้งหนึ่งบางทียังจำจนวันตาย นับประสาอะไรกับคน...รักปักใจ จะลืมกันได้ลงง่ายๆ เชียวหรือ

“เมื่อคิดจะตัดฉันก็อยากจะตัดให้ขาด ไม่เหลื่อเยื่อใยอะไรให้ติดต่อกันอีก คุณนรินทร์กับบริษัทเขาอาจไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ แต่ยังไงเขาก็เป็นเพื่อนกัน วันนี้ไม่รู้เห็นก็ใช่ว่าวันหน้าเขาจะไม่ช่วยเหลือกัน...ดูเอาเถอะ ขนาด...” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น บางสิ่งบางอย่างจุกแน่นตรงลำคอจนพูดไม่ออก กังสดาลเอื้อมมาจับมือเธอไว้อย่างให้กำลังใจ “...ขนาดนัดกิ๊กไปหาถึงฟิลิปปินส์คุณนรินทร์ยังเป็นใจได้เลย”

กังสดาลหันไปสบตาคุณเดือนเพ็ญคล้ายขอความเห็น ผู้สูงวัยยิ้มบางๆ เอื้อมมือลูบไหล่หลานสาวแผ่วเบา อ่อนโยน

“ดีแล้วล่ะลูก ยายว่าหวานทำถูกแล้ว แผลน่ะถ้าเรารักษามันดีๆ ไม่นานมันก็หาย แต่ถ้าเราแกะเกามันอยู่เรื่อยๆ มันก็เปื่อยไม่มีวันจบสิ้น”

หลานสาวเอนตัวสวมกอดคนเป็นยายอย่างขอบคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เล็กหรือใหญ่ ยายจะคอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอ ชีวิตนี้ถ้าขาดยายไปสักคน เธอคงอยู่บนโลกนี้ลำบาก

“เอ้อ ว่าแต่แกไปสมัครงานมาเป็นไงบ้าง ได้หรือเปล่า กลับเสียเย็นตามเวลาเลิกงานเชียว” ก่อนเรื่องจะดิ่งสู่ความโศกเศร้ากังสดาลก็รีบชักชวนทุกคนไปเรื่องอื่นแทน ซึ่งคุณเดือนเพ็ญก็พยักหน้าตอบรับด้วยความอยากรู้เช่นกัน

มธุรินกลับมานั่งตัวตรง มองหน้ายายกับเพื่อนสลับกันสองสามครั้งก่อนตอบ

“ได้สิ”

“ว้าว! ฉันนึกแล้วว่าคนเก่งอย่างแกต้องหางานไม่ยาก อย่างนี้ต้องฉลองนะคะยาย”

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งดีใจ อย่าเพิ่งเห็นแก่กิน แกไม่อยากรู้เหรอว่าฉันได้งานตำแหน่งอะไร และบริษัทใคร” สีหน้ายามเอ่ยถามไม่มีแววตื่นเต้นสักนิด ทว่าคนถูกถามเสียอีกดูจะตื่นเต้นออกนอกหน้า จนลืมสังเกตว่าเพื่อนพูดว่า ‘บริษัทใคร’ แทนที่จะเป็น ‘บริษัทไหน’

“เออ นั่นสิ ว่ามาๆ”

“สัญญานะว่าแกจะไม่กรี๊ดถ้าฉันพูดจบ” มธุรินแกล้งกระตุ้นความอยากรู้ของเพื่อน ทำเอากังสดาลยิ่งเบิกตากว้างอย่างรอคอย

“เรื่องสิ ยิ่งแกพูดอย่างนี้แสดงว่าต้องมีทีเด็ด ฉันจะเตรียมตัวกรี๊ดเลยเชียวละ เอ้า ว่ามาเร็วๆ อย่าโยกโย้ ฉันอยากรู้ใจจะขาดแล้ว” ไม่ใช่เพราะกลัวเพื่อนใจจะขาด แต่เพราะอย่างไรเสียก็ต้องบอกอยู่แล้ว มธุรินจึงยอมบอกออกไปง่ายๆ เลิกลีลา

“ฉันได้งานตำแหน่งเลขา...เลขาของประธานบริษัท” ทั้งคุณเดือนเพ็ญและกังสดาลมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะคนเป็นเพื่อนอ้าปากจะร้องกรี๊ดแทบจะทันที “เดี๋ยว! อย่าเพิ่ง ถ้าแกจะกรี๊ดจริงก็รวบยอดทีเดียวเลยละกัน...ประธานบริษัทชื่อ...ภัทริศ อินทร์จันทรา หรือว่า...คุณริศของแกนั่นละ”

เท่านั้นเองคนเบิกตาโตอ้าปากหวอก็ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน จนคุณเดือนเพ็ญและมธุรินยกมือปิดหูแทบไม่ทัน นอกจากกรีดร้องแล้วกังสดาลยังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเหลือกำลังอีกต่างหาก ส่งผลให้คุณเดือนเพ็ญมองด้วยความงุนงง

“พรหมลิขิต! เห็นไหมหวานพรหมลิขิตชัดๆ” คนพูดกระโดดมาเกาะแขนเพื่อนเขย่า แล้วกระโดดไปเกาะแขนนุ่มนิ่มของคุณเดือนเพ็ญ “พรหมลิขิตค่ะยาย พรหมลิขิต!”

เห็นเพื่อนกระโดดโลดเต้นดีใจจนโอเว่อร์มธุรินจึงตัดใจไม่เล่าเรื่องที่นอกจากภัทริศจะเป็นเจ้านายเธอแล้ว เขายังมาส่งถึงหน้าบ้านอีกด้วย ขืนเล่าให้กังสดาลฟัง มีหวังเธอกับยายได้ย้ายออกจากหมู่บ้านนี้เหตุเพราะส่งเสียงรบกวนชาวบ้านเป็นแน่แท้!

...ถ้าพรหมลิขิตมีจริง พระพรหมคงใจร้ายน่าดู ที่ลิขิตให้เธอมาเจอแล้วก็หลงรักบริภัต แต่สุดท้ายก็ลิขิตให้เขามีภรรยาอยู่แล้ว...และหากจะมีพรหมลิขิตอีกครั้งในชีวิตเธอ คงเป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่าน่ายินดี...มธุรินคิดกับตัวเองเงียบๆ



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


เช้านี้มธุรินตื่นเร็วกว่าปกติ เนื่องจากการหลับตาทำให้เธอฝันร้ายถึงคืนวันเก่าๆ ความเจ็บปวดที่เกาะกินหัวใจก่อนนอนส่งผลให้มีอาการกระสับกระส่ายทั้งคืน และสุดท้ายเธอต้องยอมแพ้โดยการลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ตอนตีสี่กว่าๆ ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีที่เธอจะได้ออกจากบ้านเร็ว เพราะวันนี้ต้องใช้บริการ ขสมก.แทนรถอีแก่ของตัวเอง หญิงสาวไม่อยากไปสายเพียงวันที่สองของการทำงาน

แสงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานเมื่อร่างโปร่งก้าวผ่านประตูรั้วออกมาโดยไม่ปลุกคนเป็นยาย ตั้งใจจะไปพึ่งแซนวิชหน้าปากซอยเป็นมื้อเช้าแทนฝีมือคุณเดือนเพ็ญเช่นทุกวัน หญิงสาวกระชับกระเป๋าเข้าไหล่แล้วยิ้มซึมๆ ให้กับตัวเอง ท่องในใจว่าชีวิตต้องดีขึ้นกว่าเดิม เรื่องเลวร้ายกำลังจะผ่านพ้นไป

ก้าวยังไม่ทันถึงร้านแซนวิชรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู Z4 สีขาวก็พุ่งมาจอดข้างๆ จนแทบชิด พร้อมลดกระจกลง มธุรินสะดุ้งด้วยความตกใจ เผลอหันไปค้อนขวับอย่างลืมตัว เกือบอ้าปากต่อว่าแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่เห็นว่าเป็นใครเสียก่อน

“เกือบไม่ทันแน่ะ ถ้าช้ากว่านี้อีกนิด สงสัยผมจะมารับคุณเก้อ” เขาบอกด้วยรอยยิ้มทั้งปากและตา ยกแขนพาดกรอบหน้าต่างรถด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ พอหญิงสาวเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาก็ยักไหล่ พลางบอก “ผมมารับคุณไปทำงานไงครับ ก็วันนี้คุณไม่มีรถ”

“อีแก่ของฉันมันเสียบ่อยค่ะ ฉันนั่งรถเมล์ชินพอๆ กับขับมันไปทำงาน คงไม่ต้องรบกวนท่านประธาน” เมื่อคืนความคิดของหญิงสาวสับสนวกวนหลายอย่าง บทเรียนจากความผิดพลาดทำให้เธอไม่อยากไว้ใจหรือใกล้ชิดใครง่ายๆ อีก

“งั้นคุณเลขาคงไม่รังเกียจ ถ้าจะนั่งรถของผมให้ชินบ้าง” นอกจากไม่รู้สึกรู้สากับท่าทีห่างเหินของเธอแล้วชายหนุ่มยังไปต่อได้หน้าซื่อๆ “มาเถอะครับ ซอยนี้มันแคบ เดี๋ยวรถคันข้างหลังเขาจะไปทำงานสาย” ภัทริศหลิ่วตาไปทางด้านหลัง ชวนให้มธุรินต้องมองตาม และพบว่าตอนนี้มีรถมาจ่อท้ายรถเขาอยู่ถึงสามคันด้วยกัน

เมื่อไม่มีทางเลือกร่างโปร่งจึงจำต้องวิ่งไปเปิดประตูด้านข้างคนขับอย่างจนใจ

“เดี๋ยวส่งฉันหน้าปากซอยก็พอค่ะ” ภายในรถเปิดเพลงค่อนข้างดัง ท่าทางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยรถบ่งบอกความรื่นรมย์กับการฟังเพลงทำให้มธุริศนึกเดาเอาว่าเขาอาจไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอบอก

“เช้าขนาดนี้ผมเดาว่าคุณคงยังไม่ได้ทานมื้อเช้าใช่ไหมครับ ผมเองก็ยังไม่มีอะไรรองท้องเหมือนกัน งั้นเราแวะหาอะไรใส่กระเพาะกันก่อนนะครับ จะได้ไม่เสียสุขภาพ”

จากคำพูดไปคนละทางของเขาทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าเขาไม่ได้ยินจริงๆ แต่น่าแปลกที่ระดับเพลงดังเท่ากัน ทำไมเธอได้ยินเขาชัดทุกคำ!

ร้านกาแฟเล็กๆ หากตกแต่งได้น่ารักคือสถานที่ทานมื้อเช้าของสองหนุ่มสาว บนโต๊ะมีเพียงกาแฟควันกรุ่นสองถ้วยกับขนมปังปิ้งอีกคนละแผ่นเท่านั้น ภัทริศสดชื่นกับกลิ่นกาแฟและอากาศยามเช้าเป็นพิเศษ ผิดกับอีกคนที่หมกมุ่นและขุ่นมัวจนสติจมหายไปกับภวังค์ความคิด

สายตาคมเฝ้ามองคนนั่งตรงข้ามอย่างเพลินตาเพลินใจ แม้สีหน้าของหญิงสาวกำลังบอกกับเขาว่าเธอมีเรื่องครุ่นคิด ชายหนุ่มก็ยังพอใจจะเฝ้ามองอยู่ดี

ขณะกำลังจ้องนิ่งๆ ใบหน้าเรียวก็เงยขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องประสานสายตากัน เขายิ้มละมุนตอบ ไม่คิดหลบสายตา ส่วนมธุรินนั้นถึงอยากจะเมินหนีรอยวิบไหวในดวงตาเขา ก็มิอาจบังคับสายตาตัวเองได้ดั่งต้องการ

“ผมให้ช่างมาลากรถคุณไปเข้าอู่แล้วนะครับ อีกสองวันน่าจะเสร็จ” เขาหาเรื่องชวนคุยเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอึดอัดจนเกินไป

“อะไรนะคะ คุณให้ช่างมาลาก!” มธุรินเบิกตาโตถามเสียงค่อนข้างดัง จนคนในร้านซึ่งค่อนข้างบางตาพากันหันมอง หญิงสาวกวาดสายตาโดยรอบอย่างระลึกได้ คำพูดต่อมาน้ำเสียงจึงเบาลง หากยังแฝงด้วยแววขุ่นมัว “คุณน่าจะบอกฉันก่อน”

“คุณโกรธหรือครับ” เขาถามเสียงอ่อน การตอบรับมีเพียงริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่น หลุบสายตาลงมองถ้วยกาแฟ “ผมขอโทษถ้าทำให้คุณไม่พอใจ ผมเพียงแค่อยากเป็นธุระให้เท่านั้นเอง” ทุกถ้อยคำแฝงแววรู้สึกผิดจริงๆ ไม่ได้แกล้งขอความเห็นใจใดๆ

“ไม่ได้โกรธหรอกค่ะ เพียงแต่...” หญิงสาวเงยหน้ามองเขา แล้วก็พูดไม่ออก ทว่าสีหน้าสงสัยกับแววตาซื่อๆ ที่จดจ่อรอฟังทำให้เธอต้องตอบเสียงเบา “ฉันยังไม่พร้อมเรื่องค่าใช้จ่าย” เสียงนั้นเบาจนภัทริศต้องชะโงกหน้ามาฟังใกล้ๆ และเมื่อได้ยินข้อกังวลของเธอ เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง ผมบอกเขาแล้วล่ะครับว่าให้เก็บเงินจากผม คุณไม่ต้องห่วง”

“นั่นล่ะค่ะ สิ่งที่ฉันไม่ต้องการ รถเป็นของฉัน ฉันควรรับผิดชอบด้วยตัวเอง”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ เราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนช่วยเพื่อนแปลกตรงไหน” เขาบอกทีท่าสบายๆ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ หากคู่สนทนาถึงกับคิ้วยุ่งนั่งหลังตรงจ้องหน้าเขา

“แล้วถ้าเพื่อนคุณรถเสียพร้อมกันสิบคน คุณไม่ต้องจ่ายหมดทุกคนเลยเหรอคะ”

“ไม่ครับ ผมจ่ายให้เฉพาะ...เพื่อนคนพิเศษเท่านั้น” คำพูดอาจธรรมดา แต่น้ำเสียงทอดนุ่มกับแววตาระยิบระยับส่อนัยบางอย่างทำให้มธุรินต้องเสมองไปด้านข้าง

“คุณจะคิดยังไงก็เรื่องของคุณ แต่ฉันไม่อยากติดหนี้คุณไปชาติหน้า” หลุดปากออกไปแล้วมธุรินถึงกับสะดุ้งคำพูดของตัวเอง ยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดสวนกลับมาของเขา หัวใจยิ่งกระตุกแรง

“แล้วไม่ดีหรือไงครับ!”

ใบหน้าเรียวหันขวับมาจ้องเขา ความสับสนมากมายเอ่อล้นดวงตาจนภัทริศรู้สึกหวิวในอก เขาคงไม่อุปาทานไปเองที่เห็นว่าริมฝีปากบางเริ่มสั่น และมีหยดน้ำมาคลอเบ้าตาคู่สวย

“จะสุขหรือทุกข์ ชาติเดียวก็เกินพอแล้วล่ะค่ะสำหรับชีวิต” ลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ ไม่รอว่าเขาจะลุกตามหรือเปล่า หญิงสาวก้าวออกจากร้านรวดเร็ว ขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงได้เห็นความอ่อนแอของเธอ ผลพวงจากฝันร้ายเมื่อคืนติดพันมาจนถึงเช้า พยายามปรับอารมณ์อย่างไรก็ช่างยากเหลือเกิน

...การจะถอนรากรักจากใครสักคนมันยากอย่างนี้เชียวหรือ?...

ยิ่งคิดน้ำตาพานจะไหลออกมาให้ได้ หัวใจที่กำลังเต้นไหวในอกราวกับร่วงลงบนเศษซากของหนามแหลมคม...หนามดอกรัก ที่เธอไม่เคยประจักษ์แก่สายตา ทว่าได้สัมผัสด้วยหัวใจ

“คุณหวาน!” ร่างสูงตามมาดึงแขนหญิงสาวไว้ได้ทันก่อนเธอจะหนีขึ้นแท็กซี่ แม้ร่างกายของมธุรินจะเอียงมาหาเขาจากแรงรั้งของอุ้งมือใหญ่ ใบหน้าเรียวกลับไม่ยอมหันมาเผชิญหน้า เอียงหนีไปอีกทางชนิดชายหนุ่มกลัวแทนว่าคอเธอจะเคล็ด “ผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้คุณไม่พอใจ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ”

แวบเดียวที่เธอหันมาสบตาเขาแล้วลดระดับสายตาลงมองพื้น ฝืนกลืนความอึดอัดลงคอเพื่อเอ่ยกับเขาอย่างสกัดกั้นอารมณ์ตัวเอง

“คุณไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ ฉันทำตัวเองทั้งนั้น” ริมฝีปากถูกเม้มแน่น ยิ่งพูดมธุรินยิ่งรู้สึกเกลียดตัวเอง เธอช่างอ่อนแอเสียจริง! ก่อนเจอบริภัตความเข้มแข็งในกายเธอมันเข้มข้นกว่านี้ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงปล่อยให้เขามาเจือจางความแกร่งกล้านั้นเสียง่ายดาย “ฉันต่างหากต้องขอโทษคุณ...”

หางเสียงแผ่วเบาขาดช่วง จนภัทรริศพอรับรู้ได้ว่าเธอกำลังมีบางสิ่งบางอย่างรบกวนจิตใจ และเขาควรปล่อยให้เธอได้จัดการกับความรู้สึกตัวเอง

“ไปเถอะครับ” เขาบอกง่ายๆ ปล่อยมือออกจากแขนเรียว มธุรินเดินก้มหน้าเลี่ยงร่างสูงไปเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นนั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่างเงียบๆ

เกือบนาทีของการยืนมองใบหน้าเรียวผ่านทางกระจกหน้ารถ ภัทริศไม่รู้หรอกว่าเลขาคนใหม่ของเขากำลังมีปัญหาอะไรกับชีวิต แต่สิ่งที่เขาหวังจะได้เห็นคือรอยยิ้มของเธอ ท่าทางลุกลี้ลุกลน หรืออาจเป็น ‘อารมณ์ขัน’ ตามข้อสันนิษฐานของภัทรมนเมื่อครั้งได้อ่านข้อความที่เธอส่งหาเขาตอนสลับโทรศัพท์กัน

ชายหนุ่มเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นน่าจะเป็นนิสัยแท้จริงของหญิงสาวมากกว่า...และเขาไม่สมควรปล่อยให้อะไรก็ตามมากลืนกินมันไป รอยยิ้มบางอย่างจุดขึ้นตรงมุมปาก ก่อนร่างสูงจะเปิดประตูและก้าวขึ้นนั่งประจำที่คนขับ เคลื่อนรถออกช้าๆ มุ่งสู่ถนนที่กำลังคลาคล่ำด้วยรถจำนวนมาก

“คุณจะว่าอะไรไหมคะ ถ้า...ฉันจะขอลางานสักวัน หรือถ้ามันทำให้คุณเสียเวลาฉันลาออกก็ได้ค่ะ” หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่อยู่นานเท่าใดก็สุดรู้ ในที่สุดคนเบือนหน้าหนีเพื่อซุกซ่อนความเจ็บช้ำก็เอ่ยขึ้นโดยไม่หันมองคู่สนทนาอยู่ดี

“เห็นจะไม่ได้ทั้งสองอย่างครับ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ มือบางกระตุกกำกระเป๋าแน่น ยังคงยึดสายตากับภาพเบื้องนอกที่ไม่รู้ว่าผ่านอะไรไปบ้างแล้ว “เพราะตอนนี้เราอยู่เส้นนอกเมืองแล้ว ผมคงเซ็นเอกสารให้คุณไม่ได้ และถ้าให้เลือกระหว่างกลับไปส่งคุณที่บ้านกับพาคุณไปในที่ๆ ผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่า ผมเลือกอย่างหลังครับ”

คำบอกเล่านั้นราวกับมือมืดกระชากใบหน้าเธอให้หันมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขาอย่างมีคำถาม ก่อนหันกลับไปมองข้างทางอีกครั้ง คราวนี้เป็นการตั้งใจมองไม่ใช่ใช้สายตาเลื่อนลอยอย่างตลอดทางที่ผ่านมา

“คุณจะพาฉันไปไหน!”

“โหย ฟังน้ำเสียง อย่างกับว่าผมเป็นพวกโจรโรคจิตจะพาคุณไปฆ่าข่มขืนอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ดูสิ แถวนี้ไม่มีโรงแรมเลย มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าทั้งนั้น ผมไม่พาคุณลงข้างทางหรอกน่า เดี๋ยวคัน!”

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังกังวานทั่วรถ กว่าจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าอีกคนไม่ขำด้วย เขาจึงกระแอมไอเพื่อปรับใบหน้าให้เรียบนิ่ง เหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่งและได้เห็นดวงตาน่าสะพรึงกลัวจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณไปนั่งทำงานด้วยสีหน้าเครียดๆ เดี๋ยวทำงานผิดๆ ถูกๆ จะโดนคุณพวงดุเอา” จะว่าจริงจังก็ไม่ใช่ หยอกล้อก็ไม่เชิง แต่ทำให้มธุรินลดอาการขึงขังลงได้บ้าง เขาเหลือบมองเธออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มสงบลงจึงยิ้มออก “คุณรู้ไหมครับว่าคุณพวงน่ะ ดุยิ่งกว่าครูระเบียบอีก ผมแอบตั้งฉายาให้เธอว่า...ครูระเบียบจัด! อ้อ แต่คุณอย่าไปฟ้องเธอนะ เดี๋ยวผมจะโดนดุ คุณพวงไม่เกรงและไม่กลัวประธานบริษัทอย่างผมหรอก” พูดจบยังทำท่าขนลุกขนพองจนเวอร์ประกอบเสียอีก น่าแปลกที่ทำให้อารมณ์ของมธุรินผ่อนคลายได้เยอะเลยทีเดียว

“ไม่ต้องนอกเรื่องเลยค่ะ ฉันถามว่าคุณจะพาฉันไปไหน”

“ไม่ได้จะพาคุณไปไหน แต่ ‘เรา’ กำลังไปด้วยกันต่างหาก” เขายังหน้าซื่อโยกโย้

“ค่ะ ‘เรา’ กำลังจะไปไหนกันคะ” คร้านจะต่อปากต่อคำเลยยอมรับเสียดื้อๆ ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ เน้นคำว่า ‘เรา’ ชัดอย่างประชด ซึ่งนอกจากคนฟังจะไม่รับรู้ถึงการประชดประชันนั้นแล้วยังมีหน้ามายิ้มพอใจกับคำว่าเราของเธออีก

“คุณเหมือนผมหรือเปล่า เวลาเครียดผมชอบกิน กินเยอะๆ กินแบบไม่รู้จักอิ่ม พอกินไปกินมา สักพักลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นเครียดเรื่องอะไรบ้าง วิธีนี้ดีนะคุณ ถ้าไม่เคย ผมอยากให้คุณลอง ได้ผลชะงัดเลยละ!”

ถ้าคนที่กำลังพูดด้วยขณะนี้คือคุณพรรัมภาหรือภัทรมน เชื่อได้เลยว่าคนชอบแกล้งอมพะนำอย่างภัทริศต้องได้เจ็บตัว หรือเนื้อเขียวเป็นจ้ำๆ แน่ หากเพราะกำลังคุยอยู่กับเลขาคนใหม่ที่เธอยังไม่ให้ความสนิทสนมกับเขาเท่าที่ควร จึงได้รับการตอบกลับมาเพียงน้ำเสียงกดต่ำว่า

“คุณภัทริศ!”

“โอเคๆ” บอกพลางละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมายกขึ้นระดับไหล่เป็นการยอมแพ้ “เรากำลังไปสวนผลไม้จันทบุรีครับผม!”


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


สารถีกิตติมศักดิ์พ่วงท้ายด้วยวงเล็บว่า ‘จำเป็น’ เทียบรถเข้าจอดหน้าบ้านทาวเฮ้าท์ของมธุรินเมื่อนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มพอดี บรรยากาศในรถไม่ขมุกขมัวเหมือนตอนขาไป คนอารมณ์ดีอยู่แล้วอย่างภัทริศยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปอีก นั่นเพราะอีกคนที่ไปด้วยมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นจนรู้สึกได้

มธุรินเลื่อนมือปลดเข็มขัดนิรภัยออก ใบหน้าเรียวกระจ่างใสยามเงยมองชายหนุ่มข้างกาย

“ขอบคุณนะคะ”

“แสดงว่าวิธีของผมได้ผลใช่ไหมครับ” เขาเลิกคิ้วถามล้อๆ

มธุรินนึกอยากปฏิเสธก็พูดไม่ออกเพราะพอไปถึงสวนผลไม้เธอก็เพลิดเพลินกับผลไม้หลากหลายในสวนกว้างคาดคะเนไม่ถูกว่าเป็นสิบๆ ไร่หรือร้อยไร่กันแน่ คนนำชมสวนก็เป็นคุณลุงที่อารมณ์ดี ช่างหยอกเย้า เล่นมุกสนุกสนาน อีกทั้งให้ความรู้หลายอย่างที่เธอไม่เคยรู้ หญิงสาวตั้งใจฟังไปด้วย รับผลไม้จากมือของภัทริศมาใส่ปากไปด้วยอย่างไม่เกี่ยงงอน มารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อท้องตึงจนน่ากลัวว่าจะแตก

อาการพยักหน้าอายๆ เรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

“และฉันต้องขอโทษคุณด้วยที่ทำให้เสียเวลางานทั้งของคุณและของฉัน” คราวนี้ใบหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย แสดงความรู้สึกผิดจากใจจริง

“ฮื่อ! เสียเวลางานที่ไหนกัน” ดวงตาคมเบิกโตอย่างรู้ว่าแกล้งทำ “คุณลืม หรือยังไม่รู้ครับว่าบริษัทเราน่ะส่งออกผลไม้กระป๋องรายใหญ่เชียวนะ วันนื้ถือเป็นการทำงานนอกสถานที่ต่างหาก พรุ่งนี้ถ้าคุณพวงถาม คุณต้องบอกว่าเราไปเซอร์เวย์วัตถุดิบนะครับ ห้ามบอกว่าไปเที่ยวเด็ดขาด เพราะคุณอาจแค่โดนดุ แต่ผมนี่สิ ถ้าถูกยื่นฟ้องไปถึงพระมารดาละก็...โดนลงทัณฑ์ชัวร์!”

“คุณแม่คุณน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“ตอนเราสลับโทรศัพท์กันทำไมคุณถึงต้องร้อนรนให้ผมรีบไปรับคืนละครับ” นอกจากไม่ตอบยังถามให้เธอคิดเองเสียอีก มธุรินยิ้มแห้งๆ

“นั่นสินะคะ แค่คุณไม่ได้รับโทรศัพท์ท่านก็รัวมาอย่างกับว่าถ้ากราดกระสุนใส่คุณได้ท่านคงทำ”

“แล้วใครว่าไม่ทำ พอผมกลับไปเย็นนั้นเจอกระสุนดัชนีเขียวทั้งตัวเลย!”

แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกัน ลืมความหม่นมัวเมื่อเช้าไปโดยไม่รู้ตัว นานทีเดียวกว่าเสียงหัวเราะที่สอดประสานกันจะสงบลง กระนั้นรอยยิ้มก็ยังหลงเหลือบนใบหน้าของทั้งคู่

“รู้ไหม เวลาคุณยิ้มหรือหัวเราะ น่ามองกว่าเวลาทำหน้าเศร้าๆ อีกนะครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลเรียกสายตาของมธุรินให้ตวัดมองตอบดวงตาระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงแข่งกันเปล่งแสง “ผมชอบ...และอยากมองนานๆ” ประโยคหลังแผ่วกระซิบคล้ายคนละเมอ จ้องใบหน้าเรียวไม่วางตา มุมปากยกยิ้มพอใจ

ลมหายใจมธุรินสะดุด หากสายตาที่น่าจะเมินหนีกลับมองตอบพร้อมค้นลึกหาความหมายของคำพูดจากดวงตาชายหนุ่มเสียอีก ช่วงเวลาเงียบในรถแคบๆ เชื่องช้าราวกับเข็มนาฬิกาเดินผ่านแต่ละวินาทีช้ากว่าเดิม สติกลับมาอยู่กับตัวเมื่อหญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองลืมหายใจจนแทบสำลักอากาศ

“ฉะ...ฉันขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวยายจะเป็นห่วง” มธุรินบอกพลางขยับกระเป๋าเข้าหาตัว และอีกฝ่ายไม่ได้เกี่ยงงอน ยอมปลดล็อกให้โดยดี

“เจอกันพรุ่งนี้ ที่นี่เวลาเดิมนะครับ อ๊ะ อย่าปฏิเสธ เพราะถ้าคุณไม่ยอมด้วยความเต็มใจผมก็จะอนุมัติให้นี่เป็นคำสั่ง...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

อาการอ้าปากค้างเถียงไม่ออกของมธุรินหาได้เกิดจากการขัดคำสั่งไม่ได้ แต่เพราะคำสุดท้ายที่บอกพร้อมสายตาประหลาดๆ นั่นต่างหาก ทำให้เธอต้องหุบปากและเดินเข้าบ้านเงียบๆ

ภัทริศเฝ้ามองจนหญิงสาวเข้าบ้านล็อกประตูเรียบร้อยแล้วจึงดึงสายตากลับมา เกือบนาทีเห็นจะได้ที่เขานั่งยิ้มกับตัวเองในรถ...ความสุขบางอย่างที่ไม่เคยพานพบแล่นมาอาบหัวใจ ยิ่งคิดเขายิ่งยิ้มกว้างเรื่อยๆ จนนึกแปลกใจตัวเอง


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


ความแช่มชื่นในหัวใจยังคงไม่สร่างซาแม้ชายหนุ่มจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของบ้านอินทร์จันทรา และเดินควงกุญแจในมือพร้อมผิวปากเข้ามาในบ้านแล้วก็ตาม พอก้าวมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งต้องผ่านเพื่อไปยังบันไดขึ้นชั้นบน ภัทริศชะงักเท้ากึกเมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างจ้องมองมาด้วยสายตาหงุดหงิดบนโซฟาหนาหนุ่มตัวยาว

“แยม”

“แหม ดีจริง ยังจำชื่อแยมได้ นึกว่าลืมไปเสียแล้ว เห็นไม่ยอมรับโทรศัพท์ทั้งวัน!” ร่างระหงลุกเดินมาหยุดตรงหน้าเขา สีหน้าบอกบุญเท่าไหร่คงไม่รับ

มือใหญ่ตบกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างสองสามครั้งก่อนตอบ

“โทษทีครับ วันนี้ผมลืมโทรศัพท์ไว้ในรถทั้งวัน...ตอนนี้ก็ยังลืมอีก” เขาพยายามยิ้มน้อยๆ เพื่อไม่ให้คำพูดดูห้วนจนเกินไป พอนึกเดาได้ว่าถ้าโทรหาเขาไม่ติดแค่ครั้งเดียว ยศยาต้องระดมโทรไม่แพ้พระมารดาเขาแน่ๆ และที่สำคัญการที่เธอมาอยู่ในบ้านเขาด้วยเวลาจวนสี่ทุ่มอย่างนี้คงเพราะพอโทรหาเขาไม่ติดเลยโทรหาคุณพรรัมภา และแน่ยิ่งกว่าแน่ว่าต้องโทรไปที่บริษัทด้วย

ภัทริศเคยนึกสงสัยว่า...ผู้หญิงเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า

“ลืม หรือตั้งใจคะ” หญิงสาวดักคอ ภัทริศอยากตอบเหมือนกันว่าตั้งใจ แต่ก็คร้านจะให้เธอแผดเสียงลั่นบ้าน จึงเลี่ยงไปทรุดนั่งบนโซฟาเดี่ยวคล้ายจะหลีกหนีการโต้เถียง หากนั่นยิ่งทำให้ยศยาโมโหหนักกว่าเก่า มือเรียวกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

“แล้วนี่คุณมายังไงครับ ผมไม่เห็นรถคุณจอดอยู่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่ต้องเฉไฉไปเรื่องอื่นค่ะริศ วันนี้คุณไปไหนมา แยมโทรไปที่บริษัทเขาก็บอกว่าคุณไม่ได้เข้า บอกมานะคะว่าคุณไปไหน กับใคร แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์แยม!”

ไหมล่ะ...เขาเดาผิดที่ไหน ชายหนุ่มคิดพร้อมหลับตาสงบจิตสงบใจ

คงมีแค่ยศยาคนเดียวกระมังที่เขาใช้มุกเบี่ยงประเด็นไม่เคยได้ผล ผู้หญิงคนนี้ไม่มีวันยอมผ่อนผันอะไรทั้งนั้น เธอจะคาดคั้นจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ...และพอใจ

“ผมไปดูสวนผลไม้ที่จันทบุรีมาครับ” เขาตอบสั้นๆ ข่มน้ำเสียงให้สุภาพที่สุด “แต่ที่คุณกำลังโมโหอยู่นี่ คงไม่ใช่เพราะแค่โทร.หาผมไม่ติดหรอกมั้งครับ เพราะปกติคุณจะไม่โทร.หาผมถ้าไม่ขาดเพื่อนช็อปปิ้ง ขาดเพื่อนกินข้าว หรือขาดเพื่อนเที่ยว”

ยศยาชะงักกับคำพูดเรียบๆ ที่จี้ใจดำเข้าอย่างจัง หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดสุดลึกเพื่อระงับความพลุ่งพล่านในร่างกาย เปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน พลางก้าวไปทรุดนั่งชิดร่างสูง

“คุณก็พูดเกินไปนะคะริศ รู้ไม่ใช่เหรอคะว่าแยมต้องช่วยงานคุณพ่อ ยุ่งจะตาย พอมีเวลาว่างแยมก็โทรชวนคุณไปซื้อของ กินข้าว ทดแทนเวลาที่แยมทำงานต่างหาก ไม่ใช่ขาดเพื่อนสักหน่อย”

หางเสียงพูดไม่ค่อยเต็มปากสักเท่าไหร่

ภัทริศทำเสียงหยันในลำคอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคู่หมั้นสาวหละหลวมจนไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่สร้างช่องว่างนั้นขึ้นมา หรือบางทีอาจเกิดจากพวกเขาทั้งคู่นั่นละ

“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ถึงตามหาตัวให้วุ่น” คำถามติดประชดเล็กๆ เรียกสายตาตวัดค้อนขวับมาให้เขา

“แยมไม่มีธุระอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ แยมแค่...เหงา” คำสุดท้ายสัมผัสได้ถึงความหมายตามนั้นจริงๆ ใบหน้าตกแต่งเครื่องสำอางจัด บัดนี้สื่ออารมณ์อ้างว้าง ดวงตากร้าวเมื่อครู่ ฉายแววว้าเหว่จนชายหนุ่มต้องวางมือใหญ่ทับมือบางที่เกาะแขนอยู่

เขาไม่รู้หรอกว่ายศยาเหงาอะไรนักหนา ทั้งที่มีเพื่อนฝูงออกเยอะแยะ งานก็บ่นว่ายุ่งไม่ว่างเว้น ทว่านี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งและสิ่งเดียวที่ทำให้เขายอมใจอ่อนกับเธอเรื่อยมา

ครั้งแรกที่ได้เจอกันตอนงานหมั้นของภัทรมนและบริภัต ชายหนุ่มเห็นผู้หญิงใบหน้าเศร้ายืนอยู่มุมหนึ่งของงานพิธี สายตาทอดมองพี่สาวกับว่าที่พี่เขยเขาขณะนั้นไม่วางตา และเมื่อคุณพรรัมภาแนะนำว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อยศยาเป็นบุตรสาวของเพื่อนท่าน ภัทริศรู้ในทันทีว่า ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะจับคู่ให้เขากับเธอ

“ผมขอโทษครับที่ไม่ได้เอาใจใส่คุณ เพิ่งเริ่มทำงาน ทุกอย่างเลยยังไม่ลงตัว”

เมื่อได้ยินคำขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนลงของคู่หมั้น บังเกิดความรู้สึกผิดบางอย่างในจิตใจยศยา สีหน้าหญิงสาวจึงหมองลง

“ช่างเถอะค่ะ” เธอบอกปัด ไม่หลงเหลือร่องรอยโกรธกริ้วอย่างตอนแรกอีก ราวกับกองไฟโดนราดน้ำให้ดับในฉับพลัน

“แล้วนี่คุณจะให้ผมไปส่งหรือจะขับรถผมกลับเองครับ” เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วภัทริศจึงจำเป็นต้องเอ่ยเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการออกปากไล่

“แยมจะค้างที่นี่ค่ะ คุณป้าให้เด็กจัดห้องไว้ให้แล้ว”

ภัทริศไม่นึกแปลกใจกับคำบอกเล่านั้น เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยศยามาค้างบ้านเขา หลังจากหมั้นกันและอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ คุณพรรัมภาก็จัดห้องๆ หนึ่งไว้สำหรับว่าที่ลูกสะใภ้ เธอสามารถมาพักได้ทุกเมื่อที่สะดวก โดยไม่เสียหายใดๆ

“งั้นคุณไปนอนเถอะ ดึกมากแล้ว ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ลุกยืน หันมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบน

ยศยาอาจดูปราดเปรียวเป็นผู้หญิงทันสมัย หากเธอไม่เคยทำตัวเกินเลยกับภัทริศ มากสุดก็แค่กอดแขน ซบไหล่ จนบางครั้งชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่เพราะทางบ้านเธอสอนเรื่องนี้มาดี ก็คงเพราะเขามีเสน่ห์ไม่พอ!

จะอย่างไรก็แล้วแต่ หญิงสาวที่เพิ่งลับสายตาไปทำให้ภัทริศต้องครุ่นคิดถึงเหตุการณ์และความสุขในวันนี้ แผ่นหลังกว้างเอนพิงพนักโซฟา หลับตาลงนิ่ง แล้วจู่ๆ ก็คล้ายว่าแว่วเสียงสนทนาระหว่างเขากับพี่สาวจะหวนกลับมาก้องดังในหูอีกครั้ง

‘ลองคิดดู ถ้าริศเจอใครสักคนที่รักและอยากใช้ชีวิตคู่กับเขา ริศจะทำอะไรไม่ได้ มันทรมานนะริศ ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราควบคุมมันไม่ได้ สั่งไม่ได้ ต่อให้บอกไปอีกทาง มันก็จะเลือกตามเส้นทางของใจไม่ฟังเหตุผล...พี่เตือนเพราะรักนะ’

‘ผมคงไม่โชคร้ายมาเจอความรักเอาเมื่อสายไปแล้วมั้งครับ’

ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย...ภัทริศก็จะถือเอาว่า นั่นคือโชคชะตา!



โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^





ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2554, 07:07:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ส.ค. 2554, 07:07:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 2427





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
แพม 15 ส.ค. 2554, 09:24:55 น.
โชคชะตาหรือกรรม


บัวขาว 15 ส.ค. 2554, 10:33:32 น.
วิบาก ...


anOO 15 ส.ค. 2554, 13:28:11 น.
โชคชะตา บางทีก็เป็นผลพวงมาจากการกระทำ


คิมหันตุ์ 15 ส.ค. 2554, 14:33:33 น.
ว๊าาาาาาจะทำยังไงน๊อ..พ่อริศเอ๊ย


แว่นใส 15 ส.ค. 2554, 17:00:15 น.
สงสัยรักพี่เสียดายน้องแน่เลย


ann 15 ส.ค. 2554, 17:28:36 น.
ยังคิดไม่ออกว่าจะมาอุ้มบุญยังไง 555+


ปูสีน้ำเงิน 15 ส.ค. 2554, 20:00:32 น.
น่ากลัวว่าเทพีแห่งโชคชะตาจะไม่เข้าข้างพระเอกเรานะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account